39. เหตุใดฉันจึงไม่อาจยอมรับหน้าที่อย่างสงบใจได้

โดย โม่หราน ประเทศจีน

วันที่ 29 พฤศจิกายน ปี 2023 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้ดูแลงานข้อเขียน พอได้ยินข่าวนี้ ฉันก็รู้สึกทุกข์ใจมาก ภาพความทรงจำต่างๆ ตอนที่เคยเป็นผู้ดูแลก็ผุดขึ้นมาในหัวไม่หยุด เมื่อเกิดความเบี่ยงเบนและปัญหาขึ้นในงาน พี่น้องหญิงที่ร่วมงานกับฉันจะกระตือรือร้นค้นหาสาเหตุและหาทางแก้ไข แต่ฉันกลับไม่เคยรับมือกับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องเลย เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดปัญหาขึ้น ฉันจะคิดว่าเป็นเพราะฉันมีขีดความสามารถต่ำและขาดความสามารถในการทำงาน แต่ฉันไม่เคยวิเคราะห์ความเบี่ยงเบนและข้อบกพร่องในปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ต้องพูดถึงการพยายามครุ่นคิดว่าจะแก้ไขและคลี่คลายปัญหาเหล่านั้นอย่างไรเลย ฉันรู้สึกเสมอว่ามันออกจะน่าอัปยศที่มีปัญหามากมายเกิดขึ้นในหน้าที่ของฉัน และฉันก็อดไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่คิดลบและอยากจะหนีหน้าที่ตลอดเวลา ถ้าผู้นำชี้ให้เห็นปัญหาของฉันด้วย ฉันก็จะยิ่งคิดลบมากขึ้นไปอีก เพราะฉันใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่คิดลบและอู้งานมาเป็นเวลานาน ปัญหาหลายอย่างในงานจึงไม่สามารถคลี่คลายได้ทันท่วงที และฉันก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือที่แท้จริงแก่พี่น้องชายหญิงของฉัน ผู้นำสามัคคีธรรมกับฉันหลายครั้งเกี่ยวกับสภาวะของฉัน แต่ฉันก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ และในท้ายที่สุด มันก็ส่งผลกระทบต่องานอย่างรุนแรง และฉันก็ถูกปลด แม้ว่าจะถูกปลดออก แต่มันกลับรู้สึกเหมือนการปลดเปลื้อง แต่ตอนนี้พวกเขาอยากให้ฉันเป็นผู้ดูแลอีกครั้ง นั่นจะไม่หมายความว่าฉันจะต้องใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวดและน่าอัปยศเหมือนเมื่อก่อนหรอกหรือ?  ฉันไม่อยากเป็นผู้ดูแลอีกแล้วจริงๆ!  นอกจากนี้ ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่มีขีดความสามารถที่จะเป็นผู้ดูแลเลย ฉันเคยเห็นว่าผู้นำ คนทำงาน และผู้ดูแลหลายคนเป็นคนที่มีขีดความสามารถดี มีความสามารถในการทำงานที่แข็งแกร่ง และมีประสิทธิภาพสูงในการทำงาน ในขณะที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนประเภทที่มีขีดความสามารถต่ำและมีประสิทธิภาพน้อย และฉันก็ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ดูแลเลย ณ จุดนี้ ในหน้าที่ของฉันในฐานะสมาชิกในทีม ฉันพอจะเห็นผลลัพธ์อยู่บ้างและสามารถรักษาความภาคภูมิใจไว้ได้เล็กน้อย แต่การเป็นผู้ดูแลหมายถึงการแบกรับภาระงานที่หนักและต้องคำนึงถึงทุกแง่มุม ด้วยมีความสามารถปานกลาง ฉันเลยรู้สึกว่าไม่ว่าจะพยายามหนักแค่ไหน ฉันก็จะยังคงทำได้ไม่ดี และท้ายที่สุดฉันก็จะถูกปลดอีกครั้ง ฉันจะพ่ายแพ้อย่างย่อยยับอีกครั้ง แล้วพี่น้องชายหญิงจะมองฉันอย่างไร?  พวกเขาจะพูดไหมว่าฉันไม่เอาไหนโดยสิ้นเชิง?  เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันมีความคิดเหล่านี้ ฉันก็อยากจะปฏิเสธหน้าที่นั้น แต่ฉันก็รู้สึกว่าถ้าปฏิเสธหน้าที่ ฉันจะทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากในเวลานี้มีผู้ดูแลงานข้อเขียนเพียงคนเดียว และภาระงานก็หนักมากจนคนคนเดียวไม่สามารถรับมือได้ทั้งหมด ผู้นำจึงบอกว่างานได้รับผลกระทบไปแล้ว เนื่องจากฉันได้ฝึกฝนในหน้าที่เกี่ยวกับงานข้อเขียนมาหลายปีและเคยเป็นผู้ดูแลมาก่อน ฉันจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับงานหลายชิ้น ดังนั้นหากฉันไม่ยอมรับหน้าที่นี้ในเวลานี้ ฉันก็ไม่สมควรถูกเรียกว่าเป็นสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้าจริงๆ แต่ถ้าฉันตกลงแล้วไม่สามารถแบกรับงานได้ ความภาคภูมิใจและสถานะของฉันก็คงจะพังทลายไม่ใช่หรือ?  การคิดถึงเรื่องเหล่านี้ทำให้ฉันรู้สึกกดดันและเจ็บปวดเป็นพิเศษ และฉันรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฉันระบายสภาวะที่แท้จริงของฉันต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า วันนี้หน้าที่ในฐานะผู้ดูแลนี้มาถึงข้าพระองค์ และข้าพระองค์รู้ว่านี่คือการชูขึ้นและพระคุณของพระองค์ แต่ข้าพระองค์ยังคงรู้สึกขาดขีดความสามารถที่จะเป็นผู้ดูแล และกลัวมากว่าหลังจากเป็นผู้ดูแลอีกครั้ง ข้าพระองค์จะประสบปัญหาสารพัดและลงเอยด้วยการติดอยู่กับสถานะและความภาคภูมิใจอีกครั้ง ไม่สามารถสลัดตัวออกมาได้ ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานความเชื่อและความแน่วแน่ที่จะนบนอบให้แก่ข้าพระองค์”

ต่อมา ฉันไปร่วมการชุมนุมด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อผู้นำได้ทราบถึงสภาวะของฉัน เธอก็หาพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ฉันที่ว่า “ในแง่หนึ่งนั้น พระเจ้าทรงมีวัตถุประสงค์ในการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมต่างๆ ให้กับมนุษย์ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับประสบการณ์กับสิ่งนานาประการในหลากหลายหนทาง ให้เรียนรู้บทเรียนจากสิ่งเหล่านั้น ให้เข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงนานัปการที่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้า เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ของผู้คน และเพื่อช่วยให้พวกเขาได้รับความเข้าใจอันครอบคลุมและหลากหลายแง่มุมยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับตัวเอง สภาพแวดล้อมของตน และมวลมนุษย์  ในอีกแง่หนึ่งนั้น พระเจ้าต้องประสงค์ให้ผู้คนดำรงสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระองค์ไว้โดยการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมพิเศษบางอย่างและการจัดการเตรียมการบทเรียนพิเศษบางอย่างให้กับพวกเขา  ในหนทางนี้ผู้คนจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยขึ้นแทนที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะที่ไร้พระเจ้า โดยกล่าวว่าตนเองเชื่อในพระเจ้าแต่กลับปฏิบัติตนในหนทางซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าหรือความจริง อันเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ความเดือดร้อน  เพราะฉะนั้นในสภาพแวดล้อมทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมนั้น โดยข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนถูกนำพามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยความอิดออดและไม่กระตือรือร้นโดยพระเจ้าพระองค์เอง  นี่แสดงให้เห็นเจตนารมณ์อันเปี่ยมไปด้วยความอุตสาหะของพระเจ้า  ยิ่งเจ้าขาดพร่องความเข้าใจในเรื่องหนึ่งๆ มากเท่าใด เจ้าก็ควรมีหัวใจที่เคร่งศรัทธาและยำเกรงพระเจ้ามากขึ้น และมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าและความจริงให้บ่อยขึ้นเท่านั้น  เมื่อเจ้าไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลาย เจ้าจำเป็นต้องได้ความรู้แจ้งและการนำจากพระเจ้า  เมื่อเจ้าเผชิญสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ เจ้าก็ต้องร้องขอให้พระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวเจ้าให้มากขึ้น  เหล่านี้คือเจตนารมณ์อันเปี่ยมไปด้วยความอุตสาหะของพระเจ้า  ยิ่งเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามากขึ้นเท่าใด หัวใจของเจ้าก็จะยิ่งใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  และไม่จริงหรือว่ายิ่งหัวใจของเจ้าใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พระเจ้าก็จะยิ่งสถิตอยู่ในหัวใจของเจ้ามากขึ้นเท่านั้น?  ยิ่งพระเจ้าทรงอยู่ในหัวใจของบุคคลหนึ่งมากเท่าใด การไล่ตามเสาะหาของพวกเขา เส้นทางที่พวกเขาเดิน และสภาวะในหัวใจของพวกเขาก็ย่อมจะดีขึ้นเท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือรากฐานของการเชื่อในพระเจ้า)  พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนมาก ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม ทั้งหมดก็เพื่อให้เราสามารถเรียนรู้บทเรียนและได้รับความจริง เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่ฉันเป็นผู้ดูแลมาก่อน เพราะฉันเผยให้เห็นความเบี่ยงเบนและข้อบกพร่องมากมายในหน้าที่ของฉัน และไม่อาจทะนงตัวได้ดังหวัง ฉันจึงมักจะคิดลบ ฉันไม่เคยแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองเลย ฉันคิดแค่ว่าพี่น้องชายหญิงจะคิดอย่างไรกับฉัน และพวกเขาจะดูถูกฉันหรือไม่ ฉันเอาแต่อยากจะหนีหน้าที่ และฉันก็เริ่มคิดลบและอู้งาน ไม่ได้ทำงานจริงเลย ในท้ายที่สุด งานก็ล่าช้า และชีวิตของฉันก็ไม่เติบโตขึ้นเลย ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการที่ฉันไม่ได้แสวงหาความจริงในระยะยาว เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่ฉันยังไม่ได้เป็นผู้ดูแล ฉันคิดว่าตัวเองทำได้ดีในทุกๆ ด้าน และไม่เข้าใจตัวเองอย่างแท้จริงเลย นับตั้งแต่ได้เป็นผู้ดูแล ความเบี่ยงเบนและปัญหามากมายในหน้าที่ก็ถูกเปิดโปง และฉันก็ถูกตัดแต่งบ่อย ทั้งหมดนี้บังคับให้ฉันต้องทบทวนความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตัวเอง และมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาความจริง หากฉันสามารถกล้าเผชิญหน้าข้อบกพร่องและข้อด้อยของตัวเอง อธิษฐานถึงพระเจ้ามากขึ้น และแสวงหาหลักธรรมความจริงได้ ฉันก็จะสามารถเรียนรู้บทเรียนในทุกๆ ด้านได้ นี่คือพระคุณของพระเจ้า แต่ฉันกลับไม่รู้จักสำนึกในพระคุณ เอาแต่อยากจะหลีกเลี่ยงหน้าที่และไม่มีความรับผิดชอบ แม้หลังจากถูกปลดแล้ว ฉันก็ไม่รู้สึกผิดหรือสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ฉันกลับมองว่านี่เป็นการปลดเปลื้องแบบหนึ่ง ฉันทำให้พระเจ้าผิดหวังอย่างแท้จริง!  แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงรังเกียจฉัน และกลับประทานโอกาสให้ฉันได้ฝึกฝนอีกครั้ง โดยทรงต้องการให้ฉันเสริมสร้างตัวเองด้วยความจริงมากขึ้นและเติบโตในชีวิตเร็วขึ้น แต่ฉันกลับมึนชาและโง่เขลา และไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันกังวลว่าข้อบกพร่องของฉันจะถูกเปิดโปงอีกครั้งและคนอื่นจะดูถูกฉัน ฉันจึงไม่อยากทำหน้าที่ผู้ดูแล ฉันขัดต่อเจตนารมณ์อันอุตสาหะของพระเจ้าอย่างแท้จริง การตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันรู้สึกผิดและติดค้างพระเจ้าอยู่บ้าง

ฉันเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้ามากขึ้นเล็กน้อยและยอมรับหน้าที่ผู้ดูแล แต่ฉันก็ยังอดกังวลและเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ฉันกลัวว่าจะทำหน้าที่ได้ไม่ดี จะเสียหน้าโดยสิ้นเชิง และสุดท้ายก็จะถูกปลดเหมือนครั้งที่แล้ว วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าจะสูงหรือต่ำ และไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจความจริงหรือไม่ก็ตาม เจ้าก็ต้องมีท่าทีเช่นนี้คือ ‘ในเมื่อฉันได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้ ฉันก็ต้องจริงจังกับงาน ฉันต้องให้ความสนใจ และต้องใช้หัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีมาทำงานให้ดี  ส่วนจะทำได้ดีจริงหรือไม่นั้น ฉันไม่อาจหาญให้คำรับรอง แต่ท่าทีของฉันก็คือฉันจะปฏิบัติงานให้ดีอย่างสุดความสามารถ และแน่นอนว่าฉันจะไม่สุกเอาเผากินในเรื่องงาน  ถ้างานเกิดปัญหา เช่นนั้นฉันก็ควรรับผิดชอบ และดูให้แน่ใจว่าฉันได้ถอดบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นและทำหน้าที่ของตนอย่างดี’  นี่คือท่าทีที่ถูกต้อง(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8))  หลังจากได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ฉันก็ซาบซึ้งใจมาก ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อฉันนั้นไม่สูงเลย พระองค์ไม่ได้ทรงเรียกร้องให้ฉันทำงานที่ยิ่งใหญ่ใดๆ เกินขีดความสามารถและความสามารถที่ฉันมี แต่ทรงขอเพียงให้ฉันมีหัวใจที่จริงใจและทุ่มเทสุดตัวเพื่อลุล่วงหน้าที่ของตัวเองให้ดี เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยแล้ว แม้ว่าฉันจะยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสามารถแบกรับหน้าที่ผู้ดูแลได้ แต่ฉันก็ต้องมีทัศนคติที่จะทุ่มเทสุดตัวเพื่อลุล่วงหน้าที่ของตัวเองให้ดี นี่เป็นสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ ฉันตระหนักว่าที่ผ่านมาที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี ไม่ได้เป็นเพราะขีดความสามารถของฉันไม่ดีพอ แต่เป็นเพราะฉันเอาแต่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ตัดสินตัวเอง และอยากจะถอยหนีอยู่ตลอดเวลา ฉันไม่รู้สึกว่าต้องแบกรับหน้าที่เลย และเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ฉันก็ไม่ได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทบทวนในทันที และไม่ได้วิเคราะห์ว่าทำไมความเบี่ยงเบนและปัญหาเหล่านี้จึงเกิดขึ้น และไม่ได้ครุ่นคิดว่าจะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างไร วันๆ ฉันคิดถึงแต่ความภาคภูมิใจและสถานะของตัวเอง ด้วยทัศนคติเช่นนั้น ฉันจะลุล่วงหน้าที่ของตัวเองให้ดีได้อย่างไรกัน?  เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็เห็นว่าความทะนงตัว ความภาคภูมิใจ และความกังวลในสถานะของตัวเองเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดในหน้าที่ ดังนั้น ฉันจึงเริ่มทบทวนว่า “ทำไมทุกครั้งที่ความภาคภูมิใจและสถานะเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉันถึงอดไม่ได้ที่จะจมปลักอยู่ในสภาวะที่ไม่ถูกต้อง?”

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ความทะนุถนอมที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อความมีหน้ามีตาและสถานะนั้นมีมากกว่าของผู้คนทั่วไป และเป็นสิ่งที่มีอยู่ในอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกเขา นั่นไม่ใช่ความสนใจชั่วคราวหรือผลกระทบชั่วครู่ชั่วยามจากสิ่งรอบตัวของพวกเขา—นั่นเป็นบางสิ่งภายในชีวิตของพวกเขา กระดูกของพวกเขา และดังนั้นนั่นจึงเป็นแก่นแท้ของพวกเขา  นี่หมายความว่าในทุกสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ทำ สิ่งแรกที่พวกเขาคำนึงถึงก็คือความมีหน้ามีตาและสถานะของพวกเขาเอง ไม่ใช่อะไรอื่น  สำหรับศัตรูของพระคริสต์ ความมีหน้ามีตาและสถานะคือชีวิตของพวกเขา และเป็นเป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าตลอดชีวิต  ในทั้งหมดที่พวกเขาทำ การคิดพิจารณาอย่างแรกของพวกเขาคือ ‘จะเกิดอะไรขึ้นกับสถานะของฉัน?  แล้วความมีหน้ามีตาของฉันล่ะ?  การทำเช่นนี้จะทำให้ฉันเป็นที่นับหน้าถือตาหรือไม่?  นั่นจะยกระดับสถานะของฉันในจิตใจของผู้คนหรือไม่?’  นั่นคือสิ่งแรกที่พวกเขาคิดถึง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่มากพอว่าพวกเขามีอุปนิสัยและแก่นแท้แบบศัตรูของพระคริสต์—และเป็นเพราะเหตุนี้เท่านั้น พวกเขาจึงคำนึงถึงสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้  อาจกล่าวได้ว่าสำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว ความมีหน้ามีตาและสถานะไม่ใช่เรื่องพึงประสงค์บางอย่างที่เพิ่มเข้ามา นับประสาอะไรที่จะเป็นสิ่งภายนอกซึ่งพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีก็ได้  สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ สิ่งเหล่านี้อยู่ในกระดูกของพวกเขา ในเลือดของพวกเขา สิ่งเหล่านี้มีมาแต่กำเนิดสำหรับพวกเขา พวกศัตรูของพระคริสต์นั้นมิใช่ไม่แยแสว่าพวกเขามีหน้ามีตาและมีสถานะหรือไม่ นี่ไม่ใช่ท่าทีของพวกเขา  เช่นนั้นแล้ว อะไรคือท่าทีของพวกเขา?  ความมีหน้ามีตาและสถานะเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของพวกเขาอย่างแนบแน่น เชื่อมโยงกับสภาวะในแต่ละวันของพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาเป็นประจำทุกวัน  ดังนั้น สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว สถานะและความมีหน้ามีตาจึงเป็นชีวิตของพวกเขา  ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ทำงานอะไร ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด ไม่ว่าเป้าหมายของพวกเขาจะเป็นสิ่งใด ทิศทางชีวิตของพวกเขาคืออะไร ทั้งหมดย่อมโคจรอยู่รอบๆ การเป็นที่นับหน้าถือตาและสถานะอันสูงส่ง  และจุดมุ่งหมายนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่สามารถละวางสิ่งทั้งหลายดังกล่าวได้  นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของศัตรูพระคริสต์ และแก่นแท้ของพวกเขา  เจ้าอาจนำพวกเขาไปไว้ในป่าดงดิบลึกเข้าไปในเทือกเขา แต่พวกเขาก็จะไม่ละมือจากการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ  เจ้าสามารถนำพวกเขาไปอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มใดก็ได้ และพวกเขาก็จะยังคงคิดออกแต่เรื่องความมีหน้ามีตาและสถานะเท่านั้น  แม้ว่าศัตรูของพระคริสต์จะเชื่อในพระเจ้าเช่นกัน แต่พวกเขาก็มองว่าการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะเทียบได้กับความเชื่อในพระเจ้า และวางสองสิ่งนี้ไว้ในระดับเดียวกัน  ซึ่งหมายความว่าขณะที่พวกเขาเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเองไปด้วย  อาจกล่าวได้ว่าในหัวใจของศัตรูพระคริสต์ การไล่ตามเสาะหาความจริงในความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ และการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะก็เป็นการไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นกัน การได้มาซึ่งความมีหน้ามีตาและสถานะก็คือการได้มาซึ่งความจริงและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เห็นว่าศัตรูของพระคริสต์มองชื่อเสียงและสถานะเป็นชีวิตของตัวเองเลย และเป็นเป้าหมายที่พวกมันไล่ตามไขว่คว้าทั้งชีวิต ไม่ว่าพวกมันจะทำหรือพูดอะไร พวกมันจะคำนึงถึงแต่ชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง นี่คือแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ เมื่อนึกย้อนกลับไป ฉันมีความอยากได้อยากมีที่แรงกล้าในชื่อเสียงและสถานะมาโดยตลอดตั้งแต่ยังเด็ก และฉันก็ใช้ชีวิตตามพิษของซาตานที่ว่า “ต้นไม้ต้องมีเปลือกฉันใด ผู้คนต้องมีความภาคภูมิใจฉันนั้น” และ “ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องที่นั่นฉันใด มนุษย์อยู่ที่ใดก็ฝากชื่อไว้ที่นั่นฉันนั้น” มาโดยตลอด ฉันใส่ใจความเห็นของคนอื่นที่มีต่อฉันมาก ตอนเรียนประถมสี่ คุณครูเลือกให้ฉันไปแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก แต่ฉันทำคะแนนได้ไม่สูงเท่ากับนักเรียนคนอื่น และฉันรู้สึกอัปยศอดสูมาก หลังจากนั้น ฉันก็หาข้ออ้างและลาออกจากโรงเรียน คุณครูเห็นว่าผลการเรียนของฉันไม่ได้แย่ขนาดนั้นและคิดว่าน่าเสียดายที่ฉันลาออก จึงมาที่บ้านของฉันเป็นพิเศษเพื่อเกลี้ยกล่อมฉัน ฉันถึงได้กลับไปเรียนหนังสือ ตอนเรียนมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง ครั้งหนึ่งฉันตอบคำถามของคุณครูผิดไปข้อหนึ่ง และทุกคนทั้งชั้นก็หัวเราะครืน ฉันรู้สึกอัปยศอดสูอย่างที่สุดและไม่กลับไปโรงเรียนอีกเลย หลังจากเชื่อในพระเจ้าแล้ว ฉันก็ยังเป็นเหมือนเดิม เพราะไม่อาจมีชื่อเสียงและสถานะได้ดังที่อยากมี ฉันจึงใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่คิดลบและอยากจะละทิ้งหน้าที่ ตอนที่ฉันเคยเป็นผู้ดูแล ข้อบกพร่องมากมายของฉันถูกเปิดโปง และฉันรู้สึกอัปยศอดสูมาก ฉันจึงเอาแต่คิดหลีกเลี่ยงหน้าที่ และไม่ทุ่มเทความพยายามใดๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ ฉันอู้งานและคิดลบในหน้าที่ และในท้ายที่สุด ฉันก็ทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าและถูกปลด อีกเหตุผลที่ครั้งนี้ฉันไม่อยากเป็นผู้ดูแล ก็เพราะกลัวว่าจะไม่สามารถทำงานจริงได้และจะถูกปลดอีกครั้ง และฉันกลัวว่าความภาคภูมิใจของฉันจะได้ถูกกระทบอีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดูถูก ฉันจึงเอาแต่อยากจะปฏิเสธหน้าที่นี้ ฉันคำนึงถึงแต่ชื่อเสียงและสถานะของตัวเองอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ได้คิดถึงงานของคริสตจักรเลยแม้แต่น้อย ฉันช่างเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์จริงๆ!  คนที่มีความเป็นมนุษย์ เมื่อต้องเผชิญกับหน้าที่ จะไม่สนใจว่าหน้าที่นี้จะนำเกียรติยศมาให้หรือไม่ หรืออาจต้องเผชิญกับความลำบากยากเย็นอะไร ตราบใดที่มันจำเป็นต่องานของคริสตจักร พวกเขาก็จะพึ่งพาพระเจ้าและทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ฉันกลับเอาแต่จมปลักอยู่กับความกังวลเรื่องชื่อเสียงและสถานะ และทันทีที่ประสบอุปสรรคหรือความล้มเหลวในหน้าที่ ฉันก็จะจมดิ่งสู่สภาวะท้อแท้ ฉันเอาแต่อยากจะปฏิเสธและหลีกเลี่ยงหน้าที่ ทำเช่นนี้แล้วฉันไม่ได้ต่อต้านพระเจ้าหรอกหรือ?  ฉันได้เห็นว่าการไล่ตามไขว่คว้าสถานะและชื่อเสียงรังแต่จะทำให้ฉันต่อต้านพระเจ้าและก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระองค์ และเมื่อทำเช่นนี้ ฉันกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ หากฉันยังคงไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะต่อไป ฉันก็จะไม่มีวันทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี และฉันรังแต่จะถูกพระเจ้าทรงเกลียดและทรงกำจัดออกไป เมื่อตระหนักถึงทั้งหมดนี้ ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า หัวใจของข้าพระองค์ถูกสถานะและชื่อเสียงครอบงำมากเกินไป ข้าพระองค์ไม่อยากกบฏต่อพระองค์อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าขีดความสามารถของข้าพระองค์จะเป็นอย่างไร ข้าพระองค์ก็เต็มใจที่จะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อลุล่วงหน้าที่ของตนให้ดี เพื่อให้พระองค์ทรงสบายพระทัย”

ในการแสวงหา ฉันค้นพบว่าตัวเองมีทัศนะที่ผิดพลาดมาโดยตลอด ฉันนึกว่าการที่จะเป็นผู้ดูแลได้นั้น คนคนหนึ่งต้องมีขีดความสามารถที่ดีและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มิฉะนั้น คนคนนั้นก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ดูแล แต่ฉันไม่เคยแสวงหาเลยว่าทัศนะนี้ของฉันถูกต้องจริงหรือไม่ ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อมองจากมุมมองของงานโดยรวมในพระนิเวศของพระเจ้า แน่นอนว่าหากมีผู้คนที่มีขีดความสามารถที่ดีจำนวนมากขึ้น งานของคริสตจักรก็จะง่ายขึ้นอย่างแท้จริง  อย่างไรก็ตาม มีข้อตั้งประการหนึ่งคือ ในพระนิเวศของพระเจ้า พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์เอง และผู้คนไม่มีบทบาทในการชี้ขาด  ดังนั้น ไม่ว่าขีดความสามารถของผู้คนจะดี ปานกลาง หรือต่ำ ก็ไม่ได้กำหนดผลลัพธ์ของพระราชกิจของพระเจ้า  ผลลัพธ์สุดท้ายที่สัมฤทธิ์นั้นสำเร็จลงโดยพระเจ้า  ทุกสิ่งได้รับการทรงนำโดยพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์(พระวจนะฯ เล่ม 7 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (7))  “ไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าจะสูงหรือต่ำ และไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถพิเศษมากเพียงใด หากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้รับการแก้ไข เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะถูกจัดวางไว้ในตำแหน่งใด เจ้าก็จะไม่เหมาะสมที่จะถูกใช้งาน  ในทางกลับกัน หากขีดความสามารถและความสามารถของเจ้ามีจำกัด แต่เจ้าเข้าใจหลักธรรมความจริงต่างๆ รวมถึงหลักธรรมความจริงที่เจ้าควรเข้าใจและจับใจความได้ภายในขอบเขตของงานของเจ้า และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้รับการแก้ไขแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็จะเป็นคนที่เหมาะสมที่จะถูกใช้งาน(พระวจนะฯ เล่ม 7 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3))  “ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราให้ดีี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของคนคนหนึ่งถ่ายเดียว แต่โดยมากแล้วขึ้นอยู่กับท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตน ลักษณะนิสัยของพวกเขา ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาดีหรือเลว และพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่  เหล่านี้คือรากของปัญหา  พระเจ้าทอดพระเนตรมองสิ่งเหล่านี้คือ หัวใจของเจ้าอยู่ในหน้าที่ของเจ้าหรือไม่ เจ้ากำลังทำให้ดีที่สุดและกระทำการด้วยหัวใจทั้งดวงหรือไม่ เจ้ามีท่าทีที่จริงจังและละเอียดรอบคอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่ เจ้าตั้งใจและขยันหมั่นเพียรหรือไม่ และพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกคน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตระหนักว่าทัศนะของฉันไม่ได้สอดคล้องกับความจริงเลย ว่างานใดๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าล้วนกระทำโดยพระเจ้าพระองค์เอง และขีดความสามารถของบุคคลไม่ได้ตัดสินทุกสิ่ง การที่เราจะทำหน้าที่ได้ดีหรือไม่นั้น หลักๆ แล้วขึ้นอยู่กับท่าทีที่เรามีต่อหน้าที่ ว่าเรามีหัวใจที่มีรอบคอบและรับผิดชอบหรือไม่ และเราสามารถกระทำตามหลักธรรมความจริงได้หรือไม่ หากบุคคลมีพรสวรรค์และขีดความสามารถ แต่ไม่มีสำนึกถึงภาระหรือความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง และเมื่อพี่น้องชายหญิงชี้ให้เห็นปัญหา ก็ไม่ยอมรับและไม่ทบทวนหรือวิเคราะห์ปัญหาเหล่านั้น เช่นนั้นแล้ว ต่อให้จะมีพรสวรรค์และขีดความสามารถ พวกเขาก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี และพระเจ้าก็จะไม่ประทานพระพรหรือทรงชี้แนะพวกเขา ในทางตรงกันข้าม หากบุคคลมีขีดความสามารถปานกลางแต่มีเจตนาถูกควร และทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็งและมีความรับผิดชอบ และเมื่อพี่น้องชายหญิงชี้ให้เห็นความเบี่ยงเบนและข้อบกพร่องของตัวเอง ก็สามารถยอมรับและแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ยังสามารถบรรลุผลลัพธ์ได้อยู่บ้างในหน้าที่ของตัวเอง ฉันนึกถึงพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ฉันเคยรู้จัก เธอมีขีดความสามารถปานกลาง แต่หลังจากได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ เธอก็มีสำนึกถึงภาระในหน้าที่ตัวเอง ทำงานอย่างรอบคอบตามความจริงที่เป็น และบรรลุผลลัพธ์ที่ดีพอสมควรในหน้าที่ของเธอ และต่อมา เธอก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้รับผิดชอบงานที่ใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ยังมีพี่น้องหญิงอีกคนที่เคยร่วมงานกับฉันมาก่อน ซึ่งมีขีดความสามารถดี แต่เมื่อผู้นำชี้ให้เห็นปัญหาและความเบี่ยงเบนในงานของเธอ เธอก็ไม่เพียงแต่ปฏิเสธที่จะยอมรับ แต่ยังโต้เถียงกลับและปฏิเสธที่จะนบนอบอีกด้วย ผลก็คือ เธอสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่สามารถมองทะลุปัญหาใดๆ ได้ และไม่บรรลุผลลัพธ์ใดๆ ในหน้าที่ของเธอ และในที่สุด เธอก็ถูกปลด จากข้อเท็จจริงเหล่านี้ ฉันเห็นว่าการที่คนเราจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้ดีหรือไม่นั้น ไม่ได้ใช้ขีดความสามารถเป็นตัวตัดสินชี้ขาด และกุญแจสำคัญอยู่ที่ว่าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ และอยู่ที่ท่าทีของพวกเขาต่อหน้าที่ของตัวเอง

ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมที่ว่า “ขีดความสามารถ พรสวรรค์ และความสามารถพิเศษที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เจ้านั้นเพียงพอแล้ว—เพียงเพราะเจ้าไม่พอใจ ไม่อุทิศตนให้กับหน้าที่ของเจ้า ไม่เคยรู้ที่ทางของตนเอง ต้องการพร่ำพูดแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งและอวดตนอยู่เสมอ ท้ายที่สุดก็ทำให้หน้าที่ของเจ้ายุ่งเหยิง  เจ้าไม่ได้นำขีดความสามารถ พรสวรรค์ และความสามารถพิเศษที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้ามาใช้ เจ้าไม่ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ และเจ้าไม่ได้สัมฤทธิ์ผลใดๆ  แม้เจ้าอาจจะยุ่งมากทีเดียว แต่พระเจ้ากลับตรัสว่าเจ้าเป็นเหมือนตัวตลก ไม่ใช่คนที่รู้จักที่ทางของตนและมุ่งเน้นกิจที่ถูกควรของตน  พระเจ้าไม่โปรดผู้คนเช่นนี้  ดังนั้น ไม่ว่าแผนการและเป้าหมายของเจ้าคืออะไร หากในท้ายที่สุดเจ้าไม่มาทำหน้าที่ของเจ้าตามหลักธรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้อย่างสุดหัวใจ สุดความคิด และสุดกำลังของเจ้า บนพื้นฐานของขีดความสามารถที่มีมาแต่กำเนิด พรสวรรค์ ความสามารถพิเศษ ความสามารถ และภาวะอื่นๆ ที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เจ้า เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะไม่ทรงจดจำสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไป และเจ้าไม่ได้กำลังจะทำหน้าที่ของตน แต่เจ้ากำลังจะทำชั่วแทน(พระวจนะฯ เล่ม 7 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3))  “ขั้นแรกคือ จงใช้พรสวรรค์ ความสามารถ และจุดแข็งที่มีอยู่และมีมาแต่กำเนิดซึ่งพระเจ้าได้ประทานให้แก่เจ้าให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง รวมถึงทักษะทางเทคนิคหรือทางวิชาชีพที่เจ้าสามารถบรรลุและสัมฤทธิ์ได้ และอย่าหยุดยั้งเอาไว้  หากเจ้าได้ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในแง่ของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และรู้สึกว่าเจ้ายังสามารถไปถึงจุดที่สูงขึ้นได้อีก เช่นนั้นก็จงดูว่าทักษะทางเทคนิคหรือทางวิชาชีพใดที่เจ้าสามารถปรับปรุงหรือทำให้เกิดความก้าวหน้าภายในขอบเขตที่ขีดความสามารถของเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้  เจ้าสามารถเรียนรู้และพัฒนาต่อไปได้ตามสิ่งที่ขีดความสามารถของเจ้าสามารถบรรลุได้ …  หากเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าอย่างสุดหัวใจ สุดกำลัง และสุดความคิดของเจ้า ทำอย่างสุดความสามารถของเจ้า และเจ้ามีหัวใจที่จริงใจ เช่นนั้นเจ้าก็ล้ำค่าดั่งทองคำเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  หากเจ้าไม่สามารถจ่ายราคาและขาดความจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตน เช่นนั้นแล้ว แม้ภาวะที่เจ้ามีมาแต่กำเนิดจะดีกว่าของคนทั่วไป เจ้าก็ไม่ได้ล้ำค่าเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าไม่ได้มีค่าแม้แต่เม็ดทรายเม็ดเดียว(พระวจนะฯ เล่ม 7 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3))  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจว่าไม่ว่าบุคคลจะมีขีดความสามารถเช่นไร ตราบใดที่พวกเขาทำหน้าที่ตามความสามารถของตัวเองอย่างสุดกำลังกายและใจ และมีหัวใจที่จริงใจ คนเช่นนั้นก็ล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำในสายพระเนตรของพระเจ้า ขีดความสามารถที่พระเจ้าประทานให้ฉันนั้นจริงๆ แล้วก็เพียงพอ แถมฉันก็พอจะเข้าใจหลักธรรมบางอย่างเกี่ยวกับงานข้อเขียน และโดยปกติแล้ว เวลาติดตามงานก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่มีหนทางเลย ปัญหาคือฉันไม่เคยสามารถปฏิบัติต่อข้อบกพร่องของตัวเองได้อย่างถูกควรเลย ฉันเอาแต่เปรียบเทียบตัวเองกับคนที่มีขีดความสามารถและพรสวรรค์ที่ดีกว่า และไม่เคยทุ่มเทใจให้กับวิธีทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเลย ตอนนี้พอได้ทำหน้าที่ผู้ดูแลอีกครั้ง ฉันจะทะนุถนอมหน้าที่นี้อย่างสุดซึ้ง และทุ่มเทสุดจิตสุดใจตอนทำหน้าที่ ฉันไม่อาจจะคิดลบกับหน้าที่นี้อีกต่อไป

เมื่อท่าทีของฉันเปลี่ยนไป ครั้งต่อไปที่ฉันทำหน้าที่ ฉันก็อธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงทำให้หัวใจของฉันสงบเฉพาะพระพักตร์พระองค์ เมื่อทบทวนคำเทศนาอย่างรอบคอบ ฉันก็สามารถมองเห็นปัญหาบางอย่างได้ และฉันก็ได้รับประโยชน์จากการศึกษาทักษะในงานร่วมกับพี่น้องชายหญิงของฉัน เมื่อความเบี่ยงเบนและปัญหาปรากฏขึ้นในงาน ซึ่งเปิดโปงข้อบกพร่องมากมายของฉัน ฉันก็ยังคงรู้สึกละอายและคิดลบอยู่บ้าง และถึงกับคิดที่จะถอยหนี ในเวลาเช่นนั้น ฉันจะนึกถึงความล้มเหลวในอดีต เมื่อก่อน ฉันเอาแต่จมปลักอยู่กับความกังวลเรื่องความภาคภูมิใจและสถานะ และเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ฉันก็ไม่กระตือรือร้นที่จะวิเคราะห์ความเบี่ยงเบนและข้อบกพร่อง เอาแต่คิดลบและถอยหนี และผลก็คือ ฉันสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไป ฉันไม่อยากจมอยู่ในสภาวะท้อแท้อีก ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า ทูลขอให้พระองค์ทรงช่วยฉันให้หลุดพ้นจากความคิดลบ ในขณะเดียวกัน ฉันก็เปิดเผยสภาวะของฉันกับผู้นำและพี่น้องชายหญิงของฉันด้วย และพวกเขาทุกคนก็สามัคคีธรรมกับฉันและให้กำลังใจฉัน อีกทั้งผู้นำก็ช่วยและสนับสนุนฉัน โดยชี้ให้เห็นปัญหาในวิธีทำหน้าที่ของฉัน ฉันครุ่นคิดว่าปัญหาเหล่านี้เกิดจากอะไร และพบว่าบางปัญหาก็เกิดจากท่าทีแบบสุกเอาเผากินของฉัน และบางปัญหาก็เกิดขึ้นเพราะฉันไม่รู้ซึ้งในหลักธรรม ฉันจึงวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาเหล่านี้ บางครั้ง เมื่อมีเรื่องมากเกินกว่าที่ฉันจะรับมือไหว ผู้นำก็จะเขียนมาหาฉันและช่วยให้ฉันหัดจัดลำดับความสำคัญ และหลังจากจัดสรรเวลาอย่างสมเหตุสมผลด้วยวิธีนี้แล้ว ฉันก็สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ตามปกติ หลังจากนั้นไม่นาน ผลลัพธ์ในงานข้อเขียนก็ดีขึ้นบ้าง ตอนนี้ฉันเป็นผู้ดูแลมานานกว่าครึ่งปีแล้ว และแม้ว่าฉันจะมีข้อบกพร่องและข้อด้อยมากมาย และยังมีปัญหามากมายในงาน แต่จากประสบการณ์ครั้งนี้ ฉันได้รู้ซึ้งว่างานในพระนิเวศของพระเจ้าได้รับการค้ำจุนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อฉันปล่อยวางผลประโยชน์ส่วนตัวและทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง ฉันก็สามารถได้รับพระราชกิจและการชี้แนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แถมสามารถบรรลุผลลัพธ์ได้อยู่บ้างในหน้าที่ของตัวเอง ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 38. เมื่อได้ยินข่าวว่าแม่ป่วยหนัก

ถัดไป: 41. วิธีปฏิบัติต่อความสนใจและงานอดิเรกของลูก

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger