หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (17)

ประการที่สิบสอง: ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น  นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น (ภาคที่ห้า)

ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร

IX. ระบายความคิดลบ

วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันต่อเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงาน ซึ่งก็คือ “ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น”  สำหรับเรื่องการขัดขวางและก่อกวนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักร ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงปัญหาข้อที่แปด—แพร่มโนคติอันหลงผิด—และวันนี้ก็จะสามัคคีธรรมถึงข้อเก้า—ระบายความคิดลบ  การระบายความคิดลบก็เป็นสิ่งที่มักจะได้ยินในชีวิตประจำวันเช่นกัน  ในทำนองเดียวกันเมื่อเกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักรจึงควรควบคุมและหยุดยั้งการกระทำหรือถ้อยแถลงที่ระบายความคิดลบเอาไว้ เพราะการระบายความคิดลบไม่ได้ทำให้ใครเจริญใจ กลับส่งผลกระทบ รบกวน และก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ผู้คน  ฉะนั้นการระบายความคิดลบจึงเป็นสิ่งที่เป็นลบ มีธรรมชาติคล้ายพฤติกรรม การกระทำ และถ้อยแถลงอื่นๆ ที่ก่อกวนชีวิตคริสตจักร สามารถก่อกวนผู้คนและส่งผลอันไม่พึงประสงค์เช่นกัน  ไม่มีใครสามารถทำให้ผู้อื่นเจริญใจหรือนำประโยชน์มาให้ผู้อื่นด้วยการระบายความคิดลบได้ รังแต่จะนำผลพวงที่เป็นภัยมาให้เท่านั้น และสามารถส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของผู้คนอีกด้วย  ด้วยเหตุนี้เมื่อเกิดการระบายความคิดลบในคริสตจักร จึงควรหยุดยั้งและควบคุมเอาไว้เช่นเดียวกัน ไม่ปล่อยปละหรือส่งเสริม

ก. อะไรคือการระบายความคิดลบ

ก่อนอื่นพวกเรามาดูกันว่าควรทำความเข้าใจและใช้วิจารณญาณในเรื่องของการระบายความคิดลบอย่างไร  พวกเราควรใช้วิจารณญาณอย่างไรในเรื่องของการระบายความคิดลบ?  ความคิดเห็นและการสำแดงอันใดของผู้คนที่เป็นความคิดเห็นและสิ่งที่สำแดงถึงการระบายความคิดลบ?  เหนืออื่นใด ความคิดลบที่ผู้คนระบายออกมานั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก เป็นสิ่งเลวร้ายที่ขัดแย้งกับความจริง และเป็นสิ่งที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาผลิตขึ้นมา  การมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนำไปสู่ความลำบากยากเย็นในการปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า—และสืบเนื่องจากความลำบากยากเย็นเหล่านี้ ความคิดที่เป็นลบและสิ่งที่เป็นลบอื่นๆ จึงถูกเผยให้เห็นในตัวผู้คน  สิ่งเหล่านี้ถูกผลิตขึ้นในบริบทที่พวกเขาพยายามปฏิบัติความจริง นี่คือความคิดและมุมมองที่ขัดขวางและส่งผลกระทบต่อผู้คนเมื่อพวกเขาพยายามปฏิบัติความจริง และเป็นสิ่งที่เป็นลบทั้งสิ้น  ไม่ว่าความคิดและมุมมองที่เป็นลบเหล่านี้จะฟังดูสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เพียงใดและสมเหตุสมผลเพียงใด ก็ไม่ได้มาจากความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า และยิ่งไม่ใช่การรู้จักพระวจนะของพระเจ้าจากประสบการณ์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สิ่งเหล่านี้กลับถูกจิตใจของมนุษย์ผลิตขึ้นมา และไม่สอดคล้องกับความจริงแต่อย่างใด  เพราะฉะนั้นความคิดเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่เป็นลบ สิ่งที่เลวร้าย  เจตนาของผู้คนที่ระบายความคิดลบออกมาคือการหาเหตุผลเชิงวัตถุวิสัยมากมายให้แก่ความล้มเหลวที่จะปฏิบัติความจริงของตน เพื่อให้ได้รับความเห็นใจและความเข้าใจจากผู้อื่น  ถ้อยแถลงที่เป็นลบเหล่านี้ครอบงำและบั่นทอนความคิดริเริ่มในตัวผู้คนที่จะปฏิบัติความจริงมากน้อยแตกต่างกัน  และถึงกับสามารถหยุดยั้งผู้คนมากมายจากการปฏิบัติความจริงได้  ผลสืบเนื่องและผลกระทบอันไม่พึงประสงค์เหล่านี้ยิ่งทำให้สมควรที่จะระบุว่าสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้คือสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ต่อต้านพระเจ้า และเป็นปรปักษ์ต่อความจริงโดยสิ้นเชิง  บางคนไม่สามารถเท่าทันแก่นแท้ของความคิดลบ และคิดว่าความคิดลบที่เกิดขึ้นอยู่เนืองนิจนั้นปกติ และไม่ส่งผลร้ายแรงต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คน  วิธีคิดเช่นนี้ผิด ในข้อเท็จจริงนั้นความคิดลบมีผลใหญ่หลวงมาก และหากความคิดลบของใครสักคนมีมากเกินกว่าที่ตัวพวกเขาจะรับไหว ก็อาจทำให้เกิดการทรยศได้ง่าย  ผลสืบเนื่องที่น่าสะพรึงกลัวนี้ไม่ได้เกิดจากสิ่งอื่นใดนอกจากความคิดลบ  ดังนั้นควรใช้วิจารณญาณทำความเข้าใจการระบายความคิดลบนี้ว่าอย่างไร?  กล่าวง่ายๆ ก็คือ การระบายความคิดลบเป็นการชักพาให้ผู้คนหลงผิดและยับยั้งไม่ให้พวกเขาปฏิบัติความจริง เป็นการใช้กลวิธีที่นุ่มนวล วิธีการที่ดูเหมือนปกติ เพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดและขัดขาพวกเขา  นี่เป็นอันตรายต่อพวกเขาหรือไม่?  นี่สร้างความเสียหายให้แก่พวกเขาอย่างลึกล้ำโดยแท้  ดังนั้น การระบายความคิดลบจึงเป็นเรื่องที่ไม่พึงประสงค์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษ นี่คือการตีความที่เรียบง่ายที่สุดเกี่ยวกับการระบายความคิดลบ  แล้วองค์ประกอบที่เป็นลบของการระบายความคิดลบคือสิ่งใดกันแน่?  สิ่งใดที่เป็นลบ และหมิ่นเหม่ที่จะส่งผลกระทบอันเลวร้ายต่อผู้คน ก่อให้เกิดการรบกวนและอันตรายแก่ชีวิตคริสตจักร?  ความคิดลบรวมสิ่งใดเอาไว้บ้าง?  หากผู้คนมีความเข้าใจอันถ่องแท้ในพระวจนะของพระเจ้า คำพูดที่พวกเขาใช้สามัคคีธรรมจะมีความคิดลบอยู่บ้างหรือไม่?  หากผู้คนมีท่าทีที่นบนอบรูปการณ์แวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดวางไว้ให้แก่พวกเขาอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วจะมีความคิดลบอันใดอยู่ในความรู้ที่พวกเขาได้จากรูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้หรือไม่?  เมื่อพวกเขาแบ่งปันความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ของตนแก่ทุกคน นั่นจะมีความคิดลบใดๆ หรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน  ในเรื่องของสิ่งที่เกิดขึ้นในคริสตจักรหรือรอบตัวพวกเขา ถ้าผู้คนสามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้จากพระเจ้า มีแนวทางที่ถูกต้อง และสามารถมีท่าทีที่แสวงหาและนบนอบ เช่นนั้นแล้ว ความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ที่พวกเขามีกับสิ่งที่เกิดขึ้นจะมีความคิดลบอยู่ด้วยหรือไม่?  (ไม่)  ไม่อย่างแน่นอน  ดังนั้นเมื่อมองในแง่เหล่านี้แล้ว ความคิดลบคืออะไรกันแน่?  จะเข้าใจความคิดลบได้อย่างไร?  ความคิดลบประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ที่มีธรรมชาติดังนี้คือ—ความไม่เชื่อฟัง ความไม่พอใจ ความคับข้องใจ และความขุ่นเคืองของผู้คนมิใช่หรือ?  ในกรณีที่ร้ายแรงกว่านี้ ความคิดลบยังประกอบด้วยการไม่ยอมรับ การท้าทาย และถึงขั้นส่งเสียงประท้วงอีกด้วย  การออกความเห็นที่มีสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนประกอบ สามารถระบุได้ว่าเป็นการระบายความคิดลบ  ดังนั้นเมื่อดูการสำแดงเหล่านี้แล้ว เวลาคนคนหนึ่งระบายความคิดลบออกมา พวกเขามีการนบนอบพระเจ้าอยู่ในหัวใจหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่มี  มีความเต็มใจที่จะขบถต่อเนื้อหนังและแก้ไขความคิดลบของตนหรือไม่?  ไม่มี—มีแต่การไม่ยอมรับ ความเป็นกบฏ และการต่อต้านเท่านั้น  ถ้าหัวใจของผู้คนเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้—ถ้าหัวใจของพวกเขาถูกสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้ยึดครอง—นี่ก็จะก่อให้เกิดการไม่ยอมรับ ความเป็นกบฏ และการท้าทายพระเจ้า  และถ้าเป็นเช่นนี้จริง พวกเขายังจะสามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่?  ย่อมจะทำไม่ได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นมีแต่การที่พวกเขาจะออกห่างจากพระเจ้า และคิดลบมากขึ้นเรื่อยๆ อาจถึงขั้นสงสัย ปฏิเสธ และทรยศพระเจ้า  นี่อันตรายมิใช่หรือ?  ใครก็ตามที่คิดลบบ่อยๆ ย่อมสามารถระบายความคิดลบออกมา และการระบายความคิดลบก็คือการต่อต้านและปฏิเสธพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนที่มักจะระบายความคิดลบออกมาจึงมีแนวโน้มที่จะทรยศพระเจ้าและผละจากพระองค์ไปทุกเมื่อหรือทุกที่

เมื่อดูความหมายของคำว่า “ความคิดลบ” แล้ว เวลาที่คนคนหนึ่งคิดลบ อารมณ์ของพวกเขาย่อมตกอยู่ในสภาวะที่แย่มาก และพวกเขาก็มีความรู้สึกที่ไม่ดี  อารมณ์ของพวกเขาเต็มไปด้วยส่วนประกอบที่เป็นลบ พวกเขาไม่มีท่าทีแข็งขันที่จะก้าวหน้าและพากเพียรต่อไป ไร้ซึ่งการให้ความร่วมมือและการแสวงหาที่เป็นบวกและกระตือรือร้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังแสดงให้เห็นความไม่เต็มใจที่จะนบนอบ กลับแสดงอารมณ์ที่ท้อแท้เป็นอย่างยิ่งออกมา  อารมณ์ที่ท้อแท้แสดงให้เห็นสิ่งใด?  แสดงให้เห็นแง่มุมที่เป็นบวกของความเป็นมนุษย์บ้างหรือไม่?  แสดงถึงการมีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่?  แสดงถึงการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ใช้ชีวิตอยู่ในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์หรือไม่?  (ไม่)  ถ้าไม่ได้แสดงถึงสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ แล้วแสดงถึงสิ่งใด?  แสดงได้หรือไม่ถึงการไร้ซึ่งความเชื่ออันแท้จริงในพระเจ้า รวมทั้งการไร้ความมุ่งมั่นและปณิธานที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและก้าวหน้าไปในเชิงรุก?  แสดงได้หรือไม่ถึงความไม่พอใจอย่างแรงกล้าในสถานการณ์และความยุ่งยากของตนในปัจจุบัน ปัญหาในการทำความเข้าใจสถานการณ์และความยุ่งยากนั้นๆ และความไม่เต็มใจที่จะยอมรับข้อเท็จจริงทั้งหลายในปัจจุบัน?  แสดงให้เห็นได้หรือไม่ถึงสถานการณ์ที่หัวใจของคนเราเต็มไปด้วยความไม่เชื่อฟัง ความอยากท้าทาย ความอยากหนีไปให้พ้นและอยากเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในปัจจุบัน?  (ได้)  เหล่านี้คือสภาวะที่ผู้คนแสดงออกมาเมื่อพวกเขาคิดลบเวลาเผชิญสถานการณ์ปัจจุบัน  สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อผู้คนคิดลบ ความไม่พอใจที่พวกเขามีต่อสถานการณ์ปัจจุบันและสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ก็ไม่ใช่อะไรที่เรียบง่ายอย่างการที่พวกเขาเพียงเข้าใจผิด ไม่เข้าใจ ไม่ตระหนักรู้ หรือไม่สามารถที่จะมีประสบการณ์ได้เท่านั้น  การไม่ตระหนักรู้อาจเป็นเรื่องของขีดความสามารถหรือระยะเวลา ซึ่งเป็นการสำแดงที่ปกติของความเป็นมนุษย์  การไม่สามารถที่จะมีประสบการณ์ได้อาจมีสาเหตุมาจากข้อเท็จจริงบางอย่าง แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเชิงลบที่ไม่พึงประสงค์  บางคนก็ไม่สามารถมีประสบการณ์เช่นกัน แต่พอเผชิญหน้าสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจหรือไม่เท่าทัน หรือสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถตระหนักรู้หรือมีประสบการณ์ได้ พวกเขาก็จะอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาพระประสงค์ของพระองค์ รอคอยความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระเจ้า และแข็งขันที่จะสามัคคีธรรมและแสวงหาจากผู้อื่น  อย่างไรก็ดี บางคนกลับต่างออกไป พวกเขาไม่มีเส้นทางปฏิบัติเหล่านี้ และไม่มีท่าทีดังที่กล่าวมา  แทนที่จะรอคอย แสวงหา หรือหาคนมาสามัคคีธรรมด้วย พวกเขากลับเกิดความเข้าใจผิดในหัวใจ รู้สึกว่าเหตุการณ์และรูปการณ์แวดล้อมที่ตนพบเจอนั้นไม่สอดคล้องกับความอยากได้อยากมี ความชอบส่วนตน หรือความคิดฝัน เป็นเหตุให้เกิดความไม่เชื่อฟัง ความไม่พอใจ การไม่ยอมรับ คำพร่ำบ่น การท้าทาย การส่งเสียงโวยวาย และสิ่งอื่นที่ไม่พึงประสงค์ในทำนองดังกล่าว  เมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็ไม่คิดอะไรมาก และไม่มาเบื้องหน้าพระเจ้าเพื่ออธิษฐานและคิดทบทวนเพื่อที่จะทำความรู้จักสภาวะและความเสื่อมทรามของตนเอง  พวกเขาไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าหรือใช้พระวจนะของพระเจ้าในการแก้ปัญหา และยิ่งไม่สามัคคีธรรมและแสวงหาจากผู้อื่น  กลับยืนกรานว่าสิ่งที่ตนเชื่อนั้นถูกต้องและเที่ยงตรงแล้ว เก็บงำความไม่เชื่อฟังและความไม่พอใจเอาไว้ในหัวใจ ทั้งยังติดอยู่ในกับดักที่เป็นภาวะอารมณ์เชิงลบอันไม่พึงประสงค์ต่อไป  เมื่อติดอยู่ในกับดักที่เป็นภาวะอารมณ์เหล่านี้ พวกเขาก็อาจจะสามารถเก็บซ่อนอารมณ์ต่อไปและฝืนทนอารมณ์เหล่านี้ได้สักวันสองวัน แต่ในระยะยาวย่อมมีหลายสิ่งหลายอย่างก่อเกิดขึ้นในจิตใจของพวกเขา รวมถึงมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ จริยธรรมและศีลธรรมของมนุษย์ วัฒนธรรมของมนุษย์ ประเพณี ความรู้ และอื่นๆ  พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้มาวัด คำนวณ และทำความเข้าใจปัญหาที่ตนเผชิญอยู่ ติดบ่วงที่ซาตานโยงใยเอาไว้โดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้จึงเกิดสภาวะต่างๆ ที่เป็นความไม่พอใจและความไม่เชื่อฟัง  และแล้วสภาวะที่เสื่อมทรามเหล่านี้ก็ก่อให้เกิดแนวคิดและมุมมองต่างๆ ในทางที่ผิด และพวกเขาก็ไม่อาจควบคุมสิ่งที่เป็นลบในหัวใจของตนได้อีกต่อไป  และแล้วพวกเขาก็มองหาโอกาสที่จะพรั่งพรูและระบายสิ่งเหล่านี้ออกมา  เมื่อหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความคิดลบ พวกเขาจะกล่าวหรือไม่ว่า “ในใจฉันเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นลบ ฉันไม่ควรผลีผลามพูดจา จะได้ไม่ทำร้ายผู้อื่น  ถ้าฉันรู้สึกอยากพูดและสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ได้ ฉันก็จะพูดกับผนัง หรือคุยกับอะไรสักอย่างที่ไม่เข้าใจคำมนุษย์”?  พวกเขามีเมตตามากพอที่จะทำเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นพวกเขาทำสิ่งใด?  พวกเขามองหาโอกาสที่จะมีคนมารับฟังทัศนะ ความคิดเห็น และภาวะอารมณ์เชิงลบของตน ใช้โอกาสนี้พรั่งพรูความรู้สึกเชิงลบต่างๆ ออกมาจากหัวใจ เช่น ความไม่พอใจ ความไม่เชื่อฟัง และความขุ่นเคือง  พวกเขาเชื่อว่าระหว่างที่ใช้ชีวิตคริสตจักรคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะระบาย และเป็นโอกาสอันดีที่จะพรั่งพรูความคิดลบ ความไม่พอใจ และความไม่เชื่อฟังในตัวออกมา เพราะมีคนฟังอยู่มากมาย และคำพูดของตนก็สามารถครอบงำผู้อื่นให้คิดลบได้ พาให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์ต่องานของคริสตจักรได้  แน่นอนว่าคนที่ระบายความคิดลบออกมาย่อมไม่สามารถยั้งปากเอาไว้ได้แม้จะอยู่หลังฉากก็ตาม พวกเขาพรั่งพรูวาจาที่เป็นลบออกมาเสมอ  เวลาที่ไม่มีผู้คนมากมายมาฟังพวกเขาระบาย พวกเขาก็รู้สึกว่านี่ไม่ชวนให้ตื่นเต้น แต่พอทุกคนมาชุมนุมกันพร้อมหน้า พวกเขากลับมีเรี่ยวแรงมากขึ้น  ดูจากภาวะอารมณ์ สภาวะ และแง่มุมอื่นๆ ของคนที่ระบายความคิดลบออกมาแล้ว จุดมุ่งหมายของพวกเขาไม่ใช่การช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริง เท่าทันว่าสิ่งใดจริงแท้ ขจัดความเข้าใจผิดหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้า รู้จักตนเองและแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของตน หรือแก้ปัญหาเรื่องความเป็นกบฏและความเสื่อมทรามในตัวผู้คนเพื่อให้ผู้คนไม่กบฏต่อพระเจ้าหรือต่อต้านพระองค์ แต่กลับนบนอบพระองค์  จุดมุ่งหมายของพวกเขามีสาระสำคัญอยู่สองเรื่องคือ ทางหนึ่งให้พวกเขาได้ระบายความคิดลบเพื่อที่จะพรั่งพรูภาวะอารมณ์ของตนเองออกมา อีกทางหนึ่ง พวกเขามุ่งหมายที่จะดึงผู้คนอีกมากให้คิดลบและติดอยู่ในกับดักที่เป็นการไม่ยอมรับและส่งเสียงประท้วงพระเจ้าไปพร้อมกับตน  ฉะนั้นจึงแน่นอนว่าควรหยุดยั้งการกระทำที่เป็นการระบายความคิดลบในชีวิตคริสตจักรเสีย

ข. สภาวะและการสำแดงต่างๆ ของผู้คนที่ระบายความคิดลบ
1. ระบายความคิดลบเมื่อรู้สึกไม่พอใจที่ถูกปลด

ภาวะอารมณ์และสิ่งที่สำแดงให้เห็นความคิดลบโดยพื้นฐานแล้วก็คือสิ่งที่กล่าวมานี้  หลังจากที่เราสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้คนก็ควรนำไปเทียบดูตัวเองว่าในชีวิตจริง พวกเขามีพฤติกรรม ความเห็น และวิธีการใดบ้างที่เป็นการระบายความคิดลบ และสถานการณ์เช่นใดที่ทำให้พวกเขาตกอยู่ในความคิดลบ อันเป็นเหตุให้ระบายความคิดลบออกมา  จงบอกเราเถิดว่าภายใต้รูปการณ์ปกติทั่วไป มีสถานการณ์ใดบ้างที่ทำให้ผู้คนคิดลบ?  รูปแบบทั่วไปที่ทำให้คิดลบมีอะไรบ้าง?  (เมื่อใครบางคนถูกปลดหรือถูกตัดแต่ง พวกเขาอาจเกิดความคิดลบบางอย่างขึ้นมาในใจ)  การถูกปลดเป็นกรณีหนึ่ง การถูกตัดแต่งก็เป็นอีกกรณี  เหตุใดการถูกปลดจึงทำให้คิดลบ?  (บางคนพอถูกปลดแล้วก็ไม่รู้จักตนเอง คิดไปว่าสถานะของพวกเขานั่นเองที่พาให้พวกเขาตกต่ำ  จากนั้นพวกเขาก็กล่าวว่า “ยิ่งไต่สูงยิ่งร่วงแรง” แสดงมุมมองบางอย่างที่เป็นลบออกมา  พวกเขาไม่ได้เข้าใจการถูกปลดอย่างถ่องแท้ พวกเขาไม่เชื่อฟังอยู่ในหัวใจ)  ในตัวพวกเขามีความไม่เชื่อฟังและความไม่พอใจซึ่งเป็นภาวะอารมณ์เชิงลบ  พวกเขาพร่ำบ่นหรือไม่?  (บ่น  พวกเขารู้สึกว่าตนเองสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาไปแล้ว บากบั่นทำงานอยู่เสมอโดยไม่ได้อะไรดีๆ ตอบแทน แต่กลับถูกปลดอยู่ดี  ดังนั้นพวกเขาจึงพูดว่า “เป็นผู้นำนั้นยาก ใครได้เป็นผู้นำล้วนโชคไม่ดี  ท้ายที่สุดทุกคนย่อมถูกปลด”)  การแพร่ความเห็นเหล่านี้ก็คือการระบายความคิดลบ  ถ้าพวกเขาเพียงไม่เชื่อฟังและไม่พอใจ แต่ไม่ได้แพร่มันออกมา นั่นยังไม่ใช่การระบายความคิดลบ  ถ้าค่อยๆ มีอารมณ์ของการพร่ำบ่นผุดขึ้นมาจากความไม่เชื่อฟังและความไม่พอใจ และพวกเขาก็ไม่ยอมรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าตนนั้นมีขีดความสามารถอ่อนด้อยและไม่สามารถทำงานดังกล่าวได้ และแล้วพวกเขาก็เริ่มโต้เถียงด้วยตรรกะที่บิดเบี้ยวของตน สร้างถ้อยแถลง มุมมอง ข้ออ้าง เหตุผล คำอธิบาย เหตุอันชอบธรรม และอื่นๆ สารพัดชนิดระหว่างที่เถียงไปด้วย เมื่อนั้นการออกความเห็นชนิดต่างๆ เหล่านี้ย่อมเป็นการระบายความคิดลบออกมา  ผู้นำเทียมเท็จบางคนเมื่อถูกปลดเพราะไม่ทำงานจริง ก็เก็บงำความไม่เชื่อฟังและความไม่พอใจเอาไว้ในหัวใจ ไม่มีความนบนอบแต่อย่างใด พวกเขาคิดตลอดเวลาว่า “มาดูกันว่าใครจะสามารถเป็นผู้นำแทนที่ฉันได้  คนอื่นไม่มีใครเก่งกว่าฉัน ถ้าฉันทำงานนี้ไม่ได้ พวกเขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน!”  สิ่งใดทำให้พวกเขาไม่เชื่อฟัง?  พวกเขาคิดว่าขีดความสามารถของตนไม่ได้อ่อนด้อย และพวกเขาก็ทำงานมาแล้วมากมาย แล้วทำไมพวกเขาจึงถูกปลด?  นี่คือสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จคิดอยู่ในใจ  พวกเขาไม่คิดทบทวนเพื่อที่จะรู้จักตนเองและดูว่าแท้จริงแล้วพวกเขาทำงานจริงบ้างหรือเปล่า พวกเขาแก้ปัญหาจริงๆ ไปกี่อย่างแล้ว หรือว่าพวกเขาทำให้งานของคริสตจักรเป็นอัมพาตจริงหรือไม่  พวกเขาแทบไม่คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้  พวกเขาไม่คิดว่าปัญหาอยู่ตรงที่พวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริงและไม่สามารถมองทะลุสิ่งต่างๆ ได้ กลับเชื่อไปว่าในเมื่อทำงานมามากมายแล้ว พวกเขาก็ไม่ควรถูกระบุว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ  นี่คือสาเหตุสำคัญที่พวกเขาไม่เชื่อฟังและไม่พอใจ  คิดอยู่เสมอว่า “ฉันทำหน้าที่ของตัวเองมานานหลายปี ลุกแต่เช้ามืดและอยู่ดึกทุกวันเพื่อใคร?  หลังจากเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง ทิ้งอาชีพการงาน ถึงขั้นเสี่ยงกับการถูกจับกุมคุมขังเพื่อที่จะทำหน้าที่ของตน  ฉันสู้ทนความยากลำบากมามากขนาดนี้!  แล้วตอนนี้พวกเขากลับมาบอกว่าฉันไม่เคยทำงานจริงและปลดฉันเสียดื้อๆ—ช่างไม่ยุติธรรม!  ต่อให้ฉันไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไร ฉันก็สู้ทนความยากลำบากมา ถ้าไม่ใช่ความยากลำบาก เช่นนั้นก็เป็นความเหนื่อยยาก!  ด้วยขีดความสามารถและศักยภาพที่จะจ่ายราคาในงานของตัวเอง ถ้าขนาดฉันยังถูกมองว่าไม่ได้มาตรฐานและถูกปลด อย่างนั้นฉันว่าแทบไม่มีผู้นำคนไหนที่ได้มาตรฐานอีกแล้ว!”  ด้วยการกล่าวคำเหล่านี้ออกมา พวกเขากำลังระบายความคิดลบมิใช่หรือ?  ในนี้มีสักประโยคหนึ่งไหมที่สื่อให้เห็นการนบนอบ?  มีแม้กระทั่งสัญญาณบอกใบ้ว่าอยากแสวงหาความจริงหรือไม่?  มีการทบทวนตนเองบ้างหรือไม่ เช่น “พวกเขาบอกว่างานของฉันไม่ได้มาตรฐาน แล้วฉันบกพร่องตรงไหนกันแน่?  งานจริงๆ ที่ฉันไม่ได้ทำคืองานไหน?  ฉันแสดงอะไรออกไปที่เป็นการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จ?”  พวกเขาทบทวนตนเองในลักษณะนี้กันบ้างหรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้น ถ้อยคำที่พวกเขากล่าวออกมามีธรรมชาติเป็นเช่นใด?  พวกเขาพร่ำบ่นอยู่ใช่หรือไม่?  พวกเขากำลังสร้างความชอบธรรมให้ตนเองใช่หรือไม่?  พวกเขาสร้างความชอบธรรมให้ตนเองเพื่อจุดประสงค์อันใด?  ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับความเห็นใจและความเข้าอกเข้าใจจากผู้คนหรอกหรือ?  พวกเขาอยากให้ผู้คนออกมาปกป้องพวกเขามากขึ้น อยากให้คร่ำครวญถึงความอยุติธรรมที่พวกเขาทนทุกข์มาตลอดมิใช่หรือ?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วพวกเขาส่งเสียงประท้วงใครอยู่?  พวกเขากำลังเถียงและส่งเสียงประท้วงพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  วาจาของพวกเขากำลังพร่ำบ่นพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า  หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความคับข้อง การไม่ยอมรับ และความเป็นกบฏ  แต่ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ด้วยการระบายความคิดลบ พวกเขายังมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้คนอีกมากเข้าใจตน เห็นใจตน และคิดลบเหมือนตน ทำให้ผู้คนอีกมากบ่มเพาะความคับข้องใจ การไม่ยอมรับ และการท้าทายพระเจ้า หรือส่งเสียงประท้วงพระองค์เหมือนตนไม่มีผิด  พวกเขาระบายความคิดลบเพื่อสัมฤทธิ์จุดประสงค์ข้อนี้มิใช่หรือ?  จุดประสงค์ของพวกเขามีเพียงการทำให้มีผู้คนรู้สิ่งที่เรียกว่าเรื่องจริงมากขึ้นและทำให้ผู้อื่นเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม สิ่งที่พวกเขาทำไปนั้นถูกต้องแล้ว พวกเขาไม่ควรถูกปลด และการปลดพวกเขาเป็นความผิดพลาด พวกเขาอยากให้มีคนออกมาปกป้องพวกเขากันมากขึ้น  หวังจะกู้หน้า สถานะ และชื่อเสียงของตนด้วยการทำเช่นนี้  ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทุกคนเมื่อถูกปลดแล้ว ก็ล้วนระบายความคิดลบเช่นนี้เพื่อให้ผู้คนเห็นใจตน  ไม่มีพวกเขาคนใดสามารถทบทวนและทำความรู้จักตนเอง ยอมรับความผิดพลาด หรือสำนึกผิดและกลับใจได้อย่างแท้จริง  ข้อเท็จจริงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทุกคนล้วนไม่รักความจริงและไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด  ดังนั้น หลังจากถูกเผยตัวและกำจัดออกไปแล้ว พวกเขาจึงไม่สามารถรู้จักตนเองผ่านทางความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาสำนึกผิดหรือรู้จักตนเองอย่างแท้จริง และไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาแสดงการกลับใจโดยแท้  ดูเหมือนพวกเขาไม่เคยรู้จักตนเองหรือยอมรับความผิดพลาดของตน  ดูจากข้อเท็จจริงนี้แล้ว การปลดผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ล้วนเหมาะควรทั้งสิ้นและไม่ได้อยุติธรรมแต่อย่างใด  ดูจากที่พวกเขาไม่มีการทบทวนและทำความรู้จักตนเองโดยสิ้นเชิง ทั้งยังไร้ซึ่งการสำนึกผิดโดยสิ้นเชิง ก็ชัดเจนว่าอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ในตัวพวกเขานั้นร้ายแรง และพวกเขาก็ไม่รักความจริงแม้แต่น้อย

ผู้นำเทียมเท็จบางคนพอถูกปลดก็ไม่ยอมรับรู้ความผิดของตนแต่อย่างใด และไม่แสวงหาความจริงหรือทบทวนและทำความรู้จักตนเอง  พวกเขาไม่มีหัวใจหรือท่าทีที่นบนอบแม้แต่น้อย  กลับเข้าใจพระเจ้าผิดและพร่ำบ่นว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรมกับพวกเขา พวกเขาเค้นสมองคิดหาข้ออ้างและเหตุผลนานามาสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและแก้ตัว  บางคนถึงกับกล่าวว่า “ฉันไม่เคยอยากเป็นผู้นำมาก่อนเพราะฉันรู้ว่าเป็นงานยาก  ถ้าทำได้ดีก็ไม่มีรางวัล และถ้าทำไม่ดีก็จะถูกปลดและเสียชื่อเสียง ถูกพี่น้องชายหญิงปฏิเสธ และเหลือหน้าตาแม้แต่น้อย  หลังจากนั้นจะมีหน้าไปพบเจอใครได้อย่างไร?  ตอนนี้เมื่อถูกปลดแล้ว ฉันก็ยิ่งปักใจเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน เป็นงานที่ยากเย็นแสนเข็ญและไม่มีใครเห็นค่า!”  ถ้อยแถลงที่ว่า “การเป็นผู้นำหรือคนทำงานคืองานที่ยากเย็นแสนเข็ญและไม่มีใครเห็นค่า” หมายความว่าอย่างไร?  ในที่นี้มีการสื่อถึงเจตนาที่จะแสวงหาความจริงบ้างหรือไม่?  นี่คือกรณีที่พวกเขาเริ่มเกลียดการที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดเตรียมให้พวกเขาเป็นผู้นำหรือคนทำงานแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็กำลังใช้ถ้อยแถลงเช่นนี้มาชักพาให้ผู้อื่นหลงผิดมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้อยแถลงนี้สามารถสร้างผลสืบเนื่องเช่นไร?  จิตใจและการคิดอ่านของผู้คนส่วนใหญ่ รวมทั้งความตระหนักรู้และความเข้าใจที่พวกเขามีในเรื่องนี้ย่อมจะถูกถ้อยคำเหล่านี้ครอบงำและรบกวน  นี่คือผลสืบเนื่องที่การระบายความคิดลบก่อให้เกิดแก่ผู้คน  ยกตัวอย่างถ้าเจ้าไม่ใช่ผู้นำและเจ้าได้ฟังเช่นนี้ เจ้าย่อมตกตะลึงพลางคิดว่า “นั่นจริงทีเดียว!  ฉันต้องไม่ให้ตัวเองถูกเลือกเป็นผู้นำ  ถ้าถูกเลือก ฉันก็จะต้องรีบหาเหตุผลและข้ออ้างสารพัดอย่างมาบอกปัด  ฉันจะบอกว่าตัวเองไม่มีขีดความสามารถและทำงานนั้นไม่ไหว”  บางคนที่เป็นผู้นำก็ได้รับผลจากถ้อยแถลงนี้เช่นกัน นึกไปว่า “น่ากลัวเสียจริง!  วันข้างหน้าฉันจะพบเจอผลลัพธ์เหมือนพวกเขาหรือไม่?  ถ้าเรื่องราวจะดำเนินไปในทางนั้น ฉันย่อมไม่ยอมเป็นผู้นำเด็ดขาด”  ภาวะอารมณ์เชิงลบที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ รวมทั้งถ้อยแถลงเชิงลบที่ไม่พึงประสงค์นี้รบกวนผู้คนหรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าก่อให้เกิดการรบกวน  ไม่ว่าจะเป็นใคร มีขีดความสามารถดีหรืออ่อนด้อยก็ตาม เมื่อพวกเขาได้ฟังคำเหล่านี้ ก็ย่อมจะรับฟังไว้ก่อนโดยไม่รู้ตัว และคำพูดเหล่านี้ก็จะยึดครองที่ทางส่วนใหญ่ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา และส่งผลต่อพวกเขาไม่มากก็น้อย  เมื่อส่งผลแล้ว ผลที่ตามมาย่อมเป็นเช่นใด?  ผู้คนส่วนใหญ่จะไม่สามารถรับมือการเป็นผู้นำและการถูกปลดจากการเป็นผู้นำได้อย่างถูกต้อง พวกเขาจะไม่มีท่าทีที่นบนอบ  แต่จะมีหัวใจที่เข้าใจผิดและระแวดระวังพระเจ้าตลอดเวลา พวกเขาจะเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบในเรื่องนี้ และเมื่อมีการเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา พวกเขาก็จะอ่อนไหวและกริ่งเกรงเป็นพิเศษ  เมื่อผู้คนแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ให้เห็น พวกเขาย่อมตกอยู่ในการทดลองและการชักพาให้หลงผิดของซาตานแล้วมิใช่หรือ?  ชัดเจนว่าพวกเขาถูกผู้คนที่ระบายความคิดลบชักพาให้หลงผิดและรบกวนไปแล้ว  เนื่องจากสิ่งที่ระบายออกมาโดยผู้คนที่ระบายความคิดลบนี้มาจากซาตานและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คน และเพราะนี่ไม่ใช่การเข้าใจความจริงหรือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกจากประสบการณ์ที่ได้จากการนบนอบสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ คนที่ได้ยินได้ฟังสิ่งเหล่านี้จึงถูกรบกวนมากน้อยต่างกันไป  ความคิดลบที่ผู้คนระบายออกมาก่อให้เกิดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์บางอย่างซึ่งทำให้ทุกคนว้าวุ่นใจ  คนที่แข็งขันในการแสวงหาความจริงย่อมจะได้รับอันตรายน้อยกว่า  ส่วนผู้อื่นที่ไม่มีการต้านทานแต่อย่างใด ย่อมอดไม่ได้ที่จะว้าวุ่นใจและได้รับอันตรายอย่างมากต่อให้พวกเขารู้ว่าคำพูดดังกล่าวผิดก็ตาม  ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสว่าอย่างไร ไม่ว่าพระองค์จะสามัคคีธรรมถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร หรือมีพระประสงค์เช่นใด พวกเขาก็ไม่สนใจทั้งสิ้น กลับจดจำคำพูดของคนที่ระบายความคิดลบนั้นแทน เตือนตัวเองอยู่เสมอว่าอย่าได้คลายความระวังระไวของตนเป็นอันขาด ราวกับว่าถ้อยแถลงเชิงลบเหล่านี้คือเกราะคุ้มกันพวกเขา เป็นโล่ให้พวกเขา  ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใด พวกเขาก็ไม่อาจปล่อยมือจากความเข้าใจผิดและความระแวดระวังของตนได้  ผู้คนที่เข้าไม่ถึงความจริงหรือพระวจนะของพระเจ้าและไม่เข้าใจความเป็นจริงความจริงนี้ ย่อมไร้ซึ่งวิจารณญาณในถ้อยแถลงเชิงลบเหล่านี้ และไม่มีการต้านทาน  ในที่สุดพวกเขาจึงลงเอยด้วยการถูกถ้อยแถลงเชิงลบเหล่านี้ตีกรอบและพันธนาการเอาไว้ ไม่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าได้อีกต่อไป  พวกเขาถูกเรื่องนี้ทำร้ายไปแล้วมิใช่หรือ?  พวกเขาถูกทำร้ายถึงขั้นใด?  พวกเขาไม่สามารถรับรู้หรือเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า แต่กลับมองว่าคำพูดเชิงลบ คำพูดที่แสดงความไม่พอใจ ความไม่เชื่อฟัง และคำพร่ำบ่นที่ผู้คนกล่าวออกมานั้นคือสิ่งที่เป็นบวก ถือเป็นคติส่วนตัวที่จะต้องรักษาไว้แนบใจ ใช้เป็นเครื่องชี้นำชีวิต ใช้ต่อต้านพระเจ้าและท้าทายพระวจนะของพระองค์  พวกเขาติดอยู่ในกับดักที่ซาตานโยงใยเอาไว้เข้าให้แล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนเหล่านี้ติดอยู่ในกับดักที่ซาตานโยงใยเอาไว้โดยไม่รู้ตัว และถูกซาตานจับตัวไว้  ไม่ว่าอย่างไร ถ้อยแถลงเชิงลบที่ผู้คนเหล่านี้กล่าวออกมาในเรื่องธรรมดาสามัญ เช่น การถูกปลดจากตำแหน่ง ก็ส่งผลต่อผู้อื่นอย่างมาก  นี่มีมูลเหตุอยู่ว่า คนที่ยอมรับถ้อยแถลงเชิงลบเหล่านี้เต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันอยู่แล้ว—มีแม้กระทั่งความเข้าใจผิดและความระแวดระวังบางอย่าง—ในเรื่องของการเป็นผู้นำ  แม้ว่าความเข้าใจผิดและความระแวดระวังเหล่านี้จะไม่ได้ก่อตัวเต็มที่ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา แต่หลังจากที่ได้ฟังถ้อยแถลงเชิงลบเหล่านี้ พวกเขาก็ยิ่งปักใจเชื่อว่าความระแวดระวังและความเข้าใจผิดที่ตนมีนั้นถูกต้อง รู้สึกว่าตนยิ่งมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าการเป็นผู้นำพาเอาความโชคร้ายมาให้อย่างมาก ไม่ค่อยมีเรื่องดีเท่าใดนัก และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ควรเป็นผู้นำหรือคนทำงาน จะได้หลีกเลี่ยงการถูกปลดและถูกปฏิเสธเพราะความผิดพลาด  พวกเขาถูกคนที่ระบายความคิดลบชักพาให้หลงผิดและครอบงำโดยสิ้นเชิงแล้วมิใช่หรือ?  แค่ถ้อยแถลงเชิงลบที่คนที่ถูกปลดพูดออกมา รวมทั้งความรู้สึกที่ไม่ยอมเชื่อฟังและไม่พอใจของคนเหล่านี้ ก็สามารถก่อให้เกิดผลกระทบและภัยต่อผู้คนได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นนี้  พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร—เป็นเรื่องร้ายแรงหรือไม่ที่ภาวะอารมณ์เชิงลบที่ผู้คนระบายออกมากลับเต็มไปด้วยบรรยากาศของความตาย?  (ร้ายแรง)  อะไรทำให้มันร้ายแรงถึงเพียงนี้?  เพราะมันตอบสนองความระแวดระวังและความเข้าใจผิดที่ผู้คนมีต่อพระเจ้าอยู่ลึกๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังสะท้อนสภาวะที่ผู้คนสงสัยและเข้าใจพระเจ้าผิด รวมทั้งท่าทีที่พวกเขามีต่อพระองค์อยู่ภายในอีกด้วย  ฉะนั้น ถ้อยแถลงที่แพร่ออกไปจากคนที่ระบายความคิดลบจึงโจมตีจุดสำคัญต่างๆ ของผู้คนโดยตรง และผู้คนก็ยอมรับไว้ทุกอย่าง ติดอยู่ในกับดักที่ซาตานโยงใยเอาไว้โดยสิ้นเชิงจนไม่อาจพาตัวเองหลุดออกมาได้  เรื่องนี้ดีหรือไม่ดี?  (ไม่ดี)  ผลสืบเนื่องของเรื่องนี้ย่อมเป็นเช่นใด?  (ทำให้ผู้คนทรยศพระเจ้า)  (ทำให้ผู้คนระแวดระวังและเข้าใจพระเจ้าผิด เอาใจออกห่างจากพระเจ้า คิดลบต่อหน้าที่ของตน และกลัวที่จะยอมรับพระบัญชาสำคัญๆ  พวกเขาพอใจที่จะทำหน้าที่ทั่วไป ดังนั้นจึงพลาดโอกาสมากมายที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อม)  ผู้คนเช่นนี้สามารถช่วยให้รอดได้หรือไม่?  (ไม่ได้)

สองพันปีก่อน เปาโลนำเสนอมุมมองไว้มากมายและเขียนจดหมายไว้หลายฉบับ  ในจดหมายเหล่านี้ เขากล่าวถึงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเอาไว้เป็นอันมาก  เนื่องจากผู้คนไร้วิจารณญาณ คนที่อ่านพระคัมภีร์ในช่วงสองพันปีมานี้จึงยอมรับความคิดและมุมมองของเปาโลกันเป็นส่วนใหญ่ พลางละเลยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า ไม่ยอมรับความจริงจากพระเจ้า  คนที่ยอมรับความคิดและมุมมองของเปาโลจะสามารถมาเบื้องหน้าพระเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขาจะยอมรับพระวจนะของพระองค์ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ถ้าพวกเขายอมรับพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ แล้วจะปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เมื่อพระเจ้าเสด็จมาถึงและยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา พวกเขาจะดูออกหรือไม่ว่าเป็นพระเจ้า?  พวกเขาจะยอมรับได้หรือไม่ว่าพระองค์คือพระเจ้าและองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา?  (ไม่ได้)  เหตุใดจึงทำไม่ได้?  หัวใจของผู้คนเต็มไปด้วยความคิดและมุมมองที่คลาดเคลื่อนของเปาโล ก่อเกิดเป็นทฤษฎีและคำกล่าวทุกชนิด  เมื่อผู้คนใช้สิ่งเหล่านี้มาประเมินพระเจ้า พระราชกิจ พระวจนะ พระอุปนิสัย และท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คน พวกเขาก็ไม่ใช่มนุษย์ที่เสื่อมทรามชนิดธรรมดาทั่วไปอีกแล้ว แต่กลับยืนคัดค้านพระเจ้า พินิจพิจารณาและวิเคราะห์พระองค์ กลายเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์  เป็นไปได้หรือไม่ที่พระเจ้าจะทรงช่วยผู้คนเช่นนี้ให้รอด?  (ไม่ได้)  ถ้าพระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด พวกเขาจะยังคงมีโอกาสได้รับความรอดหรือไม่?  การลิขิตล่วงหน้าและการคัดเลือกของพระเจ้าได้มอบโอกาสแก่ผู้คนแล้ว แต่หลังจากที่พระเจ้าทรงลิขิตล่วงหน้าและคัดเลือกแล้ว ถ้าเส้นทางที่ผู้คนเลือกเป็นเส้นทางที่เดินตามเปาโล โอกาสแห่งความรอดนี้จะยังคงมีอยู่หรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “ฉันได้รับการเลือกสรรและลิขิตไว้ล่วงหน้าจากพระเจ้า ฉันจึงอยู่ในเขตปลอดภัยแล้ว  ฉันย่อมจะได้รับการช่วยให้รอดเป็นแน่”  คำพูดเหล่านี้ฟังขึ้นหรือไม่?  ที่ว่าได้รับการเลือกสรรและลิขิตไว้ล่วงหน้าจากพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าได้กลายเป็นตัวเลือกที่จะได้รับความรอด แต่ตัวเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าไล่ตามเสาะหาได้ดีเพียงใด และเจ้าเลือกเส้นทางที่ถูกต้องหรือยัง  ใช่หรือไม่ที่ทุกตัวเลือกจะได้รับเลือกและช่วยให้รอดในท้ายที่สุด?  ไม่ใช่  ในทำนองเดียวกัน ถ้าผู้คนยอมรับความรู้สึกต่างๆ เช่น ความไม่เชื่อฟัง ความไม่พอใจ และความคับข้องใจ หรือความเห็น ความคิด และมุมมองซึ่งคนที่ระบายความคิดลบพูดออกมา และหัวใจของพวกเขาก็มีสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้เต็มไปหมด นี่ไม่ได้บ่งชี้ว่าพวกเขาเพียงเห็นด้วยบ้างเท่านั้น—นี่หมายความว่าพวกเขายอมรับสิ่งเหล่านี้ไว้หมดและอยากใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านี้  เมื่อผู้คนใช้ชีวิตตามสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ สัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้าย่อมกลับกลายเป็นเช่นไร?  ย่อมกลับกลายเป็นสัมพันธภาพของอริ  ไม่ใช่สัมพันธภาพระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ใช่สัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม และแน่นอนว่าไม่ใช่สัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับคนที่ได้รับความรอด  แต่กลายเป็นสัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับซาตาน ระหว่างพระเจ้ากับศัตรูของพระองค์  ดังนั้นการที่ผู้คนจะสามารถได้รับความรอดหรือไม่จึงกลายเป็นเครื่องหมายคำถาม เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้  ถ้อยแถลงเชิงลบซึ่งกล่าวโดยผู้คนที่ถูกปลดนั้นเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่น ความเข้าใจผิด เหตุอันชอบธรรม และคำแก้ตัว พวกเขาถึงกับพูดบางสิ่งที่ชักพาให้ผู้คนหลงผิดและดึงคนเข้าพวก  พอได้ฟังถ้อยแถลงเหล่านี้แล้ว ผู้คนก็เกิดความเข้าใจผิดและนึกระแวดระวังพระเจ้า ถึงกับพาตัวออกห่างและปฏิเสธพระองค์อยู่ในหัวใจ  ด้วยเหตุนี้ เมื่อผู้คนดังกล่าวระบายความคิดลบออกมา จึงควรควบคุมและหยุดยั้งพวกเขาทันที  การที่พวกเขาไม่สามารถยอมรับสถานการณ์ที่ตนมีประสบการณ์ด้วยจากพระเจ้า แสวงหาความจริง และนบนอบพระเจ้า ย่อมเป็นปัญหาของพวกเขาเอง ไม่ควรปล่อยให้พวกเขาส่งผลกระทบต่อผู้อื่น  ถ้าพวกเขาไม่สามารถยอมรับได้ ก็ปล่อยให้พวกเขาค่อยๆ ย่อยและแก้ไขสถานการณ์ไป  แต่ถ้าพวกเขาระบายความคิดลบ ส่งผลกระทบ และรบกวนการเข้าสู่ตามปกติของผู้อื่น ก็ต้องหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาเอาไว้ให้ทันกาล  ถ้าควบคุมไม่ได้ และพวกเขายังคงระบายความคิดลบต่อไปเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดและดึงคนมาเข้าข้างตน เช่นนั้นแล้วก็ควรเอาตัวพวกเขาออกไปทันที  ไม่ควรปล่อยให้พวกเขารบกวนชีวิตคริสตจักรต่อไป

2. ระบายความคิดลบ พลางไม่ยอมรับการตัดแต่ง

มีสถานการณ์อีกอย่างหนึ่งที่ผู้คนโน้มเอียงไปในทางที่จะระบายความคิดลบออกมาคือ เมื่อพวกเขาเผชิญการถูกตัดแต่งและไม่สามารถยอมรับบางคำที่ใช้ตัดแต่งได้ พวกเขาจะเก็บงำความไม่เชื่อฟัง ความไม่พอใจ และความคับข้องเอาไว้ในหัวใจ บางครั้งถึงกับรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม  พวกเขาเชื่อว่ามีความอยุติธรรมอยู่ “ทำไมไม่เปิดโอกาสให้ฉันอธิบายหรือชี้แจงตัวเอง?  ทำไมฉันถึงถูกตัดแต่งไม่หยุด?”  ผู้คนเหล่านี้มักจะระบายความคิดลบแบบใดออกมา?  พวกเขาหาเหตุผลมาสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและแก้ตัวอีกด้วย  แทนที่จะชำแหละ แก้ไข หรือทำอะไรชดเชยความผิดพลาดของตน พวกเขากลับหาเหตุผลมายืนยันข้อโต้แย้งของตน พูดสิ่งต่างๆ เช่น เหตุใดพวกเขาจึงทำบางสิ่งได้ไม่ดี สาเหตุเบื้องหลังเรื่องนี้ ปัจจัยและเงื่อนไขที่เกิดขึ้นจริงมีสิ่งใดบ้าง และพวกเขาไม่ได้เจตนาที่จะทำเช่นนั้นอย่างไร พวกเขาใช้ข้ออ้างเหล่านี้มาสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและแก้ตัว มาสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตนที่จะไม่ยอมรับการตัดแต่ง  ผู้คนเหล่านี้ไม่ยอมรับรู้ว่าการตัดแต่งนั้นถูกต้อง ทั้งยังนำการตัดแต่งที่เกิดขึ้นไปวิเคราะห์ร่วมกับผู้อื่นอีกมากมายหลายคน พยายามอธิบายเรื่องราวให้กระจ่างต่อหน้าทุกคน  พวกเขาถึงกับแพร่แนวคิดทำนองว่า “การตัดแต่งแบบนี้จะทำให้ผู้คนไม่มีกำลังใจทำหน้าที่ของตน  จะไม่มีใครเต็มใจทำหน้าที่อีกต่อไป  ผู้คนจะไม่รู้ว่าควรเดินหน้าต่อไปอย่างไรและจะไม่มีเส้นทางปฏิบัติ”  มีแม้กระทั่งบางคนที่ภายนอกก็สามัคคีธรรมว่าตนยอมรับการตัดแต่งอย่างไรบ้าง แต่ในความเป็นจริง พวกเขากำลังใช้สามัคคีธรรมนั้นๆ มาสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและแก้ตัว ทำให้มีผู้คนอีกมากเชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อผู้คนด้วยวิธีที่ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขาเลย แม้แต่ความผิดพลาดเล็กน้อยก็ส่งผลให้ถูกตัดแต่งได้  คนที่โน้มเอียงไปในทางที่จะระบายความคิดลบย่อมไม่เคยทบทวนตนเอง  แม้ในยามที่เผชิญการถูกตัดแต่ง พวกเขาก็ไม่คิดทบทวนว่าความผิดพลาดของตนมีธรรมชาติเป็นเช่นไรหรือว่าสาเหตุของความผิดพลาดเหล่านั้นคืออะไร  พวกเขาไม่ชำแหละปัญหาเหล่านี้ แต่กลับโต้เถียง สร้างความชอบธรรมให้ตนเอง และแก้ตัวอยู่เสมอ  บางคนถึงกับกล่าวว่า “ก่อนที่ฉันจะถูกตัดแต่ง ฉันรู้สึกว่ามีเส้นทางให้เดิน  แต่พอถูกตัดแต่งแล้ว ฉันกลับสับสน  ไม่รู้อีกต่อไปว่าควรปฏิบัติอย่างไรหรือจะเชื่อในพระเจ้าอย่างไร ไม่สามารถมองเห็นหนทางข้างหน้า”  พวกเขายังบอกผู้อื่นด้วยว่า “พวกคุณต้องระมัดระวังให้มาก อย่าให้ถูกตัดแต่ง มันเจ็บปวดมาก เหมือนการถลกหนัง  อย่าเดินตามเส้นทางที่ฉันเดินมา  ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันหลังจากที่ถูกตัดแต่งแล้ว  ฉันติดอยู่กับที่ ขยับเดินหน้าหรือถอยหลังก็ไม่ได้ ทำอะไรไปก็ไม่ถูกสักอย่าง!”  ถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  มีปัญหาอันใดหรือไม่?  (มี  พวกเขากำลังเถียงและสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง บอกว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด)  ด้วยการอ้างเหตุผลอันชอบธรรมและโต้เถียงเช่นนี้ พวกเขากำลังสื่อสารว่าอย่างไร?  (พวกเขากำลังบอกว่าพระนิเวศของพระเจ้าผิดที่ตัดแต่งผู้คน)  บางคนกล่าวว่า “ก่อนที่จะถูกตัดแต่ง ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีเส้นทางให้เดิน แต่หลังจากถูกตัดแต่ง ฉันกลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร”  เหตุใดพวกเขาจึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรหลังจากที่ถูกตัดแต่งแล้ว?  อะไรคือสาเหตุของเรื่องนี้?  (เวลาเผชิญการตัดแต่ง พวกเขาไม่ยอมรับความจริงหรือพยายามทำความรู้จักตัวเอง  กลับเก็บงำมโนคติอันหลงผิดบางอย่างเอาไว้และไม่แสวงหาความจริงมาแก้ไข  นี่ทำให้พวกเขาไม่เหลือเส้นทาง  แทนที่จะค้นหาสาเหตุภายในตัวพวกเขาเอง พวกเขากลับกล่าวอ้างในทางตรงกันข้ามว่าการถูกตัดแต่งนั่นเองที่ทำให้พวกเขาหลงทาง)  นี่คือการฟ้องกลับมิใช่หรือ?  เหมือนบอกว่า “สิ่งที่ฉันทำไปนั้นสอดคล้องกับหลักธรรม แต่การที่คุณตัดแต่งฉันทำให้เห็นได้ชัดว่าคุณไม่ปล่อยให้ฉันจัดการสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรม  แล้วในอนาคตฉันควรปฏิบัติอย่างไร?”  นี่คือความหมายของผู้คนที่กล่าวอะไรทำนองนี้ออกมา  พวกเขายอมรับการถูกตัดแต่งหรือไม่?  ยอมรับข้อเท็จจริงหรือไม่ว่าพวกเขาผิดพลาด?  (ไม่)  ถ้อยแถลงนี้แท้จริงแล้วหมายความมิใช่หรือว่าพวกเขารู้จักผลีผลามทำเรื่องไม่ดี แต่พอถูกตัดแต่งและขอให้กระทำการตามหลักธรรม พวกเขากลับสับสนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร?  (ใช่)  แล้วก่อนหน้านี้พวกเขาทำสิ่งต่างๆ อย่างไร?  เมื่อใครสักคนเผชิญการถูกตัดแต่ง นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่กระทำการตามหลักธรรมมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาบุ่มบ่ามทำเรื่องไม่ดี ไม่แสวงหาความจริง และไม่ทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมหรือกฎเกณฑ์ในพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้นจึงได้รับการตัดแต่ง  จุดประสงค์ที่ตัดแต่งก็เพื่อทำให้ผู้คนสามารถแสวงหาความจริงและกระทำการตามหลักธรรมได้ ป้องกันไม่ให้พวกเขาผลีผลามทำเรื่องไม่ดีกันอีก  อย่างไรก็ดี พอเผชิญการถูกตัดแต่ง ผู้คนเหล่านี้กลับบอกว่าพวกเขาไม่รู้อีกต่อไปว่าจะลงมือทำอย่างไรหรือปฏิบัติอย่างไร—ถ้อยคำเหล่านี้มีส่วนใดที่เป็นการรู้จักตัวเองบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะทำความรู้จักตนเองหรือแสวงหาความจริง  กลับแฝงนัยว่า “ฉันเคยทำหน้าที่ของตนได้ดีมาก แต่ตั้งแต่คุณตัดแต่งฉัน คุณทำให้ฉันรวบรวมความคิดไม่ได้และทำให้แนวทางที่ฉันใช้ทำหน้าที่กลับสับสนวุ่นวาย  ตอนนี้การคิดอ่านของฉันไม่ปกติ และฉันก็ไม่เด็ดขาดหรือไม่กล้าอย่างเคย ไม่ห้าวหาญอย่างเดิม ทั้งหมดนี้เป็นเพราะถูกตัดแต่ง  ตั้งแต่ถูกตัดแต่ง หัวใจของฉันก็มีแผลลึก  ดังนั้น ฉันต้องบอกคนอื่นให้ระวังตัวให้มากเวลาทำหน้าที่ของตน  พวกเขาต้องไม่เผยข้อเสียออกมาหรือพลั้งพลาด ถ้าพลาดขึ้นมา พวกเขาก็จะถูกตัดแต่ง จากนั้นก็จะกลายเป็นคนขลาดกลัว สูญเสียแรงขับเคลื่อนที่เคยมี  จิตวิญญาณที่กล้าแกร่งของพวกเขาจะถูกบั่นทอนเป็นอย่างมาก ความกล้าหาญและแรงปรารถนาที่จะทุ่มเทเต็มที่ในยามหนุ่มสาวก็จะหายวับไป ทำให้พวกเขากลายเป็นคนขลาดที่ว่าง่าย กลัวเกรงเงื้อมเงาของตนเอง และรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาทำไปนั้นไม่มีอะไรถูกเลย  พวกเขาจะไม่รู้สึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในหัวใจอีกต่อไป และจะรู้สึกห่างเหินจากพระองค์ไปเรื่อยๆ  แม้กระทั่งการอธิษฐานและเรียกหาพระเจ้าก็ดูจะไม่มีการตอบรับ  พวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีกำลังวังชา ไม่มีชีวิตชีวา ไม่ควรค่าที่จะได้รับความรักเหมือนเคย และจะถึงกับเริ่มดูถูกตัวเอง”  นี่ใช่คำสามัคคีธรรมจากหัวใจของคนที่ผ่านประสบการณ์มาแล้วหรือไม่?  ถ้อยคำเหล่านี้จริงแท้หรือไม่?  เป็นที่เจริญใจหรือมีประโยชน์ต่อผู้คนหรือไม่?  นี่มีแต่การบิดเบือนข้อเท็จจริงเท่านั้นมิใช่หรือ?  (ใช่ ถ้อยคำเหล่านี้ไร้สาระมาก)  พวกเขาบอกว่า “อย่าเดินตามรอยเท้าของฉันหรือใช้เส้นทางซ้ำกับที่ฉันเคยเดินมา!  ตอนนี้พวกคุณเห็นฉันประพฤติตัวดีทีเดียว แต่อันที่จริง หลังการตัดแต่งครั้งนั้น ฉันก็มีแต่ความกลัว ไม่ได้เป็นอิสระและเสรีอย่างที่เคยเป็น”  ถ้อยคำเหล่านี้มีผลอย่างไรต่อคนฟัง?  (ทำให้ผู้คนยิ่งระแวดระวังพระเจ้า เป็นเหตุให้พวกเขากระทำการอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะถูกตัดแต่ง)  ถ้อยคำเหล่านี้มีผลในทางลบแบบนี้  หลังจากที่ได้ฟังดังนี้ ผู้คนก็จะคิดไปว่า “ฉันก็ว่าอย่างนั้น!  พลั้งเผลอเล็กน้อยครั้งเดียวก็ลงท้ายด้วยการถูกตัดแต่ง—ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจป้องกันได้!  ทำไมการทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าถึงต้องยากเย็นขนาดนี้?  พูดเรื่องหลักธรรมความจริงกันตลอดเวลา—เข้มงวดจริงๆ!  แค่ใช้ชีวิตให้เรียบง่ายมั่นคงก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?  นั่นไม่ใช่ข้อเรียกร้องสูงส่งหรือความหวังที่ฟุ้งเฟ้ออะไร แต่ทำไมถึงสัมฤทธิ์ได้ยากนัก?  ฉันย่อมหวังให้ตัวเองไม่ถูกตัดแต่งเป็นแน่  ฉันเป็นคนที่กลัวง่ายมาก ปกติแล้วเวลาผู้คนถลึงตาและพูดเสียงดังใส่ฉัน หัวใจของฉันก็เริ่มเต้นแรง  ถ้าฉันเผชิญการตัดแต่งเข้าจริงๆ และคำพูดก็ดุขนาดนั้น ชำแหละข้อเท็จจริงกันแบบนั้น ฉันจะรับไหวได้อย่างไร?  นั่นจะไม่ทำให้ฉันฝันร้ายหรอกหรือ?  ทุกคนบอกว่าการตัดแต่งนั้นดี แต่ฉันมองไม่เห็นว่าดีอย่างไร  คนคนนั้นกลัวการตัดแต่งไม่ใช่หรือ?  ถ้าฉันถูกตัดแต่ง ก็ย่อมจะกลัวเหมือนกัน”  นี่คือผลที่เกิดจากคำพูดของคนที่ระบายความคิดลบมิใช่หรือ?  ผลที่เกิดขึ้นนี้เกื้อหนุนและเป็นบวกหรือว่าเป็นลบและไม่พึงประสงค์?  (เป็นลบและไม่พึงประสงค์)  ถ้อยแถลงเชิงลบเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดอันตรายใหญ่หลวงแก่คนที่เต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริง!  ดังนั้น จงบอกเราเถิดว่าคนที่ระบายความคิดลบและแพร่ความตายอยู่เนืองๆ ใช่ข้ารับใช้ของซาตานหรือไม่?  ใช่ผู้คนที่รบกวนงานของคริสตจักรหรือไม่?  (ใช่)

บางคนกระทำการตามแนวคิดของตนเองและไม่ทำตามหลักธรรม  หลังจากถูกตัดแต่ง พวกเขาก็รู้สึกว่าทั้งที่ทำงานหนักอย่างนั้นและจ่ายราคา ก็ยังถูกตัดแต่ง ดังนั้นหัวใจของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อฟัง พวกเขาไม่ยอมรับการเปิดโปงหรือการชำแหละ  เชื่อไปว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมและพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ยุติธรรมกับตน ในเรื่องที่ว่าคนมากความสามารถและมีประโยชน์อย่างพวกเขา คนที่สู้ทนความทุกข์มากมายและจ่ายราคาเสียสูงลิ่ว กลับไม่ได้รับคำสรรเสริญจากพระนิเวศของพระเจ้าและถึงกับถูกตัดแต่ง  จากความไม่เชื่อฟังของพวกเขาก็ก่อเกิดความคับข้องใจขึ้นมา และพวกเขาก็จะระบายความคิดลบของตนว่า “ตามความเห็นของฉัน ไม่มีอะไรยากไปกว่าการเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว ยากจริงๆ ที่จะได้รับพรบางอย่างและได้ชื่นชมพระคุณบ้าง  ฉันจ่ายราคาไปสูงขนาดนั้น แต่กลับถูกตัดแต่งเพราะทำเรื่องหนึ่งได้ไม่ดี  ถ้าคนอย่างฉันยังทำงานนั้นไม่ได้ แล้วคนอื่นจะทำได้อย่างไร?  พระเจ้าทรงชอบธรรมไม่ใช่หรือ?  แล้วทำไมฉันถึงไม่สามารถตระหนักรู้ความชอบธรรมของพระองค์?  เพราะอะไรความชอบธรรมของพระเจ้าถึงไม่สอดคล้องกับมโนคติของผู้คนขนาดนี้?”  พวกเขาไม่ชำแหละว่าตนทำสิ่งใดที่ขัดกับหลักธรรมลงไปหรือเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอันใดออกมา  พวกเขาไม่เพียงไม่มีความสำนึกผิดหรือความนบนอบแม้แต่น้อยเท่านั้น—แต่ยังตัดสินและต้านทานอย่างเปิดเผยอีกด้วย  หลังจากที่ได้ฟังพวกเขากล่าวถ้อยแถลงดังนั้นแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ก็เริ่มเห็นใจพวกเขาขึ้นมาบ้างและหวั่นไหวตามพวกเขาว่า “ก็จริงไม่ใช่หรือ?  พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามายี่สิบปีแล้ว แต่ยังคงเผชิญการตัดแต่งแบบนั้น  ถ้าคนที่เชื่อมายี่สิบปีอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นคนอย่างพวกเราก็ยิ่งมีหวังน้อยลงไปอีก”  พวกเขาถูกพิษเข้าแล้วมิใช่หรือ?  เมื่อมีการระบายความคิดลบ ย่อมมีการโปรยพิษ เหมือนเมล็ดพันธุ์ถูกหว่านลงไปในหัวใจของผู้คน หยั่งราก ผลิต้นอ่อน ออกดอก และออกผลอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา  กว่าผู้คนจะทันรู้ตัว ก็ถูกพิษไปแล้ว เกิดการไม่ยอมรับและคำพร่ำบ่นพระเจ้าในตัวพวกเขา  เมื่อผู้คนเหล่านั้นถูกตัดแต่ง พวกเขาจึงไม่เชื่อฟังพระเจ้าและไม่พอใจวิธีที่พระนิเวศของพระเจ้าใช้จัดการพวกเขา  แทนที่จะใช้ท่าทีที่กลับใจและสารภาพผิด พวกเขากลับโต้เถียง ให้เหตุผลอันชอบธรรม และแก้ตัว  ป่าวประกาศไปทั่วว่าตนสู้ทนความยากลำบากมามากเท่าใด ทำงานอะไรไปบ้าง ทำหน้าที่อะไรบ้างตลอดหลายปีที่เชื่อมานี้ และตอนนี้แทนที่จะได้รับรางวัล พวกเขากลับเผชิญการตัดแต่ง  พวกเขาไม่เพียงไม่สามารถตระหนักรู้ความเสื่อมทรามของตนเองและความผิดพลาดที่ทำลงไปจากการถูกตัดแต่งเท่านั้น แต่ยังแพร่แนวคิดที่ว่าวิธีการที่พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อพวกเขานั้นไม่ยุติธรรมและไม่ค่อยมีเหตุผล พวกเขาไม่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น และถ้าได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น พระเจ้าย่อมไม่ชอบธรรม  สาเหตุที่พวกเขาระบายความคิดลบเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาไม่สามารถยอมรับการตัดแต่งหรือข้อเท็จจริงที่ว่าตนผิดพลาด และยิ่งไม่ยอมรับหรือรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าตนทำให้การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงและงานของคริสตจักรมีภัย  พวกเขาเชื่อว่าตนกระทำการถูกต้องแล้ว พระนิเวศของพระเจ้าผิดเองที่ตัดแต่งพวกเขา  ด้วยการระบายความคิดลบ พวกเขาหมายที่จะบอกผู้คนว่าพระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่ยุติธรรม กล่าวคือ เมื่อใครสักคนผิดพลาด พระนิเวศของพระเจ้าก็จะใช้เรื่องนี้เล่นงานพวกเขา หยิบฉวยเรื่องนี้มาตัดแต่งพวกเขาอย่างไม่ปรานีปราศรัย ถึงขั้นที่พวกเขากลายเป็นคนว่าง่ายและนึกว่าตนเองไม่เคยทำคุณงามความดีอันใด ไม่มีใครหลงใหลได้ปลื้มในตัวพวกเขาอีกต่อไป ตัวพวกเขาเองก็ไม่เห็นว่าตนมีคุณค่า และไม่กล้าขอรางวัลจากพระเจ้าอีกแล้ว—เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระนิเวศของพระเจ้าบรรลุจุดประสงค์ของตน  จุดมุ่งหมายที่พวกเขาระบายความคิดลบเช่นนี้ก็เพื่อที่จะทำให้มีผู้คนมาแก้ต่างให้พวกเขามากขึ้น ให้ผู้คนอีกมากเข้าใจ “ความจริงของเรื่อง” และมองเห็นว่าพวกเขาสู้ทนความทุกข์มามากเพียงใดในช่วงหลายปีที่เชื่อในพระเจ้า คุณความดีที่พวกเขาทำไว้นั้นสำคัญอย่างไร พวกเขามีคุณสมบัติอย่างไร และเป็นผู้เชื่อที่เจนประสบการณ์อย่างไร  พวกเขาอยากใช้เรื่องนี้มาทำให้ผู้อื่นยืนอยู่ฝั่งพวกเขา ร่วมกันต่อต้านกฎเกณฑ์ในพระนิเวศของพระเจ้าและการตัดแต่งที่พระนิเวศของพระเจ้านำมาใช้กับพวกเขา  นี่มีธรรมชาติของการดึงคนมาเข้าพวกมิใช่หรือ?  (ใช่)  จุดหมายที่พวกเขาระบายความคิดลบในลักษณะนี้ก็เพื่อดึงคนมาเข้าข้างตนและชักพาคนเหล่านั้นให้หลงผิด พวกเขาก่อกวนงานของคริสตจักรเพื่อระบายความขุ่นเคืองของตน  เมื่อพวกเขาระบายความคิดลบของตนออกมาแล้ว ไม่ว่าจะมีผลเช่นใดต่อผู้คนในท้ายที่สุด ผลพวงและสิ่งที่ตามมาก็คือผู้คนย่อมถูกชักพาให้หลงผิด ถูกรบกวน ทั้งยังถูกทำร้าย  นี่ไม่ชวนให้เจริญใจ  กลับเป็นผลลบ

โดยทั่วไปแล้ว ที่กล่าวมานี้คือความคิดลบชนิดต่างๆ ที่ผู้คนระบายออกมาเมื่อเผชิญการตัดแต่ง  พวกเขาไม่สามารถยอมรับการถูกตัดแต่ง มีความไม่พอใจและไม่เชื่อฟังอยู่ในหัวใจ ไม่สามารถน้อมรับการตัดแต่งจากพระเจ้า  ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างแรกของพวกเขาไม่ใช่การแสวงหาความจริงในเรื่องของการตัดแต่ง ไม่ใช่การทบทวน ทำความรู้จัก และชำแหละตัวเอง ดูว่าแท้จริงแล้วตนทำสิ่งใดผิดไป การกระทำของตนสอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่ เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงตัดแต่งตน และการที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เป็นเพราะความขุ่นเคืองส่วนตัวหรือว่ายุติธรรมและมีเหตุผลแล้ว  ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างแรกของพวกเขาไม่ใช่การแสวงหาสิ่งเหล่านี้—สิ่งแรกที่พวกเขาทำกลับเป็นการพึ่งพาคุณสมบัติของตน ความยากลำบากที่เคยสู้ทนมา และการเสียสละ เพื่อที่จะต่อต้านการตัดแต่ง  เมื่อทำดังนี้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขาจึงไม่แคล้วเป็นลบและเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ไม่มีสิ่งใดที่เกื้อหนุนหรือเป็นบวก  ดังนั้นเมื่อพวกเขาสามัคคีธรรมถึงความรู้สึกและความเข้าใจของตนหลังการถูกตัดแต่ง จึงแน่นอนว่าพวกเขาย่อมระบายความคิดลบและแพร่มโนคติอันหลงผิด  ควรหยุดยั้งและควบคุมการระบายความคิดลบและการแพร่มโนคติอันหลงผิดทันที ไม่ปล่อยปละและเพิกเฉย  สิ่งที่เป็นลบเหล่านี้จะขัดขวาง รบกวน และสร้างความเสียหายให้แก่การเข้าสู่ชีวิตของแต่ละคน ไม่อาจมีบทบาทในทางที่เกื้อหนุนและเป็นบวกได้ และยิ่งไม่สามารถบันดาลใจให้ผู้คนจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี  ฉะนั้น เมื่อผู้คนดังกล่าวระบายความคิดลบ พวกเขาย่อมกำลังก่อกวนชีวิตคริสตจักรและควรถูกห้ามปราม

3. ระบายความคิดลบเมื่อความมีหน้ามีตา สถานะ และผลประโยชน์ของตนมีภัย

นอกจากระบายความคิดลบหลังการถูกปลดหรือถูกตัดแต่งแล้ว ผู้คนยังระบายความคิดลบในสถานการณ์อื่นใดอีก?  (เมื่อผลประโยชน์ของผู้คนมีอันตรายและพวกเขารู้สึกว่าทนทุกข์กับความสูญเสีย)  (บางคนทำหน้าที่ของพวกเขามานานหลายปี แต่พอล้มป่วยหรือเกิดความวิบัติขึ้นกับครอบครัวของตน พวกเขาก็กล่าวว่า “แล้วฉันได้อะไรจากการเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีอย่างนี้?”)  “วลีติดปาก” เหมือนๆ กันของคนที่มีความคิดติดลบก็คือ “แล้วฉันได้อะไร?”  มีสถานการณ์อื่นใดอีก?  (บางคนไม่เพียงไม่อาจสัมฤทธิ์ผลใดๆ ในหน้าที่ของตนเท่านั้น แต่ยังทำผิดบ่อยด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงถามว่า “ทำไมพระเจ้าประทานความรู้แจ้งแก่คนอื่น แต่ไม่ใช่ฉัน?  ทำไมพระเจ้าประทานขีดความสามารถที่ดีขนาดนั้นให้พวกเขา แต่ขีดความสามารถของฉันกลับอ่อนด้อยอย่างนี้?”  แทนที่จะคิดทบทวนปัญหาของตนเอง พวกเขากลับโยนความรับผิดชอบไปให้พระเจ้า บอกว่าพระเจ้าไม่ประทานความรู้แจ้งหรือไม่ทรงนำตน จากนั้นพวกเขาก็พร่ำบ่นพระเจ้าไปเรื่อยๆ)  พวกเขากล่าวอ้างว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม พลางถามว่าเหตุใดพระองค์จึงประทานความรู้แจ้งและพระคุณแก่ผู้อื่น แต่ไม่ใช่พวกเขา บ่นพึมพำว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่สัมฤทธิ์ผลในหน้าที่ของตน—พวกเขากำลังพร่ำบ่น  ตัวอย่างที่พวกเจ้ายกมานั้นดี  มีอีกหรือไม่?  (บางคนเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเมื่อมีการมอบหมายหน้าที่ให้พวกเขาใหม่ ตั้งคำถามว่าทำไมพวกเขาถูกโยกย้าย และระแวงว่าผู้นำและคนทำงานกำลังเพ่งเล็งพวกเขา กำลังทำให้พวกเขาลำบาก)  พวกเขารู้สึกใช่หรือไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าดูแคลนตน?  (ใช่)  บางคนที่ไม่ได้ทำงานจริงย่อมถูกปลดและกำจัดออกไป พวกเขารู้สึกว่าความมีหน้ามีตาและสถานะของตนได้รับความเสียหาย  และเพื่อที่จะพรั่งพรูความไม่พอใจออกมา พวกเขาจึงบ่นลับหลังอยู่เสมอว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามาไม่นาน ความสามารถในการทำความเข้าใจของฉันก็ไม่ดี ฉันมีขีดความสามารถอ่อนด้อย  ฉันเทียบคนอื่นไม่ติด  ถ้าพวกเขาบอกว่าฉันไม่สามารถ ฉันก็ต้องไม่สามารถ!”  ดูภายนอกเหมือนพวกเขากำลังยอมรับรู้ข้อบกพร่องของตน แต่อันที่จริงพวกเขากำลังพยายามเอาผลประโยชน์ที่สูญเสียไปกลับคืนมา บ่นไม่หยุดปาก และพูดสิ่งต่างๆ เพื่อให้ผู้คนเห็นใจและรู้สึกว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ยุติธรรม  ทันทีที่ผลประโยชน์ของพวกเขาเป็นอันตราย พวกเขาก็ลังเลและหวังอยู่เสมอว่าจะได้สิ่งที่ตนสูญเสียไปคืนมาและได้รับการชดเชย  ถ้าไม่ได้ พวกเขาก็สูญเสียความเชื่อในพระเจ้าและไม่รู้ว่าจะเชื่อในพระองค์ต่อไปได้อย่างไร พลางกล่าวอะไรทำนองว่า “ฉันเคยคิดว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ การทำหน้าที่เป็นผู้นำหรือคนทำงานในคริสตจักรย่อมจะนำพรอันยิ่งใหญ่มาให้เป็นแน่  ฉันไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกปลด ถูกกำจัดออกไป และถูกคนอื่นปฏิเสธ  ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในพระนิเวศของพระเจ้าได้!  ไม่จำเป็นว่าทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าจะต้องเป็นคนดี และไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าทำจะแสดงถึงพระเจ้าหรือความเที่ยงธรรม”  ถ้อยแถลงแบบนี้มีธรรมชาติเป็นเช่นไร?  วาจาของพวกเขาสื่อถึงการเล่นงานทั้งในทางที่โจ่งแจ้งและแฝงนัย  สื่อถึงการตัดสินและการไม่ยอมรับ  ดูภายนอกเหมือนพวกเขาเพ่งเล็งผู้นำบางคนหรือคริสตจักร แต่แท้จริงแล้วในหัวใจ พวกเขามุ่งหมายที่จะใช้วาจาเหล่านี้กับพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ รวมทั้งกฎการปกครองและกฎเกณฑ์ในพระนิเวศของพระองค์  พวกเขากำลังระบายความขุ่นเคืองของตนโดยแท้  เหตุใดพวกเขาจึงระบายความขุ่นเคืองของตนออกมา?  พวกเขารู้สึกว่าตนนั้นทนทุกข์กับความสูญเสีย พวกเขารู้สึกถึงความอยุติธรรมและความไม่พอใจอยู่ในหัวใจ และอยากร้องขอสิ่งต่างๆ อยากได้รับการชดเชย  แม้ความคิดลบที่ผู้คนเช่นนี้ระบายออกมาจะไม่ได้คุกคามคนส่วนใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ แต่วาจาหยาบช้าพวกนี้ก็เหมือนแมลงวันหรือตัวเรือดน่ารำคาญที่ก่อให้เกิดการรบกวนความรู้สึกนึกคิดของผู้คนพอสมควร  ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกสะอิดสะเอียดและรังเกียจเมื่อได้ยินวาจาเหล่านี้ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนจำพวกเดียวกับผู้คนดังกล่าว คนที่มีอุปนิสัย แก่นแท้ และความชอบเหมือนกัน เป็นคนที่เน่าในเหมือนผู้คนเหล่านั้น ถูกพวกเขารบกวนและทำให้หวั่นไหวตามกันไป  นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ยิ่งไปกว่านั้น บางคนที่ด้อยวุฒิภาวะและไม่มีวิจารณญาณย่อมถูกความเห็นเชิงลบเหล่านี้ก่อกวน และความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าก็ถูกครอบงำได้  ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้แล้วว่าแท้จริงแล้วจะเชื่อในพระเจ้าไปเพื่อสิ่งใด พวกเขาไม่ชัดเจนในความจริงเรื่องนิมิต ความสามารถของพวกเขาที่จะเข้าใจความจริงก็อ่อนด้อยเช่นกัน  เมื่อพวกเขาได้ฟังถ้อยแถลงเชิงลบเหล่านี้ พวกเขาก็มีแนวโน้มอย่างมากที่จะรับฟังเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงทนทุกข์จากอิทธิพลของถ้อยคำเหล่านี้  วาจาเหล่านี้ก็คือพิษ  สามารถวางยาพิษเหล่านี้ไว้ในหัวใจของผู้คนได้ง่าย  เมื่อใครสักคนยอมรับความเห็นเชิงลบเหล่านี้แล้ว พอพระนิเวศของพระเจ้าขอให้พวกเขาทำหน้าที่หนึ่งๆ พวกเขาย่อมตอบสนองด้วยความไม่แยแส  เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าขอความร่วมมือจากพวกเขาในกิจบางอย่าง พวกเขาก็ไม่ยินดียินร้าย  พวกเขาจะหยิบงานขึ้นมาทำก็ต่อเมื่อรู้สึกอยากทำ หาไม่แล้วพวกเขาก็จะไม่ทำ มีเหตุผลและข้ออ้างสารพัดอย่างอยู่เสมอ  ก่อนที่พวกเขาจะได้ยินได้ฟังความเห็นเชิงลบเหล่านั้น พวกเขาก็พอจะมีความจริงใจในการเชื่อในพระเจ้าอยู่บ้าง และมีอะไรที่เข้าทำนองท่าทีเชิงรุกที่เป็นบวกอยู่บ้างเวลาทำหน้าที่ของตน  แต่หลังจากที่ได้ฟังความเห็นเชิงลบเหล่านั้นแล้ว พวกเขากลับไม่แยแสมากขึ้นเรื่อยๆ และพลอยเย็นชากับพี่น้องชายหญิงของตนอีกด้วย  คอยระแวดระวังพี่น้อง  เมื่อคริสตจักรจัดแจงให้พวกเขาทำหน้าที่ พวกเขาก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่อยๆ และผลักไสครั้งแล้วครั้งเล่า แสดงให้เห็นว่านิ่งดูดายอย่างยิ่ง  ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเข้าชุมนุมตรงเวลา แต่หลังจากที่ได้ฟังความเห็นเหล่านั้นแล้ว ก็เข้าบ้างไม่เข้าบ้าง—พวกเขามาเมื่ออารมณ์ดี แต่พออารมณ์ไม่ดีก็ไม่มา  ถ้าทางบ้านเกิดเรื่องไม่ดี พวกเขาก็กังวลว่าอาจจะเกิดความวิบัติบางอย่างขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าชุมนุมมากขึ้นและอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น  ถ้าพวกเขาตื่นเต้น มีความสุข และรู้สึกตื้นตันหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็จะถึงกับถวายเงินบางส่วน  แต่เมื่อเรื่องราวในบ้านสงบลง พวกเขาก็เลิกเข้าชุมนุมอีก  พอพี่น้องชายหญิงพยายามสามัคคีธรรมกับพวกเขาโดยหวังจะให้ความเกื้อหนุน พวกเขากลับหาข้ออ้างมาปฏิเสธ และพอพี่น้องชายหญิงไปที่บ้านของพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ยอมเปิดประตูให้แม้ในยามที่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่บ้านก็ตาม  นี่เกิดอะไรขึ้น?  พวกเขาถูกความคิดเห็นเชิงลบเหล่านั้นครอบงำ—พวกเขาถูกพิษและเชื่อไปว่าผู้เชื่อในพระเจ้าล้วนพึ่งพาไม่ได้  ตอนแรกพวกเขาเชื่อใจผู้คนเหล่านี้มากทีเดียว และเมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็คิดว่า “นี่คือพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้คือพี่น้องชายหญิงของฉัน นี่คือพระนิเวศของพระเจ้า—ช่างวิเศษแท้!”  แต่หลังจากที่พวกเขาได้ฟังความเห็นเชิงลบที่บางคนเผยแพร่ พวกเขาก็เปลี่ยนไป  พวกเขาถูกครอบงำแล้วมิใช่หรือ?  การเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาได้รับความเสียหายแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ใครครอบงำพวกเขา?  ก็คือผู้คนที่ระบายความคิดลบออกมา คนที่ออกความเห็นเหล่านั้น  ถ้าใครบางคนยังไม่ได้วางรากฐานบนหนทางที่แท้จริงอย่างมั่นคงหรือยังไม่ได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าจนถึงขั้นที่พวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาก็อาจถูกสิ่งที่เป็นลบครอบงำได้ง่าย  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ไม่มีความสามารถในการเข้าใจความจริง กลับเอาแต่จับจ้องกระแสนิยม เฝ้าสังเกตสถานการณ์ และคอยดูปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ฉาบฉวย—คนเหล่านี้ยิ่งหวั่นไหวตามคำพูดเชิงลบง่ายขึ้นอีก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้ฟังผู้คนกล่าวถึงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เช่น “พระนิเวศของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องยุติธรรม และไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าทำนั้นจะเป็นบวก” พวกเขาก็ยิ่งระแวดระวังมากขึ้น  ถ้อยแถลงที่สอดคล้องกับความจริงไม่ได้เป็นที่ยอมรับทันทีเสมอไป แต่ถ้อยแถลงเชิงลบ ถ้อยแถลงที่ไร้สาระ ถ้อยแถลงที่สวนทางกับความจริง—เหล่านี้กลับหยั่งรากลงไปในหัวใจของผู้คนได้ง่ายเหลือเกิน และไม่ง่ายที่จะเอาออก  เป็นเรื่องยากมากที่ผู้คนจะยอมรับความจริง และง่ายมากที่พวกเขาจะยอมรับความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน!

บางคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่เลวร้ายย่อมให้ความสำคัญกับเกียรติยศ ชื่อเสียง ความสุขสำราญทางเนื้อหนัง รวมทั้งทรัพย์สมบัติและผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นอย่างมาก  เมื่อพวกเขาทนทุกข์กับการสูญเสียความมีหน้ามีตา สถานะ และผลประโยชน์ทางตรงของตน พวกเขาก็ไม่ยอมรับเรื่องนี้จากพระเจ้า หรือยอมรับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดวางให้ พวกเขาไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถละความสนใจจากผลได้ผลเสียส่วนตน  กลับใช้โอกาสต่างๆ มาระบายความไม่พอใจและความไม่เชื่อฟังออกมา ระบายภาวะอารมณ์เชิงลบของตน ก่อให้เกิดผลคือบางคนพลอยทนทุกข์อย่างมากไปด้วย  ฉะนั้น เมื่อผู้คนดังกล่าวระบายความคิดลบออกมา ก่อนอื่นผู้นำคริสตจักรต้องตระหนักรู้สถานการณ์ทันที หยุดยั้งและควบคุมผู้คนเหล่านั้นให้ทันกาล  แน่นอนว่าผู้นำคริสตจักรควรเปิดโปงผู้คนเหล่านั้นในเชิงรุกอีกด้วย และสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงว่าจะใช้วิจารณญาณดูคนเหล่านั้นอย่างไร เหตุใดคนเหล่านั้นจึงกล่าวสิ่งที่เป็นลบและไร้สาระเหล่านี้ออกมา รวมทั้งจะรับมือและใช้วิจารณญาณฟังถ้อยคำเหล่านี้อย่างไรจึงจะป้องกันไม่ให้ตนเองถูกชักพาให้หลงผิดและทำร้ายอย่างสาหัสได้  การสามารถใช้วิจารณญาณดูและชำแหละผู้คนดังกล่าวได้เป็นเรื่องจำเป็น ทำให้หลีกเลี่ยงและปฏิเสธพวกเขาได้ และไม่ถูกพวกเขาชักพาให้หลงผิดอีกต่อไป  นี่คืองานที่ผู้นำคริสตจักรควรทำ  แน่นอนว่าถ้าพี่น้องชายหญิงทั่วไปพบเห็นผู้คนดังกล่าวและมีวิจารณญาณมองเห็นแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา พี่น้องก็ควรอยู่ห่างจากพวกเขาเช่นกัน  ถ้าเจ้าไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะต้านทาน หรือไม่มีวุฒิภาวะที่จะเกื้อหนุน ช่วยเหลือ และเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ และเจ้ารู้สึกว่าตนเองไม่สามารถทนฟังความคิดเห็นเชิงลบและวาจาที่แสดงความไม่พอใจและความไม่เชื่อฟังของพวกเขาได้ แนวทางที่ดีที่สุดก็คืออยู่ให้ห่าง  ถ้าเจ้ารู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมาก มีวุฒิภาวะอยู่บ้าง สามารถใช้วิจารณญาณ และยังคงไม่ได้รับผลกระทบไม่ว่าใครจะพูดอะไร ไม่ว่าพวกเขาจะระบายความคิดลบที่ร้ายแรงเพียงใด ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า เจ้าสามารถใช้วิจารณญาณดูผู้คนดังกล่าวได้ สามารถเปิดโปงและหยุดยั้งพวกเขาได้อีกด้วยเวลาที่พวกเขาระบายความคิดลบ—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงหรือระแวดระวังผู้คนดังกล่าว  แต่ถ้าเจ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่มีวุฒิภาวะเช่นนั้น หนทางและหลักธรรมในการรับมือผู้คนดังกล่าวย่อมเป็นการอยู่ให้ห่างจากพวกเขา  นี่สัมฤทธิ์ได้ง่ายหรือไม่?  (ง่าย)  บางคนกล่าวว่า “ฉันอดกลั้น อดทน และอภัยให้พวกเขาได้หรือไม่?”  นั่นก็ทำได้เช่นกัน ไม่ผิด แต่ไม่ใช่การปฏิบัติที่สำคัญที่สุดหรือดีที่สุด  สมมุติว่าเจ้าอดทน อดกลั้น ปล่อยให้พวกเขาทำตามใจชอบ และท้ายที่สุดเจ้าก็ถูกพวกเขาชักพาให้หลงผิดและดึงตัวไปเป็นพวก  และสมมุติว่าไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะจัดเสบียงให้และเกื้อหนุนเจ้าอย่างไร เจ้าก็ไม่รู้สึกรู้สา หรือว่าพอเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว เจ้าก็มักจะหวั่นไหวตามความคิดและความเห็นของพวกเขา และทันทีที่เจ้านึกถึงบางสิ่งที่พวกเขาพูดเอาไว้ ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าก็พลอยได้รับผลกระทบ และเจ้าก็ไม่สามารถอ่านต่อได้  แล้วพอพี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจที่พวกเขามีต่อความจริง—โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาสามัคคีธรรมเรื่องการใช้วิจารณญาณฟังความเห็นของผู้คนดังกล่าว—เจ้าก็หวั่นไหวและได้รับผลกระทบจากคำพูดของพวกเขาอีกครั้ง ทำให้ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าระส่ำระสาย  ถ้าเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ควรอยู่ให้ห่างจากผู้คนดังกล่าว  ความอดทนอดกลั้นของเจ้าย่อมจะไร้ประสิทธิผล และไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันผู้คนเช่นนั้น  สมมุติว่าความอดทนอดกลั้นของเจ้าไม่ใช่พฤติกรรมภายนอกที่ปลอมแปลงขึ้นมา แต่แท้จริงแล้วเจ้ามีวุฒิภาวะมากพอที่จะเผชิญหน้าผู้คนดังกล่าว  ไม่ว่าพวกเขาจะพูดเช่นใด ต่อให้เจ้าไม่เอ่ยปาก เจ้าก็ยังสามารถใช้วิจารณญาณดูพวกเขาอยู่ในหัวใจได้ เจ้าสามารถใช้ความอดกลั้นและไม่สนใจพวกเขาได้ วาจาเชิงลบที่ไม่พึงประสงค์หรือคำพูดที่แสดงความเข้าใจผิดและพร่ำบ่นพระเจ้าที่พวกเขากล่าวออกมา ไม่ได้ส่งผลต่อความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้าแม้แต่น้อย และไม่ส่งผลต่อความจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของเจ้า หรือความนบนอบที่เจ้ามีต่อพระเจ้า  ในกรณีเช่นนั้น เจ้าก็อาจอดทนและอดกลั้นให้พวกเขาได้  หลักธรรมของการปฏิบัติโดยใช้ความอดทนและอดกลั้นมีว่าอย่างไร?  ไม่ได้รับอันตราย  จงเมินพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาพูดตามที่อยากพูด—ถึงอย่างไร ผู้คนเช่นนี้ก็เป็นนักสร้างปัญหาที่ไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว และเป็นคนดื้อรั้นที่ไม่มีความละอายแก่ใจ  ไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ยอมรับความจริง คนเหล่านี้จัดว่าเป็นพวกมารและเหล่าซาตาน ไร้ประโยชน์ที่จะสามัคคีธรรมกับพวกเขา  ฉะนั้น ก่อนที่พระนิเวศของพระเจ้าจะจัดการเอาตัวพวกเขาออกไป ถ้าเจ้ามีวุฒิภาวะที่จะอดทนและอดกลั้นกับพวกเขาได้โดยไม่ได้รับอันตราย นั่นย่อมดีที่สุด  พวกเจ้ามักจะใช้หลักธรรมเรื่องความอดทนอดกลั้นนี้ใช่หรือไม่?  พวกเจ้าอดทนกับผู้คนสารพัดชนิด แต่บางครั้งพวกเจ้าก็ไม่ระมัดระวังและถูกชักพาให้หลงผิดไปบ้าง ต่อจากนั้นพวกเจ้าจึงค่อยรู้ตัว รู้สึกติดค้างพระเจ้า อธิษฐานอยู่สองวัน พลิกสภาวะของตนกลับมาได้ และเจ้าก็มาใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น  โดยมากแล้วพวกเจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้คนดังกล่าวไม่มีอะไรดี และจัดว่าเป็นพวกมาร  แม้เจ้าจะสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาตามปกติ แต่ในใจเจ้ากลับออกห่างและรังเกียจพวกเขา  ไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวสิ่งใดหรือออกความเห็นและกล่าวทัศนะเชิงลบอันใด เจ้าก็ทำเป็นไม่ได้ยิน เพิกเฉย และคิดว่า “คุณอยากพูดอะไรก็พูดไปเถิด  ฉันสามารถดูคุณออก  ฉันก็แค่ไม่คบค้ากับคนอย่างคุณ”  เวลารับมือเรื่องทำนองนี้ โดยมากแล้วนี่คือหลักธรรมที่พวกเจ้าใช้ปฏิบัติกันใช่หรือไม่?  การสัมฤทธิ์เรื่องนี้ได้ก็ไม่เลวเช่นกัน นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเข้าใจความจริงบางอย่างและมีวุฒิภาวะระดับหนึ่ง  ถ้าแม้แต่วุฒิภาวะระดับนี้ เจ้าก็ไม่มี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถตั้งมั่น และจะทำหน้าที่ได้ไม่ดี

4. ระบายความคิดลบเมื่อความอยากได้พรของตนถูกทำลาย

การระบายความคิดลบมีการสำแดงอีกอย่างหนึ่ง  บางคนกล่าวว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แล้วฉันได้อะไร?”  เมื่อผู้คนเช่นนี้ระบายความคิดลบออกมา เรื่องหลักที่พวกเขาพูดก็คือ “แล้วฉันได้อะไร?”—หมายความว่าพวกเขาไม่ได้อะไรไว้เลย  พวกเขาเชื่อว่าการที่จะได้ประโยชน์หรือพรบางอย่างจากพระนิเวศของพระเจ้าหรือจากพระเจ้าขณะที่เชื่อในพระองค์นั้นยากเป็นพิเศษ และผู้คนก็ต้องถวายความรักมากมายมหาศาลและมีความอดทนอย่างยิ่ง ไม่กระตือรือร้นที่จะเห็นผลโดยเร็ว  ส่วนพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงผู้คน ตัดแต่งผู้คน ถลุงผู้คน และชำระผู้คนให้บริสุทธิ์จากความเสื่อมทรามนั้น พวกเขากลับเชื่อว่านี่เป็นเพียงการใช้วาจาที่ตื้นเขินให้ฟังดูสูงส่งและไม่อาจเชื่อใจได้เป็นอันขาด พวกเขาคิดว่าถ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็จะทนทุกข์กับการสูญเสียครั้งใหญ่เข้าจริงๆ  พวกเขาคิดไปว่าการได้ประโยชน์และความได้เปรียบ และการทำให้ความใฝ่ฝันและความปรารถนาของตนเป็นจริงคือเรื่องที่สำคัญที่สุดเสมอ ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขาปฏิบัติความจริงหรือไม่นั้นไม่สำคัญเลย—พวกเขาเชื่อว่าตราบใดที่พวกเขาไม่ทำความชั่ว นั่นก็พอแล้ว และพวกเขาจะไม่ถูกคริสตจักรกำจัดออกไป  ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟังถ้อยคำเชิงลบเหล่านี้?  พวกเขาเห็นชอบและเห็นด้วยกับถ้อยคำเหล่านี้อยู่ในใจ หรือรู้สึกเหยียดหยามถ้อยคำเหล่านี้และคิดว่าผู้คนเหล่านี้เห็นแก่ตัว น่าดูหมิ่น เลว และเล่นสกปรก และพวกเขาก็สามารถแยกแยะ เปิดโปง และควบคุมผู้คนเหล่านี้เอาไว้ได้ หยุดยั้งไม่ให้พวกเขาแพร่ความคิดลบและความตายต่อไป?  ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกสะอิดสะเอียนและกล่าวโทษวาจาเชิงลบแบบนี้ หรือว่าสามารถถูกวาจาเหล่านี้ชักพาให้หลงผิดและคิดลบได้?  บางคนหลังจากที่ได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้และเห็นว่าพวกเขาไม่ได้อะไรไว้ในมือ ก็คิดไปว่า “จริงทีเดียว!  ฉันไม่เคยได้อะไรไว้เช่นกัน  ในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันได้แค่อาหารวันละสามมื้อเท่านั้น ยุ่งอยู่ตลอดเวลา และไม่ได้อะไรอื่นเอาไว้เลยจริงๆ”  พวกเจ้ามีความคิดดังกล่าวด้วยหรือไม่?  พวกเจ้ารู้สึกแบบเดียวกันหรือไม่?  คนที่เข้าใจความจริงย่อมจะกล่าวว่า “ที่ว่าคุณไม่ได้อะไรไว้นั้นหมายความว่าอย่างไร?  พวกเราได้จากพระเจ้ามากมายนัก!  พวกเราเข้าใจความจริงกันมากมายขนาดนี้!”  แต่บางคนก็อาจจะไม่เห็นด้วยกับพวกเขา พลางกล่าวว่า “การบอกว่าพวกเราได้มา ‘มากมายนัก’ ฟังดูไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริงสักเท่าไร  พวกเราแค่ได้รับพระคุณนิดหน่อย ได้โอกาสในการทำหน้าที่ของตนบ้าง เข้าใจคำสอนบางอย่างว่าควรประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร ได้พบและรู้จักพี่น้องชายหญิงหลายคนจากที่ต่างๆ และขยายโลกทัศน์ของตนเองให้กว้างขวางออกไปมาก  นี่นับว่าได้ไว้นิดหน่อยเท่านั้น”  ในหมู่คนเหล่านี้ พวกเจ้าจัดอยู่ในจำพวกใด?  มีผู้คนทุกจำพวกตามที่กล่าวมานี้ ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  พวกเราจะเสวนาเรื่องนี้กันสองแง่มุม  แง่มุมแรก พวกเรามาคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้รับพระคุณอยู่เสมอ—พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาการได้รับความจริง พวกเขาจะได้เข้าถึงความรอดใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่ พวกเขาเชื่อเพื่อให้ได้รับพร)  ถ้าเช่นนั้นพระเจ้าประทานพระคุณ การคุ้มครอง ความเมตตา ความรู้แจ้ง และความกระจ่างแก่พวกเขาสักนิดหรือไม่?  (พระเจ้าประทานสิ่งเหล่านี้แก่พวกเขาไว้มาก)  กล่าวได้ว่าทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้า  การคุ้มครองจากพระเจ้าเป็นรูปธรรมหรือไม่?  มีตัวอย่างเรื่องนี้ในชีวิตจริงบ้างหรือไม่?  ผู้คนได้รับการคุ้มครองชนิดใดบ้าง?  (ชนิดที่มองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนก็คือหลังจากที่เชื่อในพระเจ้า พวกเราก็ไม่ถูกกระแสนิยมอันชั่วของโลกครอบงำอีกต่อไป  พวกเราไม่ตกอยู่ในความเสื่อมหรือไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเลวๆ เช่น การไปเที่ยวสถานเริงรมย์ยามค่ำคืน สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และอื่นๆ  อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ และข้าพระองค์ก็เชื่อว่าพวกเราได้รับการคุ้มครองอย่างมากในแง่นี้)  นี่คือแง่มุมที่จับต้องได้เป็นอย่างมากซึ่งผู้คนมองเห็นและมีประสบการณ์ด้วยตนเองได้  การไม่ถูกกระแสนิยมอันชั่วของโลกครอบงำและชักพาให้หลงผิด การใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ และใช้ชีวิตอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติในสภาพเสมือนมนุษย์—นี่เป็นตัวอย่างและหลักฐานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเกี่ยวกับการคุ้มครองจากพระเจ้า  มีอีกหรือไม่?  (การไม่ถูกพวกวิญญาณชั่วรบกวนและสามารถดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การคุ้มครองจากพระเจ้า)  นี่ก็เป็นตัวอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเช่นกัน  ผู้คนส่วนใหญ่มีประสบการณ์เช่นนี้หรือไม่?  พวกเจ้าสามารถเข้าใจความหมายของเรื่องนี้ได้หรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “ผู้ไม่มีความเชื่อไม่ถูกพวกวิญญาณชั่วรบกวนเช่นกัน  มีผู้ไม่มีความเชื่อสักกี่คนที่ถูกพวกวิญญาณชั่วรบกวน?”  ถ้อยแถลงนี้ถูกต้องหรือไม่?  พวกเจ้ารู้สึกว่าถ้อยแถลงนี้ตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่?  (เพื่อนร่วมชั้นเรียนของข้าพระองค์หลายคนถูกพวกวิญญาณชั่วรบกวน  บางคนมีอาการถูกผีอำ และบ้างก็ได้ยินเสียงต่างๆ  พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  พวกเขาแสวงหาหนทางรักษาไปทุกที่ แต่ก็ไม่สามารถรักษาอาการนี้ให้หายขาด ใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดกลัว ทุกข์ทรมานมาก  อย่างไรก็ดี เป็นเพราะข้าพระองค์เชื่อในพระเจ้ามาตั้งแต่เล็ก เลยไม่เคยถูกรบกวนหรือทนทุกข์ในลักษณะนี้  โดยมากแล้วหัวใจของข้าพระองค์รู้สึกค่อนข้างมั่นคงและมีสันติสุข)  ผู้เชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าย่อมไม่มีความห่วงกังวลข้อนี้  พวกเราไม่กังวลว่าจะมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทเพราะปัญหาทางจิต หรือถูกพวกวิญญาณชั่วรบกวนหรือครอบงำ พวกเราไม่กลัวเพราะพวกเรามีพระเจ้า  นอกจากนี้ในชีวิตจริง ผู้ไม่มีความเชื่อก็คุยกันอยู่เสมอถึงเรื่องการดูโหงวเฮ้ง ดูเฟิงสุ่ย และดูดวง—ในโลกตะวันตกก็มีแม้กระทั่งวิชาโหราศาสตร์  บางคนบูชาพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียง พวกวิญญาณชั่ว และรูปเคารพ บ้างก็ไม่ทำ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำหรือไม่ทำ ก็ล้วนถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำและควบคุมเอาไว้ระดับหนึ่ง  ยกตัวอย่างก่อนที่จะออกจากบ้าน พวกเขาต้องเสี่ยงทายนิดหน่อยเพื่อดูว่าทิศไหนเป็นมงคลและทิศไหนไม่เป็นมงคล  เวลาเปิดร้าน พวกเขาก็พิจารณาว่าตำแหน่งไหนวางเคาน์เตอร์แล้วเรียกเงินเข้ามาและตำแหน่งไหนไม่เรียกเงิน ควรวางสิ่งใดไว้ในร้านบ้าง ควรบูชารูปเคารพใดบ้างเพื่อดึงดูดความมั่งคั่ง และควรวางสิ่งของบางอย่างไว้ตรงไหนจึงจะไม่ขวางเฟิงสุ่ย  เวลาย้ายบ้าน พวกเขาก็ต้องระบุเวลาย้ายที่เป็นมงคลเพื่อให้แน่ใจว่าครอบครัวจะมีอนาคตที่เจริญรุ่งเรืองและไม่เกิดเคราะห์ร้าย ทั้งยังดูด้วยว่าเวลาใดบ้างที่ไม่เป็นมงคล  แม้แต่นักเรียนเวลาสอบเข้าก็ยังได้รับอิทธิพลจากความเชื่อเหล่านี้  ในวันสอบ พวกเขาย่อมหลีกเลี่ยงการพูดคำที่แฝงนัยถึงความล้มเหลว และต้องพูดคำว่า “ดีเลิศ” และ “สำเร็จ” แทน เป็นต้น  ทุกแง่มุมของชีวิต—ตั้งแต่ลูกๆ เข้าโรงเรียนไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ปกครอง หาเงิน ย้ายบ้าน หางาน รวมทั้งจัดงานสมรสให้ลูกๆ และอื่นๆ—ล้วนถูกสิ่งที่เรียกว่าเฟิงสุ่ย โชคลาภ และแนวคิดอื่นๆ ครอบงำ  และเมื่อผู้คนถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำ ก็ย่อมถูกสิ่งใดควบคุมเอาไว้?  พวกเขาถูกพวกวิญญาณชั่วควบคุมเอาไว้ เรื่องทั้งหมดนี้ถูกวิญญาณชั่วควบคุม  แล้วเหตุใดผู้คนจึงเคารพบูชาวิญญาณชั่วพวกนั้น?  เหตุใดพวกเขาจึงได้รับอิทธิพลจากสิ่งเหล่านี้?  สำหรับเรื่องธรรมดาๆ เช่น การย้ายบ้าน เหตุใดผู้คนต้องครุ่นคิดอยู่เสมอว่าเวลาใดย้ายแล้วเป็นมงคลและเวลาใดไม่เป็น ควรย้ายสิ่งใดก่อนจึงจะเป็นมงคล และสิ่งใดไม่ย้ายจึงจะเป็นมงคล?  เหตุใดพวกเขาจึงต้องคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ตลอดเวลา?  พวกเขาต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ก็เพราะถ้าไม่คิด พวกวิญญาณชั่วก็จะลงมือระรานและทรมานพวกเขา  จากเรื่องเหล่านี้ พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใด?  มวลมนุษย์ทั้งปวงใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของมารชั่วทั้งหลาย  ใครคือมารชั่ว?  มารชั่วตัวใหญ่ขึ้นมาก็คือซาตานและหมู่มาร ส่วนมารชั่วที่รองลงไปก็คือพวกวิญญาณชั่วในที่ต่างๆ พวกที่ควบคุมผู้คนเผ่าพันธุ์ต่างๆ  ชีวิตมนุษย์ถูกวิญญาณชั่วพวกนี้จำกัดและควบคุมเอาไว้ทุกด้าน  แม้ในยามสร้างบ้านเวลาวางคานหลัก ผู้คนก็ยังแขวนผ้าแดงและจุดประทัดให้มีโชคดีบางอย่าง ส่วนคนงานก่อสร้างก็ล้วนสวมเสื้อผ้าสีแดงเพื่อให้เกิดความรุ่งเรืองทางการเงิน และหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ  มีข้อกำหนดและคำกล่าวบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้โดยเฉพาะ รวมทั้งข้อห้ามด้วย และพวกเขาก็ต้องหลีกเลี่ยงข้อห้ามและทำตามคำกล่าวเหล่านี้  ตัวอย่างเช่น บางคนมักจะเผชิญความยากลำบากและสิ่งต่างๆ ก็ไม่ราบรื่นสำหรับพวกเขา—พวกเขาเสียงาน ภรรยาตีจาก และในบ้านก็ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ  พวกเขาไม่สามารถชำระหนี้ที่นำบ้านไปจำนองเอาไว้ด้วยซ้ำ และดูเหมือนไม่มีสิ่งใดถูกต้องสักอย่าง  พวกเขาไม่เคยทำสิ่งที่ไม่ดี แล้วเหตุใดจึงเกิดเรื่องเหล่านี้กับพวกเขา?  เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาก็หันไปบูชาพระเจ้าเทียมเท็จและวิญญาณชั่วทั้งหลาย หรือหาคนมาตรวจดูเฟิงสุ่ยของตนโดยด่วนเพื่อเปลี่ยนแปลงโชคเคราะห์ของตน และหลังจากทำดังนั้นแล้ว สิ่งต่างๆ ก็ค่อยๆ เริ่มดำเนินไปในทางที่ดีสำหรับพวกเขา  พวกเขาไม่เคยเชื่อเรื่องเหล่านี้มาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขากลับบูชาพระเจ้าเทียมเท็จและวิญญาณชั่วด้วยใจจริง และก่อนที่พวกเขาจะทำสิ่งใดลงไป พวกเขาก็ต้องปรึกษาด้วยการเสี่ยงทายหรือดูดวง  การใช้ชีวิตเช่นนี้เหน็ดเหนื่อยหรือไม่?  (เหน็ดเหนื่อย)  น่าเหนื่อยหน่ายเป็นที่สุด!  พวกเขาไม่สามารถดำรงชีวิตอย่างเป็นอิสระและสบายใจ หรือหนีออกจากกรอบที่คำกล่าวและกฎเกณฑ์เหล่านี้ขีดไว้ให้ แม้จะอยากทำเช่นนั้นก็ตาม  ถ้าพวกเขาไม่ทำตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ พวกวิญญาณชั่วก็จะลงมือก่อกวนพวกเขา และพวกเขาก็จะถูกวิญญาณชั่วเหล่านั้นใช้กำลังกำราบ และต้องบูชาวิญญาณชั่วเหล่านั้นทุกวันเพื่อให้ชีวิตของตนราบรื่น  อย่างไรก็ดี คนที่เชื่อในพระเจ้าย่อมไม่ถูกการเชื่อถือโชคลางจากยุคกลางหรือการทำงานของพวกวิญญาณชั่วตีกรอบเอาไว้  พวกเขาสามารถย้ายบ้านหรือไปข้างนอกได้ตามใจชอบ ไม่ต้องหลีกเลี่ยงข้อห้ามอันใด  ในจีนแผ่นดินใหญ่ พรรคคอมมิวนิสต์กดขี่และข่มเหงความเชื่อทางศาสนาอยู่เสมอ  ถ้าผู้เชื่อไม่สามารถดำรงชีวิตในสถานที่หนึ่งๆ ได้อีกต่อไป พวกเขาก็ต้องรีบย้าย—พวกเขาจำเป็นต้องเลือกวันหรือเวลาย้ายที่เป็นมงคลหรือบูชาบางสิ่งหรือไม่?  ไม่  พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็ทรงคุ้มครองพวกเขา  ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า—พวกเขาไม่ถูกสิ่งเหล่านี้พันธนาการเอาไว้  เมื่อใดที่พวกเขาอยากกินอะไรบางอย่างหรือออกนอกบ้าน พวกเขาจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องตรวจดูปฏิทินหรือดูว่าการทำเช่นนั้นละเมิดข้อห้ามหรือเปล่า?  ไม่ พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้า แล้วทุกสิ่งก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  เมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองและอธิปไตยของพระเจ้า พร้อมด้วยการคุ้มครองและการทรงนำจากพระเจ้า พวกวิญญาณชั่วและปีศาจสกปรกทั้งใหญ่เล็กย่อมถูกกันไว้นอกทาง พวกมันไม่กล้าลงมือกับคนที่เชื่อในพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ย่อมได้รับการคุ้มครองใช่หรือไม่?  พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างอิสระและสบายใจใช่หรือไม่?  (ใช่)  พระคุณนี้ยิ่งใหญ่หรือไม่?  (ยิ่งใหญ่)  ไม่ว่าเจ้าจะได้รับความจริงแล้วหรือยัง ตราบใดที่เจ้าเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง เจ้าก็คือคนที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าและคัดเลือกเอาไว้แล้ว และเมื่อเจ้ามาเบื้องหน้าพระเจ้า พระองค์ย่อมทรงคุ้มครองเจ้าเช่นนี้ เปิดโอกาสให้เจ้าได้ชื่นชมพระคุณดังกล่าว  นี่ช่างเป็นพระคุณอันไพศาล!  ความปลอดภัยในส่วนของเจ้าและการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเจ้าย่อมได้รับการปกปักรักษาให้ปลอดภัยและมั่นคง พระเจ้าทรงรับผิดชอบสิ่งเหล่านี้และคุ้มครองเอาไว้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องกังวล  โดยมากแล้วผู้คนไม่อธิษฐานหรือคิดในใจด้วยความรู้ตัวด้วยซ้ำว่า “ฉันจะอธิษฐานถึงพระเจ้า และขอให้พระเจ้าคุ้มครองฉัน  ฉันหวังให้ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดีและไม่มีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น”  เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิษฐานด้วยซ้ำ  ตราบใดที่เจ้ามีความเชื่อมั่นง่ายๆ ในหัวใจว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้า ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” พระเจ้าก็จะทรงลงมือ  ผู้คนได้ชื่นชมพระคุณอันไพศาลเช่นนี้จากพระเจ้า—นี่ใช่การได้รับนิดหน่อยหรือไม่?  (นี่เป็นการได้รับมากทีเดียว)  พระเจ้าคือองค์อธิปัตย์เพียงหนึ่งเดียวในโลก  ชีวิตของเจ้าและทุกสิ่งที่เจ้ามีล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ในพระหัตถ์ขององค์อธิปัตย์นี้ หัวใจของเจ้าย่อมรู้สึกว่ามีสันติสุข มั่นคง และสงบ และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลในเรื่องใด  ไม่ว่าเจ้าจะรู้จักพระเจ้ามากเท่าใดหรือเข้าใจความจริงกี่ข้อ เจ้าก็สามารถมั่นใจในเรื่องนี้อยู่ในหัวใจได้อย่างแน่นอน  ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ถ้าผู้เชื่อในพระเจ้ามีที่ทางในหัวใจของตนให้พระองค์และเข้าใจความจริง พวกวิญญาณชั่วย่อมไม่กล้ารบกวน สร้างความเสียหาย หรือเข้าใกล้พวกเขา  ด้วยเหตุนี้ ผู้เชื่อจึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ไม่จำเป็นเหล่านั้น  นี่เป็นพระคุณอันไพศาลเช่นนั้น—แล้วเจ้ายังจะกล่าวได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้อะไรจากการเชื่อในพระเจ้า?  นี่เจ้าไม่มีมโนธรรมมิใช่หรือ?  หากไม่มองสิ่งอื่นใด เพียงการกล่าวอ้างว่าไม่ได้รับอะไรนี้เท่านั้นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนเราไร้มโนธรรมอย่างสิ้นเชิง และพิสูจน์ว่ามโนธรรมของคนเรานั้นเลวอย่างที่สุด ส่วนที่เหลือจึงยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึง

พระเจ้าประทานความจริงและชีวิตแก่ผู้คนโดยไม่มีขีดจำกัด ประทานพระวจนะของพระองค์แก่ผู้คนโดยไม่ทรงขอสิ่งใดตอบแทน  แม้ผู้คนอาจจะรู้สึกว่าวุฒิภาวะของตนยังไม่เติบโตเต็มที่ ตนเองยังไม่เข้าใจความจริงมากนัก และไม่สามารถกล่าวสิ่งที่ตนเข้าใจอยู่น้อยนิดออกมาได้อย่างชัดแจ้ง แต่เพียงสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขานี้ ความเอ็นดูและความรักนี้—นี่ก็เป็นพระคุณอันไพศาลแล้ว!  พระเจ้าประทานสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดแก่ผู้คน ผู้คนก็ได้รับสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในโลกจากพระเจ้าแล้ว  ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกถึงเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม พระเจ้าก็ได้ประทานสิ่งเหล่านี้แก่มนุษย์แล้ว  แล้วผู้คนยังมีอะไรให้พร่ำบ่นกันอีก?  พวกเขาคู่ควรที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  คนที่พระเจ้าทรงคัดเลือกเอาไว้คือผู้คนที่มีความสุขที่สุดในโลก  เจ้าได้รับการคัดตัวและเลือกสรรจากพระเจ้า เจ้าเป็นหนึ่งในผู้คนที่มีความสุขที่สุดและโชคดีที่สุดในโลก  แล้วเจ้าพูดได้อย่างไรว่าเจ้ายังไม่ได้อะไรไว้?  เจ้ากลายเป็นหนึ่งในผู้คนที่มีความสุขที่สุดและโชคดีที่สุดเพราะพระเจ้าทรงคัดตัวและเลือกสรรเจ้าเอาไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้พวกวิญญาณชั่วและปีศาจโสมมจึงไม่กล้าเข้าใกล้เจ้า  บางคนถามว่า “นั่นหมายความว่าสถานะและอัตลักษณ์ของฉันกลายเป็นสิ่งที่มีเกียรติขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่?”  กล่าวเช่นนี้ได้หรือไม่?  ไม่ได้ เพราะทั้งหมดนี้เกิดจากความรักของพระเจ้าและการกระทำของพระเจ้า  ผู้คนได้รับไปมากมายนัก!  ในชีวิตนี้เพียงชีวิตเดียว ผู้คนก็ได้รับไปมากมายแล้ว แล้วผู้คนจะมีคุณสมบัติแม้สักนิดที่จะได้รับทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?  บางคนที่เชื่อในพระเจ้ากลับไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่อย่างใดและยังคงเอาแต่ถามว่า “ฉันได้อะไรจากการเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีบ้าง?”  เจ้าคิดคำนวณด้วยตัวเองไม่ได้หรือ?  เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าเข้าใจความจริงหรือไม่ ทำความชั่วน้อยลงไปเพียงใดแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าได้ชื่นชมพระคุณไปมากเท่าใดแล้ว  ถ้าเจ้าชัดเจนในประเด็นเหล่านี้อยู่ในหัวใจ เจ้าย่อมจะไม่กล่าวอะไรที่ไร้มโนธรรมเช่นนั้น  บางคนกล่าวด้วยว่า “พระนิเวศของพระเจ้าจัดหาอาหาร เสื้อผ้า และที่พักให้ฉันด้วย”  นี่เล็กน้อยมากมิใช่หรือเมื่อเทียบกับพระคุณและการคุ้มครองจากพระเจ้า?  นี่ไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงด้วยซ้ำไปใช่หรือไม่?  อย่างไรก็ดี คนที่มีมโนธรรมย่อมรู้สึกว่าแม้จะไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง แต่ก็ยังเป็นพระคุณส่วนหนึ่งของพระเจ้า  พระคุณของพระเจ้ามิอาจประมาณได้ พระเจ้าประทานแก่ผู้คนไปมากมายยิ่ง!  ส่วนวัตถุสิ่งของทั้งหลาย ตามมุมมองของพระเจ้า พระองค์ไม่ทรงนับสิ่งเหล่านั้นด้วยซ้ำ

สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ แง่หนึ่งก็คือการคุ้มครองผู้คน อีกแง่หนึ่งคือการนำพวกเขาไปบนเส้นทางแห่งความรอดเพื่อให้พวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอด  ผู้คนได้ชื่นชมความเอ็นดูจากพระเจ้าและความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขา พระเจ้าประทานพระคุณอันอุดมแก่พวกเขา!  นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด นั่นคือ ความจริงที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คน ซึ่งก็คือพระวจนะที่ไม่มีใครในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ไม่ว่าในยุคใด เคยได้ฟังหรือได้รับ  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงสร้างมนุษยชาติขึ้นมากี่ครั้งแล้วก็ตาม พระองค์ไม่เคยทรงพระราชกิจนี้หรือตรัสพระวจนะเหล่านี้  ความล้ำลึกทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับมนุษยชาติ สิ่งที่ผู้คนสามารถทนรับ ตระหนักรู้ และเข้าใจ—พระเจ้าได้ตรัสบอกพวกเจ้าไปหมดแล้ว  ความล้ำลึกเหล่านี้ ความจริงเหล่านี้สามารถประมาณได้หรือไม่ว่ามีจำนวนเท่าใด?  ไม่สามารถประมาณได้ ผู้คนไม่สามารถชื่นชมพระวจนะได้หมดแม้จะเกิดมามีชีวิตอีกมากมายหลายครั้งก็ตาม  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะพระวจนะทั้งหลายจากพระเจ้าคือรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของผู้คน และสามารถคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์  แท้จริงแล้วถ้าเจ้าโชคดีพอที่จะอยู่รอดและมีชีวิตนิรันดร์ พระวจนะและความจริงทั้งหลายจากพระเจ้าย่อมสามารถเป็นเสบียงให้เจ้าได้ตลอดนิรันดร์กาล  นิรันดร์กาลหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าไม่มีการจำกัดเวลา หมายความว่าไม่มีขอบเขต  ถ้าพวกเราตีความตามตัวอักษร ก็หมายความว่าไม่มีที่สิ้นสุด—มีชีวิตไปชั่วนิรันดร์ดุจดังพระเจ้าพระองค์เองโดยแท้  พระวจนะและความจริงทั้งหลายจากพระเจ้าสามารถดำรงอยู่ไปจนถึงเวลานั้น  “เวลานั้น” ก็คือแนวคิดและคำจำกัดความของกาลเวลาที่แสดงออกมาเป็นภาษามนุษย์ แต่แท้จริงแล้วหมายถึงไม่มีกำหนด  จงบอกเราเถิดว่าคุณค่าของพระวจนะจากพระเจ้านี้ยิ่งใหญ่หรือไม่?  ยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ!  ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหามา เช่นนั้นก็เป็นความสูญเสียของเจ้า เจ้าเขลาเอง  แต่ถ้าเจ้าไล่ตามเสาะหามา พระวจนะเหล่านี้ก็จะมีคุณค่าสำหรับเจ้าพ้นชีวิตนี้ไปอีกไกลทีเดียว ยืดยาวออกไปชั่วนิรันดร์  พระวจนะจะมีประสิทธิผลและเป็นประโยชน์แก่เจ้าตลอดไป จะมีคุณค่าและความหมายตลอดกาล มอบเสบียงแก่เจ้านิรันดร  ถ้าเจ้าเข้าใจพระวจนะเหล่านี้ รับเอาไว้ และใช้ชีวิตตามพระวจนะ เจ้าก็จะสามารถดำรงชีวิตชั่วนิรันดร์  กล่าวให้ง่ายขึ้นก็คือ เจ้าจะมีชีวิตตลอดไปโดยไม่ต้องลิ้มรสความตาย  นี่คือสิ่งที่ผู้คนฝันถึงมิใช่หรือ?  ยุคสมัยย่อมจะผ่านพ้นไปนับไม่ถ้วน ผู้คนย่อมจะตายไปนับไม่ถ้วน แต่เจ้าจะยังคงมีชีวิตอยู่  เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?  ด้วยพระวจนะของพระเจ้า ด้วยความจริง เจ้าย่อมจะมีคุณสมบัติที่จะดำรงชีวิตไปเรื่อยๆ เช่นนี้  เจ้าจะทำเช่นไรกับชีวิตที่ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ นี้?  เจ้ามีพระบัญชาจากพระเจ้า มีการนำจากพระเจ้า และเจ้าก็มีภารกิจอีกด้วย  ภารกิจของเจ้าคืออะไร?  เพราะเจ้าใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ พระเจ้าจึงทรงต้องการให้เจ้าถวายพระสิริและเป็นคำพยานให้พระองค์  นี่คือคุณค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้า  คุณค่าและนัยสำคัญของความจริงและพระวจนะที่ผู้คนได้ฟัง ได้สัมผัส และมีประสบการณ์ในยุคนี้ ย่อมจะดำรงอยู่ไปนิรันดร์กาล  เหตุใดจึงจะดำรงอยู่ไปนิรันดร์กาล?  พระวจนะทั้งหลายของพระเจ้าไม่ใช่ศาสนศาสตร์ ทฤษฎี คำโฆษณาชวนเชื่อ หรือความรู้อย่างหนึ่ง แต่เป็นพระวจนะแห่งชีวิต  ตราบใดที่เจ้ารับพระวจนะเหล่านี้เอาไว้ ใช้ชีวิตตามพระวจนะ และอยู่รอดด้วยพระวจนะ พระเจ้าก็จะทรงอนุญาตให้เจ้าดำรงชีวิตต่อไปเรื่อยๆ ไม่ทรงให้เจ้าตาย  กล่าวคือ พระองค์จะไม่ทรงทำลายเจ้าหรือเอาชีวิตของเจ้า—พระองค์จะทรงปล่อยให้เจ้ามีชีวิตต่อไปเรื่อยๆ  นี่คือพรอันยิ่งใหญ่มิใช่หรือ?  (ใช่ เป็นพรอันยิ่งใหญ่)  พระเจ้าทรงต้องการให้เจ้าได้ชิมลางพรนี้ผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ในชีวิตนี้ไปก่อน แล้วจึงได้รับพรในโลกที่จะมาถึง  นี่คือสัญญาจากพระเจ้า  เมื่อคำนึงว่าพระเจ้าได้ประทานสัญญาอันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้แก่มนุษยชาติ ผู้คนย่อมได้รับไปมากแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับมนุษยชาติอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทำให้เป็นที่รู้กันทั่ว  พระองค์ตรัสบอกเรื่องนี้แก่เจ้า เปิดโอกาสให้เจ้ามารับไปโดยเสรี  เจ้าไม่จำเป็นต้องพลีอุทิศชีวิตหรือส่งมอบทรัพย์สินทั้งหมดที่มี เจ้าเพียงต้องฟังพระวจนะของพระเจ้า กระทำการตามข้อกำหนดและพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น แล้วเจ้าก็จะสามารถได้รับสัญญาข้อนี้จากพระเจ้า  พระเจ้าประทานแก่มนุษยชาติไปมากแล้วมิใช่หรือ?  ตอนนี้เจ้าอยู่บนเส้นทางของการได้รับสัญญาข้อนี้ กล่าวคือ แม้เจ้าจะยังไม่ได้รับอย่างเต็มที่ แต่เจ้าก็ได้รับไว้บ้างแล้วใช่หรือไม่?  เมื่อมองดูสัญญาที่พระเจ้าได้ประทานแก่มนุษยชาติ ผู้คนย่อมได้รับไปมากทีเดียว  พวกเขามีความได้เปรียบอย่างมาก ไม่ได้เสียเปรียบหรือทนทุกข์กับความสูญเสียใดๆ เลย  พวกเขาเพียงแต่ทุ่มเทเวลาบ้าง และเนื้อหนังของพวกเขาก็อาจจะสู้ทนงานที่ตรากตรำบ้าง  พวกเขาอาจพลีอุทิศความผาสุกส่วนตัวบางอย่างในบ้าน ความชอบและความอยากได้อยากมีของเนื้อหนังส่วนตัว ทิ้งความใฝ่ฝัน ผลประโยชน์ และความปรารถนาบางอย่างของตนเอง และอื่นๆ ไปบ้าง  อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับการเข้าใจความจริง เข้าถึงความรอด และได้รับสัญญาจากพระเจ้าแล้ว ความสำเร็จในอนาคต จุดหมาย และความใฝ่ฝันส่วนตัวทั้งหมดนั้นกลับไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง เพราะทั้งหมดนั้นได้แต่พาเจ้าลงนรกเท่านั้น และพระเจ้าก็จะไม่ทรงสัญญาสิ่งเหล่านั้นแก่เจ้า  ในทางตรงกันข้าม เมื่อผู้คนทุ่มเทเวลาสักระยะหนึ่ง เต็มใจและสามารถจ่ายราคาหนึ่งๆ ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาย่อมมาเข้าใจความจริง และตระหนักรู้ความล้ำลึกบางอย่าง หลักธรรมของการประพฤติปฏิบัติตน แก่นแท้และมูลเหตุบางอย่างของเหตุการณ์และเรื่องราวทั้งปวง และอื่นๆ ที่มนุษยชาติไม่เคยเข้าใจนับแต่พระเจ้าทรงสร้างโลก  ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือพวกเขาพอจะรู้จักพระเจ้าขึ้นมาบ้างและสามารถยำเกรงพระองค์  การได้รับทั้งหมดนี้ย่อมคู่ควรแก่การจ่ายราคาเช่นนี้แล้วมิใช่หรือ?  แล้วผู้คนมีความคับข้องใจอันใด?  เหตุใดพวกเขาจึงกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้อะไรจากการเชื่อในพระเจ้า?  มโนธรรมของพวกเขาผุพังไปหมดแล้วหรือไร?  เจ้าได้รับไปมากมายนัก และเจ้าก็ยังคงไม่พอใจ  เจ้าต้องการสิ่งใดอีก?  ถ้าให้เจ้าเป็นประธานาธิบดีหรือมหาเศรษฐีพันล้าน เจ้าจึงจะพอใจใช่หรือไม่?  ถ้าพระเจ้าประทานสิ่งเหล่านั้นแก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่ใช่คนของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงต้องการที่จะได้ผู้คนเช่นนี้ไว้

ผู้คนกล่าวเสมอว่าพวกเขาไม่ได้อะไรจากการเชื่อในพระเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีมโนธรรม ไร้ความสามารถที่จะเข้าใจความจริง ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และมีลักษณะนิสัยที่ต่ำต้อยเป็นพิเศษ  ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความเข้าใจอันถ่องแท้ในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คน และอื่นๆ  ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ที่ทำให้พวกเขาไม่พอใจนิดหนึ่ง ความโมโหที่พวกเขาเก็บกดไว้มากมายจึงระเบิดออกมาทันใดว่า “ฉันได้อะไรจากการเชื่อในพระเจ้า?  เนื้อหนังของฉันทนทุกข์มามากมาย  ไม่ว่าคริสตจักรจะมอบหมายหน้าที่อะไรมาให้ ฉันก็ทำไปแล้ว  ไม่ว่าจะหนักหรือเหน็ดเหนื่อยอย่างไร ฉันก็ไม่เคยบ่น ไม่ว่าจะยากเย็นขนาดไหน ฉันก็ไม่เคยพูดอะไร  ฉันไม่เคยเรียกร้องอะไรจากพระนิเวศของพระเจ้า  แล้วฉันได้อะไรจากความรักอันยิ่งใหญ่และความภักดีที่ฉันมีอยู่มากมาย?  ถ้าขนาดฉันยังไม่ได้อะไร คนอื่นก็ยิ่งมีหวังน้อยลงไปอีกที่จะได้อะไรไว้!”  ความนัยก็คือ “พวกคุณไม่ได้ถวายมากเท่าฉัน ไม่เคยจ่ายราคาอย่างฉัน ถ้าขนาดฉันยังไม่ได้อะไร แล้วพวกคุณจะสามารถได้อะไรไว้?  พวกคุณทุกคนต้องระวัง อย่าโง่เขลา!”  ผู้คนแบบนี้ไร้มโนธรรมมิใช่หรือ?  คนที่ไม่มีมโนธรรมย่อมกล่าวคำที่หัวรั้นและเบาปัญญาอยู่เสมอ  พวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริงทั้งปวงที่พระเจ้าตรัสไว้มากมาย หรือถ้อยแถลงและสิ่งที่บริสุทธิ์และเป็นบวกทั้งปวงที่มีอยู่มากมายนั้นได้แม้แต่อย่างเดียว กลับยึดมั่นในมุมมองของตนเองอย่างดื้อรั้นว่า “ฉันสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาเพื่อพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าก็ต้องให้พรฉัน และต้องยอมให้ฉันได้รับมากกว่าคนอื่น  ไม่เช่นนั้นฉันจะระบาย ฉันจะระเบิด ฉันจะสบถออกมาดังๆ!  ไม่ว่าฉันจะต้องการสิ่งใด พระเจ้าต้องประทานให้ฉัน และถ้าฉันไม่ได้ เช่นนั้นพระเจ้าก็ไม่ชอบธรรม และฉันจะพูดว่าฉันไม่เคยได้อะไรไว้—นี่คือการพูดความจริงให้ชัดเจน!”  พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์เลยมิใช่หรือ?  คำของคนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ย่อมไม่อาจตั้งมั่นได้เป็นแน่ และยิ่งไม่อาจสอดคล้องกับความจริงได้ เรื่องหลังนี้ออกจะขอจากพวกเขามากไปหน่อย  คำที่คนเราพูดออกมาต้องเป็นคำขอที่เป็นไปโดยชอบ ถ้อยแถลงที่เป็นไปโดยชอบ ไม่ใช่ข้อโต้แย้งที่บิดเบี้ยว คำคนต้องตั้งมั่นได้ไม่ว่าคนฟังหรือคนประเมินคำเหล่านั้นจะเป็นใครก็ตาม  อย่างไรก็ดี คำพูดและการกระทำของผู้คนที่ด้อยความเป็นมนุษย์ย่อมไม่สามารถตั้งมั่น  เมื่อพวกเขาตีโพยตีพายและระบายความคับข้องใจออกมา บางคนย่อมคิดว่า “ทำไมพวกเขาถึงบอกว่าไม่เคยได้อะไร?  จะว่าไป เป็นไปได้หรือที่พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่เป็นธรรมกับพวกเขา?  ใช่หรือที่พระนิเวศของพระเจ้ามีการกระทำบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามหลักธรรมและไม่สามารถเปิดเผยได้?  คนคนนั้นดูเหมือนจะสามารถสู้ทนความยากลำบากได้มากและจ่ายราคาเป็นปกติ แต่วันนี้พวกเขาระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรงขนาดนั้น บอกว่าตัวเองไม่เคยได้อะไร ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่เคยได้อะไรไว้จริงๆ  นี่เป็นการยั่วโมโหคนที่ประพฤติดีไม่ใช่หรือ?  จากนี้ไปฉันควรระวังเอาไว้ ไม่ควรสู้ทนความยากลำบากขนาดนั้นหรือจ่ายราคาแบบที่เคยทำมาเวลาทำหน้าที่ของตนเอง!”  บางคนที่เลอะเลือนและไร้วิจารณญาณย่อมถูกครอบงำในลักษณะนี้

สำหรับผู้คนที่มักจะระบายความคิดลบออกมา ถ้าพวกเขามีมุมมองหรือแนวคิดที่อยากกล่าวออกมาจริง ก็ปล่อยให้พวกเขาพูดและเปิดโปงทัศนะของตนออกมาก่อน  หลังจากที่พวกเขาทำดังนั้นแล้ว ทุกคนก็จะเข้าใจว่า “พวกเขารู้สึกว่าราคาที่ตนจ่ายไปนั้นไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ตนได้มา  พวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่ได้ประโยชน์อะไรและทนทุกข์กับการสูญเสียมาโดยตลอด ดังนั้นจึงรู้สึกไม่เต็มใจมากขึ้นเรื่อยๆ  พร่ำบ่นพระเจ้า หวังที่จะต่อรองกับพระเจ้า เรียกร้องพระคุณและผลประโยชน์!”  คนทั่วไปเมื่อได้ฟังพวกเขาพูด จะสามารถใช้วิจารณญาณดูคนเช่นนี้ได้หรือไม่?  เมื่อทุกคนสามารถดูพวกเขาออก จงกล่าวแก่คนคนนั้นว่า “คุณพูดจบหรือยัง?  ถ้าคุณไม่มีอะไรจะพูดอีก อย่างนั้นก็เงียบเสีย ไม่เช่นนั้นคุณก็จะทำให้ตัวเองขายหน้า  ถ้าธรรมชาติอันเลวของคุณถูกเปิดโปงต่อหน้าทุกคนและยั้งไว้ไม่ทัน ก็จะยั่วยุให้คนส่วนใหญ่โกรธแค้นได้  เมื่อทุกคนเปิดโปงและปฏิเสธคุณ ก็สายเกินไปที่จะเสียใจ”  จงตักเตือนพวกเขาเช่นนี้ และเมื่อทำดังนี้ เจ้าย่อมจะควบคุมพวกเขาเอาไว้แล้ว  หรือเจ้าอาจกล่าวได้เช่นกันว่า “ถ้าคุณรู้สึกว่าพลาดท่าเสียที คุณก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อในพระเจ้า  คุณรู้สึกว่าตัวคุณไม่ได้อะไรไว้ แล้วอันที่จริงคุณอยากได้อะไร?  ถ้าอยากมีโชคลาภ กลายเป็นคนที่มั่งคั่ง หรือดำรงตำแหน่งสูงๆ อย่างนั้นก็เสียใจด้วย แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนเราจะสามารถได้มาเพียงเพราะอยากได้เท่านั้น นี่เป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้  การทรงปรากฏของพระเจ้าและพระราชกิจช่วยมนุษย์ให้รอดของพระองค์ไม่ใช่การประทานสิ่งเหล่านี้แก่ผู้คน  ไปที่ที่คุณสามารถได้สิ่งเหล่านี้เถิด พระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่โลกภายนอก ไม่สามารถตอบสนองหมู่มารและเหล่าซาตานได้  คุณไม่ควรเรียกร้องเรื่องดังกล่าวจากพระนิเวศของพระเจ้า หรือจากพี่น้องชายหญิง ถ้าคุณกล้าขอสิ่งเหล่านี้จากพระเจ้า เช่นนั้นคุณก็จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์และยั่วยุให้พระองค์กริ้ว  นี่เป็นเพราะพระเจ้าประทานพระคุณแก่ผู้คนอย่างล้นเหลือ และพระองค์ก็ยิ่งประทานความจริงแก่ผู้คนมากกว่านั้นอีกเพื่อให้เป็นชีวิตของพวกเขา  การที่คุณไม่มองว่าการได้รับความจริงนี้ล้ำค่าย่อมเป็นความเบาปัญญาและไม่รู้ความของคุณเอง”  ทุกคนติเตียนและตัดแต่งพวกเขากันเช่นนี้  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับการปฏิบัติเช่นนี้?  หรือเจ้าอาจกล่าวได้ว่า “พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ติดค้างอะไรคุณ  สิ่งที่คุณสละเพื่อพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ของคุณล้วนเป็นความสมัครใจ  คุณรู้หรือไม่ว่าคุณได้ชื่นชมพระคุณจากพระเจ้าไปมากเท่าใดแล้วตั้งแต่คุณเริ่มเชื่อในพระองค์และเริ่มทำหน้าที่?  ถ้าคุณพอจะมีมโนธรรมอยู่บ้าง คุณก็ไม่ควรบอกพระเจ้าว่าคุณไม่เคยได้อะไร คุณควรมาเบื้องหน้าพระเจ้าและตระหนักรู้ปัญหาของคุณเอง  ถ้าคุณเชื่อโดยแท้ว่าพระเจ้าคือความจริง ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำคือความจริง และพระวจนะของพระองค์ก็คือความจริง คุณก็ไม่ควรพูดเช่นนั้น คุณไม่ควรบ่น  ท่าทีของคุณในตอนนี้ไม่ใช่ท่าทีซึ่งคนที่เชื่อในพระเจ้าควรมี และไม่ใช่ท่าทีซึ่งคนที่กำลังแสวงหาความจริงควรมี  คุณกำลังพยายามก่อกบฏ พยายามรื้อฟื้นปัญหาเดิมๆ ที่คุณมีกับพระเจ้าขึ้นมา!  คุณกำลังพยายามแยกตัวจากพระเจ้า สะสางเรื่องราวเป็นครั้งสุดท้าย!  แต่พระเจ้าไม่ได้ติดค้างคุณ พระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ได้ติดค้างเช่นกัน  ถ้าคุณจะสะสางเรื่องราวกับพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นก็รีบออกจากพระนิเวศของพระองค์ไปเถิด  อย่ามารังควานพระนิเวศของพระเจ้า ไม่เช่นนั้นคุณก็จะยั่วยุให้พระองค์พิโรธ และพระองค์ก็จะทรงซัดโทษใส่คุณ  นั่นย่อมจะไม่ใช่ผลดีเท่าใดนัก  ถ้าคุณมีมโนธรรมหรือเหตุผลอยู่บ้าง คุณก็ควรสงบใจมาอธิษฐานและแสวงหา ดูว่ามุมมองเบื้องหลังการไล่ตามเสาะหาในการที่คุณเชื่อในพระเจ้านั้นมีอะไรผิดพลาดหรือไม่ และเส้นทางที่คุณเดินอยู่ใช่เส้นทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้คุณเดินหรือไม่  คุณมีข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผลกับพระเจ้ามากมายเหลือเกิน มีความขุ่นเคืองมากมายขนาดนั้น นี่บ่งชี้ว่าการไล่ตามเสาะหาของคุณมีบางสิ่งผิดพลาด  ความขุ่นเคืองลึกๆ เช่นนี้ในตัวคุณไม่ได้ก่อตัวขึ้นมาในเวลาเพียงวันสองวัน นี่ก่อตัวมานานแล้ว  หรือบางทีคุณอาจจะมาเบื้องหน้าพระเจ้าด้วยมุมมองที่ผิดอยู่ในใจตั้งแต่คุณเริ่มเชื่อในพระองค์แล้ว และไม่ว่าพระองค์จะตรัสอะไร คุณก็ด้านชามาตลอด ผลก็คือคุณไม่รู้สึกผิดหรือรู้สึกว่าติดค้างเลย  บางทีนั่นอาจจะพาให้สิ่งต่างๆ กลายมาเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้  คุณควรรีบสารภาพและกลับใจเสีย ยังมีเวลาให้กลับใจ  ถ้าคุณไม่กลับใจ ทำความชั่วและระบายความคิดลบต่อไปเรื่อยๆ คุณก็จะกลายเป็นมาร เป็นศัตรูของพระคริสต์  เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าเอาตัวคุณออกไป คุณก็จะไม่มีโอกาสได้รับการช่วยให้รอดอีกแล้ว—สิ่งที่ถูกพระนิเวศของพระเจ้ากล่าวโทษย่อมถูกพระเจ้ากล่าวโทษเช่นกัน  พวกเราเตือนคุณเช่นนี้เพราะคำนึงว่าคุณสามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคามาตลอดระยะเวลาหลายปีที่คุณเชื่อในพระเจ้า  พวกเรากำลังให้โอกาสคุณ  ถ้าคุณยืนกรานที่จะเดินไปตามทางของคุณเอง ไม่ยอมฟังคำแนะนำ และพระนิเวศของพระเจ้าก็ตัดสินใจเอาตัวคุณออกไป เช่นนั้นคุณก็จะไม่ใช่พี่น้องชายหญิงอีกแล้ว  ความหวังที่คุณจะได้รับการช่วยให้รอดย่อมเป็นศูนย์  ถึงเวลานั้นคุณจะไม่ได้อะไรไว้จริงๆ  เมื่อนั้นก็อย่าเสียใจแล้วกัน  สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณในตอนนี้คือเปลี่ยนความคิด มุมมอง และทิศทางการไล่ตามเสาะหาของคุณให้ถูกต้อง  อย่าเอาแต่เสาะแสวงอยู่เสมอที่จะได้อะไรไว้อีกต่อไป  ฟังพระวจนะของพระเจ้าเถิด ดูว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดโปงเกี่ยวกับอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คนนั้น คุณสามารถคิดทบทวนและทำความรู้จักได้มากเพียงใดภายในตัวคุณเอง  ปัญหาที่คุณสามารถระบุออกมาภายในตัวคุณเอง ปัญหาที่คุณสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนนี้ คุณแก้ไขหรือยัง?  คุณตระหนักรู้หรือยังว่าคุณกบฏต่อพระเจ้า?  คุณแก้ไขเรื่องนี้หรือยัง?  ปัญหาใหญ่ที่สุดที่คุณเผชิญอยู่ตอนนี้ก็คือการอยากสะสางเรื่องราวกับพระเจ้าอยู่เสมอ—ปัญหานี้เป็นเช่นไร?  นี่คือปัญหาที่จำเป็นต้องแก้ไขไม่ใช่หรือ?  คุณเชื่อในพระเจ้าโดยมีเจตนาบางอย่างอยู่เสมอ มีธุรกรรมแลกเปลี่ยนอยู่ในใจ คุณกระตือรือร้นตลอดเวลาที่จะได้พร หวังจะเอาความพยายาม การสละ และความทุกข์ทางเนื้อหนังมาแลกเป็นพรจากราชอาณาจักรสวรรค์—นี่เป็นตรรกะของโจรไม่ใช่หรือ?  ทำไมคุณไม่ดูว่าพระเจ้าประทานพรแก่ผู้คนประเภทใดบ้าง พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดแก่ผู้คนว่าอย่างไรบ้าง พระเจ้าตรัสแก่ผู้คนว่าอย่างไร และผู้คนจำเป็นต้องสัมฤทธิ์อะไรจึงจะได้รับสัญญาจากพระเจ้า?  ถ้าคุณเชื่อในพระเจ้าจริงและอยากได้รับการช่วยให้รอดจริง เช่นนั้นก็อย่าพยายามอยู่เสมอที่จะได้อะไรจากพระเจ้า  คุณต้องดูว่าตัวคุณปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าไปมากเท่าใดแล้ว คุณเป็นคนที่ทำตามพระวจนะของพระเจ้าหรือเปล่า  การทำตามพระวจนะของพระเจ้าก็คือการปฏิบัติและดำรงชีวิตตามข้อกำหนดของพระเจ้าและตามหลักธรรมความจริง ไม่ใช่แค่ทนทุกข์ทางกายนิดหน่อยและจ่ายราคาเล็กน้อยเท่านั้น  อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของคุณยังไม่ได้รับการแก้ไข ทุกราคาที่คุณจ่ายไปและทุกความยากลำบากที่คุณก้าวผ่านล้วนมีเจตนาแฝงอยู่  พระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบในเรื่องนี้ พระองค์ไม่ทรงต้องการราคาแบบนี้  ถ้าคุณยืนกรานที่จะสะสางเรื่องราวกับพระเจ้าให้ได้ ถ้าคุณดึงดันที่จะโต้เถียงและขับเคี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นคุณก็กำลังล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระองค์ก็จะทรงปล่อยคุณไปตามทางของคุณเอง ให้ลงไปรับโทษในนรก  นี่คือโทษทัณฑ์ของการทำชั่ว  คุณได้ชื่นชมพรและพระคุณจากพระเจ้าไปมากมาย พระองค์ได้ทรงดูแลคุณทางด้านวัตถุบางอย่างเป็นพิเศษ  คุณได้รับสิ่งที่คุณควรมีไปแล้ว—คุณอยากได้อะไรจากพระเจ้าอีก?”  ถ้าเจ้าสามัคคีธรรมตามคำเหล่านี้ เมื่อได้ฟัง อารมณ์พร่ำบ่นของคนที่พอจะมีมโนธรรมและเหตุผลก็ย่อมจะลดลงบ้างมิใช่หรือ?  นี่คือถ้อยคำที่มาจากความเข้าใจอันถ่องแท้และสอดคล้องกับความจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  ถ้าคนคนหนึ่งมีความเป็นมนุษย์และเหตุผล พวกเขาย่อมจะเข้าใจและยอมรับถ้อยคำเหล่านี้ได้  เฉพาะคนที่ไร้ความเป็นมนุษย์ คนที่ไร้มโนธรรมและเหตุผลเท่านั้นที่จะคิดว่าถ้อยคำเหล่านี้กำลังพยายามล่อให้ตนหลงกล เป็นวาทกรรมที่ฟังดูสูงส่ง ไม่มีค่าควรเชื่อ และไม่มีประโยชน์ที่จับต้องได้อย่างพระคุณที่มองเห็นได้หรือพรทางวัตถุ  ดังนั้น ก่อนที่พวกเขาจะมองเห็นผลประโยชน์ที่จับต้องได้เหล่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะกล่าวสิ่งใดก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาจะไม่ยอมรับ  พวกเขาอาจจะไม่คัดค้านต่อหน้าเจ้า แต่ลับหลังในหัวใจย่อมจะยังคงไม่ยอมรับอยู่ร่ำไป ระบายความคิดลบเป็นครั้งคราว อวดคุณความดีของตนเอง ตรวจนับความยากลำบากที่ตนสู้ทนมา และเล่าว่าพระนิเวศของพระเจ้าทำกับตนอย่างไร พวกเขาอดทนกับพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไรบ้าง—พวกเขาเก็บเรื่องเหล่านี้เอาไว้ในหัวใจตลอดเวลา  ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดกับพวกเขาก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่อยากได้อยากมี ความป่าเถื่อนของพวกเขาย่อมปะทุออกมา พวกเขาย่อมระเบิดความโกรธเกรี้ยว เปิดโปงพฤติกรรมที่เสื่อมเสียของตนออกมา และระบายความคิดลบ  เจ้าควรที่จะพยายามโน้มน้าวคนเช่นนี้อีกหรือไม่?  หลังจากที่กำชับง่ายๆ ไปครั้งหนึ่ง ถ้าพวกเขายังคงแสดงลักษณะนิสัยเช่นเดิมออกมา ปัญหาเดิมๆ ของพวกเขาหวนกลับมาอีก และความเป็นมารของพวกเขาก็กำเริบขึ้นมาอีก ควรทำอย่างไร?  เมื่อนั้นก็ถึงเวลาใช้ข้อบังคับ  อย่าให้โอกาสกลับใจแก่พวกเขา  พวกเขาก็เหมือนไม้ผุ เป็นวายร้ายที่ดื้อรั้นและโง่เขลา  พวกเขาเป็น “วายร้ายที่ดื้อรั้นและโง่เขลา” ในแง่ใด?  ในแง่ที่ว่าพวกเขาไม่ยอมรับหนทางอันบริสุทธิ์และไม่ยอมรับสิ่งที่เป็นบวก  กลับโอบรับข้อถกเถียงที่บิดเบี้ยว ความคิดนอกรีต และความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ยึดถือมุมมองของตนเองที่จะให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่จับต้องได้ เอารัดเอาเปรียบ และไม่ยอมทนทุกข์กับการสูญเสีย  ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร พวกเขาก็พูดเสมอว่า “ทั้งหมดนั้นเป็นถ้อยคำที่ฟังดูดี  มีใครบ้างที่พูดจาดีๆ บ้างไม่ได้?  ถ้าคุณเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำ คุณย่อมจะไม่พูดแบบนั้น”  พวกเขายึดถือทัศนะเช่นนั้นอย่างดื้อรั้น และเมื่อเกิดเรื่องที่ไม่น่าพอใจหรือพวกเขาเกิดสูญเสียขึ้นมา พวกเขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้อะไรจากการเชื่อในพระเจ้าเลย แล้วพวกเขาก็จะระบายความคิดลบออกมาอีก  ควรให้โอกาสพวกเขาอีกหรือไม่?  ไม่มีโอกาสอีกแล้ว  ถ้าพวกเขาทำหน้าที่ของตนได้ไม่ดี กลับรบกวนผู้อื่น ก็จงหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาทันที  อย่าปล่อยให้พูดจาอย่างอิสระ  ถ้าพวกเขายังคงแพร่ความคิดลบและรบกวนผู้อื่นไปเรื่อยๆ ก็ไม่ต้องมีมารยาทกับพวกเขาอีกต่อไป  เร่งมือชำระพวกเขาออกไปเสีย  นี่ใช่การไม่เปี่ยมรักหรือไม่?  (ไม่ใช่)  มีการป้อนความจริงแก่พวกเขาด้วยการสามัคคีธรรมมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถรับรู้ได้—นี่บ่งชี้สิ่งใด?  ดูภายนอกเหมือนคนคนนี้เป็นผู้ไม่เชื่อ แต่ตามแก่นแท้แล้ว พวกเขาก็คือมาร  พวกเขามาที่พระนิเวศของพระเจ้าเพื่อขอพระคุณและพรจากพระเจ้า เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ และพวกเขาก็จะไม่ยอมหยุดพักจนกว่าจะได้สิ่งเหล่านั้นไป  หลังจากที่เชื่อมาระยะหนึ่ง ถ้าพวกเขาไม่ได้ประโยชน์อันใดไป อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาย่อมจะปะทุขึ้นมา พวกเขาจะพรั่งพรูความไม่พอใจที่มีต่อพระเจ้าออกมา ทำความชั่ว และก่อให้เกิดการรบกวน  นี่คือมารตนหนึ่ง  ในส่วนของความทุกข์และการสละอันน้อยนิดที่พวกเขาทำไปนั้น โดยพื้นฐานแล้วไม่ใช่การปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  เป็นการเจรจาต่อรองเท่านั้น เป็นการได้ประโยชน์และพรให้ตนเอง  เมื่อเกิดเรื่องกับคนที่อยากได้บางสิ่งจากการเชื่อในพระเจ้าอยู่เสมอ และพวกเขาก็คิดลบและอ่อนแอ พวกเขาย่อมพูดตลอดเวลาว่า “ฉันไม่ได้อะไรจากการเชื่อในพระเจ้าเลย”  จากนั้นพวกเขาก็ยอมแพ้และเริ่มกระทำการอย่างบุ่มบ่าม พยายามตอบโต้ และมักจะระบายความคิดลบเพื่อพรั่งพรูภาวะอารมณ์ที่ไม่พอใจของตนออกมา  พวกเราสามัคคีธรรมกันไปแล้วว่าควรปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนี้อย่างไร นั่นคือ ควรจัดการพวกเขาตามหลักธรรม  ถ้าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงและรับรองได้ว่าจะไม่ก่อให้เกิดการรบกวนอีกในอนาคต ก็สามารถให้โอกาสพวกเขาอีกครั้งที่จะคงอยู่ในคริสตจักรต่อไป  ถ้าพวกเขามุ่งก่อกวนและทำลายงานและชีวิตภายในคริสตจักรอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วก็ชำระพวกเขาออกไปเถิด  นี่คือการปกป้องงานของคริสตจักรเพื่อให้แน่ใจว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะสามารถดำรงชีวิตคริสตจักรได้โดยไม่ถูกรบกวน  การตัดสินใจเช่นนี้และการใช้วิธีการนี้ย่อมเป็นไปตามหลักธรรมที่กล่าวมานี้  ซึ่งก็เหมาะควรแล้ว

ในชีวิตคริสตจักรมีใครอีกที่โน้มเอียงไปในทางที่จะระบายความคิดลบออกมา?  บางคนทำหน้าที่ของตนอย่างไร้ผล พลั้งพลาดอยู่เสมอ พวกเขาไม่ทบทวนตนเอง แต่กลับรู้สึกอยู่เสมอว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมหรือยุติธรรม พระเจ้าใช้พระคุณกับผู้อื่น แต่ไม่ใช่กับพวกเขา พระเจ้าดูแคลนพวกเขา และไม่เคยประทานความรู้แจ้งแก่พวกเขา นั่นคือสาเหตุที่การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาไม่เคยเกิดผล และพวกเขาก็ไม่เคยสามารถบรรลุจุดหมายของตนที่จะโดดเด่นขึ้นมาและเป็นที่ยอมรับนับถือ  พวกเขาเริ่มมีคำพร่ำบ่นพระเจ้าอยู่ในหัวใจ และระหว่างที่พร่ำบ่น พวกเขาก็เกิดความอิจฉา ขยะแขยง และความเกลียดชังต่อคนที่ทำหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี  ผู้คนแบบนี้มีความเป็นมนุษย์เช่นใด?  พวกเขาใจแคบมิใช่หรือ?  นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่เข้าใจมิใช่หรือว่าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไรในความเชื่อที่ตนมีในพระเจ้า?  พวกเขาไม่เข้าใจว่าอะไรคือการเชื่อในพระเจ้า  นึกว่าการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ก็เหมือนการเป็นนักเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ต้องคอยเทียบคะแนนและอันดับอยู่เสมอ  ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก  นั่นคือสภาวะของพวกเขามิใช่หรือ?  ก่อนอื่น ในแง่ของการเข้าใจความจริง ผู้คนเช่นนี้มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่?  พวกเขาไม่มี และพวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร  ด้านหนึ่งพวกเขาให้ความสำคัญกับอันดับของตนในหมู่ผู้อื่น อีกด้านหนึ่งพวกเขาก็ใช้วิธีการให้คะแนนมาประเมินอยู่เสมอว่าผู้อื่นทำหน้าที่ดีเพียงใดและพวกเขาเองทำได้ดีเพียงใด ประหนึ่งว่าพวกเขากำลังประเมินนักเรียนในโรงเรียนกันนั่นเอง ประเมินการเชื่อในพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คนกันด้วยวิธีนี้  นี่มีบางอย่างผิดปกติมิใช่หรือ?  นอกจากนี้วิธีการอันเต็มไปด้วยความอุตสาหะที่พวกเขาใช้ทำหน้าที่ของตนก็ผิดมิใช่หรือ?  พวกเขาทำหน้าที่ของตนด้วยความอุตสาหะของการศึกษาเล่าเรียนและทำข้อสอบใช่หรือไม่?  (ใช่)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวเช่นนี้?  ผู้คนเช่นนี้เข้าใจหรือไม่ว่าควรแสวงหาหลักธรรมอย่างไรเวลาเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตน?  พวกเขาสามารถแสวงหาหลักธรรมหรือไม่?  ในแง่หนึ่งพวกเขาไม่รู้วิธีแสวงหาหลักธรรม  เรื่องที่ว่าผู้คนควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร ควรสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร และควรทำหน้าที่ของตนอย่างไรจึงจะถูกควร—พวกเขาไม่เข้าใจและไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้  พวกเขารู้แต่ว่าตนต้องหาหลักธรรมและกระทำการตามหลักธรรมเหล่านั้น แต่หลักธรรมเหล่านั้นพูดถึงสิ่งใดบ้าง พระเจ้าทรงกำหนดว่าอย่างไร หรือผู้อื่นกระทำการตามหลักธรรมนั้นๆ อย่างไร พวกเขาไม่มีความเข้าใจ  พวกเขาก็แค่ไม่เข้าใจเรื่องนี้  อีกแง่หนึ่ง พวกเขาสามารถหรือไม่ที่จะประเมินการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้วัดการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คนว่าได้มาตรฐานหรือไม่ และตามหลักธรรมที่พระองค์ทรงกำหนดให้ผู้คนใช้ทำหน้าที่ของตน?  พวกเขาสามารถหรือไม่ที่จะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ตามพระวจนะของพระเจ้าและตามสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหญิง?  ก่อนอื่นเลยพวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และไม่เข้าใจเรื่องของการทำหน้าที่  หลังจากที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ พวกเขาก็ตรึกตรองว่า “ตอนที่ฉันเรียนหนังสือ ฉันค้นพบกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งคือ ตราบใดที่เต็มใจขยันเรียนให้มากขึ้น ก็จะสามารถทำคะแนนได้มาก  ดังนั้นเมื่อมาเชื่อในพระเจ้า ฉันก็จะทำเช่นเดียวกัน  ฉันจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นและอธิษฐานให้มากขึ้น  เวลาที่คนอื่นกินหรือคุยเล่นกัน ฉันก็จะเรียนรู้บทเพลงนมัสการและท่องจำพระวจนะของพระเจ้า  ด้วยความอุตสาหะแบบนี้ พระเจ้าย่อมจะให้พรฉันเป็นแน่ เพราะฉันทำงานหนัก ขยัน และหมั่นเพียร และการปฏิบัติหน้าที่ของฉันก็จะออกดอกออกผลแน่นอน  เมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่น ฉันย่อมจะทำคะแนนได้มากเป็นแน่ จะมีคนเห็นคุณค่าของฉัน และฉันก็จะได้เลื่อนตำแหน่ง”  แต่แม้จะทำเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่อาจสัมฤทธิ์ความปรารถนาของตนอยู่ดี “ทำไมฉันถึงทำหน้าที่ได้ประสิทธิผลน้อยกว่าคนอื่น?  แล้วฉันจะมีวันได้เลื่อนตำแหน่งหรือถูกใช้ให้ทำงานสำคัญๆ ได้อย่างไร?  นี่หมายความว่าไม่มีหวังแล้วไม่ใช่หรือ?  ฉันเกิดมาชอบแข่งขัน ไม่เต็มใจรั้งท้ายคนอื่น  ในโรงเรียน ฉันเป็นอย่างนี้ และในการเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ยังคงเป็นอย่างนี้  ใครก็ตามที่แซงหน้าฉันไป ฉันย่อมมุ่งมั่นที่จะเก่งกว่าพวกเขาให้ได้  ฉันจะไม่หยุดพักจนกว่าจะทำได้!”  พวกเขาเชื่อว่าด้วยวิธีการและแนวทางที่ถูกต้องคือ—เพียงนำความอุตสาหะในการขยันเรียนมาใช้กับการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นและเรียนรู้บทเพลงนมัสการให้มากขึ้น ไม่มัวคุยเล่นตามสบาย ไม่มุ่งสนใจการแต่งตัว นอนน้อยลงและสุขสำราญให้น้อยลง กำราบร่างกายของตน และไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขสบายทางเนื้อหนัง—เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะสามารถได้รับพรจากพระเจ้า และพวกเขาก็แน่ใจว่าจะสัมฤทธิ์ผลในการทำหน้าที่ของตน  อย่างไรก็ดี สิ่งทั้งหลายกลับแตกต่างจากที่พวกเขาคาดหวังอยู่เสมอ “ทำไมฉันยังคงผิดพลาดอยู่เรื่อยเวลาทำหน้าที่ และทำไมฉันถึงยังทำหน้าที่ให้ดีเท่าคนอื่นไม่ได้?  คนอื่นทำสิ่งต่างๆ ได้เร็วและดี ผู้นำก็ชมเชยและยกย่องพวกเขาอยู่เสมอ  ฉันสู้ทนความทุกข์และความยากลำบากมามากนัก  แล้วทำไมยังไม่สัมฤทธิ์ผล?”  ขณะที่ครุ่นคิดเรื่องนี้ พวกเขาก็ค้นพบเรื่องสำคัญในที่สุดว่า “กลับกลายเป็นว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม  ฉันเชื่อในพระเจ้ามานานมาก และเพิ่งมองเห็นเอาตอนนี้เอง!  พระเจ้าประทานพระคุณแก่คนที่พระองค์อยากให้  แล้วทำไมพระองค์ถึงไม่อยากประทานพระคุณแก่ฉัน?  เป็นเพราะฉันโง่อย่างนั้นหรือ เพราะคำป้อยอและการใช้คารมคมคายเป็นเรื่องเกินตัวฉัน เพราะฉันไม่ใช่คนหัวไวใช่ไหม?  หรือเพราะฉันดูธรรมดาเกินไป และมีการศึกษาไม่ค่อยสูง?  นี่พระเจ้าทรงเผยเรื่องของฉันอยู่ไม่ใช่หรือ?  ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้ามามาก—แล้วทำไมพระเจ้าถึงไม่ประทานพระคุณแก่ฉัน แต่กลับเผยเรื่องเกี่ยวกับฉันแทน”  ระหว่างที่พวกเขาครุ่นคิดเรื่องนี้ พวกเขาก็คิดลบว่า “ฉันไม่อยากทำหน้าที่ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว  ฉันไม่เคยได้รับพรจากพระเจ้าเวลาทำหน้าที่ และฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นแล้วด้วย แต่พระองค์กลับไม่ให้ความรู้แจ้งแก่ฉัน  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า พระเจ้าประทานพระคุณแก่คนที่พระองค์อยากให้ และกรุณาต่อคนที่พระเจ้าจะทรงกรุณาด้วย  ฉันไม่ใช่คนที่พระเจ้าจะทรงกรุณาหรือประทานพระคุณ  แล้วฉันควรที่จะทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้เพื่ออะไร?”  ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งคิดลบ และยิ่งไม่รู้สึกว่าตนมีหนทางข้างหน้า  กลับรู้สึกอึดอัดเพราะความคับข้องใจ และไม่อยากทำหน้าที่ของตนอีกต่อไป เวลาทำหน้าที่ พวกเขาก็ทำไปตามขั้นตอนเท่านั้น  ไม่ว่าผู้อื่นจะสามัคคีธรรมเรื่องหลักธรรมอย่างไร ก็ไม่เข้าหูพวกเขา  ในตัวพวกเขาไม่มีปฏิกิริยาอันใด  เมื่อพวกเขาอยู่ในภาวะเช่นนี้ พวกเขาจะมีการเข้าสู่ชีวิตบ้างหรือไม่?  มีความจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตนบ้างหรือไม่?  ไม่มีอีกต่อไป ความอุตสาหะและความขยันที่พวกเขาเคยมีอยู่บ้างก็หมดไปเช่นกัน  แล้วหัวใจของพวกเขามีสิ่งใดหลงเหลืออยู่?  “ฉันจะเดินไปพลางวางแผนไปด้วยก็แล้วกัน รับมือสิ่งต่างๆ ตามที่มันเกิดขึ้น  ช่วงนี้พระเจ้าอาจจะเปิดเผยและกำจัดฉันออกไปวันไหนก็ได้ ทรงทิ้งฉันแล้ว  ถึงวันที่ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ของตนเองเมื่อใด ฉันก็จะเลิกทำ  ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ดีพอ  พระเจ้าอาจจะยังไม่กำจัดฉันออกไป แต่ฉันก็รู้ว่าพระองค์ไม่ชอบฉัน  นี่ก็แค่รอเวลาจนกว่าฉันจะถูกกำจัดออกไปเท่านั้น”  ความคิดและทัศนะเหล่านี้เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา และเมื่อพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ความเห็นดังกล่าวก็หลุดออกจากปากเป็นครั้งคราวว่า “พวกคุณทุกคนตั้งใจเชื่อไปเถิด  ความเชื่อและการปฏิบัติหน้าที่ของพวกคุณย่อมจะได้รับพรจากพระเจ้าเป็นแน่  ส่วนฉันนั้นหมดหวัง  นี่สุดทางของฉันแล้ว  ไม่ว่าจะขยันหรือทำงานหนักอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์  ถ้าพระเจ้าไม่ชอบใคร ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามขนาดไหนก็เปล่าประโยชน์  ฉันทำหน้าที่ด้วยความอุตสาหะเท่าที่ตัวเองจะสามารถ ถ้าพยายามแล้วไม่ไปไหน ก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว  พระเจ้าบังคับให้ผู้คนทำอะไรเกินตัวได้หรือ?  พระเจ้าบังคับให้ปลาใช้ชีวิตบนบกไม่ได้หรอก!”  นี่เป็นการกล่าวสิ่งใดออกมา?  ความนัยก็คือ “ฉันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว  ไม่ว่าพระเจ้าจะทำกับฉันอย่างไร ท่าทีของฉันก็จะเป็นอย่างนี้”  จงบอกเราเถิด เหตุใดคนที่มีท่าทีและเจตนาเช่นนี้ยังคงอยากที่จะได้พรจากพระเจ้า?  สภาวะและท่าทีที่พวกเขามีนี้สามารถมีอิทธิพลต่อผู้อื่นได้หรือไม่?  นี่สามารถมีอิทธิพลเชิงลบในทางเสียหายได้ง่าย พาให้ผู้อื่นพลอยคิดลบและอ่อนแอไปด้วย  นี่ชักพาให้ผู้อื่นหลงผิดและทำร้ายพวกเขามิใช่หรือ?  ผู้คนที่คิดลบถึงขั้นนี้จัดว่าเป็นพวกมารมิใช่หรือ?  พวกมารไม่เคยรักความจริง

บางคนไม่ระบายความคิดลบเวลาเสวนายาวๆ พวกเขาเพียงเอ่ยคำไม่กี่วลีว่า “พวกคุณล้วนเก่งกว่าฉัน  ได้รับพรเป็นอันมากกันทุกคน  ฉันหมดหวังแล้ว  ไม่ว่าจะพยายามมากขนาดไหนก็เปล่าประโยชน์  ฉันไม่มีหวังที่จะได้รับพรจากพระเจ้า”  แม้จะเป็นคำง่ายๆ และดูจะไม่มีปัญหา ฟังดูราวกับว่าพวกเขากำลังตรวจสอบตนเอง ชำแหละตนเอง และยอมรับข้อเท็จจริงอย่างขีดความสามารถอันอ่อนด้อยและข้อบกพร่องของตน แต่ในความเป็นจริง พวกเขากำลังระบายความคิดลบอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็น  มีการเหน็บแนมและเย้ยหยันอยู่ในถ้อยคำเหล่านี้ รวมทั้งการไม่ยอมรับ และยิ่งไปกว่านั้น แน่นอนว่าย่อมมีความไม่พอใจในพระเจ้า ตลอดจนอารมณ์เชิงลบที่เศร้าหมอง  คำพูดเชิงลบเหล่านี้อาจมีไม่กี่คำ แต่อารมณ์เช่นนี้ก็เป็นเหมือนโรคติดต่อ สามารถส่งผลต่อผู้อื่นได้  แม้พวกเขาจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดแจ้งว่า “ฉันไม่อยากทำหน้าที่ของตนเองอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด และพวกคุณทุกคนก็มีภัยเช่นกัน” แต่พวกเขาก็ส่งสัญญาณที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าถ้าคนคนนี้ไม่มีหวังที่จะได้รับความรอดแม้จะพยายามขนาดนั้น เช่นนั้นแล้วคนที่ไม่ได้พยายามก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะหมดหวังเข้าไปใหญ่  ด้วยการส่งสัญญาณเช่นนี้ พวกเขากำลังบอกทุกคนว่า “ความหวังเป็นสิ่งสำคัญ  ถ้าพระเจ้าไม่ให้ความหวังแก่คุณ ถ้าพระเจ้าไม่ให้พรคุณ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าคุณจะใช้ความพยายามไปมากเท่าไร ก็ล้วนสูญเปล่า”  หลังจากที่ผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับสัญญาณนี้ ความเชื่อที่พวกเขามีอยู่ในใจลึกๆ ในพระเจ้าย่อมลดน้อยลงอย่างช่วยไม่ได้ ความจงรักภักดีและความจริงใจที่พวกเขาควรแสดงให้เห็นเวลาทำหน้าที่ของตนก็ลดระดับลงไปมาก  แม้พวกเขาจะระบายความคิดลบเช่นนี้ออกมาโดยไม่ได้มีเจตนาชัดเจนที่จะชักพาให้ผู้คนหลงผิดหรือดึงมาเป็นพวก แต่อารมณ์เชิงลบเช่นนี้ย่อมส่งผลต่อผู้อื่นอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเขารู้สึกถึงวิกฤติ รู้สึกว่าความพยายามของตนสูญเปล่าได้ง่าย นี่ทำให้ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในความรู้สึกของตน ใช้ความรู้สึกมาคาดเดาพระเจ้า วิเคราะห์และพินิจพิจารณาท่าทีและความจริงใจที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ตามสิ่งที่ปรากฏให้เห็นภายนอก  เมื่อส่งผ่านอารมณ์เชิงลบเช่นนี้ไปให้ผู้อื่น ผู้อื่นก็อดไม่ได้ที่จะพาตัวออกห่างจากพระเจ้า เข้าใจผิดและสงสัยสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ ไม่เชื่อพระวจนะของพระองค์อีกต่อไป  พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ไม่จริงใจกับหน้าที่ของตนอีกต่อไป ไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคา และไม่เต็มใจที่จะมีความจงรักภักดีใดๆ  นี่คือผลกระทบที่ความเห็นเชิงลบเหล่านี้มีต่อผู้คน  สิ่งที่เกิดขึ้นตามหลังผลกระทบนี้ย่อมเป็นเช่นใด?  หลังจากที่ฟังคำเหล่านี้แล้ว ผู้คนก็ไม่เกิดความเจริญใจ และยิ่งไม่สัมฤทธิ์การรู้จักตนเอง ค้นพบข้อบกพร่องของตน หรือสามารถปฏิบัติความจริงและทำหน้าที่ของตนได้ตามหลักธรรม—พวกเขาไม่เกิดผลบวกเหล่านี้  แต่ผลกระทบเช่นนี้กลับทำให้ผู้คนยิ่งคิดลบ ครุ่นคิดที่จะทิ้งการไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่มีความแน่วแน่ที่จะทำหน้าที่ของตนอีกต่อไป  เหตุใดพวกเขาจึงสูญเสียความเชื่อ?  (พวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่มีหวังในความรอด)  ถูกต้อง เจ้ายอมรับสารข้อนี้เอาไว้และรู้สึกว่าตัวเจ้าไม่มีหวังในความรอด ดังนั้นเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะพยายามทำหน้าที่ของตน  พฤติกรรมเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงใจ แต่วินิจฉัยอยู่เสมอว่าพระเจ้าพอพระทัยในตัวเจ้าหรือไม่ เจ้ามีหวังในความรอดหรือไม่ และพระเจ้าทรงเห็นชอบในการที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ตามความรู้สึก อารมณ์ และการคาดคะเนหรือไม่  เมื่อผู้คนตัดสินเรื่องเหล่านี้ตามการคาดคะเน พวกเขาก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะปฏิบัติความจริงมากนัก  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เวลาผู้คนตัดสินพระเจ้าตามการคาดคะเน พวกเขาสามารถตัดสินพระองค์ได้อย่างถูกต้องหรือไม่?  ผู้คนสามารถคาดเดาพระดำริและแนวคิดทุกอย่างที่พระเจ้ามีได้อย่างถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ได้)  ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนเต็มไปด้วยความหลอกลวง ธุรกรรมแลกเปลี่ยน ปรัชญาการดำเนินชีวิตทางโลก ตรรกะของซาตาน และอื่นๆ  ผลจากการที่ผู้คนคาดคะเนเรื่องของพระเจ้าไปตามสิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นเช่นใด?  พาให้สงสัยพระเจ้า ตีตัวออกห่างจากพระเจ้า และถึงกับสูญสิ้นความเชื่อในพระเจ้า  เมื่อผู้คนสูญสิ้นความเชื่อในพระเจ้า ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ในหัวใจของพวกเขาว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่  ถึงตอนนั้น เวลาของพวกเขาในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าย่อมจะสิ้นสุดลง—พวกเขาย่อยยับไปแล้วโดยสิ้นเชิง  นอกจากนี้ ถูกต้องหรือไม่ที่ผู้คนจะคาดคะเนเรื่องของพระเจ้า?  นี่ใช่ท่าทีที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีต่อพระผู้สร้างหรือไม่?  ชัดเจนว่าไม่ใช่  ผู้คนไม่ควรคาดคะเนเรื่องของพระเจ้า และไม่ควรคาดเดาว่าพระเจ้าทรงดำริสิ่งใดอยู่หรือมีพระดำริเช่นใดเกี่ยวกับมนุษย์  นี่ย่อมผิดในตัวมันเอง ผู้คนมีมุมมองที่ไม่ถูกต้องและทำตัวผิดฐานะมาโดยตลอด

ผู้คนไม่ควรปฏิบัติต่อพระเจ้าด้วยการคาดคะเน คาดเดา สงสัย หรือระแวง และไม่ควรตัดสินพระองค์ตามความคิดและมุมมองของมนุษย์ ตามปรัชญาการดำเนินชีวิตทางโลก หรือความรู้ทางวิชาการ  แล้วผู้คนควรปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไร?  ผู้คนควรเชื่อเสียก่อนว่าพระเจ้าคือความจริง ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงวางให้ผู้คน เจตนารมณ์ที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขา ความรักและความเกลียดชังที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คน การจัดเตรียม พระดำริ แนวคิด และอื่นๆ ที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนนานาชนิด เหล่านี้ไม่ต้องให้เจ้ามาคาดเดา เรื่องเหล่านี้มีคำอธิบายชัดเจนและมีความหมายที่ชัดแจ้งอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าแล้ว  เจ้าเพียงต้องเชื่อ แสวงหา แล้วจากนั้นก็ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น—เรื่องก็ง่ายเช่นนั้นเอง  พระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้เจ้าใช้ความรู้สึกต่างๆ มาตัดสินสิ่งที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะทำในตัวเจ้าหรือวินิจฉัยว่าพระองค์ทรงมองเจ้าอย่างไร  ดังนั้นเจ้าคิดว่าตนเองไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด—นี่คือความรู้สึกหรือข้อเท็จจริง?  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ดังนั้นหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้วพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่าอย่างไร?  พระเจ้าตรัสบอกผู้คนว่าควรแสวงหาความจริงอย่างไรเพื่อให้มีทางออก และควรหาเส้นทางปฏิบัติความจริงอย่างไรเมื่อพวกเขาเผชิญปัญหาหรือเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมา  นี่ยืนยันเรื่องหนึ่งว่า แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงต้องการที่จะช่วยผู้คนให้รอดและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขา พระเจ้าไม่ได้หลอกลวงเจ้า และนี่ก็ไม่ใช่การพูดจาเลื่อนลอย  เจ้านึกว่าเจ้าไม่มีหวังในความรอด แต่นั่นเป็นเพียงอารมณ์ชั่วแล่น เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมบางอย่างเท่านั้น  ความรู้สึกของเจ้าไม่ได้แสดงถึงพระประสงค์หรือเจตนารมณ์ของพระเจ้า และยิ่งไม่ได้แสดงถึงพระดำริของพระองค์ ทั้งยังไม่ได้แสดงถึงความจริงเช่นกัน  ฉะนั้น ถ้าเจ้าใช้ชีวิตตามความรู้สึกนี้ ถ้าเจ้าคาดคะเนเรื่องของพระเจ้าตามความรู้สึกนี้ ใช้ความรู้สึกของเจ้าแทนพระประสงค์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ทำผิดใหญ่หลวงและติดอยู่ในกับดักของซาตานแล้ว  ในสถานการณ์เช่นนี้คนเราควรทำอย่างไร?  ไม่พึ่งความรู้สึก  บางคนกล่าวว่า “ถ้าพวกเราไม่ควรพึ่งพาความรู้สึก แล้วพวกเราควรพึ่งพาสิ่งใด?”  การพึ่งพาสิ่งใดก็ตามที่เป็นของเจ้าย่อมไร้ประโยชน์ ความรู้สึกของมนุษย์ไม่ได้แสดงถึงความจริง  มีใครรู้บ้างว่าความรู้สึกของเจ้าเกิดขึ้นมาอย่างไร แท้จริงแล้วมาจากไหน—ถ้าเกิดจากการถูกซาตานชักพาให้หลงผิด เช่นนั้นย่อมเป็นปัญหา  ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าความรู้สึกจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ก็ไม่ได้แสดงถึงความจริง  ยิ่งใครสักคนมีความรู้สึกและมีการหยั่งรู้ที่เข้มข้น พวกเขาก็ยิ่งต้องแสวงหาความจริง ยิ่งต้องมาเบื้องหน้าพระเจ้าและทบทวนตนเอง  ความรู้สึกของมนุษย์ กับข้อเท็จจริงและความจริงนี้ เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน  ความรู้สึกให้ความจริงแก่เจ้าได้หรือไม่?  นำเส้นทางปฏิบัติมาให้เจ้าได้หรือไม่?  ทำไม่ได้  มีเพียงพระวจนะของพระเจ้า มีเพียงความจริงเท่านั้นที่สามารถให้เส้นทางปฏิบัติแก่เจ้า สามารถทำให้เจ้ากลับตัวและพบทางออก  ฉะนั้น สิ่งที่เจ้าควรปฏิบัติจึงไม่ใช่การค้นหาความรู้สึกของตนเอง—ความรู้สึกของเจ้าไม่สำคัญ  สิ่งที่เจ้าควรทำคือมาเบื้องหน้าพระเจ้าเพื่อแสวงหาความจริง ทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าผ่านทางพระวจนะของพระองค์  ยิ่งเจ้าพึ่งพาความรู้สึก เมื่อนั้นเจ้าก็จะยิ่งพบว่าตนเองไม่มีหนทางข้างหน้า เจ้าจะยิ่งคิดลบ และยิ่งเชื่อว่าพระเจ้าไม่ทรงยุติธรรม พระเจ้าไม่เคยประทานพรแก่เจ้า  ในทางกลับกัน ถ้าเจ้าวางความรู้สึกเหล่านี้มาแสวงหาหลักธรรมความจริง มาดูว่าขณะที่เจ้าทำหน้าที่ของตนอยู่นั้น การกระทำอันใดบ้างที่ละเมิดหลักธรรมความจริง การกระทำใดบ้างที่เจ้าทำไปตามเจตจำนงของตนเองและไม่เชื่อมโยงกับหลักธรรมความจริงโดยสิ้นเชิง และแล้วระหว่างที่แสวงหา เจ้าก็จะค้นพบว่าเจ้ามีเจตจำนงของตนเองมากเกินไป มีความคิดฝันมากเกินไป  เพียงใช้ความตั้งใจจริงในส่วนนี้เท่านั้น เจ้าก็จะค้นพบปัญหามากมายว่า “ฉันเป็นกบฏเกินไป เอาแต่ใจเกินไป โอหังเกินไป!  ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด แต่ความรู้สึกของฉันไม่ถูกต้อง  กลับกลายเป็นว่าฉันไม่จริงจังกับพระวจนะของพระเจ้า และฉันก็ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง  ฉันบ่นอยู่เสมอว่าพระเจ้าไม่ประทานพรแก่ฉัน ไม่ทรงนำฉัน และลำเอียง แต่แท้จริงแล้วฉันไม่ตระหนักว่าตัวเองสุกเอาเผากิน เอาแต่ใจ และวู่วามในการปฏิบัติหน้าที่—นี่เป็นความผิดของฉัน  ตอนนี้ฉันตระหนักแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงลำเอียง  เวลาที่ผู้คนไม่แสวงหาความจริงหรือไม่มาเบื้องหน้าพระเจ้า การที่พระเจ้าไม่ทรงยกเลิกการอนุญาตให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ ก็ทรงใจดีกับพวกเขาแล้ว ในแง่นี้พระเจ้าทรงปรานีมากแล้ว  แต่ฉันก็ยังคงรู้สึกว่ามีความคับข้องใจเต็มไปหมด ถึงกับโต้เถียงและขับเคี่ยวกับพระเจ้า  เมื่อก่อนฉันเคยนึกว่าตัวเองดีงามมาก แต่ตอนนี้ฉันกลับมองเห็นว่านั่นไม่จริงเลย  ไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ไม่ได้อิงหลักธรรม การที่พระเจ้าไม่ได้ทรงบ่มวินัยฉันย่อมเป็นพระคุณของพระองค์แล้ว—พระองค์ทรงตระหนักว่าฉันด้อยวุฒิภาวะ!”  ด้วยการแสวงหาเช่นนี่ เจ้าย่อมจะเข้าใจความจริงบางอย่างและสามารถริเริ่มที่จะปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงต่างๆ อย่างแข็งขัน  เจ้าจะรู้สึกไปทีละน้อยว่าเจ้ามีหลักธรรมบางอย่างในการประพฤติปฏิบัติตนและในการทำหน้าที่ของตน  ถึงตอนนี้เจ้าจะไม่รู้สึกอยู่ในมโนธรรมของเจ้าว่ามีสันติสุขขึ้นมากหรอกหรือ?  “เมื่อก่อนฉันเคยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหวังในความรอด แต่ตอนนี้ทำไมความรู้สึกนี้ สิ่งที่เคยตระหนักรู้นี้ถึงจางไปเรื่อยๆ?  ทำไมสภาวะนี้ถึงเปลี่ยนไป?  เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าตัวเองไม่มีหวังแล้ว นั่นเป็นเพียงความคิดลบ การไม่ยอมรับ และการต่อสู้กับพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  ฉันมีความเป็นกบฏมากเหลือเกิน!”  หลังจากที่นบนอบโดยไม่รู้ตัวขณะทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็จะเริ่มเข้าใจหลักธรรมบางประการ และจะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นอีกต่อไป เจ้าจะมุ่งเน้นเพียงว่าทำอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงไม่ทำตัวสุกเอาเผากินและทำอย่างไรจึงจะทำหน้าที่ของเจ้าได้ตามหลักธรรมเท่านั้น  และโดยที่ไม่รู้ตัว เจ้าจะไม่รู้สึกอีกต่อไปว่าเจ้าไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด และเจ้าจะไม่ติดอยู่ในกับดักของสภาวะเชิงลบอีกต่อไป เจ้าจะทำหน้าที่ของเจ้าไปตามหลักธรรม และรู้สึกว่าสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้ากลายเป็นปกติแล้ว  เมื่อเจ้ารู้สึกเช่นนี้ เจ้าย่อมจะคิดว่า “พระเจ้าไม่ได้ทรงทอดทิ้งฉัน ฉันรู้สึกได้ถึงการสถิตของพระเจ้า เวลาที่ฉันแสวงหาพระเจ้าขณะทำหน้าที่ของตน ฉันก็รู้สึกได้ถึงการทรงนำและพรจากพระเจ้า  ในที่สุดฉันก็รู้สึกว่าพระเจ้าทรงอวยพรคนอื่นและทรงอวยพรฉันด้วย  พระเจ้าไม่ได้ทรงลำเอียง ดูเหมือนว่าฉันยังคงมีหวังที่จะได้รับความรอด  กลับกลายเป็นว่าเส้นทางที่ฉันเคยเดินมาแต่ก่อนนั้นผิด เวลาทำหน้าที่ ฉันเอาแต่ทำไปตามขั้นตอนและบุ่มบ่ามทำเรื่องไม่ดีอยู่เสมอ ถึงกับคิดไปว่าตัวเองสบายดี ใช้ชีวิตอยู่โลกใบเล็กๆ ของตนเองและเลื่อมใสตัวเอง  ตอนนี้ฉันมองเห็นแล้วว่าการทำเช่นนั้นเป็นความผิดพลาดอย่างยิ่ง!  เมื่อใช้ชีวิตอยู่แต่ในสภาวะที่ส่งเสียงประท้วงและไม่ยอมรับพระเจ้า—ไม่แปลกใจเลยที่ฉันไม่เคยได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้า  ฉันจะได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้าได้อย่างไรถ้าฉันไม่กระทำการตามหลักธรรม?”  เจ้าดูเถิด หนทางปฏิบัติสองสายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วิธีจัดการแนวคิดของตนเองสองวิธีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ท้ายที่สุดย่อมจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต่างกัน

เวลาเชื่อในพระเจ้า ผู้คนไม่สามารถใช้ชีวิตตามความรู้สึกของตน  ความรู้สึกของผู้คนเป็นเพียงอารมณ์ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น—มีอะไรเกี่ยวข้องกับจุดจบของพวกเขาหรือไม่?  มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงหรือไม่?  (ไม่มี)  เมื่อผู้คนออกห่างจากพระเจ้าไปไกล เมื่อพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในสภาพจิตใจที่เข้าใจพระเจ้าผิด หรือไม่ยอมรับ ส่งเสียงประท้วง และต่อสู้กับพระเจ้า เมื่อนั้นพวกเขาก็ผละจากการดูแลและคุ้มครองของพระเจ้าไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว และไม่มีที่สำหรับพระเจ้าอยู่ในหัวใจของพวกเขาอีกต่อไป  เมื่อผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตตามความรู้สึกของตนเอง  ความคิดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างสามารถทำให้พวกเขาว้าวุ่นจนกินไม่ได้หรือนอนไม่หลับ ความเห็นที่ไม่ระมัดระวังจากปากใครบางคนสามารถกดให้พวกเขาจมอยู่กับการคาดเดาและความฉงนฉงายได้ แม้แต่ฝันร้ายเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้พวกเขาคิดลบและเป็นเหตุให้พวกเขาเข้าใจพระเจ้าผิดได้  เมื่อวงจรอุบาทว์เช่นนี้ก่อตัวขึ้นมา ผู้คนย่อมลงความเห็นว่าตนจบสิ้นแล้ว สูญสิ้นความหวังทั้งปวงที่จะได้รับการช่วยให้รอด พวกเขาถูกพระเจ้าทอดทิ้ง และพระเจ้าก็จะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  ยิ่งพวกเขาคิดเช่นนี้ และยิ่งพวกเขามีความรู้สึกแบบนี้ พวกเขาก็ยิ่งจมลงไปในถูกผลักลงสู่ความคิดลบ  สาเหตุที่แท้จริงที่ผู้คนมีความรู้สึกเหล่านี้ก็เพราะพวกเขาไม่แสวงหาความจริงหรือปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง  เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา ผู้คนก็ไม่แสวงหาความจริง ไม่ปฏิบัติความจริง และทำตามวิถีทางของตนอยู่เสมอ ใช้ชีวิตอยู่กับความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ ของตนเอง  แต่ละวันพวกเขาหมดเวลาไปกับการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบและแข่งกับคนอื่น อิจฉาและเกลียดชังคนที่พวกเขานึกว่าเก่งกว่าตน โห่ฮาและเยาะหยันคนที่พวกเขาคิดว่าด้อยกว่าตน ดำรงชีวิตตามอุปนิสัยของซาตาน ไม่ทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมความจริง และไม่ยอมรับคำแนะนำของใคร  ท้ายที่สุดแล้ว นี่จึงทำให้พวกเขาเกิดความหลงผิด การคาดเดา และการตัดสินสารพัดรูปแบบ และพวกเขาก็ทำให้ตัวเองร้อนใจอยู่ร่ำไป  พวกเขาสมควรเป็นเช่นนี้แล้วมิใช่หรือ?  มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถแบกรับผลลัพธ์อันขมขื่นเช่นนี้ได้—และพวกเขาก็สมควรได้รับผลเช่นนี้จริงๆ  ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอะไร?  เพราะผู้คนไม่แสวงหาความจริง โอหังและคิดว่าตนเองถูกต้องจนเกินไป พวกเขาทำตามแนวคิดของตนเองอย่างต่อเนื่อง อวดตัวและเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นเสมอ พยายามทำให้ตัวเองโดดเด่นอยู่ตลอดเวลา เรียกร้องจากพระเจ้าอย่างไม่สมเหตุสมผลเสมอ เป็นต้น—ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้คนออกห่างจากพระเจ้าไปทีละนิด ไม่ยอมรับพระเจ้าและละเมิดความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า  ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็จมดิ่งลงไปในความมืดและความคิดลบ  และเมื่อถึงเวลาดังกล่าว ผู้คนย่อมไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับการกบฏและการต่อต้านของตนเอง และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะจัดการสิ่งเหล่านี้ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง  แต่กลับพร่ำบ่นพระเจ้า เข้าใจพระเจ้าผิด และคาดเดาเรื่องของพระองค์  เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ผู้คนก็ตระหนักในที่สุดว่าความเสื่อมทรามของตนนั้นลึกล้ำมาก และพวกเขาสร้างปัญหามากเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงพิจารณาตนเองว่าเป็นพวกต่อต้านพระเจ้า และอดไม่ได้ที่จะจมดิ่งอยู่กับการคิดลบ ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้  สิ่งที่พวกเขาเชื่อก็คือ “ฉันเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องการฉัน  ฉันเป็นกบฏเกินไปก็สมควรแล้ว พระเจ้าจะไม่ช่วยฉันให้รอดอีกต่อไปแน่แล้ว”  พวกเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อเท็จจริง  พวกเขาลงความเห็นว่าสิ่งที่ตนคาดเดาอยู่ในใจนี้คือข้อเท็จจริง  ไม่ว่าใครจะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาก็ไม่เกิดประโยชน์ พวกเขาไม่ยอมรับ  พวกเขาคิดว่า “พระเจ้าจะไม่ทรงอวยพรฉัน พระองค์จะไม่ทรงช่วยฉันให้รอด ดังนั้นจะเชื่อในพระเจ้าไปเพื่ออะไร?”  เมื่อเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขามาถึงจุดนี้ ผู้คนยังสามารถที่จะเชื่ออยู่อีกหรือไม่?  ไม่  เหตุใดพวกเขาจึงเชื่อต่อไปไม่ได้?  ข้อเท็จจริงอยู่ตรงนี้  เมื่อผู้คนคิดลบจนถึงจุดหนึ่งที่หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยการต่อต้านและคำพร่ำบ่น และพวกเขาก็อยากสะบั้นสัมพันธภาพที่ตนมีกับพระเจ้าทิ้งไปให้หมด เมื่อนั้นก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างการที่พวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า ไม่นบนอบพระเจ้า ไม่รักความจริง และไม่ยอมรับความจริงอีกต่อไป  แล้วกลายเป็นสิ่งใด?  ในหัวใจ พวกเขาเลือกอย่างกระตือรือร้นที่จะเลิกเชื่อในพระเจ้า  พวกเขาคิดว่าการรอคอยอยู่เฉยๆ ให้ถูกกำจัดออกไปนั้นน่าอาย และการเลือกที่จะเลิกไปเองย่อมมีศักดิ์ศรีกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มเป็นฝ่ายทิ้งโอกาสก่อน ยุติสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง  พวกเขากล่าวโทษความเชื่อในพระเจ้าว่าเป็นสิ่งไม่ดี  กล่าวโทษความจริงว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้ และกล่าวโทษพระเจ้าว่าไม่ชอบธรรม พร่ำบ่นที่พระองค์ไม่ช่วยพวกเขาให้รอดว่า “ฉันขยันมาก ทนทุกข์กับความยากลำบากยิ่งกว่าคนอื่นมากนัก และจ่ายราคาสูงกว่าทุกคนเป็นอันมาก ฉันทำหน้าที่ด้วยใจจริง แต่พระเจ้าก็ไม่เคยอวยพรฉัน  ตอนนี้ฉันมองเห็นชัดเจนแล้วว่าพระเจ้าไม่ชอบฉัน พระเจ้าปฏิบัติต่อผู้คนไม่เท่าเทียมกัน”  พวกเขากล้าที่จะเปลี่ยนข้อสงสัยที่ตนมีในพระเจ้าให้กลายเป็นการกล่าวโทษพระเจ้าและหมิ่นประมาทพระองค์  เมื่อเรื่องนี้ก่อตัวขึ้นมา พวกเขาจะยังสามารถเดินต่อไปบนเส้นทางที่เป็นความเชื่อในพระเจ้าได้หรือ?  เนื่องจากพวกเขากบฏต่อพระเจ้าและต่อต้านพระเจ้า ไม่ยอมรับความจริงหรือทบทวนตนเองแต่อย่างใด พวกเขาจึงย่อยยับ  การที่ใครสักคนทอดทิ้งพระเจ้าด้วยตนเอง แล้วพร่ำบ่นว่าพระเจ้าไม่ประทานพรหรือพระคุณแก่พวกเขา ย่อมไร้เหตุผลมิใช่หรือ?  ทุกคนเลือกเส้นทางของตนเองและเดินไปบนทางนั้นเอง ไม่มีใครทำเช่นนั้นให้พวกเขาได้  เจ้าเลือกทางตันเอาเอง เป็นเจ้าเองที่ทอดทิ้งพระเจ้าและปฏิเสธพระองค์  ตั้งแต่ต้นจนจบพระเจ้าไม่เคยตรัสว่าพระองค์ไม่ทรงต้องการเจ้า หรือทรงทิ้งเจ้าแล้ว หรือไม่ยอมช่วยเจ้าให้รอด เป็นเจ้าเองที่ตีกรอบพระเจ้าตามการคาดเดาของตน  ถ้าเจ้าเชื่อในพระเจ้าจริง และจะยังคงเชื่อในพระเจ้าต่อให้พระองค์ไม่ทรงต้องการเจ้าก็ตาม เจ้าจะยังคงเชื่อในพระเจ้า อ่านพระวจนะของพระองค์ต่อไป ยังคงยอมรับความจริง และยังคงทำหน้าที่ของเจ้าตามปกติต่อให้พระองค์ทรงชิงชังเจ้าก็ตาม เช่นนั้นแล้วใครจะห้ามปรามหรือหยุดยั้งเจ้าได้?  ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของสิ่งที่เจ้าเลือกและไล่ตามไขว่คว้าทั้งสิ้นมิใช่หรือ?  ตัวเจ้าเองไร้ซึ่งความเชื่อ แต่ก็หันกลับมาพร่ำบ่นพระเจ้า ทำเช่นนี้ไร้เหตุผล  เจ้าไม่ดำรงรักษาสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้า และยืนกรานที่จะทำลายมันเสีย เมื่อเกิดรอยร้าวขึ้นแล้ว จะสมานให้คืนสภาพเดิมได้หรือ?  กระจกแตกแล้วยากที่จะประกอบคืน และต่อให้ประกอบกลับมาได้ รอยร้าวก็ยังคงอยู่ตรงนั้น  ในเมื่อคราวนี้สัมพันธภาพถูกสะบั้นขาดไปแล้ว ก็จะไม่มีวันคืนสภาพเดิมได้  ดังนั้นระหว่างที่เชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญสภาพแวดล้อมเช่นใด ผู้คนก็ควรเรียนรู้ที่จะนบนอบและควรแสวงหาความจริง—เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถตั้งมั่น  ถ้าเจ้าอยากติดตามพระเจ้าไปจนสุดทาง ก็สำคัญยิ่งที่จะต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่ของเจ้าหรือทำสิ่งอื่นใด สิ่งสำคัญก็คือการเข้าใจหลักธรรมความจริง ปฏิบัติและดำเนินการตามหลักธรรมความจริงให้เป็นผล เป็นเพราะกระบวนการทำความเข้าใจความจริงและปฏิบัติความจริงตามหลักธรรมความจริงนี่เอง เจ้าจึงจะมารู้จักพระเจ้า เข้าใจพระเจ้า และตระหนักรู้เรื่องของพระองค์ จับเจตนารมณ์ของพระเจ้าและสัมฤทธิ์ความเข้ากันได้กับพระองค์ ทั้งยังเกิดความเข้าใจและการยอมรับแก่นแท้ของพระเจ้า  ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง เอาแต่กระทำการหรือทำหน้าที่ของเจ้าตามเจตจำนงของเจ้าเอง เจ้าก็จะไม่มีวันได้สัมผัสความจริง  ที่ว่าไม่มีวันได้สัมผัสความจริงนี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าจะไม่มีวันได้สัมผัสท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อทุกสิ่ง พระประสงค์ หรือพระดำริของพระองค์ และยิ่งไม่มีแนวโน้มที่เจ้าจะได้สัมผัสพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าตามที่เผยให้เห็นในพระราชกิจของพระองค์  ถ้าเจ้าไม่สามารถสัมผัสข้อเท็จจริงเหล่านี้ในพระราชกิจของพระเจ้า ความเข้าใจที่เจ้ามีในพระเจ้าก็จะจำกัดอยู่แต่ความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ตลอดกาล  จะคงอยู่ในโลกของความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดต่อไป ไม่มีวันสอดคล้องกับแก่นแท้และพระอุปนิสัยอันแท้จริงของพระเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จะสัมฤทธิ์การเข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริงไม่ได้

ระหว่างที่ทำหน้าที่ของตน ผู้คนมักจะมีประสบการณ์กับสภาวะเชิงลบที่เป็นกบฏ  ถ้าพวกเขาสามารถแสวงหาความจริงและใช้หลักธรรมความจริงจัดการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ภาวะอารมณ์เชิงลบของพวกเขาก็จะไม่กลายเป็นคำพร่ำบ่น การไม่ยอมรับ การท้าทาย การส่งเสียงประท้วง หรือแม้กระทั่งการหมิ่นประมาท  อย่างไรก็ดี ถ้าผู้คนรับมือสิ่งเหล่านี้ด้วยการพึ่งพาแต่ความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ ของตนเอง พึ่งการยับยั้งชั่งใจของมนุษย์ ความอุตสาหะของมนุษย์ ความขยัน การบ่มวินัยร่างกายของตน และแนวทางอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็ว ความคิดฝัน การตัดสิน และการคาดคะเนเยี่ยงมนุษย์เหล่านี้ก็จะกลายเป็นคำพร่ำบ่น การท้าทาย การไม่ยอมรับ การส่งเสียงประท้วง และแม้กระทั่งการหมิ่นประมาทพระเจ้า  เมื่อผู้คนติดอยู่ในกับดักที่เป็นภาวะอารมณ์เชิงลบดังกล่าว พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะเกิดความไม่เชื่อฟัง ความไม่พอใจ และคำพร่ำบ่นพระเจ้า รวมทั้งความรู้สึกหรือความคิดอื่นๆ ในทำนองนั้นขึ้นมา  เมื่อความคิดเหล่านี้สะสมอยู่ในใจผู้คนนานเข้า และพวกเขาก็ยังคงไม่ยอมแสวงหาความจริงหรือใช้ความจริงแก้ปัญหาเหล่านี้ ความไม่เชื่อฟัง ความไม่พอใจ และคำพร่ำบ่นของพวกเขาก็จะกลายเป็นการท้าทาย พวกเขาจะมีพฤติกรรมที่เป็นกบฏ เช่น ทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินหรือจงใจก่อกวนและบ่อนทำลายงานของคริสตจักร ตลอดจนพฤติกรรมเชิงลบอื่นๆ เพื่อแสดงความไม่เชื่อฟังและความไม่พอใจของตนออกมา อันเป็นการสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตนที่จะท้าทายพระเจ้า  บางคนทำลายและก่อกวนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อื่น  ความหมายเบื้องหลังการกระทำของพวกเขาก็คือ “ถ้าฉันทำหน้าที่ของตัวเองไม่ได้ หรือถ้าพระเจ้าไม่อวยพรฉันในหน้าที่ของฉัน ก็แน่นอนว่าฉันย่อมจะทำให้พวกคุณทุกคนไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเช่นกัน!” แล้วพวกเขาก็เริ่มก่อกวน  บางคนทำเช่นนี้ด้วยวาจา ขณะที่ผู้อื่นใช้การกระทำบางอย่าง  คนที่ก่อกวนผู้อื่นด้วยการกระทำของตนอาจจะทำสิ่งใดลงไปบ้าง?  ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจจะจงใจลบไฟล์ในคอมพิวเตอร์ของใครสักคนเพื่อให้หน้าที่ของคนเหล่านั้นได้รับผลกระทบ หรืออาจจะจงใจก่อกวนการชุมนุมทางออนไลน์  นี่คือหมู่มารและเหล่าซาตานที่คอยก่อกวนผู้คน  ผู้คนไม่เข้าใจว่า “คนที่มีอายุขนาดนี้ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร?  ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว ยังคงเล่นคะนองอย่างนี้ได้อย่างไร?”  อันที่จริง ผู้คนในวัยสามสิบ สี่สิบ ห้าสิบ หรือหกสิบปีก็สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้เช่นกัน  พฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ นี่ไม่ใช่การกระทำของคนที่มีมโนธรรมและเหตุผล แต่เป็นการกระทำของหมู่มารและเหล่าซาตาน  เมื่อเห็นว่าผู้อื่นไม่ได้รับผลกระทบและตนเองก็ไม่บรรลุจุดหมาย เมื่อนั้นคนเช่นนี้ย่อมจะระบายความคิดลบและก่อให้เกิดการรบกวนในช่วงเวลาที่มีผู้คนอยู่ด้วยมากมายหรือขณะชุมนุม  เมื่อพวกเขาเริ่มพรั่งพรูความไม่พอใจของตนออกมาทางการกระทำต่างๆ ก็ยากแล้วที่จะควบคุมสถานการณ์ และยากมากที่จะดึงรั้งพวกเขาเอาไว้ ถ้าสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป ก็มีแต่ความเป็นไปได้ที่จะรุนแรงขึ้น มีธรรมชาติที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขาไม่เพียงใช้การกระทำของตนมาก่อให้เกิดการรบกวนเท่านั้น แต่ยังใช้ลู่ทางและวิธีการต่างๆ อีกด้วย ใช้ภาษาที่ก้าวร้าวและตัดสินมาก่อกวนผู้อื่นขณะที่ฝ่ายหลังทำหน้าที่ของตน  ไม่ว่าพวกเขาจะบรรลุจุดหมายของตนหรือไม่ก็ตาม ถึงเวลานั้นหัวใจของพวกเขาย่อมไม่ยอมรับพระเจ้า พวกเขาไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือเรียนรู้บทเพลงนมัสการ และพวกเขาก็ไม่ยอมอ่านหนังสือใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง  เวลาอยู่บ้าน พวกเขาทำสิ่งใด?  พวกเขาอ่านนิยาย ดูละครโทรทัศน์ เรียนรู้วิธีปรุงอาหาร ศึกษาวิธีแต่งหน้าและทำผม…  เวลาชุมนุมพวกเขาก็ไม่สามัคคีธรรมถึงความเข้าใจที่ตนมีในพระวจนะของพระเจ้า และไม่สามัคคีธรรมว่าควรแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและการเผยความเสื่อมทรามออกมาอย่างไร  เมื่อผู้อื่นสามัคคีธรรม พวกเขาก็จงใจยึดการสนทนาไปเป็นของตน ตัดบทคนที่กำลังพูดอยู่ เจตนาเปลี่ยนเรื่องพูด และอื่นๆ กล่าวสิ่งที่บ่อนทำลายและรบกวนอยู่เสมอ  เหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้?  สาเหตุอยู่ที่พวกเขาเชื่อว่าตนไม่มีหวังในความรอด ซึ่งทำให้พวกเขาล้มเลิกและเริ่มกระทำการด้วยความวู่วาม พวกเขามองหาเพื่อนร่วมทางสักสองสามคนก่อนที่ตนเองจะถูกเอาตัวออกไปหรือไล่ออกจากคริสตจักร—ถ้าพวกเขาไม่สามารถได้รับพร ก็แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเช่นกัน  เหตุใดพวกเขาจึงคิดแบบนี้?  พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าที่พวกเขาเชื่ออยู่นั้นไม่เหมือนพระเจ้าที่พวกเขาจินตนาการไว้ในตอนแรก พระองค์ไม่รักผู้คนมากเท่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้ และไม่ทรงธรรมอีกด้วย แน่นอนว่าพระองค์ก็ไม่ได้รักใคร่เอ็นดูผู้คนอย่างจริงใจดังที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้  พระเจ้ารักผู้อื่น แต่ไม่รักพวกเขา พระเจ้าช่วยผู้อื่นให้รอด แต่ไม่ช่วยพวกเขา  ในเมื่อตอนนี้พวกเขามองไม่เห็นว่าตนมีความหวัง และรู้สึกว่าตนไม่สามารถได้รับความรอด พวกเขาจึงล้มเลิกและเริ่มกระทำการด้วยความวู่วาม  แต่เรื่องไม่ได้มีเพียงเท่านั้น พวกเขายังอยากให้ผู้อื่นมองเห็นด้วยว่าในเมื่อพวกเขาไม่มีหวัง ผู้อื่นก็ไม่มีหวังเช่นกัน และพวกเขาจะพอใจก็ต่อเมื่อพวกเขาทำให้ทุกคนเลิกเชื่อในพระเจ้าและถอนตัวจากความเชื่อของตน  จุดหมายของพวกเขาในการทำเช่นนี้ก็คือ “ถ้าฉันไม่ได้รับพรจากราชอาณาจักรสวรรค์ พวกคุณก็ไม่ควรแม้แต่จะฝันเช่นกันว่าจะได้พร!”  คนเยี่ยงนี้เป็นวายร้ายจำพวกใด?  พวกเขาเป็นมารมิใช่หรือ?  พวกเขาก็คือมาร มีนรกเป็นที่ไป เป็นมารที่ห้ามผู้อื่นเชื่อในพระเจ้าและห้ามเข้าราชอาณาจักรสวรรค์อีกด้วย พวกเขากำลังตบเท้าเดินตรงเข้าไปหาทางตัน!  คนที่พอจะมีมโนธรรมและหัวใจที่กลัวเกรงพระเจ้าอยู่บ้างไม่ควรกระทำการเช่นนี้ ถ้าคนเหล่านี้ทำความชั่วใหญ่หลวงและถูกเผยตัวเข้าจริงๆ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่มีหวังอีกต่อไป คนเหล่านี้ย่อมมุ่งหมายที่จะช่วยให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จอยู่ดี ยอมให้ผู้อื่นเชื่อในพระเจ้าด้วยความตั้งใจจริงและไม่เอาพวกตนเป็นเยี่ยงอย่าง  พวกเขาอาจจะกล่าวว่า “ฉันอ่อนแอเกินไป มีความอยากได้อยากมีทางเนื้อหนังที่รุนแรง และหลงใหลเรื่องทางโลกมากเหลือเกิน  นี่เป็นความผิดของฉันเอง ก็สมควรแล้วที่ฉันจะเป็นเช่นนี้!  พวกคุณเป็นผู้เชื่อที่จริงจังต่อไปเถิด อย่าเอาอย่างฉัน  ระหว่างชุมนุม ฉันจะคอยดูต้นทางให้ ถ้าตำรวจของพญานาคใหญ่สีแดงเข้าหมู่บ้านมา ฉันจะบอกให้พวกคุณรู้ตัว”  คนที่มีความเป็นมนุษย์สักนิดควรทำให้ได้ประมาณนี้เป็นอย่างน้อย และไม่ควรรบกวนการไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้อื่น  แต่คนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ พอไม่ได้ดังใจ หรือมองว่าพี่น้องชายหญิงดูแคลนและตีตัวออกห่างจากตน รู้สึกว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยและกำจัดพวกเขาออกไปแล้ว พวกเขาไม่มีหวังที่จะได้รับความรอดแล้ว  เมื่อพวกเขามีแนวคิดและความคิดอ่านทำนองนี้ พวกเขาก็วางมือและเริ่มกระทำการวู่วาม ระบายความคิดลบและก่อกวนชีวิตคริสตจักรโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ  ผู้คนเช่นใดที่ทำแบบนี้?  พวกเขาเป็นมารมิใช่หรือ?  (ใช่)  ควรมีมารยาทกับผู้คนที่เป็นมารหรือไม่?  (ไม่)  แล้วควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร?  เจ้าจงกล่าวว่า “คุณมาชุมนุม แต่กลับไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้า ทั้งยังไม่ยอมรับความจริงอีกด้วย  แบบนี้คุณจะอยู่ตรงนี้ไปทำไม?  จะก่อกวนใช่ไหม?  คุณนึกว่าตัวเองไม่มีหวังในความรอด แท้จริงแล้วพวกเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีหวังมากนักเช่นกัน แต่พวกเราก็พากเพียร  พวกเราเชื่อว่าพระเจ้าไม่ทรงลำเอียง สามารถเชื่อถือพระองค์ได้ พระทัยของพระองค์มีความจริงใจที่จะช่วยผู้คนให้รอด และพระทัยของพระองค์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง  ตราบใดที่มีความหวังสักนิด พวกเราก็จะไม่ล้มเลิก  พวกเราจะไม่คิดลบและเข้าใจพระเจ้าผิดตลอดเวลาอย่างคุณ  ถ้าคุณคิดว่าสามารถก่อกวนหรือฉุดรั้งพวกเราได้ คุณก็ฝันไปแล้ว!  ถ้าคุณยังดึงดันด้วยความดื้อรั้น ยังเชื่อเช่นนี้ต่อไป และอยากปองร้ายก่อกวนพวกเราต่อไป เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าพวกเราหยาบคายกับคุณ  คุณถูกเอาตัวออกไปนับแต่วันนี้ ไม่มีที่ให้คุณในคริสตจักรแห่งนี้อีกแล้ว  ทีนี้ก็ไปเสีย!”  เมื่อทำดังนี้ก็ย่อมจัดการปัญหาแล้วใช่หรือไม่?  เรื่องนี้ง่าย เพียงไม่กี่คำก็ชำระพวกเขาออกไปได้แล้ว  เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก!  เหตุใดจึงจัดการด้วยวิธีนี้?  เพราะแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนเช่นนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ พวกเขาจะไม่ยอมรับความจริง  คิดไปว่าตนเองไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด พระเจ้าไม่เคยตรัสเช่นนี้ และพี่น้องชายหญิงก็ไม่เคยพูด แต่พวกเขากลับทำความชั่วและก่อกวนในลักษณะนี้  ถ้าวันหนึ่งพวกเขาถูกไล่ออกไปเพราะทำความชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักรเข้าจริงๆ หรือถ้าพระเจ้าทรงบ่มวินัยพวกเขาเพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะทำอย่างไร?  เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูของพระเจ้า เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาจะหาทางแก้แค้น?  เป็นไปได้อย่างมาก!  ดีแล้วที่ผู้คนเช่นนี้ถูกเผยตัวก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำความผิดหรือทำชั่วครั้งใหญ่ได้สำเร็จ  นี่คือการกระทำของพระเจ้า พระเจ้าทรงเผยพวกเขาออกมา  คราวนี้การชำระพวกเขาออกไปย่อมถูกต้องโดยแท้ และยังไม่มีใครทนทุกข์กับความสูญเสียใดๆ  การจัดการเรื่องราวเช่นนี้ย่อมทันกาลและเหมาะสม ทุกคนเกิดวิจารณญาณ และคนชั่วก็ถูกจัดการ  บทบาทของพวกเขาในฐานะตัวประกอบเสริมความเด่นก็ลุล่วงดีพอ

โดยพื้นฐานแล้ว เหล่านี้คือสภาวะและการสำแดงต่างๆ ของผู้คนที่ระบายความคิดลบออกมา  เมื่อความอยากไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ของพวกเขายังไม่ลุล่วง เมื่อพระเจ้าทรงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา ตรงข้ามกับสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาย่อมติดบ่วงที่เป็นความรู้สึกที่ไม่เชื่อฟังและไม่พอใจ  และเมื่อพวกเขามีความรู้สึกเหล่านี้ จิตใจของพวกเขาก็เริ่มมีข้ออ้าง ข้อแก้ตัว เหตุผลอันชอบธรรม การแก้ต่าง และความคิดอื่นๆ ที่เป็นการพร่ำบ่น  ถึงตอนนี้พวกเขาย่อมไม่สรรเสริญพระเจ้าหรือนบนอบพระองค์ และยิ่งไม่แสวงหาความจริงเพื่อทำความรู้จักตนเอง พวกเขากลับต่อสู้กับพระเจ้าโดยใช้มโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ความคิดอ่านและมุมมอง หรือความหุนหันพลันแล่นของตน  แล้วพวกเขาต่อสู้กับพระเจ้าอย่างไร?  พวกเขาแพร่กระจายความรู้สึกที่ไม่เชื่อฟังและไม่พอใจของตน ใช้การนี้มาทำให้ความคิดและมุมมองของตนเป็นที่ชัดเจนแก่พระเจ้า พยายามทำให้พระเจ้ากระทำการตามเจตจำนงและข้อเรียกร้องของตนเพื่อที่จะสนองความปรารถนาของตน เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขารู้สึกเบาลง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้าทรงแสดงความจริงมากมายเพื่อพิพากษาและตีสอนผู้คน เพื่อชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อช่วยผู้คนให้รอดจากอิทธิพลของซาตาน และใครจะไปรู้ว่าความฝันที่จะได้รับพรของผู้คนถูกความจริงเหล่านี้บั่นทอนไปมากเท่าใดแล้ว พังทลายความคิดเพ้อฝันว่าจะถูกรับขึ้นไปยังราชอาณาจักรสวรรค์ที่พวกเขามุ่งหวังทั้งวันทั้งคืน  พวกเขาต้องการทำทุกสิ่งที่ตนสามารถทำได้เพื่อปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ไปในทางตรงกันข้าม—แต่พวกเขาก็ไม่มีพลังอำนาจ พวกเขาทำได้เพียงจมดิ่งอยู่ในความวิบัติพร้อมกับความเป็นลบและความขุ่นเคืองเท่านั้น  พวกเขาไม่เชื่อฟังสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมเอาไว้ให้ เพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นขัดแย้งกับมโนคติอันหลงผิด ผลประโยชน์ และการคิดของพวกเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคริสตจักรทำงานแห่งการชำระให้สะอาดและกำจัดผู้คนมากมายออกไป ผู้คนเหล่านี้ก็คิดว่าพระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด พวกตนกลายเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของพระองค์ ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้นพวกเขาย่อมจะรวมตัวกันท้าทายพระเจ้า ปฏิเสธว่าพระเจ้าไม่ใช่ความจริง ปฏิเสธอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า และปฏิเสธพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะปฏิเสธข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือสรรพสิ่งอีกด้วย  และพวกเขาปฏิเสธทั้งหมดนี้ด้วยวิธีการเช่นใด?  ด้วยการท้าทายและไม่ยอมรับ  ความหมายโดยนัยก็คือ “สิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นไม่ลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดของข้าพระองค์ ดังนั้นข้าพระองค์จึงไม่นบนอบ ไม่เชื่อว่าพระองค์คือความจริง  และจะส่งเสียงประท้วงพระองค์ แพร่สิ่งเหล่านี้ในคริสตจักรและในหมู่คน!  ข้าพระองค์จะพูดทุกสิ่งที่อยากพูด และไม่ใส่ใจว่าผลสืบเนื่องจะเป็นเช่นไร ข้าพระองค์มีเสรีภาพที่จะพูด  พระองค์จะปิดปากข้าพระองค์ไม่ได้—ข้าพระองค์อยากพูดอะไรก็จะพูด  แล้วพระองค์จะทำอะไรได้?”  เมื่อผู้คนเหล่านี้ยืนกรานที่จะพูดความคิดและมุมมองที่ผิดของตนออกมา พวกเขากำลังพูดเรื่องความเข้าใจของตนเองอยู่หรือไม่?  พวกเขากำลังสามัคคีธรรมความจริงอยู่หรือไม่?  ไม่ใช่เป็นแน่  พวกเขากำลังแพร่ความคิดลบ กำลังเผยแพร่ความคิดนอกรีตและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน  ไม่ได้พยายามทำความรู้จักความเสื่อมทรามของตนเองหรือเปิดโปงมันออกมา พวกเขาไม่ยอมเปิดโปงสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำลงไปซึ่งไม่ลงรอยกับความจริง และไม่ยอมเปิดโปงความผิดที่ตนทำ  กลับพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะใช้เหตุผลมาอธิบายความผิดของตนและแก้ต่างให้กับความผิดเหล่านั้นเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาถูก พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ยังมีข้อสรุปที่ไร้สาระ กล่าวมุมมองที่บิดเบี้ยวและเป็นโทษ รวมทั้งข้อโต้แย้งและความคิดนอกรีตที่บิดเบี้ยวอีกด้วย  ผลที่เกิดแก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรก็คือการชักพาให้พวกเขาหลงผิดและก่อกวน ถึงกับสามารถทำให้บางคนจมดิ่งอยู่กับสภาวะที่คิดลบและสับสนได้  ทั้งหมดนี้คือผลอันไม่พึงประสงค์และเป็นการก่อกวนซึ่งมีสาเหตุมาจากผู้คนที่ระบายความคิดลบออกมาทั้งสิ้น  ฉะนั้นจึงควรควบคุมคนที่ระบายความคิดลบเอาไว้ รวมทั้งวาจาและพฤติกรรมของพวกเขาด้วย—ไม่ควรอนุญาตให้ทำอะไรตามอำเภอใจ  คริสตจักรควรมีวิธีการและหลักธรรมที่เหมาะสมในการรับมือผู้คนเหล่านี้  ด้านหนึ่งพี่น้องชายหญิงควรมีวิจารณญาณในตัวผู้คนเหล่านี้และในความเห็นเชิงลบของพวกเขา  อีกด้านหนึ่งเมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีวิจารณญาณ คริสตจักรก็ควรไล่หรือเอาตัวคนเหล่านี้ออกไปตามหลักธรรมความจริงทันที ป้องกันไม่ให้ผู้คนอีกมากพลอยถูกครอบงำและรบกวน  พวกเราก็สรุปจบสามัคคีธรรมเรื่องการระบายความคิดลบในแง่มุมต่างๆ ไว้เพียงเท่านี้

ค. หลักธรรมและเส้นทางแก้ไขการคิดลบ

ผู้คนมีธรรมชาติของซาตาน เมื่อใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงสภาวะเชิงลบได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนเราไม่เข้าใจความจริง การคิดลบย่อมเกิดขึ้นเป็นประจำ  ทุกคนมีช่วงเวลาที่คิดลบ บ้างก็บ่อยกว่า บ้างก็ไม่บ่อยนัก บางคนคิดลบนานกว่า และบางคนก็คิดลบไม่นานเท่า  วุฒิภาวะของผู้คนแตกต่างกัน สภาวะที่พวกเขาคิดลบจึงต่างกันด้วย  คนที่มีวุฒิภาวะมากกว่าย่อมคิดลบบ้างเฉพาะเมื่อเผชิญบททดสอบเท่านั้น ส่วนคนที่มีวุฒิภาวะน้อยกว่าและยังไม่เข้าใจความจริง ย่อมไม่สามารถใช้วิจารณญาณได้ในยามที่ผู้อื่นแพร่มโนคติอันหลงผิดบางอย่างหรือพูดเรื่องเหลวไหล พวกเขาจึงถูกรบกวน ครอบงำ และคิดลบได้  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอันใดก็พาให้พวกเขาคิดลบได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึงก็ตาม  แล้วควรแก้ปัญหาเรื่องการคิดลบบ่อยๆ นี้อย่างไร?  ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้วิธีแสวงหาความจริง ไม่รู้ว่าควรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรืออธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างไร เช่นนั้นก็ย่อมเป็นปัญหาอย่างมาก พวกเขาจะได้แต่พึ่งพาการเกื้อหนุนและช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงเท่านั้น  ถ้าไม่มีใครช่วยได้ หรือถ้าพวกเขาไม่ยอมรับความช่วยเหลือ พวกเขาก็อาจจะคิดลบต่อไปจนไม่สามารถฟื้นคืนสภาพและอาจถึงกับเลิกเชื่อไปเลย  จงดูเถิด การที่ใครสักคนมีมโนคติอันหลงผิดอยู่เสมอและคิดลบได้ง่ายเป็นอันตรายอย่างยิ่ง  ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงแก่ผู้คนเช่นนี้อย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับ ยืนกรานอยู่เสมอว่ามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนนั้นถูกต้องแล้ว นี่เป็นผู้คนที่ทำให้เดือดร้อนอย่างยิ่ง  ไม่ว่าเจ้าจะคิดลบอย่างไร เจ้าก็ควรเข้าใจอยู่ในหัวใจว่าการมีมโนคติอันหลงผิดไม่ได้หมายความว่ามโนคติเหล่านั้นสอดคล้องกับความจริง นี่กลับหมายความว่าความเข้าใจของเจ้ามีปัญหา  ถ้าเจ้ามีเหตุผลอยู่บ้าง เจ้าก็ไม่ควรแพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ ผู้คนควรค้ำชูเรื่องนี้เป็นอย่างน้อย  ถ้าเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าสักนิดและยอมรับได้ว่าตัวเจ้าคือผู้ติดตามพระเจ้า เจ้าก็ควรแสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนเอง นบนอบความจริง หลีกเลี่ยงการขัดขวางและก่อกวน  ถ้าเจ้าไม่สามารถทำเช่นนี้ได้และยืนกรานที่จะแพร่มโนคติอันหลงผิด เช่นนั้นเจ้าก็สูญเสียเหตุผลไปแล้ว เจ้าผิดปกติทางใจ ถูกพวกปีศาจครอบงำ และไม่อาจควบคุมตัวเองได้  เมื่อถูกพวกปีศาจครอบงำ ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าย่อมเอ่ยปากแพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้—เป็นเรื่องที่อดไม่ได้ นี่คืองานของพวกวิญญาณชั่ว  ถ้าเจ้ามีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้าง เจ้าก็ควรทำได้ดังนี้คือ ไม่แพร่มโนคติอันหลงผิด และไม่รบกวนพี่น้องชายหญิง  ต่อให้เจ้าคิดลบ เจ้าก็ไม่ควรทำสิ่งที่เป็นภัยต่อพี่น้องชายหญิง เจ้าควรทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็พอ ทำสิ่งที่เจ้าควรทำอย่างถูกควร และตรวจสอบให้แน่ใจว่าเจ้าอยู่เหนือวิสัยที่จะติเตียนตัวเองแล้ว—นี่คือมาตรฐานการประพฤติปฏิบัติตนขั้นต่ำสุด  ต่อให้เจ้าคิดลบเป็นบางครั้ง แต่ไม่ได้ทำสิ่งใดที่ล้ำเส้น พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงถือสาการคิดลบของเจ้า  ตราบใดที่เจ้ามีมโนธรรมและเหตุผล สามารถพึ่งพาและอธิษฐานถึงพระเจ้า สามารถแสวงหาความจริง เจ้าย่อมจะมาเข้าใจความจริงและกลับตัวได้ในที่สุด  ถ้าเจ้าเผชิญเหตุการณ์ที่สำคัญ เช่น ถูกปลดและกำจัดออกไปเพราะไม่ทำงานจริงในฐานะผู้นำ รู้สึกว่าไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด แล้วเจ้าก็คิดลบ—คิดลบมากเกินไปจนเจ้าไม่อาจฟื้นฟูจิตใจได้ รู้สึกเหมือนตนเองถูกกล่าวโทษและสาปแช่งไปแล้ว เจ้าเกิดความเข้าใจผิดและคำพร่ำบ่นพระเจ้า—เจ้าควรทำเช่นไร?  เรื่องนี้จัดการง่ายมาก จงหาใครบางคนที่เข้าใจความจริงมาสามัคคีธรรมและแสวงหาด้วย เปิดใจพูดจากับผู้คนเหล่านี้  ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ จงมาเบื้องหน้าพระเจ้าเพื่ออธิษฐานด้วยความสัตย์จริงเกี่ยวกับการคิดลบและความอ่อนแอของเจ้า รวมทั้งบางสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจและไม่อาจก้าวข้ามได้ เล่าไปทีละเรื่อง—สามัคคีธรรมกับพระเจ้า อย่าปิดบังสิ่งใด  ถ้ามีเรื่องที่ไม่อาจพูดออกมาซึ่งเจ้าไม่สามารถเล่าให้ผู้อื่นฟังได้ ก็ยิ่งสำคัญมากที่เจ้าจะต้องมาอธิษฐานเบื้องหน้าพระเจ้า  บางคนถามว่า “การพูดเรื่องอย่างนั้นให้พระเจ้าฟังไม่ทำให้ถูกกล่าวโทษหรอกหรือ?”  เจ้าทำเรื่องที่ต่อต้านพระเจ้าและเรื่องที่ทำให้พระองค์กล่าวโทษไปมากมายแล้วมิใช่หรือ?  เหตุใดจึงมัวพะวงกับเรื่องที่เพิ่มมาอีกเรื่องเดียวนี้?  เจ้านึกหรือว่าถ้าเจ้าไม่เอ่ยปากเล่า พระเจ้าจะไม่ทรงรู้?  พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งที่เจ้าคิด  เจ้าควรสามัคคีธรรมกับพระเจ้าอย่างเปิดเผย พูดออกมาจากหัวใจ เล่าปัญหาและสภาวะของเจ้าแก่พระองค์ไปตามความสัตย์จริง  ความอ่อนแอของเจ้า ความเป็นกบฏ และแม้กระทั่งคำที่เจ้าพร่ำบ่นล้วนกล่าวให้พระเจ้าฟังได้หมด  ต่อให้เจ้าอยากระบาย นั่นก็ไม่เป็นไร—พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเรื่องนี้  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงกล่าวโทษเรื่องนี้?  พระเจ้าทรงรู้วุฒิภาวะของมนุษย์ ต่อให้เจ้าไม่พูดกับพระองค์ พระองค์ก็ทรงรู้วุฒิภาวะของเจ้าอยู่ดี  ด้วยการพูดกับพระเจ้า ในแง่หนึ่งนี่เป็นโอกาสที่เจ้าจะนำตัวเองมาแผ่วางและเปิดใจกับพระเจ้า  อีกแง่หนึ่งก็แสดงให้เห็นท่าทีอันนบนอบที่เจ้ามีต่อพระเจ้าอีกด้วย อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ทำให้พระเจ้ามองเห็นว่าเจ้าไม่ได้ปิดกั้นหัวใจจากพระองค์ เจ้าเพียงแต่อ่อนแอ ไม่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะเอาชนะเรื่องนี้เท่านั้นเอง  เจ้าไม่ได้มีเจตนาที่จะท้าทาย ท่าทีของเจ้าคือการนบนอบ เพียงแต่ว่าเจ้ามีวุฒิภาวะน้อยเกินไป และไม่สามารถแบกรับเรื่องนี้ได้  เมื่อเจ้าเปิดใจกับพระเจ้าทุกด้านและสามารถเล่าความคิดที่อยู่ลึกสุดในใจของเจ้าให้พระองค์ฟัง แม้สิ่งที่เจ้ากล่าวออกมาจะมีความอ่อนแอและคำพร่ำบ่น—และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสิ่งที่เป็นลบและไม่พึงประสงค์อยู่มากมาย—แต่มีสิ่งหนึ่งที่ถูกต้องในเรื่องนี้คือ เจ้ายอมรับรู้ว่าเจ้ามีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม เจ้ายอมรับรู้ว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าไม่ปฏิเสธอัตลักษณ์ของพระเจ้าว่าทรงเป็นพระผู้สร้าง และเจ้าก็ไม่ปฏิเสธว่าสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าเป็นสัมพันธภาพของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้าง  เจ้านำสิ่งที่เจ้าเห็นว่าก้าวข้ามได้ยากที่สุด สิ่งที่ทำให้เจ้าอ่อนแออย่างที่สุด มาฝากไว้กับพระเจ้า และเจ้าก็เล่าความรู้สึกทั้งหมดในใจส่วนลึกสุดให้พระเจ้าฟัง—นี่แสดงให้เห็นท่าทีของเจ้า  บางคนกล่าวว่า “ฉันเคยอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ครั้งหนึ่ง และนั่นก็ไม่ได้แก้ไขการคิดลบของฉัน  ฉันยังคงก้าวข้ามมันไปไม่ได้”  นั่นไม่สำคัญ เจ้าเพียงต้องแสวงหาความจริงด้วยความตั้งใจจริง  ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจมากน้อยเพียงใด พระเจ้าก็จะทรงทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ เจ้าจะไม่อ่อนแออย่างที่เคยเป็นในตอนเริ่มแรกอีกต่อไป  ไม่ว่าเจ้าจะคิดลบและมีความอ่อนแอมากเท่าใด หรือมีคำพร่ำบ่นและภาวะอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์อยู่มากเพียงใด ก็จงคุยกับพระเจ้า อย่าทำเหมือนพระเจ้าทรงเป็นคนนอก  เจ้าอาจซ่อนเร้นสิ่งต่างๆ จากใครก็ได้ แต่อย่าซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้า เพราะพระเจ้าคือที่พึ่งพาเพียงหนึ่งเดียวของเจ้า และทรงเป็นความรอดเพียงหนึ่งเดียวของเจ้าอีกด้วย  ปัญหาเหล่านี้จะสามารถแก้ไขได้ก็ด้วยการมาเบื้องหน้าพระเจ้าเท่านั้น การพึ่งพาผู้คนย่อมไร้ประโยชน์  ด้วยเหตุนี้ เมื่อเผชิญการคิดลบและความอ่อนแอ คนที่มาเบื้องหน้าพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์จึงเป็นคนที่หลักแหลมที่สุด  เวลาเผชิญเหตุวิกฤติที่สำคัญและจำเป็นต้องพรั่งพรูความในใจให้พระเจ้าฟัง มีแต่คนเบาปัญญาและดื้อรั้นเท่านั้นที่ขยับออกห่างจากพระเจ้าและยิ่งหลีกเลี่ยงพระเจ้ามากขึ้น คอยวางแผนอยู่ในใจ  ผลของการวางแผนทั้งหมดนี้เป็นเช่นใด?  ความคิดลบและคำพร่ำบ่นของพวกเขากลายเป็นการท้าทาย แล้วการท้าทายก็กลายเป็นการไม่ยอมรับและส่งเสียงประท้วงพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้กลายเป็นคนที่ไม่อาจเห็นพ้องต้องกันกับพระเจ้าได้โดยสิ้นเชิง และสัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้าก็พังทลายไปสิ้น  อย่างไรก็ดี เมื่อเจ้าเผชิญการคิดลบและความอ่อนแอเช่นนี้ ถ้าเจ้ายังคงเลือกได้ที่จะมาเบื้องหน้าพระเจ้าเพื่อแสวงหาความจริง เลือกได้ที่จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า และเจ้าก็มีท่าทีที่นบนอบอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเมื่อทอดพระเนตรเห็นว่าเจ้ายังคงต้องการนบนอบพระองค์ด้วยใจจริงแม้ในยามที่เจ้าคิดลบและอ่อนแอ พระเจ้าย่อมรู้ว่าจะทรงนำเจ้าอย่างไร เป็นการนำเจ้าออกจากการคิดลบและความอ่อนแอของเจ้า  หลังจากที่มีประสบการณ์เหล่านี้แล้ว เจ้าก็จะเกิดความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า  เจ้าจะรู้สึกว่าไม่ว่าจะเผชิญความยุ่งยากอันใด ตราบใดที่เจ้าแสวงหาพระเจ้าและรอคอยพระองค์ พระองค์ก็จะทรงจัดเตรียมทางออกให้เจ้าโดยที่เจ้าไม่รู้ เปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยที่เจ้าไม่ทันตระหนักด้วยซ้ำ ทำให้เจ้าไม่อ่อนแออีกต่อไป แต่กลับเข้มแข็ง และเป็นการเพิ่มพูนความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า  เมื่อเจ้านึกทบทวนเหตุการณ์เหล่านี้ เจ้าก็จะรู้สึกว่าความอ่อนแอของเจ้าในเวลานั้นเหมือนเด็กโดยแท้  ที่จริงแล้วผู้คนไม่รู้จักโตเช่นนี้เอง และถ้าไม่มีการเกื้อหนุนจากพระเจ้า พวกเขาก็จะไม่มีวันโตเป็นผู้ใหญ่พ้นจากความเป็นเด็กไม่รู้ความของตน  เฉพาะเมื่อยอมรับและนบนอบอธิปไตยของพระเจ้าไปทีละน้อยพลางมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ไปด้วย เผชิญหน้าข้อเท็จจริงเหล่านี้อย่างแข็งขันและเป็นบวก แสวงหาหลักธรรม แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่หลีกเลี่ยงหรือพาตัวออกห่างจากพระเจ้าอีกต่อไป และไม่เป็นกบฏต่อพระเจ้า แต่นบนอบมากขึ้นเรื่อยๆ กบฏน้อยลงทุกที ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้นทุกที และสามารถนบนอบพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ—ด้วยประสบการณ์เช่นนี้เท่านั้น ชีวิตของคนเราจึงจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างค่อยเป็นค่อยไป มีวุฒิภาวะของผู้ใหญ่อย่างเต็มที่

คนเราควรรับมือและแก้ไขสภาวะที่คิดลบอย่างไร?  การคิดลบไม่ใช่สิ่งที่พึงกลัว กุญแจสำคัญอยู่ที่การมีเหตุผล  เวลาที่คนเราคิดลบอยู่เสมอ ก็ย่อมง่ายมิใช่หรือที่จะกระทำการด้วยความเบาปัญญา?  เวลาที่คิดลบ คนเราย่อมเอาแต่พร่ำบ่นหรือไม่ก็หมดหวังในตนเอง พูดจาและกระทำการอย่างไม่มีเหตุผลใดๆ—นี่ย่อมส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขามิใช่หรือ?  ถ้าคนเรายอมจำนนต่อความท้อแท้และคิดลบได้จนไม่ยอมทำงาน นี่ก็คือการทรยศพระเจ้ามิใช่หรือ?  การคิดลบอย่างรุนแรงก็เหมือนการเป็นโรคทางจิตเวช ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการถูกพวกปีศาจครอบงำ ซึ่งก็คือการไม่มีเหตุผล  การไม่แสวงหาความจริงเพื่อหาทางออกจึงเป็นอันตรายโดยแท้  เมื่อผู้คนคิดลบ ถ้าพวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าแต่อย่างใด พวกเขาก็จะไร้เหตุผลได้ง่าย และจะแพร่ความคิดลบ ความไม่พอใจ และมโนคติอันหลงผิดของตนไปทั่ว  นี่คือการเจตนาต่อต้านพระเจ้า ซึ่งสามารถขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรได้ง่ายเหลือเกิน ส่วนผลสืบเนื่องก็น่ากลัวเกินกว่าจะนึกถึง และพวกเขาก็อาจจะกลายเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของพระเจ้าได้ง่ายมาก  อย่างไรก็ดี ถ้าคนที่คิดลบสามารถแสวงหาความจริง ดำรงรักษาหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ไม่พูดจาในทางลบ ไม่แพร่ความคิดลบและมโนคติอันหลงผิดของตน ดำรงรักษาความเชื่อที่ตนมีในพระเจ้า รวมทั้งท่าทีที่นบนอบพระองค์เอาไว้ คนเช่นนี้ย่อมจะหลุดจากการคิดลบได้ง่าย  ทุกคนมีช่วงเวลาที่คิดลบกันทั้งสิ้น เพียงแต่ช่วงเวลาเช่นนั้นย่อมมีความเข้มข้น มีระยะเวลา และสาเหตุแตกต่างกันไป  บางคนปกติแล้วไม่ค่อยคิดลบ แต่กลับเป็นเช่นนั้นเมื่อเผชิญความล้มเหลวหรือสะดุดบางอย่างเข้า ส่วนผู้อื่นกลับสามารถคิดลบในเรื่องเล็กน้อยได้ ต่อให้เป็นเพียงสิ่งที่ใครบางคนพูดออกมาแล้วทำร้ายความภาคภูมิใจของพวกเขาก็ตาม  บางคนคิดลบเมื่อพบเจอรูปการณ์ที่ไม่ค่อยเป็นใจ  ผู้คนเช่นนี้เข้าใจวิธีใช้ชีวิตหรือไม่?  พวกเขามีความเข้าใจเชิงลึกหรือไม่?  มีจิตใจที่กว้างขวางและเผื่อแผ่ของคนที่ปกติหรือไม่?  ไม่มี  ไม่ว่ารูปการณ์จะเป็นเช่นใด ตราบใดที่คนเราใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน พวกเขาก็จะตกอยู่ในสภาวะที่คิดลบบ่อยครั้ง  แน่นอนว่าถ้าคนคนหนึ่งเข้าใจความจริงและสามารถเท่าทันสิ่งต่างๆ ได้ สภาวะที่พวกเขาคิดลบก็จะน้อยลงเรื่อยๆ ระหว่างที่วุฒิภาวะของพวกเขาเติบโต การคิดลบก็จะค่อยๆ หายไป หมดไปโดยสิ้นเชิงในที่สุด  คนที่ไม่รักความจริง ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด ย่อมจะมีภาวะอารมณ์เชิงลบ สภาวะที่เป็นลบ ความคิดและท่าทีที่เป็นลบ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อยิ่งสะสมก็จะยิ่งร้ายแรง และเมื่อถูกสิ่งเหล่านี้ท่วมทับ พวกเขาก็จะไม่สามารถฟื้นคืนสภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก  ฉะนั้นการแก้ไขการคิดลบทันทีจึงสำคัญมาก  การที่จะแก้ไขการคิดลบนี้ คนเราต้องแสวงหาความจริงในเชิงรุก การอ่านและใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า พลางดำรงรักษาสภาวะอันเงียบสงบในการสถิตของพระองค์ไปด้วย จะพาให้เกิดความรู้แจ้งและความกระจ่าง เปิดโอกาสให้คนเราเข้าใจความจริงและเท่าทันแก่นแท้ของการคิดลบ ด้วยเหตุนี้จึงแก้ปัญหาเรื่องการคิดลบได้  ถ้าเจ้ายังคงยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดและเหตุผลของตนเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็โง่เขลาอย่างยิ่ง และจะตายเพราะความโง่เขลาและไม่รู้ความของตนเอง  ไม่ว่าอย่างไร การคิดลบนี้ควรแก้ไขในเชิงรุก ไม่ใช่นิ่งเฉย  บางคนคิดว่าเมื่อเกิดความคิดลบขึ้นมา พวกเขาควรเพิกเฉยก็พอ เมื่อรู้สึกเป็นสุขอีกครั้ง ความคิดลบของพวกเขาย่อมจะกลายเป็นความเบิกบานไปเอง  นี่เป็นเรื่องเพ้อฝัน ถ้าไม่แสวงหาหรือยอมรับความจริง ความคิดลบก็จะไม่หมดไปเองโดยอัตโนมัติ  ต่อให้เจ้าลืมมันไปและไม่รู้สึกอะไรในหัวใจ ก็ไม่ได้หมายความว่ามีการแก้ไขมูลเหตุของการคิดลบแล้ว  เมื่อมีรูปการณ์ที่เหมาะสม การคิดลบก็จะออกอาการอีกครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำ  ถ้าคนเราหลักแหลมและมีเหตุผล ก็ควรแสวงหาความจริงทันทีที่เกิดการคิดลบ และใช้วิธีการยอมรับความจริงมาแก้ไข อันเป็นการแก้ปัญหาเรื่องการคิดลบที่มูลเหตุ  ทุกคนที่คิดลบอยู่บ่อยๆ ล้วนเป็นเช่นนี้เพราะพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริง  ถ้าเจ้าไม่ยอมรับความจริง การคิดลบก็จะเกาะติดตัวเจ้าเหมือนมารตนหนึ่ง ทำให้เจ้าคิดลบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นเหตุให้เจ้าบังเกิดอารมณ์ที่เป็นความไม่เชื่อฟัง ความไม่พอใจ และความคับข้องใจต่อพระเจ้า จนกระทั่งเจ้าพบว่าตนนั้นไม่ยอมรับ ต่อสู้ และส่งเสียงคัดค้านพระเจ้า—ถึงเวลานั้นเจ้าย่อมจะเดินไปสุดทางแล้ว ใบหน้าที่อัปลักษณ์ของเจ้าก็จะถูกเปิดโปงออกมา  ผู้คนเริ่มเปิดโปงเจ้า ชำแหละเจ้า และระบุลักษณะนิสัยของเจ้า และเจ้าก็เริ่มมีน้ำตาเมื่อเผชิญความเป็นจริงอันน่าเศร้าในตอนนี้เท่านั้น นี่คือเวลาที่เจ้าล้มทรุดและเริ่มทุบอกด้วยความสิ้นหวัง—เจ้าจงรอรับการลงโทษจากพระเจ้าไปเถิด!  การคิดลบไม่เพียงทำให้ผู้คนอ่อนแอเท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุให้พวกเขาพร่ำบ่นพระเจ้า ตัดสินพระเจ้า ปฏิเสธพระเจ้า ถึงขั้นส่งเสียงประท้วงและต่อสู้กับพระเจ้าโดยตรงอีกด้วย  ฉะนั้น ถ้าแก้ไขการคิดลบของใครสักคนอย่างล่าช้า เมื่อพวกเขาล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและเผยวาจาที่หมิ่นประมาทออกมา ผลที่ตามมาย่อมร้ายแรงมาก  ถ้าเจ้าตกอยู่ในการคิดลบและมีคำพร่ำบ่นเพราะเหตุการณ์หนึ่ง วลี ความคิด หรือมุมมองหนึ่งๆ นี่แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจที่เจ้ามีในเรื่องดังกล่าวนั้นบิดเบี้ยว เจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันในเรื่องนั้น ทัศนะของเจ้าในเรื่องนั้นไม่สอดคล้องกับความจริงอย่างแน่นอน  ถึงจุดนี้เจ้าจำเป็นต้องแสวงหาและเผชิญหน้าความจริงอย่างถูกต้อง เพียรพยายามที่จะแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและแนวคิดที่ผิดเหล่านี้ให้ถูกต้องอย่างฉับไวโดยลงมือให้เร็วเท่าที่จะเร็วได้ ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเจ้าถูกมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้พันธนาการและชักนำเข้าสู่สภาวะที่ไม่เชื่อฟัง ไม่พอใจ และคับข้องใจกับพระเจ้า  การแก้ไขการคิดลบให้ทันท่วงทีมีความสำคัญอย่างยิ่ง และการแก้ไขให้หมดสิ้นไปก็สำคัญมากเช่นกัน  แน่นอนว่าวิธีแก้ไขการคิดลบที่ดีที่สุดก็คือการแสวงหาความจริง อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น และมาเบื้องหน้าพระเจ้าเพื่อแสวงหาความรู้แจ้งจากพระองค์  บางครั้งเจ้าอาจจะไม่สามารถแก้ไขความคิดและมุมมองของตนเองให้กลับมาถูกต้องได้ชั่วคราว แต่อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็ควรรู้ตัวว่าเจ้าผิด และความคิดเหล่านี้ของเจ้าก็บิดเบี้ยว  เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดผลลัพธ์ย่อมจะเป็นว่าความคิดและมุมมองที่ผิดพลาดเหล่านี้จะไม่ส่งผลต่อความจงรักภักดีที่เจ้ามีในการทำหน้าที่ของตน ไม่ส่งผลต่อสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้า และไม่ส่งผลต่อการมาเบื้องหน้าพระเจ้าเพื่อเปิดใจและอธิษฐาน—อย่างน้อยที่สุด นี่คือผลลัพธ์ที่ต้องสัมฤทธิ์ให้ได้  เมื่อเจ้าถูกความคิดลบกลบกลืน ไม่เชื่อฟังและไม่พอใจ มีคำพร่ำบ่นพระเจ้า แต่ก็ไม่อยากแสวงหาความจริงเพื่อหาทางแก้ไข คิดไปว่าสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้านั้นปกติ ทั้งที่ในความเป็นจริงหัวใจของเจ้าออกห่างจากพระเจ้า และเจ้าก็ไม่อยากอ่านพระวจนะของพระองค์หรืออธิษฐานอีกต่อไปแล้ว ปัญหาร้ายแรงขึ้นมาแล้วมิใช่หรือ?  เจ้าบอกว่า “ไม่ว่าฉันจะคิดลบอย่างไร การปฏิบัติหน้าที่ของฉันก็ไม่เคยมีอุปสรรคและฉันก็ไม่ได้ทิ้งความรับผิดชอบของตน  ฉันจงรักภักดี!”  คำพูดเหล่านี้ฟังขึ้นหรือไม่?  ถ้าเจ้าคิดลบบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามแล้ว มีปัญหาที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ เจ้ามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า เข้าใจพระองค์ผิด และสร้างกำแพงขวางตัวเจ้ากับพระเจ้าเอาไว้  ถ้าเจ้าไม่แสวงหาความจริงมาแก้ไขเรื่องนี้ ก็จะอันตรายมาก  ถ้าคนเรามักจะคิดลบ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าตนเองทำหน้าที่ด้วยความจงรักภักดีไปจนถึงปลายทางโดยไม่สุกเอาเผากิน?  ถ้าไม่แก้ไข ความคิดลบก็จะผละจากไปหรือหายไปเองได้หรือ?  ถ้าคนเราไม่แสวงหาความจริงเพื่อหาทางออกให้ทันกาล การคิดลบก็จะดำเนินต่อไปและมีแต่จะแย่ลง  ผลสืบเนื่องที่มันก่อให้เกิดขึ้นมีแต่จะสร้างความเสียหายมากขึ้น  และจะไม่ดำเนินไปในทิศทางที่เป็นบวกอย่างแน่นอน ย่อมจะเติบโตไปในทิศทางที่ไม่พึงประสงค์เท่านั้น  ฉะนั้นเมื่อคิดลบขึ้นมา เจ้าต้องรีบแสวงหาความจริงมาแก้ไข เมื่อทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะแน่ใจได้ว่าเจ้าสามารถทำหน้าที่ได้ดี  การแก้ไขการคิดลบมีความสำคัญยิ่ง และไม่อาจล่าช้าได้!

26 มิถุนายน ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (16)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (21)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger