67. อะไรมาพร้อมกับการไล่ตามไขว่คว้าความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และผลประโยชน์?

ตอนฉันเป็นเด็ก ครอบครัวฉันมักจะถูกดูถูกเพราะฉันมีพี่น้องไม่มากนัก สมัยนั้นพ่อแม่ฉันมักจะพูดกับฉันว่า “งานที่ดีที่สุดและมั่นคงที่สุดคือการทำงานเป็นหมอ หมอไม่เพียงแต่มีเงินเดือนสูงเท่านั้น แต่ยังเป็นที่เคารพนับถืออย่างมากด้วย” เมื่อใดก็ตามที่หมอมาที่หมู่บ้านของเรา พวกเขาจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและได้รับความเคารพอย่างสูงสุดเสมอ ฉันชื่นชมและอิจฉาหมอเหล่านั้นอย่างมาก และฉันบอกตัวเองว่าต้องขยันเพื่อที่สักวันหนึ่งฉันจะได้เป็นหมอ วางตัวได้อย่างภาคภูมิในหมู่บ้านของเราและได้รับความเคารพนับถือด้วย หลังจากนั้น ฉันก็ขลุกอยู่กับหนังสือและทุ่มเทกับการเรียน ความขยันขันแข็งของฉันให้ผลตอบแทนเมื่อฉันสอบเข้าสถาบันการแพทย์แผนจีนของมณฑลได้ในเวลาต่อมา หลังจบการศึกษา ฉันได้งานเป็นหมอที่โรงพยาบาลประจำอำเภอดังปรารถนา จากนั้นเป็นต้นมา ก็เหมือนฉันได้ยกระดับชีวิตขึ้นไปอีกขั้น ฉันไม่เพียงแต่ได้รับเงินเดือนที่ดี แต่เพื่อนๆ ของฉันล้วนอิจฉาและชื่นชมฉันด้วย และเพื่อนฝูง ญาติๆ รวมถึงคนรู้จักต่างพากันมาหาฉันเมื่อเจ็บป่วย และเมื่อใดก็ตามที่ฉันกลับไปที่หมู่บ้านของฉัน ฉันจะได้รับการต้อนรับด้วยความอบอุ่นและความเคารพ พ่อแม่ฉันก็รู้สึกภาคภูมิใจเช่นกัน ฉันชอบมากที่ได้รับความเคารพแบบนั้น และนั่นก็กระตุ้นความทะนงตัวของฉันมาก ฉันรู้สึกเหมือนว่าในที่สุดการเสียสละทั้งหมดของฉันก็ให้ผลตอบแทนแล้ว เมื่อฉันมีประสบการณ์มากขึ้น ฉันเห็นผู้ป่วยที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลมากมายต้องทนทุกข์จากโรคภัยต่างๆ ที่ทำให้พวกเขาต้องทุกข์ทรมานอย่างเหลือเชื่อ บางคนเสียชีวิตลงแม้จะพยายามช่วยชีวิตอย่างสุดความสามารถ ส่วนหมอก็ทำได้เพียงเฝ้าดูอย่างช่วยอะไรไม่ได้ ฉันอดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตเราเปราะบางมากและหมดหนทางเมื่อเผชิญหน้าความตาย สิ่งนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่างเปล่าทางฝ่ายวิญญาณอย่างประหลาด ฉันเริ่มสงสัยว่าจุดประสงค์ของชีวิตคืออะไรและฉันมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ในช่วงปลายปี 1998 หลายคนลาออกจากโรงพยาบาลรัฐไปเปิดคลินิกส่วนตัว ฉันคิดว่า ถ้าฉันทำงานที่โรงพยาบาลต่อไป ฉันก็คงจะติดแหง็กกับเงินเดือนปัจจุบัน ดังนั้นหากฉันอยากก้าวหน้าและทำเงินมากขึ้น ฉันต้องกลายเป็นเจ้านายตัวเอง ฉันจึงลาออกจากงานที่โรงพยาบาลและเปิดคลินิกของตัวเอง

จากนั้นในปี 2000 ฉันได้ยินข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเห็นว่าพระเจ้าตรัสว่า “ชะตากรรมของมนุษย์ถูกควบคุมโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า  เจ้าไม่สามารถควบคุมตัวของเจ้าเองได้ กล่าวคือ ทั้งที่มนุษย์สาละวนเร่งรีบและทำตัวให้ยุ่งวุ่นวายเพื่อตัวเขาเองอยู่เสมอ เขาก็ยังคงไม่สามารถควบคุมตัวเขาเองได้  หากเจ้าสามารถล่วงรู้ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้าเอง หากเจ้าสามารถควบคุมชะตากรรมของเจ้าเองได้ เจ้าจะยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอยู่อีกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตระหนักว่า ชีวิตและความตายของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่มีใครควบคุมชะตากรรมของตนเองได้ เมื่อจำนวนปีที่พระเจ้าทรงจัดสรรให้เราหมดลง ก็ไม่สำคัญว่าเราจะมีเงิน อำนาจ หรืออิทธิพลมากแค่ไหน ผ่านการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและการใช้ชีวิตคริสตจักร ทำให้ฉันตระหนักอีกด้วยว่า ฉันไม่อาจไล่ตามไขว่คว้าเพียงแต่วัตถุ สถานะสูงๆ และความพึงพอใจทางเนื้อหนังเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไล่ตามเสาะหาความจริง การสะสมความประพฤติดี และการบรรลุความรอด นี่คือสิ่งที่คนคนหนึ่งควรไล่ตามเสาะหา ฉันจึงเข้ามารับหน้าที่ที่ฉันทำได้ในคริสตจักร ฉันจะชุมนุมและสามัคคีธรรมเรื่องพระวจนะของพระเจ้ากับพี่น้องชายหญิง แล้วฉันก็รู้สึกอิ่มเอมและมีความสุข ตอนแรกฉันแค่นำการชุมนุมกลุ่มเล็กๆ และไม่ได้ยุ่งมากนัก ต่อมาฉันได้รับเลือกให้รับใช้ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันรู้ว่านี่คือการยกชูจากพระเจ้า และรู้ว่าพระองค์ได้ประทานโอกาสนี้ให้ฉันได้รับการฝึกฝนและบรรลุความจริง ฉันได้ชื่นชมเสบียงจากพระวจนะของพระเจ้ามามากแล้ว ฉันจึงควรมีมโนธรรมและตอบแทนความรักของพระเจ้า แต่ฉันก็รู้ด้วยว่าการเป็นผู้นำนั้นเป็นงานหนักและเป็นความรับผิดชอบใหญ่ และฉันจะต้องสละเวลาอย่างเต็มที่ นั่นหมายความว่าฉันจะไม่สามารถทำงานในคลินิกของตัวเองได้ ฉันทุ่มเทมาครึ่งชีวิตเพื่องานนั้น ฉันเลยไม่ยอมรับความเป็นไปได้ ของการต้องเลิกทำงานนั้น ฉันคิดวนเวียนอยู่ในหัว และรู้สึกขัดแย้งอย่างมากจนทรมาน ท่ามกลางความทรมาน ฉันได้อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ตอนนี้ข้าพระองค์เป็นทุกข์มากในสถานการณ์นี้ ข้าพระองค์ไม่อยากสูญเสียหน้าที่นี้ไป แต่วุฒิภาวะของข้าพระองค์ยังน้อยนัก และไม่อาจเอาชนะความอ่อนแอของเนื้อหนังตนเองได้ โปรดชี้นำข้าพระองค์และประทานความเชื่อกับความเข้มแข็งให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด”

ระหว่างที่กำลังแสวงหา ฉันนึกถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “หากเจ้าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เจ้าจะเสียใจไปตลอดชีวิต” ฉันรีบค้นหาบทตอนต่อไปเพื่ออ่าน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “บางคนไม่เต็มใจร่วมมือกับผู้อื่นในการรับใช้พระเจ้า แม้กระทั่งเมื่อพวกเขาได้รับการทรงเรียก เหล่านี้เป็นผู้คนที่เกียจคร้าน ปรารถนาเพียงได้เริงร่าในสิ่งชูใจเท่านั้น  ยิ่งขอให้เจ้ารับใช้ด้วยการประสานงานกับผู้อื่นมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งได้รับประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้น  เจ้าจะได้รับโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมเพราะเจ้ามีภาระและประสบการณ์มากขึ้น  ดังนั้นหากเจ้าสามารถรับใช้พระเจ้าได้ด้วยความจริงใจ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะตระหนักรู้ถึงภาระของพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า กลุ่มคนเช่นนี้นี่เองที่กำลังได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมในปัจจุบัน  ยิ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์สัมผัสเจ้ามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งอุทิศเวลาให้แก่การตระหนักรู้ถึงภาระของพระเจ้ามากขึ้น ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้ามากขึ้น และได้รับการทรงรับไว้โดยพระองค์มากขึ้นเท่านั้น—จนกระทั่งในที่สุดเจ้าจะกลายเป็นบุคคลผู้ที่พระเจ้าทรงใช้งาน  ในปัจจุบันมีบางคนที่ไม่แบกภาระให้คริสตจักร  ผู้คนเหล่านี้ย่อหย่อนและเหลวไหล และสนใจแต่เนื้อหนังของพวกเขาเองเท่านั้น  คนเช่นนี้เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด และพวกเขายังตาบอดอีกด้วย  หากเจ้าไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน เจ้าย่อมจะไม่แบกภาระอันใด  ยิ่งเจ้าคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ภาระที่พระเจ้าจะวางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำก็ยิ่งจะมีมากขึ้น  ผู้ที่เห็นแก่ตัวย่อมไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์กับสิ่งต่างๆ ดังกล่าว พวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมลำบากและผลก็คือ พวกเขาจะพลาดโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  พวกเขามิได้กำลังทำร้ายตัวเองอยู่หรอกหรือ?… ด้วยเหตุนี้ เจ้าควรกลายเป็นผู้ตระหนักรู้ถึงภาระของพระเจ้าตรงนี้และในตอนนี้ เจ้าไม่ควรรอให้พระเจ้าเผยให้มนุษยชาติทั้งปวงเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ก่อนแล้วค่อยมาตระหนักรู้ถึงภาระของพระเจ้ามากขึ้น  เมื่อถึงเวลานั้นจะไม่สายเกินไปหรอกหรือ?  บัดนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  หากเจ้าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เจ้าจะเสียใจไปตลอดชีวิต เช่นเดียวกับที่โมเสสไม่สามารถเข้าสู่ดินแดนคานาอันอันดีงามได้ และเสียใจไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา ตายไปด้วยความสำนึกเสียใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเพื่อบรรลุความเพียบพร้อม)  ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงตระหนักได้ว่า มีเพียงผู้ที่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า ผู้ที่ไม่เต็มใจที่จะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้านั้นเห็นแก่ตัวและจะไม่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า งานข่าวประเสริฐได้เข้าสู่ช่วงสำคัญของการขยายตัวครั้งใหญ่ และความจริงที่ว่าคริสตจักรมอบหน้าที่สำคัญขนาดนั้นให้ฉัน ถือเป็นการประทานความโปรดปรานและการยกชูอันล้ำเลิศจากพระเจ้า แต่ฉันไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และกลับสนใจเพียงเนื้อหนังของตนและการหาเงินเพื่อให้ผู้อื่นนับถือฉัน ฉันช่างไร้สำนึกจริงๆ! ฉันไม่ได้ติดตามและเชื่อในพระเจ้า กินและดื่มพระวจนะของพระองค์ และทำหน้าที่ของตน เพื่อบรรลุความจริงและได้รับความรอดหรอกหรือ? พระเจ้าได้ประทานโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้ฉันได้รับการฝึกฝนและบรรลุความจริงผ่านหน้าที่นี้ ฉันจะไม่โง่หรือถ้าไม่คว้าโอกาสนี้ไว้? หากฉันตกลงคว้าโอกาสนั้นในเวลาที่พระราชกิจของพระเจ้าได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ฉันคงจะพลาดโอกาสของตัวเองไป ตอนนั้นฉันคงจะเสียใจมาก ฉันจะเป็นเหมือนโมเสสที่มองเห็นเมืองคานาอันจากระยะไกล แต่ไม่สามารถเข้าไปได้และเสียใจไปตลอดชีวิต ฉันต้องนบนอบพระเจ้าและยอมรับหน้าที่นี้เสียก่อน ฉันหาคนมาทำงานแทนฉันที่คลินิกชั่วคราวได้ เมื่อตัดสินใจแล้ว ฉันก็ยอมรับหน้าที่ผู้นำ

หลังจากนั้น ฉันก็อุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้กับหน้าที่ของฉัน และถ้าฉันมีเวลาว่าง ฉันก็จะรีบไปที่คลินิก ตอนแรกเรายื้อผู้ป่วยเอาไว้ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและฉันมักไม่อยู่ที่คลินิก ผู้คนก็เริ่มไปที่อื่นเพราะพวกเขาไม่สามารถพบฉันได้ คลินิกของเรารับผู้ป่วยน้อยลงเรื่อยๆ และเราก็แทบจะอยู่ไม่ได้ ฉันเคยมีมาตรฐานการใช้ชีวิตสูง และได้รับการยกย่องชื่นชมจากผู้อื่น และเพื่อนๆ ญาติๆ จะเสาะหาฉันเมื่อมีปัญหา แต่ตอนนี้พวกเขาล้วนวิจารณ์ฉัน บอกว่าฉันละเลยการจัดการคลินิก และพวกเขาไม่รู้ว่าฉันทำอะไรทั้งวัน หลังจากนั้นพวกเขาก็มีท่าทีต่อฉันที่แตกต่างไปมาก เมื่อนึกถึงว่าครั้งหนึ่งฉันเคยได้รับความเคารพและชื่นชม แต่ตอนนี้กลายเป็นหัวข้อล้อเลียนของทุกคน ฉันรู้สึกผสมผเสในอารมณ์ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ฉันคิดว่า “ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีความสามารถที่จะหาเงิน ฉันมีทักษะ ดังนั้นถ้าฉันจัดการทุกอย่างได้ดี ฉันจะมีผู้ป่วยเยอะแน่นอน ฉันจะสามารถใช้วิถีชีวิตที่สุขสบายทางวัตถุมากกว่านี้ ได้รับความเคารพและชื่นชมจากผู้อื่น และใช้ชีวิตที่มีเกียรติได้อีกครั้ง” ฉันคิดด้วยว่าฉันไม่ได้เชื่อในพระเจ้ามานานขนาดนั้น วุฒิภาวะของฉันก็น้อยนิด และฉันไม่เข้าใจความจริงมากนัก ดังนั้นฉันอาจจำเป็นต้องทำหน้าที่ที่สอดคล้องกับความสามารถของตัวเอง ฉันอยากเปลี่ยนไปทำหน้าที่ที่เบากว่านี้ จากนั้นฉันจะมีเวลาทำงานตัวเองมากขึ้น และทั้งหน้าที่ของฉันกับคลินิกจะไม่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นฉันก็เลิกแบกรับภาระหน้าที่ของตัวเอง ฉันเริ่มทำหน้าที่ในการชุมนุมอย่างสุกเอาเผากินและทำพอเป็นพิธี ฉันจำได้ว่าระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่ง ฉันคิดถึงแต่เรื่องคลินิกของฉัน วันนั้นเราได้ผู้ป่วยกี่คน? คนที่นัดไว้มาหรือเปล่า? เพื่อให้ตัวเองมีเวลาเข้าคลินิกมากขึ้น ฉันจึงไม่ได้ทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างลึกซึ้งก่อนจะเขียนรายงาน และเพียงแค่ส่งรายงานสั้นๆ ให้ผู้นำระดับสูง เนื่องจากขาดรายละเอียด ฉันจึงต้องลงเอยด้วยการทำรายงานใหม่ ฉันไม่รับผิดชอบงานให้น้ำด้วย ผู้มาใหม่บางคนถึงกับออกไปเพราะไม่ได้รับการให้น้ำ ผู้นำระดับสูงกว่าได้สามัคคีธรรมและพยายามช่วยฉันในประเด็นนี้หลายครั้ง และฉันรู้สึกผิดมาก อธิษฐานถึงพระเจ้าหลายครั้ง และตั้งปณิธานที่จะ กบฏต่อเนื้อหนังและทำหน้าที่ของตนให้ถูกควร แต่ฉันก็ว่อกแว่กไปกับเรื่องคลินิกอยู่ตลอดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉันเอาแต่ตั้งปณิธานและผิดสัญญาต่อพระเจ้า และฉันก็ยิ่งห่างไกลจากพระองค์มากขึ้นทุกที ฉันมักจะรู้สึกว่างเปล่าและหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก มีหลายครั้งที่ฉันอยากละทิ้งคลินิก แต่แล้วฉันก็คิดเรื่องที่ฉันจะต้องกลับไปถูกผู้คนดูถูกอีก แล้วฉันก็ทำไม่ลง เมื่อเห็นว่าฉันแก้ไขสภาวะของตัวเองไม่ได้ และสิ่งนี้ทำให้งานล่าช้า ผู้นำระดับสูงกว่าจึงปลดฉัน

ฉันเสียใจมากหลังจากถูกปลด ฉันได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามามากมาย และฉันรู้ดีว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงและการทำหน้าที่ของตนให้ดีคือเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต แต่ฉันปล่อยคลินิกไปไม่ได้และทำหน้าที่ของตนให้ดีไม่ได้ ฉันรู้สึกผิดมากและรู้สึกว่าเป็นหนี้พระเจ้ามาก ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เป็นกบฏและเป็นหนี้พระองค์มาก ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดปลดปล่อยข้าพระองค์จากพันธนาการแห่งความมั่งคั่ง ข้าพระองค์จะได้ลุล่วงหน้าที่ของตนและตอบแทนความรักของพระองค์” หลังจากอธิษฐาน ฉันนึกถึงชื่อของพระวจนะของพระเจ้าบทหนึ่งชื่อว่า “เจ้าจงรักภักดีต่อใคร?” ฉันถามตัวเองว่า “ฉันจงรักภักดีต่อใคร ฉันจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือเปล่า” จากนั้นฉันก็อ่านบทตอนหนึ่งจากบทนี้ “หากเราจะวางเงินจำนวนหนึ่งตรงหน้าพวกเจ้าตอนนี้ และให้พวกเจ้ามีอิสระในการเลือก—และหากเราไม่กล่าวโทษพวกเจ้าเนื่องจากตัวเลือกของพวกเจ้า—เมื่อนั้น พวกเจ้าส่วนใหญ่คงจะเลือกเงินและละทิ้งความจริง  คนที่ดีกว่าในหมู่พวกเจ้าคงจะยอมละทิ้งเงินและเลือกความจริงอย่างลังเล ในขณะที่ผู้ที่อยู่ระหว่างกลางคงจะหยิบฉวยเงินไว้ในมือข้างหนึ่งและความจริงไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง  เช่นนั้นแล้ว ธาตุแท้ของพวกเจ้าจะไม่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดหรอกหรือ?  เมื่อต้องเลือกระหว่างความจริงและสิ่งใดก็ตามที่พวกเจ้าจงรักภักดี พวกเจ้าจะเลือกตัวเลือกนี้กันทุกคน และทัศนคติของพวกเจ้าก็จะยังคงเป็นเหมือนเดิม  ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  มีผู้คนไม่มากนักในหมู่พวกเจ้าที่ได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างถูกและผิดมิใช่หรือ?  ในการชักเย่อกันทั้งหมดระหว่างด้านบวกกับด้านลบ ดำและขาว ระหว่างครอบครัวกับพระเจ้า ลูกๆ กับพระเจ้า การสามัคคีกับการแตกแยก ความร่ำรวยกับความยากจน สถานภาพกับความธรรมดาสามัญ การได้รับการสนับสนุนกับการถูกทิ้งขว้าง เป็นต้น  พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างแน่นอนถึงตัวเลือกที่พวกเจ้าได้เลือกระหว่างครอบครัวที่สามัคคีกับครอบครัวที่แตกแยก พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก และเลือกเช่นนั้นโดยไม่ลังเล  ระหว่างความร่ำรวยและหน้าที่ พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรกอีกครั้ง และยิ่งขาดความตั้งใจที่จะกลับเข้าฝั่ง ระหว่างความหรูหราฟุ่มเฟือยกับความยากจน พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก เมื่อต้องเลือกระหว่างบุตรชาย บุตรสาว ภรรยาและสามีของพวกเจ้า กับเรา พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก  และระหว่างมโนคติอันหลงผิดกับความจริง พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรกอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อได้เผชิญกับการกระทำอันชั่วร้ายทั้งหลายในทุกรูปแบบของพวกเจ้า เราก็เพียงหมดความเชื่อในตัวพวกเจ้าแล้วเท่านั้น  เราเพียงประหลาดใจเท่านั้นที่หัวใจของพวกเจ้าช่างไม่สามารถถูกทำให้อ่อนลงได้  ทุกหยาดหยดจากหทัยที่เราได้สละมาหลายปีช่างน่าประหลาดใจที่ไม่ได้นำพาอะไรมาให้เรามากไปกว่าการทอดทิ้งและการลาออกของพวกเจ้า แต่ความหวังของเราที่มีต่อพวกเจ้าเติบโตไปพร้อมกับแต่ละวันที่ผ่านไป เนื่องจากวันของเราได้ถูกแผ่วางต่อหน้าทุกคนอย่างสมบูรณ์แล้ว  กระนั้น พวกเจ้าก็ยังยืนกรานที่จะแสวงหาสิ่งที่มืดมนและชั่วร้ายทั้งหลาย และปฏิเสธที่จะคลายมือของเจ้าที่ยึดจับสิ่งเหล่านั้นไว้  เช่นนั้นแล้ว บทอวสานของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  พวกเจ้าเคยให้การคิดคำนึงถึงเรื่องนี้อย่างรอบคอบหรือไม่?  หากพวกเจ้าถูกขอให้เลือกอีกครั้ง แล้วจุดยืนของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  มันจะยังคงเป็นอย่างแรกอยู่อีกหรือไม่?  พวกเจ้ายังจะนำความผิดหวังและความโศกเศร้าที่น่าเวทนามาสู่เราอยู่หรือไม่?  หัวใจของพวกเจ้ายังจะมีความอบอุ่นอันน้อยนิดเพียงอย่างเดียวอยู่หรือไม่?  พวกเจ้ายังจะไม่ตระหนักรู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อชูใจเราอยู่หรือไม่?  ณ เวลานี้ พวกเจ้าจะเลือกอะไร?… เราก็หวังที่จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอดีตของพวกเจ้าเช่นกัน  แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่ทำได้ลำบากยากเย็นอย่างมากก็ตาม  ไม่ว่าอย่างไร เรามีวิธีที่ดียิ่งในการลืม นั่นก็คือ จงปล่อยให้อนาคตมาแทนที่อดีต และยอมให้เงาแห่งอดีตของพวกเจ้ามลายหายไปเพื่อแลกกับตัวตนที่แท้จริงของพวกเจ้าในวันนี้  ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องรบกวนพวกเจ้าให้ตัดสินใจเลือกอีกครั้ง นั่นคือ จริงๆ แล้วพวกเจ้าจงรักภักดีต่อใครกันแน่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าจงรักภักดีต่อใคร?)  พระวจนะของพระเจ้ากินใจฉันอย่างลึกซึ้ง พระวจนะเหล่านี้ไม่ได้เปิดโปงสภาวะและสถานการณ์ปัจจุบันของฉันหรอกหรือ? ฉันรู้ดีว่าในฐานะผู้เชื่อ ฉันควรไล่ตามเสาะหาความจริงและลุล่วงหน้าที่ของตนเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่เมื่อใดก็ตามที่ฉันต้องเลือกระหว่างหน้าที่ของตัวเองกับคลินิก การใช้ชีวิตที่ดี การได้รับความเคารพ และความกังวลทางเนื้อหนังอื่นๆ ฉันจะเลือกอย่างหลังเสมออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉันกลัวว่าผู้คนจะดูถูกฉันหากฉันรักษาคลินิกของฉันเอาไว้ไม่ได้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภายนอกฉันดูเหมือนจะทำหน้าที่ของฉันเสมอ แต่ฉันไม่เคยละทิ้งความอยากได้อยากมีชื่อเสียงและผลประโยชน์ และคิดเรื่องทำเงินก้อนโตตลอดเวลา ฉันจึงทำหน้าที่ของตนเองอย่างไม่ใส่ใจ ทำพอเป็นพิธี ฉันทำทั้งสองอย่างได้ไม่ดี ซึ่งทำให้ฉันเหนื่อยมากและหมดกำลังใจ สิ่งนี้ส่งผลกระทบที่เป็นลบอย่างมากต่องานของคริสตจักร และนำความสูญเสียมาให้ชีวิตฉันด้วย ฉันเห็นว่าฉันไม่ได้จงรักภักดีต่อพระเจ้า แต่กลับภักดีต่อสิ่งเยี่ยงซาตาน เช่น เนื้อหนังและความทะเยอทะยานของตัวเอง ในช่วงนั้น ฉันมักจะอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ตอนนี้ข้าพระองค์เต็มใจที่จะละทิ้งคลินิกของตนเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกควรและทำหน้าที่ของตนให้ดี ได้โปรดประทานความเชื่อให้ข้าพระองค์ขายคลินิกของตนเร็วๆ นี้ด้วยเถิด!” นอกจากการอธิษฐานแล้ว ฉันเริ่มอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้ให้สามีฟังด้วย เพื่อเตรียมขายคลินิก

ในปี 2011 ด้วยการยกย่องจากพระเจ้า ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักรอีกครั้ง ฉันรู้เลยว่าพระเจ้ากำลังประทานโอกาสให้ฉันอีกครั้ง ฉันนึกถึงว่าก่อนหน้านี้ฉันเสียใจและรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้าเรื่องไล่ตามไขว่คว้างานคลินิกอย่างไร และตั้งใจว่าคราวนี้จะให้ความร่วมมือมากขึ้น ฉันรีบทุ่มเทให้กับหน้าที่ของตัวเอง และไม่ว่าคลินิกของฉันจะเป็นอย่างไร ฉันก็ไม่ว่อกแว่ก และฉันพยายามหาคนมารับช่วงต่อคลินิกของฉัน แต่เมื่อพวกเขาร่างสัญญาและเตรียมที่จะลงนาม ฉันก็มีข้อสงสัยบางอย่าง ฉันทุ่มชีวิตครึ่งหนึ่งให้กับคลินิกแห่งนี้ ฉันคิดถึงว่าฉันขยันแค่ไหนตั้งแต่เด็ก ว่าฉันเอาชนะความยากลำบากมาได้อย่างไรเพื่อบรรลุความฝันที่จะเป็นหมอ หากฉันขายคลินิก ฉันจะต้องแยกทางจากชีวิตที่เคยแสวงหา ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งไม่เต็มใจที่จะปล่อยมันไป ฉันรู้สึกว่างเปล่าอยู่ภายในอย่างมาก แล้วฉันก็ได้พบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนต่อไปนี้ ‘พวกเจ้าควรชัดเจนในหัวของพวกเจ้า!  สิ่งใดที่ควรจะละทิ้ง สิ่งใดที่เป็นขุมทรัพย์ของเจ้า สิ่งใดที่เป็นจุดอ่อนถึงตายของเจ้า สิ่งใดคืออุปสรรคของเจ้า?  จงใคร่ครวญคำถามเหล่านี้ให้มากขึ้นในจิตวิญญาณของเจ้า และจงร่วมสามัคคีธรรมกับเรา  สิ่งที่เราพึงประสงค์คือให้หัวใจของพวกเจ้านับถืออย่างเงียบๆ เราไม่พึงประสงค์ให้พวกเจ้ารับใช้เราด้วยวาจาของพวกเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 8)  “ในฐานะใครคนหนึ่งที่ปกติและไล่ตามเสาะหาความรักแด่พระเจ้า การเข้าสู่ราชอาณาจักรเพื่อกลายเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้าคืออนาคตที่แท้จริงของพวกเจ้า และเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีนัยสำคัญมากที่สุด ไม่มีผู้ใดได้รับพรมากไปกว่าพวกเจ้า  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อเนื้อหนัง และพวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อซาตาน แต่วันนี้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  นี่จึงเป็นเหตุผลที่เรากล่าวว่าชีวิตของพวกเจ้ามีนัยสำคัญมากที่สุด  เฉพาะผู้คนกลุ่มนี้ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตที่มีนัยสำคัญมากที่สุด นั่นคือ ไม่มีใครอีกเลยในแผ่นดินโลกที่สามารถใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมายเช่นนี้ได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์)  “เจ้าจักต้องมีความทะเยอทะยานและมโนธรรมดุจดังเปโตร ชีวิตเจ้าจะต้องเปี่ยมความหมาย  และเจ้าต้องไม่เล่นเกมกับตัวเจ้าเอง  ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และในฐานะบุคคลซึ่งเสาะหาพระเจ้า เจ้าต้องสามารถพิจารณาอย่างรอบคอบว่าเจ้าควรปฏิบัติต่อชีวิตของเจ้าอย่างไร เจ้าควรถวายตัวเจ้าเองต่อพระเจ้าอย่างไร เจ้าควรมีความเชื่อที่เปี่ยมความหมายยิ่งขึ้นในพระเจ้าอย่างไร และด้วยความที่เจ้ารักพระเจ้า เจ้าควรรักพระองค์ในหนทางที่บริสุทธิ์มากขึ้น สวยงามมากขึ้น และดีงามมากขึ้นอย่างไร(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  เมื่อพิจารณาพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันก็ตระหนักว่าสถานะทางโลก ความมั่งคั่ง และความพึงพอใจทางเนื้อหนังที่มนุษย์ไล่ตามไขว่คว้า ไม่ใช่เป้าหมายที่คู่ควร มีเพียงการมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้าง การลุล่วงหน้าที่ของเราในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง การไล่ตามเสาะหาความจริง การละทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน และการได้รับความรอดจากพระเจ้าและการกลายเป็นประชากรในราชอาณาจักรของพระองค์ในที่สุดเท่านั้น ที่เป็นอนาคตแท้จริง และประกอบกันเป็นชีวิตที่มีความหมายและมีค่ามากที่สุด ต่อให้คลินิกของฉันจะยุ่งมาก และฉันทำเงินได้เยอะ ได้รับความเคารพนับถือมากขึ้น และในที่สุดเนื้อหนังของฉันก็ได้รับการตอบสนอง หากฉันสูญเสียความจริงและชีวิต รวมถึงความรอดของพระเจ้า และไม่สามารถได้รับความเห็นชอบและการยอมรับจากพระเจ้าได้ และทุกอย่างจะสูญเปล่า เมื่อภัยพิบัตินั้นมาถึง ไม่ว่าจะมีเงินหรือเป็นที่เคารพนับถือมากแค่ไหนก็จะไม่ช่วยให้เรารอด การไล่ตามไขว่คว้าเช่นนี้ไม่มีความหมายหรือมีค่าใดๆ เช่นเดียวกับที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ “เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา?(มัทธิว 16:26)  แต่ฉันกลับทุ่มเทความพยายามทั้งหมดให้กับการไล่ตามไขว่คว้าความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และผลประโยชน์ และแสวงหาสิ่งเหล่านี้อย่างหมกมุ่น ฉันคิดว่าการมีสิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่จะทำให้ฉันได้ใช้ชีวิตที่มีคุณค่า ไม่ว่าฉันต้องเสียสละมากแค่ไหนหรือต้องลงแรงมากเพียงใด ฉันก็ไม่เคยบ่น ฉันช่างตาบอด โง่เขลา และวิสัยทัศน์สั้นเหลือเกิน! ฉันนึกถึงเปโตร พ่อแม่ของเขาอยากให้เขาเข้าสู่วงการการเมือง แต่เปโตรกลับเลือกที่จะอุทิศชีวิตให้กับการติดตามพระเจ้า เขาแสวงหาที่จะรู้จักและรักพระเจ้า และท้ายที่สุดเขาก็ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าและได้รับการชมเชยจากพระผู้สร้าง เปโตรใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมายมากที่สุด ฉันรู้ว่าฉันควรเอาอย่างเปโตร ฉันต้องละทิ้งการไล่ตามไขว่คว้าทางโลกเหล่านี้ ไล่ตามเสาะหาความจริง และลุล่วงหน้าที่ของตน หลังจากนั้น ฉันก็ไม่รู้สึกลังเลอีกต่อไป เมื่อฉันลงนามในสัญญาฉบับนั้น ฉันก็รู้สึกเหมือนว่าภาระอันหนักอึ้งได้ถูกยกออกจากไหล่ฉัน และฉันรู้สึกเบาและผ่อนคลาย หลังจากนั้น ฉันก็ทุ่มเททุกอย่างให้กับหน้าที่ของตัวเอง

วันหนึ่งในปี 2015 เพื่อนร่วมงานจากโรงพยาบาลที่ฉันเคยทำงานโทรมาหาฉัน เขาบอกว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งกำลังจะเปิดบ้านพักคนชราที่มีระดับคะแนนสูงสุดในอำเภอ และถามฉันว่าอยากทำงานที่นั่นไหม ตอนนั้นฉันปฏิเสธทันที แต่ไม่กี่วันต่อมา ผู้อำนวยการก็โทรมาหาฉันเอง และบอกว่า ถ้าฉันไปทำงานให้เขา เขาจะให้ฉันอยู่ห้องส่วนตัว เงินเดือน 3,000 หยวนต่อเดือน และสามีฉันจะเข้ารับการบำบัดโรคหลอดเลือดสมองที่นั่นได้ฟรี สรุปเราจะไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพเลย แถมจะได้เงิน 3,000 หยวนโดยไม่มีเงื่อนไขผูกมัดใดๆ ฉันเริ่มโอนเอนกับคำตอบก่อนหน้านี้และบอกว่าจะลองคิดดู คืนนั้นฉันพลิกตัวไปมาบนเตียงและนอนไม่หลับ ถ้าฉันปฏิเสธข้อเสนอ ฉันก็จะพลาดโอกาสดีๆ ไป แต่ถ้าฉันรับข้อเสนอนี้ ฉันก็จะไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ ฉันนึกย้อนกลับไปว่าเมื่อก่อนยากและเจ็บปวดแค่ไหนตอนฉันแบ่งเวลาให้ระหว่าง คลินิกและหน้าที่ของฉัน พระเจ้าทรงได้เสียสละมากมายเพื่อฉัน ฉันต้องหยุดลังเลและเลิกมองย้อนกลับไปข้างหลัง ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์  แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง)  หลังจากไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เริ่มเห็นชัดเจนว่า สิ่งที่ดูภายนอกเป็นเพียงการคุยโทรศัพท์ตามปกติระหว่างอดีตเพื่อนร่วมงาน แท้จริงแล้วคือการต่อสู้ทางฝ่ายวิญญาณ เพื่อดูว่าฉันจะตัดสินใจยังไง ฉันนึกถึงตอนที่ ภรรยาของโลทได้รับความช่วยเหลือให้รอดจากเมืองโสโดมโดยเหล่าทูตสวรรค์แล้ว แต่เพราะเธอมัวคิดถึงทรัพย์สินของตนและหันกลับไปมอง เธอจึงกลายเป็นเสาเกลือ การที่ฉันจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของซาตานนั้นก็ยากพออยู่แล้ว ฉันจะกลายเป็นเครื่องหมายแห่งความอัปยศอดสูเหมือนภรรยาของโลทไม่ได้ เมื่อตระหนักเรื่องนี้ ฉันจึงปฏิเสธข้อเสนออย่างหนักแน่น

ในเวลาต่อมา ฉันเริ่มทบทวน ว่าทำไมฉันจึงว่อกแว่กกับการทดลองเหล่านี้ ฉันรู้ดีว่าการไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ไร้ความหมายและไร้ค่า แต่ฉันยังคงรู้สึกขัดแย้งและไม่อาจละทิ้งสิ่งเหล่านี้ได้ อะไรคือต้นตอของปัญหานี้? ระหว่างที่ฉันแสวงหา ฉันก็พบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่สำคัญว่าอุดมคติของมนุษย์จะสูงส่งเพียงใด ไม่สำคัญว่าความอยากได้อยากมีของมนุษย์จะสอดคล้องกับความเป็นจริงเพียงใด หรือสิ่งเหล่านั้นจะถูกต้องเหมาะสมเพียงใด ทั้งหมดที่มนุษย์ต้องการจะสัมฤทธิ์ผล ทั้งหมดที่มนุษย์แสวงหา เชื่อมโยงกับคำสองคำอย่างแยกกันไม่ออก  คำสองคำนี้สำคัญยิ่งชีพต่อชีวิตของทุกคน และคำสองคำนี้เป็นสิ่งที่ซาตานตั้งใจที่จะปลูกฝังในมนุษย์  คำสองคำนี้คืออะไรนะหรือ?  คำสองคำนี้ก็คือ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ผลตอบแทน’  ซาตานใช้วิธีการชนิดที่อ่อนโยนมาก วิธีการซึ่งเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน ซึ่งไม่แตกต่างกันทางความคิดเลยแม้แต่น้อย มันอาศัยวิธีการนี้ทำให้ผู้คนยอมรับหนทางแห่งการดำรงชีวิตของมัน กฎเกณฑ์ในการดำรงชีวิตของมันโดยไม่รู้ตัว และทำให้ผู้คนตั้งเป้าหมายในชีวิตและทิศทางในชีวิตของพวกเขา และพวกเขายังเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงในชีวิตโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย  ไม่สำคัญว่าความมักใหญ่ใฝ่สูงในชีวิตเหล่านี้อาจดูโอ่อ่าผ่าเผยเพียงใด มันถูกเชื่อมโยงกับ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ผลตอบแทน’ อย่างแยกกันไม่ออก  ทุกสิ่งทุกอย่างที่บุคคลที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียงคนใดก็ตาม—ในข้อเท็จจริงนั้นก็คือผู้คนทั้งหมด—ดำเนินรอยตามในชีวิต มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสองคำนี้เท่านั้นคือ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ผลตอบแทน’  ผู้คนคิดว่าทันทีที่พวกเขามีชื่อเสียงและผลตอบแทน พวกเขาก็ย่อมสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เพื่อให้ได้ชื่นชมสถานะอันสูงส่งและความมั่งคั่งอันใหญ่หลวง และเพื่อชื่นชมชีวิต  พวกเขาคิดว่าชื่อเสียงและผลตอบแทนคือต้นทุนอย่างหนึ่งที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตแห่งการแสวงหาความยินดีและความชื่นชมยินดีแบบมัวเมาของเนื้อหนัง  เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทนซึ่งมวลมนุษย์ละโมบยิ่งนัก ผู้คนจึงมอบร่างกาย จิตใจของพวกเขา ทั้งหมดที่พวกเขามี อนาคตของพวกเขาและโชคชะตาของพวกเขาให้ซาตานอย่างเต็มใจ แม้ไม่รู้ตัวก็ตาม  พวกเขาทำเช่นนั้นด้วยใจจริงและโดยที่ไม่มีความลังเลแม้แต่อึดใจ ไม่รู้เท่าทันอยู่ร่ำไปถึงความจำเป็นที่จะต้องเอาทั้งหมดที่พวกเขาได้มอบไปแล้วกลับคืนมา  ผู้คนสามารถรักษาการควบคุมตัวเองได้หรือไม่ในเมื่อพวกเขาได้หลบภัยอยู่ในซาตานในลักษณะนี้และกลายเป็นจงรักภักดีต่อมันแล้ว?  แน่นอนว่าไม่  พวกเขาถูกซาตานควบคุมอย่างสมบูรณ์และอย่างถึงที่สุด พวกเขาได้จมดิ่งลงในปลักตมอย่างสมบูรณ์และอย่างถึงที่สุด และไร้ความสามารถที่จะปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระได้(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6)  “ซาตานใช้ชื่อเสียงและผลตอบแทนควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้ก็คือชื่อเสียงและผลตอบแทน  พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน ทนทุกข์จากความยากลำบากทั้งหลายเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจอันใดก็เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทน  ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นก็ด้วยวิธีนี้ และเมื่อใส่โซ่ตรวนเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็ไม่มีทั้งความเข้มแข็งและความกล้าที่จะขว้างพวกมันออกไป  พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัว และเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง  เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทนนี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นเลวยิ่งขึ้นทุกที  ดังนั้น คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและผลตอบแทนของซาตานด้วยวิธีนี้นี่เอง(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6)  พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันเห็นแสงสว่าง และช่วยให้ฉันตระหนักว่าเหตุผลที่ฉันขัดแย้งเรื่องการละทิ้งคลินิกของฉัน ก็คือฉันติดบ่วงและถูกควบคุมโดยชื่อเสียงและผลประโยชน์ ซาตานใช้ชื่อเสียงและผลประโยชน์เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทรามและแสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ไปทั้งชีวิต สุดท้ายก็นำพวกเขาให้เสียสละชีวิตเพื่อสิ่งเหล่านี้ ฉันทบทวนว่าตั้งแต่ยังเด็ก พ่อแม่สอนฉันว่า วิธีเดียวที่จะทำให้ตัวเองโดดเด่นคือการหางานที่ดี เมื่อฉันเห็นว่าหมอมีรายได้ดีมั่นคงและเป็นที่เคารพนับถือมาก ฉันจึงตั้งเป้าหมายที่จะเป็นหมอ และขยันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น หลังจากเข้าสู่ความเชื่อและกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันก็ได้รู้ว่าฉันควรไล่ตามเสาะหาความจริงในความเชื่อของฉัน และการไล่ตามไขว่คว้าความมั่งคั่งและสถานะเป็นการไล่ตามไขว่คว้าที่ว่างเปล่า แต่เนื่องจากถูกพันธนาการด้วยชื่อเสียงและผลประโยชน์ ฉันจึงยังอยากบรรลุความฝันของฉันในการทำให้ตัวเองโดดเด่นแม้ในขณะที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง เมื่อฉันถูกบังคับให้เลือกระหว่างหน้าที่กับคลินิก ฉันก็อยากเปลี่ยนไปทำหน้าที่ที่ง่ายขึ้น และฉันเริ่มทำหน้าที่ของตนพอเป็นพิธีซึ่งเป็นภัยต่องานคริสตจักร ซาตานอยากทำให้ฉันใช้ชีวิตตามความคิดและทัศนคติเหล่านี้ โดยทุ่มเทพลังงานทั้งหมดของฉันให้กับการไล่ตามไขว่คว้าความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และผลประโยชน์ ผลที่ตามมาคือ ฉันไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตน และถึงกับทรยศพระเจ้าเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ สูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอดไปจนหมดสิ้น นี่คือวิธีที่ซาตานทำให้มนุษยชาติเสื่อมทราม คนดังใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อดิ้นรนให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงและผลประโยชน์ แต่เมื่อพวกเขาได้รับสิ่งเหล่านั้นมาในที่สุด พวกเขาก็ไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างทางฝ่ายวิญญาณในใจได้ แล้วเริ่มเสื่อมทรามมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงกับหันไปพึ่งยาเสพติดเพื่อไล่ตามความสุขสมนั้น และบางคนก็ฆ่าตัวตาย ฉันนึกถึงอดีตเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ที่แม้จะมีชื่อเสียงระดับหนึ่งในโรงพยาบาลที่เขาทำงาน แต่ก็ยังไม่พอใจและเปิดโรงพยาบาลเอกชนของตัวเอง แต่ต่อมาเขาไม่เพียงสูญเสียเงินเก็บทั้งหมดที่หามาอย่างยากลำบากเนื่องจากทำให้ผู้ป่วยคนหนึ่งเสียชีวิต ครอบครัวของผู้ป่วยยังกำหนดด้วยว่าเขาต้องสวมชุดไว้ทุกข์และหมอบกราบให้กับรถบรรทุกศพของอดีตผู้ป่วยนานสิบกว่าชั่วโมง ในที่สุดชื่อเสียงของเขาก็พังทลาย และลูกเมียของเขาก็ทิ้งเขาไป ผู้คนใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และความเคารพ แต่จริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้ให้อะไรกับผู้คนบ้าง? มันก็แค่เลี้ยงความทะนงตัวของพวกเขาในขณะนั้น และทำให้พวกเขาเสพติดและหมกมุ่นกับความรู้สึกนั้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะแสวงหาพระเจ้า และสูญเสียความรอดจากพระเจ้าไปจนหมดสิ้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะแสวงหาพระเจ้า และสูญเสียความรอดจากพระเจ้าไปจนหมดสิ้น พระราชกิจของพระเจ้าอยู่ในช่วงสุดท้ายแล้ว ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรได้เผยแผ่ไปทั่วโลก และทันทีที่พระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้น ก็จะไม่มีโอกาสที่จะเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกควรอีกต่อไปแล้ว!  เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และแม้ว่าเราจะทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับสิ่งนั้น ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบรรลุความจริง ฉันคาดหวังได้อย่างไรว่าจะบรรลุความจริงในเมื่อฉันทุ่มเวลาครึ่งหนึ่งให้กับคลินิกของฉัน และอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือให้กับการไล่ตามเสาะหาความจริง? ถ้าไม่ได้รับความรอดและการชี้นำจากพระเจ้า ฉันคงไม่มีวันตระหนักเรื่องพวกนี้ ฉันจะคงยังคงถูกซาตานทรมานและพลาดโอกาสที่จะได้รับความรอดจากพระเจ้า

เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงความเชื่อของฉันในช่วงหลายปีมานี้ แม้ว่าเนื้อหนังของฉันจะต้องทนทุกข์ในระดับหนึ่งขณะทำหน้าที่ของตัวเอง และฉันอาจไม่มีเกียรติศักดิ์อย่างที่เคยมี ฉันก็ได้เข้าใจความจริงบางข้อ และได้รู้ว่าซาตานทำให้มนุษยชาติเสื่อมทรามได้อย่างไร และชีวิตแบบใดที่มีค่าและมีความหมายมากที่สุด ฉันรู้สึกสงบสุข สบายใจ และเป็นอิสระกว่าเดิมมาก นี่คือความรู้สึกที่ไม่มีสิ่งทางโลกสิ่งใดมอบให้ฉันได้ หลังจากนั้นไม่ว่าผู้คนจะพยายามโน้มน้าวฉันอย่างไรให้รับงานใหม่ๆ ที่มีสวัสดิการดีๆ ฉันก็ไม่เคยโอนเอนอีกเลย ทุกวันนี้ฉันได้เห็นแล้วว่าการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์นั้นส่งผลเสียต่อฉันอย่างไร และฉันได้ละทิ้งคลินิกเพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความรอดจากพระเจ้า และนี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับฉัน ขอบคุณพระเจ้า!

ถัดไป: 72. ความเชื่อในพระเจ้าเป็นไปเพียงเพื่อสันติสุขและพระพรจริงหรือ?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger