64. การตื่นขึ้น ของผู้นำเทียมเท็จ

โดย หยางฟาน, ประเทศจีน

ปี 2019 ฉันเริ่มทำหน้าที่ผู้นำ ฉันรู้ว่านี่คือการทรงยกชูของพระเจ้า ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดี จากนั้น ทุกๆ วันฉันก็ยุ่งอยู่กับการนัดพบ การแก้ปัญหาความลำบากในหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง และติดตามความคืบหน้าของงาน ฉันรู้สึกอิ่มเอมใจมาก เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง เพราะงานบริหาร ทำให้งานของฉันเยอะขึ้น ฉันทำงานจนดึกดื่นทุกวันและรู้สึกว่ามันยุ่งเกินไปหน่อย ฉันคิดว่า “การต้องมากังวลกับงานทั้งหมดนี้มันหนักหนาและเหนื่อยเหลือเกิน ใจฉันกระวนกระวายทุกวัน มันไม่ง่ายเหมือนการทำหน้าที่ของตัวเองคนเดียว” ต่อมา ฉันได้ไปที่กลุ่มนัดพบของพี่จ้าว ฉันคิดว่า “แต่ก่อน ฉันเคยเป็นคู่ทำงานของพี่จ้าว เธอรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง แสวงหาความจริงอย่างแข็งขันเพื่อแก้ไขความลำบากที่เธอเจอ งานในกลุ่มนี้มีพี่จ้าวคอยดูแล ฉันจึงไม่ต้องกังวลอะไรมาก” จากนั้น ฉันก็ไม่ค่อยไปพบกลุ่มของพวกเขา ค่ำวันหนึ่ง มีพี่น้องชายหญิงเขียนมาแจ้ง ว่างานในกลุ่มของพี่จ้าวมีปัญหาและข้อบกพร่องบางอย่าง พวกเขาขอให้ฉันรีบแก้ไขปัญหานี้ ฉันตั้งใจจะหาพระวจนะไว้ล่วงหน้า และหาวิธีแก้ปัญหา แต่ฉันต้อง จัดการปัญหาหลายเรื่อง คงต้องใช้ เวลาสักพัก ฉันคิดว่า “มันดึกแล้ว ฉันเหนื่อย ทำไม่ไหว อีกอย่างฉันก็เขียนจดหมายไปหาพี่จ้าว เกี่ยวกับปัญหาและข้อบกพร่องของเธอแล้ว เธอมีความรับผิดชอบ จะต้องสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาไปก่อนแน่ ฉันคงไม่ต้องทำงานหรอก ถ้าฉันทำทุกอย่างเองหมด แล้วจะทำเสร็จได้ยังไง? เดี๋ยวค่อยไปสามัคคีธรรมกับพี่จ้าวในการนัดพบก็แล้วกัน” ต่อมา เมื่อฉันตรวจสอบเรื่องนี้ดู พี่จ้าวก็ได้สามัคคีธรรมกับกลุ่มไปแล้ว แถมทุกคนก็แนะนำแนวทางในการจัดการปัญหาได้ ทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องกังวลในการนำกลุ่มของพี่จ้าวอีก อันที่จริงหลังจากนั้น ฉันก็ไม่ได้ถามเรื่องงานของกลุ่มอีก

หลังผ่านไปสักระยะ ฉันก็ไปที่การนัดพบกลุ่มของพี่จ้าว และพบว่าการสามัคคีธรรมของพี่จ้าวนั้นมีแต่น้ำ เธอพูดนานโดยไม่มีอะไรชัดเจนเลย ฉันคิดในใจว่า “พี่จ้าวมีสภาวะที่ไม่ดีหรือเปล่า ทำไมถึงพูดไม่ปะติดปะต่อ?” แต่แล้วฉันก็คิดว่า “เธออาจจะแค่ประหม่าเพราะฉันมา เธอคงต้องใช้เวลาปรับตัวสักหน่อย ตอนนี้ฉันยังมีเรื่องอื่นต้องไปจัดการ” ฉันจึงกลับโดยไม่ได้สามัคคีธรรมกับพี่จ้าว ต่อมาฉันพบว่า งานของกลุ่มนั้นขาดประสิทธิภาพ ฉันคิดว่า “หรือจะมีปัญหาอะไรในกลุ่มนะ?” แต่พอมาคิดอีกที “พวกเขาแค่สามัคคีธรรมเกี่ยวกับปัญหาและข้อบกพร่องในหน้าที่ ทุกคนดูพร้อมจะหันกลับ ผลงานจะน้อยลงก็ไม่แปลก” พอฉันตระหนักอย่างนั้น ฉันก็ไม่คิดถึงมันอีก ต่อมาพี่หวังบอกฉันว่า พี่จ้าวหมกมุ่นกับสถานะ ร่วมมือกับคนอื่นไม่ได้ และไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำกลุ่ม ฉันคิดว่า “พี่จ้าวสนใจกับสถานะมากไปหน่อย แต่เธอก็มีความรับผิดชอบ ถ้าพี่จ้าวร่วมมือกับคนอื่นไม่ได้ ก็ต้องเป็นเพราะเธอมีสภาวะที่ไม่ดี และถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามควบคุม เธอแค่ต้องการเวลาปรับเปลี่ยนตัวเอง” พอคิดได้แบบนั้น ฉันก็พูดกับพี่หวังว่า “พี่จ้าวรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง และยังเป็นผู้นำกลุ่มที่มีความสามารถ ถ้าเธอเปิดโปงความเสื่อมทราม เราก็พยายามช่วยเธอ และเปิดโปงเธอ จากปัญหาของเธอได้ วันนี้ฉันยุ่งพอแล้ว ก็เลยไม่มีเวลา เดี๋ยวค่อยสามัคคีธรรมกับเธอทีหลังก็ได้” พอพี่หวังได้ยินฉันพูดแบบนั้นก็เลยไม่พูดอะไรอีก ต่อมา พอฉันยุ่งกับงานอื่น ฉันก็ลืมเรื่องสามัคคีธรรมกับพี่จ้าว คืนหนึ่ง จู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นมาได้ “ฉันไม่รู้เกี่ยวกับสภาวะของพี่จ้าวเลย ฉันควรไปหาเธอไหมนะ?” แต่แล้วฉันก็คิดว่า “พี่จ้าวมีขีดความสามารถที่ดี แต่ก่อนเธออยู่ในสภาวะที่ไม่ดี ก็แสวงหาความจริงและแก้ปัญหาเองได้รวดเร็ว คราวนี้พี่จ้าวก็คงปรับเปลี่ยนตัวเองได้เหมือนกัน อีกอย่าง เธออยู่ตั้งไกล ถ้าฉันถ่อไปถึงที่โน่น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องปัญหา ถ้าเธอไม่อยู่บ้าน จะไม่เท่ากับว่าฉันไปเสียเที่ยวเหรอ? ช่างเถอะ เดี๋ยวหลังเดือนนี้ฉันค่อยจัดการแล้วกัน” แต่พอไปตรวจงานของพวกเขา ตอนสิ้นเดือน ฉันก็ต้องตะลึง งานของพี่จ้าวมีปัญหาและข้อบกพร่องเยอะมาก ประสิทธิภาพในงานน้อยลงทุกที พี่น้องชายหญิงที่เธอดูแล ล้วนอยู่ในสภาวะที่เป็นลบ และงานของพวกเขาก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ตอนนั้นเองที่ฉัน ตระหนักว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรง ฉันเลยรีบไปหาพี่จ้าวเพื่อสามัคคีธรรมและชี้ให้เห็นถึงปัญหา แต่เธอไม่ยอมรับ โต้เถียง ทำให้เห็นว่าเธอไม่รู้จักตัวเองเลย หลังจากปรึกษากับคู่ทำงานของฉัน เราตัดสินใจว่าพี่จ้าวไม่อาจเป็นผู้นำกลุ่มได้อีก ในที่สุดเธอก็ถูกปลด จากนั้น พี่น้องชายหญิงก็รายงานมาว่า พี่จ้าวขี้อิจฉา ละเลยหน้าที่ และมีเรื่องขัดแย้ง ทำให้น้องสาวคนหนึ่งรู้สึกถูกเธอบีบ จนหดหู่และอยากออกจากหน้าที่ พี่หวังรายงานสถานการณ์ของพี่จ้าว แต่กลับถูกปัดตกไป พี่น้องหญิงคนอื่นก็รู้สึกว่าโดนพี่จ้าวบีบ และมันกระทบต่อหน้าที่ของพวกเธอ ทำให้เป็นอุปสรรคกับงานอยู่หลายเดือน นอกจากจะไม่กลับใจ เธอยังตอบโต้คนอื่นด้วย หลังจากเปิดโปงและชำแหละเธอไป เธอไม่เข้าใจหรือเสียใจในความประพฤติชั่วเลยสักนิด ต่อมา เพราะฉันไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ละเลยหน้าที่ ไม่หาคนมาแทนพี่จ้าวให้ทันการณ์ ทำให้งานของคริสตจักรเสียหายร้ายแรง ฉันเองก็โดนปลดด้วย ตอนนั้นฉันรู้สึกทุกข์ใจ ตอนนั้นเองที่ฉันมาเริ่มใคร่ครวญ ว่าทำไมพี่จ้าวมีประเด็นเรื่องขี้อิจฉามานาน และทำให้งานคริสตจักรหยุดชะงักอย่างร้ายแรง แต่ฉันก็หลับหูหลับตาและไม่รับรู้ถึงเรื่องนั้น ฉันรู้แค่ผิวเผิน ว่าฉันไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง แยกแยะผู้อื่นไม่ออก แต่ฉันไม่ได้มุ่งเน้นที่การเข้าใจและวิเคราะห์อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง

ในการนัดพบครั้งหนึ่ง ฉันเห็นพระวจนะเปิดเผยว่า ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ทำงานจริง และสุดท้ายฉันก็เข้าใจอะไรขึ้นบ้าง พระวจนะกล่าวว่า “พวกผู้นำเทียมเท็จไม่หาข้อมูลให้ตัวพวกเขาเองหรือคอยติดตามสถานการณ์ตามจริงของบรรดาหัวหน้ากลุ่มงานเลย อีกทั้งพวกเขายังไม่หาข้อมูลให้ตัวเอง ไม่คอยติดตาม และไม่พยายามจับความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของการเข้าสู่ชีวิตของบรรดาหัวหน้ากลุ่มงานและเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบงานสำคัญ รวมทั้งท่าทีที่ผู้คนเหล่านี้มีต่องานและหน้าที่ และท่าทีสารพัดต่อพระเจ้าและการเชื่อในพระเจ้า พวกผู้นำเทียมเท็จไม่หาความรู้ให้ตัวเองเกี่ยวกับการแปลงสภาพของพวกเขา ความก้าวหน้าของพวกเขา หรือประเด็นปัญหาสารพันซึ่งอุบัติขึ้นในระหว่างงานของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของผลกระทบต่องานของคริสตจักรและต่อผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร อันเนื่องมาจากความผิดพลาดและความเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างระยะต่างๆ ของงาน  หากพวกเขาไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ทั้งหลายดังกล่าวได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมไม่สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที—และหากพวกเขาไม่สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะไม่สามารถแก้ไขเยียวยาอิทธิพลด้านลบและความเสียหายที่หัวหน้างานทั้งหลายของกลุ่มต่างๆ ทำให้เกิดขึ้นกับงานนั้นได้อย่างทันท่วงที  ด้วยเหตุนี้ เมื่อมองในแง่มุมนี้ พวกผู้นำเทียมเท็จจึงยังไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขา  การไม่ลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขาก็คือการละทิ้งหน้าที่ พวกเขาไม่ได้ดำเนินบทบาทของพวกเขาให้เสร็จสิ้นในการกำกับดูแลผู้อื่น ในการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้คนเหล่านั้น โดยจับความเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาและสอดส่องพวกเขาอย่างเต็มที่” “พวกผู้นำเทียมเท็จ: บุคคลประเภทนี้โง่เง่าหรือไม่?  พวกเขาโง่เง่าและโง่เขลา  อะไรหรือที่ทำให้พวกเขาโง่เง่า?  พวกเขาให้ความวางไว้ใจในตัวผู้คนอย่างไม่อนาทรร้อนใจ โดยเชื่อว่าเพราะว่าในยามที่พวกเขาเลือกบุคคลผู้นี้ บุคคลผู้นี้ให้ปฏิญญา และกล่าวปฏิญาณ และอธิษฐานด้วยน้ำตาที่หลั่งไหลลงมาอาบแก้มของพวกเขา คงไม่น่ามีอะไรที่ผิดปกติอย่างร้ายแรงกับพวกเขา และจะไม่มีวันมีประเด็นปัญหาอันใดกับพวกเขาในอนาคต  พวกผู้นำเทียมเท็จไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของผู้คน พวกเขาไม่เข้าใจว่าอะไรคืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม  พวกเขาพูดว่า ‘ใครบางคนจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรทันทีที่พวกเขาได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้างานแล้ว?  ใครบางคนที่ดูเหมือนจริงจังมากและพึ่งพาได้จะสามารถบ่ายเบี่ยงงานของพวกเขาได้อย่างไร?  พวกเขาจะไม่บ่ายเบี่ยงงานใช่ไหม?  พวกเขามีความซื่อสัตย์สุจริตมาก’  เพราะผู้นำเทียมเท็จมีการจินตนาการดังกล่าว และไว้วางใจในสัญชาตญาณของตัวพวกเขาเองเกินไป ในท้ายที่สุดแล้วการนี้จึงเป็นการทำให้พวกเขาไร้ความสามารถที่จะจัดการปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในตัวหัวหน้างานให้อยู่หมัดได้ และไร้ความสามารถที่จะแทนที่และจัดสรรผู้คนเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที  นี่คือปัญหากับพวกผู้นำเทียมเท็จไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วอะไรกันแน่ที่เป็นประเด็นปัญหา ณ ที่นี้?  วิธีการของผู้นำเทียมเท็จที่ใช้กับงานของพวกเขาเกี่ยวข้องอะไรกับความขี้เกียจหรือไม่?  เหตุผลหนึ่งก็คือ พวกเขาคิดว่านั่นไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา ว่าการไปที่นั่นไม่สะดวกสำหรับพวกเขา ดังนั้นแล้วจึงส่งหัวหน้างานไปแทนอย่างไม่อนาทรร้อนใจ โดยพูดกับตัวพวกเขาเองว่า ‘ปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับการนั้นอีกเลย  การข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดงกำลังแย่ลงเรื่อยๆ—การที่ฉันไปที่นั่นอยู่เรื่อยไปเป็นภัยอันตรายเกินไป  ที่มากไปกว่านั้นก็คือ การไปให้ถึงที่นั่นยากลำบากยิ่งนัก  หากฉันทำได้ หลีกเลี่ยงความเดือดร้อนเสียจะดีกว่า’  นี่ใช่ความขี้เกียจหรือไม่?  (ใช่)  นี่คือความขี้เกียจ นี่คือความละโมบในสิ่งชูใจทางกายภาพ  พวกเขายังมีความล้มเหลวครั้งใหญ่ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ พวกเขาด่วนไว้วางใจผู้คนโดยมีพื้นฐานอยู่บนการจินตนาการของพวกเขาเอง  และการนี้มีสาเหตุมาจากการไม่เข้าใจความจริง ไม่ใช่หรือ?  นี่ใช่หนทางที่พระวจนะของพระเจ้าทรงประเมินวัดแต่ละบุคคลหรือไม่?  เหตุใดเจ้าจึงควรไว้วางใจในผู้คนในเมื่อพระเจ้าไม่ไว้วางพระทัย?  แทนที่จะตัดสินผู้คนโดยรูปลักษณ์ พระเจ้าทรงเฝ้าดูหัวใจของพวกเขาอยู่เป็นนิตย์—ดังนั้น เหตุใดผู้คนจึงควรทำตัวลำลองตามสบายยิ่งนักเมื่อพวกเขาตัดสินผู้อื่นและให้ความไว้วางใจในตัวผู้อื่น?  พวกผู้นำเทียมเท็จทะนงเกินไป ไม่ใช่หรือ?  สิ่งที่พวกเขาคิดคือ ‘ฉันดูไม่ผิดเลยเมื่อฉันเห็นบุคคลผู้นี้  ไม่มีอะไรที่จะผิดเพี้ยนไปได้ แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาไม่ใช่ใครบางคนที่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป ที่ชอบที่จะสนุกสนานและเกลียดชังงานหนัก  พวกเขาพึ่งพาได้และไว้วางใจได้อย่างแน่นอนที่สุด  พวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง หากพวกเขาเปลี่ยนแปลง นั่นก็คงจะหมายความว่าฉันดูพวกเขาผิดไปใช่ไหม?’  นี่คือตรรกะประเภทใดหรือ?  เจ้าเป็นผู้ชำนาญบางประเภทกระนั้นหรือ?  นี่ใช่ทักษะพิเศษของเจ้าหรือไม่?  เจ้ามีตาทิพย์กระนั้นหรือ?  เจ้าสามารถใช้ชีวิตกับบุคคลผู้นี้ได้เป็นเวลาหนึ่งหรือสองปี แต่เจ้าจะสามารถมองเห็นได้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นใครหากปราศจากสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่จะตีแผ่ธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขาได้อย่างที่สุดแล้ว?  หากพวกเขาไม่ถูกพระเจ้าทรงเปิดโปง เจ้าก็สามารถใช้ชีวิตเคียงข้างกับพวกเขาได้เป็นเวลาสาม หรือกระทั่งห้าปี และจะยังคงต่อสู้ดิ้นรนที่จะมองเห็นว่าพวกเขามีธรรมชาติและแก่นแท้ประเภทใดกันแน่  แล้วการนั้นแท้จริงมากขึ้นอีกมากเพียงใดหรือ ในเมื่อเจ้าแทบจะไม่ได้มองเห็นพวกเขา แทบจะไม่ได้อยู่กับพวกเขา?  เจ้าตัดสินพวกเขาโดยมีพื้นฐานอยู่บนภาพประทับใจชั่วขณะเดียวหรือคำพูดสองสามคำจากพวกเขา เจ้าทำตัวลำลองตามสบายยิ่งนักในผู้ที่เจ้าไว้วางใจ  ในการนี้ เจ้าไม่ได้กำลังหูหนวกตาบอดและใจร้อนอย่างสุดขีดหรอกหรือ?  และในเมื่อพวกเขาทำงานเยี่ยงนี้ พวกผู้นำเทียมเท็จไม่ได้กำลังไร้ความรับผิดชอบอย่างที่สุดหรอกหรือ?(“การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (3)” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระเจ้าทรงเปิดเผยว่าผู้นำเทียมเท็จรักสบาย และขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ พอเจอผู้รับผิดชอบ พวกเขาก็เชื่อใจคนเหล่านี้ตามแนวคิดและมโนคติอันหลงผิด พวกเขาไม่ติดตาม ไม่ดูแลงาน และไม่อยากลำบากเพื่อตรวจสอบงาน คอยแต่จะเลี่ยงปัญหา ผลที่ได้คือความเสียหายร้ายแรงต่องานของคริสตจักร พอเห็นพระเจ้าเผยถึงการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ฉันรู้สึกเหมือนพระเจ้ากำลังเปิดโปงฉันต่อหน้าเลย มันชวนให้อึดอัดใจมากและก็รู้สึกผิดด้วย ในฐานะผู้นำ ฉันขาดความรับผิดชอบมาก เพื่อคลายความกังวล และความทุกข์ทางเนื้อหนัง ฉันเล่นแง่ และไม่ได้ติดตามงาน ฉันใช้เพียงความประทับใจชั่วขณะในตัวพี่จ้าว และคิดไปว่าเธอมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เป็นผู้นำกลุ่มที่มีความสามารถ ฉันจึงไม่เข้าไปยุ่ง ไม่ดูแลงานของเธอ พอเห็นงานของพี่จ้าวมีปัญหา และฉันต้องทนทุกข์ ต้องยอมลำบากเพื่อแก้ปัญหา ฉันไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง อ้างว่าทุกคนกำลังหาทาง ตอนที่คนอื่นๆ รายงานว่าพี่จ้าวมีปัญหาและไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำกลุ่ม ฉันก็ยังทึกทักเอาจากมโนคติอันหลงผิด ว่านั่นเป็นแค่ความเสื่อมทรามชั่วคราว และคงไม่กระทบต่อหน้าที่ของเธอ ฉันผัดผ่อนในการแก้ปัญหาของพี่จ้าวครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดงานของกลุ่มก็เป็นอัมพาต และการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ฉันช่างโง่เขลาและขาดความรับผิดชอบ ฉันคือผู้นำเทียมเท็จที่อยากสบาย และไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ที่จริง ผู้นำและคนทำงานที่คริสตจักรเลือกมา รวมถึงตัวฉัน ยังไม่ได้ถูกทำให้เพียบพร้อม เรามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหลายอย่าง และเป็นต้นเหตุต่อการหยุดชะงักและก่อความไม่สงบในหน้าที่ของเราได้ทุกเมื่อ ต่อให้เราพอมีพฤติกรรมที่ดีอยู่บ้าง ก็ไม่ได้แปลว่าเรามีคุณสมบัติเหมาะสม เราไม่เข้าใจความจริง จึงเห็นผู้คนแค่จากภายนอก ไม่อาจเห็นแก่นแท้ของพวกเขาได้อย่างชัดเจน เราจึงต้องติดตามและดูแลงานของผู้อื่นบ่อยๆ เป็นการแสดงความรับผิดชอบ ฉันไม่เข้าใจความจริง แต่กลับมั่นใจแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ทำให้งานของคริสตจักรเสียหายอย่างใหญ่หลวง และฉันได้กระทำการฝ่าฝืนต่อพระพักตร์พระเจ้า พอตระหนักได้ ฉันก็เสียใจมาก ถ้าฉันไม่คิดว่าตนชอบธรรม ขี้เกียจหรือละโมบเพื่อความสบาย ตอนที่พี่หวังมาเตือน แล้วฉันไปตรวจสอบ สืบค้นและแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที และปลดพี่จ้าวซะ ฉันคงไม่ทำให้งานคริสตจักรล่าช้าออกไปขนาดนี้ ฉันล้มเหลวในการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ต่องานคริสตจักร แถมยังทำตัวเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน และรับใช้ผู้นำเทียมเท็จและผู้ทำงาน ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจ ฉันคิดถึงตอนที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงงาน พระองค์ไปยังคริสตจักรทุกแห่ง ทรงทนทุกข์และยอมลำบาก เพื่อตอบรับความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องทั้งหมดของเรา พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมความจริงและช่วยเราอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย และการทรงงานหนักของพระองค์ ล้วนทำเพื่อช่วยเราให้รอดโดยสมบูรณ์จากอำนาจของซาตาน แต่ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ไม่เข้าใจความจริง ไม่อาจมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน แล้วยังไม่อยากทนทุกข์หรือยอมลำบากในหน้าที่ เมื่อเจอปัญหาฉันกลับไม่แก้ไขให้ทันท่วงที และทำให้งานของเราเสียหายอย่างร้ายแรง การปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้ ทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจ และเกลียดชัง! เมื่อฉันตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ “พระเจ้า ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว ข้าพระองค์ขอทบทวนตัวเองและกลับใจ โปรดทรงกรุณาข้าพระองค์ด้วย”

ตอนนั้น ฉันอ่านพระวจนะว่าด้วยเรื่องผู้นำเทียมเท็จไปสองบทตอนค่ะ “งานจำนวนมากต้องล่าช้าเพียงเพราะพวกผู้นำเทียมเท็จได้ล้มเหลวที่จะตรวจสอบสิ่งทั้งหลาย ไม่ได้จับตาดูสิ่งเหล่านั้น ไม่ได้แก้ปัญหาอันใด เพียงเพราะพวกเขาได้บกพร่องในหน้าที่ของพวกเขาอย่างรุนแรง  แน่นอนว่า นี่ยังเป็นเพราะพวกผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่ได้คิดจริงจังกับความรับผิดชอบของพวกเขาด้วยเช่นกัน  พวกเขาสำราญในประโยชน์แห่งสถานะและในความพึงพอใจในการพูดตามวลีทั้งหลาย พวกเขาไม่ต้องการเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานที่เป็นจริง ซึ่งบ่อยครั้งนำไปสู่ประเด็นปัญหามากมายกับกิจเฉพาะเจาะจง และเป็นเหตุให้ต้องใช้เวลานานในการจัดการแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้ บ่อยครั้งที่ใครบางคนยังคงไม่ได้มาถามเรื่องความเบี่ยงเบนในงานหรือพยายามที่จะแก้ไขสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้องหลังจากที่สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้น ดังนั้น บ่อยครั้งก็มีการเผอเรอมองข้ามครั้งสำคัญในงานเช่นกัน ซึ่งเป็นการเผอเรอมองข้ามที่แม้แต่คนปัญญาอ่อนก็มองเห็นได้ แต่เป็นการเผอเรอมองข้ามซึ่งพวกผู้นำเทียมเท็จนั้นหูหนวกตาบอด และไม่สามารถล่วงรู้ได้ เป็นธรรมดาที่การแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  เมื่อปัญหาในงานไม่ได้รับการแก้ไข เมื่อความเบี่ยงเบนไม่ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง และการเผอเรอมองข้ามไม่ได้ถูกจัดการรับมืออย่างทันท่วงที ประสิทธิภาพของงานย่อมอยู่ในความเสี่ยงอย่างร้ายแรง  งานเพียงแค่กำลังดำเนินไป—แต่การนั้นมีผลกระทบใดหรือในการเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า?  เป็นประโยชน์ต่อผู้คนหรือไม่เมื่อพวกเขาเห็นการนั้น การนั้นทิ้งภาพประทับใจอันใดกับพวกเขาหรือไม่?  การนั้นบันดาลใจพวกเขาให้สืบค้นหนทางที่แท้จริงหรือไม่?  ไม่เลย  การนั้นไม่มีผลกระทบอันใดเหล่านี้เลย และเป็นธรรมดาที่การนี้เป็นผลจากการที่พวกผู้นำเทียมเท็จบกพร่องในหน้าที่ของพวกเขาและทำความผิดพลาดมากเกินไป  ดังนั้นแล้ว ในขณะที่ดำเนินงานหลากหลายรายการ อันที่จริงแล้วมีประเด็นปัญหา ความเบี่ยงเบน และความพลั้งเผลอมากมายที่ผู้นำเทียมเท็จต้องแก้ไข ทำให้ถูกต้อง และเยียวยา—แต่เพราะพวกเขาไม่มีสำนึกในภาระ เพราะพวกเขาเพียงสามารถแสดงบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐบาลเท่านั้น และไม่ลงมือทำงานจริง ผลที่ตามมาก็คือพวกเขาเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งเหยิงอันวิบัติ จนกระทั่งบางกลุ่มถึงขั้นสูญเสียเอกภาพ และสมาชิกกลุ่มก็บ่อนทำลายกันและกัน กลายเป็นสงสัยและระแวงกันและกัน และถึงขั้นกลายเป็นระแวงพระนิเวศของพระเจ้า  เมื่อผู้นำเทียมเท็จเผชิญหน้าสถานการณ์นี้ พวกเขาไม่ดำเนินงานจำเพาะอันใดให้เสร็จสิ้น(“การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (4)” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)เมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอก ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่ได้จงใจทำชั่วเหมือนพวกศัตรูของพระคริสต์ ไม่ได้จงใจสถาปนาดินแดนศักดินาของพวกเขาเองและทำสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องการ  แต่ภายในขอบเขตงานของพวกเขา พวกผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถจัดการแก้ไขปัญหาสารพัน อันเกิดจากหัวหน้างานก่อขึ้นได้โดยเร็ว  พวกเขาไม่สามารถหาคนมาแทนที่และมอบหมายงานใหม่ให้หัวหน้างานที่ต่ำกว่ามาตรฐานได้อย่างทันท่วงที ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่องานของคริสตจักร และล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของพวกผู้นำเทียมเท็จ(“การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (3)” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันได้เห็นว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยความละเลยของผู้นำเทียมเท็จ การที่พวกเขาไม่ติดตาม ไม่ตรวจสอบงาน การที่พวกเขาไม่ดูแลและตรวจตราผู้คนที่อยู่ในการดูแล และนั่นส่งผลให้ปัญหาในการทำงานหลายอย่างแก้ไขไม่ได้ งานของพระนิเวศจึงเสียหายอย่างร้ายแรง ฉันทบทวนกับการกระทำของตัวเอง ฉันอยากสบาย ละเลยหน้าที่และขาดความรับผิดชอบ ฉันเชื่อใจพี่จ้าวจากมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง ไม่ดูแลหรือติดตามงานของเธอ เมื่อคนอื่นรายงานปัญหาของเธอ ฉันกลับเพิกเฉย ไม่แก้ไขปัญหาหรือปลดเธอให้ทันท่วงที ซึ่งทำให้มีปัญหาเรื่องความอิจฉามายาวนาน เธอทำให้กลุ่มหยุดชะงักและเกิดความวุ่นวาย แถมไม่มีบทบาทเชิงบวก ทำให้งานของกลุ่มไร้ประสิทธิภาพไปหลายเดือน และงานแทบจะไม่คืบหน้าเลย เมื่อเหล่าพี่น้องให้คำแนะนำ พี่จ้าวก็ข่มพวกเขา กีดกัน และกดดันพวกเขาเป็นเวลานาน ทำให้ในกลุ่มรู้สึกถูกบีบบังคับและไร้แรงจูงใจในหน้าที่ แต่ฉันก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย คิดว่าเธอทำหน้าที่ได้ดี พระนิเวศจัดเตรียมหน้าที่ของฉันในฐานะผู้นำ ฉันไม่เพียงล้มเหลวในการรับผิดชอบ แต่เมื่อเกิดปัญหามากมายกับงานคริสตจักร ฉันยังหลับหูหลับตา มองไม่เห็นและแก้ไขปัญหาไม่ทันท่วงที สร้างความเสียหายต่องานคริสตจักร และการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงอย่างมาก ฉันละเลยหน้าที่ของตัวเองอย่างร้ายแรง! ถึงฉันจะไม่ได้จงใจก่อความไม่สงบต่องานของพระนิเวศ เหมือนศัตรูของพระคริสต์ การละเลยหน้าที่ของฉัน ก็ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่องานของคริสตจักร ฉันเกลียดตัวเองที่ไม่รู้เท่าทัน ตามืดบอด ขาดความรับผิดชอบ ที่ฉันฝ่าฝืนต่อพระพักตร์พระเจ้า ฉันรู้สึกผิดและเสียใจ ทั้งรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้า และพี่น้องชายหญิง

ต่อมา ฉันได้ทบทวนตัวเอง ทำไมฉันคำนึงถึงแค่เนื้อหนัง ใช้กลโกงและเล่ห์เหลี่ยมในหน้าที่อยู่เสมอ? ต่อมา ฉันเห็นพระวจนะบทตอนหนึ่งที่เป็นประโยชน์มาก พระวจนะกล่าวว่า “อะไรคือพิษของซาตาน? มันจะสามารถแสดงออกมาในทางใดได้บ้าง?  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าถามว่า ‘ผู้คนควรดำรงชีวิตอย่างไร?  ผู้คนควรดำรงชีวิตเพื่อสิ่งใด?’  ผู้คนก็จะตอบว่า ‘เพราะมนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’  วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา  ปรัชญาของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว  ไม่สำคัญว่าผู้คนไล่ตามเสาะหาสิ่งใด พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อตัวพวกเขาเอง—ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเองเท่านั้น  ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือชีวิตและปรัชญาของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย  คำพูดเหล่านี้ได้กลายเป็นธรรมชาติของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว เป็นภาพเหมือนของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามโดยแท้ และธรรมชาติเยี่ยงซาตานนี้ได้กลายเป็นบาทฐานสำหรับการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามดำรงชีวิตตามพิษของซาตานนี้มาเป็นเวลาหลายพันปีจวบจนปัจจุบัน  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานทำก็เพื่อความหิว ความทะเยอทะยาน และจุดมุ่งหมายของมันเอง มันปรารถนาที่จะล้ำเลิศกว่าพระเจ้า หลุดพ้นจากพระเจ้า และยึดอำนาจการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสร้าง  วันนี้ขอบข่ายที่ผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามเป็นดังนี้คือ พวกเขาล้วนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตาน พวกเขาทั้งหมดพยายามปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้า พวกเขาต้องการควบคุมชะตากรรมของตนเอง และพยายามต่อต้านการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า—ความทะเยอทะยานและความหิวของพวกเขาก็เหมือนกับของซาตานอย่างไม่ผิดเพี้ยน  เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของมนุษย์จึงเป็นธรรมชาติของซาตานนั่นเอง(“วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันใคร่ครวญพระวจนะและตระหนักว่า ฉันเกียจคร้าน ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ และขาดมโนธรรม เพราะกฎเยี่ยงซาตาน “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” ได้หยั่งรากลึกในตัวฉัน จนกลายเป็นธรรมชาติของฉันไป ฉันใช้ชีวิตด้วยคำนั้นมาตลอด คิดถึงแต่ผลประโยชน์ทางเนื้อหนังในทุกสิ่ง ฉันจึงเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ฉันกังวลหรือต้องทนทุกข์และลำบาก ฉันก็พยายามใช้กลโกง เล่ห์เหลี่ยม ทำทุกอย่างให้ตัวเองทนทุกข์น้อยที่สุด เมื่อฉันเห็นหน้าที่การเป็นผู้นำต้องกังวลและทนทุกข์มากขึ้น ฉันก็อยากทำหน้าที่เดียว พอปริมาณงานเพิ่มขึ้น ฉันก็อยากกังวลและลำบากน้อยลง ฉันเริ่มไม่เข้าไปยุ่งงานของพี่จ้าวและเพิกเฉยมัน ต่อมา พอเห็นเธออยู่ในสภาวะที่ไม่ดี ฉันก็ไม่อยากแก้ไข ถึงพระเจ้าจะทรงเตือนฉันผ่านพี่หวัง ว่าพี่จ้าวไม่เหมาะสมกับหน้าที่นี้ ฉันก็ยังใช้การยุ่งกับงานเป็นข้ออ้างเพื่อผัดผ่อนที่จะตรวจสอบ จนกระทั่งปัญหาของพี่จ้าว กลายเป็นปัญหาร้ายแรงและต้องถูกปลด พระเจ้าทรงยกชูฉันด้วยหน้าที่ผู้นำคริสตจักร เพื่อให้โอกาสฉันได้ปฏิบัติ ด้วยหวังว่าฉันจะยอมรับพระบัญชา มีความรับผิดชอบ ดูแลพี่น้องชายหญิง ให้พวกเขาได้ทำหน้าที่ลุล่วงและทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่ฉันทำอะไรลงไป? แทนที่จะพยายามทำหน้าที่ให้ดี ฉันกลับอยากสบาย และทำทุกอย่าง ให้ตัวเองกังวลและทนทุกข์น้อยลง ฉันเชื่อในพระเจ้ามานาน เพลิดเพลินกับการให้น้ำจากพระวจนะมากมาย แต่พอมีเรื่องฉันก็ห่วงแต่จะสบาย ไม่ได้สนใจวิธีทำงานให้ดี ฉันเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ ทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยง! ฉันเกลียดตัวเองที่ไร้เหตุผล ทรยศต่อพระเจตนารมณ์อันดี ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์คำนึงถึงแต่เนื้อหนังของตัวเอง ส่งผลให้งานคริสตจักรเสียหายอย่างใหญ่หลวง แต่พระองค์ไม่ได้ปฏิบัติต่อข้าพระองค์ ตามการฝ่าฝืนนั้น พระองค์ทรงให้โอกาสข้าพระองค์เพื่อกลับใจและทบทวนตัวเอง ข้าพระองค์อยากกลับใจ ต่อไปไม่ว่ามีหน้าที่อะไร ข้าพระองค์ก็ไม่อยากปล่อยใจตามเนื้อหนังและอยากสบายอีก ข้าพระองค์อยากจะรับผิดชอบ และปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อตรง”

ต่อมา ฉันก็อ่านพระวจนะอีกสองบทตอน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนที่มีหัวใจย่อมมีความสามารถที่จะใส่ใจต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า ทั้งนี้ พวกที่ไม่มีหัวใจก็คือเปลือกหอยที่ว่างเปล่า คือตัวตลก พวกเขาไม่รู้จักการใส่ใจต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า นั่นคือ ‘ฉันไม่ใส่ใจว่าการนี้เร่งด่วนเพียงใดสำหรับพระเจ้า ฉันจะทำสิ่งที่ฉันต้องการ—ไม่ว่าในกรณีใด ฉันไม่ใช่กำลังลอยชายหรือขี้เกียจ’  ผู้คนดังกล่าวไม่ใส่ใจต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า  อีกทั้งพวกเขายังไม่เข้าใจวิธีใส่ใจน้ำพระทัยของพระเจ้า  ซึ่งในกรณีนั้น พวกเขาครองความเชื่อที่แท้จริงหรือไม่?  โนอาห์ใส่ใจน้ำพระทัยของพระเจ้า เขามีความเชื่อที่แท้จริง  ดังนั้นแล้ว การทำสุดความสามารถของเจ้าจึงไม่มากพอ ทั้งนี้ ในหัวใจของเจ้านั้น ต้องมีความใส่ใจที่แท้จริง—ซึ่งก็คือมโนธรรมที่พบในมนุษยชาติ นั่นคือสิ่งที่ผู้คนควรที่จะมี และคือสิ่งที่พบในโนอาห์  พวกเจ้าว่าอย่างไรเล่า ในการที่จะทำสิ่งเช่นนั้น ณ เวลานั้น การสร้างเรือใหญ่จะได้ใช้เวลาไปกี่ปีหากโนอาห์เตะถ่วง และไม่มีสำนึกถึงความเร่งด่วน ไม่มีความรู้สึกวิตกจริต ไม่มีประสิทธิภาพ?  การนั้นจะสามารถแล้วเสร็จใน 100 ปีหรือไม่?  (ไม่)  นั่นคงจะต้องมีการสร้างอย่างสม่ำเสมออยู่เป็นเวลาหลายชั่วอายุคนก็ได้  ด้านหนึ่งนั้น การสร้างวัตถุที่มั่นคงแข็งแรงดังเช่นเรือใหญ่น่าจะกินเวลาหลายปี ทั้งนี้ ที่มากไปกว่านั้นก็คือ การรวบรวมสะสมและการดูแลสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทั้งหมดก็คงจะกินเวลาหลายปีด้วยเช่นกัน  การรวบรวมสะสมสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตเหล่านี้ง่ายกระนั้นหรือ?  นั่นไม่ง่าย  และดังนั้นแล้ว หลังจากได้ยินการให้คำแนะนำของพระเจ้า และจับใจความน้ำพระทัยอันเร่งด่วนของพระเจ้าแล้ว โนอาห์ได้สำนึกว่านี่จะไม่ง่ายทั้งยังไม่ตรงไปตรงมาด้วย  เขาตระหนักว่าเขาจำเป็นที่จะต้องสำเร็จลุล่วงการนั้น และทำพระบัญชานี้จนครบบริบูรณ์ตามพระเจตนาของพระเจ้า เพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและมั่นพระทัย เพื่อให้ขั้นตอนถัดไปของพระราชกิจของพระเจ้าสามารถเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น  เช่นนั้นคือหัวใจของโนอาห์  แล้วนี่คือหัวใจประเภทใดกระนั้นหรือ?  นี่คือหัวใจที่ใส่ใจต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า(“บทความเสริม สาม: วิธีที่โนอาห์และอับราฮัมฟังพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ (ภาคที่สอง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)ไม่สำคัญว่าผู้นำหรือคนทำงานจะทำงานสำคัญใด และธรรมชาติของงานนี้คือสิ่งใด ลำดับความสำคัญข้อแรกก็คือการรู้เป็นอย่างดีว่างานดำเนินไปอย่างไร  พวกเขาต้องอยู่ที่นั่นด้วยตัวเองเพื่อติดตามผลสิ่งทั้งหลายและถามคำถาม โดยรับข้อมูลโดยตรงด้วยตัวเอง  พวกเขาต้องไม่เพียงแค่คอยติดตามสถานการณ์หรือรับฟังรายงานจากผู้อื่นเท่านั้น แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาต้องเฝ้าสังเกตด้วยตาของตัวเองว่าเจ้าหน้าที่นั้นเป็นอย่างไร งานกำลังคืบหน้าไปอย่างไร มีความลำบากยากเย็นใดบ้าง มีด้านใดบ้างหรือไม่ที่ไม่ลงรอยกันกับข้อพึงประสงค์จากเบื้องบน ว่ากิจทั้งหลายของผู้ชำนาญการเฉพาะทางได้ล่วงละเมิดหลักธรรมหรือไม่ ว่ามีความไม่สงบหรือการหยุดชะงักอันใดหรือไม่ ว่ามีการขาดพร่องในอุปกรณ์ที่จำเป็นหรือวัสดุในการให้คำแนะนำสำหรับกิจเฉพาะอย่างหรือไม่—พวกเขาต้องจัดการทั้งหมดนี้ให้อยู่หมัด ไม่สำคัญว่าพวกเขารับฟังรายงานกี่ฉบับ หรือพวกเขารับรู้มากเพียงใดจากสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา ทั้งสองอย่างนี้ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง  การได้เห็นสิ่งทั้งหลายด้วยตาของตัวเองนั้นถูกต้องแม่นยำและพึ่งพาได้มากกว่า ทันทีที่พวกเขาคุ้นเคยกับสถานการณ์นี้ พวกเขาย่อมจะรู้เป็นอย่างดีถึงสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่  ที่สำคัญมากไปกว่านั้นอีกก็คือการจับความเข้าใจที่ชัดเจนและถูกต้องแม่นยำว่าใครมีขีดความสามารถดีและควรค่าแก่การบ่มเพาะ ซึ่งสำคัญยิ่งยวดหากผู้นำและคนทำงานจะทำงานของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  เมื่อผู้นำและคนทำงานมีเส้นทางสำหรับวิธีเลี้ยงดูและฝึกฝนผู้คนที่มีขีดความสามารถดี และรู้วิธีแก้ไขปัญหานานาประเภทและความลำบากยากเย็นที่เกิดขึ้นในระหว่างงานด้วยเช่นกัน มีแนวคิดและข้อเสนอแนะของพวกเขาเองว่างานจะคืบหน้าได้อย่างไร และงานนั้นจะเป็นอย่างไรในอนาคต และสามารถพูดด้วยความชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งดังกล่าวได้โดยไม่ลำบากยากเย็นเลย โดยปราศจากความฉงนฉงายหรือความคลางแคลงใจอันใด เมื่อนั้นงานนี้ย่อมจะดำเนินการได้ง่ายขึ้นอีกมาก  และโดยการทำเช่นนี้ ผู้นำย่อมจะทำได้ดีสมกับความรับผิดชอบของพวกเขา ไม่ใช่หรือ?  พวกผู้นำและคนทำงานต้องรับทั้งหมดนี้เอาไว้เพื่อพิจารณา พวกเขาต้องจำทั้งหมดนี้ใส่ใจ พวกเขาต้องคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในหัวของพวกเขาอยู่เป็นนิตย์  เมื่อพวกเขาเผชิญความลำบากยากเย็น พวกเขาต้องกลับไปหาทุกคนเพื่อสามัคคีธรรมและเสวนาสิ่งเหล่านี้ โดยสำรวจค้นหาความจริงเพื่อที่จะแก้ไขประเด็นปัญหานี้  หากงานของพวกเขามีเหตุผลในความเป็นจริงไปตามนี้ ย่อมจะไม่มีความลำบากยากเย็นซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้(“การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (4)” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะแสดงให้ฉันเห็นเส้นทางในการปฏิบัติหน้าที่ นั่นก็คือการคำนึงถึงน้ำพระทัย และพระประสงค์ ทำหน้าที่ของเราให้ดี และไม่ทำให้ผลประโยชน์ของพระนิเวศเสียหาย ดังเช่นโนอาห์ผู้คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง เมื่อพระเจ้าบอกให้เขาสร้างเรือ เขาก็ไม่ได้คำนึงว่าตัวเองจะได้หรือเสีย เขาคิดเพียงว่าจะสร้างเรือให้เสร็จโดยเร็วตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าอย่างไร ถึงแม้ฉันจะเทียบกับโนอาห์ไม่ได้ ฉันก็อยากจะเป็นให้ได้อย่างเขา เรียนรู้ที่จะคำนึงถึงน้ำพระทัย ทำตามพระประสงค์อย่างเต็มที่ ฉันยังเข้าใจอีกว่า ผู้นำและคนทำงานที่จะทำงานได้ดี ต้องคอยติดตามงาน และเมื่อพบอุปสรรคหรือการขัดจังหวะในงาน เราต้องสามัคคีธรรมและจัดการให้ทัน เพื่อให้งานดำเนินต่อไปตามปกติ

ต่อมา ผู้นำก็ให้ฉันรับผิดชอบข่าวประเสริฐและการให้น้ำของคริสตจักรหลายแห่ง และฉันก็คิดว่า “ฉันจะปล่อยให้เป็นแบบครั้งที่แล้วไม่ได้ ฉันจะสนแต่ความสบายทางร่างกาย และไม่รับผิดชอบหน้าที่ไม่ได้ ฉันต้องอยู่กับความเป็นจริง และทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อหน้าที่” จากนั้น ฉันก็มุ่งเน้นเตรียมตัวเองด้วยความจริงแห่งนิมิต หากมีเป้าหมายข่าวประเสริฐที่เป็นไปได้ ฉันจะเป็นพยานยืนยันถึงงานในยุคสุดท้ายอย่างแข็งขัน ในตอนเย็น ฉันค้นหาและเตรียมตัวเองด้วยพระวจนะ ตามมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาของพวกเขา วันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังตรวจสอบงานของคริสตจักรแห่งหนึ่งอยู่ ฉันก็คิดว่า “ผู้นำและมัคนายกข่าวประเสริฐของคริสตจักรนี้ เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานาน พวกเขามีขีดความสามารถที่ดี มีความสามารถและความรับผิดชอบ พวกเขาจัดการงานของตัวเองได้ดี ฉันจึงไม่จำเป็นต้องติดตามงาน จะได้เก็บแรงไว้บ้าง” พอมีความคิดเหล่านี้ ฉันก็ตระหนักว่าฉันกำลังใช้อุบายและเล่ห์เหลี่ยม เพื่อหาเหตุผลที่จะไม่ดูแลหรือติดตามงานอีกแล้ว ตอนนี้ ฉันเป็นผู้ดูแลคริสตจักรนี้ เพราะฉะนั้น การดำเนินการและดูแลงานของคริสตจักร เป็นหน้าที่ของฉัน ฉันจะอ้างเพื่อคำนึงถึงเนื้อหนัง และผัดผ่อนหน้าที่ของตัวเองไม่ได้อีก ด้วยความคิดนี้ ฉันจึงตรวจสอบงานของคริสตจักรอย่างระมัดระวัง ฉันพบปัญหาหลายอย่างในการนัดพบผู้มาใหม่ และเจ้าหน้าที่ให้น้ำก็ทำหน้าที่ได้ไม่ดี วันต่อมา ฉันได้พบเจ้าหน้าที่เพื่อจะสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาของพวกเขา ไม่นาน ฉันก็ได้ข่าวว่าการนัดพบผู้มาใหม่เป็นไปตามปกติ และนั่นทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงมาก ฉันได้เห็นว่าผู้นำและคนทำงานในพระนิเวศต้องยอมลำบาก พวกเขาต้องติดตามและดูแลงาน นี่คือหนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ทันท่วงทีและปฏิบัติหน้าที่ได้ดี ความเข้าใจและการเปลี่ยนแปลงของฉันวันนี้ มันคือ ความรอดของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 63. ในที่สุดฉันก็ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าแล้ว

ถัดไป: 68. ความเจ็บปวดซึ่งนำมาโดยความมีหน้ามีตาและสถานะ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger