57. เหตุใดฉันจึงไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้?

ตอนที่ฉันเป็นผู้นำ พี่น้องชายหญิงบางคนรายงานว่า หยางลี่ผู้นำคริสตจักรที่ฉันรับผิดชอบอยู่ไม่ได้ทำงานจริงใดเลย หลังจากตรวจสอบอย่างจริงจัง ฉันก็พบว่าหยางลี่ใช้เวลาทั้งวันไปกับงานดูแลธุระทั่วไป จนไม่มีเวลาทำงานใดของผู้นำคริสตจักรเลย เมื่อไหร่ที่เธอไปเข้าร่วมการชุมนุมกลุ่ม เธอก็จะพูดเสมอว่าเธอยุ่ง และพอจัดแจงสิ่งที่จำเป็นเสร็จแล้ว เธอก็จะรีบร้อนออกไปอยู่ตลอด เธอแทบไม่เคยสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงในการชุมนุม ทั้งยังไม่แก้ไขหรือเข้าใจอย่างแท้จริงถึงปัญหาและความลำบากยากเย็นที่พวกเขาเผชิญในขณะทำหน้าที่ มัคนายกหลายคนยังรายงานด้วยว่า สองสามเดือนหยางลี่ถีงจะมาพบกับพวกเขาสักครั้งหนึ่ง ปัญหาและความลำบากยากเย็นของเหล่าพี่น้องชายหญิงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที ทำให้พวกเขาเริ่มคิดลบและเฉื่อยชาในหน้าที่ และการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาก็หยุดชะงัก นอกจากนี้ พี่น้องชายหญิงบางคนก็ไม่มีสำนึกของการแบกรับภาระ และทำหน้าที่แบบขอไปทีอยู่เสมอ อีกทั้งหยางลี่ก็ไม่ได้สามัคคีธรรมกับพวกเขา ช่วยเหลือพวกเขา หรือปลดพวกเขาออกในเวลาที่เหมาะสม คนชั่วกำลังขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรอยู่ แต่หยางลี่ไม่ชำระพวกเขาออกจากคริสตจักรภายในระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะหยางลี่ไม่ทำงานจริง ชีวิตคริสตจักรจึงถูกรบกวน และภารกิจต่างๆ ก็ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ได้ ทำให้สิ่งทั้งหลายตกอยู่ในสภาวะหยุดชะงัก ตอนที่ฉันสามัคคีธรรมกับหยางลี่และเปิดโปงปัญหาของเธอ ไม่เพียงแต่เธอไม่ยอมรับในสิ่งที่ฉันพูด แต่เธอถึงขนาดเถียงกลับ พยายามแก้ตัว และพยายามโยนความผิดเรื่องที่งานของคริสตจักรขาดผลลัพธ์ให้กับพี่น้องหญิงที่ทำงานคู่กับเธออีกด้วย จากพฤติกรรมของหยางลี่ และจากที่เห็นว่าเธอไม่ยอมรับความจริงหรือสำนึกผิดเลย ฉันจึงถือว่าเธอเป็นผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำงานจริง และเป็นคนที่ควรถูกปลดทันที แต่ฉันกลับลังเล พี่น้องชายหญิงบางคนไม่มีวิจารณญาณแยกแยะหยางลี่ และรู้สึกว่าเธอมีขีดความสามารถและพรสวรรค์อยู่บ้าง พวกเขาพูดว่าเธอหัวไวและสามัคคีธรรมเก่งเวลาชุมนุม พวกเขาบอกว่าเธอทำหน้าที่วันละหลายชั่วโมง และมีสำนึกของการแบกรับภาระที่แท้จริง พวกเขาเทิดทูนเธอ และปกป้องเธอ ในเมื่อทุกคนดูเหมือนจะยกย่องเธอมากขนาดนั้น ฉันจึงคิดว่า ถ้าฉันปลดเธอออกทันทีที่เข้ามารับตำแหน่ง พวกเขาจะไม่คิดว่าฉันโอหังหรอกเหรอ? พวกเขาจะคิดว่าฉันไม่ให้โอกาสเธอสำนึกผิดหรือเปล่า? หรือไม่ บางทีพวกเขาก็อาจจะคิดว่าฉันแค่กระตือรือร้นที่จะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพื่อประกาศศักดาที่ฉันเพิ่งได้มาว่าอยู่เหนือทุกคนและสร้างบารมีของตัวเองหรือเปล่า? ฉันบอกตัวเองว่า “บางทีพี่น้องชายหญิงควรได้เขียนประเมินผลของพวกเขาเองเกี่ยวกับหยางลี่เสียก่อน แล้วฉันค่อยตัดสินใจว่าจะปลดเธอดีไหม” แต่พี่น้องชายหญิงขาดวิจารณญาณแยกแยะเกี่ยวกับเธอ และการประเมินของพวกเขาก็แทบใช้อ้างอิงไม่ได้เลย การข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเวลานี้รุนแรงมาก จนเป็นไปไม่ได้ที่จะชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงเพื่อสามัคคีธรรมและแยกแยะเธอได้ หากฉันรอจนกว่าจะได้สามัคคีธรรมกับพวกเขาแล้วค่อยปลดเธอออก อย่างนั้นงานของคริสตจักรก็คงจะล่าช้าไปแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ฉันคิดว่า “ปลดเธอออกก่อนเลยดีกว่า แล้วค่อยสามัคคีธรรมและแยกแยะพฤติกรรมของเธอร่วมกับพี่น้องชายหญิงทีหลัง” แต่ฉันก็ยังคงเป็นกังวลและสงสัยว่า “ถ้าพี่น้องชายหญิงไม่ได้รับโอกาสให้เขียนประเมินผลก่อนปลดเธอออก แล้วจะเป็นไปได้เหรอที่จะทำให้พวกเขาคล้อยตาม? ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งก็คือ ฉันสามารถเขียนจดหมายรายงานสถานการณ์ของหยางลี่ถึงผู้นำระดับสูงได้ ถ้าผู้นำเห็นด้วย ฉันค่อยปลดเธอออก วิธีนั้น ต่อให้เรื่องนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากพี่น้องชายหญิง ฉันก็จะไม่ต้องรับผิดชอบการตัดสินใจนี้แต่เพียงลำพัง ทุกคนจะรู้ว่าไม่ใช่แค่ฉันที่ตัดสินใจดำเนินการตามแนวทางนี้ ฉะนั้นพวกเขาก็คงจะไม่พูดอะไรถึงฉันในทางลบ” ความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวฉันตลอดเวลา และในที่สุดฉันก็ตัดสินใจว่าจะเขียนจดหมายถึงผู้นำในวันรุ่งขึ้น

เช้าวันต่อมา ฉันบอกพี่น้องหญิงที่ทำงานคู่กับฉันถึงสถานการณ์ของหยางลี่ เธอก็เชื่อเหมือนกันว่าหยางลี่เป็นผู้นำเทียมเท็จที่ควรถูกปลดออกให้เร็วที่สุด เธอแนะนำให้ปลดหยางลี่ออกทันที พร้อมกับเขียนจดหมายไปแจ้งให้ผู้นำทราบ ฉันคิดว่านี่ก็เป็นแนวทางดำเนินการที่เหมาะสมเช่นกัน แต่พอจะลงมือ ฉันก็ลังเลอีกรอบโดยคิดว่า “ทั้งหมดนี้เพียงแค่อิงจากสิ่งที่ฉันเห็นจากพฤติกรรมของหยางลี่ หากไม่มีการประเมินผลจากพี่น้องชายหญิง แล้วทุกคนจะเห็นด้วยกับการปลดเธอจริงเหรอ? ถึงเวลานั้น พวกเขาจะออกมาคัดค้านแทนหยางลี่ไหม? พวกเขาจะพูดว่าฉันโอหัง หรือว่าฉันไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้คนอย่างยุติธรรมได้หรือเปล่า? ถ้าเกิดพี่น้องชายหญิงไม่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของฉัน และไปรายงานฉันเพราะเรื่องนี้ ฉันคงต้องเสียหน้าแน่ๆ” ยิ่งฉันคิด ฉันก็ยิ่งรู้สึกสับสน พี่น้องหญิงเห็นสีหน้าที่กระวนกระวายของฉันจึงถามว่า “คุณกำลังกังวลเรื่องพี่น้องชายหญิงอยู่หรือเปล่า? ว่าถ้าคุณปลดหยางลี่ออกโดยไม่มีการประเมินผลจากพวกเขา พวกเขาจะไม่ยอมรับ? เราปลดผู้นำเทียมเท็จตามหลักธรรม เพื่อปกป้องงานของคริสตจักร แล้วทำไมคุณถึงกังวลเรื่องนี้นักล่ะ?” เมื่อได้ยินสิ่งเธอพูด ฉันก็เริ่มคิดทบทวนว่า “จริงด้วยสิ พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าให้ปลดผู้นำและคนทำงานที่สร้างความปั่นป่วน และไม่สามารถทำงานจริงใดได้เลย เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า ฉันเห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าหยางลี่เป็นผู้นำเทียมเท็จ แต่ฉันก็ยังเอาแต่ต้องการให้พี่น้องชายหญิงเห็นพ้องต้องกันก่อนจะปลดเธอออก ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ?” ฉันตระหนักว่าสภาวะนี้ไม่ถูกต้อง ดังนั้น ฉันและพี่น้องหญิงจึงแสวงหาทางแก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน และเราได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนที่กล่าวว่า “ถ้าในฐานะผู้นำและคนทำงาน พวกเจ้ากลับเพิกเฉยต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งยังเที่ยวหาข้ออ้างและข้อแก้ตัวสารพัดเพื่อปัดความรับผิดชอบ ปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก็ไม่ลงมือแก้ไข ส่วนปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็ไม่รายงานต่อเบื้องบน ทำประหนึ่งว่าปัญหาเหล่านั้นมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเจ้าเลย แบบนี้เรียกว่าการละเลยหน้าที่ไม่ใช่หรือ?  การปฏิบัติต่องานของคริสตจักรเช่นนี้ฉลาดหรือโง่เขลา?  (โง่เขลา)  ผู้นำและคนทำงานเยี่ยงนี้เป็นพวกกลับกลอกไม่ใช่หรือ?  พวกเขาคือคนไร้ซึ่งจิตสำนึกรับผิดชอบโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ?  พอประสบปัญหาก็เพิกเฉย—คนเช่นนี้เป็นพวกไม่เอาใจใส่ไม่ใช่หรือ?  พวกเขาไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์หรอกหรือ?  คนเจ้าเล่ห์นั่นแหละคือคนที่โง่เขลาที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง!  เจ้าต้องเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เจ้าต้องมีสำนึกรับผิดชอบเมื่อเจ้าเผชิญหน้าปัญหา และเจ้าต้องพยายามทำทุกวิถีทางที่ทำได้และแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหา  แน่นอนว่าเจ้าต้องไม่เป็นคนเจ้าเล่ห์  หากเจ้าสนใจแต่จะบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบและไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเมื่อเกิดปัญหาขึ้น เจ้าก็จะถูกกล่าวโทษเพราะพฤติกรรมเยี่ยงนี้แม้แต่ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ นับประสาอะไรกับในพระนิเวศของพระเจ้า!  พฤติกรรมนี้แน่นอนว่าย่อมถูกพระเจ้ากล่าวโทษและสาปแช่ง และย่อมถูกประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรชังและไม่ยอมรับ  พระเจ้าโปรดคนที่ซื่อสัตย์ และพระองค์ทรงชังคนหลอกลวงและกลับกลอก  หากเจ้าเป็นคนเจ้าเล่ห์และประพฤติตนในลักษณะที่กลับกลอก พระเจ้าย่อมจะทรงชังเจ้ามิใช่หรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าจะปล่อยให้เจ้าพ้นผิดได้โดยง่ายกระนั้นหรือ?  ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องรับผิดชอบ  พระเจ้าโปรดคนที่ซื่อสัตย์และไม่โปรดคนเจ้าเล่ห์  ทุกคนควรเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน เลิกเลอะเลือนและเลิกทำสิ่งที่เขลา  การไม่รู้ความเพียงชั่วคราวนั้นสามารถอภัยให้ได้ แต่หากบุคคลหนึ่งไม่ยอมรับความจริงเลย เช่นนั้นพวกเขาก็ดื้อรั้นเกินไป  บุคคลที่ซื่อสัตย์ย่อมจะสามารถรับผิดชอบ  พวกเขาไม่คำนึงถึงผลกำไรและขาดทุนของตนเอง พวกเขาพิทักษ์งานและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น  พวกเขาใจดีมีเมตตาและมีหัวใจที่ซื่อสัตย์เหมือนน้ำใสในชามซึ่งมองปราดเดียวคนเราก็สามารถเห็นก้นชามได้  และการกระทำของพวกเขายังมีความโปร่งใสอีกด้วย  คนหลอกลวงประพฤติตนในลักษณะที่กลับกลอกอยู่เสมอ ทำการเสแสร้ง ปกปิด และเก็บซ่อนสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ และห่อหุ้มตนเองอย่างมิดชิดจนน่าเหลือเชื่อ  ไม่มีผู้ใดสามารถมองคนประเภทนี้ออก  ผู้คนไม่สามารถรู้ทันความคิดในใจเจ้าได้ แต่พระเจ้าสามารถทรงพินิจพิเคราะห์สิ่งที่อยู่ลึกที่สุดในหัวใจของเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงเห็นว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ ว่าเจ้าเป็นสิ่งที่กลับกลอก ว่าเจ้าไม่เคยยอมรับความจริง หลอกลวงพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระองค์พระองค์ย่อมจะไม่โปรดเจ้า และพระองค์ย่อมจะทรงชังและทรงทอดทิ้งเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8))  “เจ้าทั้งปวงกล่าวว่าเจ้าคำนึงถึงพระภาระของพระเจ้า และจะปกป้องคำพยานของคริสตจักร แต่ใครหรือในหมู่พวกเจ้าที่ได้คำนึงถึงพระภาระของพระเจ้าจริงๆ?  จงถามตัวเจ้าเองว่า เจ้าเป็นใครคนหนึ่งซึ่งได้แสดงให้เห็นความคำนึงถึงพระภาระของพระองค์หรือไม่?  เจ้าสามารถปฏิบัติความชอบธรรมเพื่อพระองค์หรือไม่?  เจ้าสามารถยืนขึ้นและพูดเพื่อเราหรือไม่?  เจ้าสามารถนำความจริงมาปฏิบัติอย่างหนักแน่นมั่นคงหรือไม่?  เจ้ากล้าพอที่จะต่อสู้กับความประพฤติทั้งปวงของซาตานหรือไม่?  เจ้าจะสามารถวางความรู้สึกของเจ้าและเปิดโปงซาตานเพื่อเห็นแก่ความจริงของเราได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถยอมให้ในตัวเจ้ามีการสนองเจตนารมณ์ของเราหรือไม่?  เจ้าเคยมอบถวายหัวใจของเจ้าในชั่วขณะที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดหรือไม่?  เจ้าใช่คนที่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของเราหรือไม่?  จงถามคำถามเหล่านี้กับตัวเจ้าเอง และคิดเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ให้บ่อย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 13)  พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงเจตนาอันน่ารังเกียจของฉันราวกับค้อนที่ตอกลงบนตะปู ตอนนั้นเองที่ฉันได้เห็นว่าตัวเองเป็นคนคิดคดมากแค่ไหน ฉันยืนยันได้ชัดเจนแล้วว่าหยางลี่เป็นผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำงานจริง และพี่น้องชายหญิงก็ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะเธอ พวกเขาพากันชื่นชมและปกป้องเธอ แต่แทนที่จะปลดเธอออกโดยเร็วตามหลักธรรม ฉันกลับใช้ความเจ้าเล่ห์เพื่อปกป้องหน้าตาและสถานะของตัวเอง ฉันรู้อยู่เต็มอกว่าพี่น้องชายหญิงไม่สามารถแยกแยะเธอได้ และการให้พวกเขาเขียนประเมินผลไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่ฉันก็ยังคงเต็มใจที่จะเสียเวลาทำตามกระบวนการนี้เพราะกลัวว่า หากฉันปลดหยางลี่ออกไปคนจะว่าฉันโอหัง และเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อสถานะและภาพลักษณ์ของฉัน ฉันใช้เรื่องความเห็นชอบจากพี่น้องชายหญิงมาเป็นข้ออ้างเพื่อปกปิดเจตนาอันน่ารังเกียจของตัวเอง และถึงขนาดอยากขอความเห็นจากผู้นำก่อนปลดเธอออก ด้วยวิธีนั้น ต่อให้พี่น้องชายหญิงไม่เห็นด้วยกับการปลดเธอ ฉันก็แค่พูดไปว่าผู้นำเห็นชอบแล้ว เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ต้องแบกความรับผิดชอบนั้นไว้เพียงลำพัง ฉันคิดสารพัดวิธีเพื่อปกป้องตัวเอง ใช้เล่ห์กลและกลอุบายเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ฉันช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง! เป็นหน้าที่ของฉัน และข้อเรียกร้องของพระนิเวศของพระเจ้า ที่ฉันต้องปลดผู้นำเทียมเท็จที่ไม่เหมาะสมออกโดยเร็ว แต่ ฉันกลับหลบเลี่ยงความรับผิดชอบโดยมัวแต่ลังเล สิ่งที่ฉันคิดถึงมีเพียงวิธีการปกป้องหน้าตาและสถานะของตัวเอง ฉันไม่ได้คำนึงถึงเลยว่า นั่นจะเป็นอุปสรรคและก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่องานของคริสตจักร และต่อการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงมากแค่ไหนหากฉันไม่ปลดผู้นำเทียมเท็จคนนี้ออกอย่างทันท่วงที ฉันนั่งมองดูผู้นำเทียมเท็จทำร้ายคริสตจักร แทนที่จะลุกขึ้นเปิดโปงเธอ ปลดเธอออก และปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร ฉันกลับให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตัวเองก่อนเสมอ ถึงขนาดหาทางเลี่ยงจากสถานการณ์นี้ให้กับตัวเอง ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจเสียจริง! ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับหน้าที่นี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องให้สู้หน้ากับพี่น้องชายหญิงเลย

ฉันไตร่ตรองเรื่องทั้งหมดนี้ ฉันเชื่อในพระเจ้า กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน และทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ทำไมเวลาเผชิญกับปัญหา ฉันกลับหยุดปฏิบัติความจริง? ทำไมฉันไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรได้? สาเหตุของเรื่องนี้คืออะไรกันแน่? ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง และได้เข้าใจปัญหานี้มากขึ้นอีกเล็กน้อย พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ในหมู่พวกเจ้ามีใครบ้างที่เชื่ออย่างลึกซึ้งในหัวใจในพระเจ้าที่คลุมเครือบนสวรรค์เท่านั้น แต่ก็มีมโนคติอันหลงผิดอยู่เสมอเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์?  หากมีผู้คนเช่นนั้นอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คือผู้เชื่อในศาสนา  ผู้เชื่อในศาสนาไม่ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในหัวใจของพวกเขา และต่อให้พวกเขายอมรับ พวกเขาก็มีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์อยู่เสมอและไม่เคยสามารถนบนอบได้เลย  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  หากกล่าวอย่างเคร่งครัด ผู้คนเช่นนั้นย่อมไม่ใช่ผู้เชื่อในพระเจ้า  แม้ว่าพวกเขาอาจอ้างว่าเชื่อในพระเจ้า แต่ในความเป็นจริงพวกเขาก็ไม่แตกต่างจากผู้เชื่อในศาสนามากนัก  ในหัวใจของพวกเขา ทั้งหมดที่พวกเขาเชื่อก็คือพระเจ้าที่คลุมเครือ พวกเขาคือผู้ปฏิบัติตามมโนคติอันหลงผิดและข้อบังคับทางศาสนา  ดังนั้นกับใครบางคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ที่มุ่งความสนใจไปที่พฤติกรรมที่ดีและความยึดมั่นในข้อบังคับเท่านั้น ที่ไม่ปฏิบัติความจริง และอุปนิสัยของพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย สิ่งที่บุคคลนั้นกำลังทำอยู่ก็คือการเชื่อในศาสนา  ลักษณะเฉพาะที่ทำให้ผู้ที่เชื่อในศาสนาแตกต่างออกไปคืออะไร?  (พวกเขามุ่งความสนใจไปที่การปฏิบัติภายนอกเท่านั้นและดูเหมือนจะประพฤติตัวดี)  หลักธรรมและพื้นฐานของการกระทำของพวกเขาคืออะไร?  (ปรัชญาเยี่ยงซาตานในการดำรงชีวิตทางโลก)  ปรัชญาเยี่ยงซาตานในการดำรงชีวิตทางโลกและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานนั้นมีอะไรบ้าง?  ความคดโกงและความหลอกลวง การเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ความโอหังและความทะนงตน การมีคำพูดสุดท้ายสำหรับทุกสิ่ง การไม่เคยค้นหาความจริงหรือสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง และเมื่อลงมือกระทำ ก็คิดถึงผลประโยชน์ของตนเอง ความหยิ่งผยองและสถานะของตนเองอยู่เสมอ—ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำบนพื้นฐานของอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  นี่เป็นการติดตามซาตาน  หากคนเราเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่เอาใจใส่พระวจนะของพระองค์ ไม่ยอมรับความจริง หรือนบนอบต่อการจัดแจงเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ หากพวกเขาเพียงแค่แสดงพฤติกรรมที่ดีบางประการ แต่ไม่สามารถกบฏต่อเนื้อหนังได้ และไม่สามารถละทิ้งความหยิ่งผยองหรือผลประโยชน์ของตนได้เลย แม้ว่าจากรูปลักษณ์ภายนอกพวกเขาจะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน หากพวกเขายังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตน และยังไม่เลิกหรือเปลี่ยนแปลงปรัชญาและรูปแบบการดำรงอยู่เยี่ยงซาตานของตนแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะสามารถเชื่อในพระเจ้าได้?  นั่นคือการเชื่อในศาสนา  ผู้คนเช่นนี้ละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตนเองอย่างผิวเผิน แต่เมื่อมองดูเส้นทางที่พวกเขาเดิน และต้นกำเนิด และจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขาไม่ได้มีพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริงเป็นพื้นฐานของสิ่งเหล่านั้น แทนที่จะทำเช่นนั้นพวกเขาก็ยังคงกระทำต่อไปตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง ข้อสันนิษฐานเชิงจิตวิสัยของตน และความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตน  ปรัชญาและอุปนิสัยของซาตานยังคงเป็นพื้นฐานของการดำรงอยู่และการกระทำของพวกเขา  ในเรื่องทั้งหลายที่พวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริง ในเรื่องทั้งหลายที่พวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาก็ไม่ปฏิบัติความจริง ไม่เทิดพระเกียรติพระเจ้าในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ หรือไม่เก็บรักษาความจริง  แม้ว่าพวกเขาจะยอมรับและเชื่อในพระเจ้าเพียงในนามและด้วยวาจา และแม้ว่าพวกเขาอาจดูเหมือนสามารถปฏิบัติหน้าที่และติดตามพระเจ้าได้ พวกเขาก็กำลังใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานในทุกสิ่งที่พวกเขาพูดและทำ  สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาพูดและทำล้วนเป็นการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  เจ้าจะไม่เห็นพวกเขาปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า นับประสาอะไรกับการสำแดงว่าพวกเขาแสวงหาและนบนอบต่อความจริงในสิ่งทั้งปวง  ในการกระทำของพวกเขานั้น พวกเขาคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองก่อน และทำให้ความอยากได้อยากมีและเจตนาของตนเองลุล่วงก่อน  ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่ติดตามพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)… พวกเขาไม่เคยใส่ใจว่าเจตนารมณ์หรือข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าคืออะไร และผู้คนต้องปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย  แม้ว่าบางครั้งพวกเขาอาจจะอธิษฐานเบื้องหน้าพระเจ้าและสามัคคีธรรมกับพระองค์ พวกเขาก็เพียงแต่กำลังพูดคุยกับตัวพวกเขาเอง ไม่ได้แสวงหาความจริงอย่างจริงใจ  เมื่อพวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้าและอ่านพระวจนะของพระองค์ พวกเขาไม่ได้เชื่อมโยงพระวจนะเหล่านั้นกับเรื่องที่พวกเขาเผชิญในชีวิตจริง  ดังนั้นในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมการไว้ พวกเขาควรปฏิบัติต่ออธิปไตย การจัดแจงเตรียมการ และการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์อย่างไร?  เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งทั้งหลายที่ไม่ตอบสนองความอยากได้อยากมีของตนเอง พวกเขาก็หลีกเลี่ยงและต้านทานสิ่งเหล่านั้นในหัวใจของพวกเขา  เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งทั้งหลายที่ก่อให้เกิดการสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาหรือกีดกันการตอบสนองที่ให้ผลประโยชน์แก่พวกเขา พวกเขาก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อแสวงหาทางออก พลางเพียรพยายามสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้กับตนเองและต่อสู้เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสีย  พวกเขามิได้แสวงหาเพื่อที่จะตอบสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า แต่ตอบสนองความอยากได้อยากมีของตนเองเท่านั้น  นี่คือความเชื่อในพระเจ้าใช่หรือไม่?  ผู้คนเช่นนั้นมีสัมพันธภาพกับพระเจ้าหรือไม่?  ไม่ พวกเขาไม่มี  พวกเขาใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต่ำช้า เลวทราม ดื้อแพ่ง และน่าเกลียด  พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังขัดขืนอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าในทุกเรื่องอีกด้วย(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเชื่อในศาสนาหรือการเข้าร่วมศาสนพิธีไม่สามารถช่วยคนเราให้รอด)  การไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ทำให้หัวใจของฉันปั่นป่วนราวกับทะเลที่มีพายุ เมื่อมองย้อนกลับไปถึงพฤติกรรมของฉัน ฉันเป็นหนึ่งในผู้คนเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงเปิดโปง เป็นแค้ผู้เชื่อในศาสนา แม้ดูเหมือนว่าฉันจะสามารถละทิ้งและสละตนเพื่อพระเจ้าได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา ฉันกลับไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง เอาแต่คิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัว และใช้ชีวิตไปตามกฎเกณฑ์การอยู่รอดของซาตาน อย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “ผู้คนที่มีไหวพริบนั้น เก่งในการปกป้องตัวเอง ด้วยการแค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น” กฎเกณฑ์เหล่านี้หยั่งรากลึกลงไปในหัวใจของฉัน ฉันรู้สึกว่า ผู้คนควรใช้ชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง และคนที่ไม่คิดถึงตัวเองก็เป็นคนโง่ ฉันใช้กฎเกณฑ์เหล่านี้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตส่วนตัว จนฉันกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เจ้าเล่ห์ หลอกลวง และน่ารังเกียจมากขึ้นทุกที แม้ว่าฉันจะอ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากมายหลังจากได้มาเชื่อในพระองค์ แต่ฉันกลับยังคงไม่ยอมรับความจริง ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า แต่กลับใช้ปรัชญาของซาตานแทน ในเรื่องการปลดหยางลี่ ฉันรู้ดีว่าฉันควรทำอะไรเพื่อเป็นการปฏิบัติความจริง และรู้ว่านี่จะเป็นประโยชน์ต่องานคริสตจักรและชีวิตของพี่น้องชายหญิง แต่เพื่อรักษาหน้าตาและสถานะของตัวเอง และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พี่น้องชายหญิงว่าฉันโอหัง ฉันเลือกที่จะชะลอการดำเนินการ และเพียงแค่ยืนดูในขณะที่ผู้นำเทียมเท็จคนหนึ่งทำร้ายและทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าต่อไป ฉันไม่ได้กำลังปกป้องผู้นำเทียมเท็จคนนี้ และเห็นชอบกับการทำชั่วของเธอไปโดยปริยายหรอกเหรอ? หากคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและมีสำนึกของความยุติธรรม มาเห็นงานของคริสตจักรถูกทำให้หยุดชะงัก พวกเขาจะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และลุกขึ้นปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร แต่พอฉันเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ ฉันกลับไม่ปฏิบัติความจริง แต่ใช้ชีวิตตามปรัชญาทางโลกของซาตานแทน แล้วฉันจะเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าได้ยังไง? ฉันเคยคิดว่าฉันเชื่อในพระเจ้า คิดว่าฉันสามารถละทิ้งและสละตนได้ และคิดว่าฉันสามารถทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อความเชื่อของฉันได้ ฉันเคยคิดว่าฉันสามารถนบนอบทุกหน้าที่ที่คริสตจักรมอบหมายให้ฉันได้ แต่ตอนนี้ ฉันตระหนักแล้วว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงพฤติกรรมภายนอกที่ดูดีเท่านั้น การเผชิญหน้ากับปัญหานี้ได้เผยตัวฉันออกมา ฉันไม่มีความเป็นจริงของการปฏิบัติความจริงเลย และเวลาทำหน้าที่ ฉันก็ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและปรัชญาซาตานผูกมัดเอาไว้ ฉันไม่ได้เชื่อในพระเจ้า แต่เชื่อในศาสนา ความเชื่อของฉันไม่ได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า แต่กลับถูกพระองค์ทรงเหยียดหยามและเกลียดชังแทน หากฉันไม่กลับใจ จุดจบของฉันก็คงเป็นการถูกลงโทษและถูกกำจัดออกไป

ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มอีกว่า “ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทำหน้าที่อันใด พวกเจ้าก็ต้องจับหลักธรรมให้ได้ และสามารถปฏิบัติความจริง  นี่คือความหมายของการมีหลักธรรม  หากพวกเจ้าไม่สามารถเห็นบางสิ่งได้ชัดเจน และไม่แน่ใจว่าวิธีทำที่เหมาะสมเป็นเช่นใด พวกเจ้าก็ควรแสวงหาและสามัคคีธรรมเพื่อหาฉันทามติ  เมื่อพวกเจ้าระบุได้แล้วว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง ก็จงทำดังนั้น  อย่ายอมให้ข้อบังคับสารพัดตีกรอบเจ้าเอาไว้ อย่ารอช้า อย่าคอย และอย่าเป็นผู้สังเกตการณ์ที่นิ่งเฉย  หากเจ้าเป็นผู้สังเกตการณ์ที่นิ่งเฉยอยู่เสมอและไม่มีความคิดเห็นของตนเอง ถ้าเจ้ารอจนผู้อื่นตัดสินใจก่อนจึงค่อยลงมือทำอยู่เสมอ และถ้าเจ้าเอาแต่แกล้งถ่วงเวลาและรอคอยในยามที่ยังไม่มีใครตัดสินใจ ผลสืบเนื่องย่อมจะเป็นเช่นใด?  งานทุกชิ้นจะชะงักอยู่กับที่ และไม่มีสิ่งใดสำเร็จเสร็จสิ้น  เจ้าควรเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริง และอย่างน้อยก็สามารถกระทำการตามมโนธรรมและเหตุผลของตนได้  ตราบใดที่เจ้าสามารถมองเห็นหนทางที่เหมาะสมในการทำบางสิ่งอย่างชัดเจน และผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดเช่นกันว่าวิธีการนั้นใช้ได้ ตราบนั้นเจ้าก็ควรปฏิบัติตามนั้น  จงอย่ากลัวการรับผิดชอบ หรือการล่วงเกินผู้อื่น หรือกลัวที่จะแบกรับผลสืบเนื่อง  หากมีคนที่ไม่ทำสิ่งใดจริง คิดคำนวณอยู่เสมอ กลัวการรับผิดชอบ และพวกเขาไม่กล้ายึดมั่นในหลักธรรมเวลาที่พวกเขากระทำการ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็แสดงว่าพวกเขากลับกลอกและหลอกลวงเกินไป และเก็บงำกลอุบายที่มีเหลี่ยมคูเอาไว้มากเกินไป  พวกเขาอยากสุขสำราญในพระคุณและพรจากพระเจ้า แต่กลับไม่ทำสิ่งใดจริงนั้น นี่ช่างไร้คุณธรรมนัก  ไม่มีใครที่พระเจ้าทรงรังเกียจยิ่งกว่าบุคคลที่เจ้าเล่ห์และหลอกลวงเช่นนี้อีกแล้ว  ไม่ว่าเจ้าจะกำลังคิดสิ่งใดอยู่ก็ตาม ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติตามความจริง ไม่มีความจงรักภักดี ด่างพร้อยไปด้วยสิ่งปลอมปนที่มาจากตัวเจ้าเอง และมีเจตนาและแนวคิดของตนเองอยู่เสมอ พระเจ้าย่อมจะทรงพินิจพิเคราะห์และรู้ถึงสิ่งทั้งปวงนี้  เจ้านึกว่าพระเจ้าไม่ทรงรู้กระนั้นหรือ?  ถ้าคิดเช่นนั้น เจ้าก็โง่เขลานัก!  และหากเจ้าไม่กลับใจทันที เจ้าก็จะไม่มีพระราชกิจของพระเจ้า  เหตุใดเจ้าจึงจะไม่มีพระราชกิจของพระเจ้า?  นั่นเป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนลึกของผู้คน  และพระองค์ทรงมองเห็นอุบายเหลี่ยมจัดทั้งปวงที่เจ้ามีได้อย่างชัดเจนที่สุด เจ้าปิดหัวใจของตนจากพระองค์ และเจ้าไม่ได้มีหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์  สิ่งสำคัญที่ทำให้เจ้าปิดหัวใจจากพระเจ้าคืออะไร?  ความคิดของเจ้า ผลประโยชน์และความภาคภูมิใจของเจ้า สถานะของเจ้า และอุบาย ที่มีเหลี่ยมคูของเจ้า  หัวใจของเจ้ามีกำแพงกั้นเจ้าจากพระเจ้า และเจ้าก็เก็บงำความลับเอาไว้ตลอดเวลา และมีแรงจูงใจแอบแฝงอยู่เสมอ และนี่ย่อมเป็นปัญหามาก  หากเจ้ามีขีดความสามารถต่ำเล็กน้อยและมีประสบการณ์ที่ค่อนข้างตื่นเขิน แต่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง และมีหัวใจอันเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอยู่เสมอ และสามารถมอบทั้งหมดของเจ้าให้กับสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า โดยปราศจากการใช้เล่ห์เหลี่ยมใดๆ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะทอดพระเนตรเห็นการนี้เช่นกัน  หากเจ้าปิดหัวใจของตนจากพระเจ้าอยู่เสมอ และเก็บงำกลอุบายเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ตลอดเวลา หากเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อผลประโยชน์และความภาคภูมิใจของตนอยู่เสมอ คิดคำนวณในหัวใจของตนเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา และสิ่งเหล่านี้ยึดครองหัวใจของเจ้าไว้ จนส่งผลให้พระเจ้าไม่พึงพอพระทัยในตัวเจ้า ดังนั้นพระองค์จึงไม่ประทานความรู้แจ้งหรือความกระจ่างแก่เจ้า หรือไม่ใส่พระทัยในตัวเจ้าเลย และหัวใจของเจ้าก็ดำมืดลงเรื่อยๆ เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือทำอะไรก็ตาม เจ้าก็จะทำให้สิ่งนั้นเละเทะ และไม่เกิดผลดีใดๆ เลย  นี่เป็นเพราะว่าเจ้านั้นเห็นแก่ตัวและชั่วช้ายิ่งนัก วางกลอุบายเพื่อประโยชน์ของตนเองอยู่เสมอ และไม่จริงใจต่อพระเจ้า และเจ้ากล้าเข้าไปมีส่วนร่วมในการหลอกลวงพระเจ้าและพยายามหลอกลวงพระเจ้า และไม่เพียงเจ้าไม่ยอมรับพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังไม่ซื่อในการปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกด้วย—นั่นไม่ใช่การสละเพื่อพระเจ้าด้วยความจริงใจ  เจ้าไม่ทำหน้าที่ของตนอย่างจริงใจ เจ้าเพียงแค่มาที่นี่เพื่อตรากตรำเล็กน้อย ใช้โอกาสนี้ฉกฉวยผลประโยชน์ให้มากขึ้น และเจ้ายังต้องการสมคบคิดกันเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะให้ตนเองอีกด้วย และเจ้าไม่ยอมรับและไม่นบนอบเมื่อถูกตัดแต่ง จึงเป็นไปได้มากที่เจ้าจะก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนลึกของผู้คน  หากเจ้าไม่กลับใจ เจ้าก็จะตกอยู่ในอันตราย และเจ้าก็น่าจะถูกพระเจ้าทรงกำจัดออกไป หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะไม่มีวันมีโอกาสได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าอีกเลย(การสามัคคีธรรมของพระเจ้า)  พระวจนะของพระเจ้ามอบหนทางแห่งการปฏิบัติแก่ฉัน เมื่อคุณเผชิญกับปัญหาที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจน คุณสามารถแสวงหาการสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงที่เข้าใจความจริง และตกลงกันให้เป็นเอกฉันท์ก่อนลงมือแก้ไขปัญหา แต่ถ้าเห็นชัดแล้วว่าแนวทางดำเนินการนั้นสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง และจะเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร เช่นนั้นคุณก็ควรปฏิบัติตามแนวทางนั้นอย่างทันท่วงที แต่หากคุณมัวแต่ลังเล รอคอยความเห็นชอบจากผู้นำอยู่เสมอก่อนจะตัดสินใจลงไป เช่นนั้นก็อาจทำให้งานคริสตจักรล่าช้าได้ ที่จริงแล้ว เมื่อปลดผู้นำหรือคนทำงานที่ไม่เหมาะสม ก็เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับหลักธรรมเช่นกัน ที่จะทำความเข้าใจการประเมินผลของพี่น้องชายหญิง เพื่อทำการประเมินอย่างรอบด้านแล้วค่อยตัดสินใจ นี่เป็นหนทางที่ดี ที่จะหลีกเลี่ยงการทำผิดพลาดเมื่อต้องมอบหมายตำแหน่งผู้นำและคนทำงานใหม่ แต่หลักธรรมไม่ใช่กฎเกณฑ์ตายตัว การนำหลักธรรมไปใช้ต้องยืดหยุ่นไปตามรูปการณ์แวดล้อม ในกรณีของการปลดหยางลี่ ฉันกับพี่น้องหญิงที่ทำงานคู่กันยืนยันได้แล้วตามหลักธรรมว่าหยางลี่เป็นผู้นำเทียมเท็จ และหากฉันไม่ปลดเธอออกทันทีก็รังแต่จะทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าไปเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องรอจนกว่าฉันจะรวบรวมการประเมินผลของพี่น้องชายหญิงได้ก่อนค่อยปลดเธอ อีกอย่าง พี่น้องชายหญิงก็ไม่ได้หยั่งรู้หยางลี่ พวกเขาถูกเธอชักพาให้หลงเชื่อ ต่อให้ฉันไปขอให้พวกเขาเขียนการประเมินผล นั่นก็จะไม่มีความหมายอะไร เป็นแค่พิธีการ และเป็นการเสียเวลาเปล่า ฉันควรจะปลดเธอออกไปเลย และเปิดโปงว่าเธอไม่ได้ทำงานจริงอย่างไร เพื่อทำให้พี่น้องชายหญิงได้มีวิจารณญาณแยกแยะเธอขึ้นมาบ้าง และไม่ถูกเธอชักพาให้หลงเชื่ออีกต่อไป นั่นคงจะเป็นหนทางเดียวในการลุล่วงความรับผิดชอบของฉันในฐานะผู้นำ แต่ในเรื่องนี้ ฉันกลับใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน ใช้กลอุบายเพื่อปกป้องตัวเอง ฉันไม่ได้ปฏิบัติความจริง และไม่แบกรับความรับผิดชอบเลยแม้แต่น้อย หากฉันยังคงทำหน้าที่แบบนี้ต่อไป ฉันย่อมจะถูกพระเจ้ารังเกียจเดียดฉันท์ ฉันรู้ว่าหยางลี่เป็นผู้นำเทียมเท็จ แต่ฉันกลับไม่กล้าปลดเธอออกโดยตรง เพราะกลัวผู้คนจะว่าฉันโอหัง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ฉันไม่เข้าใจว่าความโอหังเป็นยังไง อีกทั้งไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลาย อย่างช่น การมีสำนึกของความยุติธรรมและการยึดมั่นในหลักธรรม ผ่านการแสวงหาและการใคร่ครวญ ฉันก็ได้เข้าใจว่า ความโอหังของคนคนหนึ่งจะสะท้อนให้เห็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขา เมื่อผู้คนไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง แต่กลับยึดมั่นในความคิดเห็นของตัวเองเสมอ ดึงดันในแนวคิดและมุมมองของตน และทำให้ทุกคนเชื่อฟังตัวเอง นี่คือความทะนงตน ความโอหัง และความคิดว่าตนเองถูก แต่การมีสำนึกของความยุติธรรม หมายถึงการยืนหยัดเพื่อความจริงและปกป้องพระราชกิจของพระเจ้า ผ่านการแสวงหาและการอธิษฐาน คนเราสามารถยืนยันได้ว่าแนวทางดำเนินการใดสอดคล้องกับความจริงและพระวจนะของพระเจ้า และสามารถยืนหยัดเพื่อความจริง ปกป้องงานของคริสตจักร และยึดมั่นในสิ่งนี้จนถึงที่สุดได้ไม่ว่าใครจะคิดหรือพูดอย่างไร นี่เป็นการสำแดงของการมีสำนึกของความยุติธรรม ในความเป็นจริง การที่พวกเราตัดสินว่าหยางลี่เป็นผู้นำเทียมเท็จนั้นเป็นไปตามหลักธรรม การปลดเธอออกย่อมจะเป็นผลดีต่องานของคริสตจักร การทำเช่นนี้สอดคล้องกับหลักธรรม และแสดงให้เห็นถึงสำนึกของความยุติธรรม แต่ฉันกลับกลัวว่า หากปลดหยางลี่ออกโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากพี่น้องชายหญิง จะทำให้ผู้คนพูดว่าฉันโอหัง ฉันไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างความโอหังกับการมีสำนึกของความยุติธรรมได้ ฉันกลับมองสิ่งที่เป็นบวกว่าเป็นลบ เรื่องนี้ทำให้ฉันไม่อาจมีเสรีภาพ แลหลบเลี่ยงการกระทำสิ่งที่ถูกต้อง ฉันได้เห็นว่าความเข้าใจของฉันนั้นบิดเบี้ยวไปหมดแล้ว หากพี่น้องชายหญิงไม่สามารถแยกแยะผู้นำเทียมเท็จได้ เช่นนั้นฉันก็สามัคคีธรรมกับพวกเขาได้ ฉันไม่ควรปล่อยให้ความกลัวในคำตัดสินของผู้อื่นมาหยุดยั้งฉันจากการยืนหยัดในหลักธรรม ฉันต้องยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า และปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรไม่ว่าคนอื่นจะคิดยังไง ดังนั้น วันรุ่งขึ้น พวกเราจึงปลดหยางลี่ออกจากตำแหน่ง

หลังจากนั้น ฉันกับพี่น้องหญิงที่ทำงานคู่กันได้สามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงโดยอิงตามพระวจนะของพระเจ้า เราได้ชำแหละการปฏิบัติของหยางลี่ว่า เธอล้มเหลวในการทำงานจริงอย่างไร และเธอไม่ยอมรับความจริงอย่างไร หลังจากการสามัคคีธรรม พี่น้องชายหญิงจึงตระหนักได้ว่าพวกเขาถูกความกระตือรือร้นที่เป็นเพียงเปลือกนอกของหยางลี่หลอกเอา และพวกเขาก็ได้เข้าใจถึงวิธีการแยกแยะว่าผู้นำคนหนึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่ พวกเขาเข้าใจว่า ในการพิจารณาผู้นำเราไม่ควรมองแค่พรสวรรค์ วิธีการพูด หรือการทำตัวให้ดูยุ่ง แต่ควรมองว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง ทำงานจริง แก้ไขปัญหาจริง และงานของพวกเขาให้ผลลัพธ์ที่แท้จริงหรือเปล่า เมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงได้รับความเข้าใจแบบนี้ ฉันก็รู้สึกดีใจ และฉันได้เรียนรู้ว่าเมื่อเราทำหน้าที่ตามหลักธรรมความจริง เราก็จะได้รับการทรงนำของพระเจ้า ก่อนหน้านี้ ฉันเคยกังวลว่า หากฉันปลดหยางลี่ออกไปเลย พี่น้องชายหญิงคงจะไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ และพวกเขาก็คงว่าฉันโอหัง แต่ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงความคิดฝันของฉัน และพอฉันลงมือปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง บรรดาพี่น้องชายหญิงก็ไม่ได้ตัดสินฉัน แต่กลับได้เรียนรู้วิจารณญานการแยกแยะจากสถานการณ์นี้ ไม่นานหลังจากนั้น คริสตจักรก็ได้เลือกผู้นำที่เหมาะสมขึ้นมา พี่น้องชายหญิงกลับมามีชีวิตคริสตจักรตามปกติ และงานของคริสตจักรก็ดำเนินไปอย่างปกติได้อีกครั้ง การได้เห็นทั้งหมดนี้ทำให้ฉันมีความสุขมาก และฉันได้เรียนรู้ว่าการดำเนินการและการทำหน้าที่ตามหลักธรรมความจริงเป็นหนทางเดียวที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า หลังจากนั้น ฉันก็มุ่งมั่นปล่อยวางผลประโยชน์ส่วนตัวของฉัน และเริ่มทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมความจริง ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ทำให้ฉันรู้สึกสงบในหัวใจ และปลดปล่อยฉันให้เป็นอิสระ

ผ่านประสบการณ์นี้ ฉันได้เห็นว่าฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวและหลอกลวง เพื่อปกป้องชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง ฉันกลับละเลยผลประโยชน์ของคริสตจักร หากไม่ใช่เพราะการเปิดโปงจากพระวจนะของพระเจ้า ฉันคงไม่ได้เข้าใจตัวเอง และคงจะไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกัน ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าการแสวงหาหลักธรรมความจริงในทุกสิ่งที่ฉันทำนั้นสำคัญแค่ไหน และมีเพียงการแสวงหาความจริงและดำเนินการตามหลักธรรมเท่านั้น ฉันจึงจะสามารถทำหน้าที่ของฉันให้ได้มาตรฐาน

ก่อนหน้า: 51. สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการกดดันจากครอบครัวฉัน

ถัดไป: 63. ในที่สุดฉันก็ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าแล้ว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger