41. วิธีปฏิบัติต่อความสนใจและงานอดิเรกของลูก

โดย เวินหน่วน ประเทศจีน

ตั้งแต่ลูกชายของฉันยังเล็ก เขาก็ค่อนข้างอ่อนแอและโตช้า บ้านของเราอยู่ใกล้โรงเรียน ฉันจึงมักจะพาเขาไปวิ่งเล่นที่สนามกีฬาของโรงเรียนเพื่อสร้างความแข็งแรง ตอนนั้นเขาไปเข้าตาโค้ชคนหนึ่ง ในปี 2020 ลูกชายของฉันอยู่ชั้น ป.3 โค้ชเลือกเขาให้เข้าทีมฟุตบอลของโรงเรียน ทุกบ่ายหลังเลิกเรียน ลูกชายของฉันจะไปฝึกซ้อมที่สนาม พอเห็นว่าแก้มของเขามีเลือดฝาดและร่างกายแข็งแรงขึ้น ฉันก็รู้สึกสบายใจ ทุกเย็น ฉันจะฟังเขาเล่าเรื่องสนุกๆ เกี่ยวกับฟุตบอล ขณะดูลูกชายฝึกซ้อมในสนาม ฉันสังเกตเห็นว่าโค้ชหลายคนให้ความสนใจเขาเป็นพิเศษและสอนท่าต่างๆ เพิ่มเติมให้เขา บรรดาโค้ชพูดกับฉันอย่างสุภาพมาก พวกเขาชมลูกชายของฉันว่าหัวไว เชื่อฟัง และอึด และมักจะให้ลูกชายของฉันเล่นกับนักเรียนที่โตกว่า โดยบอกว่าพวกเขาอยากบ่มเพาะให้เขาเป็นผู้เล่นตัวหลัก ฉันปลื้มใจมาก พลางคิดว่า “เขาทำให้ฉันภูมิใจจริงๆ เขามีแววที่จะเป็นนักฟุตบอลจริงๆ หรือ?” ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็เริ่มให้ความสนใจเส้นทางนักฟุตบอลของลูกอย่างใกล้ชิด และตราบใดที่ฉันไม่ยุ่งกับหน้าที่เกินไป ฉันจะไปดูการแข่งขันของเขาทุกนัด ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ โค้ชจะแจ้งให้ฉันทราบล่วงหน้าถึงแผนของทีม และฉันก็รู้สึกภาคภูมิใจมาก ฉันอดไม่ได้ที่จะเริ่มฝันกลางวันว่า “ดูเหมือนว่าเขาจะมีพรสวรรค์เรื่องนี้จริงๆ ในสังคมที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน เป็นเรื่องยากที่จะตั้งตัวได้หากไม่มีทักษะพิเศษ ฉันต้องบ่มเพาะเขาให้ดีและปั้นให้เขาเป็นนักเตะดาวเด่น แล้วพอเขาประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง ไม่เพียงแต่เขาจะทำให้ฉันภูมิใจ แต่ฉันยังจะได้ร่วมรับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งของเขาด้วย” ในวันขึ้นปีใหม่ปี 2021 ทีมของลูกชายฉันคว้าแชมป์ระดับเขต ขณะที่เขามองดูถ้วยรางวัลสีทองแวววาว เขาก็กอดฉันและหัวเราะอย่างมีความสุข ด้วยความดีใจ ฉันจึงแอบวางแผนอนาคตของลูกชายในฐานะนักฟุตบอล พลางคิดในใจว่า “จากนี้ไป เตรียมตัวสำหรับความยากลำบากได้เลย อย่าหาว่าแม่ใจร้ายเลยนะ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวลูกเอง เมื่อลูกประสบความสำเร็จในอนาคต ลูกจะเข้าใจเจตนาที่บากบั่นของแม่ นี่เป็นงานอดิเรกของลูกอยู่แล้ว และถ้าเราไม่บ่มเพาะลูกให้ดี พวกเราในฐานะพ่อแม่จะบกพร่องต่อหน้าที่”

หลังจากนี้ ฉันมักจะให้ลูกชายดูไฮไลท์ของนักเตะดาวเด่นจากทั่วโลก และพูดกับเขาว่า “เห็นไหมว่านักเตะดาวเด่นคนนี้น่าประทับใจแค่ไหน? ลูกคิดว่าจะรู้สึกยังไงที่ได้เป็นเหมือนเขา?” ลูกชายของฉันชอบดูการแข่งขันอยู่แล้ว และพอฉันคอยชี้แนะ เขาก็กระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิม หลังจากทำการบ้านเสร็จ เขาจะดูการแข่งขันและบทสัมภาษณ์ของนักเตะดาวเด่น ไม่นาน เขาก็คุ้นเคยเป็นอย่างดีกับการแข่งขันฟุตบอลรายการใหญ่ๆ และนักเตะดาวเด่นจากชาติต่างๆ และเขามักจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้ฉันฟัง เมื่อเห็นว่าลูกชายของฉันมาถูกทางแล้ว ฉันก็เริ่มสอนเขาเพิ่มเติมว่า “ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ ลูกต้องอดทนต่อความยากลำบากเพื่อทำให้ความฝันของลูกเป็นจริง” ลูกชายของฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งและแทบไม่เคยบ่นเรื่องการฝึกทักษะพื้นฐานที่น่าเบื่อ ตลอดช่วงฤดูร้อนปี 2021 ลูกชายของฉันจะไปฝึกซ้อมที่สนามทุกเช้าตอนตี 5 และจะไม่หยุดจนกว่าจะเลย 9 โมงเช้า และเขาไม่เคยขาดซ้อมแม้แต่ครั้งเดียว มีครั้งหนึ่ง ลูกชายของฉันเป็นไข้ และฉันปวดใจนิดหน่อยที่เห็นเขาอ่อนแอขนาดนั้น แต่เพื่อช่วยเขาเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย ฉันก็ยังคงพาเขาไปที่สนาม ในช่วงสุดสัปดาห์ เมื่อเขาไปฝึกซ้อมที่สโมสร บางครั้งเขาเหนื่อยมากและอยากจะหยุดหนึ่งวัน แต่ฉันปฏิเสธตลอด บางครั้ง เขาก็ไม่เต็มใจอย่างมาก และฉันก็คอยพูดเกลี้ยกล่อมเพื่อเปลี่ยนกรอบความคิดของเขาว่า “ลูกต้องพยายามต่อไปเพื่อให้โค้ชเห็นความพยายามของลูก ทักษะของลูกต้องดีกว่านี้ โค้ชจะได้พาลูกไปแข่งขันมากขึ้น เมื่อลูกมีชื่อเสียง โค้ชที่เก่งกว่าจะสังเกตเห็นลูกและพาลูกไปอยู่ทีมที่ดียิ่งขึ้น เมื่อนั้นลูกจะไม่เข้าใกล้การเป็นนักเตะดาวเด่นอีกก้าวหนึ่งเหรอ?” ลูกชายเถียงฉันไม่ได้ จึงได้แต่ฝืนใจไปฝึกซ้อม

ต่อมา เนื่องจากการระบาดใหญ่ที่รุนแรง การแข่งขันรายการใหญ่ๆ จึงถูกระงับเป็นเวลาสองปีติดต่อกัน ลูกชายของฉันไม่ได้รับรางวัลอะไรเลย และเราทั้งคู่ต่างก็รู้สึกเสียดาย แต่ลูกชายของฉันไม่เคยหยุดฝึกซ้อม แม้ในอากาศที่หนาวเหน็บ เมื่อมีคนเพียงไม่กี่คนในสนาม ก็ยังเห็นเขาซ้อมอยู่ในกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ฉันไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับลูกชายเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ เนื่องจากอยากเห็นผลลัพธ์จากลูกชายมาก ทุกครั้งที่เขาอยากจะแบ่งปันช่วงเวลาที่น่าสนใจจากการฝึกซ้อมหลังจากกลับถึงบ้าน ฉันจะขัดจังหวะเขาอย่างใจร้อนว่า “แม่ไม่สนเรื่องพวกนั้น แม่อยากรู้แค่ว่าลูกชนะไหม? ยิงได้กี่ประตู?  โค้ชชมหรือเปล่า?  แล้วลูกเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดในทีมไหม?” ลูกชายจะจนมุมกับคำถามของฉัน และเขาก็เลิกสนิทสนมกับฉันเหมือนเมื่อก่อน ถ้าทีมของเขาชนะ เขาจะมาอวดกับฉัน แต่ถ้าแพ้ เขาจะคอตกเหมือนทำอะไรผิดไป

ในปี 2023 ข้อจำกัดต่างๆ เนื่องด้วยโรคระบาดถูกยกเลิก และการแข่งขันหลายรายการถูกจัดขึ้นตามกำหนด ในช่วงสุดสัปดาห์ โค้ชมักจะพาเด็กๆ ไปแข่งขันที่เมืองอื่น ส่วนในช่วงวันหยุดเทศกาล พวกเขาไปเมืองที่ไกลออกไปเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันรายการใหญ่ๆ และถึงกับฝึกซ้อมร่วมกับทีมที่อายุเท่ากันจากประเทศอื่นๆ ไม่ว่าต้องเสียเงินเท่าไหร่ ฉันก็ตั้งใจลงสมัครให้ลูกชาย และฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนมองการณ์ไกลและเป็นผู้ปกครองที่มีความรับผิดชอบ ยิ่งลูกชายของฉันได้รับรางวัลมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกภูมิใจมากขึ้นเท่านั้น และฉันรู้สึกทะนงตัวมากต่อหน้าโค้ช ผู้ปกครองคนอื่นๆ และเพื่อนกับญาติของเรา ปีนี้ หน้าที่ของฉันทำให้ฉันยุ่งมาก แต่เพื่อที่จะอยู่เป็นเพื่อนลูกชายตอนฝึกซ้อม ฉันมักจะจอดรถไว้ข้างสนามและทำงานทางคอมพิวเตอร์ในรถขณะรอเขา เพราะฉันต้องลงจากรถไปดูการฝึกซ้อมของลูกชายบ่อยๆ ประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ของฉันจึงต่ำมาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกชายของฉันลงแข่งขันระดับเมือง ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการชุมนุมกับผู้มาใหม่ ถึงแม้ฉันอยากจะไปดูการแข่งขันของลูกชายจริงๆ แต่ฉันก็ละเลยหน้าที่ไม่ได้ ฉันจึงต้องไปที่การชุมนุม แต่ตลอดทางไปที่นั่น ฉันคิดถึงแต่เรื่องการแข่งขัน ฉันสงสัยว่าลูกชายจะได้ลงเล่นเต็มเวลาไหม หรือทีมของเขาจะชนะหรือเปล่า เมื่อฉันไปถึงบ้านเจ้าภาพ ฉันเห็นว่าผู้มาใหม่ยังไม่มา ปกติแล้ว ฉันจะรู้สึกกังวลและพยายามติดต่อผู้มาใหม่ แต่วันนั้นฉันกลับรู้สึกว่าดีแล้วที่ผู้มาใหม่ไม่มา เพราะนั่นหมายความว่าฉันสามารถไปดูการแข่งขันของลูกชายได้ ฉันรออยู่พักหนึ่ง และเนื่องจากผู้มาใหม่ยังไม่มา ฉันจึงรีบไปที่สนามแข่งขันอย่างร้อนใจ ฉันไปถึงทันดูครึ่งหลังพอดี และฉันตื่นเต้นมากที่เห็นทีมลูกชายของฉันชนะการแข่งขัน จนฉันลืมเรื่องการติดต่อผู้มาใหม่ไปโดยสิ้นเชิง

ในเดือนตุลาคม ปี 2023 ทีมลูกชายของฉันเข้าร่วมการแข่งขันทั่วทั้งเมืองแต่ไม่ได้รับถ้วยรางวัล ฉันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อฉันเห็นทีมที่อายุน้อยกว่าลูกชายฉันหนึ่งปีได้รับรางวัล และผู้ปกครองกับเด็กๆ เหล่านั้นฉลองกันในกลุ่ม WeChat ฉันก็แทบจะคลั่ง ในอดีต พวกเขาทำได้แค่อิจฉาพวกเรา แต่ตอนนี้พวกเขากลับชนะ ในขณะที่ลูกชายของฉันกลับบ้านมือเปล่า ฉันขายหน้าจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันไม่ได้กินแม้แต่มื้อเย็น ฉันระบายอารมณ์ใส่ลูกชายไม่หยุดว่า “โรคระบาดใหญ่ทำให้การแข่งขันล่าช้าไปสองปี แต่แม่ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้แกจะยังไม่มีผลงานอะไรเลย ทั้งหมดเป็นเพราะโค้ชไม่ฝึกซ้อมพวกแกให้ดีก่อนการแข่งขัน เพื่อนร่วมทีมของแกคนหนึ่งพลาดในจังหวะสำคัญและถ่วงทุกคนไว้ ส่วนแก แม่ว่าแกก็ไม่ได้เล่นได้ดีขนาดนั้นเหมือนกัน ถ้าแกเล่นดี แกต้องนำทีมไปจนถึงเส้นชัยได้แน่นอน!” เขาเศร้ามากอยู่แล้วเพราะแพ้การแข่งขัน แต่พอเห็นฉันหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาก็พยายามปลอบฉันว่า “แม่ครับ อย่าโกรธเลย ทุกการแข่งขันมีแพ้มีชนะ พวกเราแค่เล่นไม่ดีเท่าพวกเขา” เมื่อมองใบหน้าที่ไร้เดียงสาของลูกชาย ฉันก็ใจอ่อนลงเล็กน้อย “มันก็แค่เกม ทำไมฉันถึงโกรธขนาดนี้?” ฉันบังคับตัวเองให้พูดให้กำลังใจลูกชายไปสองสามคำ แต่ลึกๆ แล้ว ฉันยังว้าวุ่น และพอถึงตี 1 ฉันก็ยังนอนไม่หลับ ฉันรู้สึกว่าสภาวะของตัวเองผิดปกติ ฉันจึงอธิษฐานในใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ พระองค์ทรงขอให้พวกเรามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และประพฤติปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระองค์ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์เสมอ ข้าพระองค์ควรเข้าสู่ความจริงด้านใดเกี่ยวกับการบ่มเพาะลูกของข้าพระองค์?  โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงชี้แนะข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกพวกเราเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วงเพื่อลูก โดยมีพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งผุดขึ้นมาในใจที่ว่า “ในแง่หนึ่ง การลุล่วงความรับผิดชอบของพ่อแม่หมายถึงการเอาใจใส่ดูแลชีวิตของลูก ส่วนอีกแง่หนึ่งหมายถึงการชี้แนะและแก้ไขความคิดอ่านของลูกให้ถูกต้อง ให้การชี้แนะที่ถูกต้องแก่ลูกในเรื่องความคิดอ่านและทัศนะของพวกเขา(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (18))  พระเจ้าทรงขอว่า เมื่อลูกเล็กๆ ของเรามีความคิดหรือทัศนะแบบสุดขั้ว พวกเราในฐานะพ่อแม่ ต้องให้คำแนะนำเรื่องความคิดของพวกเขาอย่างทันท่วงที นี่คือความรับผิดชอบของการเป็นพ่อแม่ ลูกชายของฉันแพ้การแข่งขันในวันนั้น และเมื่อเขากลับถึงบ้าน มันควรจะเป็นเวลาที่เขาจะได้ระบายอารมณ์และแสดงความคิดของเขา ฉันควรจะฟังความคิดของเขา ให้คำแนะนำเขา และช่วยเขาแก้ไขมุมมองที่ผิดพลาดของเขา ไม่เพียงแต่ฉันไม่ได้ให้คำแนะนำเขาเลย แต่กลับซ้ำเติมเขาแทน ฉันช่างไร้เหตุผลจริงๆ! ฉันเป็นแม่ที่ไม่ได้มาตรฐานด้วยซ้ำ ฉันแย่มาก!  เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ฉันก็ค่อยๆ สงบลง และเลิกหมกมุ่นอยู่กับผลการแข่งขัน

ต่อมา ฉันได้ทบทวนว่าทำไมฉันถึงเรียกร้องอะไรมากมายจากลูกของฉัน ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ภายในจิตสำนึกที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งของพ่อแม่ พวกเขาวาดมโนภาพ วางแผน และกำหนดสิ่งต่างๆ สารพัดเกี่ยวกับอนาคตของลูกของตน และผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาสร้างความคาดหวังเหล่านี้ขึ้นมา  ภายใต้การปลุกปั่นของความคาดหวังเหล่านี้ พ่อแม่เรียกร้องให้ลูกของตนเล่าเรียนทักษะสารพัด เช่น การละคร การเต้นรำ ศิลปะ และอื่นๆ  พวกเขาเรียกร้องให้ลูกกลายเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ และให้พวกเขาเป็นผู้บังคับบัญชาและไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาในภายภาคหน้า  พวกเขาเรียกร้องให้ลูกของตัวเองกลายเป็นข้าราชการระดับสูงและไม่ใช่พวกทหารปลายแถว พวกเขาเรียกร้องให้ลูกกลายเป็นผู้จัดการ ผู้บริหารระดับสูง และซีอีโอ ทำงานให้กับบริษัทชั้นนำติดหนึ่งใน 500 ของโลก เป็นต้น  เหล่านี้ล้วนเป็นแนวคิดที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งของพ่อแม่… ความคาดหวังเหล่านี้ของพ่อแม่มีพื้นฐานอยู่บนอะไร?  ความคาดหวังเหล่านี้มาจากไหน?  ความคาดหวังเหล่านี้มาจากสังคมและโลก  จุดประสงค์ของความคาดหวังจากทางพ่อแม่เหล่านี้ล้วนเป็นไปเพื่อทำให้ลูกสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและโลกนี้ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโลกหรือสังคมกำจัดออกไป และเพื่อตั้งตัวในสังคม เพื่อให้ได้การงานที่มั่นคง ครอบครัวที่มีเสถียรภาพ และอนาคตที่แน่นอน ดังนั้นพ่อแม่จึงมีความคาดหวังที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งนานัปการต่อลูกหลานของตัวเอง  ตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้การเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ค่อนข้างเป็นที่นิยม  บางคนบอกว่า ‘ลูกชายของฉันจะเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ในอนาคต  เขาจะหาเงินในวงการนี้ได้มาก และนี่ก็จะทำให้พ่อแม่อย่างพวกเราพลอยดูดีไปด้วย!’  ในสภาพการณ์เหล่านี้ที่เด็กทั้งหลายไม่มีแนวความคิดเกี่ยวกับสิ่งใดเลย พ่อแม่ของพวกเขาจึงจัดวางอนาคตของพวกเขา  นี่เป็นเรื่องที่ผิดไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พ่อแม่ของพวกเขากำลังฝากความหวังไว้กับลูกของตนบนพื้นฐานของหนทางในการมองสิ่งทั้งหลายของผู้ใหญ่คนหนึ่งล้วนๆ รวมไปถึงทัศนะ มุมมองและการเลือกชอบของผู้ใหญ่คนหนึ่งมีต่อเรื่องทั้งหลายบนโลก  นี่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากเจ้าจะพูดให้ฟังดูดี เจ้าสามารถพูดได้ว่านั่นเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่จริงๆ แล้วนั่นคืออะไร?  การเอาตัวเองเป็นที่ตั้งแบบนี้ตีความอีกอย่างได้ว่าอะไร?  นั่นคือความเห็นแก่ตัวไม่ใช่หรือ?  นั่นคือการบีบบังคับไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าชอบอาชีพบางอย่าง เจ้าอยากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ อยากรวย อยากเป็นคนเลิศหรูและประสบความสำเร็จในสังคม เจ้าจึงให้ลูกๆ เสาะแสวงที่จะเป็นคนเช่นนั้นและเดินไปบนเส้นทางแบบนั้นด้วย  แต่ในวันข้างหน้าลูกๆ จะชอบใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าวและชอบทำงานดังกล่าวกระนั้นหรือ?  พวกเขาเหมาะกับสิ่งนั้นหรือไม่?  โชคชะตาของพวกเขาเป็นเช่นไร?  พระเจ้าทรงมีอธิปไตยและการจัดเตรียมให้พวกเขาอย่างไร?  เจ้ารู้สิ่งเหล่านี้หรือไม่?  คนบางคนพูดว่า ‘ฉันไม่สนใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นหรอก สิ่งที่สำคัญก็คือสิ่งทั้งหลายที่ฉันในฐานะพ่อแม่ของพวกเขาชอบ  ฉันจะฝากความหวังไว้ที่พวกเขาบนพื้นฐานของการเลือกชอบของตัวฉันเอง’  นั่นเห็นแก่ตัวมากไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นั่นช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน!(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (18))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นว่าพ่อแม่เรียกร้องหลายอย่างจากลูก โดยอิงจากความชอบของตัวเองและความเข้าใจของสังคม แล้วก็ขอให้ลูกๆ ไล่ตามไขว่คว้าและทำตามข้อเรียกร้องเหล่านี้ เมื่อมองตัวเองในแง่มุมนี้ ฉันก็เห็นว่าฉันชอบได้รับการยกย่อง และไม่อยากไร้ชื่อเสียง ฉันจึงคาดหวังให้ลูกชายไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเดียวกัน ฉันเห็นว่าความกดดันของการแข่งขันทางสังคมนั้นสูงมาก และลูกชายของฉันบังเอิญมีพรสวรรค์ด้านกีฬา ฉันจึงหวังว่าเขาจะโดดเด่นในหมู่เพื่อนร่วมรุ่นผ่านฟุตบอล เพื่อในที่สุดจะกลายเป็นคนดัง หาเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตที่เหนือกว่าคนอื่น แบบนี้ฉันจะได้รับผลประโยชน์จากความสำเร็จของเขาด้วย เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ฉันได้พรากความสุขในการเล่นฟุตบอลไปจากลูกชาย และฉันบังคับเขาให้ไล่ตามไขว้คว้าความมุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นนักเตะดาวเด่นตามความปรารถนาของฉัน ไม่ว่าอากาศจะร้อนจัดหรือหนาวจัด และไม่ว่าร่างกายเขาจะทนได้หรือไม่ ฉันก็บังคับให้เขาฝึกซ้อมต่อไป ลูกชายของฉันค่อยๆ เริ่มให้ความสำคัญกับการแพ้ชนะและเกียรติยศมากเกินไป และเขาถึงกับเริ่มทะนงตนและอิ่มอกอิ่มใจเพราะความสำเร็จของตัวเอง ภายนอก ดูเหมือนว่าฉันทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์ของลูกชาย แต่ในความเป็นจริง ฉันอยากใช้ความสำเร็จของเขาในกีฬาฟุตบอลเพื่อสนองความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวของฉัน และทำให้ความปรารถนาของตัวเองที่จะได้รับการชื่นชมและเพลิดเพลินกับความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์เป็นจริง ที่สำคัญกว่านั้น ความคาดหวังและสิ่งที่ฉันเรียกร้องจากลูกชายนั้นถูกขับเคลื่อนโดยความอยากได้อยากมีส่วนตัวของฉันล้วนๆ ลูกชายของฉันยังเด็กและไม่เข้าใจแนวคิดเรื่องการมีชื่อเสียงหรือการหาเงินได้มากมายด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ยัดเยียดสิ่งเหล่านี้ให้เขาและบังคับให้เขาทำตามแผนของฉัน ฉันเห็นแก่ตัวมาก! ลูกชายของฉันจะทำงานอะไร และเขาจะกลายเป็นคนแบบไหนในอนาคต ทั้งหมดอยู่ภายใต้อธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การที่ฉันวางแผนชีวิตลูกชายตามความปรารถนาของตัวเอง ไม่ใช่การพยายามเป็นอิสระจากอธิปไตยของพระเจ้าทิ้งหรอกหรือ?

ต่อมา ฉันแสวงหาว่า “ทำไมฉันถึงคาดหวังให้ลูกชายทำตามข้อเรียกร้องของฉันตลอด?” เมื่อฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกกระจ่างในหัวใจขึ้นเล็กน้อย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่ว่าความมุ่งมาดปรารถนาของมนุษย์จะใหญ่โตเพียงใด ไม่ว่าความอยากได้อยากมีของมนุษย์จะสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือถูกต้องเหมาะสมเพียงใด ทั้งหมดที่มนุษย์อยากสัมฤทธิ์ ทั้งหมดที่มนุษย์แสวงหา เชื่อมโยงกับคำสองคำอย่างแยกกันไม่ออก  สองคำนี้สำคัญอย่างยิ่งต่อทุกคนไปตลอดชีวิตของพวกเขา และคำสองคำนี้เป็นสิ่งที่ซาตานตั้งใจที่จะปลูกฝังในมนุษย์  คำสองคำนี้คืออะไรนะหรือ?  คำสองคำนี้ก็คือ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ผลประโยชน์’  ซาตานใช้วิธีการที่อ่อนโยนมาก วิธีการซึ่งเป็นไปตามมโนคติที่หลงผิดของผู้คนอย่างยิ่ง และไม่ค่อยก้าวร้าวนัก เพื่อทำให้ผู้คนยอมรับวิธีการและกฎแห่งการอยู่รอดของมันโดยไม่รู้ตัว เกิดมีเป้าหมายในชีวิตและทิศทางในชีวิต และเกิดมีความมุ่งมาดปรารถนาในชีวิตขึ้นมา  ไม่ว่าผู้คนจะพรรณนาความมุ่งมาดปรารถนาในชีวิตของตนเอาไว้สูงส่งเพียงใด ความมุ่งมาดปรารถนาเหล่านี้ก็ถูกเชื่อมโยงกับ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ผลประโยชน์’ อย่างแยกกันไม่ออก  ทุกสิ่งทุกอย่างที่บุคคลที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียงคนใดก็ตาม—หรือที่จริงแล้วใครก็ตาม—ไต่ตามตลอดชีวิตของพวกเขา มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสองคำนี้เท่านั้นคือ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ผลประโยชน์’  ผู้คนคิดว่าทันทีที่พวกเขามีชื่อเสียงและผลประโยชน์ พวกเขาก็ย่อมมีต้นทุนที่พวกเขาสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เพื่อให้ได้ชื่นชมสถานะอันสูงส่งและความมั่งคั่งอันใหญ่หลวง และเพื่อชื่นชมชีวิต  พวกเขาคิดว่าทันทีที่ตนเองมีชื่อเสียงและผลประโยชน์ พวกเขาก็มีต้นทุนที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อเสาะแสวงความยินดีและหมกมุ่นกับความเพลิดเพลินทางเนื้อหนังโดยไม่ยั้งคิด  เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลประโยชน์ซึ่งพวกเขาอยากได้อยากมี ผู้คนจึงมอบร่างกาย หัวใจ และแม้แต่ทั้งหมดที่พวกเขามี รวมถึงจุดหมายปลายทางในอนาคตและชะตากรรมของพวกเขาให้ซาตานอย่างเต็มใจ แม้ไม่รู้ตัวก็ตาม  พวกเขาทำเช่นนั้นโดยไม่สงวนท่าที โดยที่ไม่มีความสงสัยแม้แต่อึดใจ และโดยไม่รู้ที่จะเอาทุกสิ่งที่พวกเขาเคยมีกลับคืนมา  ผู้คนสามารถรักษาการควบคุมตัวเองได้หรือไม่ในเมื่อพวกเขาได้มอบตนเองให้ซาตานและกลายเป็นจงรักภักดีต่อมันในลักษณะนี้แล้ว?  แน่นอนว่าไม่  พวกเขาถูกซาตานควบคุมอย่างสมบูรณ์และอย่างถึงที่สุด พวกเขาได้จมดิ่งลงในปลักตมอย่างสมบูรณ์และอย่างถึงที่สุด และไร้ความสามารถที่จะปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระได้ เมื่อใครสักคนจมปลักอยู่ในชื่อเสียงและผลประโยชน์ พวกเขาจะไม่แสวงหาสิ่งที่สดใส สิ่งที่ยุติธรรม หรือบรรดาสิ่งที่สวยงามและดีงามอีกต่อไป  นี่เป็นเพราะว่าสำหรับผู้คนแล้ว ความเย้ายวนของชื่อเสียงและผลประโยชน์นั้นมากเกินไป  ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถไล่ตามเสาะหาอย่างไม่จบไม่สิ้นตลอดชั่วชีวิตของพวกเขาและกระทั่งชั่วนิรันดร์  นี่คือสถานการณ์ตามจริงไม่ใช่หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6)  พอได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่าเหตุผลที่ฉันมีความคาดหวังเช่นนั้นกับลูก ก็เพราะฉันได้ตั้งการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์เป็นเป้าหมายในชีวิตฉัน ตั้งแต่เด็ก ฉันยึดถือคำกล่าวเยี่ยงซาตานที่ว่า “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” และ “คนเราต้องสู้ทนความทุกข์ยากอันใหญ่หลวงที่สุดจึงจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” เป็นหลักความเชื่อในการดำเนินชีวิต ฉันมุ่งเน้นแต่เรื่องการเรียนและการสอบ ทุกครั้งที่ฉันบรรลุเป้าหมายและได้รับการยกย่องจากผู้อื่น พ่อแม่ของฉันก็เป็นที่อิจฉาของญาติสนิทมิตรสหายและเพื่อนบ้านเพราะความสำเร็จของฉัน และฉันรู้สึกว่าไม่ว่าจะต้องทนทุกข์แค่ไหน มันก็คุ้มค่า หลังจากที่ฉันเริ่มทำงาน เพื่อที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง ได้รับการขึ้นเงินเดือน และโดดเด่น ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเลียแข้งเลียขาบรรดาหัวหน้าของฉัน ฉันสวมหน้ากากเมื่อต้องรับมือกับเพื่อนร่วมงาน และฉันพูดในสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกที่แท้จริงของฉัน ครอบครัวของฉันมีความสุขมากที่เห็นว่าฉันทำงานในเมืองใหญ่และส่งเงินกลับบ้านทุกเดือน และฉันก็รู้สึกภูมิใจมากเช่นกัน แต่ในความเป็นจริง ฉันเบื่อหน่ายกับชีวิตแบบที่ฉันมีมานานแล้ว ในโลกแห่งชื่อเสียงและผลประโยชน์ ฉันสูญเสียความซื่อตรงและศักดิ์ศรีของตัวเอง และรู้สึกโดดเดี่ยวและว่างเปล่าอยู่ภายใน และฉันไม่มีใครที่จะฉันสามารถบอกความรู้สึกที่แท้จริงได้ หลังจากที่ฉันลาออก ฉันก็ไม่อยากจะนึกถึงช่วงเวลานั้นอีกเป็นเวลาหลายปี หลังจากยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย ฉันก็เริ่มทำหน้าที่ของฉันในคริสตจักร ซึ่งช่วยให้ฉันรู้สึกสงบและสบายใจ และได้หลบเลี่ยงโลกที่ผู้คนแก่งแย่งชิงดีและคิดคดทรยศเพื่อไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ ฉันคิดว่าฉันได้ปล่อยวางการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ไปแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่า เมื่อเป็นเรื่องที่ลูกของฉันเล่นฟุตบอล ฉันก็เริ่มไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์อีกครั้ง ฉันอยากจะบ่มเพาะลูกของฉันให้กลายเป็นนักเตะดาวเด่นเพื่อที่ฉันจะได้เพลิดเพลินความรุ่งโรจน์นั้นด้วย แก่นแท้ของความคาดหวังของฉันคือ ฉันอยากให้ลูกของฉันไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเหมือนกับฉัน ในสนาม ลูกของฉันแข่งขันกับคู่ต่อสู้ของเขา นอกสนาม ฉันแข่งขันกับผู้ปกครองคนอื่นๆ เราแข่งขันกันเพื่อดูว่าใครจะสามารถบ่มเพาะลูกได้ดีกว่า และใครจะสามารถทำให้ลูกนำความรุ่งโรจน์มาให้ได้มากกว่า ฉันถึงกับนึกฝันว่าหลังจากที่ลูกชายมีชื่อเสียง ฉันจะสามารถเพลิดเพลินความร่ำรวย สถานะ และความรุ่งโรจน์ไปพร้อมกับเขาได้ ฉันได้เห็นว่าเป้าหมายที่ฉันไล่ตามไขว่คว้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ตลอดหลายปีที่ไปดูการแข่งขันกับลูกชาย ฉันเห็นว่ากีฬาเพื่อการแข่งขันนั้นล้วนเกี่ยวกับชื่อเสียงและผลประโยชน์ ต่อให้ผู้เล่นที่มีพรสวรรค์มีผลงานที่ดีเพราะความอุตสาหะ แต่ความทุกข์ที่พวกเขาต้องทนรับ ทั้งทางร่างกายและจิตใจในกระบวนการนั้น เป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถทนได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จเพียงชั่วครู่ชั่วยามนี้จางหายไปอย่างรวดเร็วและไม่มีความหมายอะไร แม้แต่นักเตะดาวเด่นเหล่านั้นที่มีทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ก็ไม่สามารถหลีกหนีความแก่ ความเจ็บป่วย และความตายได้ และยังต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต ชื่อเสียงและผลประโยชน์ไม่สามารถหยุดความแก่หรือความเจ็บป่วยได้ และไม่สามารถยืดอายุของคนเราได้ ต่อให้ฉันบ่มเพาะลูกชายจนได้เป็นนักเตะดาวเด่น จะมีประโยชน์อะไร?  เขาจะยังเป็นทุกข์จากความทุกข์ร้อนที่ซาตานก่อเหมือนกับฉันไม่ใช่หรือ?  ตอนนั้นเองที่ฉันเห็นว่าการพาลูกเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์นั้น ก็เหมือนกับการผลักเขาลงไปในกองไฟ เห็นได้ชัดว่าลูกชายของฉันเป็นเพียงเด็กธรรมดาที่รักการเล่นฟุตบอล และฉันคือคนที่ตาบอดเพราะชื่อเสียงและผลประโยชน์ ฉันเป็นคนที่เอาโซ่ตรวนแห่งชื่อเสียงและผลประโยชน์ไปล่ามลูกชาย

ต่อมา การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเริ่มเห็นปัญหานี้ชัดเจนขึ้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “หากพ่อแม่ปรารถนาที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตน พวกเขาก็ควรพยายามเข้าใจบุคลิกภาพ อุปนิสัย ความสนใจ ขีดความสามารถ และสิ่งจำเป็นสำหรับความเป็นมนุษย์ของลูกของตน  แทนที่จะเปลี่ยนแปรการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และเงินตราของตนเองให้กลายเป็นความคาดหวังที่มีต่อลูก ยัดเยียดสิ่งที่เป็นชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสิ่งทางโลกให้กับลูกของตน  พ่อแม่เรียกสิ่งเหล่านี้ในชื่อที่ฟังดูดีว่า ‘ความคาดหวังที่มีต่อลูก’ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้น  เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขากำลังพยายามผลักลูกของตนเข้าสู่กองเพลิงและส่งลูกเข้าไปในอ้อมแขนของหมู่มาร(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (18))  “ในส่วนของเส้นทางที่ลูกจะใช้ในอนาคตหรืออาชีพการงานที่ลูกจะไล่ตามไขว่คว้า พ่อแม่ก็ไม่ควรปลูกฝังเรื่องดังกล่าวในตัวลูกๆ เช่น ‘ดูนักเปียโนคนนั้นสิ ที่ชื่อนั้นน่ะ เขาเริ่มเล่นเปียโนตอนอายุสี่หรือห้าขวบ  ไม่เคยลุ่มหลงในการละเล่น ไม่คบหาเพื่อน เอาแต่ฝึกเปียโน และเข้าชั้นเรียนเปียโนทุกวัน  เขายังปรึกษาครูไปหลายคน และเข้าแข่งขันการเล่นเปียโนต่างๆ  ดูสิว่าตอนนี้เขามีชื่อเสียงแล้ว กินดีอยู่ดี แต่งตัวดี รัศมีจับ และไปไหนก็มีคนเคารพ’  นี่ใช่การให้การศึกษาประเภทที่ส่งเสริมพัฒนาการที่ดีต่อสุขภาพจิตใจของเด็กหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นนี่เป็นการให้การศึกษาประเภทใด?  นี่เป็นการให้การศึกษาของมาร  การให้การศึกษาชนิดนี้สร้างความเสียหายต่อจิตใจอันเยาว์วัยของผู้ใดก็ตาม  การให้การศึกษาแบบนี้หนุนใจพวกเขาให้ทะยานอยากในชื่อเสียง ละโมบต่อความเฉิดฉาย เกียรติ ตำแหน่ง และความเพลิดเพลินยินดี  นี่ทำให้พวกเขาโหยหาและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้นับตั้งแต่เยาว์วัย ขับดันพวกเขาไปสู่ความวิตก ความหวาดหวั่นขั้นรุนแรง และความกังวล รวมทั้งถึงกับเป็นเหตุให้พวกเขาจ่ายราคาทุกประเภทเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา โดยตื่นแต่เช้าและทำงานจนดึกเพื่อตรวจดูการบ้านของตนให้รอบคอบ รวมทั้งศึกษาทักษะต่างๆ จนสูญเสียวัยเด็กไปโดยเอาช่วงปีอันล้ำค่าเหล่านั้นไปแลกกับสิ่งเหล่านี้(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (19))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เห็นว่าพ่อแม่ส่งต่อการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ของตัวเองให้กับลูก และสิ่งนี้ปรากฏอยู่ตลอดกระบวนการเลี้ยงดูและให้การศึกษาเด็ก สิ่งนี้สร้างความเสียหายมากต่อร่างกายและจิตใจของเด็ก และโดยแก่นแท้แล้ว สิ่งนี้ผลักเด็กเข้าสู่เงื้อมมือของมาร ฉันคิดถึงเรื่องที่ลูกชายของฉันอยู่ในวัยเด็กที่ไร้กังวล แต่ฉันกลับทำให้เขาต้องพยายามเป็นนักเตะดาวเด่นและไล่ตามชื่อเสียงเงินทองตั้งแต่อายุหกเจ็ดขวบ สิ่งเหล่านี้หนักหนาเกินกว่าที่จิตใจเขาจะรับไหว แต่ฉันก็ยังคงปลูกฝังแนวคิดเหล่านี้ให้เขาอย่างแข็งขัน และเรียกร้องให้เขาฝึกซ้อมต่อไป แม้ว่าเขาจะเหนื่อยหรือป่วยก็ตาม ฟุตบอลได้กลายเป็นมากกว่าความสนใจหรืองานอดิเรกสำหรับลูกชายของฉัน และเขาต้องแบกรับความกดดันจากฉันมากเกินไป ฉันบังคับให้ลูกใส่ใจเรื่องแพ้ชนะ เรื่องความสำเร็จและความล้มเหลว บังคับให้เขาแข่งขันกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน และฉันบังคับให้เขาฝึกซ้อมอย่างหนัก โค้ชจำนวนมากขึ้นจะได้สังเกตเห็นเขา ถึงตอนนี้ ลูกชายของฉันจะรู้สึกเหนือกว่าคนอื่นทุกครั้งที่เขาชนะการแข่งขันหรือได้รับการยกย่อง และเขาจะรู้สึกท้อแท้และอิจฉาเมื่อคนอื่นทำได้ดีกว่าและได้รับความสนใจ ลูกชายของฉันสูญเสียความไร้เดียงสาที่เขาควรจะมีในวัยของเขาไป และทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการที่ฉันยัดเยียดความอยากได้อยากมีของตัวเองให้เขา หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ฉันมองไม่เห็นผลเสียที่ชื่อเสียงและผลประโยชน์มีต่อผู้คน ฉันถึงกับสอนให้ลูกไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ ซึ่งทำให้ฉันทำหน้าที่ของตัวเองล่าช้า ฉันละทิ้งงานที่ถูกควรของตัวเองจริงๆ! ฉันรู้สึกเสียใจมากและอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่เข้าใจความจริง ข้าพระองค์เป็นผู้ปกครองไม่ได้ตามมาตรฐานด้วยซ้ำ ข้าพระองค์ควรสอนลูกอย่างไร และควรปฏิบัติต่อความสนใจและงานอดิเรกของลูกอย่างไร?  โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงชี้แนะข้าพระองค์ด้วยเถิด”

ต่อมา ฉันพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เวลาที่พ่อแม่ยัดเยียดความคาดหวังและความต้องการสารพัดอย่างให้กับลูกของตน พวกเขากลับเพิ่มความกดดันให้กับลูกเป็นอันมาก—นี่ไม่ใช่การลุล่วงหน้าที่ของตน  ถ้าเช่นนั้น ความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วงมีอะไรบ้าง?  อย่างน้อยพวกเขาควรสอนลูกให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ พูดเรื่องจริง และทำสิ่งต่างๆ อย่างซื่อสัตย์ สอนให้มีจิตใจที่ดีและไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี ชี้แนะลูกในทิศทางที่เป็นบวก  สิ่งเหล่านี้คือความรับผิดชอบขั้นพื้นฐานที่สุดของพวกเขา  นอกจากนี้ พวกเขาควรชี้แนะให้ลูกศึกษาหาความรู้ ทักษะ และอื่นๆ ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ตามขีดความสามารถและภาวะของลูก  ถ้าพ่อแม่เชื่อในพระเจ้าและเข้าใจความจริง พวกเขาก็ควรให้ลูกๆ อ่านพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความจริง เพื่อให้ลูกมารู้จักพระผู้สร้าง และเข้าใจว่าพระเจ้าทรงสร้างผู้คนขึ้นมาและมีพระเจ้าอยู่ในจักรวาลนี้ พวกเขาควรพาลูกๆ อธิษฐานถึงพระเจ้า กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้ลูกเข้าใจความจริงบางอย่างได้ และเมื่อเติบโตขึ้นก็จะสามารถเชื่อในพระเจ้า ติดตามพระเจ้า และทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ แทนที่จะมัวไล่ตามกระแสนิยมทางโลก ติดอยู่ในกับดักที่เป็นสัมพันธภาพอันซับซ้อนระหว่างบุคคล และถูกกระแสนิยมต่างๆ อันชั่วของโลกนี้ชักจูง ทำให้เสื่อมทราม และทำลายเสีย  นี่คือความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วงโดยแท้  ความรับผิดชอบที่พวกเขาควรลุล่วงตามบทบาทของพ่อแม่ก็คือให้การชี้แนะแก่ลูกในทางที่เป็นบวกและให้การช่วยเหลืออย่างเหมาะควรก่อนที่ลูกๆ จะโตเป็นผู้ใหญ่ รวมทั้งดูแลชีวิตทางด้านกายภาพของลูกให้ทันท่วงทีในเรื่องของปัจจัยสี่  ถ้าลูกป่วย พ่อแม่ก็ควรพาไปรักษาเมื่อจำเป็น ไม่ควรให้ลูกยังคงไปโรงเรียน และงดเว้นการรักษาเพราะเกรงว่าจะถ่วงการเรียนของลูก  เมื่อลูกจำเป็นต้องพักฟื้น ก็ต้องอนุญาตให้พักฟื้น และเมื่อลูกจำเป็นต้องพักผ่อน ก็ต้องอนุญาตให้พักผ่อน  การดูแลสุขภาพของลูกให้ดีเป็นสิ่งที่ต้องทำ ถ้าลูกเรียนตามเพื่อนไม่ทัน พ่อแม่ก็หาวิธีให้เรียนชดเชยภายหลังได้  นี่คือความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วง  ด้านหนึ่ง พวกเขาต้องช่วยให้ลูกๆ ของตนมีพื้นความรู้ที่แน่นพอ  อีกด้านหนึ่ง พวกเขาต้องชี้แนะและอบรมสั่งสอนลูกให้เดินไปในเส้นทางที่ถูกต้อง และดูแลให้ลูกมีสุขภาพจิตที่ดี จะได้ไม่ถูกกระแสนิยมที่ไม่ดีและแนวปฏิบัติอันชั่วของสังคมเข้าครอบงำ  ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ต้องให้ลูกใส่ใจออกกำลังกายอย่างเหมาะสมอีกด้วยเพื่อให้ลูกมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง  เหล่านี้คือสิ่งที่พ่อแม่พึงทำ ไม่ใช่ฝืนยัดเยียดความคาดหวังหรือความต้องการใดๆ ที่ไม่อยู่กับความเป็นจริงให้กับลูก  พ่อแม่ต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตนทั้งในเรื่องของสิ่งที่ลูกจำเป็นต้องมีทางฝ่ายวิญญาณและสิ่งที่ลูกจำเป็นต้องมีในชีวิตทางกาย  พวกเขาควรบอกความรู้ทั่วไปบางอย่างแก่ลูก เช่น ลูกควรกินอาหารร้อนๆ ไม่กินอาหารที่เย็นชืด เมื่ออากาศหนาวก็ควรแต่งกายให้อบอุ่น จะได้ไม่เป็นไข้หนาวหรือเป็นหวัด ช่วยให้ลูกเรียนรู้ที่จะดูแลสุขภาพของตนเอง  นอกจากนี้ เมื่อความรู้สึกนึกคิดที่ยังเยาว์ของลูกเกิดแนวคิดแบบเด็กๆ ที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ในเรื่องอนาคตของตนหรือความคิดสุดโต่งบางอย่าง พ่อแม่ก็ต้องให้การชี้แนะที่ถูกต้องแก่ลูกทันทีที่พวกเขาพบเห็นเรื่องแบบนี้ แก้ไขความคิดเพ้อฝันแบบเด็กๆ และเรื่องที่สุดโต่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง เพื่อให้ลูกสามารถออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตได้  นี่คือการลุล่วงความรับผิดชอบของพ่อแม่  ในแง่หนึ่ง การลุล่วงความรับผิดชอบของพ่อแม่หมายถึงการเอาใจใส่ดูแลชีวิตของลูก ส่วนอีกแง่หนึ่งหมายถึงการชี้แนะและแก้ไขความคิดอ่านของลูกให้ถูกต้อง ให้การชี้แนะที่ถูกต้องแก่ลูกในเรื่องความคิดอ่านและทัศนะของพวกเขา(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (18))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เห็นว่าความรับผิดชอบที่พ่อแม่มีต่อลูกเล็กนั้น ในแง่หนึ่งเกี่ยวข้องกับการดูแลความต้องการทางร่างกายของลูกและการจัดการให้ลูกเติบโตอย่างแข็งแรง และในอีกแง่หนึ่ง คือการสื่อสารกับลูกๆ มากขึ้น และให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาทางใจของพวกเขาอย่างทันท่วงที ที่ดียิ่งขึ้นไปอีกคือ การพาลูกของพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าคือสิ่งที่ผู้คนต้องการจริงๆ พระองค์ทรงสอนพวกเราอย่างเป็นจริงถึงวิธีประพฤติปฏิบัติตนและวิธีปฏิบัติต่อลูกๆ ของเรา ฉันเลี้ยงลูกมาหลายปีแล้ว และฉันไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้ว การทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูกหมายความว่าอย่างไร ณ จุดนี้ ฉันตระหนักว่าต้องทำตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ฉันถึงจะสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเองในฐานะพ่อแม่ได้อย่างแท้จริง และสิ่งนี้จะทำให้ลูกฉันเติบโตอย่างแข็งแรงได้อีกด้วย เมื่อคิดได้อย่างนี้ ฉันก็เลิกบังคับลูกให้เข้าร่วมการฝึกซ้อมและการแข่งขันต่างๆ และเคารพความปรารถนาของเขาแทน ในขณะเดียวกัน ฉันก็สื่อสารกับเขาว่า “เราจะไม่พยายามทำให้ลูกเป็นนักเตะดาวเด่น ในเมื่อลูกสนุกกับการเล่นฟุตบอล ก็แค่จดจ่อกับการเล่นให้สนุก” เขาทั้งประหลาดใจและดีใจเมื่อได้ยินฉันพูดเช่นนี้ ฉันเองก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก หลังจากนั้น เมื่อลูกชายฉันไปฝึกซ้อมหรือแข่งขัน ฉันก็ปล่อยให้เขาจัดการเอง ฉันสงบใจเพื่อจดจ่อกับหน้าที่ของตัวเองและเลิกกังวลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น ในเดือนพฤษภาคม ปี 2024 ขณะที่ใกล้จะจบการศึกษาชั้นประถมศึกษา ลูกชายของฉันมีการแข่งขัน เมื่อเห็นว่าหลายทีมที่ลงแข่งนั้นแข็งแกร่ง ฉันก็กังวลเรื่องการแข่งขันที่ดุเดือด ฉันจึงแนะนำให้เขาไม่ลงแข่ง แต่ลูกชายฉันก็ยืนกรานว่าจะไป ผลก็คือ ความผิดพลาดของเพื่อนร่วมทีมของเขาทำให้เสียไปสองประตู และในการยิงลูกโทษตัดสินครั้งสุดท้าย ลูกชายของฉันก็ยิงประตูพลาดเพราะความประหม่า เขาเสียใจนิดหน่อยและรู้สึกเสียดาย แต่ฉันก็ให้คำปรึกษาเขาอย่างใจเย็นและกระตุ้นให้เขาเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อย่างสงบ หลังจากได้ยินเช่นนี้ ลูกชายของฉันก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ปกติแล้ว ฉันจะเป็นพยานยืนยันให้พระราชกิจของพระเจ้าต่อหน้าลูกชาย ฉันพูดกับเขาเกี่ยวกับวิธีที่มนุษย์ถูกพระเจ้าทรงสร้างขึ้นและวิธีที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทราม ลูกชายของฉันสนใจมากและเข้าใจตามได้ ฉันยังสอนลูกบ่อยๆ ด้วยว่าให้พึ่งพาพระเจ้าเมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็น และให้ซื่อสัตย์ในคำพูดและการกระทำ และอย่าโกหก หลอกลวง หรือทำสิ่งที่ไม่ดี

ความอยากได้อยากมีชื่อเสียงและผลประโยชน์ผุดขึ้นมาในหัวใจฉันเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนฉันเห็นลูกของคนอื่นประสบความสำเร็จในความสนใจหรืองานอดิเรกบางอย่าง ฉันก็จะรู้สึกว้าวุ่นใจ อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ยัดเยียดความอยากได้อยากมีของตัวเองให้ลูกอีกต่อไปแล้ว เย็นวันหนึ่ง ฉันเจอพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่ทั้งฉันและลูกกำลังต้องการ ฉันจึงเรียกเขามาอ่านบทตอนนี้กับฉัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ การที่พระเจ้าประทานความสนใจ งานอดิเรก หรือความถนัดหนึ่งๆ แก่เจ้า ก็ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าต้องให้เจ้าทำหน้าที่หรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับความสนใจ งานอดิเรก หรือความถนัดของเจ้า  บางคนกล่าวว่า ‘ในเมื่อไม่ได้ขอให้ฉันทำหน้าที่ในด้านนี้หรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แล้วทำไมถึงได้ประทานความสนใจ งานอดิเรก หรือความถนัดเช่นนี้แก่ฉัน?’  พระเจ้าประทานความสนใจและงานอดิเรกบางอย่างแก่ผู้คนส่วนใหญ่ตามภาวะต่างๆ ของแต่ละคน  แน่นอนว่ามีการพิจารณาสิ่งต่างๆ อยู่หลายประการ ประการหนึ่งคือเพื่อให้ผู้คนมีหนทางหาเลี้ยงชีพและอยู่รอด อีกประการหนึ่งคือเพื่อเสริมสร้างชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้น  บางครั้งชีวิตของคนเราก็ต้องมีความสนใจและงานอดิเรกบ้าง ไม่ว่าจะเพื่อความบันเทิงและความเพลิดเพลิน หรือเพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานบางอย่างที่ถูกควรได้ อันเป็นการเติมเต็มชีวิตมนูษย์ของพวกเขา  แน่นอนว่าไม่ว่าจะมองมุมใด ก็ย่อมมีเหตุผลเบื้องหลังการที่พระเจ้าประทานให้ และพระเจ้าก็ทรงมีเหตุผลและมูลฐานของพระองค์ที่จะไม่ประทานให้เช่นกัน  อาจเป็นไปได้ว่าชีวิตมนุษย์หรือการอยู่รอดของเจ้าไม่จำเป็นต้องให้พระเจ้าประทานความสนใจ งานอดิเรก และความถนัดแก่เจ้า และเจ้าสามารถดำรงหนทางหาเลี้ยงชีพหรือเสริมสร้างและเติมเต็มชีวิตมนุษย์ของเจ้าได้ด้วยวิธีอื่น  สรุปแล้ว ไม่ว่าพระเจ้าจะประทานความสนใจ งานอดิเรก และความถนัดแก่ผู้คนหรือไม่ นี่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาที่ตัวผู้คนเอง  ต่อให้บางคนไม่มีความถนัด นี่ก็ไม่ใช่ข้อบกพร่องในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  ผู้คนควรเข้าใจเรื่องนี้อย่างถูกต้องและปฏิบัติต่อเรื่องนี้อย่างถูกต้อง  ถ้าใครมีความสนใจ งานอดิเรก และความถนัดบางอย่าง พวกเขาก็ควรทะนุถนอมและใช้อย่างถูกต้อง หากไม่มี พวกเขาก็ไม่ควรพร่ำบ่น(พระวจนะฯ เล่ม 7 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (12))  ฉันเห็นจากพระวจนะของพระเจ้าว่า พระเจ้าประทานความสนใจและงานอดิเรกให้แก่ผู้คน ในแง่หนึ่งก็เพื่อทำให้ชีวิตมนุษย์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และในอีกแง่หนึ่ง ผู้คนสามารถใช้มันหาเลี้ยงชีพได้ แต่ไม่ว่าในที่สุดคนเราจะสามารถทำงานในสาขาที่เกี่ยวข้องกับความสนใจหรืองานอดิเรกของตัวเองได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระเจ้า ฉันสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจของฉันกับลูกชายเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติต่อความสนใจและงานอดิเรก ลูกชายของฉันพูดว่า “ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงอนุญาตให้ผมรักการเล่นฟุตบอล มันทำให้ผมมีความสุขมาก แต่ไม่ว่าผมจะทำงานที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลได้ไหม หรือผมจะหาเลี้ยงชีพในอนาคตอย่างไร ก็ยังคงขึ้นอยู่กับการลิขิตของพระเจ้า” ฉันพูดว่า “ใช่แล้ว พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง และนี่คือวิธีที่เราควรจะเข้าใจเรื่องนี้” ฉันรู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นวิเศษมาก พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ซึ่งให้หลักธรรมแห่งการปฏิบัติแก่เราในทุกเรื่อง มอบเส้นทางให้เราเดินตาม แถมยังมอบอิสระและความเป็นไทให้หัวใจของเราด้วย

ก่อนหน้า: 38. เมื่อได้ยินข่าวว่าแม่ป่วยหนัก

ถัดไป: 62. ตอนนี้ฉันปฏิบัติต่ออุปสรรคและความล้มเหลวอย่างถูกต้องได้แล้ว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger