29. การพิพากษาคือความรักของพระเจ้า
พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ในท้ายที่สุดแล้วมนุษย์เป็นคำพยานใดให้แก่พระเจ้า? มนุษย์เป็นพยานว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม ว่าพระอุปนิสัยของพระองค์คือความชอบธรรม พระพิโรธ การตีสอน และการพิพากษา มนุษย์เป็นพยานให้แก่พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พระเจ้าทรงใช้การพิพากษาของพระองค์เพื่อทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม พระองค์ทรงรักมนุษย์ และทรงช่วยมนุษย์ให้รอด—แต่มีอยู่มากเพียงใดภายในความรักของพระองค์? มีการพิพากษา พระบารมี พระพิโรธ และการสาปแช่ง ถึงแม้ว่าพระเจ้าเคยสาปแช่งมนุษย์ในอดีต พระองค์ก็มิได้ทรงโยนมนุษย์ลงไปในบาดาลลึกอย่างสิ้นเชิง หากแต่ได้ทรงใช้วิธีนั้นเพื่อถลุงความเชื่อของมนุษย์ พระองค์มิได้ทรงทำให้มนุษย์ถึงแก่ความตาย หากแต่ได้ทรงกระทำการเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม แก่นแท้ของเนื้อหนังเป็นสิ่งที่เป็นของซาตาน—พระเจ้าได้ตรัสไว้ได้ถูกต้องโดยแท้—หากแต่ข้อเท็จจริงที่พระเจ้าทรงดำเนินการมิได้ครบบริบูรณ์ตามพระวจนะของพระองค์ พระองค์ทรงสาปแช่งเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้รักพระองค์ และเพื่อที่เจ้าจะได้รู้จักแก่นแท้ของเนื้อหนัง พระองค์ทรงตีสอนเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้ตื่นรู้ เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้ารู้จักความขาดตกบกพร่องภายในตัวเจ้า และให้รู้ถึงความไม่คู่ควรอย่างที่สุดของมนุษย์ ดังนั้น คำสาปแช่งของพระเจ้า การพิพากษาของพระองค์ และพระบารมีกับพระพิโรธของพระองค์—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงกระทำในวันนี้ และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่พระองค์ทรงทำให้ชัดเจนภายในตัวพวกเจ้า—ทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม เช่นนั้นเองคือความรักของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น) ในเวลาที่ผู้คนเอ่ยถึงความรักของพระเจ้า ฉันเคยคิดถึงพระกรุณากับพระเมตตาของพระองค์ พระคุณกับพระพรของพระองค์ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์คือความรัก แต่หลังจากที่ได้รับประสบการณ์ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริง ฉันก็ได้รับความเข้าใจส่วนตัวขึ้นมาบ้าง และได้เห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และทั้งหมดล้วนสัมพันธ์กับชีวิตจริงยิ่งนัก และว่าการพิพากษาและการตีสอนก็คือความรักของพระเจ้า และความรอดของมวลมนุษย์
ฉันเคยเป็นคนรับผิดชอบงานให้น้ำ และแล้วในเดือนกันยายน ค.ศ. 2020 ฉันก็ถูกปลดเพราะการไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ผู้นำคริสตจักรได้จัดการเตรียมการให้พี่น้องหญิงจอยซ์เข้ามารับงานแทนฉัน นั่นทิ้งฉันไว้กับความรู้สึกที่ฉันบรรยายไม่ถูก ฉันเคยคุมงานของจอยซ์มาก่อน แล้วตอนนี้เธอกำลังจะมาคุมงานฉัน นี่ไม่ได้ทำให้ฉันดูไร้สมรรถภาพหรอกหรือ? ฉันได้หลุดจากการเป็นใครบางคนที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแล มาเป็นสมาชิกธรรมดาของทีมให้น้ำ ถ้าพี่น้องชายหญิงที่รู้จักฉันรู้เข้า นั่นจะไม่เป็นการขายหน้าหรอกหรือ? ความคิดนี้ทำให้ฉันเสียใจจริงๆ ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของฉันให้ดี ต่อมาในการเสวนาของทีมเกี่ยวกับงานของเรา ทุกคนเงียบกริบกันไปครู่ใหญ่ ฉันก็คิดว่า ถึงฉันจะไม่ได้เป็นคนควบคุมดูแลแล้ว แต่ฉันก็มีประสบการณ์อยู่บ้างในการให้น้ำผู้เชื่อใหม่ ดังนั้น ฉันจึงควรรับภาระต่อและแสดงความคิดของฉันออกมา วิธีนั้นจะทำให้ทุกคนเห็นว่าฉันยังคงมีบทบาทสำคัญอยู่ และทุกคนก็อาจจะเคารพยกย่องฉัน ดังนั้นฉันจึงเริ่มขมีขมันแทรกเสริมความคิดและแนวคิดของฉันไปอย่างมองการณ์ไกล และหลังการเสวนาผ่านไปไม่กี่เรื่อง คนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยกับข้อคิดเห็นของฉัน พวกเราทำไปตามความคิดฉันในแทบทุกการเสวนา ฉันจึงรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถโดดเด่นมากในทีม ฉันไม่ได้มีบทบาทเป็นผู้กำกับดูแลงาน แต่ยังคงรับมือกับงานประเภทนั้นได้อยู่ดี ฉันคิดว่าคนอื่นน่าจะเคารพยกย่องฉัน แล้ววันหนึ่งฉันอาจจะได้เลื่อนตำแหน่งอีกครั้ง จากนั้นฉันก็เริ่มแทรกเสริมความคิดอย่างแข็งขันกว่าเดิม และทุกครั้งก่อนการชุมนุม ฉันก็จะพยายามทำความเข้าใจว่าผู้มาใหม่เป็นอย่างไรกันบ้างและค้นหาพระวจนะที่เกี่ยวข้องกัน นั่นต้องใช้ทั้งเวลาและพลังงานมาก แต่ฉันคิดว่าการทำงานได้ดีจะพิสูจน์ความสามารถของฉัน ดังนั้นการจ่ายในราคานั้นจึงเป็นการคุ้มค่าอย่างมาก ฉันทำหน้าที่อย่างแข็งขันในเชิงรุก สามารถค้นพบบางประเด็นปัญหาในงานของเรา และคนอื่นๆ ก็เห็นด้วยกับทางออกและข้อเสนอแนะที่ฉันเสนอไป ฉันกำลังรู้สึกเหมือนว่า ทุกคนสามารถมองเห็นว่าฉันกำลังทำงานหนักแค่ไหน ดังนั้นเวลาผู้นำมาตรวจงานและเห็นสิ่งที่ฉันทำ ฉันก็อาจจะได้เลื่อนตำแหน่งก็เป็นได้ แต่เวลาก็ผ่านไประยะหนึ่งแล้ว และดูเหมือนผู้นำไม่มีความตั้งใจที่จะเลื่อนตำแหน่งให้ฉันเลย ฉันสังเกตว่ามีผู้เชื่อใหม่กำลังมาเข้าร่วมคริสตจักรมากขึ้นทุกที ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนเพิ่มขึ้นเพื่อมารับตำแหน่งต่างๆ แต่ดูเหมือนว่า ไม่มีความคิดเรื่องการเลื่อนตำแหน่งให้ฉันเลย การที่ได้เห็นแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกจิตตก ฉันรู้สึกว่าตัวเองได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว และกำลังทำหน้าที่ของฉันได้ดีทีเดียว ในเมื่อคริสตจักรขาดคนช่วยอย่างมาก ทำไมฉันจึงไม่ได้รับโอกาสอีกสักครั้ง? หลังจากถูกปลดไปครั้งหนึ่ง ฉันจะไม่มีวันที่จะมีโอกาสเป็นผู้ควบคุมดูแลอีกเลยอย่างนั้นหรือ? ฉันไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย ฉันไม่รู้ว่าทำไมการทำงานหนักของฉันทั้งหมดนั้นจึงไม่คืนกำไร ฉันยังขาดพร่องอะไรหรือ? ต่อมาฉันก็คิดว่า ฉันต้องทำงานหนักไม่พอหรือไม่ดีพอ หรือว่าฉันไม่สัมฤทธิ์ผลมากพอ ฉันคิดไปว่าฉันจำเป็นต้องทำงานหนักต่อไป และไม่เพียงแต่มุ่งเน้นเรื่องผลสัมฤทธิ์ในหน้าที่เท่านั้น แต่ยังต้องมีเรื่องการเข้าสู่ชีวิต และการไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย เพื่อให้คนอื่นสามารถมองเห็นความก้าวหน้าส่วนตัวของฉัน จากนั้นพระเจ้าจะทรงมีพระกรุณาและให้โอกาสฉัน ฉันคิดว่าด้วยการไล่ตามเสาะหา “ที่ถูกต้องเหมาะสม” สักวันหนึ่งก็จะมีการเปลี่ยนแปลง และต่อให้ฉันไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ฉันก็ยังโดดเด่นในทีมของเรา และได้รับความเลื่อมใสจากพี่น้องชายหญิง ดังนั้นฉันจึงทุ่มตัวเองให้กับงานให้น้ำของทีมเรา และเมื่อผู้มาใหม่มีปัญหา ฉันจะคิดทบทวนอย่างรอบคอบ โดยค้นหาพระวจนะเพื่อมาสามัคคีธรรม เมื่อฉันไม่เข้าใจบางสิ่ง ฉันก็จะอธิษฐานและแสวงหาอย่างจริงจังตั้งใจ หลังผ่านไปสักพัก ฉันก็ประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ ในการให้น้ำผู้มาใหม่ ช่วงเวลาหนึ่งผ่านไป ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ผู้นำทีมก็เอ่ยถึงเรื่องที่ฉันแบกรับภาระในหน้าที่ของฉัน และแก้ปัญหาของผู้เชื่อใหม่ได้เป็นอย่างดี ฉันรู้สึกยินดีกับตัวเองมาก ฉันคิดว่าทีนี้ทุกคนก็จะเริ่มเห็นว่าฉันกำลังทำได้ดีแค่ไหน และถ้าหากฉันสามารถปรับปรุงผลการปฏิบัติงานของฉันได้มากขึ้น ฉันก็จะชนะใจจนได้ความเลื่อมใสจากทุกคน แล้วฉันก็จะพยายามทำให้ได้เลื่อนตำแหน่ง หลังจากนั้น ฉันก็ทุ่มตัวเองให้กับหน้าที่จริงๆ นอกจากความรับผิดชอบทั้งหลายของตัวเองแล้ว ฉันก็ยังรับงานอื่นๆ ของทีมมาทำเท่าที่ทำได้อีกด้วย และจัดเตรียมความเห็นสะท้อนและความช่วยเหลือให้แก่ผู้กำกับดูแลงานในเวลาที่ฉันค้นพบประเด็นปัญหา อีกทั้งฉันก็ยังไม่หย่อนยานในการไล่ตามเสาะหาความจริง ทุกขณะที่มีเวลาว่างก็จะอ่านพระวจนะของพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกแย่ ฉันก็จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ อธิษฐานและแสวงหา และเข้าร่วมสามัคคีธรรมในการชุมนุมต่างๆ อย่างแข็งขัน แต่หลังจากการทำงานหนักไปพักใหญ่ ฉันก็ค่อนข้างผิดหวังเมื่อฉันยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่งอยู่ดี ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าฉันจะทำงานหนักขนาดไหนหรือทำได้ดีเพียงใด ผู้นำก็จะไม่มีวันเลื่อนตำแหน่งให้ฉัน แล้วทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์อะไร? หลังจากนั้น ฉันก็หยุดทุ่มความพยายามอย่างหนัก และเมื่อฉันเห็นว่าผู้มาใหม่ไม่มาชุมนุมกันเป็นประจำสม่ำเสมอ ฉันก็แค่ถามถึงเรื่องนั้นแบบเผินๆ โดยไม่มีการสอบถามให้ละเอียดหรือเกื้อหนุนอะไรเลย บางครั้งเวลาที่จอยซ์ให้ฉันหาพระวจนะของพระเจ้าให้กับประเด็นปัญหาเฉพาะหรือข้อบกพร่องเฉพาะของพี่น้องชายหญิงก่อนการชุมนุม ฉันก็รู้สึกว่านั่นไม่ใช่งานการอะไรของฉัน ถึงฉันทำได้ดีแค่ไหนก็คงจะไม่มีใครสังเกตเห็น ดังนั้น ฉันจึงหาข้ออ้างเพื่อหลบเลี่ยง สภาวะของฉันเริ่มเสื่อมลง ในการอธิษฐาน ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไร การอ่านพระวจนะของพระเจ้าก็ไม่ได้ให้ความรู้ของการรู้แจ้ง และบางครั้ง ฉันก็ง่วงนอนขึ้นมา ฉันรู้สึกถึงความมืดมิดจริงๆ ในจิตวิญญาณฉัน และไม่รู้สึกถึงงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่นานต่อมา ฉันก็เห็นพี่น้องชายหญิงคนอื่นได้เลื่อนตำแหน่ง ในขณะที่ฉันยังเป็นสมาชิกอันต่ำต้อยของทีมให้น้ำ ฉันกลายเป็นยิ่งหมดกำลังใจ ฉันทำงานอย่างหนักตลอดเวลามาอย่างยาวนานเหลือเกิน แต่ก็ยังวนอยู่ที่เดิม ดูเหมือนฉันจะไม่มีหวังแล้วในการเลื่อนตำแหน่ง เหล่าผู้เชื่ออย่างฉันสามารถเป็นผู้ดูแลและผู้นำทีมได้ และได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่น แต่ตัวฉันกลับไม่เคยได้เลื่อนตำแหน่งเลย นี่แปลว่าฉันล้มเหลวในฐานะผู้เชื่อและในหน้าที่ของฉันใช่ไหม? ฉันรู้สึกคิดลบอย่างมาก จนฉันไม่สามารถรวบรวมแรงจูงใจสำหรับอะไรได้เลย
ในเวลาต่อมา ฉันฉงนว่า ทำไมฉันจึงรู้สึกเศร้านัก? ทำไมฉันจึงดำรงชีวิตอยู่เพื่อสถานะเท่านั้น? ตลอดหลายปีของความเชื่อ ฉันแค่ไล่ตามสถานะเท่านั้นหรือ? ฉันน่าสมเพชขนาดนั้นได้ยังไง? ทำไมฉันถึงย้ำคิดอยู่กับสถานะ? ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ ฉันได้คุกเข่าลงอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ในความเชื่อนั้น ข้าพระองค์ต้องการไล่ตามเสาะหาความจริง ตอบแทนความรักของพระองค์ และทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่ตอนนี้ ข้าฯ ถูกทรมานโดยความอยากที่มีต่อสถานะ ทิ้งให้ข้าฯ จิตตกและซึมเศร้า ข้าฯ ไม่อยากดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนี้ แต่ข้าฯ หักห้ามใจตัวเองไม่ได้ ข้าแต่พระเจ้า โปรดให้ความรู้แจ้งและช่วยข้าฯ ให้รอด เพื่อให้ข้าฯ ได้เข้าใจปัญหาของข้าฯ และแก้ไขปัญหานั้นได้ด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ฉันก็อ่านบทตอนนี้ของพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ศัตรูของพระคริสต์ย่อมมีอุปนิสัยและแก่นแท้ของศัตรูพระคริสต์ และนี่ก็คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากคนทั่วไป แม้ภายนอกพวกเขาจะไม่พูดอะไรหลังจากถูกปลด แต่ภายในหัวใจ พวกเขายังคงแข็งขืน พวกเขาไม่ยอมรับความผิดของตน และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด พวกเขาก็จะไม่มีวันทำความรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริง เรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์มานานแล้ว ยังมีเรื่องอื่นในตัวศัตรูของพระคริสต์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอีกด้วย นั่นคือ ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน พวกเขาก็อยากแตกต่าง อยากให้ผู้อื่นยกย่องและยอมรับนับถือตน ต่อให้พวกเขาไม่มีงานและตำแหน่งที่เป็นทางการในฐานะผู้นำคริสตจักรหรือผู้นำทีม พวกเขาก็ยังคงต้องการมีที่ยืนและคุณค่าเหนือผู้อื่น ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถทำงานได้หรือไม่ มีความเป็นมนุษย์หรือมีประสบการณ์ชีวิตแบบใด พวกเขาก็จะคิดหาทางทุกรูปแบบและพยายามอย่างยิ่งที่จะหาโอกาสอวดตน ทำให้ผู้คนโปรดปรานตน ได้หัวใจของผู้คน ดึงดูดใจและชักพาให้ผู้คนหลงผิด เพื่อให้คนเหล่านั้นยอมรับนับถือตน ศัตรูของพระคริสต์อยากให้ผู้คนเลื่อมใสตนในเรื่องใด? แม้พวกเขาจะถูกปลดไปแล้ว แต่พวกเขาก็คิดว่า ‘หมีที่อ่อนแรงยังคงแข็งแรงกว่ากวาง’ และตนก็ยังคงเป็นนกอินทรีที่บินเหนือไก่เหล่านั้น นี่คือความโอหังของศัตรูพระคริสต์และความคิดว่าตนถูกมิใช่หรือ นี่คือสิ่งที่แตกต่างออกไปในตัวพวกเขามิใช่หรือ? พวกเขาไม่สามารถทำใจยอมรับการไม่มีสถานะ การเป็นผู้เชื่อธรรมดา การเป็นคนทั่วไป การทำหน้าที่ของตนให้ดีโดยยืนอยู่บนความเป็นจริงก็พอ การอยู่ในที่ทางของตน หรือเพียงแต่ทำงานให้ดี แสดงความจงรักภักดี และทำงานที่ตกมาถึงตนอย่างสุดความสามารถ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาพึงพอใจแม้แต่น้อย พวกเขาไม่เต็มใจที่จะเป็นคนเช่นนั้นหรือทำอะไรแบบนั้น ‘ความทะยานอยากอันยิ่งใหญ่’ ของพวกเขาคืออะไร? คือการได้รับการยอมรับนับถือและเคารพยกย่อง การได้กุมอำนาจ ดังนั้น ต่อให้พวกเขาไม่มีตำแหน่งจำเพาะคู่กับชื่อของตน ศัตรูของพระคริสต์ก็จะเพียรพยายามเพื่อตัวเอง พูดเพื่อตัวเอง และสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง ทำทุกสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่ออวดตน กลัวว่าจะไม่มีคนสังเกตเห็นหรือไม่มีใครสนใจตน พวกเขาจะฉกฉวยทุกโอกาสเพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพิ่มพูนเกียรติยศของพวกเขา ทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นมองเห็นพรสวรรค์และจุดแข็งของพวกเขา และแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเลิศกว่าผู้อื่น ระหว่างที่ทำสิ่งเหล่านี้ ศัตรูของพระคริสต์ย่อมเต็มใจที่จะจ่ายราคาใดก็ตามที่จำเป็นเพื่อโอ้อวดและกล่าวชมเชยตัวเอง เพื่อทำให้ทุกคนคิดว่า ต่อให้พวกเขาไม่ใช่ผู้นำและไม่มีสถานะ พวกเขาก็ยังคงเหนือกว่าผู้คนธรรมดาสามัญอยู่ดี ถึงตอนนั้น ศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่เต็มใจที่จะเป็นคนธรรมดา เป็นคนทั่วไป พวกเขาต้องการอำนาจและเกียรติยศ และต้องการที่จะอยู่เหนือผู้อื่น” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบสอง: พวกเขาอยากถอนตัวเมื่อไม่มีสถานะและไม่มีความหวังที่จะได้รับพร) พอได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกเหมือนพระเจ้าสถิตอยู่ตรงนั้น เปิดโปงฉัน พระเจ้าตรัสว่า ไม่ว่าอะไรก็ตาม ผู้คนอย่างศัตรูของพระคริสต์นั้นต้องการชื่อและสถานะ ต้องการมีอำนาจและได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่น เพื่อให้ลุล่วงความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างฉุดไม่อยู่แล้ว พวกศัตรูของพระคริสต์จะจ่ายทุกราคาเพื่อให้เป็นที่สังเกตเห็น เพื่อยกระดับตัวเองและชนะใจผู้คน ฉันเห็นได้ว่าการไล่ตามเสาะหาของฉันนั้นเหมือนกันไม่มีผิดกับพวกศัตรูของพระคริสต์ ในความเชื่อของฉัน ฉันต้องการที่จะมีสถานะ ที่จะเป็นผู้นำหรือเป็นผู้กำกับดูแล ฉันต้องการจะเป็นเลิศกว่าใครภายในกลุ่ม และได้รับความเลื่อมใสและการสนับสนุนจากผู้อื่น หลังจากถูกปลด ฉันก็ไม่ได้จัดการแก้ไขความอยากที่จะเป็นผู้กำกับดูแล ฉันเข้าร่วมเสวนาเรื่องงานอย่างแข็งขัน และเสนอข้อเสนอแนะต่างๆ และฉันก็ให้ความเห็นสะท้อนแก่ผู้กำกับดูแลทันทีที่ฉันค้นพบปัญหา เพื่อให้เธอรู้ว่าฉันไม่เพียงสามารถค้นเจอประเด็นปัญหา แต่ยังจัดเตรียมหนทางแก้ปัญหาได้อีกด้วย ว่าฉันเป็นคนที่มีหัวคิด จากนั้นก็จะเข้าคิวรอเลื่อนตำแหน่ง ฉันทำงานหนักในหน้าที่ เพื่อให้พี่น้องชายหญิงคนอื่นเห็นว่า ฉันสามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ แล้วจากนั้นฉันก็จะพยายามให้ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ฉันทำงานในเชิงรุกแม้ในตอนที่ไม่ใช่ความรับผิดชอบหลักของฉัน พร้อมที่จะใช้เวลาและพลังงานของฉันไปมากมาย โดยต้องการให้ทุกคนเห็นว่าฉันแบกรับภาระสำหรับหน้าที่ของฉันและสามารถรับได้อย่างมาก ฉันไม่ได้ย่อหย่อนในการไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย เพื่อที่ทุกคนจะเห็นชอบในตัวฉัน ฉันมองหาทุกๆ โอกาสเพื่อพิสูจน์ตัวเองและอวดตัว นี่ไม่ใช่พฤติกรรมเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ชนิดที่พระเจ้าทรงเปิดโปงหรอกหรือ?
ฉันได้อ่านพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าที่บรรยายแก่นแท้อันเสื่อมทรามของพวกศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างละเอียดจริงๆ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “สำหรับศัตรูของพระคริสต์ ถ้าความมีหน้ามีตาหรือสถานะของพวกเขาถูกเล่นงานและถูกริบไป นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการพยายามเอาชีวิตของพวกเขาเสียอีก ไม่ว่าพวกเขาจะฟังคำเทศนาหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมายเพียงใด พวกเขาก็จะไม่รู้สึกเศร้าหรือเสียใจที่ไม่เคยปฏิบัติความจริงและเลือกใช้เส้นทางของศัตรูพระคริสต์ หรือมีแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูพระคริสต์ แต่พวกเขากลับเค้นสมองหาทางที่จะได้สถานะและทำให้ตนเองมีหน้ามีตามากขึ้นอยู่เสมอ อาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ศัตรูของพระคริสต์ทำนั้นล้วนทำไปเพื่ออวดตัวต่อหน้าผู้อื่น และไม่ได้ทำเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้? เพราะผู้คนดังกล่าวรักสถานะมากเสียจนถือว่านั่นเป็นชีวิตของตนจริงๆ เป็นเป้าหมายชั่วชีวิตของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากพวกเขารักสถานะมากนัก พวกเขาจึงไม่เคยเชื่อว่าความจริงมีอยู่จริง และอาจกล่าวได้ด้วยซ้ำไปว่าพวกเขาไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิงว่าพระเจ้ามีอยู่จริง ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะคิดคำนวณอย่างไรเพื่อให้มีหน้ามีตาและได้มาซึ่งสถานะ และไม่ว่าพวกเขาจะพยายามใช้รูปลักษณ์เทียมเท็จมาหลอกให้ผู้คนและพระเจ้าหลงเชื่ออย่างไร ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่มีความตระหนักรู้หรือคำติเตียน และยิ่งไม่มีความกระวนกระวายใจ ในการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะอย่างต่อเนื่อง พวกเขายังปฏิเสธโดยไม่ยั้งคิดอีกด้วยว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดลงไปบ้าง เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้? ลึกลงไปในหัวใจของศัตรูพระคริสต์ พวกเขาเชื่อว่า ‘ความมีหน้ามีตาและสถานะทั้งปวงคือสิ่งที่คนเราได้มาด้วยความพยายามของตนเอง เมื่อมีที่ยืนอันมั่นคงในหมู่ผู้คน มีหน้ามีตา และมีสถานะแล้วเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถชื่นชมพรจากพระเจ้า ชีวิตมีคุณค่าก็ต่อเมื่อผู้คนมีสถานะและอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเท่านั้น นี่เท่านั้นคือการดำรงชีวิตอย่างมนุษย์คนหนึ่ง ในทางตรงกันข้าม การใช้ชีวิตในแบบที่กล่าวไว้ในพระวจนะของพระเจ้า—นบนอบอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าในทุกสิ่ง เต็มใจยืนอยู่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และดำรงชีวิตอย่างคนปกติธรรมดา—ย่อมเปล่าประโยชน์ ไม่มีใครยกย่องนับถือคนแบบนั้น สถานะ ความมีหน้ามีตา และความสุขของคนเราต้องได้มาด้วยการดิ้นรนเอาเอง พวกเขาต้องต่อสู้และฉกชิงด้วยท่าทีเชิงรุกและเป็นบวก ไม่มีใครอื่นจะให้สิ่งเหล่านี้แก่คุณ—การรอคอยอย่างนิ่งเฉยทำได้เพียงพาให้คว้าน้ำเหลวเท่านั้น’… ศัตรูของพระคริสต์เชื่ออย่างหนักแน่นในหัวใจของตนว่าเมื่อมีหน้ามีตาและสถานะแล้วเท่านั้น พวกตนจึงจะมีศักดิ์ศรีและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างแท้จริง และเมื่อมีสถานะเท่านั้น พวกเขาจึงจะได้รางวัลและได้สวมมงกุฎ มีคุณสมบัติที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นคนอย่างแท้จริง ศัตรูของพระคริสต์มองสถานะว่าอย่างไร? พวกเขามองว่าสถานะคือความจริง ถือว่าสถานะเป็นเป้าหมายสูงสุดให้ผู้คนไล่ตามไขว่คว้า นั่นย่อมเป็นปัญหามิใช่หรือ? ผู้คนที่สามารถหมกมุ่นอยู่กับสถานะในลักษณะเช่นนี้ได้คือศัตรูของพระคริสต์อย่างแท้จริง พวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกับเปาโล พวกเขาเชื่อว่าการไล่ตามเสาะหาความจริง แสวงหาการนบนอบพระเจ้า และแสวงหาความซื่อสัตย์ คือกระบวนการทั้งหมดที่พาคนเราไปสู่สถานะอันสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ทั้งสิ้น นั่นเป็นเพียงกระบวนการเท่านั้น ไม่ใช่เป้าหมายและมาตรฐานของการเป็นมนุษย์ และล้วนทำไปเพื่อให้พระเจ้าเห็นเท่านั้น ความเข้าใจเช่นนี้เหลวไหลและไร้สาระ! มีแต่คนที่ไร้เหตุผลและเกลียดความจริงเท่านั้นที่นึกสร้างแนวคิดอันไร้สาระเช่นนี้ขึ้นมาได้” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม)) การอ่านบทตอนนี้ของพระวจนะของพระเจ้าให้ความปวดร้าวแก่ฉันจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนทุกสิ่งที่ซ่อนไว้ในหัวใจถูกพระเจ้าทรงตีแผ่ออกมา ฉันรู้สึกไม่มีที่แห่งหนใดให้ซ่อนตัวเลย ฉันจึงเริ่มทบทวนตัวเอง และยิ่งฉันทำ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดของตัวเองนั้นไม่ผิดไปจากของพวกศัตรูของพระคริสต์เลย ทุกคำพูดและการกระทำล้วนมีศูนย์กลางอยู่ที่สถานะ และที่ฉันทำก็เพื่อให้ได้รับความเลื่อมใส สถานะสำคัญกับฉันยิ่งกว่าสิ่งใด ก่อนได้รับความเชื่อ ฉันมักต้องการโดดเด่นออกจากฝูงชนเสมอ และฉันรักที่จะได้รับการสนับสนุนและเห็นชอบจากผู้อื่น หลังได้รับความเชื่อ ฉันก็เอาแต่ไล่ตามตำแหน่งผู้นำ เพื่อเป็นที่เคารพยกย่องและมีบทบาทสำคัญในคริสตจักร หลังจากถูกปลด ฉันก็ไม่ได้เสียใจให้กับการฝ่าฝืนในอดีตของฉัน และไม่ได้กำลังคิดถึงวิธีที่จะกลับใจจริงๆ และทำหน้าที่ให้ดีเพื่อที่จะชำระหนี้คืนให้กับพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันใช้โอกาสเหมาะนั้นทำหน้าที่เสมือนเป็นโอกาสที่จะอวดตัว ฉันทุ่มตัวเองเข้าไปในหน้าที่ของฉัน และทำงานหนักเพื่อให้ได้รับบทบาทที่สำคัญ เมื่อฉันไม่ได้รับสิ่งนั้นหลังการทำงานหนัก ฉันก็กลายเป็นหมดกำลังใจ ไม่สำคัญว่าฉันทุ่มเทเพียงใด ไม่สำคัญว่าฉันทำได้ดีเพียงใดในหน้าที่นั้น ฉันก็รู้สึกเหมือนไม่มีใครสังเกตเห็น ฉันคิดว่าความพยายามของฉันไร้ความหมาย ฉันก็สูญเสียแรงขับเคลื่อนที่จะทำหน้าที่ได้ดีเมื่อไม่ได้รับสถานะใดๆ ฉันถึงกับเข้าใจผิดและติเตียนพระเจ้า โดยอ้างเหตุผลและต้านทานพระองค์ ฉันถูกความคิดในเรื่องชื่อและสถานะทำให้ลุ่มหลง ฉันสูญเสียมโนธรรมและเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรจะมี ฉันไล่ตามเสาะหาสถานะอย่างสุดหัวใจ และฉันไม่พอใจที่จะเป็นสมาชิกธรรมดาของทีม ฉันชั่วและไร้ยางอายเหมือนศัตรูของพระคริสต์ไม่มีผิด ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ที่ช่วยฉันไว้จริงๆ คือพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าที่ว่า “พวกเขาเชื่อว่าการไล่ตามเสาะหาความจริง แสวงหาการนบนอบพระเจ้า และแสวงหาความซื่อสัตย์ คือกระบวนการทั้งหมดที่พาคนเราไปสู่สถานะอันสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ทั้งสิ้น นั่นเป็นเพียงกระบวนการเท่านั้น ไม่ใช่เป้าหมายและมาตรฐานของการเป็นมนุษย์ และล้วนทำไปเพื่อให้พระเจ้าเห็นเท่านั้น” นี่ให้ความรู้สึกเหมือนฉันถูกตบหน้าจริงๆ การไล่ตามเสาะหาและการปฏิบัติความจริงเป็นสิ่งที่เป็นบวก และเป็นหน้าที่ของเราในฐานะที่เป็นผู้คน เราจำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริงในชีวิตเรา และดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ฉันกำลังใช้การไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงเป็นเครื่องต่อรองเพื่อสถานะส่วนตัว การมีเหตุจูงใจอันสามานย์เช่นนั้นอยู่ในหน้าที่ไม่มีวันสามารถได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่า มุมมองของฉันที่มีต่อสิ่งทั้งหลายนั้นช่างผิดถนัด ฉันคิดแค่ว่า การมีสถานะและอำนาจ การเป็นที่เคารพยกย่อง เป็นที่รู้จักกันดี และเป็นที่เลื่อมใสจะสามารถทำให้ชีวิตฉันมีคุณค่า หากไม่มีสถานะเป็นผู้เชื่อ การเป็นผู้ติดตามธรรมดานั้น ช่างเป็นวิถีชีวิตที่น่าสมเพช และเป็นความล้มเหลว นั่นช่างเป็นทัศนะที่บ้าบอสิ้นดี! พระเจ้าทรงพึงประสงคให้เราเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ให้อยู่ในที่ทางของเรา ให้นบนอบต่อการปกครองและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าตามหน้าที่ ให้ดำเนินการตามความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่ฉันไม่ได้ต้องการอยู่ในที่ทางของตัวเอง แต่ต้องการเป็นผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งทำงานสำคัญ เพื่อมีตำแหน่งสูงส่ง และได้รับความเลื่อมใสมากขึ้นในหนทางนั้น นั่นก็คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ในข้อเท็จจริงนั้น ในงานให้น้ำ ไม่สำคัญว่าฉันได้ลงทุนลำบากไปมากแค่ไหน หรือฉันรับบทบาทสำคัญอะไร นั่นก็เป็นแค่หน้าที่ที่ฉันควรทำ นั่นเป็นความรับผิดชอบของฉัน แต่ฉันกลับต้องการอวดตัวเพื่อที่จะได้รับสถานะเฉพาะบางอย่าง เมื่อไม่ได้ลุล่วงความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างขาดสติของฉัน ฉันก็หมดความสนใจในหน้าที่ ฉันเข้าใจผิดว่าความมักใหญ่ใฝ่สูงของตัวเองคือการอุทิศตนเพื่อพระเจ้า ที่เรียกกันอยู่ว่าการอุทิศตนนั้นไม่ซื่อสัตย์ เป็นไปในเชิงธุรกรรมแลกเปลี่ยน นั่นจะเป็นการปฏิบัติความจริงและการทำหน้าที่ได้อย่างไร? นั่นคือการพยายามใช้และเล่นไม่ซื่อกับพระเจ้า และฉันกำลังเดินตรงทื่อไปตามเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ พระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ และพระเจ้าทอดพระเนตรไปถึงหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของเรา ฉันเดินดุ่มไปตามเส้นทางที่ผิด แล้วฉันจะได้รับงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างไร? สภาวะของฉันเสื่อมลง และตัวฉันก็ตกอยู่ในความมืด นี่คือการที่พระเจ้าทรงกันฉันออกมาและสั่งสอนฉัน นั่นเป็นตอนที่ฉันได้เห็นว่า จริงๆ แล้ว การไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานะนั้นน่าตกใจกลัวแค่ไหน ฉันไม่รู้จักตัวเอง หรือแม้แต่จะรู้ว่าฉันจะทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้หรือไม่ ฉันเอาแต่ไล่ตามเสาะหาสถานะ โดยหวังที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ฉันสูญเสียสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องเหมาะสมเหตุผลที่ปกติ และไม่มีการตระหนักรู้ในตนเอง แล้วฉันก็นึกถึงบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “วันหนึ่งพวกเจ้าทั้งหมดจะระลึกรู้ ว่าชื่อเสียงและผลตอบแทนเป็นโซ่ตรวนอันมหึมาที่ซาตานใช้ผูกมัดมนุษย์ เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะต้านทานการควบคุมของซาตานอย่างถ้วนทั่วและต้านทานโซ่ตรวนที่ซาตานใช้เพื่อผูกมัดเจ้าอย่างถ้วนทั่ว เมื่อถึงเวลาที่เจ้าปรารถนาจะขว้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวเจ้าออกไป เมื่อนั้นเจ้าจึงจะแยกทางกันอย่างเด็ดขาดกับซาตาน และเจ้าจะเกลียดทั้งหมดที่ซาตานได้นำมาให้เจ้าอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเท่านั้นมวลมนุษย์จึงจะมีความรักและการโหยหาจริงต่อพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) พระวจนะของพระเจ้าช่างแท้จริงนัก ฉันไล่ตามเสาะหาสถานะแบบไม่หยุดหย่อน ถูกซาตานใช้เป็นของเล่นและทรมาน ฉันสูญเสียการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และกำลังดำรงชีวิตอยู่ในความมืด ความอยากได้อยากมีของฉันได้สร้างความเสียหายต่อฉันอย่างใหญ่หลวง ฉันไม่อาจหยุดน้ำตาที่กำลังหลั่งรินได้ และฉันเกลียดตัวเองที่หัวแข็งเหลือเกิน ดื้อรั้นเหลือเกินอย่างที่ฉันเคยเป็น ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ฉันไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานะอยู่บนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ แต่พระเจ้าก็ทรงใช้พระวจนะของพระองค์ตักเตือนและเปิดโปงฉันอยู่ดี เพื่อให้ฉันสามารถเห็นปัญหาในการไล่ตามเสาะหาของฉันและหันหลังกลับ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจ ฉันเข้าใจผิดและติเตียนพระเจ้า โดยคิดลบและสวนทางกับพระเจ้า ฉันช่างไร้เหตุผลเหลือเกิน พอตระหนักดังนั้น ฉันก็รู้สึกผิดอย่างท่วมท้น ฉันจึงกล่าวคำอธิษฐานนี้ที่ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ต้องการที่จะไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานะอีกต่อไปแล้ว แต่ต้องการที่จะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามของฉัน และกลับใจอย่างแท้จริง โปรดประทานความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ แสดงหนทางแก่ข้าพระองค์ด้วยเทอญ”
ฉันได้อ่านอีกบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อพระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงเป็นอย่างดี พระองค์ไม่ได้ทรงขอให้พวกเขาทำกิจจำนวนหนึ่งให้เสร็จสิ้นหรือสำเร็จลุล่วงโครงการอันยิ่งใหญ่อันใด หรือทำภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่อันใด สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือให้ผู้คนสามารถทำทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้ในหนทางแบบติดดิน และใช้ชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้เจ้ายิ่งใหญ่หรือสูงศักดิ์ หรือสร้างปาฏิหาริย์อันใด อีกทั้งพระองค์ยังไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นความประหลาดใจซึ่งน่ายินดีอันใดในตัวเจ้า พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์สิ่งทั้งหลายเช่นนั้น ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือให้เจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์อย่างแน่วแน่ ยามที่เจ้าฟังพระวจนะของพระเจ้า จงทำในสิ่งที่เจ้าเข้าใจ ลงมือทำในสิ่งที่เจ้าเข้าใจ จดจำสิ่งที่เจ้าได้ฟังให้ขึ้นใจ แล้วจากนั้นเมื่อถึงเวลาปฏิบัติ ก็จงปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า จงยอมให้พระวจนะกลายเป็นชีวิตของเจ้า ความเป็นจริงของเจ้า และแบบอย่างในการใช้ชีวิตของเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงจะพึงพอพระทัย เจ้าแสวงหาความยิ่งใหญ่ ความสูงศักดิ์ และสถานะอยู่เสมอ เจ้าแสวงหาการยกย่องอยู่เสมอ พระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นการนี้? พระองค์ทรงเกลียดการนี้ และพระองค์จะทรงออกห่างจากเจ้า ยิ่งเจ้าแสวงหาสิ่งทั้งหลายเช่นความยิ่งใหญ่ นั่นคือความสูงศักดิ์และการเหนือกว่าผู้อื่น ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง โดดเด่น และเป็นที่สังเกตจดจำมากขึ้นเท่าใด พระเจ้าก็ยิ่งทรงพบว่าเจ้าน่าขยะแขยงมากขึ้นเท่านั้น หากเจ้าไม่ทบทวนตนเองและกลับใจ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะทรงชังและละทิ้งเจ้า จงหลีกเลี่ยงการกลายเป็นคนที่น่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้า จงเป็นบุคคลที่พระเจ้าทรงรัก ดังนั้นแล้ว คนเราจะสามารถได้รับความรักจากพระเจ้าได้อย่างไร? โดยการยอมรับความจริงอย่างเชื่อฟัง ยืนหยัดในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง กระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าโดยยืนอยู่บนความเป็นจริง ปฏิบัติหน้าที่ของคนเราอย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ นี่ก็เพียงพอแล้ว พระเจ้าย่อมจะพอพระทัย ผู้คนต้องแน่ใจว่าไม่ถือครองความทะเยอทะยานหรือฝันเฟื่อง ไม่แสวงหาชื่อเสียง ความได้เปรียบ และสถานะ หรือพยายามโดดเด่นจากฝูงชน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต้องไม่พยายามเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือยอดมนุษย์ สูงส่งอยู่ท่ามกลางมนุษย์และทำให้ผู้อื่นเคารพบูชาพวกเขา นั่นคือความอยากได้อยากมีของสภาวะความเป็นมนุษย์อันเสื่อมทราม และนั่นคือเส้นทางของซาตาน พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนเช่นนี้ให้รอด หากผู้คนไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะกันอย่างไม่หยุดหย่อนและไม่สำนึกกลับใจ เช่นนั้นแล้ว ย่อมไม่มีวิธีการที่จะเยียวยาพวกเขา และมีจุดจบเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ การถูกกำจัดออกไป” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน) ฉันได้เห็นจากพระวจนะของพระเจ้าว่า พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะให้เรามีชื่อเสียง ยิ่งใหญ่ หรือสูงส่ง พระองค์ทรงหวังให้เราเป็นคนติดดิน และทำหน้าที่ของเรา และเพียงแค่นบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์เท่านั้น แต่ฉันกลับไม่ทำหน้าที่ของตนอย่างสัตย์ซื่อ ฉันไม่พอใจกับการเป็นบุคคลธรรมดา ฉันแค่ต้องการตำแหน่งที่สูงกว่าและเหนือคนอื่นแบบขาดลอยเท่านั้น ฉันนั้นช่างโอหัง พระเจ้าคือพระผู้สร้าง และพระองค์ทรงยิ่งใหญ่และทรงเกียรติยิ่งนัก พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เอง โดยการเสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อแสดงความจริง แต่พระองค์ไม่เคยอวดพระองค์เอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์อย่างเงียบกริบมากในการที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระเจ้าทรงถ่อมใจและซ่อนเร้นยิ่งนัก และน่ารักอย่างเหลือเชื่อ ฉันก็รู้สึกละอายใจเหลือเกินเมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแบบนั้น ฉันจึงตั้งปณิธานว่า ยังไงหัวเด็ดตีนขาด ฉันก็ต้องละทิ้งเนื้อหนังของฉัน และปฏิบัติความจริง
จากนั้น ฉันก็ทุ่มตัวเองสุดหัวใจให้กับหน้าที่ คิดคำนึงจริงๆ ว่าจะให้น้ำผู้มาใหม่อย่างไร ฉันลืมเรื่องสถานะของฉัน แต่รู้สึกมีความสุขกับการเป็นบุคคลธรรมดา และทำหน้าที่ให้ดีเท่าที่ฉันจะทำได้ การนำมาปฏิบัติแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจจริงๆ เมื่อฉันใส่หัวใจลงไปในหน้าที่ พระเจ้าก็ทรงให้ความรู้แจ้งและให้เส้นทางในการให้น้ำแก่ฉัน ก่อนที่ฉันจะทันรู้ตัว การทำหน้าที่ของฉันก็ดีขึ้น ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนที่เรามีการชุมนุมเพื่อผู้เชื่อใหม่ พี่น้องหญิงซึ่งใหม่ต่อทีมให้น้ำนั้นไม่คุ้นเคยผู้เชื่อใหม่และไม่รู้วิธีเข้าหาพวกเขา ฉันรู้ว่าฉันควรเข้าไปช่วยดูแล แต่ฉันก็เกิดคิดขึ้นมาว่า การทำงานเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมพื้นฐานในการติดต่อกับผู้คนล้วนเป็นงานที่ต่ำต้อยจริงๆ ฉันจะลดตัวไปหรือเปล่าหากฉันเสนอตัวทำงานนั้น? ณ จุดนั้น ฉันก็เห็นว่าฉันคิดผิดไปตรงที่ว่า หน้าที่ทั้งหลายมีความสำคัญไม่ต่างกัน และการสัมพันธ์สนิทก็เป็นหน้าที่เช่นกัน แล้วทำไมฉันถึงจะทำไม่ได้? จากนั้นฉันจึงเสนอตัวไปช่วยติดต่อเหล่าพี่น้องชายหญิง พอฉันทำแบบนั้น ฉันได้ตระหนักว่า ไม่สำคัญว่าจะเป็นหน้าที่อะไร ตราบใดที่คุณยอมรับการพินิจพิเคราะห์จากพระเจ้าได้ มีเจตนาที่ถูกต้อง และทำเช่นนั้นด้วยหัวใจของคุณ คุณย่อมจะรู้สึกผ่อนคลายและสงบ บางครั้งตอนที่พี่น้องชายหญิงกำลังถามเกี่ยวกับรายละเอียดของงานการให้น้ำ และผู้กำกับดูแลก็ยุ่งเกินกว่าจะตอบคำถามของพวกเขาได้ ฉันก็จะทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อสามัคคีธรรมและแก้ปัญหาให้กับสิ่งต่างๆ ฉันจะไม่คิดว่าพวกเขาจะเคารพยกย่องฉันหรือไม่ หรือว่านั่นจะปรับปรุงสถานะของฉันให้ดีขึ้นหรือไม่ แต่แค่ต้องการทำงานให้ดีร่วมไปกับคนอื่นๆ และทำหน้าที่ตัวเองให้ดี หลังจากที่ฉันละวางความทะเยอทะยานที่ฟุ้งซ่านของตัวเองและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ทุกสิ่งในหน้าที่ของฉันก็เปลี่ยน ฉันรู้สึกถึงความรับผิดชอบมากขึ้นและเจอปัญหามากขึ้น และสภาวะของฉันก็ค่อยๆ ปรับปรุงขึ้น ฉันรู้สึกสว่างไสวขึ้นและสบายใจขึ้นอีกด้วย รู้สึกว่าการประพฤติปฏิบัติตนในหนทางนี้ดีงามจริงๆ ฉันเข้าใจแล้วว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงโดยแท้ สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนและชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ได้ มีเพียงการประพฤติปฏิบัติตนและทำสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง และมีเพียงการเชื่อฟังการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างเท่านั้น ที่ก่อร่างสร้างรากฐานชีวิตในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้กับฉัน นับแต่นั้นมา ไม่ว่าฉันจะมีสถานะหรือไม่ และไม่ว่าพระเจ้าจะทรงให้ฉันอยู่ที่ไหน ฉันก็เต็มใจที่จะฝากตนไว้กับความกรุณาของพระเจ้า และทำหน้าที่ของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างซื่อสัตย์
ฉันเคยไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานะอย่างไม่ลดละเสมอ ซึ่งทำให้ฉันต้องทรมานและเหน็ดเหนื่อย หากปราศจากการพิพากษาและการเปิดเผยแห่งพระวจนะ ฉันคงไม่มีวันเห็นว่าซาตานทำให้ฉันเสื่อมทรามดิ่งลึกเพียงใด หรือฉันสนใจสถานะมากเพียงใด ฉันคงจะเอาแต่ต่อสู้เพื่อสิ่งเหล่านั้น ถูกซาตานใช้เป็นของเล่นโดยปราศจากสภาพเสมือนมนุษย์ โดยผ่านทางการนี้ ฉันจึงได้รู้สึกว่าการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า คือการทรงคุ้มครองและความรอดที่ดีที่สุดของพระองค์ และเป็นความรักของพระองค์ ไม่ผิดจากที่พระเจ้าตรัสว่า “ในชีวิตของเขา หากมนุษย์ปรารถนาที่จะได้รับการชำระให้สะอาดและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขา หากเขาปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตที่มีความหมายและทำหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วงแล้วไซร้ เขาต้องยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า และต้องไม่ยอมให้การบ่มวินัยของพระเจ้าและการเฆี่ยนตีของพระเจ้าผละจากเขาไป เพื่อที่เขาอาจปลดปล่อยตนเองจากการหลอกใช้และอิทธิพลของซาตาน และมีชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้าได้ จงรู้ไว้ว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่าง และแสงสว่างแห่งความรอดของมนุษย์ และรู้ว่าไม่มีการได้รับพรใด พระคุณใด หรือการคุ้มครองปกป้องใดที่ดีกว่านี้อีกแล้วสำหรับมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)