68. วิธีปฏิบัติต่อความกรุณาของพ่อแม่
ตอนยังเด็ก ฉันมีสุขภาพร่างกายอ่อนแอและล้มป่วยบ่อย บางครั้งพ่อแม่ก็รีบพาฉันไปคลินิกตอนกลางดึก พวกท่านจะเคาะประตูบ้านหมอตอนดึกๆ ดื่นๆ และไม่ว่าหมอจะมีน้ำเสียงที่แย่หรือมีท่าทีที่เลวร้ายแค่ไหน พ่อแม่ฉันก็เต็มใจอดทนเสมอ ทั้งหมดก็เพื่อให้ฉันได้รับการรักษาทันท่วงที พวกท่านกลัวว่าอาการของฉันจะแย่ลง เลยอยู่ดูแลฉันทั้งคืน ต่อมา ฉันโตขึ้นอีกหน่อย พอเห็นพ่อแม่ทำงานมาเหนื่อยล้าทุกวัน ฉันก็รู้สึกเสียใจกับพวกท่าน แต่พ่อแม่พูดกับฉันเสมอว่า “เราต้องหาเงินมากขึ้นเพื่อให้ลูกมีชีวิตที่ดีขึ้น และจะได้มีเงินไว้ซื้ออะไรที่ลูกอยากได้ให้ลูก” ฉันว่าพ่อแม่ทำเพื่อฉันมามาก แล้วฉันก็ตัดสินใจเป็นลูกกตัญญู และไม่ปล่อยให้พวกท่านเหนื่อยเกินไป เวลาพ่อแม่ไปทำงาน ฉันจะทำความสะอาดบ้าน เรียนรู้ที่จะซักรีดผ้าและทำอาหาร ทุกครั้งที่พ่อแม่กลับบ้านแล้วเห็นว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง พวกท่านพูดด้วยน้ำเสียงยินดีว่า “ลูกคนนี้เลี้ยงไม่เสียข้าวสุกจริงๆ!” ฉันรู้สึกสุขใจมากที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น ฉันว่าคุ้มค่าทีเดียวที่ทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายขึ้นสำหรับพ่อแม่ และให้เวลาพวกท่านได้พักผ่อนเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย
ต่อมา เราสามคนเริ่มเชื่อในพระเจ้า และฉันก็ไปทำหน้าที่ที่อื่น แม่ฉันสนับสนุนการทำหน้าที่ของฉันมาก และถึงพ่อฉันไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้ แต่พ่อก็เคารพทางเลือกของฉันด้วย ต่อมา สภาวการณ์เริ่มเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ และพี่น้องหลายคนถูกจับขณะทำหน้าที่ ครั้งหนึ่งฉันกลับบ้าน พ่อพูดกับฉันอย่างกังวลใจว่า “เราเลี้ยงลูกมาหลายปีขนาดนี้ เราไม่เคยขอให้ลูกมีอนาคตที่สดใสเกินไป เราแค่อยากให้ลูกอยู่เคียงข้างเรา แต่ลูกกลับออกจากบ้านไปทำหน้าที่ แล้วเวลาที่เราอยากเจอลูกก็ไม่อยู่ ตอนนี้สภาวการณ์เหล่านี้ค่อนข้างเลวร้าย ถ้าวันข้างหน้าลูกถูกจับ พ่อจะทำยังไง อนาคตของลูกจะเป็นยังไง” คำพูดของพ่อทำฉันทึ่งมาก ท่านพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ยังไง? ถ้าฉันละทิ้งการทำหน้าที่เพราะกลัวถูกจับ แล้วฉันจะไม่ทรยศต่อพระเจ้าและกลายเป็นคนละทิ้งหน้าที่หรอกเหรอ? ฉันพูดกับพ่อหนักแน่นว่า “พ่อ พ่อไม่ควรห้ามหนูทำหน้าที่นะ หนูโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว การออกจากบ้านไปทำหน้าที่เป็นทางเลือกที่หนูตัดสินใจหลังจากคิดรอบคอบแล้ว พ่อควรสนับสนุนหนูสิ!” ท่านโกรธมากและพูดว่า “ฉันเลี้ยงดูแกมาตลอดหลายปี แล้วแกก็จากไปแบบนี้ ฉันว่าตอนนี้ฉันเข้าใจชัดเจนแล้ว ฉันเลี้ยงคนต่ำช้าเนรคุณ!” พอได้ยินคำพูดพวกนั้น ฉันก็เสียใจมาก และไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ฉันนึกถึงตอนที่ล้มป่วยสมัยเด็ก และที่พ่อก็ไม่หลับไม่นอนกอดฉันไว้ทั้งคืน เพียงเพื่อที่จะดูแลฉัน และที่พ่อแม่ทำงานหนักเพื่อหาเงินและจัดเตรียมชีวิตที่ดีให้ฉัน แต่ตอนนี้ ไม่ใช่แค่ฉันอกตัญญูต่อพวกท่าน แต่แค่อยู่กับพวกท่านฉันก็ยังทำไม่ได้ ฉันไม่ได้ทำหน้าที่ในฐานะลูกของพ่อแม่เลย เมื่อมองตามหลังพ่อที่โกรธขณะท่านจากไป ฉันก็รู้สึกผิด ฉันอยากอยู่กับพ่อแม่และใช้เวลากับพวกท่านให้มากขึ้น แต่ในตอนนี้ ฉันนึกถึงพระเจ้า ย้อนไปตอนที่ฉันไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ฉันมักรู้สึกว่างเปล่าอยู่ภายใน และไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ หลังจากเชื่อในพระเจ้า จากการอ่านพระวจนะของพระองค์ ฉันจึงเข้าใจ ว่าพระเจ้าคือผู้ทรงสร้างมนุษย์ และพระเจ้าคือผู้ทรงประทานลมหายใจนี้แก่ฉัน ฉันมีภารกิจของตัวเองในโลกนี้ ตอนนั้นเองฉันจึงค้นพบคุณค่าการดำรงอยู่ของตัวเอง และไม่รู้สึกว่างเปล่าและสับสนอีกต่อไป ได้อิ่มเอมกับความรักอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้าเช่นนี้แล้ว ฉันไม่อาจขาดมโนธรรมและละทิ้งการทำหน้าที่ของตัวเองได้ ณ จุดนั้น ฉันได้รับกำลังในการกบฏต่อเนื้อหนังของฉัน และออกไปทำหน้าที่ต่อไป
ในปี 2019 ฉันถูกจับขณะทำหน้าที่ครั้งหนึ่ง ระหว่างการสอบปากคำ ตำรวจพาลุงของฉันไปที่สถานกักกัน แล้วบอกว่าเขาเป็นพ่อแท้ๆ ของฉัน พวกตำรวจบอกให้ฉันรีบอธิบายสถานการณ์ของคริสตจักร เพื่อที่ฉันจะได้กลับบ้านและกลับไปหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดอีกครั้ง ฉันไม่ได้บอกอะไร สุดท้ายลุงก็จ่ายเงินเพื่อให้ฉันได้รับการปล่อยตัว ตำรวจสงสัยว่าฉันเชื่อในพระเจ้าตามพ่อแม่ แล้วไม่อนุญาตให้ฉันกลับบ้านหรือติดต่อพ่อแม่ ตำรวจให้ลุงพาฉันไปที่อื่นเท่านั้น เพราะลุงเป็นคนประกันตัวฉัน ตำรวจจึงโทรมาขู่ท่านแทบทุกวัน ลุงเชื่อข่าวลือที่ได้ยินจากพรรคคอมมิวนิสต์ แล้วพยายามห้ามไม่ให้ฉันเชื่อในพระเจ้า ท่านบอกว่า “ลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ลูกควรรู้ดีกว่านี้ แม่ของลูกกับพ่อ รวมถึงพ่อแม่บุญธรรมของลูกด้วย ทนไม่ได้ที่ต้องทรมานแบบนี้ เพราะลูกเชื่อในพระเจ้า ตำรวจเลยโทรมารังควานเราทุกวัน พ่อแก่มากแล้ว เวลาตำรวจตำหนิพ่อ พ่อยังเอ่ยชมลูกอย่างอดสู รู้ไหมว่าสำหรับพ่อมันยากแค่ไหน” เมื่อเห็นพ่อแท้ๆ กับพ่อแม่บุญธรรมต้องยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของฉัน ฉันรู้สึกเจ็บปวดมาก คนโบราณว่าไว้ “ความกตัญญูต่อบุพการีคือคุณธรรมที่ต้องยึดถือเหนืออื่นใดทั้งปวง” การเป็นลูกกตัญญูต่อพ่อแม่และทำให้พ่อแม่กังวลน้อยลงเป็นสิ่งที่ลูกทุกคนควรทำ พ่อแม่บุญธรรมเลี้ยงดูฉันมาตลอดหลายปี พ่อแม่แท้ๆ ของฉันก็ถูกตำรวจรีดไถให้จ่าย 140,000 หยวนเพื่อประกันตัวฉัน ฉันรู้สึกผิดมากอยู่ภายใน เมื่อก่อนฉัทำหน้าที่และไม่ได้อยู่เคียงข้างเพื่อดูแลพ่อแม่ แล้วตอนนี้ฉันก็ถูกจับเพราะเชื่อในพระเจ้า และทำให้พวกท่านพัวพันกับความทุกข์ยากของฉัน ฉันไม่ได้ทำสิ่งที่ลูกควรทำ ฉันมีแต่นำพาภาระมาให้พวกท่าน ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้เท่าไร ฉันยิ่งรู้สึกแย่ลง ถึงกับคิดว่า “จริงเหรอที่ปัญหาครอบครัวฉันจะเบาบางลงต่อเมื่อฉันเลิกเชื่อในพระเจ้า? จริงไหมถ้าเพียงฉันตายไป ตำรวจจะหยุดจับตาดูครอบครัวฉันอย่างใกล้ชิด และพ่อแม่ฉันจะไม่ถูกคุกคามและทำให้ขายหน้าอีกต่อไป?” ตอนนั้นฉันรู้สึกถูกกดขี่อย่างที่สุด ฉันรู้ว่าฉันเริ่มมีความคิดที่จะทรยศต่อพระเจ้าขึ้นมาแล้ว และคิดว่าฉันเป็นหนี้บุญคุณพระองค์ แต่ทันทีที่คิดว่าพ่อแม่บุญธรรมและพ่อแม่แท้ๆ ต้องมายุ่งยากกับปัญหาของฉัน ภายในฉันก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ฉันโดนฉุดรั้งจากทั้งสองฝั่ง และไม่สามารถสงบอารมณ์ได้
ในช่วงนั้น ลุงกับป้าบังคับให้ฉันเริ่มทำงานเพื่อให้ฉันเลิกเชื่อในพระเจ้า พวกท่านยังให้เพื่อนร่วมงานฉันคอยเฝ้าดูฉันด้วย และถ้าฉันกลับบ้านดึกมาก พวกท่านจะซักไซ้ฉัน “ไปไหนมา อยู่กับใคร” ป้าฉันถึงกับคุกเข่าขอร้อง และไม่ยอมกินเพื่อกดดันให้ฉันเลิกเชื่อในพระเจ้า เมื่อเจอกับสภาวการณ์แบบนี้ ฉันเลยรู้สึกเหมือนจิตใจจะแตกสลาย ฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีอิสระ และโดยเฉพาะไม่มีสิทธิส่วนบุคคลในบ้านนี้ ฉันรู้สึกราวกับคอถูกรัดและฉันก็หายใจไม่ออก ฉันอยากต่อต้านและเถียงพวกท่านว่า “แค่เพราะฉันเชื่อในพระเจ้า ทำไมถึงต้องทำกับฉันแบบนี้ด้วย?” แต่ทันทีที่คิดได้ว่า พวกท่านเข้ามาพัวพันกับปัญหานี้เพราะฉันยังไง และถูกปรับเงินมากแค่ไหน การต่อต้านในใจฉันก็หายไป กลับคิดว่าเป็นฉันเองที่อกตัญญู คิดว่าพวกท่านไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปฏิบัติต่อฉันแบบนี้ และพ่อแม่ก็ถูกเสมอ โดยเฉพาะพอคิดว่าฉันไม่ได้คอยอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนพวกท่านและแสดงความกตัญญูต่อบุพการีในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแล้ว ฉันยิ่งรู้สึกมากขึ้นไปอีกว่าฉันทำให้พวกท่านผิดหวัง ในช่วงนั้น ฉันพยายามเต็มที่เพื่อชดใช้ในสิ่งที่ติดค้างพ่อแม่ ฉันซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพให้พวกท่าน ทำงานบ้านทั้งหมด และทำงานทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้ได้เงินมา ฉันยินดีอดทนกับความยากลำบากในการทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่นทุกวัน ฉันแค่อยากหาเงินมากขึ้นและนำความชื่นชมยินดีมาให้พวกท่านมากขึ้น ก่อนจะรู้ตัว พระเจ้ากับฉันก็เริ่มห่างจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปช่วงหนึ่ง ตำรวจโทรหาฉันแล้วบอกว่ากำลังจะมาพาตัวฉันไป และอยากฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ของคริสตจักรจากฉัน ฉันรู้ว่าถ้าฉันอยู่บ้านต่อไปก็มีโอกาสโดนจับ แต่ก็คิดอีกว่าถ้าออกไป ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไร อีกอย่าง ถ้าตำรวจหาฉันไม่เจอ ตำรวจจะพาพ่อแม่กับลุงป้าไปแทนไหม ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ฉันจะอกตัญญูขนาดไหนกัน ฉันคิดอย่างอื่นไม่ออกนอกจากคำพูดของบรรดาพ่อแม่ฉัน ป้าอยากให้ฉันอยู่เคียงข้างป้าและอยากมีครอบครัวที่ดี ลุงบอกว่าฉันโตและมีเหตุมีผลแล้ว และต้องรู้จักนึกถึงหัวอกของพวกท่านด้วย พ่อบอกว่าท่านต้องการให้ฉันแสดงความกตัญญูต่อบุพการีแก่ท่าน และไม่ต้องการเลี้ยงลูกที่เนรคุณ ณ ตอนนั้น ฉันรู้สึกเหมือนทุกอย่างพังทลาย ตอนนั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า เพราะตำรวจจะมาจับ ข้าพระองค์จึงอยู่บ้านไม่ได้ แต่ก็คิดว่าถ้าจากไป ข้าพระองค์ก็จะเป็นคนอกตัญญูและขาดมโนธรรม ข้าพระองค์เจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง พระเจ้า ข้าพระองค์จะเลือกอย่างไรดี? โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด!” หลังจากอธิษฐานแล้ว ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้า “หากไม่ใช่เพราะการลิขิตล่วงหน้าของพระผู้สร้างและการทรงนำของพระองค์ ชีวิตที่ถือกำเนิดใหม่ในพิภพนี้คงไม่รู้ว่าจะไปทางไหนหรือจะพำนักอยู่แห่งหนใด คงจะไร้ญาติพี่น้อง ไม่มีพวกพ้อง และไม่มีบ้านที่แท้จริง แต่เพราะการจัดการเตรียมการอันพิถีพิถันของพระผู้สร้าง ชีวิตใหม่นี้จึงมีที่ให้พำนัก มีบิดามารดา มีสถานที่ให้เป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น และมีญาติพี่น้อง และจากนั้น ชีวิตนั้นจึงเริ่มเดินไปบนครรลองแห่งการเดินทางของมัน ตลอดกระบวนการนี้ การทำให้ชีวิตใหม่นี้เกิดเป็นตัวตนขึ้นมาได้ถูกกำหนดโดยแผนการต่างๆ ของพระผู้สร้าง และทุกอย่างที่ชีวิตนี้จะได้ครอบครองก็จะได้รับการประทานจากพระผู้สร้าง จากร่างที่ลอยละล่องไร้ทิศทางโดยไม่มีสิ่งใดติดตัว ค่อยๆ กลายมาเป็นมนุษย์ซึ่งมีเลือดเนื้อ มองเห็นได้ จับต้องได้ เป็นหนึ่งในสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า ที่คิด หายใจ และรู้สึกร้อนหนาว สามารถมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมปกติของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในโลกทางวัตถุ และเป็นผู้ที่จะก้าวผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างต้องผ่านประสบการณ์ในชีวิต การลิขิตล่วงหน้าโดยพระผู้สร้างเกี่ยวกับกำเนิดของบุคคลหมายความว่า พระองค์จะประทานทุกสิ่งซึ่งจำเป็นต่อการอยู่รอดแก่บุคคลนั้น และในทำนองเดียวกัน ข้อเท็จจริงที่ว่าบุคคลหนึ่งได้เกิดมาย่อมหมายความว่า พวกเขาจะได้รับทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการอยู่รอดจากพระผู้สร้าง และจากจุดนั้นเป็นต้นไป พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในอีกรูปหนึ่ง ซึ่งจัดเตรียมให้โดยพระผู้สร้าง และอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจแล้วว่า ฉันเป็นเพียงร่างกายเปลี่ยวเปล่า ล่องลอยอิสระ เป็นพระเจ้าที่ทรงจัดการเตรียมการครอบครัวและพ่อแม่ให้ฉัน เป็นพระเจ้าที่ทรงปกครองเรื่องนี้ แต่การที่ฉันได้เกิดมาในโลกนี้ ไม่เพียงแต่เพื่อได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวและแสดงความกตัญญูต่อบุพการีให้กับพ่อแม่เท่านั้น แต่ยิ่งกว่านั้นสำหรับฉันแล้ว ยังมาเพื่อรับเอาความรับผิดชอบและภารกิจที่ถูกคาดหวังไว้จากสิ่งมีชีวิตทรงสร้างด้วย ตอนนี้ฉันกำลังคิดที่จะละทิ้งหน้าที่เพื่อให้พ่อแม่พอใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการเห็น พระเจ้าทรงจัดหาทุกสิ่งให้ฉัน ฉันจะละทิ้งหน้าที่และทรยศต่อพระองค์ไม่ได้ หลังจากนั้นฉันก็ออกจากบ้านไปทำหน้าที่
จากนั้นไม่นาน ฉันก็รู้ว่าพอตำรวจจับฉันไม่ได้เลยพาตัวลุงไปแทน ตำรวจแจ้งว่าจะปล่อยตัวลุงก็ต่อเมื่อฉันกลับมาแล้วเท่านั้น ฉันรู้สึกหน้ามืดอ่อนๆ ทันที และคิดว่าฉันติดค้างลุง ฉันอยากกลับไปโดนคุมตัวแทนลุงแทบแย่ ฉันไม่มีอารมณ์ที่จะทำหน้าที่ ฉันคิดถึงแต่เสียงและใบหน้าของสมาชิกในครอบครัว ฉันคิดว่าความโชคร้ายของพวกท่านล้วนเป็นเพราะฉัน โดยเฉพาะตอนที่คิดถึงการที่ลุงโดนจับ ฉันไม่รู้ว่าตำรวจจะทำกับลุงยังไง ตำรวจจะทุบตีลุงไหม ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด และฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าในใจว่า “พระเจ้า วันนี้ข้าพระองค์เผชิญสภาวการณ์เหล่านี้ และข้าพระองค์ไม่รู้จะมีประสบการณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ใจของข้าพระองค์เจ็บปวด และไม่มีใจทำหน้าที่ของตนเอง ข้าพระองค์ไม่อยากอยู่ในสภาวะเช่นนั้น ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ควรทำอย่างไรดี? ขอพระองค์โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์พลิกสภาวะนี้ได้ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐานแล้ว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งว่า “บางคนละทิ้งครอบครัวเพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงเพราะเหตุนี้และทางการก็ตรวจค้นบ้านของพวกเขาอยู่เนืองๆ คุกคามบิดามารดาของพวกเขา และแม้กระทั่งข่มขู่บิดามารดาของพวกเขาให้มอบตัวพวกเขา เพื่อนบ้านล้วนแต่พูดถึงพวกเขา โดยกล่าวว่า ‘คนคนนี้ไม่มีมโนธรรม พวกเขาไม่ใส่ใจบิดามารดาที่สูงอายุ พวกเขาไม่เพียงแต่อกตัญญูเท่านั้น แต่พวกเขายังสร้างความเดือดร้อนมากมายให้บิดามารดาของพวกเขาด้วย พวกเขาเป็นลูกอกตัญญู!’ ในถ้อยคำเหล่านี้มีคำใดที่เป็นไปตามความจริงบ้างหรือไม่? (ไม่มี) แต่ถ้อยคำทั้งหมดนี้ได้รับการพิจารณาว่าถูกต้องในสายตาของผู้ไม่มีความเชื่อมิใช่หรือ? ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาคิดว่านี่เป็นหนทางที่ถูกทำนองคลองธรรมและสมเหตุสมผลที่สุดในการมองเรื่องนี้ และเป็นไปตามจริยธรรมของมนุษย์ และสอดคล้องกับมาตรฐานการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ ไม่ว่ามาตรฐานเหล่านี้จะรวมถึงเนื้อหามากน้อยเพียงใด อย่างเช่น วิธีแสดงความเคารพกตัญญูต่อบิดามารดา วิธีดูแลพวกเขาในวัยชราและจัดแจงงานศพของพวกเขา หรือจะตอบแทนพวกเขามากน้อยเพียงใด และไม่ว่ามาตรฐานเหล่านี้จะตรงตามความจริงหรือไม่ ในสายตาของผู้ไม่มีความเชื่อ การกระทำเหล่านี้คือสิ่งที่เป็นบวก เป็นพลังงานเชิงบวก เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีข้อครหาภายในทุกหมู่เหล่าของผู้คน ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ สิ่งเหล่านี้เป็นมาตรฐานในการใช้ชีวิตสำหรับผู้คน และเจ้าต้องทำสิ่งเหล่านี้เพื่อที่จะเป็นคนดีมากพอในหัวใจของพวกเขา ก่อนที่เจ้าจะเชื่อในพระเจ้าและเข้าใจความจริงนั้น เจ้าก็เชื่ออย่างมั่นคงเช่นกันว่าการประพฤติปฏิบัติเช่นนั้นคือการเป็นคนดีมิใช่หรือ? (ใช่) ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังใช้สิ่งเหล่านี้ประเมินและยับยั้งชั่งใจตนเองเช่นกัน และเจ้าก็พึงประสงค์ให้ตนเองเป็นบุคคลประเภทนี้ หากเจ้าต้องการที่จะเป็นคนดี แน่นอนว่าเจ้าต้องรวมสิ่งเหล่านี้ไว้ในมาตรฐานการประพฤติปฏิบัติของตน ได้แก่ วิธีกตัญญูต่อบิดามารดาของเจ้า วิธีทำให้พวกเขารู้สึกกังวลน้อยลง วิธีนำเกียรติยศและชื่อเสียงมาสู่พวกเขา และวิธีนำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของเจ้า เหล่านี้คือมาตรฐานการประพฤติปฏิบัติในหัวใจของเจ้าและทิศทางการประพฤติปฏิบัติของเจ้า อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เจ้าได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าและการเทศนาของพระองค์แล้ว มุมมองของเจ้าก็เริ่มเปลี่ยนไป และเจ้าก็เข้าใจว่าเจ้าต้องละทิ้งทุกสิ่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนประพฤติปฏิบัติตนเองในหนทางนี้ ก่อนที่เจ้าจะแน่ใจว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้นเป็นความจริง เจ้าคิดว่าเจ้าควรกตัญญูต่อบิดามารดาของเจ้า แต่เจ้าก็รู้สึกเช่นกันว่าเจ้าควรปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเจ้ารู้สึกขัดแย้งอยู่ภายใน ผ่านทางการให้น้ำและการดูแลโดยพระวจนะของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง เจ้าก็เริ่มเข้าใจความจริงทีละเล็กละน้อย และในตอนนั้นเองเจ้าก็ตระหนักว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้นเป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ จนถึงทุกวันนี้ ผู้คนจำนวนมากสามารถยอมรับความจริงได้แล้วและละทิ้งมาตรฐานการประพฤติปฏิบัติที่มาจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันดั้งเดิมของมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเจ้าปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้โดยสมบูรณ์ เจ้าก็ไม่ถูกตีกรอบด้วยวาจาแห่งการพิพากษาและการกล่าวโทษจากผู้ไม่มีความเชื่ออีกต่อไปในยามที่เจ้าติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเจ้าก็สามารถสลัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, สิ่งใดหรือคือความเป็นจริงความจริง?) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันรู้สึกซาบซึ้งมาก ส่วนใหญ่แล้ว ฉันตัดสินถูกผิดตามจริยธรรมทางโลก แต่เรื่องนี้ไม่เป็นไปตามความจริง ชีวิตฉันมาจากพระเจ้า เป็นพระเจ้า ผู้ทรงนำจิตวิญญาณของฉันมายังโลกนี้และจัดการเตรียมการครอบครัวและพ่อแม่ไว้ให้ฉัน ผู้ทรงเลือกให้ฉันยอมรับความรอดของพระองค์ในยุคสุดท้าย และผู้ทรงให้โอกาสฉันได้ทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นี่คือความรักและพระคุณของพระเจ้า แต่เพราะลุงโดนตำรวจจับตัวไป ฉันเลยคิดว่าสิ่งที่นำพาความทุกข์ยากมาสู่ครอบครัวฉันคือความเชื่อในพระเจ้าของฉัน แล้วฉันก็เลยอยากละทิ้งหน้าที่และทรยศต่อพระองค์ ฉันช่างโง่อะไรอย่างนั้น! จนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่ทำให้ครอบครัวฉันต้องได้รับผลกระทบล้วนมาจากปีศาจ นั่นคือพรรคคอมมิวนิสต์ พวกนั้นต่อต้านพระเจ้าและข่มเหงคริสตชน คุกคามครอบครัวของฉัน จับกุมลุงของฉัน และทำเพื่อให้พ่อแม่ของฉันไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขสักวัน พรรคคอมมิวนิสต์คือตัวการที่แท้จริง! แต่ฉันกลับไม่ได้เกลียดพรรคคอมมิวนิสต์ แล้วคิดว่าความเชื่อในพระเจ้าของฉันทำให้ครอบครัวเดือดร้อน ฉันแยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้อย่างแท้จริง ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ว่าเป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้สำหรับฉันที่ติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉัน นี่คือมโนธรรมและเหตุผลที่ผู้คนควรมี! ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนที่ว่า “พระเจ้าคือผู้ที่ทรงกำหนดว่าแต่ละบุคคลต้องทนทุกข์มากน้อยเพียงใดและพวกเขาต้องเดินไปบนเส้นทางของพวกเขาในระยะทางไกลแค่ไหน และไม่มีใครสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (6)) ไม่ว่าใครเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ ชีวิตของคนทุกคนก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และพระองค์ทรงควบคุมและปกครอง พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าแต่ละคนจะต้องทนทุกข์แค่ไหน และเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พ่อแม่และพ่อแม่บุญธรรมของฉันก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเช่นกัน ฉันควรมอบพวกท่านให้กับพระเจ้า จากนั้น ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจ โดยเต็มใจมอบทุกสิ่งให้กับพระเจ้า และนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์ จากนั้นฉันก็ทุ่มเทในการทำหน้าที่ของฉัน
ต่อมาฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ซึ่งทำให้ฉันเข้าใจสภาวะของตัวเองมากขึ้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ด้วยภาวะทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวจีน ในมโนคติอันหลงผิดแบบดั้งเดิมของชาวจีนนั้นพวกเขาเชื่อว่าคนเราต้องรักษาความกตัญญูต่อบิดามารดาของพวกเขาไว้ ใครที่ไม่รักษาความกตัญญูต่อบิดามารดาย่อมเป็นลูกอกตัญญู แนวคิดเหล่านี้ได้รับการปลูกฝังในตัวผู้คนมาตั้งแต่เด็ก และสิ่งเหล่านี้ก็ถูกสอนกันอย่างจริงจังในทุกครอบครัว รวมถึงในทุกโรงเรียนและในสังคมขนาดใหญ่ เมื่อคนคนหนึ่งเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้อยู่ในหัว พวกเขาย่อมคิดว่า ‘ความกตัญญูนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้าฉันไม่รักษาสิ่งนี้ไว้ฉันก็จะไม่ใช่คนดี—ฉันจะเป็นลูกอกตัญญูและจะถูกสังคมประณาม ฉันจะเป็นคนที่ไร้มโนธรรม’ ทรรศนะนี้ถูกต้องหรือไม่? ผู้คนได้เห็นความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงมากมาย—พระเจ้าทรงเรียกร้องให้คนเราแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดาของพวกเขาหรือไม่? นี่เป็นหนึ่งในความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าใจใช่หรือไม่? ไม่ใช่เลย พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมบางอย่างเท่านั้น พระวจนะของพระเจ้าเอ่ยขอให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักธรรมใดหรือ? จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และจงเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง กล่าวคือ นี่คือหลักธรรมที่ควรปฏิบัติตาม พระเจ้าทรงรักบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ เหล่านี้ยังเป็นผู้คนที่พวกเราควรรักด้วยเช่นกัน พวกที่ไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้ที่เกลียดชังและกบฏต่อพระเจ้า—พระเจ้าทรงรังเกียจผู้คนเหล่านี้ และพวกเราก็ควรรังเกียจพวกเขาเช่นกัน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอต่อมนุษย์ หากบิดามารดาของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า หากพวกเขารู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมว่าความเชื่อในพระเจ้าคือเส้นทางที่ถูกต้อง และสามารถนำไปสู่ความรอด แต่ทว่ายังคงไม่ยอมรับ เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคือผู้คนที่รังเกียจและเกลียดชังความจริง และพวกเขาคือผู้ที่ขัดขืนและเกลียดชังพระเจ้า—แล้วก็เป็นธรรมดาที่พระเจ้าจะทรงชังและเกลียดพวกเขา เจ้าจะนึกชังบิดามารดาเยี่ยงนี้ได้หรือไม่? พวกเขาต่อต้านและด่าว่าพระเจ้า—ซึ่งในกรณีนั้นแน่นอนว่าพวกเขาย่อมเป็นปีศาจและเป็นซาตาน เจ้าจะสามารถเกลียดชังและสาปแช่งพวกเขาได้หรือไม่? เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่แท้จริง หากบิดามารดาของเจ้ากีดกันเจ้าไม่ให้เชื่อในพระเจ้า เจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร? ตามที่พระเจ้าทรงกำหนด เจ้าควรรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ‘ใครเป็นมารดาของเรา? ใครเป็นพี่น้องของเรา?’ ‘เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา’ พระวจนะเหล่านี้มีอยู่แล้วย้อนหลังไปในยุคพระคุณ และบัดนี้พระวจนะของพระเจ้าก็ยิ่งชัดเจนขึ้นอีก กล่าวคือ ‘จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง’ พระวจนะเหล่านี้ตัดตรงเข้าจุด ทว่าบ่อยครั้งที่ผู้คนไร้ความสามารถที่จะจับความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านั้น หากบุคคลผู้หนึ่งคือใครบางคนที่ปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้า ผู้ซึ่งถูกพระเจ้าสาปแช่ง แต่พวกเขาเป็นบิดามารดาหรือญาติของเจ้า และเท่าที่เจ้าสามารถบอกได้พวกเขาดูไม่ใช่คนชั่ว และปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี เช่นนั้นแล้วเจ้าอาจพบว่าตนเองไม่สามารถเกลียดชังบุคคลผู้นั้น และอาจยังคงมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกเขาด้วยซ้ำ สัมพันธภาพของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง การได้ฟังว่าพระเจ้าทรงเกลียดคนเหล่านี้ย่อมจะทำให้เจ้าลำบากใจ และเจ้าก็ไม่สามารถยืนอยู่ฝั่งพระเจ้าและปฏิเสธพวกเขาอย่างใจดำได้ เจ้าถูกความรู้สึกจำกัดไว้อยู่เสมอ และเจ้าไม่สามารถปล่อยวางพวกเขาได้โดยสมบูรณ์ อะไรคือสาเหตุของการนี้เล่า? นี่เกิดขึ้นเพราะความรู้สึกของเจ้าแข็งแกร่งเกินไป และนั่นขัดขวางเจ้าจากการปฏิบัติความจริง บุคคลผู้นั้นดีต่อเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถบังคับตนเองให้เกลียดชังพวกเขาได้ เจ้าจะสามารถเกลียดชังพวกเขาได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาทำร้ายเจ้าเท่านั้น ความเกลียดชังนั้นจะเป็นไปตามหลักธรรมความจริงหรือไม่? นอกจากนี้ เจ้ายังถูกพันธนาการด้วยมโนคติอันหลงผิดแบบเดิมๆ อีกด้วย คิดไปว่าพวกเขาคือบิดามารดาหรือญาติ ดังนั้นหากเจ้าเกลียดชังพวกเขา เจ้าก็จะถูกสังคมสบประมาทและถูกด่าทอโดยประชามติ ถูกกล่าวโทษว่าอกตัญญู ไม่มีมโนธรรม และไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ เจ้าคิดไปว่าเจ้าจะทนทุกข์กับการกล่าวโทษและการลงโทษจากสวรรค์ ต่อให้เจ้าต้องการเกลียดชังพวกเขา มโนธรรมของเจ้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าทำ เหตุใดมโนธรรมของเจ้าจึงทำหน้าที่ในหนทางเช่นนี้? นี่เป็นเพราะวิธีคิดที่ถูกปลูกฝังในตัวเจ้าตั้งแต่ยังเด็ก ผ่านการถ่ายทอดในครอบครัวของเจ้า ผ่านการศึกษาที่เจ้าได้รับจากบิดามารดา และการสั่งสอนวัฒนธรรมดั้งเดิม วิธีคิดเช่นนี้หยั่งรากลึกในหัวใจของเจ้ามาก และทำให้เจ้าเชื่อแบบผิดๆ ว่าความกตัญญูนั้นเป็นธรรมชาติและเป็นสิ่งที่ชอบธรรมโดยสมบูรณ์ และสิ่งใดที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเจ้าย่อมดีเสมอ เจ้าเรียนรู้สิ่งนี้เป็นอันดับแรก ซึ่งยังคงมีอำนาจครอบงำ สร้างสิ่งสะดุดและการรบกวนอันใหญ่หลวงในความเชื่อและการยอมรับความจริงของเจ้า ทิ้งให้เจ้าไม่สามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่สามารถรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก เกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจแล้ว ว่าซาตานใช้วิธีการทุกรูปแบบเพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม อย่างเช่น คำแนะนำของพ่อแม่เรา การศึกษาในโรงเรียนเรา และความคิดเห็นของผู้คนรอบตัวเรา ทำให้เราเชื่อว่า เพราะพ่อแม่เลี้ยงดูเรา เราจึงต้องตอบแทนความกรุณาของพวกท่าน และเชื่อว่านี่คือความหมายของการมีความเป็นมนุษย์และมีมโนธรรม ไม่งั้นเราจะขาดมโนธรรม ขาดความกตัญญู และถูกผู้อื่นรังเกียจเดียดฉันท์ ตั้งแต่เด็ก ฉันถูกปลูกฝังความคิดและทรรศนะพวกนี้ อย่าง “ความกตัญญูต่อบุพการีคือคุณธรรมที่ต้องยึดถือเหนืออื่นใดทั้งปวง” และ “พ่อแม่ถูกเสมอ” เพราะฉันมีความคิดและทรรศนะแบบดั้งเดิมพวกนี้อยู่ภายใน พอฉันออกจากบ้านไปทำหน้าที่และดูแลพ่อแม่ไม่ได้ ฉันเลยโทษตัวเองและรู้สึกผิด ฉันไม่มีอารมณ์ทำหน้าที่ และเสียใจที่ต้องออกไปทำหน้าที่ พอเห็นลุงประกันตัวฉันด้วยเงิน 140,000 หยวน และพอรู้ว่าลุงโดนตำรวจขู่และโดนจับ ฉันก็คิดว่าครอบครัวต้องเข้าไปพัวพันกับปัญหานี้เพราะฉันเชื่อในพระเจ้า แล้วก็อยากละทิ้งการทำหน้าที่และทรยศต่อพระเจ้า ถึงกับอยากจบชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ ลุงกับป้าควบคุมเสรีภาพของฉัน และตามดูว่าอยู่ฉันอยู่ที่ไหนเพื่อกีดกันไม่ให้ฉันเชื่อในพระเจ้า ป้าถึงกับคุกเข่าขอร้อง และไม่ยอมกินเพื่อกดดันให้ฉันเลิกเชื่อในพระเจ้า ฉันเจ็บปวดมากและรู้สึกถูกกดขี่อย่างที่สุด แต่ฉันไม่กล้าและไม่เต็มใจที่จะต่อต้านพวกท่าน ฉันเชื่อว่า “พ่อแม่ถูกเสมอ” และในฐานะลูกของพ่อแม่ การทำให้พ่อแม่ต้องทนทุกข์กับความทุกข์ยากแบบนั้น ถึงขนาดที่ป้าต้องคุกเข่าขอร้องฉัน แปลว่าฉันอกตัญญูเกินไปแล้ว แม้ว่าตอนนั้น ฉันรู้ว่าการเชื่อฟังพวกท่านแล้วไม่ทำหน้าที่ก็เท่ากับเป็นการทรยศต่อพระเจ้า และจะเสียโอกาสในการได้รับความจริง แต่ฉันไร้ซึ่งความเข้มแข็งในการต่อต้านพวกท่าน แม้ฉันไม่เคยพูดว่าฉันจะหยุดเชื่อในพระเจ้า แต่พฤติกรรมต่างๆ ของฉันตลอดทั้งปีนั้น แสดงให้เห็นว่าฉันก้มหัวให้ซาตานและความคิดแบบดั้งเดิม สิ่งที่ฉันเหลืออยู่มีแต่การกระทำผิดและมลทิน ฉันทรยศพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้ฉันเข้าใจชัดเจนแล้ว ว่าถึงแม้การกตัญญูต่อพ่อแม่ของเราเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่เป็นความจริง และทัศนคติเช่นนี้จะทำให้ฉันขาดหลักธรรม และไม่สามารถแยกแยะดีเลวหรือผิดชอบชั่วดีได้ ลุงกับป้าพยายามหยุดฉันไม่ให้เชื่อในพระเจ้า กักขังฉันไว้โดยไม่ให้รู้ตัว และกล่าวถึงพระองค์ด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาท พวกท่านถึงกับบอกว่า ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกท่านจะไม่อนุญาตให้ฉันเชื่อในพระเจ้า เว้นแต่ว่าพวกท่านตายแล้ว บอกว่าถ้าฉันมีพระเจ้า ฉันก็จะเสียครอบครัวไป และถ้าฉันมีครอบครัว ฉันก็จะเสียพระเจ้าไป แก่นแท้ของพวกท่านคือเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงและต่อพระเจ้า นอกจากนี้ พ่อบุญธรรมของฉันก็คอยรั้งฉันไว้ตลอดด้วย โดยแสดงบทบาทด้านลบของข้ารับใช้ซาตาน ฉันควรมีวิจารณญานเกี่ยวกับพวกท่าน รักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดสิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด แต่ตอนนั้นฉันเชื่อว่า “ความกตัญญูต่อบุพการีคือคุณธรรมที่ต้องยึดถือเหนืออื่นใดทั้งปวง” และความคิดดั้งเดิมนั้นกำลังชี้นำให้ฉันกบฏต่อพระเจ้า ฉันเกือบจะละทิ้งการทำหน้าที่และทรยศต่อพระองค์ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าความคิดและทรรศนะที่ซาตานปลูกฝังให้กับผู้คนล้วนมีแผนการอันเจ้าเล่ห์ สิ่งเหล่านั้นชักพาให้หลงผิดและทำร้ายผู้คน
ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “ดังนั้น เมื่อเป็นผู้คน ไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะดูแลเอาใจใส่เจ้าอย่างละเอียดลออหรือยอดเยี่ยมเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด พวกเขาก็เพียงแต่ลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตนเท่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเลี้ยงดูเจ้ามาเพราะเหตุใด นั่นก็คือความรับผิดชอบของพวกเขา—ด้วยเหตุที่พวกเขาให้กำเนิดเจ้า พวกเขาจึงควรรับผิดชอบตัวเจ้า เมื่อดูตามนี้ ทุกสิ่งที่พ่อแม่ของเจ้าทำไปเพื่อเจ้า สามารถพิจารณาว่าเป็นความใจดีมีเมตตาได้หรือไม่? ไม่ได้ ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) การที่พ่อแม่ของเจ้าลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อเจ้าไม่นับเป็นความใจดีมีเมตตา ดังนั้น ถ้าพวกเขาลุล่วงความรับผิดชอบที่พวกเขามีต่อไม้ดอกหรือไม้ใบสักต้น รดน้ำและให้ปุ๋ย นั่นนับเป็นความใจดีมีเมตตาหรือไม่? (ไม่นับ) นั่นยิ่งห่างไกลจากการเป็นคนใจดีมีเมตตามากขึ้น ไม้ดอกและไม้ใบเติบโตดีกว่าเมื่ออยู่ข้างนอก—ถ้าปลูกลงดิน ได้สายลม แสงแดด และน้ำฝน ก็จะงอกงาม เวลาปลูกลงกระถางในร่ม ต้นไม้ย่อมไม่เติบโตดีเท่าเวลาอยู่ข้างนอก แต่ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน ต้นไม้ก็มีชีวิต ถูกต้องหรือไม่? ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็เป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้แล้ว เจ้าเองก็เป็นคนที่มีชีวิต และพระเจ้าก็ทรงรับผิดชอบทุกชีวิต ทรงทำให้แต่ละชีวิตสามารถอยู่รอด และดำเนินไปตามกฎที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงย่อมปฏิบัติตาม แต่ในฐานะคนคนหนึ่ง เจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พ่อแม่ของเจ้าเลี้ยงเจ้ามา ดังนั้นเจ้าก็ควรเติบใหญ่และดำรงอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นๆ การที่เจ้ามีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นๆ โดยมากแล้วเป็นเพราะการลิขิตของพระเจ้า และมีส่วนน้อยที่เป็นเพราะการเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ของพ่อแม่ ถูกต้องหรือไม่? ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ด้วยการเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ พ่อแม่ก็กำลังลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตน การเลี้ยงเจ้าให้โตเป็นผู้ใหญ่คือภาระผูกพันและความรับผิดชอบของพวกเขา และนี่ก็ไม่อาจเรียกว่าความใจดีมีเมตตาได้ ถ้าไม่สามารถเรียกว่าความใจดีมีเมตตา เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าพึงมีมิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือสิทธิ์อย่างหนึ่งที่เจ้าพึงมี เจ้าควรได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ เพราะก่อนที่เจ้าจะโตเป็นผู้ใหญ่นั้น บทบาทที่เจ้ามีก็คือบทบาทของลูกที่ได้รับการเลี้ยงดูให้เติบโต เพราะฉะนั้น พ่อแม่ของเจ้าจึงเพียงแต่ลุล่วงความรับผิดชอบอย่างหนึ่งที่พวกเขามีต่อเจ้าเท่านั้น และเจ้าก็เพียงแต่รับเอาไว้ แต่แน่นอนว่าเจ้าไม่ได้รับพระคุณหรือความใจดีมีเมตตาจากพวกเขา สำหรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง การมีลูกและเลี้ยงดูลูก สืบพันธุ์และเลี้ยงดูรุ่นต่อไปให้เติบใหญ่ เป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างนก วัว แกะ และแม้กระทั่งเสือ หลังจากที่มีลูกแล้วก็ล้วนต้องเลี้ยงดูเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดที่ไม่เลี้ยงลูกของตนเอง เป็นไปได้ที่จะมีกรณียกเว้นบ้าง แต่ก็ไม่มาก นี่คือปรากฏการณ์ธรรมชาติในการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไม่อาจจัดให้เป็นความใจดีมีเมตตาได้ พวกเขาเพียงปฏิบัติตามกฎที่พระผู้สร้างทรงวางไว้ให้แก่สัตว์และมวลมนุษย์ทั้งหลายเท่านั้น เพราะฉะนั้น การที่พ่อแม่เลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่จึงไม่ใช่ความใจดีมีเมตตาอย่างหนึ่ง เมื่อพิจารณาตามนี้ก็อาจกล่าวได้ว่าพ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก พวกเขากำลังลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ความพยายามและเงินทองไปกับเจ้ามากเท่าใด พวกเขาก็ไม่ควรขอให้เจ้าชดใช้ เพราะนี่คือความรับผิดชอบของพวกเขาในฐานะพ่อแม่ ในเมื่อเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพัน ก็ควรให้เปล่า และพวกเขาก็ไม่ควรขออะไรชดเชย ด้วยการเลี้ยงดูเจ้า พ่อแม่ก็เพียงลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของพวกเขาเท่านั้น และไม่ควรมีการจ่ายอะไรในเรื่องนี้ นี่ไม่ควรเป็นธุรกรรมซื้อขาย ดังนั้น เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องรับมือพ่อแม่หรือจัดการสัมพันธภาพกับพวกเขาตามแนวคิดของการใช้คืนพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (17)) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจแล้ว ว่าการที่พ่อแม่ให้กำเนิด เลี้ยงดู และเอาใจใส่ดูแลลูกอย่างพิถีพิถันนั้น ไม่ใช่ความกรุณา แต่เป็นความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ในฐานะพ่อแม่ ดังเช่นที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า หากใครย้ายดอกไม้และต้นหญ้าจากภายนอกเข้าบ้าน ผู้นั้นก็มีหน้าที่ดูแล รดน้ำ ใส่ปุ๋ย นี่คือหน้าที่ของพวกเขา อีกตัวอย่างหนึ่งคือ แมว หมา และสัตว์อื่นๆ เหล่านั้นแพร่พันธุ์และดูแลลูกๆ ของพวกมัน ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของพวกสัตว์ พ่อแม่มนุษย์ก็ทำกับลูกเช่นเดียวกัน ขณะที่ลูกยังไม่โต การเลี้ยงดูและดูแลลูกเป็นความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ที่พ่อแม่ทุกคนควรทำให้สำเร็จ และยังเป็นสัญชาตญาณที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คนด้วย ลูกไม่ได้ติดค้างพ่อแม่ด้วยเหตุนั้น ฉันเชื่อมาตลอด ว่าการเอาใจใส่ดูแลอย่างพิถีพิถันของพ่อแม่บุญธรรมเป็นความกรุณาที่ต้องชดใช้ และฉันต้องตอบแทนลุงกับป้าที่ให้กำเนิดฉัน ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ว่าลมหายใจของฉันนี้ พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ ไม่ใช่พ่อแม่ ถ้าพระเจ้าไม่ประทานลมหายใจนี้ให้ฉัน แม้พ่อแม่จะให้กำเนิดฉัน ฉันก็คงเป็นแค่ทารกในครรภ์ที่ยังไม่คลอด พ่อแม่เลี้ยงดูและดูแลฉัน ทำให้ฉันมีสภาพแวดล้อมที่ดีในการเติบโต นี่คือสิ่งที่พวกท่านควรทำในฐานะพ่อแม่ และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและกำหนดไว้ล่วงหน้า เช่นเดียวกัน ในช่วงที่ฉันเติบโต ก็เป็นพระเจ้าที่ทรงดูแลและคุ้มครองฉันอย่างแท้จริง เหมือนกับครั้งหนึ่งหลังเลิกเรียน ฉันขี่จักรยานไฟฟ้าเร็วเกินและหยุดไม่ได้ แล้วฉันก็ถูกบีบให้เบียดเสียดอยู่ระหว่างแผ่นหินกับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ตอนนั้นรถบรรทุกแล่นไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มที่ แล้วฉันก็โดนบังคับให้ขี่จักรยานไฟฟ้าไปข้างหน้าเรื่อยๆ เท้าฉันติดอยู่ระหว่างรถบรรทุกกับจักรยานไฟฟ้า เสียดสีระหว่างสองอย่างไม่หยุดตลอดทาง พอถนนกว้างขึ้น จักรยานไฟฟ้าฉันถึงหยุดจนได้ เป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียดลนลานสุดๆ ตอนนั้นหลายคนมือเหงื่อออก และคิดว่าฉันคงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่ ฉันเองก็ยังคิดว่าคงจะเดินด้วยเท้าข้างนั้นไม่ได้แล้วแน่ๆ เลย แต่ฉันตกตะลึงเมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผลบนร่างกายเลยสักนิด ฉันมีประสบการณ์โดยตรงจริงๆ ว่าพระเจ้าทรงดูแลและคุ้มครองฉันอย่างเงียบๆ อยู่เสมอ เช่นเดียวกัน ตอนลุงกับป้าจ่ายเงิน 140,000 หยวนให้ตำรวจเพื่อปล่อยตัวฉัน ฉันคิดไปว่านี่เป็นความกรุณาอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่ฉันได้รับ และฉันต้องแทนคุณพวกท่านด้วย ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า แม้ว่าจะเห็นว่าคนที่จ่ายเงินนี้คือลุงกับป้า แต่เบื้องหลังคือพระเจ้าที่ทรงปกครองและจัดการเตรียมการเงินนี้ ในช่วงนั้น ลุงกับป้าหาเงินได้ง่ายมาก ง่ายจนแม้แต่พวกเขาเองก็ยังแปลกใจ ที่จริง พอตอนนี้ฉันมาคิดเรื่องนี้ ถ้าพระเจ้าไม่ทรงอวยพรให้ลุงกับป้าหาเงินพวกนั้นได้ แล้วเงินที่ปล่อยตัวฉันจะมาจากไหน ฉันจำได้ว่าพระเจ้าตรัสไว้ว่า “หากใครสักคนช่วยเหลือพวกเรา พวกเราก็ควรยอมรับการนั้นจากพระเจ้า—โดยเฉพาะบิดามารดาผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามา การนี้ได้รับการจัดการเตรียมการโดยพระเจ้าทั้งสิ้น พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง มนุษย์เป็นเพียงเครื่องมือในการปรนนิบัติ” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น) มองเผินๆ พ่อแม่ของฉันเป็นคนเลี้ยงดูฉัน และลุงกับป้าของฉันจ่ายเงินเพื่อปล่อยตัวฉัน แต่จากมุมมองของความจริง ทั้งหมดนี้ พระเจ้าทรงปกครองและจัดการเตรียมการไว้แล้ว ฉันไม่ได้ติดหนี้พวกท่าน ฉันไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตฉันมาใช้หนี้บุญคุณจนต้องแลกด้วยความรอดของฉัน ฉันแสดงความกตัญญูต่อบุพการีแก่พวกท่านได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตอำนาจของฉันเองเท่านั้น ภายใต้สภาวการณ์และภาวะที่เหมาะสม ฉันอยู่กับพวกท่านและแสดงความกตัญญูต่อบุพการีแก่พวกท่านได้ แต่ถ้าภาวะไม่เอื้ออำนวย ฉันก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกตำหนิตัวเอง ฉันแค่ต้องทำหน้าที่ของฉันให้ดี ถ้าฉันละทิ้งพระเจ้าและความจริง เพื่อแสดงความกตัญญูต่อบุพการีให้กับพ่อแม่ แม้คนจะเรียกฉันว่าลูกกตัญญู แต่ฉันก็จะทรยศต่อพระผู้สร้าง ซึ่งเป็นการกบฏอันใหญ่หลวงและขาดความเป็นมนุษย์! แท้จริงแล้ว ผู้ที่ฉันติดหนี้จริงๆ ไม่ใช่พ่อแม่ แต่เป็นพระเจ้า เป็นความเอาใจใส่และการคุ้มครองของพระเจ้าที่ทำให้ฉันอยู่มาจนทุกวันนี้ พระองค์คือผู้ที่ฉันควรขอบคุณมากที่สุด! ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า สิ่งที่พ่อแม่ของข้าพระองค์ประสบและวิธีที่ตำรวจปฏิบัติต่อพวกท่านตอนนี้ อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ และยินดีมอบพวกท่านให้กับพระองค์ ข้าพระองค์เพียงต้องการทำหน้าที่อย่างสงบในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์อย่างถูกควร”
จากนั้นมา ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อยกับสภาวการณ์ที่ครอบครัวต้องเผชิญ และเริ่มคิดว่าจะทำหน้าที่ให้ดีได้ยังไง ไม่นาน ฉันก็ได้รับการติดต่อจากแม่ แม่เขียนจดหมายแบ่งปันประสบการณ์ของแม่ แม่บอกว่าการได้มีประสบการณ์กับสภาวการณ์เช่นนี้ ทำให้แม่มุ่งมั่นในการไล่ตามเสาะหาความจริงมากขึ้น และบอกฉันว่าไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้าน แล้วมุ่งสนใจที่การไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วง แม่ยังบอกด้วยว่า ตำรวจเห็นว่าฉันยังไม่กลับบ้าน และรู้ว่าการกักขังลุงไม่มีประโยชน์ ตำรวจเลยปล่อยตัวลุง ณ ตอนนั้น ฉันสะเทือนอารมณ์มาก ฉันตระหนักดีแล้วว่าสภาวการณ์ที่ฉันเผชิญมาจนถึงขณะนี้มีเจตนารมณ์ของพระเจ้าอยู่ในนั้น และเจตนารมณ์นั้นเจตนาให้ทรรศนะของฉันต่อสิ่งต่างๆ พลิกกลับ และชำระมลทินออกจากในตัวฉัน เป็นพระเจ้าที่รับผิดชอบชีวิตฉัน! ขอบคุณพระเจ้า!