64. เป็นอิสระจากหล่มแห่งความมั่งคั่งและชื่อเสียง
ตอนที่ฉันยังเด็ก ครอบครัวของฉันยากจนและคนก็มักดูถูกเรา ดังนั้นฉันเลยคิดว่า “พอฉันโตขึ้น ฉันจะหาเงินเยอะๆ เพื่อให้พวกเขานับหน้าถือตาฉัน” ต่อมา ฉันก็แต่งงาน แต่ว่าครอบครัวของสามีของฉันก็ฐานะไม่ดีเช่นกัน ฉันหาหนทางหาเงินทุกวิธีที่ทำได้ และไม่เคยปล่อยโอกาสให้หลุดมือเลย เราลองทั้งขับแท็กซี่และขายผัก แต่ว่าเราก็หาเงินได้ไม่มากนัก แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่ยอมแพ้ ฉันเห็นว่าญาติของฉันหาเงินได้มากจากการปลูกเห็ดนางรม และก็สร้างบ้านหลังงามได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจเรียนวิธีการปลูกเห็ดจากเธอ เราทำงานหนักตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงจนถึงใบไม้ผลิ แต่พอเราส่งเห็ดเข้าไปขายในตลาด เห็ดนี้ก็ล้นตลาดอยู่แล้ว ไม่ว่าที่ไหนก็มีขาย จบลงด้วยการที่เราหาเงินไม่ได้ ความพยายามตลอดครึ่งปีของเราสูญเปล่า หลายชั่วโมงที่ก้มหลังทำงานทำให้หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ฉันเสียเงินไปมากมายเพื่อหาทางรักษาทุกที่ ทำให้สถานการณ์การเงินที่แย่แล้วของเราแย่ลงไปกว่าเดิม แต่ฉันก็ยังไม่ยอมแพ้ อยู่มาวันหนึ่ง ฉันก็เห็นข่าว เรื่องฟาร์มเพาะพันธุ์นกพิราบขนาดใหญ่ที่หาเงินได้หลายล้านหยวนต่อปี ดวงตาของฉันเป็นประกาย “หลายล้าน! แถวนี้ไม่มีฟาร์มเพาะพันธุ์นกพิราบ ถ้าฉันเริ่มตอนนี้ ฉันก็อาจจะได้เป็นเจ้าคนนายคนในไม่กี่ปี” ดังนั้น ฉันจึงกู้เงินเพื่อเริ่มเลี้ยงนกพิราบ การได้เห็นนกพิราบออกลูกทำให้ฉันตื่นเต้นและมีพลังใจเต็มเปี่ยม แต่เมื่อเราพร้อมที่จะขายนกพิราบล็อตแรก ก็เกิดการระบาดของไข้หวัดนกขึ้น และเราก็เสียเงินไปมากกว่า 20,000 หยวน การคิดว่าต้องสูญเสียเงินหลังจากทำงานหนักไปหนึ่งปี นั้นราวกับเป็นมีดกรีดหัวใจของฉัน ตกกลางคืน ฉันนอนร้องไห้อยู่บนเตียงพลางถามตัวเองว่า “ทำไมชะตากรรมของฉันถึงโหดร้ายนัก? ทำไมฉันถึงหาเงินได้ยากนัก ในขณะที่คนอื่นดูเหมือนจะหาเงินได้อย่างง่ายดาย?” ความเครียดส่งผลต่อสุขภาพของฉัน ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับ ท้องไส้ก็ปั่นป่วน น้ำหนักของฉันลดลงมาเหลือเพียงสี่สิบกิโลกรัมนิดๆ และฉันก็เดินโงนเงนไปมา แม้กระทั่งตอนนั้น ฉันก็ไม่ยอมยอมแพ้ และคิดว่า “ฉันมีสมองและสองมือเหมือนกับคนอื่น ฉันไม่ได้ฉลาดน้อยกว่าใคร ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะหาเงินไม่ได้! ฉันจะต้องพยายามดูอีกครั้ง!” ต่อมา ฉันได้ยินมาว่าการขายบาร์บีคิวนั้นกำไรดี ถึงแม้จะสุขภาพไม่ดี แต่ฉันก็ไปต่างเมืองเพื่อเรียนการขายบาร์บีคิว หลังจากที่กลับมาบ้าน ฉันก็เปิดร้านขายบาร์บีคิว ด้วยการแข่งขันที่ดุเดือด ธุรกิจนั้นก็อยู่ได้ไม่นานนักก่อนที่ฉันจะต้องปิดร้านลง ฉันไม่เข้าใจ ทำไมคนอื่นๆ ถึงประสบความสำเร็จในธุรกิจเดียวกัน หาเงินได้คืนละ 3,000 หยวน ในขณะที่ฉันหาไม่ได้ ฉันจำได้ว่า เมื่อก่อนแม่มักจะบอกฉันว่าฉันเป็น “คนฝันใหญ่แต่ไม่ค่อยมีโชค” ฉันคิดถึงเรื่องที่ว่าพี่สาวของฉัน หาเงินได้มากในไม่กี่ปีด้วยธุรกิจขายผักของเธอและสร้างบ้านหลังงาม และมีเงินเก็บอีกหลายแสน ในขณะที่ฉัน ลำบากลำบนและล้มเหลวมานานมากกว่าสิบปีแล้ว นี่เป็นชะตากรรมของฉันจริงๆ หรือ ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทุกข์ใจมากเท่านั้น แล้วฉันก็หมดอาลัยตายอยาก รู้สึกสิ้นหวังและป่วยไปหลายวัน ไม่อยากขยับตัว หวังแค่ให้ตัวเองหลับตลอดไปและไม่ตื่นขึ้นมาอีก ชีวิตช่างยากลำบากเหลือเกิน สามีของฉันเองก็จ่อมจมในความเศร้าไปกับการดื่มสุราทุกวัน
หลังจากนั้น เราก็เริ่มธุรกิจร้านขายอาหารเช้า ด้วยความประหลาดใจ ธุรกิจนั้นไปได้ด้วยดีทีเดียว ตอนนั้นเราต้องตื่นนอนตอนตี 1 ทุกวันและทำงานจนถึง 10 โมงเช้าก่อนที่เราจะได้ทานอาหารเช้ากัน การให้ท้องหิวแบบนี้ทำให้ปัญหาท้องไส้ของฉันแย่ลง และฉันก็เป็นกรดไหลย้อนและมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และยังทำให้สามีของฉันเป็นโรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม ส่งผลให้แขนของเขาชาและปวด หมอแนะนำให้เขาหยุดงานหลายวันเพื่อให้ยาทางหลอดเลือดดำ แต่เขารู้สึกว่าการเจาะให้ยาทางสายน้ำเกลือทุกวันเป็นเรื่องเสียเวลา และการพลาดรายได้หลายพันหยวนในแต่ละวันเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เขาเลือกใช้ยาแก้ปวดแทน และวางแผนว่าจะเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมเมื่อธุรกิจชะลอลง เมื่อเวลาผ่านไปอาการของเขาก็แย่ลง เขาต้องใช้ยาแก้ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จากหนึ่งเม็ดต่อครั้งก็กลายเป็นสองหรือสามเม็ด เมื่ออาการปวดหนักขึ้น เขาก็จะพูดจาหยาบคายใส่ฉัน และอารมณ์ของเขาก็ฉุนเฉียวมากขึ้นเรื่อยๆ การพูดคุยของเราก็น้อยลงจนแทบเหลือเพียงแค่การทะเลาะ การเจ็บปวดทางกาย อีกทั้งจิตใจและวิญญาณที่ต้องอดกลั้นของฉันทำให้ฉันรู้สึกหลงทาง การทำงานหนักทั้งหมดนี้เพื่ออะไรกัน? ฉันรู้สึกเหมือนเป็นเครื่องจักร ทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ฉันเหนื่อยมากจนเอวก็เจ็บและหลังก็ปวด เราหาเงินได้แต่ก็ไม่มีเวลาใช้เงิน เราเคยพูดว่าเงินจะนำพาความสุขมาให้ แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกทุกข์ใจกว่าเดิมถึงแม้ว่าจะมีเงินกันล่ะ?
หนึ่งปีต่อมา เราก็กลับไปที่ชุมชนบ้านเกิดเพื่อสร้างบ้านหลังใหม่ ฉันรู้สึกถึงความสำเร็จ คิดถึงว่าในที่สุดเราก็ได้อยู่ในบ้านดีๆ หลังจากที่ลำบากลำบนมาประมาณสิบกว่าปี เพื่อนบ้าน ญาติ และเพื่อนๆ ก็ชื่นชมในความสามารถและความเด็ดเดี่ยวของเรา และพวกเขายังออกตัวช่วยเราหาวัสดุที่ต้องใช้ในการก่อสร้างด้วย เลขาสาขาของพรรคประจำชุมชนก็ให้ความช่วยเหลือเราเป็นพิเศษด้วยการช่วยให้เราได้รับอนุญาตสำหรับงานก่อสร้าง การมีเงินมากให้ความรู้สึกต่างออกไป และทุกอย่างก็ดูราบรื่นขึ้น แต่ทันใดนั้น เมื่อเรื่องราวเริ่มดูเหมือนจะดีขึ้นสำหรับเรา ก็มีข่าวร้ายเหมือนสายฟ้าฟาด หลังจากที่เรารื้อบ้านหลังเก่าแล้ว สามีของฉันก็บ่นเกี่ยวกับอาการปวดคอรุนแรงของเขาและตัดสินใจไปที่โรงพยาบาลประจำชุมชน เมื่อฉันไปถึงโรงพยาบาล หมอก็เร่งรีบมาบอกฉันว่า “คุณมาทันเวลาพอดี! สามีของคุณอยู่ในขั้นวิกฤต!” หัวของฉันขาวโพลน “เป็นไปไม่ได้” ฉันคิด “สามีของฉันสุขภาพดีมาตลอดและแทบไม่เคยเป็นไข้หวัดเลยตั้งแต่เราแต่งงานกัน ตอนนี้เขาจะกำลังจะตายได้ยังไง?” ฉันรีบเข้าไปในวอร์ดและเห็น สามีของฉันนอนอยู่ที่นั่น สีหน้าของเขาหมองคล้ำและดวงตาก็ปิดสนิท ฉันจับมือของเขาและสะอื้น เรียกชื่อของเขา แต่เขาก็ไม่ตื่นขึ้นอีกเลย หมอคนนั้นอธิบายว่าสามีของฉันเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบเฉียบพลัน น่าจะเกี่ยวข้องกับภาวะกระดูกสันหลังส่วนคอไปกดทับหลอดเลือด ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่สะดวก การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของสามีทำให้ฉันไปต่อไม่ถูก “ฉัน ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีลูกสองจะใช้ชีวิตต่อไปได้ยังไง?” ตอนนั้นฉันคิดว่า “สิ่งเดียวที่ฉันต้องการก็คือการทำชีวิตของเราให้ดีขึ้นและไม่ถูกเหยียดหยาม หลังจากทำงานหนักมาหลายปี เมื่อทุกอย่างเริ่มจะดีขึ้น สามีของฉันก็จากไปอย่างกะทันหัน ทำไมทั้งหมดที่ฉันหวังไว้ถึงดูเหมือนอยู่ไกลเกินเอื้อมเหลือเกิน?” ฉันขังตัวเองไว้ในห้องและร้องไห้ไม่หยุด พี่สาวของฉันกังวลว่าฉันอาจจะทำร้ายตัวเอง และผลัดกันมาเยี่ยมฉันทุกวัน แต่พวกเธอทำได้เพียงปลอบใจฉันด้วยคำพูดเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่สามารถปัดเป่าความเศร้าในใจฉันไปได้
ต่อมา ญาติของฉันก็พาพี่น้องหญิงคนหนึ่งมาเพื่อบอกเล่าข่าวประเสริฐให้ฉันฟัง พี่น้องหญิงคนนั้นอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ฉันฟังว่า “องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีพระกรุณาต่อผู้คนเหล่านี้ที่ทุกข์อย่างล้ำลึก ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงรู้สึกเกลียดชังผู้คนที่ไม่มีสติใดๆ เลยเหล่านี้ เนื่องจากพระองค์ต้องทรงรอคอยคำตอบจากผู้คนนานเกินไป พระองค์ทรงเฝ้าปรารถนาที่จะแสวงหา แสวงหาหัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้า และเพื่อนำน้ำและอาหารมามอบให้เจ้า เพื่อที่ว่าเจ้าจะตื่นขึ้นมาและเจ้าไม่มีความกระหายหรือความหิวโหยอีกต่อไป ยามที่เจ้ารู้สึกอ่อนล้าและยามที่เจ้ารู้สึกถึงความเปล่าเปลี่ยวบางอย่างในโลกใบนี้ จงอย่าหลงทาง จงอย่าร่ำไห้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้เฝ้าดู จะทรงโอบกอดการมาถึงของเจ้าไม่ว่า ณ เวลาใดก็ตาม พระองค์จะทรงเฝ้าจับตาดูอยู่ข้างกายเจ้า รอคอยให้เจ้าหันหลังกลับมา พระองค์กำลังทรงรอคอยวันที่เจ้าพลันฟื้นความทรงจำขึ้นมา กล่าวคือ ยามที่เจ้าได้ตระหนักว่า ตัวเจ้านั้นมาจากพระเจ้า ได้ตระหนักว่า ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้หลงทางไป ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้สูญเสียสติไปในระหว่างเส้นทาง และ ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้ ‘บิดา’ มาหนึ่งคน ยิ่งไปกว่านั้นคือ ยามที่เจ้าตระหนักว่า องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงติดตามเฝ้าดูเจ้าตลอดมา ทรงรอคอยปักหลักอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานแสนนานเพื่อการกลับมาของเจ้า พระองค์ทรงเฝ้ารอดูด้วยความถวิลหาสุดพระทัย รอคอยการตอบสนองที่ไม่มีแม้คำตอบสักคำ การเฝ้าดูและการรอคอยของพระองค์นั้นเลอค่าเหนือกว่าจะประมาณได้ และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของหัวใจมนุษย์และจิตวิญญาณของมนุษย์ บางที การเฝ้าดูและการรอคอยนี้อาจไม่มีจุดสิ้นสุด และบางทีอาจมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว แต่ตัวเจ้านั้นก็ควรรู้ว่า หัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้านั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ในเวลานี้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การทอดถอนพระทัยขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์) เมื่อฉันได้ยิน “ยามที่เจ้ารู้สึกอ่อนล้าและยามที่เจ้ารู้สึกถึงความเปล่าเปลี่ยวบางอย่างในโลกใบนี้ จงอย่าหลงทาง จงอย่าร่ำไห้… พระองค์จะทรงเฝ้าจับตาดูอยู่ข้างกายเจ้า รอคอยให้เจ้าหันหลังกลับมา” น้ำตาก็พรั่งพรูลงมาเปื้อนใบหน้าฉันโดยที่ฉันไม่รู้ตัว ฉันคิดถึงความยากลำบากที่แบกรับมาตลอดหลายปี และความทนทรมานสาหัสเกินจะเอ่ยที่ฉันได้ประสบพบเจอ พ่อแม่ของฉันเสียไปแล้ว และสามีของฉันก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน ฉันจะระบายความเจ็บปวดในใจนี้กับใครได้บ้าง มีใครหรือที่จะเข้าใจ พระวจนะของพระเจ้าสัมผัสใจของฉัน และฉันรู้สึกอบอุ่นไปทั้งใจ ฉันอยากจะพูดถึงความเจ็บปวดทั้งหลายที่กองทับถมอยู่ในใจของฉันออกมาให้ดังเสียเหลือเกิน แต่ฉันไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรงไหน ฉันจึงได้แต่ร้องไห้ พี่น้องหญิงคนนั้นกล่าวว่า “ฉันเข้าใจว่าคุณรู้สึกอย่างไร คำพูดของเราทำได้เพียงปลอบโยนคุณเท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาความเจ็บปวดของคุณได้อย่างแท้จริง มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รักษาความเจ็บปวดของเราได้” ฉันถามเธอว่า “ความเจ็บปวดทั้งหมดนี้มาจากไหนกัน? พระเจ้าช่วยรักษามันได้จริงหรือ?” จากนั้นพี่น้องหญิงก็ได้อ่านบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าให้ฉันฟังว่า “มีความลับอันใหญ่โตมโหฬารอยู่อย่างหนึ่งในหัวใจของเจ้าที่เจ้าหาเคยไหวตัวรับรู้ไม่ ด้วยตัวเจ้านั้นดำรงชีพอยู่ในโลกที่ไร้ซึ่งความสว่าง หัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้าได้ถูกมารร้ายกระชากเอาไป ดวงตาของเจ้าถูกบดบังด้วยความมืดมิด จนเจ้าไม่สามารถมองเห็นได้ทั้งดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าและดวงดาราที่กระพริบพรายยามราตรี หูของเจ้านั้นเล่าก็อุดตันไปด้วยเล่ห์ลิ้นคำลวง จนเจ้าไม่สามารถจะสำเหนียกทั้งพระสุรเสียงดั่งฟ้าร้องคำรามของพระยาห์เวห์ และเสียงธาราที่หลั่งรินลงมาจากพระบัลลังก์ เจ้าสูญสิ้นแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเจ้าโดยชอบธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ประทานแก่เจ้า เจ้าได้ก้าวเข้าสู่ท้องทะเลแห่งความทุกข์ร้อนที่ไม่รู้จบ ปราศจากกำลังที่จะช่วยชีวิตเจ้า ไร้ความหวังที่จะได้รอดชีวิตกลับมา และสิ่งที่เจ้าพึงทำได้ก็คือการกระเสือกกระสนและเร่งร้อนลุกลนอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น… จากช่วงเวลานั้นเป็นต้นมา เจ้าได้ถูกกำหนดชะตาให้ถูกมารร้ายทำให้เจ็บปวด ห่างไกลจากพระพรขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ห่างไกลจากการจัดเตรียมขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะเอื้อมถึง ขณะล่องดิ่งไปบนถนนสายที่ไม่มีวันย้อนคืน ต่อให้เสียงเพรียกร้องนับล้านก็แทบมิอาจปลุกเร้าหัวใจและจิตวิญญาณของเจ้าให้ตื่นขึ้นมาได้ เจ้าหลับใหลล้ำลึกอยู่ในอุ้งมือของมารร้ายที่ล่อลวงเจ้าเข้าไปสู่อาณาจักรไร้เขตคั่นโดยปราศจากการชี้ทางหรือป้ายบอกทาง นับแต่นี้ไป เจ้าได้สูญสิ้นแล้วซึ่งความบริสุทธิ์และความไร้เดียงสาของเจ้าที่มีมาแต่ดั้งเดิม และเริ่มที่จะหลบเลี่ยงการเอาพระทัยใส่ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ มารร้ายได้เข้าควบคุมบังคับทิศทางทุกเรื่องราวภายในหัวใจของเจ้าและได้กลายเป็นชีวิตของเจ้าไปแล้ว เจ้าเลิกหวาดกลัวมัน หลีกเลี่ยงมัน หรือกังขาในตัวมันอีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ากลับปฏิบัติต่อมันดุจเป็นพระเจ้าในใจของเจ้า เจ้าเริ่มวางมันไว้บนหิ้งบูชาและสักการะบูชามัน และเจ้าทั้งสองก็กลายเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ออกเฉกเช่นร่างกับเงา ผูกมัดที่จะใช้ชีวิตและตายด้วยกัน เจ้าไม่รู้เลยว่าเจ้ามาจากที่ไหน เจ้าเกิดมาทำไม หรือเหตุใดเจ้าจึงจะต้องตาย เจ้ามององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ราวกับคนแปลกหน้า เจ้าไม่รู้แม้กระทั่งต้นกำเนิดของพระองค์ คงไม่ต้องพูดเลยว่า เจ้าจะรู้ในสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้กับเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การทอดถอนพระทัยขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์) พี่น้องหญิงได้ร่วมสามัคคีธรรมกับฉัน “พระเจ้าได้เผยให้เห็นต้นตอของความทุกข์ทรมานของมนุษย์ เมื่อสร้างโลก พระเจ้าได้สร้างมนุษย์และอนุญาตให้พวกเขาอาศัยอยู่ในสวนแห่งอีเดน ในตอนนั้น มนุษย์เชื่อฟังพระเจ้า และใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล และไม่ต้องประสบกับความเจ็บปวดและปัญหาเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากที่ถูกทดลองและทำให้เสื่อมทรามด้วยน้ำมือของซาตาน มนุษย์ก็ทรยศพระเจ้าและหลงเจิ่นไปจากการดูแลและคุ้มครองของพระองค์ และตกอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน ตอนนี้มนุษย์จึงใช้ชีวิตท่ามกลางบาป วางแผนการ วางอุบาย ต่อสู้ และล่อลวงกันและกัน เพื่อเงินทอง สถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ และบางคนถึงขนาดคิดใคร่ครวญที่จะปลิดชีวิตตัวเอง ความทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นผลมาจากซาตาน เป็นเวลาหลายพันปีที่ซาตานได้ปลูกฝังปรัชญาต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตทางโลกและเรื่องหลอกลวงมากมายให้กับมนุษย์ เช่น ‘เงินทำให้โลกหมุนไป’ สร้างชีวิตที่ดีกว่าด้วยมือของเราเอง’ และ ‘ชะตาชีวิตเราลิขิตเอง’ มนุษย์ชอบที่จะเชื่อในคำลวงชั่วร้ายของซาตานแทนที่จะเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า ใช้ชีวิตและไขว่คว้าตามกฎแห่งการเอาชีวิตรอดเหล่านี้ของซาตาน โดยปราศจากการนำทางและชี้นำของพระเจ้า มนุษย์ทำตามแนวทางอันชั่วร้ายของสังคมอย่างไม่หือไม่อือ ไล่ล่าเงินทอง สถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์อย่างยากลำบากปีแล้วปีเล่า โดยที่ไม่เข้าใจความหมายของชีวิต หรือว่าพวกเขามาจากที่ใด และกำลังจะไปที่ใด ทั้งหมดนี้ทำให้สุดท้ายแล้วพวกเขารู้สึกว่างเปล่าและกลัดกลุ้ม ถึงแม้ว่ามนุษย์จะทรยศพระเจ้า แต่พระองค์ก็ยังไม่ทรงยอมแพ้ในการช่วยมนุษย์ให้รอด พระเจ้าได้ชี้นำและช่วยมนุษย์ให้รอดมาตลอด 6,000 ปี พระองค์ทรงพระราชกิจอย่างไม่หยุดหย่อน และทรงรอให้มนุษย์หวนกลับมาสู่พระองค์ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระผู้ช่วยให้รอด ท่านได้จุติมาบนโลกในร่างมนุษย์และบอกเล่าความจริงเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ต่อเมื่อยอมรับความจริงที่พระเจ้าได้แสดงเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถแยกแยะกลอุบายของซาตาน และหลบหนีจากความเสื่อมทรามและการทรมานของซาตานได้” ระหว่างที่ฟังพี่น้องหญิงคนนั้น ฉันก็รู้สึกประทับใจอย่างสุดซึ้ง นี่มันสถานการณ์ของฉันเลยไม่ใช่หรือ ฉันทำงานอย่างไม่เหนื่อยล้าหลายคืนวัน เพื่อหาเงินให้มากขึ้น หวังว่าวันหนึ่งฉันจะก้าวขึ้นนำผู้อื่น และได้รับการยอมรับ แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยความเหน็ดเหนื่อยและป่วยไข้ ยังคงรู้สึกว่างเปล่าและทุกข์ทรมานหลังจากทุ่มเทไป แต่ฉันไม่เคยสงสัยเลยว่าการใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้ผิดหรือไม่ เพราะว่ามันเป็นเช่นนี้มาหลายยุคสมัยแล้วไม่ใช่หรือ แล้วฉันจะเป็นข้อยกเว้นได้อย่างไร แต่ตอนนี้ฉันได้เข้าใจแล้วว่าความทุกข์ทรมานทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความเสื่อมทรามและการทรมานของซาตาน หากไม่ใช่เพราะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่เปิดเผยความจริงที่ว่าซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ฉันก็คงจะไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมดนี้ และยังคงถูกซาตานชักพาให้หลงผิด และทุกข์ทรมานในความเจ็บปวดต่อไป
จากนั้น ฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพิ่มเติมที่กล่าวว่า “เนื่องเพราะผู้คนไม่รู้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและอธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาจึงเผชิญหน้ากับชะตากรรมอย่างเยาะเย้ยท้าทายและด้วยท่าทีที่เป็นกบฏเสมอ และพวกเขาต้องการที่จะปลดเปลื้องสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้าและสิ่งต่างๆ ที่ชะตากรรมเตรียมไว้ให้ทิ้งไป โดยหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปการณ์แวดล้อม ณ ปัจจุบันและแก้ไขดัดแปลงชะตากรรมของพวกเขา แต่พวกเขาไม่มีวันสามารถทำสำเร็จ และถูกขัดขวางในทุกการขยับตัว การดิ้นรนที่ก่อตัวลึกอยู่ในวิญญาณของพวกเขานี้ก่อความเจ็บปวดล้ำลึกชนิดที่กัดเซาะเข้าไปถึงกระดูกของพวก และนี่ทำให้พวกเขาทิ้งขว้างชีวิตของตนไปในเวลาเดียวกัน อะไรหรือคือสาเหตุของความเจ็บปวดนี้? มันเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า หรือเพราะบุคคลหนึ่งเกิดมาโชคร้าย? เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกทั้งสองอย่าง โดยพื้นฐานแล้ว มันเกิดจากเส้นทางที่ผู้คนเลือกเดิน… ดังนั้น หากผู้คนไม่สามารถระลึกรู้อย่างแท้จริงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้สร้างทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์และเหนือเรื่องราวทั้งหมดของมนุษย์ หากพวกเขาไม่สามารถนบนอบอำนาจครอบครองของพระผู้สร้างได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะเป็นการยากที่พวกเขาจะไม่ถูกล่ามและถูกขับเคลื่อนโดยแนวความคิดที่ว่า ‘ชะตากรรมของคนเรานั้นอยู่ในมือของคนเราเอง’ มันย่อมจะยากที่พวกเขาจะสลัดหลุดจากความเจ็บปวดในการคร่ำเคร่งดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมและสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง และคงไม่จำเป็นต้องพูดว่า มันก็จะเป็นการลำบากสำหรับพวกเขาเช่นกันที่จะกลายมามีเสรีภาพและเป็นอิสระอย่างแท้จริง กลายมาเป็นผู้คนที่นมัสการพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) ในขณะที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า น้ำตาก็ไหลอาบใบหน้าฉัน และประสบการณ์ที่ผ่านมาก็เล่นซ้ำอย่างแจ่มชัดในหัวของฉัน เพื่อให้ไม่ถูกดูถูก ฉันจึงขบคิดอย่างหนักและพยายามอย่างมากเพื่อหาเงิน โดยเชื่อว่าด้วยความพากเพียรและการทำงานหนักเพียงอย่างเดียว ฉันจะสามารถเปลี่ยนโชคชะตาของฉันได้ด้วยมือของตัวเอง ทุกครั้งที่ฉันล้มเหลว ฉันก็จะยึดมั่นในความคิดสู้ไม่ถอยนี้ โดยคิดว่าหากคนอื่นที่มีสมองและสองมือสามารถร่ำรวยได้ ฉันก็สามารถร่ำรวยได้เช่นกันถ้าพยายามอย่างหนัก ฉันมีสมองและสองมือของตัวเอง และไม่ได้ฉลาดน้อยไปกว่าพวกเขา ฉันคิดว่าความล้มเหลวในอดีตของฉันเกิดจากการขาดประสบการณ์หรือไม่ได้มีโอกาสที่เหมาะสม ฉันเคยคิดว่าตรรกะวิบัติอย่าง “คนเราต้องสู้ทนความทุกข์ยากอันใหญ่หลวงที่สุดจึงจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” และ “ชะตาชีวิตเราลิขิตเอง” ว่าเป็นคำพูดที่ชาญฉลาด และไม่ว่าฉันจะล้มเหลวกี่ครั้ง ฉันก็ต้องสู้กับชะตากรรมของตัวเองอย่างไม่ย่อท้อด้วยจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ โดยเชื่อว่าการทำงานหนักจะเปลี่ยนโชคชะตาได้ และพยายามอย่างไม่ย่อท้อที่จะเหนือกว่าคนอื่น สิ่งนี้ทำให้ฉันป่วยเป็นโรคมากมาย และถึงขนาดพรากชีวิตของสามีของฉันไป ทั้งหมดนี้เพราะความเสื่อมทรามและการทรมานของซาตาน! ในอดีต ฉันมักจะโทษชะตากรรมว่าไม่เป็นธรรมกับฉัน แต่ตอนนี้ฉันตระหนักได้ว่า ว่าไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้าปฏิบัติต่อฉันอย่างไร้เมตตาหรือว่าชะตากรรมของฉันเลวร้าย แต่เป็นเพราะการเลือกเส้นทางและวิถีชีวิตของฉันไม่ถูกต้อง ฉันไม่ตระหนักถึงอธิปไตยของพระเจ้า และไม่สามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ได้ ฉันอยากเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันและโชคชะตาด้วยมือของตัวเองมาตลอด เพื่อเงินทอง ชื่อเสียง และผลประโยชน์ ฉันได้ดิ้นรนและทุกข์ทรมานมานานสิบกว่าปี เพิ่งมารู้ตัวตอนนี้เองว่า ความทุกข์ทั้งหมดนี้ เกิดจากการถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและทรมาน เนื่องจากการที่ฉันไม่รู้ความจริง ตั้งแต่นั้นมา เมื่อใดก็ตามที่ฉันมีเวลา ฉันจะอ่านพระวจนะของพระเจ้า กระตือรือร้นที่จะเข้าใจความจริงมากขึ้นอยู่เสมอ
วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่สำคัญว่าอุดมคติของมนุษย์จะสูงส่งเพียงใด ไม่สำคัญว่าความอยากได้อยากมีของมนุษย์จะสอดคล้องกับความเป็นจริงเพียงใด หรือสิ่งเหล่านั้นจะถูกต้องเหมาะสมเพียงใด ทั้งหมดที่มนุษย์ต้องการจะสัมฤทธิ์ผล ทั้งหมดที่มนุษย์แสวงหา เชื่อมโยงกับคำสองคำอย่างแยกกันไม่ออก คำสองคำนี้สำคัญยิ่งชีพต่อชีวิตของทุกคน และคำสองคำนี้เป็นสิ่งที่ซาตานตั้งใจที่จะปลูกฝังในมนุษย์ คำสองคำนี้คืออะไรนะหรือ? คำสองคำนี้ก็คือ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ผลตอบแทน’ ซาตานใช้วิธีการชนิดที่อ่อนโยนมาก วิธีการซึ่งเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน ซึ่งไม่แตกต่างกันทางความคิดเลยแม้แต่น้อย มันอาศัยวิธีการนี้ทำให้ผู้คนยอมรับหนทางแห่งการดำรงชีวิตของมัน กฎเกณฑ์ในการดำรงชีวิตของมันโดยไม่รู้ตัว และทำให้ผู้คนตั้งเป้าหมายในชีวิตและทิศทางในชีวิตของพวกเขา และพวกเขายังเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงในชีวิตโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย ไม่สำคัญว่าความมักใหญ่ใฝ่สูงในชีวิตเหล่านี้อาจดูโอ่อ่าผ่าเผยเพียงใด มันถูกเชื่อมโยงกับ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ผลตอบแทน’ อย่างแยกกันไม่ออก ทุกสิ่งทุกอย่างที่บุคคลที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียงคนใดก็ตาม—ในข้อเท็จจริงนั้นก็คือผู้คนทั้งหมด—ดำเนินรอยในชีวิต มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสองคำนี้เท่านั้นคือ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ผลตอบแทน’ ผู้คนคิดว่าทันทีที่พวกเขามีชื่อเสียงและผลตอบแทน พวกเขาก็ย่อมสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เพื่อให้ได้ชื่นชมสถานะอันสูงส่งและความมั่งคั่งอันใหญ่หลวง และเพื่อชื่นชมชีวิต พวกเขาคิดว่าชื่อเสียงและผลตอบแทนคือต้นทุนอย่างหนึ่งที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตแห่งการแสวงหาความยินดีและความชื่นชมยินดีแบบมัวเมาของเนื้อหนัง เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทนซึ่งมวลมนุษย์ละโมบยิ่งนัก ผู้คนจึงมอบร่างกาย จิตใจของพวกเขา ทั้งหมดที่พวกเขามี อนาคตของพวกเขาและโชคชะตาของพวกเขาให้ซาตานอย่างเต็มใจ แม้ไม่รู้ตัวก็ตาม พวกเขาทำเช่นนั้นด้วยใจจริงและโดยที่ไม่มีความลังเลแม้แต่อึดใจ ไม่รู้เท่าทันอยู่ร่ำไปถึงความจำเป็นที่จะต้องเอาทั้งหมดที่พวกเขาได้มอบไปแล้วกลับคืนมา ผู้คนสามารถรักษาการควบคุมตัวเองได้หรือไม่ในเมื่อพวกเขาได้หลบภัยอยู่ในซาตานในลักษณะนี้และกลายเป็นจงรักภักดีต่อมันแล้ว? แน่นอนว่าไม่ พวกเขาถูกซาตานควบคุมอย่างสมบูรณ์และอย่างถึงที่สุด พวกเขาได้จมดิ่งลงในปลักตมอย่างสมบูรณ์และอย่างถึงที่สุด และไร้ความสามารถที่จะปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระได้” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) เมื่อทบทวนพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่า เงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์เป็นวิธีที่ซาตานใช้ทำให้คนเราเสื่อมทราม ซาตานใช้อิทธิพลจากสังคมและการเลี้ยงดูในครอบครัว เพื่อปลูกฝังความเชื่อผิดๆ มากมายในตัวฉัน เช่น “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” “มุ่งมั่นที่จะโดดเด่นและเป็นเลิศ” และ “เงินต้องมาก่อน” การเติบโตมาอย่างยากจนและถูกเลือกปฏิบัติ ทำให้ฉันรับเอาทัศนคติเหล่านี้มาได้ง่าย เชื่อว่าถ้ามีเงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์ ฉันจะได้รับการยกย่องและเคารพนับถือ จะสามารถพูดด้วยความมั่นใจ และใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติและมีคุณค่า เพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงและผลประโยชน์ฉันครุ่นคิดอย่างหนักเพื่อหาทางทำธุรกิจทำงานทั้งที่ป่วย และแม้แต่ทิ้งลูกชายวัยหนึ่งขวบไว้ข้างหลัง เพื่อเดินทางหลายพันกิโลเมตรเพื่อไปเรียนเอาทักษะ เพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ แม้จะยุ่งจนไม่มีเวลากินข้าว และเวียนหัวจนเป็นลมเพราะความหิว ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ ฉันไม่เคยลังเลที่จะเสียสละ สามีของฉัน ซึ่งมีแรงขับดันจากความปรารถนาเดียวกัน ไม่ยอมปล่อยธุรกิจไป เลือกที่จะกินยาแก้ปวดแทนที่จะไปหาหมอ ในที่สุดเขาก็รวย แต่ต้องแลกด้วยชีวิตของเขา ความทุกข์ทรมานทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดจากการไล่ตามเงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์หรอกหรือ? โดยที่ไม่เข้าใจความจริงและไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ ฉันเข้าใจผิดว่าคำสอนผิดๆ และตรรกะวิบัติที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามเป็นกฎแห่งการอยู่รอดและเป้าหมายชีวิต ฉันโง่เขลาและตาบอดจริงๆ! เมื่อเข้าใจสิ่งนี้ ฉันจึงตัดสินใจทุ่มเทตัวเองเพื่อเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง แทนที่จะไล่ตามเงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์เหมือนที่เคยทำในอดีต ทุกวันฉันใช้เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นและมีส่วนร่วมในสามัคคีธรรมอย่างแข็งขัน สามเดือนต่อมา ฉันได้รับหน้าที่ในคริสตจักรในการให้น้ำผู้เชื่อใหม่
ญาติๆ ของฉันที่สังเกตเห็นว่าฉันหยุดทำธุรกิจเริ่มแสดงความกังวล พวกเขาบอกว่าฉันมีลูกเล็กและมีค่าใช้จ่ายในอนาคตมากมาย ฉันควรทำธุรกิจอาหารเช้าต่อไป เจ้าของบ้านก็โทรมาหาฉัน บอกว่าหลายคนชอบอาหารของเรา และหวังว่าฉันจะเปิดร้านอีกครั้ง และเขากับครอบครัวจะช่วยฉันถ้าฉันทำคนเดียวไม่ไหว คำพูดของพวกเขาทำให้ฉันคิดขึ้นมา “ก็จริงนะ ลูกสองคนยังเรียนอยู่ เงินเดือนฉันแทบไม่พอใช้จ่ายพื้นฐาน ถ้าฉันไม่หาเงินเพิ่ม ฉันกับลูกก็จะยังโดนดูถูกต่อไป ธุรกิจอาหารเช้าสามารถทำเงินได้วันละหลายพันหยวน เป็นเรื่องยากที่จะปล่อยไป ฉันอาจจ้างคนมาช่วยและเริ่มธุรกิจอีกครั้งดีไหม?” ฉันเริ่มวางแผนและพิจารณาตัวเลือกนี้ อย่างไรก็ตาม ฉันรู้ดีว่าการเปิดร้านอาหารเช้าอีกครั้งจะต้องใช้ความพยายามมาก ทำให้ฉันมีเวลาเหลือน้อยที่จะทำหน้าที่ในคริสตจักร การที่มั่นใจได้ว่าจะได้เข้าร่วมการสามัคคีธรรมนั้นดีพอแล้วสำหรับฉัน การทำธุรกิจต้องใช้ความเอาใจใส่จากฉันตลอดเวลา จึงยากที่จะมุ่งเน้นการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง และฉันคงจะสูญเสียชีวิตฝ่ายวิญญาณไปอย่างแน่นอน ฉันรู้สึกสับสนและขัดแย้ง นอนไม่หลับหลายคืนเพราะเรื่องนี้ วันหนึ่ง ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้คนส่วนใหญ่มีความปรารถนาดังต่อไปนี้คือ ทำงานน้อย ได้เงินมาก ไม่ต้องกรำงานตากแดดตากฝน แต่งกายดี เรืองรองรุ่งโรจน์ไปทุกแห่งหน ตระหง่านง้ำเหนือคนอื่น และนำเกียรติมาสู่บรรพบุรุษของพวกเขา ผู้คนหวังที่จะมีความเพียบพร้อม แต่เมื่อพวกเขาเหยียบย่างก้าวแรกในการเดินทางของชีวิตพวกเขา พวกเขาจึงค่อยๆ มาตระหนักว่า โชคชะตาของมนุษย์นั้นไม่สมประกอบเพียงใด และเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจับความเข้าใจได้อย่างแท้จริงในข้อเท็จจริงที่ว่า แม้คนเราสามารถวางแผนการอันอาจหาญสำหรับอนาคตของคนเรา และแม้คนเราอาจเก็บงำความเพ้อฝันอันบ้าบิ่นต่างๆ เอาไว้ แต่ไม่มีใครมีความสามารถหรือพลังอำนาจที่จะทำให้ความฝันของพวกเขาเองเป็นจริงขึ้นมา และไม่มีใครอยู่ในฐานะที่จะควบคุมอนาคตของตนเองได้ จะมีระยะห่างอยู่เสมอระหว่างความฝันของคนเรากับความเป็นจริงต่างๆ ที่คนเราต้องเผชิญ สิ่งต่างๆ ไม่เคยเป็นดั่งที่คนเราต้องการให้พวกมันเป็น และเมื่อเผชิญกับความเป็นจริงต่างๆ ดังกล่าว ผู้คนก็ไม่มีวันที่จะสามารถสัมฤทธิ์ความพึงพอใจหรือความสุขสมใจได้เลย ผู้คนบางคนจะพยายามทุกทางที่จินตนาการได้ จะใช้ความอุตสาหะใหญ่หลวงและการพลีอุทิศที่ยิ่งใหญ่เพื่อประโยชน์ของชีวิตความเป็นอยู่และอนาคตของพวกเขา โดยขวนขวายที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้พวกเขาสามารถทำให้ความฝันและความอยากได้อยากมีของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมาด้วยวิถีทางแห่งการทำงานหนักของพวกเขาเอง พวกเขาก็ไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้ และไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างหัวเด็ดตีนขาดเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีวันไปได้เกินกว่าสิ่งที่โชคชะตาได้จัดสรรไว้ให้พวกเขา ไม่ว่าความสามารถ เชาวน์ปัญญา และพลังใจมีความแตกต่างกันอย่างไร ผู้คนทั้งหมดล้วนเสมอภาคกันเมื่ออยู่ต่อหน้าชะตากรรมซึ่งไม่แยกความต่างระหว่างคนยิ่งใหญ่กับคนตัวเล็ก คนสูงส่งกับคนต่ำต้อย คนที่ได้รับการยกย่องกับคนต่ำศักดิ์ อาชีพที่คนเราเสาะหา สิ่งที่คนเราทำเพื่อเลี้ยงชีพ และความอุดมสมบูรณ์ในโภคทรัพย์ที่คนเราสั่งสมได้ในชีวิตไม่ได้ถูกชี้ขาดโดยบิดามารดาของคนเรา พรสวรรค์ของคนเรา ความพยายามของคนเรา หรือความทะเยอทะยานของคนเรา แต่ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วโดยพระผู้สร้าง” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) “หากใครบางคนมีท่าทีที่เป็นบวกต่ออธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ของพระเจ้าแล้วไซร้ เช่นนั้นเมื่อพวกเขาย้อนมองการเดินทางของตน เมื่อพวกเขามีประสบการณ์กับอธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาย่อมอยากอย่างจริงแท้มากขึ้นที่จะนบนอบทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมไว้ และจะมีความตั้งใจแน่วแน่และมีความเชื่อที่จะยอมให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงชะตากรรมของตนและไม่กบฏต่อพระเจ้าอีกต่อไป ด้วยความที่คนเรามองเห็นว่า เมื่อคนเราไม่จับใจความเกี่ยวกับชะตากรรม เมื่อคนเราไม่เข้าใจอธิปไตยของพระเจ้า เมื่อคนเราคลำทางไปข้างหน้าอย่างดื้อรั้น พยุงสังขารเดินโซเซฝ่าม่านหมอก การเดินทางนั้นย่อมยากเกินไป รวดร้าวหัวใจเกินไป ดังนั้นเมื่อคนเราระลึกรู้อธิปไตยของพระเจ้าเหนือชะตากรรมมนุษย์ คนที่ฉลาดย่อมเลือกที่จะรู้จักและยอมรับมัน อำลาวันเวลาอันปวดร้าวเมื่อตอนที่พวกเขาได้พยายามจะสร้างชีวิตที่ดีด้วยสองมือของพวกเขาเอง และหยุดดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมและไล่ตามเสาะหาสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ‘เป้าหมายชีวิต’ ในหนทางของพวกเขาเอง เมื่อคนเราไม่มีพระเจ้า เมื่อคนเรามองไม่เห็นพระองค์ เมื่อคนเราไม่สามารถระลึกรู้อย่างชัดเจนถึงอธิปไตยของพระเจ้า ทุกวันก็ย่อมไร้ความหมาย ไร้คุณค่า น่าเวทนา ไม่ว่าคนเราจะอยู่แห่งหนใด งานการของคนเราจะเป็นอะไร วิธีการดำเนินชีวิตของคนเราและการไล่ตามเสาะหาเป้าหมายของคนเราไม่ได้นำอะไรมาให้คนเราเลยนอกจากหัวใจที่สลายอย่างไม่รู้จบและความทุกข์ทนที่ไม่มีการบรรเทา จนกระทั่งคนเราไม่สามารถทนมองย้อนกลับไปในอดีตของคนเราได้” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) การอ่านพระวจนะของพระเจ้า ทำให้ฉันร้องไห้ออกมา เมื่อย้อนคิดถึงวันที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ฉันดิ้นรนสู้กับชะตากรรม ก่อนที่จะรู้จักพระเจ้า ฉันตระหนักว่าความทุกข์ทรมานของฉันเกิดจากการที่ไม่รู้จักอธิปไตยของพระเจ้า และการฝืนชะตากรรมด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ความทรมานจากการที่ไม่สามารถบรรลุสิ่งที่ต้องการยังคงสดใหม่ในความทรงจำ คนอื่นสามารถทำเงินได้หลายล้านจากธุรกิจเดียวกัน ในขณะที่ฉันกลับจบลงด้วยมือเปล่า แถมยังขาดทุนหนักอีกด้วย สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เงินที่คนเราจะหาได้มากน้อยแค่ไหน และจะรวยหรือจน ล้วนถูกกำหนดไว้โดยพระเจ้า มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถบรรลุได้ด้วยเพียงแค่ความมานะพยายามของใครคนใด ในโลกปัจจุบันนี้ ภัยพิบัติรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าฉันให้ความสำคัญกับการหาเงิน แสวงหาชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ยอมทิ้งโอกาสในการไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการช่วยให้รอด จะไม่เป็นการโง่เขลาและการไม่รู้ความหรอกหรือ? ต่อให้ธุรกิจอาหารเช้าทำเงินได้วันละหลายพันหยวน แต่ความว่างเปล่าและความทุกข์ทรมานจากการห่างไกลพระเจ้า ไม่สามารถชดเชยได้ด้วยเงิน ตอนนี้ฉันอาจจะไม่ร่ำรวย แต่ฉันยังสามารถใช้ชีวิตปกติได้ ที่สำคัญกว่านั้น ฉันได้เริ่มเข้าใจความจริงบางอย่างและความหมายของชีวิต ฉันยังทำหน้าที่ในคริสตจักรได้ด้วย ซึ่งนำความสงบและความสุขมาให้ฉัน ด้วยความตระหนักนี้ ฉันจึงตัดสินใจทิ้งธุรกิจและมุ่งเน้นไปที่หน้าที่ของฉัน ฉันขายเครื่องครัวในร้านให้คนอื่นในราคาถูก
หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมที่ว่า “ดังนั้น หากผู้คนไม่สามารถระลึกรู้อย่างแท้จริงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้สร้างทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์และเหนือเรื่องราวทั้งหมดของมนุษย์ หากพวกเขาไม่สามารถนบนอบอำนาจครอบครองของพระผู้สร้างได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะเป็นการยากที่พวกเขาจะไม่ถูกล่ามและถูกขับเคลื่อนโดยแนวความคิดที่ว่า ‘ชะตากรรมของคนเรานั้นอยู่ในมือของคนเราเอง’ มันย่อมจะยากที่พวกเขาจะสลัดหลุดจากความเจ็บปวดในการคร่ำเคร่งดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมและสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง และคงไม่จำเป็นต้องพูดว่า มันก็จะเป็นการลำบากสำหรับพวกเขาเช่นกันที่จะกลายมามีเสรีภาพและเป็นอิสระอย่างแท้จริง กลายมาเป็นผู้คนที่นมัสการพระเจ้า แต่มีหนทางที่จะทำให้คนเราเป็นอิสระจากสภาวะนี้อยู่หนทางหนึ่งซึ่งเรียบง่ายยิ่งนัก นั่นก็คือการอำลาวิถีชีวิตแต่เก่าก่อนของคนเรา การกล่าวคำอำลาเป้าหมายชีวิตก่อนหน้านี้ของคนเรา การสรุปและชำแหละรูปแบบการใช้ชีวิต มุมมองในชีวิต การไล่ตามไขว่คว้า ความอยากได้อยากมี และอุดมคติต่างๆ ก่อนหน้านี้ของคนเรา แล้วจากนั้นก็นำสิ่งเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับเจตนารมณ์และข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ ดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และข้อกำหนดของพระเจ้า ดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่มอบคุณค่าที่ถูกต้องของชีวิต นำทางคนเราไปสู่ความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับความจริง และอำนวยให้คนเรามีชีวิตอยู่กับสภาวะความเป็นมนุษย์และสภาพเสมือนมนุษย์คนหนึ่ง เมื่อเจ้ายังคงเจาะลึกลงไปซ้ำๆ และชำแหละเป้าหมายอันหลากหลายที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาในชีวิตและหนทางการดำเนินชีวิตนับหมื่นแสนของพวกเขาอย่างระมัดระวัง เจ้าจะไม่พบสักอย่างเดียวที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระผู้สร้างซึ่งพระองค์ใช้ในการสร้างมนุษยชาติขึ้นมา สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดดึงผู้คนให้ห่างออกจากอธิปไตยและการดูแลเอาใจใส่ของพระผู้สร้าง สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดคือกับดักที่เป็นเหตุให้ผู้คนกลายเป็นคนที่ต่ำช้าและนำทางพวกเขาไปสู่นรก หลังจากที่เจ้าตระหนักรู้การนี้ กิจของเจ้าก็คือการวางมุมมองเก่าของชีวิตลง อยู่ให้ห่างจากกับดักนานา ยอมให้พระเจ้าเข้ากำกับชีวิตของเจ้าและทำการจัดการเตรียมการสำหรับเจ้า นี่คือการพยายามที่จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการทรงนำของพระเจ้าเท่านั้น เป็นการมีชีวิตโดยปราศจากการเลือกของปัจเจกบุคคล และกลายเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งนมัสการพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) “บรรดาผู้ที่พยายามทำความรู้จักพระเจ้านั้นสามารถวางความอยากของตัวเองลง มีความเต็มใจที่จะนบนอบอธิปไตยของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพวกเขาพยายามที่จะเป็นผู้คนประเภทที่มีความนบนอบต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้าและสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า ผู้คนดังกล่าวมีชีวิตอยู่ในความสว่างและในท่ามกลางพรของพระเจ้า และแน่นอนว่าพวกเขาจะได้รับการชมเชยจากพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) “เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย หากเจ้าไม่นมัสการพระเจ้า แต่กลับใช้ชีวิตภายในเนื้อหนังอันโสมมของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้เป็นเพียงสัตว์ป่าในคราบมนุษย์หรอกหรือ? ในเมื่อเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง! เจ้าควรยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้และใช้ชีวิตที่มีความหมายอย่างยินดีและอย่างมั่นใจดังเช่นโยบและเปโตร ในโลกนี้ มนุษย์สวมใส่เสื้อผ้าของมาร กินอาหารจากมาร และทำงานและรับใช้ภายใต้การบงการของมาร ถูกเหยียบย่ำอยู่ในความโสมมของมันอย่างสิ้นเชิง หากเจ้าไม่จับความเข้าใจในความหมายของชีวิตหรือได้มาซึ่งวิถีทางที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วจะมีนัยสำคัญอะไรในการใช้ชีวิตเยี่ยงนี้? พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่แสวงหาการปรับปรุงให้ดีขึ้น พวกเจ้าคือผู้คนที่ผงาดขึ้นมาในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง เป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสเรียกว่าชอบธรรม นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายที่สุดหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2)) พระวจนะของพระเจ้าเผยให้ฉันเห็นว่า อะไรคือการไล่ตามเสาะหาที่มีความหมายและมีคุณค่าอย่างแท้จริงในชีวิต ตอนนี้ฉันโชคดีที่ได้พบกับงานของพระผู้สร้างเพื่อช่วยให้มนุษย์รอด ซึ่งเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต และการได้ยินพระสุรเสียงของพระผู้สร้างเป็นสิ่งที่หลายคนเฝ้าฝันถึง ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจที่จะไม่ไล่ตามเงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์อีกต่อไป แต่นบนอบอธิปไตยของพระเจ้าและใช้ชีวิตตามข้อกำหนดของพระองค์ ฉันนึกถึงเปโตร เมื่อได้ยินเสียงเรียกขององค์พระเยซูเจ้า เขาทิ้งอวนจับปลาโดยไม่ลังเลเพื่อติดตามพระองค์ และในที่สุดก็ได้เข้าใจ นบนอบ และรักพระเจ้า โยบก็สูญเสียทุกสิ่งแต่ยังคงสรรเสริญพระเจ้า เป็นคำพยานที่งดงามแก่พระเจ้าต่อหน้าซาตาน และในที่สุดก็ได้รับพระพรให้ได้เห็นการทรงปรากฏของพระเจ้า ตลอดประวัติศาสตร์ ธรรมิกชนหลายคนยอมทิ้งทุกสิ่ง แม้แต่ชีวิตของตัวเอง เพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่มีความหมายและมีคุณค่าที่สุด ด้วยตัวอย่างเหล่านี้ในใจ ฉันรู้ว่าฉันควรพอใจกับการมีเสื้อผ้าและอาหาร และทุ่มเทพลังงานมากขึ้นเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตัวเอง การแสวงหาที่จะรู้จักพระเจ้ามีคุณค่าที่สุด หลังจากที่ฉันทิ้งธุรกิจไปอย่างสมบูรณ์ นอกจากทำงานและทำหน้าที่แล้ว ฉันใช้เวลาที่เหลืออ่านพระวจนะของพระเจ้าและร้องเพลงนมัสการเพื่อสรรเสริญพระเจ้าพร้อมกับลูกๆ ทุกๆ วันฉันรู้สึกสงบและมั่นคง และมันก็แสนน่าอภิรมย์ ไม่กี่เดือนต่อมา ฉันก็หายจากโรคกระเพาะที่เป็นมานาน ซึ่งฉันรู้ว่าเป็นพระเมตตาของพระเจ้า ลูกๆ ของฉันเริ่มพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้นในการเรียนและกิจวัตรประจำวัน พวกเขาเชื่อฟังและเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างได้ดีขึ้นเป็นพิเศษ การได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉัน ฉันรู้สึกถึงความรู้แจ้งและการชี้นำของพระเจ้า ฉันค่อยๆ เข้าใจความจริงบางอย่าง ฉันเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นถึงมหิทธานุภาพและอธิปไตยของพระเจ้า ว่าซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอย่างไร และพระเจ้าช่วยให้มนุษย์รอดอย่างไร ฉันยังได้เรียนรู้ว่ามนุษย์ควรใช้ชีวิตอย่างไร และการแสวงหาใดที่มีความหมายและมีคุณค่าอย่างแท้จริง ความวุ่นวายในใจของฉันลดลงอย่างมาก ฉันรู้สึกขอบคุณอย่างลึกซึ้งสำหรับความรอดของพระเจ้า!