82. ความเจ็บปวดจากการโกหก

โดย หนีเฉียง เมียนมา

ในเดือนตุลาคม 2019 ผมยอมรับงานของพระองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย ในการนัดพบ ผมเห็นพี่ชายและน้องสาวสามารถแสดงสามัคคีธรรมจากประสบการณ์และความเข้าใจของพวกเขา พวกเขาสามารถเปิดเผยความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของพวกเขาโดยปราศจากความลังเล และผมอิจฉามาก ผมอยากเป็นคนซื่อสัตย์และกล้าเปิดเผยอย่างพวกเขา แต่เมื่อถึงเวลาจริง ผมไม่สามารถพูดตามความสัตย์จริงได้ ครั้งหนึ่ง พี่ชายและพี่สาวของผมถามผมว่า “คุณยังเด็ก ยังเป็นนักเรียนอยู่หรือเปล่า?” ความจริงผมไม่ได้เรียนมาระยะหนึ่งแล้ว และผมเป็นแค่คนทำอาหารและทำความสะอาดที่ร้านอาหาร แต่ผมกลัวว่าคนอื่นจะดูแคลนผม หากพวกเขารู้เรื่องนี้ ผมจึงบอกพวกเขาไปว่าผมยังเรียนอยู่ ตอนที่ผมพูดออกไป ผมไม่ได้คิดอะไรมาก และผมก็ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไป วันหนึ่ง ผมได้เห็นพระวจนะในวีดีโอคำพยาน นั่นทำให้ผมกลับมาทบทวนตัวเอง “พวกเจ้าควรที่จะรู้ว่าพระเจ้าโปรดบรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์  โดยเนื้อแท้แล้ว พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อ และดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าสามารถเชื่อถือไว้วางใจได้เสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การกระทำของพระองค์นั้นไร้ข้อผิดและมิอาจตั้งคำถามได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า เหตุใดพระเจ้าจึงชอบคนจำพวกที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยสมบูรณ์  ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆ เพียงเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน  กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ)  หลังจากอ่านพระวัจนะ ผมก็เข้าใจ ว่าพระองค์ชื่นชมคนซื่อสัตย์ คนซื่อสัตย์นั้นสามารถเปิดเผยต่อพระองค์ว่าพวกเขาชัดเจนในสิ่งที่พวกเขาทำและพูด และพวกเขาจะไม่พยายามหลอกลวงพระองค์หรือผู้อื่น แต่สำหรับผมแล้ว เวลามีใครมาถามผม “คุณยังเรียนอยู่หรือเปล่า?” ผมกลับไม่ยอมบอกความจริง ด้วยความกลัวว่าจะถูกดูถูก อย่าว่าแต่เป็นคนซื่อสัตย์ต่อพระพักตร์พระองค์ ผมไร้ความซื่อสัตย์โดยสิ้นเชิง ผมอยากบอกความจริงให้คนอื่นๆ ทราบ แต่ผมกลัวว่าพวกเขาจะล้อเลียนผม อีกทั้ง ในเวลาเดียวกัน การเก็บงำเรื่องนี้ไว้ทำให้ผมรู้สึกอัดอั้นมาก ผมจึงสวดอธิษฐานต่อพระองค์ ขอให้พระองค์ช่วยผมฝึกฝนตัวเองให้พูดแต่ความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ ในการนัดพบครั้งหลัง ผมเปิดใจเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของผม และเปิดเผยคำโกหกและการสร้างภาพของผม ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ดูถูกผม พวกเขายังส่งข้อความถึงผมว่าประสบการณ์ของผมเป็นเรื่องที่ดี นี่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเป็นคนซื่อสัตย์ของผมมากขึ้น ทั้งๆ ที่ได้ฝึกเป็นคนซื่อสัตย์และพูดความจริงในโอกาสนี้ ผมยังคงไม่ตระหนักรู้ถึงอุปนิสัยซาตานของผม และถ้าเป็นเรื่องที่ส่งผลกับชื่อเสียงและผลประโยชน์ของผม ผมยังอดไม่ได้ที่จะเปิดเผยอุปนิสัยเสแสร้งของผมเพื่อปิดบังตัวเอง

ต่อมาผมได้รับเลือกให้เป็นผู้ประกาศและรับผิดชอบงานของคริสตจักรสามแห่ง ระหว่างการนัดพบเพื่อนร่วมงาน หัวหน้ากลุ่มอยากทราบรายละเอียดว่าผู้มาใหม่ได้รับการให้น้ำในแต่ละคริสตจักรอย่างไร และทำไมผู้มาใหม่หลายคนจึงไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม ผมเริ่มอยู่ไม่สุข เพราะผมรู้เฉพาะความเป็นไปที่เกิดขึ้นในคริสตจักรแห่งเดียวเท่านั้น ส่วนอีกสองแห่งไม่รู้ ดังนั้นแล้วผมควรจะพูดอะไรดี?  ถ้าผมบอกความจริง ทุกคนจะคิดยังไงกับผม?  พวกเขาจะสงสัยไหมว่าผมจะเป็นผู้ประกาศได้หรือไม่ ถ้าผมไม่กล้าพูดความจริงออกมาตรงๆ?  หรือพวกเขาจะบอกว่าผมไม่ได้ทำงานจริง และผมไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้?  มันน่าละอายมากถ้าผมถูกย้ายหรือถูกปลด ผมอยากจะหนีไปให้พ้น แต่ถ้าผมเซ็นชื่อออกก่อนเวลา ทุกคนจะรู้ว่าผมกลัวถูกพวกเขาจับได้ว่าผมไม่ได้ทำงานจริง ผมจึง ไม่มีทางเลือกนอกจากอยู่ฟังต่อ ผู้ประกาศคนอื่นๆ กล่าวถึงงานในความรับผิดชอบของพวกเขา ผมรู้สึกกระวนกระวายและไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี เมื่อหัวหน้ากลุ่มเรียกชื่อผม ผมประหม่ามากและแสร้งไม่ได้ยินเขา “คุณพูดว่ายังไงนะครับ?” หัวหน้ากลุ่มกล่าว “เราเพิ่งพูดถึงการให้น้ำผู้มาใหม่ คุณอยากบอกอะไรเราเกี่ยวกับผู้มาใหม่ในการดูแลของคุณไหม?” ผมรู้สึกเหมือนหัวใจผมจะระเบิดออกจากหน้าอก ผมไม่มีทางเลือกนอกจากพูดถึงคริสตจักรที่ผมรู้ก่อน แต่ผมไม่อยากพูดถึงคริสตจักรอีกสองแห่งที่เหลือ อย่างไรก็ตาม ผมกลัวว่าทุกคนจะรู้ว่าผมไม่ได้ติดตามผล ผมจึงกัดฟันและโกหกออกไป “ผู้มาใหม่หลายคนในคริสตจักรแห่งที่สองไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม และเพราะการแพร่ระบาด พวกเราจึงติดต่อพวกเขาไม่ได้ ผมไม่แน่ใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในคริสตจักรแห่งที่สามเท่าไหร่ เพราะผมมัวแต่ง่วนกับการติดตามผลของคริสตจักรสองแห่งก่อนหน้ามาโดยตลอด” ผมรู้สึกเป็นทุกข์มากที่พูดแบบนี้ออกไป และผมกลัวทุกคนจะจับโกหกผมได้ ซึ่งมันน่าขายหน้ายิ่งกว่าเสียอีก ผมหายใจไม่ทั่วท้องตลอดการนัดพบ และทำได้เพียงถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากที่มันจบลง ผมตกใจมากที่หัวหน้ากลุ่มโทรหาผมและถามว่า “ในส่วนของผู้มาใหม่ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสมเพราะการแพร่ระบาด คุณได้สั่งให้ผู้ให้น้ำโทรฯ ไปตรวจสอบพวกเขาหรือยัง?” ผมถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินคำถามของหัวหน้ากลุ่ม ผมไม่รู้รายละเอียดของสถานการณ์ ถ้าผมพูดความจริง หัวหน้ากลุ่มก็จะรู้ว่าผมโกหกใช่ไหม?  แต่ผมก็บอกว่าผมไม่รู้ไม่ได้ ผมจึงโกหกต่อไป “ผมคุยกับพวกเขาเรื่องนี้แล้ว แต่ผู้มาใหม่บางคนไม่ยอมรับสายครับ” หัวหน้ากลุ่มจึงถามว่า “ผู้มาใหม่คนไหนล่ะ?” ผมคิดกับตัวเอง “ที่หัวหน้ากลุ่มถามซักไซ้ฉันแบบนี้ เพราะเขาจับโกหกฉันได้หรือเปล่า?” ผมตอบกลับอย่างลนลาน “ผมคิดว่ามีบางคนเพิ่งยอมรับงานของพระองค์” เมื่อเห็นว่าผมอธิบายไม่กระจ่าง หัวหน้ากลุ่มจึงพูดว่า “อืม ถ้าคุณทราบเมื่อไหร่ก็บอกผมนะ” เมื่อผมวางสาย ผมก็รู้สึกผิดอย่างหนัก ผมโกหกและหลอกลวงอีกแล้ว กลับมาคิดถึงเรื่องการนัดพบ ผู้ประกาศคนหนึ่งบอกว่าในสามคริสตจักรที่เขารับผิดชอบนั้น เขาไม่ได้ติดตามผลงานสักแห่งเลย เขาสามารถพูดความจริงได้ แล้วทำไมผมถึงพูดความจริงไม่ได้สักคำล่ะ?  การโกหก หลอกลวง และแสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้ไม่อาจปกปิดความจริงได้ พระองค์ทรงพิเคราะห์ทุกสิ่ง และไม่ช้าก็เร็ว ผมจะถูกเปิดโปงและเปิดเผย ดังนั้นจงสวดอฐิษฐานต่อพระองค์ “ข้าแต่พระองค์ ในการนัดพบวันนี้ เมื่อผู้นำกลุ่มสอบถามถึงเรื่องงาน ลูกไม่ได้บอกความจริงและกล่าวโกหกออกไป ลูกกลัวทุกคนจะดูถูกลูก ถ้าพวกเขารู้ว่าลูกละเลยต่องาน พระองค์ โปรดชี้แนะให้ลูกรู้จักตัวเอง และละทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของลูก”

ต่อมาผมอ่านพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในชีวิตประจำวันของพวกเขา ผู้คนพูดสิ่งทั้งหลาย มากมายที่ไร้จุดหมาย ไม่แท้จริง ไม่รู้เท่าทัน โง่เง่า และเพื่อสร้างความชอบธรรม  โดยรากเหง้านั้น พวกเขาพูดสิ่งเหล่านี้เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของความภาคภูมิใจของพวกเขาเอง เพื่อสนองความถือดีของพวกเขาเอง  ถ้อยคำโป้ปดมดเท็จเหล่านี้ของพวกเขาคือการพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาออกมา  การแก้ไขความเสื่อมทรามนี้จะชำระหัวใจของเจ้าให้สะอาด และด้วยการนี้จึงทำให้เจ้าปราศจากราคีมากขึ้นทุกทีและซื่อสัตย์มากขึ้นทุกที  ในข้อเท็จจริงนั้น ผู้คนรู้กันทุกคนว่าเหตุใดตนจึงพูดโกหก นั่นคือ เพื่อผลประโยชน์ หน้าตา ความถือดี และสถานะของพวกเขา  และในการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น พวกเขาก็ย่อมทำเกินตัวไปมาก  ผลลัพธ์ก็คือคำโกหกของพวกเขาถูกเปิดโปงและถูกผู้อื่นมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ส่งผลให้เสียหน้า เสียบุคลิก และเสียศักดิ์ศรีแทน  นี่คือผลของการโกหกมากเกินไป  เมื่อเจ้าโกหกมากเกินไป ทุกคำที่เจ้าพูดย่อมปนเปื้อน  ทั้งหมดนั้นเทียมเท็จ และไม่มีคำใดจริงหรือสามารถเป็นข้อเท็จจริงได้  แม้ว่าเจ้าอาจไม่เสียหน้าในยามที่เจ้าโกหก แต่เจ้าย่อมรู้สึกเสื่อมเสียอยู่ภายในแล้ว  เจ้าจะรู้สึกว่าถูกมโนธรรมของเจ้าติเตียน และเจ้าจะดูหมิ่นและดูแคลนตนเอง  ‘ทำไมฉันจึงใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนาปานนี้?  การพูดสิ่งที่ซื่อสัตย์สักอย่างหนึ่งนี่ยากขนาดนั้นจริงหรือ?  ฉันจำเป็นต้องพูดคำโกหกเหล่านี้เพียงเพื่อหน้าตากระนั้นหรือ?  ทำไมการใช้ชีวิตในหนทางนี้ถึงน่าเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้?’  เจ้าสามารถใช้ชีวิตในหนทางที่ไม่เหน็ดเหนื่อย  หากเจ้าปฏิบัติตนเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างง่ายดายและเป็นอิสระ แต่เมื่อเจ้าเลือกที่จะโกหกเพื่อปกป้องหน้าตาและความถือดีของตน ชีวิตของเจ้าก็ย่อมเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดมาก ซึ่งหมายความว่านี่คือความเจ็บปวดที่เกิดจากน้ำมือของตนเอง  อะไรคือหน้าตาที่เจ้าได้รับจากการพูดโกหก?  นั่นคือบางสิ่งซึ่งว่างเปล่า บางสิ่งซึ่งไร้ค่าโดยสิ้นเชิง  ในยามที่เจ้าโกหก เจ้ากำลังทรยศบุคลิกลักษณะและศักดิ์ศรีของเจ้าเอง  คำโกหกเหล่านี้ทำให้ผู้คนต้องสูญเสียศักดิ์ศรีของพวกเขา ทำให้ผู้คนต้องสูญเสียบุคลิกลักษณะของพวกเขา และพระเจ้าทรงพบว่าพวกเขาไม่น่ายินดีและน่าชัง  คำโกหกเหล่านี้คุ้มค่าหรือไม่?  ไม่เลย  นี่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่?  ไม่ใช่  คนที่โกหกบ่อยๆ มีชีวิตที่ติดอยู่ในกับดักของอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนและอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของซาตาน หาได้อยู่ในความสว่างหรือเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่  บ่อยครั้งที่เจ้าจำเป็นต้องคิดหาวิธีโกหก และหลังจากที่เจ้าโกหก เจ้าก็จำเป็นต้องคิดหาวิธีที่จะปกปิดคำโกหกนั้น และหากเจ้าไม่ปกปิดให้ดีพอ คำโกหกก็จะเผยตัวออกมา ดังนั้นเจ้าก็จำเป็นต้องเค้นสมองของเจ้าเพื่อหาที่กำบัง  นี่คือหนทางดำรงชีวิตที่น่าเหน็ดเหนื่อยมิใช่หรือ?  มันน่าเหน็ดเหนื่อยเกินไป  แล้วคุ้มค่าหรือไม่?  ไม่เลย  การที่เจ้าเค้นสมองของตนเพื่อโกหกและปกปิดคำโกหกนั้นเพียงเพื่อความถือดีและสถานะเท่านั้นจะมีประโยชน์อะไร?  ในท้ายที่สุด เจ้าจะคิดเรื่องนี้และพูดกับตนเองว่า ‘ทำไมฉันถึงทำให้ตัวเองพบเจอเรื่องนี้?  การโกหกและปกปิดเอาไว้น่าเหน็ดเหนื่อยเกินไป  การทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ย่อมจะไม่ได้ผล  การเป็นคนซื่อสัตย์ง่ายกว่า’  เจ้าต้องการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่เจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากหน้าตา ความถือดี และผลประโยชน์ของเจ้า  เจ้าทำได้เพียงโกหกและใช้คำโกหกมาปกป้องสิ่งเหล่านี้เท่านั้น…เจ้าอาจคิดว่าสามารถใช้คำโกหกปกป้องชื่อเสียง สถานะ และความถือดี ที่เจ้าอยากได้อยากมีได้ แต่นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่  คำโกหกไม่เพียงปกป้องความถือดีและศักดิ์ศรีส่วนตัวของเจ้าไม่ได้เท่านั้น แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือทำให้เจ้าพลาดโอกาสที่จะปฏิบัติความจริงและเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์อีกด้วย  ต่อให้เจ้าปกป้องความมีหน้ามีตาและความถือดีของเจ้าไว้ได้ในเวลานั้น แต่สิ่งที่เจ้าสูญเสียคือความจริง และเจ้าก็ทรยศพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าเจ้าสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอดจากพระเจ้าและโอกาสที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมอย่างสิ้นเชิง  นี่คือการสูญเสียอันใหญ่หลวงที่สุดและเป็นความเสียใจชั่วนิรันดร์  ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงไม่เคยมองเห็นการนี้อย่างชัดเจน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ด้วยการซื่อสัตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ที่แท้จริง)  พระวจนะเปิดเผยสถานะของผม ผู้นำอยากรู้เกี่ยวกับการให้น้ำของคริสตจักรแต่ละแห่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องง่าย และคงจะดีถ้าพูดความจริง แต่สำหรับผม ไม่มีอะไรยากไปกว่านี้แล้ว ผมเต็มไปด้วยความวิตก และกลัวว่าเมื่อผู้นำและผู้ประกาศคนอื่นๆ รู้ความจริง พวกเขาจะดูถูกผม บอกว่าผมไม่ได้ทำงานจริง และแม้แต่เรื่องเล็กแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ และถ้าผมถูกปลด ก็จะเป็นที่ขายหน้า เพื่อปกป้องชื่อเสียง สถานะ และความประทับใจที่ผู้อื่นมีต่อผม ผมโกหกว่าตรวจสอบคริสตจักรสองแห่งไปแล้ว ทั้งที่ผมรู้ความเป็นไปแน่ชัดแค่แห่งเดียว ผมถึงกับลงรายละเอียดคริสตจักรแห่งที่สอง บอกว่าผู้มาใหม่ได้ได้รับการเกื้อหนุนอย่างเหมาะสมเนื่องจากโรคระบาด แบบนี้เรียกโกหกหน้าตายใช่ไหมครับ?  เมื่อผู้นำถามผมว่าเจ้าหน้าที่ให้น้ำโทรหาผู้มาใหม่หรือยัง ผมกลัวผู้นำจะจับได้ว่าผมเพิ่งโกหกออกไป ผมเลยแต่งเรื่องโกหกที่สองบังหน้า และใช้ข้ออ้างทำให้เขาไขว้เขว เพื่อปกป้องชื่อและสถานะของผม ผมโกหกซ้ำไปซ้ำมา ผมเป็นจอมเจ้าเล่ห์!  ผมนึกถึงบทสนทนาระหว่างพระเจ้ากับซาตานที่บันทึกในพระคัมภีร์ พระเจ้าตรัสถามซาตานว่าเจ้ามาจากไหน ซาตานทูลตอบว่า “จากไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก และจากเดินไปเรื่อยๆ บนนั้น” (โยบ 1:7)  ซาตานเจ้าเล่ห์มาก มันไม่ตอบคำถามพระเจ้าตรงๆ แต่พูดจาวกวนกลับกลอก เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกได้ว่าซาตานมาจากไหน ปากของมันกล่าวแต่คำเท็จและไม่เคยพูดความจริง และสิ่งที่มันพูดมีแต่ความคลุมเครือและไม่ชัดเจน การที่ผมโกหกหลอกลวงเช่นนี้ ผมก็ไม่ต่างจากซาตานสิครับ?  แม้ผมจะให้คำตอบเรื่องงานที่ผู้นำต้องการรู้ แต่มันเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง เมื่อได้ยินคำตอบของผม ผู้นำยังไม่รู้แน่ชัดว่าตกลงแล้วงานให้น้ำในความรับผิดชอบของผมเป็นอย่างไรกันแน่ และเขาตัดสินไม่ได้ ว่าผมติดตามงานจริงๆ ไหม ที่จริงแล้ว การโกหกหลอกลวงเช่นนี้ ช่วยรักษาชื่อเสียงและสถานะของผมได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่สิ่งที่ผมสูญเสียจริงๆ คือบุคลิก ศักดิ์ศรี และความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้อื่น ถ้าผมยังทำตัวแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็ว ทุกคนจะเห็นว่าผมไม่ใช่คนซื่อสัตย์และไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีใครเชื่อผมอีก ยิ่งกว่านั้น พระเจ้าจะหมดความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวผม ผมจะไม่สูญเสียตัวตนและศักดิ์ศรีโดยสมบูรณ์หรือ?  ผมช่างโง่เขลาจริงๆ ว่าไหมครับ?

ต่อมา ผมอ่านพระวัจนะของพระเจ้า: “การที่พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนซื่อสัตย์พิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเกลียดผู้ที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงอย่างแท้จริง และพระองค์ไม่โปรดผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  การที่พระเจ้าไม่โปรดผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงคือการไม่โปรดหนทางที่พวกเขาทำสิ่งต่างๆ อุปนิสัยของพวกเขา เหตุจูงใจของพวกเขา และวิธีการหลอกลวงของพวกเขา พระเจ้าไม่โปรดสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  หากผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงสามารถยอมรับความจริง ตระหนักรู้อุปนิสัยที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของตน และเต็มใจยอมรับความรอดจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดเช่นกัน เพราะพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกผู้คนอย่างเท่าเทียม และความจริงก็ปฏิบัติต่อทุกผู้คนอย่างเท่าเทียม  และดังนั้นหากพวกเราปรารถนาที่จะกลายเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรัก สิ่งแรกที่พวกเราต้องทำคือเปลี่ยนแปลงหลักธรรมของความเป็นตัวพวกเรา กล่าวคือ พวกเราไม่สามารถดำรงชีวิตตามปรัชญาของซาตานอีกต่อไป พวกเราไม่สามารถเอาตัวรอดด้วยคำโกหกและเล่ห์ลวงอีกต่อไป พวกเราต้องทิ้งคำโกหกทั้งหมดไว้เบื้องหลังและกลายเป็นคนซื่อสัตย์ และในหนทางนี้ ทรรศนะที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเราย่อมจะเปลี่ยนแปลง  ก่อนหน้านี้ผู้คนพึ่งพาคำโกหก การเสแสร้ง และการใช้เล่ห์กระเท่ห์เพื่อที่จะดำรงชีวิตท่ามกลางผู้คน และใช้ปรัชญาของซาตานเป็นพื้นฐานในการดำรงอยู่ เป็นชีวิตและรากฐานของการประพฤติตน  นี่คือบางสิ่งที่พระเจ้าทรงดูหมิ่น  ในท่ามกลางผู้ไม่เชื่อ หากเจ้ากล่าวอย่างตรงไปตรงมา พูดความจริง และซื่อสัตย์ เจ้าก็จะถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกตัดสินและปฏิเสธ ดังนั้นเจ้าจึงทำตามกระแสนิยมทางโลก ดำรงชีวิตตามปรัชญาของซาตาน มีทักษะในการโกหกมากขึ้นเรื่อยๆ และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมากขึ้นทุกที  เจ้ายังเรียนรู้ที่จะใช้วิถีทางที่เคลือบแฝงเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของเจ้าและปกป้องตัวเจ้าเองอีกด้วย  เจ้าเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในโลกของซาตาน และผลลัพธ์ก็คือ เจ้าจมลึกลงไปในบาปยิ่งขึ้นทุกที จนกระทั่งเจ้าไม่สามารถถอนตัวได้  สิ่งต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าเป็นไปในทางตรงกันข้ามโดยแท้  ยิ่งเจ้าโกหกและใช้เล่ห์เหลี่ยมมากเท่าใด ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะยิ่งเบื่อเจ้าและปฏิเสธเจ้ามากเท่านั้น  หากเจ้าไม่ยอมกลับใจและยังคงยึดติดกับปรัชญาและตรรกะของซาตาน และใช้แผนการที่สมคบคิดกันและกลอุบายอันซับซ้อนมาพรางตัวเจ้าเองและสร้างฉากบังหน้า เช่นนั้นแล้วก็มีโอกาสอย่างมากที่เจ้าจะถูกเปิดเผยและขับออกไป  นี่เป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถเจริญรุ่งเรืองในพระนิเวศของพระเจ้า และผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงย่อมจะถูกปฏิเสธและขับออกไปในที่สุด  ทั้งหมดนี้พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว  มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถมีส่วนในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ดังนั้นหากเจ้าไม่พยายามซื่อสัตย์ และหากเจ้าไม่มีประสบการณ์และไม่ปฏิบัติในทิศทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง หากเจ้าไม่เปิดโปงความอัปลักษณ์ของตัวเจ้าเอง และไม่แสดงให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์)  เมื่อนึกถึงพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ตระหนัก พระเจ้าไม่ทรงโปรดคนเจ้าเล่ห์ และพระองค์จะไม่ช่วยเหลือพวกนั้น เพราะคนพวกนั้นเป็นของซาตาน คนเจ้าเล่ห์ใช้อุบายและกลลวงในทุกสิ่งที่พวกเขาทำและพูดจาไม่ซื่อสัตย์ ทั้งหมดเพื่อปกป้องชื่อเสียง สถานะ และผลประโยชน์ของพวกเขา เจตนาที่คนเหล่านี้เก็บงำและวิธีการที่พวกเขาใช้ เป็นที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงต่อพระเจ้า ต่อให้ผมเชื่อในพระเจ้า ผมก็จะไม่ได้รับความจริงใดๆ และยังคงใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตานเช่นนี้ “ตัวใครย่อมตัวมัน” และ “ต้นไม้อยู่เพื่อเปลือกนอกฉันใด มนุษย์ย่อมอยู่เพื่อหน้าตาฉันนั้น” ปรัชญาซาตานเหล่านี้หยั่งรากลึกในใจผม ล่อลวงและทำให้ผมเสื่อมเสีย และทำให้ผมเลือกไล่ตามชื่อเสียงและสถานะ ผมคิดว่าคนเราควรอยู่เพื่อตัวเอง โดดเด่นเหนือผู้อื่น สร้างชื่อเสียงและกำไรให้ตัวเอง เป็นทางเดียวเท่านั้นที่บุคคลจะไม่ถูกเหยียดหยาม ผมเคยคิดว่าถ้าคนๆ หนึ่งพูดแต่ความจริงและไม่เคยโกหก คนๆ นั้นคือคนโง่และไม่เอาไหน เพราะอย่างนี้ ผมจึงหลอกลวงเสมอ และถักทอเรื่องโกหกเพื่อผลประโยชน์ของตน กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายและไร้ความเป็นมนุษย์ขึ้นทุกที ผมมองว่าชื่อเสียงและสถานะสำคัญกว่าความจริง และเต็มใจโกหกและต่อต้านความจริงเพื่อปกป้องชื่อเสียงและสถานะของผม ซาตานเป็นจอมโกหก การที่ผมโกหกและหลอกลวงแบบนี้ ผมก็ไม่ต่างจากมันใช่ไหม?  ในโลกอันชั่วร้ายนี้ การเป็นคนซื่อสัตย์และจริงใจไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ในพระนิเวศของพระเจ้านั้นตรงกันข้าม ในพระนิเวศของพระเจ้า ความชอบธรรมและสัจจะคือสิ่งสูงสุด และยิ่งเป็นคนหลอกลวงเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสร่วงหล่นเท่านั้น และในที่สุด ผู้หลอกลวงทุกคนจะถูกพระเจ้าเปิดโปงและขับไล่ พระเจ้าตรัสว่า “หากผู้คนปรารถนาที่จะได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องเริ่มต้นด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หกข้อบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตในชีวิต)  “มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถมีส่วนในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์…(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์)  พระเจ้าบริสุทธิ์ศักด์สิทธิ์ และไม่อนุญาตให้คนโสมมล่วงล้ำเข้าในในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เมื่อผมตระหนักเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่าอุปนิสัยบริสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์ไม่ทนต่อความขุ่นเคือง และผมเสียใจจริงๆ ที่โกหกเหล่าพี่น้องของผม ผมเกลียดตัวเองและไม่อยากโกหกหลอกลวงอีกแล้ว ผมอยากฝึกฝนเพื่อให้ตัวเองมีสัจจะ เป็นคนซื่อสัตย์ และพูดความจริงกับทุกคน ผมอยากสลัดคำโกหกออกจากปาก และการหลอกลวงออกจากใจ เพื่อที่ผมจะได้คู่ควรกับการเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าและได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์

ในการอุทิศตนครั้งหนึ่ง ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้า: “การฝึกฝนปฏิบัติความซื่อสัตย์ครอบคลุมหลายแง่มุม  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มาตรฐานของการเป็นคนซื่อสัตย์ไม่ได้สัมฤทธิ์ผ่านทางด้านเดียวเท่านั้น เจ้าต้องทำให้ได้มาตรฐานในหลายๆ ด้านเสียก่อนจึงจะสามารถซื่อสัตย์  ผู้คนบางคนคิดอยู่เสมอว่าพวกเขาเพียงต้องพยายามไม่โกหกเพื่อที่จะซื่อสัตย์  ทรรศนะนี้ถูกต้องแล้วหรือ?  การเป็นคนซื่อสัตย์คือการไม่โกหกเท่านั้นหรือ?  ไม่ใช่—ยังเกี่ยวข้องกับแง่มุมอื่นๆ อีกหลายประการด้วย  ประการแรก ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้ากับอะไร จะเป็นสิ่งที่เจ้าเห็นด้วยตาของเจ้าเองหรือบางสิ่งที่ผู้อื่นบอกเจ้า เป็นการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนหรือการสะสางปัญหา จะเป็นหน้าที่ที่เจ้าควรจะปฏิบัติหรือบางสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ เจ้าก็ต้องจัดการสิ่งนั้นด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์เสมอ  คนเราควรฝึกฝนปฏิบัติการเข้าหาสิ่งทั้งหลายด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์อย่างไร?  จงพูดสิ่งที่เจ้าคิดและพูดอย่างซื่อสัตย์ จงอย่ากล่าวคำที่กลวงเปล่า ศัพท์แสงที่ฟังสวยหรู หรือถ้อยคำที่รื่นหู จงอย่าพูดความเท็จที่หน้าซื่อใจคดหรือยกยอปอปั้น แต่จงพูดคำพูดที่อยู่ในหัวใจของเจ้า  นี่คือการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  การแสดงออกถึงความคิดและทรรศนะที่แท้จริงซึ่งอยู่ในหัวใจของเจ้า—นี่คือสิ่งที่ผู้คนที่ซื่อสัตย์ควรที่จะต้องทำ  หากเจ้าไม่เคยพูดสิ่งที่เจ้าคิดและไม่เคยกล่าวถ้อยคำที่หมักหมมอยู่ในหัวใจของเจ้า และสิ่งที่เจ้ากล่าวก็ไม่ตรงกับสิ่งที่เจ้าคิดอยู่เสมอ นั่นย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนซื่อสัตย์ทำ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ด้วยการซื่อสัตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ที่แท้จริง)  พระวจนะของพระเจ้ามอบแนวทางปฏิบัติแก่ผม ไม่ว่าจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือทำหน้าที่ของผม ผมต้องมีใจซื่อสัตย์ในแนวทางของผม ในเมื่อผมไม่ได้ติดตามงาน ผมก็ควรบอกความจริง ผมไม่ควรคิดว่ามันจะทำให้ชื่อเสียงผมเสื่อมเสียไหม การฝึกเป็นคนซื่อสัตย์เป็นกุญแจสำคัญ

ในการชุมนุมผู้ร่วมงานครั้งหน้า ผมจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยความเสื่อมทรามของผม แต่ผมกังวลว่าทุกคนจะคิดยังไงกับผม ผมตระหนักได้ว่าผมกลับมาอยากปกป้องชื่อเสียงและสถานะของผมอีกแล้ว ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ขอพระองค์ทรงนำทาง ประทานกำลังแก่ลูก และมอบความกล้าที่จะเปิดเผยความเสื่อมทรามของลูก ผมจำพระวจนะของพระเจ้าที่ผมเคยอ่านมาก่อน: “หากเจ้าไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่เคยเปิดโปงความลับของเจ้าและสิ่งที่ท้าทายเจ้า และไม่เคยเปิดใจของตนในการสามัคคีธรรมแก่ผู้อื่น ไม่สามัคคีธรรมหรือวิเคราะห์หรือเปิดเผยความเสื่อมทรามและข้อเสียอันอุกฉกรรจ์ของเจ้าร่วมกับพวกเขา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์)  ผมตระหนักว่าถ้าผมไม่เป็นคนซื่อสัตย์ เอาแต่ปิดบังความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของผม ไม่เปิดใจ, เปิดเผย หรือวิพากษ์ตนเอง ถ้าผมไม่ละทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของผม ผมจะไม่วันได้รับการช่วยให้รอด ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าอีกครั้ง “พระเจ้า!  โปรดมอบกำลังแก่ลูกเพื่อให้ลูกสามารถเปิดใจและเป็นคนซื่อสัตย์ด้วย” หลังจากอธิษฐาน ผมก็เริ่มต้นแก้ไขในสิ่งผิด “ในการชุมนุมครั้งก่อน ผมโกหกตอนที่ผู้นำถามเรื่องการให้น้ำผู้มาใหม่ ที่จริงผมรู้ความเป็นไปในศาสนจักรแห่งเดียว อีกสองแห่งไม่รู้ ผมกลัวว่าถ้าผมพูดความจริง คุณจะดูถูกผม ผมเลยโกหกไปว่าผมรู้เรื่องของศาสนจักรสองแห่งนั้น ผมหลอกลวงทุกคน” เมื่อพูดเช่นนี้ออกไป กลับไม่มีใครประณามหรือดูถูกผม ตรงกันข้าม พวกเขาบอกว่าเป็นการดีแล้วที่ผมสามารถเปิดใจและเป็นคนซื่อสัตย์ การได้ปฏิบัติเช่นนี้ทำให้ผมรู้สึกสงบและโล่งใจขึ้นมาก ถ้าผมปิดบังตัวเองต่อไป ผมคงไม่ตระหนักรู้และก้าวหน้า

จากนั้นไม่นาน ผู้นำระดับสูงถามผมว่า “ตอนนี้คุณรู้ความเป็นไปของผู้นำคริสตจักรทั้งสามแห่งไหม?” ผมรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อยกับคำถามนี้ เพราะผมรู้ความเป็นไปของผู้นำคริสตจักรคนเดียวเท่านั้น แต่ไม่ใช่ของอีกสองแห่ง ผมคิดกับตัวเอง “ถ้าฉันพูดความจริง ผู้นำจะบอกว่าฉันไม่ได้ทำงานจริงๆ ไหม?” ผมเลยอยากบอกว่าผมเข้าใจเป็นอย่างดี แล้วผมก็ฉุกคิดได้ว่าผมอยากจะโกหกอีกแล้ว ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าและพูดตามความจริง “ผมรู้ความเป็นไปของผู้นำศาสนจักรแห่งเดียวเท่านั้น ส่วนอีกสองแห่งที่เหลือผมไม่รู้ครับ” ณ จุดนี้ หัวหน้าไม่ได้ตำหนิผม แต่ให้ข้อเสนอแนะบางอย่างแก่ผมแทน โดยบอกว่าผมควรโทรไต่ถามความเป็นไปของผู้นำคริสตจักรให้สม่ำเสมอกว่านี้ และช่วยสะสางปัญหาเหล่าโดยเร็ว และเขายังมอบแนวทางให้ผมปฏิบัติตามด้วย ผมได้เรียนรู้ว่ายิ่งพูดความจริง เป็นคนซื่อสัตย์ และกล้าเปิดเผยความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตน ผมก็ยิ่งได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าพี่น้องของผมและก้าวหน้าเท่านั้น ก่อนหน้านี้ผมโกหกและหลอกลวงเพื่อปกป้องชื่อเสียงและสถานะของผม แต่หลังจากโกหกออกไป ผมก็อัดอั้นตันใจและรู้สึกผิดลึกๆ ในใจ และที่สำคัญที่สุด ผมสูญเสียตัวและศักดิ์ศรีของผมไป จากประสบการณ์นี้ ผมจึงได้เข้าใจ คนซื่อสัตย์เป็นที่ชื่นชอบของทั้งพระเจ้าและมนุษย์ ยิ่งคุณซื่อสัตย์เท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นเหนียวแน่นเท่านั้น และยิ่งคุณสงบและสันติเท่าไหร่ ไม่เพียงแต่คนอื่นๆ จะไม่ดูถูกคุณ แต่คุณจะได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าพี่น้องของคุณแทน การเป็นคนซื่อสัตย์ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ โดยการเป็นคนซื่อสัตย์เท่านั้นที่เราจะได้รับพรและความรอดจากพระเจ้าและเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์!

ก่อนหน้า: 68. ความเจ็บปวดซึ่งนำมาโดยความมีหน้ามีตาและสถานะ

ถัดไป: 84. การทำงานหนักทำให้เราได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์หรือไม่

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger