43. ทางแยก

โดย หวางซิน, เกาหลี

ฉันเคยมีครอบครัวที่มีความสุข และสามีก็ดีกับฉันมากค่ะ เราเปิดร้านอาหารของครอบครัวที่ไปได้ดีทีเดียว ญาติมิตรต่างก็ชื่นชมเรา แต่ภายในฉันกลับรู้สึกว่างเปล่าด้วยความสับสนเสมอ ทุกวันรู้สึกเหมือนวันก่อนหน้าไม่มีผิด เหมือนกับไม่มีความหมายในชีวิตเลย แต่ฉันก็ไม่รู้ค่ะว่าหนทางดำรงชีวิตที่ถูกต้องคืออะไร แล้วในปลายค.ศ. 2010 ฉันก็มีอาการคลอดลูกยากและลงเอยด้วยการตกเลือด หมอบอกว่าฉันอยู่ในภาวะวิกฤติค่ะ แม่ของฉันกลัวมาก กระซิบกับหูฉันว่า “ลูกจ๋า อธิษฐานต่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นะลูก!” ฉันคว้ายึดสิ่งนั้นเหมือนกับสายชูชีพ และเพรียกหาพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในหัวใจของฉันเพื่อช่วยฉันให้รอด ไม่นานนัก เลือดก็หยุดไหล ฉันรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงให้โอกาสในชีวิตครั้งที่สองแก่ฉัน และฉันขอบคุณพระองค์จากหัวใจค่ะ ฉันเริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวันตั้งแต่นั้นมา และร่วมการชุมนุมและสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงตลอดเวลา เมื่อเวลาผ่านไป ฉันได้เรียนรู้ ว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ และทุกอย่างที่มนุษย์มีนั้นมาจากพระเจ้า เราต้องมีความเชื่อ นมัสการพระเจ้า และทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เพื่อหาความหมายในชีวิต ฉันรับหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ และทุกวันก็รู้สึกเติมเต็มจริงๆ ค่ะ ครอบครัวของฉันไม่ได้ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ต่อต้านความเชื่อของฉัน

ในปลายค.ศ. 2012 ค่ะ พรรคคอมมิวนิสต์เริ่มการปราบปรามและจับกุมสมาชิกของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างเสียสติไม่มีเหตุผล และพวกเขาก็เริ่มกุข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงทุกจำพวกเพื่อใส่ร้ายคริสตจักร สถานีวิทยุและสถานีโทรทัศน์มากมายต่างก็เผยแพร่คำโกหกเหล่านี้ เริ่มจากตอนนั้น สามีของฉันจะชักสีหน้าและบึ้งตึงเมื่อไรก็ตามที่ฉันกลับมาจากการชุมนุม มีอยู่วันหนึ่งช่วงพักกลางวัน ฉันไปที่ร้านอาหารหลังจากการชุมนุม และเห็นสีหน้าบูดบึ้งของเขา ทันทีที่เขาเห็นฉัน เขาก็คว้าตัวฉันแล้วลากไปที่โทรทัศน์ และพูดว่า “ดูพระเจ้าองค์นี้ที่เธอเชื่ออยู่ซะ!” ฉันเห็นว่าพวกเขากำลังออกอากาศ คำใส่ร้ายและข่าวลือของพรรคคอมมิวนิสต์ทุกจำพวกเกี่ยวกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ซึ่งไม่มีมูลอะไรเลย พลิกความจริงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ฉันรู้สึกโกรธมาก และหันกลับไปพูดกับเขาว่า “ข่าวนี่มีแต่คำโกหก นี่เป็นแค่ข่าวลือที่พรรคกุขึ้นมา พวกเขาเกลียดพระเจ้าและต่อสู้กับพระองค์มากกว่าสิ่งอื่นใด และพวกเขาข่มเหงการเชื่อทางศาสนาอย่างโหดเหี้ยมตั้งแต่เข้ามามีอำนาจ คุณไปเชื่ออะไรก็ตามที่พวกเขาพูดตรงข้ามกับคริสตจักรได้ยังไง? เราเห็นมามากหลังจากที่ทำธุรกิจหลายปีมานี้ ดังนั้นไม่ใช่ว่าคุณไม่รู้ว่ารัฐบาลนี้ พรรคนี้เป็นอย่างไร พรรคคอมมิวนิสต์ได้ปั้นแต่งคดีเทียมเท็จและไม่ยุติธรรม และรายงานที่เป็นทุกจำพวก โดยที่ไม่ต้องพูดถึงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมด้วยซ้ำ แต่เอาแค่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็มีทั้งเหตุการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมิน การปราบปรามผู้ประท้วงชาวทิเบตอย่างโหดเหี้ยม และอื่นๆ อีก สิ่งที่พวกนั้นทำเสมอก็คือเริ่มจากการกุคำโกหก บิดเบือนความจริงเพื่อทำให้กลุ่มใดกลุ่มหนี่งดูไม่ดีและก่อความโกรธแค้น แล้วก็มาถึงการจัดการขั้นเด็ดขาดอย่างรุนแรง เหมือนที่ทำกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ค่ะ นี่คือยุทธวิธีปกติของพรรคเพื่อกำจัดผู้เห็นต่างให้หมดสิ้นไป อีกอย่าง พี่น้องชายหญิงได้จัดการชุมนุมในบ้านของเราตอนที่คุณก็อยู่ที่นั่นด้วย คุณก็รู้ว่าเราแค่รวมตัวกันอ่านพระวจนะของพระเจ้า สามัคคีธรรมถึงความจริง และร้องเพลงสรรเสริญ มันมีอะไรเหมือนสิ่งที่พรรคกำลังพูดอยู่ไหมล่ะคะ?” พวกเขาหลงเชื่อคำโกหกของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างโงหัวไม่ขึ้น พวกเขาก็เลยหูหนวกต่อสิ่งที่ฉันพูดค่ะ พวกเขาคอยด่าทอฉัน พูดว่าฉันควรจะแค่ดำเนินชีวิตที่ดีแทนที่จะยืนกรานที่จะเชื่อต่อไป และพูดว่าถ้ารัฐบาลพูดว่าเรามีความเชื่อไม่ได้ งั้นก็แค่ล้มเลิกซะ สามีของฉันพูดว่าถ้าฉันยังไปร่วมชุมนุมอยู่ เขาจะพังสกูตเตอร์ไฟฟ้าของฉัน ฉันจะได้ไม่มีทางไปที่นั่นได้ เขายังต้องการกักบริเวณฉันไว้ที่บ้านด้วย

ตอนแรกมันก็ไม่ได้รบกวนใจฉันมากนัก ฉันคิดว่าพวกเขาเพียงแค่หลงเชื่อคำโกหกพวกนั้นชั่วคราว และพวกเขาโกรธเพราะเป็นห่วงฉัน แล้วมันก็จะพัดผ่านไปในไม่กี่วัน แต่สิ่งต่างๆ มันไม่ง่ายแบบนั้น มีคำโกหกมากขึ้นเรื่อยๆ ถูกออกอากาศทางทีวีและอินเตอร์เน็ต โจมตีทำลายชื่อเสียงของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และมีรายงานมากมายเกี่ยวกับเรื่องที่เหล่าผู้เชื่อถูกจับกุม ครอบครัวยิ่งบีบฉันมากขึ้นเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งนี้ พยายามทำให้ฉันล้มเลิกความเชื่อ สามีฉีกหนังสือพระวจนะของพระเจ้าของฉัน และพังเครื่องเล่นเอ็มพีสามที่ฉันใช้ฟังบทเพลงสรรเสริญ เขาพูดทวนคำโกหกทั้งหมดของพรรคคอมมิวนิสต์ให้เพื่อนบ้านของเราฟังด้วย ฉันจะได้ไม่สามารถแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพวกเขาได้ พวกเขาก็เชื่อคำโกหกนั้นด้วย และปฏิบัติต่อฉันเหมือนคนเป็นโรคเรื้อน พฤติกรรมของสามีทำให้ฉันตกใจมากค่ะ เขาเคยใจดีกับฉันเสมอ เขาเปลี่ยนไปอย่างมาก จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ยังไง? หลังจากหลายปีของชีวิตแต่งงาน เขาขาดความเข้าใจและความนับถือขนาดนี้ได้ยังไง? เวลาผ่านไป และเขาก็คอยจับผิดฉันอยู่ตลอด ถึงขนาดโทษว่าความผิดปกติยิบย่อยทั้งหมดที่บ้านมาจากความเชื่อของฉัน เมื่อธุรกิจชะลอตัว เขาก็โทษความเชื่อของฉัน และเขาก็ไม่ยอมให้ฉันเข้าไปในร้านอาหาร บอกว่าฉันเป็นตัวซวย พ่อแม่ของเขาชักสีหน้าและด่าทอฉันเสมอ และกระทบกระแทกปึงปังไปทั่วด้วยความโกรธ พวกเขาไม่ให้ฉันออกไปข้างนอก และทันทีที่ฉันก้าวขาออกไปข้างนอก พวกเขาก็จะโทรหาฉัน บังคับให้ฉันบอกว่าอยู่ที่ไหน และอยู่กับใคร ฉันอยู่ภายใต้การจับตาดูของพวกเขาในช่วงเวลานั้นค่ะ ฉันไม่สามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือติดต่อพี่น้องชายหญิงได้ ฉันไม่มีอิสระส่วนตัวเลยแม้แต่นิดเดียว เรื่องนี้ยากลำบากสำหรับฉันจริงๆ ค่ะ และฉันก็นึกสงสัยว่าทำไมการมีความเชื่อมันหนักหนานัก ทำไมต้องต่อสู้ดิ้นรนขนาดนี้ และเมื่อไหร่ฉันจะไม่ต้องใช้ชีวิตแบบนั้นอีกต่อไป บางครั้งฉันคิดว่าฉันก็แค่หยุดไปร่วมชุมนุมและทำหน้าที่ของฉันในระหว่างนั้นเสียก็ได้ แต่ฉันรู้สึกว่านั่นจะไม่อยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันรีบกล่าวอธิษฐานด้วยความเจ็บปวดและขอให้พระเจ้าทรงนำฉันค่ะ บทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าผุดขึ้นในใจฉัน “วันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้นั้น  พวกเขาเชื่อว่าความทุกข์นั้นปราศจากคุณค่า พวกเขาถูกโลกประกาศตัดขาด ชีวิตในบ้านของพวกเขามีปัญหา พวกเขาไม่เป็นที่รักของพระเจ้า และความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของพวกเขามืดมัว  ความทุกข์ของผู้คนบางคนไปถึงจุดขีดสุด และความคิดของพวกเขาหันเข้าหาความตาย  นี่มิใช่ความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นเป็นคนขลาด พวกเขาไม่มีความเพียรพยายาม พวกเขาอ่อนแอและไร้กำลัง!…ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง(“เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  ฉันสะเทือนใจมากในขณะที่ทบทวนพระวจนะ ฉันตระหนักว่าไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้ฉันเป็นทุกข์ แต่เพื่อทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อมผ่านการกดขี่และความยากลำบากนี้ เพื่อฉันจะได้มีโอกาสเป็นพยานแด่พระเจ้า ฉันไม่สามารถยอมอ่อนข้อให้กับซาตานเพราะการที่ฉันกลัวความทุกข์ แต่ฉันต้องมีความเชื่อในพระเจ้า และอยู่บนเส้นทางไม่ว่ามันจะหนักหนาสักแค่ไหน และเป็นพยานที่เข้มแข็งและดังกึกก้องค่ะ

วันนั้นเมื่อฉันกลับจากการชุมนุมมาที่บ้าน เขาดุด่าต่อว่าฉันจริงๆ ตะโกนว่า “คุณกำลังทำอะไรอยู่ถึงเที่ยวไปประกาศให้ลูกค้าของร้านอาหารฟัง? ทุกคนพูดกันว่าคุณเป็นผู้เชื่อ คุณทำให้ผมอับอายแบบนี้ได้ยังไง? คุณก็เห็นสิ่งที่พวกเขาพูดทางโทรทัศน์นี่ ถ้าคุณยังทำแบบนี้ต่อไป คุณจะถูกจับนะ!” ฉันเห็นว่าเขากระวนกระวายใจมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันจึงไม่พูดจาตอบโต้เขา แต่เพียงแค่กลับเข้าห้องฉันไปเท่านั้นค่ะ สิ่งที่ฉันเห็นในห้องทำให้ฉันตื่นตะลึง เขาได้ฉีกหนังสือพระวจนะของพระเจ้าของฉัน จนเศษกระดาษตกเกลื่อนพื้นไปหมด พ่อสามีเข้ามาในตอนนั้น และขณะที่เดินเข้ามา เขาก็พูดว่า “เราต้องการให้ลูกชายเราแต่งงานเพื่อมีชีวิตที่ดี ครอบครัวนี้จะพังพินาศถ้าเธอถูกจับเพราะความเชื่อของเธอ ถ้าไม่ล้มเลิกความเชื่อซะ ก็หย่ากันเดี๋ยวนี้เลย” แล้วเขาก็เริ่มพูดคำหมิ่นประมาทต่างๆ เมื่อเห็นหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเดือดดาล ฉันก็ระงับความโกรธไว้ไม่ได้ และพูดตัดบทว่า “คุณพ่อคะ! ตั้งแต่แต่งงานเข้าครอบครัวของคุณพ่อมา หนูก็ปฏิบัติต่อคุณพ่อด้วยความนับถือไม่เป็นอื่นเลย หนูไม่เคยโกรธหรือถกเถียงกับคุณพ่อเลยสักครั้ง ถ้าหนูล้มเหลวในหน้าที่ของหนูที่มีต่อครอบครัวนี้ คุณพ่อก็มีสิทธิ์ติติงหนูค่ะ แต่ว่าความเชื่อของหนูไม่มีอะไรผิด และคุณพ่อก็ไม่ควรขวางทางหนูหรือหมิ่นประมาทพระเจ้า” ก่อนที่ฉันจะพูดจบ เขาก็ชักสีหน้าและตะคอกว่า “การที่ฉันแสดงความเห็นถึงพระเจ้าของเธอมันผิดตรงไหน? ฉันไม่เชื่อหรอกว่าฉันรับมือเธอไม่ได้” เขาเริ่มกระชากเสื้อฉัน พยายามลากฉันไปที่สถานีตำรวจ แต่ฉันก็สะบัดจนหลุด เมื่อเห็นว่าฉันมุ่งมั่นแค่ไหน และฉันไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนความคิด เขาก็จากไปด้วยความโกรธเคือง ทันทีหลังจากนั้นฉันก็ได้เสียงดังโครม และตอนที่ฉันหันกลับไปนั้นเอง ฉันก็เห็นสามีเข้ามาหาฉัน และเขาก็ตบหน้าฉันอย่างแรง จนฉันถลาไปกองกับพื้น ฉันเห็นดาวเลยค่ะ แก้วหูของฉันลั่นไปหมด และหน้าของฉันก็ปวดแสบด้วยความเจ็บปวด ฉันนึกอะไรไม่ออกเลย การที่เขาทำแบบนั้นทำให้ฉันตกใจจริงๆ ค่ะ เราอยู่ด้วยกันมาเกือบสิบปี และเราไม่เคยทะเลาะกันเลยด้วยซ้ำ แต่วันนั้นเขาตบฉันเพราะความเชื่อของฉัน ฉันมองเขาด้วยความรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้า ราวกับเขาเสียสติไปแล้ว เขาใช้กำลังฉุดฉันขึ้นจากพื้น กดตัวฉันยันกับกำแพง และพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “บอกเลยนะว่าวันนี้เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าเธอไม่ล้มเลิกความเชื่อของเธอ เราก็หย่ากันเดี๋ยวนี้เลย บอกมา เธอจะเลือกพระเจ้าหรือเลือกฉัน? เธอต้องการความเชื่อของเธอ หรือครอบครัวนี้?” เขาพูดไปพลางกระแทกฉันกับกำแพงไปพลางอย่างบ้าคลั่ง การเห็นใบหน้าที่ฉันรู้จักดีกลายไปเหมือนปีศาจ ฉันตอบไปอย่างเยือกเย็น “ฉันเลือกความเชื่อของฉันค่ะ” ด้วยความเดือดดาล เขาลากฉันไปบนเตียง และใช้มือบีบคอฉันไว้แน่นมาก ฉันหายใจไม่ออก และอยากจะหนีออกมา แต่เขาแข็งแรงเกินไป ไม่มีทางที่ฉันจะดิ้นหลุดเลยค่ะ ขณะที่ฉันพยายามงับอากาศหายใจ ฉันก็เกิดกลัวขึ้นมาจริงๆ และคิดว่า “วันนี้ฉันอาจจะตายไปแบบนี้ก็ได้” ตอนนั้นเอง ลูกชายวัยสามขวบของฉันก็ตื่นขึ้นมา เขาลุกขึ้นและเริ่มร้องเรียก “แม่ครับ! แม่ครับ!” พอเห็นว่าสามีกำลังบีบคอฉัน ลูกก็เริ่มตีเขาและผลักเขา จากนั้นก็พยายามอย่างหนักที่จะมุดเข้ามาในอ้อมแขนของฉันค่ะ เมื่อเห็นแบบนี้ สามีก็ปล่อยมือและพูดกับฉันอย่างชั่วร้าย “ถ้าไม่ใช่เพราะลูกชายของเรา เธอคงจะตายคามือฉันไปแล้วนะวันนี้”

เขาออกไป และฉันก็คิดย้อนไปว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น มันน่าพรั่นพรึงมากค่ะ ความเชื่อของฉันรุกล้ำผลประโยชน์ส่วนตัวของเขา ดังนั้นเขาจึงพร้อมลงมือบีบคอฉันจนตายอย่างน่าตกใจ นั่นไม่เหมือนปิศาจเหรอคะ? ยิ่งเขาตบตีฉันมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเห็นว่าเขาเป็นคนยังไง และฉันก็ยิ่งต้องการติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทางมากขึ้นเท่านั้นค่ะ แม่สามีมาพบฉันในวันรุ่งขึ้น เธอพูดทันทีที่เดินเข้ามาว่า “เธอก็แค่เลิกเชื่อในพระเจ้าไม่ได้หรือยังไง? แม่รู้ว่าการมีความเชื่อเป็นเรื่องที่ดี แต่นั่นแปลว่าพรรคจะจับกุมเธอและทำเรื่องเลวร้ายกับเธอนะ เธอจะว่ายังไงล่ะ?” ฉันพูดว่า “แม่คะ แม่ก็รู้ ว่าตอนหนูคลอดลูกมันลำบากยากเย็นแค่ไหน และหมอก็พูดกันว่ามันวิกฤติมาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั่นเองที่ทรงช่วยทั้งหนูและลูกชายให้รอด แม่คิดไหมคะว่า ทำไมหนูถึงรักษาความเชื่อไว้ต่อให้หนูถูกจับ? เพราะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง และพระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดผู้เสด็จกลับมาเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ความวิบัติต่างๆ ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ และมีเพียงพระเจ้าที่สามารถช่วยผู้คนให้รอดได้ ฉันกำลังเดินอยู่กับพระเจ้า และถ้าฉันถูกจับและทนทุกข์ มันก็เพียงชั่วคราว นั่นจะดีกว่าไปลงนรกกับซาตานนะคะ” เธอตอบว่า “แม่เข้าใจสิ่งที่เธอกำลังพูดนะ แต่ในฐานะผู้หญิง เธอต้องดูแลลูกและนึกถึงสามี ลูกของเธอยังเล็กนัก เธอสามารถทนไม่ดูดำดูดีเขาแบบนั้นได้จริงๆ เหรอ?” พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกอยากร้องไห้จริงๆ แต่น้ำตาไม่ไหล ฉันคิดว่า “ฉันเหรอที่ไม่ดูดำดูดีเขา? เป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่จับกุมและข่มเหงบรรดาผู้เชื่อต่างหาก เป็นลูกชายของคุณแม่ ที่เชื่อในคำโกหกของพรรคและยืนกรานที่จะหย่า และฉีกครอบครัวนี้เป็นชิ้นๆ คุณแม่จะโทษเรื่องนี้ที่ความเชื่อของฉันได้ยังไง?” แต่พอมองดูเธอ ด้วยผมขาวโพลนเต็มหัวและสีหน้าที่เจ็บปวด และคิดถึงเรื่องลูกชายของฉันถูกพรากไปจากอกแม่ด้วยอายุน้อยแค่นี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกทรมานใจมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันเริ่มอ่อนแอลงเล็กน้อย ฉันร้องเรียกพระเจ้าอย่างเงียบๆ ขอให้พระองค์ทรงนำฉัน พระวจนะของพระองค์บทตอนหนึ่งผุดขึ้นในใจฉันค่ะ “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์  แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า  เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือความประพฤติของพวกมนุษย์และการแทรกแซงของพวกมนุษย์  เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังมันทั้งหมดคือการสู้รบ…เมื่อพระเจ้าและซาตานทำการสู้รบในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ เจ้าควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างไร และเจ้าควรตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าต่อพระองค์อย่างไร?  เจ้าควรรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่และเป็นเวลาที่พระเจ้าจำเป็นต้องทรงให้เจ้าเป็นคำพยาน(“การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าและเห็น ว่าภายนอกนั้นทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นดูเหมือนเป็นผู้คนกำลังขวางทางฉัน แต่กลอุบายของซาตานอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้ ซาตานกำลังใช้ครอบครัวของฉันเพื่อกีดขวางฉัน รบกวนฉัน ใช้ความรู้สึกต่อลูกชายของฉันและสมาชิกครอบครัวเพื่อข่มขู่ฉัน พยายามให้ฉันทรยศพระเจ้าและเสียโอกาสที่จะได้รับความรอด ฉันรู้ว่าฉันจะหลงกลซาตานไม่ได้ แต่ฉันต้องมีความเชื่อในพระเจ้า ยืนหยัดเป็นพยาน และทำให้ซาตานอับอายค่ะ และดังนั้น ฉันจึงพูดกับแม่สามีว่า “มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า ดังนั้นเราจึงควรมีความเชื่อและนมัสการพระองค์ อีกอย่าง ชีวิตของฉันนั้นพระเจ้าทรงมอบให้ ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทางค่ะ อย่าเสียพลังงานพยายามโน้มน้าวให้ฉันคิดเป็นอื่นเลยนะคะ” เธอส่ายหน้า แล้วก็หันหลังเดินจากไป

คืนนั้นสามีของฉันเจอเข้าว่าฉันยังอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่ แล้วก็โกรธมาก เขาพูดว่า “เธอยังกล้าทำแบบนี้อีกเหรอ? ไม่รู้เหรอว่านี่จะทำให้เธอถูกโยนเข้าคุกนะ? ไม่สนใจหรือไงว่าจะเป็นหรือตาย? ถ้าเธอไม่สนใจก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้ฉันกับลูกของเราติดร่างแหไปด้วย ถ้าฉันรู้ว่าเธอจะกลายเป็นผู้เชื่อ ฉันคงไม่มีทางแต่งงานกับเธอตั้งแต่แรกแล้ว!” แล้วเขาก็ผลักฉันออกไปที่ประตูหน้า และพูดอย่างเกลียดชังว่า “ถ้าเธอยังนับถือพระเจ้าแบบนี้ต่อไป เธอก็ไม่เป็นที่ต้อนรับในบ้านของฉันอีกต่อไปแล้ว!” แล้วเขาก็กระแทกปิดประตูและลงล็อก การเห็นว่าสามีฉันช่างไร้หัวใจและได้ยินลูกชายร้องเรียกหาฉัน ฉันว้าวุ่นใจ หัวใจของฉันแทบแหลกสลายเลยค่ะ ตอนนั้นดึกมาก หลังตีสอง และฉันไม่มีเงินติดตัวเลย ฉันนึกสงสัยว่า ตอนนั้นฉันต้องออกจากบ้านมาจริงๆ และจากลูกชายมาตลอดกาลหรือเปล่า ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไง และรู้สึกเดียวดายอย่างมากเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันนึกขึ้นได้ว่าฉันมีโทรศัพท์ติดตัวอยู่ ดังนั้นฉันจึงโทรหาแม่ของฉันค่ะ ทันทีที่ฉันได้ยินเสียงของแม่ น้ำตาก็ไหลอาบหน้าของฉัน และความเจ็บปวดและความคับข้องใจที่ฉันอดกลั้นมานานมากทั้งหมดก็ประดังประเดออกมา แม่พูดขณะที่กลั้นเสียงร้องไห้ของเธอเองว่า “ลูกรัก ใจเย็นๆ นะ พระเจ้าไม่ทรงพาลูกมาไกลขนาดนี้แล้วก็ทรงทอดทิ้งลูกหรอก เชื่อในพระองค์และพึ่งพิงพระองค์นะ” ด้วยการชูใจและให้กำลังใจจากแม่ บอกให้ฉันเชื่อในพระเจ้าและวางใจในพระองค์ ฉันก็รู้สึกว่าความเชื่อของฉันกลับมาค่ะ วันรุ่งขึ้น ทั้งหนาวและหิว ฉันเดินเปะปะตามถนนไปเรื่อยๆ ตอนที่ฉันบังเอิญเจอพี่สาวคนหนึ่ง เธอพาฉันกลับไปที่บ้านของเธอ และอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฉันฟังสองบทตอน เพื่อช่วยให้ฉันเข้าใจว่าฉันกำลังก้าวผ่านอะไร พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม ราชาแห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร?  มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร?  ข้ารับใช้พวกนี้!  พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันได้ดูถูกเหยียดหยามพระเจ้ามานานแล้ว พวกมันหยามเหยียดพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนสุดขีด พวกมันไม่มีการคำนึงถึงพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้  เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ?  บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ?  พวกเขาทั้งหมดต่อต้านพระเจ้า!  การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย!  เสรีภาพทางศาสนาหรือ?  สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ?  สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป!…เหตุใดจึงสร้างอุปสรรคที่ไม่อาจเจาะผ่านเข้าไปได้เช่นนั้นให้กับพระราชกิจของพระเจ้า?  เหตุใดจึงใช้เพทุบายต่างๆ นานาเพื่อหลอกลวงคนของพระเจ้า?  ไหนเล่าอิสรภาพที่แท้จริงและสิทธิ์กับผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย?  ไหนเล่าความเป็นธรรม?  ไหนเล่าความชูใจ?  ไหนเล่าความอบอุ่น?  เหตุใดจึงใช้กลอุบายที่หลอกลวงเพื่อล่อหลอกประชากรของพระเจ้า?  เหตุใดจึงใช้กำลังบังคับเพื่อปราบปรามการเสด็จมาของพระเจ้า?  เหตุใดจึงไม่ยอมให้พระเจ้าทรงท่องไปอย่างอิสระบนแผ่นดินโลกที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น?  เหตุใดจึงไล่ล่าพระเจ้าจนกระทั่งพระองค์ไม่มีที่ใดให้พักพระเศียร?(“งานและการเข้าสู่ (8)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  “พระเจ้ากำลังจะทรงปลุกผู้คนเหล่านี้ให้ตื่น โดยแบกภาระความทุกข์อย่างหนัก เพื่อปลุกเร้าพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะตื่นอย่างเต็มที่ และเพื่อทำให้พวกเขาเดินออกจากม่านหมอกและละทิ้งพญานาคใหญ่สีแดง  พวกเขาจะตื่นจากความฝันของพวกเขา จะระลึกได้ถึงธาตุแท้ของพญานาคใหญ่สีแดง จะกลายเป็นสามารถมอบหัวใจทั้งดวงของพวกเขาให้แก่พระเจ้าได้ จะลุกขึ้นจากการกดขี่ของกำลังบังคับมืด จะยืนขึ้นในทิศตะวันออกของโลก และจะกลายเป็นข้อพิสูจน์แห่งชัยชนะของพระเจ้า  ในหนทางนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงได้รับพระสิริ(“งานและการเข้าสู่ (6)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันเข้าใจ ว่าพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมายังแผ่นดินโลกในยุคสุดท้าย ทรงพระราชกิจและทรงแสดงความจริง เพื่อที่จะชำระให้บริสุทธิ์และช่วยมนุษย์ให้รอด พรรคคอมมิวนิสต์กลัวว่าทุกคนจะยอมรับความจริงและติดตามพระเจ้า แล้วได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์ แล้วพวกเขาจะเป็นอิสระจากการควบคุมและการทำร้ายของพรรค เพราะแบบนั้นพวกมันจึงปราบปรามและจับกุมบรรดาผู้เชื่ออย่างบ้าคลั่ง และสร้างคำโกหกทุกรูปแบบเพื่อกล่าวโทษและใส่ร้ายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หลอกลวงและปลุกปั่นประชาชน ทำให้พวกเขาปฏิเสธและต้านทานพระเจ้าร่วมกับพวกมัน ช่างน่ารังเกียจนัก! ครอบครัวของฉันปฏิบัติต่อฉันแบบนั้นเพียงเพราะพวกเขาถูกพรรคคอมมิวนิสต์หลอกเท่านั้นเองค่ะ พรรคใช้คำโกหกทั้งหมดนี้เพื่อดึงผ้าขนสัตว์มาปิดตาผู้คน เพื่อที่ทุกคนจะต่อสู้พระเจ้าไปกับพวกมัน แล้วลงเอยโดยถูกลงโทษในนรก นั่นคืออุบายของซาตานค่ะ ถึงจุดนั้นมันก็กระจ่างชัดสำหรับฉัน ว่าพรรคคอมมิวนิสต์ก็เป็นแค่ฝูงปิศาจที่ต่อสู้กับพระเจ้า ทำร้ายผู้คน และกลืนกินพวกเขาทั้งตัว ฉันรู้ว่าฉันจะตกหลุมเล่ห์กลของพวกมันไม่ได้ และไม่ว่าครอบครัวจะทำกับฉันยังไง ฉันก็ไม่มีวันทรยศพระเจ้าได้ แต่ฉันต้องติดตามพระองค์และทำหน้าที่ของฉันต่อไปค่ะ

เขาโทรหาญาติมิตรบางคนจากบ้านเกิดของฉัน แล้วพวกเขาก็โทรหาฉันและส่งต่อโทรศัพท์ไปรอบๆ ผลัดกันดุด่าฉัน น้องชายของฉันพูดว่า “พี่ทำอะไรก็ได้ตอนที่ยังสาวแบบนี้ จำเป็นด้วยเหรอที่ต้องเป็นการเชื่อในพระเจ้า? พี่เป็นแม่บ้านนะ ดังนั้นการมีลูกๆ และดูแลครอบครัวเป็นความรับผิดชอบของพี่ ทำไมต้องวุ่นวายกับการเชื่อในพระเจ้าด้วย? ถ้าพี่เชื่อ พรรคจะจับกุมพี่แล้วโยนพี่เข้าคุก เราเป็นแค่คนธรรมดา เราจะไปสู้รบปรบมือได้ยังไง?” น้าของฉันรับโทรศัพท์ต่อแล้วพูดว่า “เธอเสียสติไปแล้วเหรอ? บ้านที่ดีพร้อมไม่ควรแตกสลายด้วยความเชื่อของเธอนะ เธอไม่ห่วงครอบครัวหรือยังไง? เธอนี่มันหัวแข็งซะเหลือเกิน!” ป้าอีกคนก็ตะคอกใส่ฉันว่า “เธอไม่ได้แต่งงานมานานอะไรนักหนา แล้วลูกชายของเธอก็ยังเล็กมาก ถ้าเธอไปจบลงในคุก แล้วเขาจะเป็นยังไงล่ะ? ฟังคำแนะนำของป้านะ นี่ก็เพื่อผลดีต่อตัวเธอเอง” แล้วพี่ชายของฉันก็คว้าโทรศัพท์ไปแล้วเสริมว่า “ถ้าเธอยืนกรานแบบนี้ เขาจะหย่ากับเธอ แล้วไม่ต้องคิดถึงเรื่องกลับมาบ้านเลย พวกเราจะตัดสายสัมพันธ์กับเธอ!” แม้แต่คุณย่าวัยแปดสิบปีของฉันก็พูดพลางร้องไห้ใส่โทรศัพท์ว่า “เธอทำแบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าหากเธอถูกจับล่ะ? ฟังย่านะ เราต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้เธอ” หลังจากวางสาย ฉันรู้สึกแย่มากจริงๆ ค่ะ มีหลายอย่างมากที่ฉันอยากจะพูดกับพวกเขา ทุกคนพูดว่าเพื่อผลดีต่อตัวฉันเอง แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอ? ฉันคงตายไปนานแล้วถ้าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้ทรงช่วยฉันให้รอด แล้วฉันจะอยู่ที่นี่วันนี้หรือ? ใครกันแน่ที่กำลังทำให้บ้านที่ดีพร้อมนี้แตกสลาย? ใครกันแน่ที่กำลังทำให้ครอบครัวนี้พังพินาศ? เป็นพรรคคอมมิวนิสต์ต่างหาก ไม่ใช่ฉัน พรรคคอมมิวนิสต์จับกุมและข่มเหงบรรดาผู้เชื่อ แต่แทนที่จะเกลียดชังพรรค พวกเขากลับยืนข้างพวกมัน กดขี่ฉันและพยายามทำให้ฉันทรยศพระเจ้า ถึงขนาดขู่ว่าจะตัดสัมพันธ์และบอกศาลาฉัน พวกเขาไม่รู้จักแยกแยะถูกผิดได้ยังไง? พวกเขาอยากให้ฉันเป็นคนที่ดีที่สุดจริงๆ เหรอ? พวกเขาเป็นครอบครัวแบบไหนกันแน่? ชีวิตของฉันนั้นพระเจ้าผู้ทรงประทานให้ ดังนั้นมันผิดอะไรที่ฉันทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า? มันผิดอะไรกับการมีความเชื่อและเลือกทางที่ถูกต้องในชีวิต? เป็นเวลาสองสามวันที่ครอบครัวของฉันโทรมาด่าว่าฉันไม่หยุด ฉันทุกข์ทรมานใจมากจริงๆ ดังนั้นฉันจึงรีบอธิษฐานต่อพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงเฝ้าดูหัวใจของฉัน สุดท้าย ฉันก็ยังคงไปร่วมชุมนุมและทำหน้าที่ต่อไปค่ะ

สามีของฉันยื่นข้อตกลงหย่าร้างที่เขาร่างขึ้นมาเองให้ฉันค่ะ และพูดว่า “ถ้าเธอจะเชื่อต่อไป เราหย่ากันเถอะ เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เจอลูกชายของเราหลังจากเราแยกทางกัน ถ้าเธอเต็มใจจะเลิกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ฉันหยิบมันขึ้นมาดู ฉันจะไม่ได้ทรัพย์สินอะไรไปเลย ไม่มีส่วนในธุรกิจของเรา ไม่มีส่วนในที่ดินของเรา และเขาจะได้สิทธิ์เลี้ยงดูลูกชายของเรา ฉันจะเดินจากไปตัวเปล่า แต่ถ้าฉันไม่เห็นด้วยกับการหย่า เขาจะส่งตัวฉันกับแม่ให้ตำรวจ รายงานว่าเราเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเห็นว่าเขาวางแผนทั้งหมดนี้มานานแล้ว โอนย้ายทุกอย่างที่พวกเราเป็นเจ้าของอย่างลับๆ เพื่อที่เมื่อเราหย่ากัน เราจะไม่มีสินทรัพย์ร่วมกันเลย มองดูสัญญาหย่าร้างในมือของฉัน ฉันถูกผลักลงสู่วิกฤติอีกครั้งหนึ่ง ถ้าฉันเซ็นเอกสารนั้น นั่นจะแปลว่าฉันต้องออกจากบ้านนั้นและไม่สามารถพบลูกชายได้อีก เขายังเล็กมาก ฉันทนแยกห่างจากเขาไม่ได้หรอกค่ะ ฉันทุกข์ทรมานใจอย่างที่สุด ฉันร้องหาพระเจ้าอย่างสิ้นหวัง ขอให้พระองค์ทรงนำฉันเพื่อที่ฉันจะสามารถยืนหยัดเข้มแข็งได้ แล้วฉันก็คิดถึงบทตอนนี้จากพระวจนะของพระเจ้าค่ะ “ในขณะกำลังก้าวผ่านบททดสอบ เป็นปกติที่ผู้คนย่อมอ่อนแอ หรือมีความเป็นลบภายในตัวพวกเขา หรือขาดพร่องความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือเส้นทางของพวกเขาสำหรับการฝึกฝนปฏิบัติ  แต่ไม่ว่าในกรณีใด เจ้าต้องมีความเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ปฏิเสธพระเจ้า เช่นเดียวกับโยบ…ในประสบการณ์ของเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าก้าวผ่านกระบวนการถลุงอะไรโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมวลมนุษย์ โดยสังเขปแล้ว คือความเชื่อของพวกเขาและความรักของพวกเขาต่อพระองค์  สิ่งที่พระองค์ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมโดยการทรงพระราชกิจในหนทางนี้คือความเชื่อ ความรักและความทะเยอทะยานของผู้คน(“บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  “เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น  นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ  เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม  เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น(“ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  พระวจนะจากพระเจ้าเหล่านี้ชูใจและหนุนใจฉัน และพระวจนะเหล่านี้ให้เส้นทางแห่งการปฏิบัติแก่ฉันค่ะ ฉันตระหนักว่า การที่สามีของฉันข่มขู่ฉันด้วยการหย่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น ฉันนึกถึงตอนที่โยบถูกทดสอบ ทุกอย่างที่เขาเป็นเจ้าของถูกริบไป และลูกๆ ทั้งหมดก็ตายในชั่วข้ามคืน เขานั่งอยู่บนกองเถ้าถ่าน ปกคลุมด้วยฝีหนอง แม้แต่ภรรยาก็ปฏิเสธเขา และเพื่อนๆ ของเขาก็ล้อเลียนเขาและตัดสินเขา แต่เมื่อเผชิญความทุกข์ทั้งหมดนี้ เขาก็ยังสรรเสริญพระเจ้า กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21)  นั่นเท่านั้นจึงเป็นความเชื่อที่แท้จริงค่ะ สำหรับฉัน ฉันได้สาบานอย่างจริงจัง บอกพระเจ้าอย่างกล้าหาญ ว่าไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉันจะติดตามพระองค์จนถึงปลายทาง แต่เมื่อเผชิญกับการขู่ว่าจะหย่าของสามีฉัน ฉันติดอยู่ในความคิดลบและความอ่อนแอ นั่นไม่ใช่ความเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงแท้ค่ะ ฉันยังคิดด้วยถึงเรื่องที่ว่าตั้งแต่เขาได้ยินคำโกหกของพรรค เขาไม่เพียงฉีกหนังสือพระวจนะของพระเจ้าของฉันเท่านั้น แต่เขารุนแรงกับฉันจนฉันเกือบตายอีกด้วย ด้วยกลัวว่าจะพัวพันเพราะความเชื่อของฉัน ตอนนี้เขาไม่เพียงต้องการหย่า แต่ไม่เหลืออะไรให้ฉันสักสตางค์แดงเดียวและกันฉันออกจากลูกชายของฉัน เขาจะส่งฉันให้ตำรวจถ้าฉันไม่ตกลง นั่นเป็นสามีแบบไหนกันล่ะคะ? เขาไม่เป็นเหมือนปิศาจมากกว่าหรอกเหรอ? ฉันจำได้ถึงบางสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ “บรรดาผู้เชื่อกับบรรดาผู้ไม่เชื่อไม่สามารถเข้ากันได้ ตรงกันข้าม พวกเขาขัดแย้งซึ่งกันและกัน(“พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  ฉันเห็นว่าสามีกำลังขู่ฉันด้วยการหย่า เพราะเขาฟังพรรคคอมมิวนิสต์และเขาเกลียดชังพระเจ้า ดังนั้นแม้ว่าเราจะเป็นสามีภรรยากัน เขาก็กำลังติดตามพรรค บนเส้นทางสู่นรกที่เป็นศัตรูของพระเจ้า ฉันอยู่บนเส้นทางของการติดตามพระเจ้าเพื่อได้รับความจริงและชีวิตนิรันดร์ บรรดาผู้เชื่อและบรรดาผู้ไม่เชื่ออยู่บนคนละเส้นทางกัน ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถปล่อยให้เขาเหนี่ยวรั้งฉันไว้อีกต่อไป ยิ่งเขากดขี่ฉันมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งตกลงใจที่จะติดตามพระเจ้า ยืนหยัดเป็นพยาน และทำให้ซาตานอับอายมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นฉันจึงพูดกับเขาว่า ฉันตกลงหย่าค่ะ

จนถึงวันที่เราไปสำนักกิจการพลเรือนเพื่อหย่ากันให้เรียบร้อย ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลว่าจะไม่เหลืออะไรเลยหลังจากหย่า หลังจากนั้นฉันจะอยู่ต่อไปยังไง? พอคิดถึงว่าฉันได้ทำงานเพื่อบ้านของเราและธุรกิจของเราอย่างยากลำบากแค่ไหนมาตลอดหลายปีนี้ เพื่อที่จะลงเอยที่การไม่เหลืออะไรเลย ก็เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะทำใจได้ค่ะ แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เพื่อประโยชน์ของเรา เจ้าสามารถยกเลิกการพิจารณา การวางแผน หรือการตระเตรียมสำหรับเส้นทางเพื่อการอยู่รอดในอนาคตของเจ้าได้หรือไม่?(“ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (2)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  คำถามนี้จากพระเจ้าทำให้ฉันละอายจริงๆ ค่ะ ทุกคนพูดว่าความยากลำบากทดสอบความจริงใจ และเมื่อฉันเผชิญความลำบากนิดหน่อย ฉันก็คิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัว นั่นเป็นความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าหรือเปล่า? ฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทั้งหมด ดังนั้นฉันจึงมุ่งมั่นที่จะมอบตัวเองให้พระองค์อย่างสมบูรณ์และเลิกกังวลเรื่องหนทางออกของฉันค่ะ ฉันตั้งใจที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์ หลังจากเราเซ็นเอกสารทั้งหมดแล้ว ฉันถามเขาว่า “ทำไมคุณถึงผูกใจและมุ่งมั่นที่จะหย่าขนาดนี้?” เขาพูดว่า “ลูกพี่ลูกน้องบอกผม ว่ารัฐบาลได้ออกเอกสารลับ เขียนว่าผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นอาชญากรที่ต้องจับตาสูงสุด และเขียนว่าสมาชิกพรรคคนใดก็ตามที่มีผู้เชื่อในครอบครัวจะถูกไล่ออกจากพรรคทันที ข้าราชการจะถูกไล่ออก ลูกๆ ของพวกเขาจะไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย เงินบำนาญของพ่อแม่พวกเขาจะถูกยกเลิก และทรัพย์สินของครอบครัวพวกเขาจะถูกริบ เมื่อก่อนครอบครัวของอาชญากรจะติดร่างแหเก้าชั่วคน และตอนนี้ญาติทุกคนของผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะติดร่างแหด้วย เพราะอย่างนั้นผมจำเป็นต้องปล่อยคุณไปเพื่อปกป้องคนอื่นๆ ไม่อย่างนั้น พี่ชายของผมจะถูกไล่ออกจากพรรค” ฉันโกรธมากที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น พระเจ้าได้เสด็จมาเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ซึ่งเป็นสิ่งที่วิเศษมากและเป็นพระพรสำหรับมนุษยชาติทั้งปวง แต่พรรคคอมมิวนิสต์กลับต่อสู้กับพระเจ้าและเกลียดชังพระองค์อย่างบ้าคลั่ง มันกำลังใช้ทุกวิถีทางที่น่าดูหมิ่นทุกทางเพื่อยับยั้งและทำลายพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ว่าอะไรก็หยุดมันไม่ได้ พวกมันเป็นฝูงปิศาจฆาตกรเลือดเย็นค่ะ! ฉันเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพญานาคใหญ่สีแดงจริงๆ และไม่ถูกมันหลอกอีกต่อไป ฉันตกลงใจที่จะทำหน้าที่ของฉันให้ดีเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้าและนำความอับอายไปสู่ซาตาน หลังจากนั้น ฉันก็จากบ้านมาและทำหน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐของฉันต่อไปค่ะ ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 36. การไตร่ตรองหลังจากต่อต้านการกำกับดูแล

ถัดไป: 46. บรรดาหญิงพรหมจารีมีปัญญาต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไร

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger