17. บทเรียนที่ได้รับจากการรายงานผู้นำเทียมเท็จ
เมื่อเดือนกันยายน ปี 2019 ฉันเริ่มรับใช้ในฐานะผู้นำ และรับผิดชอบงานในคริสตจักรท้องถิ่นสองสามแห่งกับผู้ร่วมงานที่ชื่อหวังหรัน เนื่องจากฉันยังค่อนข้างใหม่ในหน้าที่ จึงยังไม่คุ้นเคยกับงานในบางแง่มุม และมักจะเข้าหาหวังหรันเพื่อปรึกษาหารือ อย่างไรก็ดี ต่อมาฉันค้นพบว่าหวังหรันล้มเหลวในการแบกรับภาระหน้าที่ ตอนที่ฉันเสนอว่าจะไปที่คริสตจักรแห่งหนึ่งพร้อมกับเธอ เพื่อสามัคคีธรรมให้กับผู้นำสองคนที่นั่น ซึ่งกำลังแก่งแย่งชื่อเสียงกับผลประโยชน์กัน และไม่สามารถร่วมมือกันอย่างสามัคคีได้ เธอไม่ได้มองเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงจังและเอาแต่ผัดวันประกันพรุ่ง เนื่องจากเราเข้าไปแก้ปัญหาช้าเกินไป ผลสุดท้ายคืองานของคริสตจักรนั้นได้รับผลกระทบในทางลบ ยิ่งกว่านั้น เธอยังเอื่อยเฉื่อยตอนที่ฉันอยากปรึกษาหารือว่าเราจะช่วยแก้ปัญหา และความยากลำบากบางอย่างที่พี่น้องชายหญิงของเรากำลังเผชิญขณะที่ประกาศข่าวประเสริฐได้ยังไงบ้าง ผลสุดท้าย ปัญหาเหล่านั้นก็ไม่ได้รับการแก้ไขให้ทันท่วงที และงานข่าวประเสริฐก็ได้รับผลกระทบในทางลบ ฉันสังเกตเห็นว่าหวังหรันไม่ได้มีสำนึกเรื่องการรับผิดชอบในหน้าที่ของเธอ และฉันก็คิดที่จะชี้ให้เธอเห็นถึงเรื่องนี้ แต่ฉันยังใหม่ในหน้าที่การเป็นผู้นำนี้ และยังไม่คุ้นเคยกับงานในบางแง่มุม ฉันจึงกังวลว่าถ้าฉันล่วงเกินเธอแล้วส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ด้านการงานของเรา เธอก็จะไม่ช่วยฉันตอนที่ฉันประสบปัญหาในหน้าที่ ด้วยเหตุผลนี้เอง จึงลงเอยด้วยการที่ฉันไม่ชี้ให้เธอเห็นถึงข้อสังเกตของฉัน ไม่นานหลังจากนั้น ฉันสังเกตเห็นว่าบ่อยครั้งหวังหรันจะตีกรอบคน จากอุปนิสัยโอหังของเธอตอนที่ปรับเปลี่ยนคนทำงาน เธอจะพูดว่า “คนนี้ใช้ไม่ได้” และ “คนนั้นไม่ดี” และจะมาพร้อมข้ออ้างสารพัดที่จะไม่บ่มเพาะพวกเขา ผลสุดท้ายคือบางโครงการของคริสตจักรดำเนินการได้ช้าเพราะความล้มเหลวในการมอบหมายคนที่เหมาะสมให้มาจัดการโครงการ เมื่อผู้นำของเราทราบเรื่อง พวกเขาก็ขอให้เรามองหาตัวเลือกที่เหมาะสมให้เร็วที่สุด แต่พอหวังหรันเห็นตัวเลือกที่ฉันแนะนำ เธอตอบมาทันทีว่าพวกนั้นไม่ดี ฉันคิดกับตัวเองว่า “มีพี่น้องชายหญิงอีกมากที่อยากเข้าร่วมงานของคริสตจักร แต่ไม่เพียงแค่ล้มเหลวในการบ่มเพาะผู้คนเท่านั้น แต่เธอถึงขนาดขวางการบ่มเพาะอยู่ตลอดด้วย เธอกำลังขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร” ฉันอยากปรึกษาหารือถึงความร้ายแรงของปัญหานี้กับเธอ แต่ก็กลัวว่าถ้าพูดตรงเกินไป เธอจะถือโทษโกรธเคืองฉัน ฉันจึงพูดสบายๆ ว่า “เราไม่ควรตีกรอบผู้คนนะ” อย่างไรก็ตาม หวังหรันไม่ยอมรับคำแนะนำของฉัน อีกครั้งหนึ่ง ตอนที่ฉันไปที่คริสตจักรแห่งหนึ่งกับเธอเพื่อจัดงานคัดเลือกผู้นำ พี่น้องชายคนหนึ่งเข้าใจหลักในการคัดเลือกไม่ชัด และถามคำถามสองสามข้อ แต่หวังหรันไม่เพียงแค่ไม่สามัคคีธรรมความจริงและช่วยเขาไขข้อสงสัยเท่านั้น แต่เธอถึงขนาดไม่พอใจกับสิ่งที่เห็นว่าเป็นความน่ารำคาญของเขาและตำหนิเขาไปแบบนั้น เรื่องนี้ทำให้เกิดบรรยากาศชวนอึดอัดใจอย่างมากระหว่างการชุมนุมและสร้างอิทธิพลต่อการคัดเลือก ฉันเห็นว่าในฐานะผู้นำ หวังหรันไม่ได้ปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงด้วยความรัก ใช้สถานะตำแหน่งบีบคั้นพวกเขาและก่อกวนการคัดเลือก ฉันอยากพูดอะไรกับเธอสักหน่อย แต่พอจะทำแบบนั้น ฉันก็นึกถึงตอนที่ฉันพูดถึงข้อบกพร่องของเธอกับเธอก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับความคิดเห็นของฉันเท่านั้น แต่เธอถึงขนาดต่อต้านและไม่พอใจด้วย ถ้าเธอไม่ยอมรับคำแนะนำของฉันอีก ฉันก็จะอับอาย ต่อหน้าพี่น้องชายหญิงมากมาย “ช่างมันเถอะ” ฉันคิด “จงอยู่ให้ห่างจากปัญหา ฉันไม่ควรหาเรื่องใส่ตัว” ไม่กี่วันต่อมา มัคนายกข่าวประเสริฐมาบอกฉันว่า หวังหรันไม่ได้แก้ปัญหาและความลำบากยากเย็นจริงให้กับพี่น้องชายหญิงในระหว่างการชุมนุม ประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาต่ำ และเมื่อพวกเขาตามหาเธอเพื่อขอวิธีแก้ไข เธอกลับเมินพวกเขา ไม่จริงจังกับคำร้องของพวกเลย และถึงขนาดจะโกรธและต่อว่าพวกเขา แม้ว่าจะชี้ปัญหาเหล่านี้ให้เธอเห็นในหลากหลายวาระ แต่เธอก็ยังจะไม่ยอมรับคำแนะนำ ดังนั้นมัคนายกจึงเสนอให้เราเขียนรายงานร่วมกันเกี่ยวกับปัญหาของหวังหรัน ฉันคิดว่าทุกอย่างที่มัคนายกข่าวประเสริฐพูดเป็นเรื่องจริงและตามหลักธรรมแล้ว เราควรรายงานเธอแน่นอน แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ถ้าเราเขียนรายงานและผู้นำของเรามาสอบสวน หวังหรันจะไม่ยอมรับว่ากระทำผิด และคิดว่าฉันถูกความเห็นที่มีอคติครอบงำและกำลังพยายามจะกันเธอออกไปหรือเปล่า? ถ้าฉันทำให้ความสัมพันธ์ของเราตึงเครียด เราจะทำหน้าที่ร่วมกันต่อไปได้อย่างไร? ฉันไม่พูดอะไรดีกว่า” พอตัดสินใจได้แล้ว ฉันจึงบอกมัคนายกว่าฉันจะรอจนกว่าเรื่องทั้งหมดนั้นได้รับการสอบสวนจนชัดเจนก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ หลังจากนั้น ฉันเริ่มสังเกตเห็นว่าหวังหรันมีปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ครั้งหนึ่งขณะที่ไล่ดูบัญชีของเรา ฉันสังเกตเห็นว่าเธอไม่ได้ใช้เงินของคริสตจักรตามหลักธรรม เธอซื้อของเข้าคริสตจักรโดยไม่ปรึกษาใครทั้งนั้น แถมไม่คำนึงถึงว่าสิ่งที่ซื้อไปนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่ สุดท้ายของที่เธอซื้อมาก็ไม่เหมาะกับวัตถุประสงค์ของคริสตจักรและใช้งานไม่ได้ หมายความว่าเธอใช้เงินของคริสตจักรโดยเสียเปล่า ฉันรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยหลังจากเห็นสถานการณ์นั้นถูกเผยออกมาและคิดกับตัวเองว่า “ครั้งนี้ฉันต้องปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร ฉันต้องชี้ให้เธอเห็นถึงปัญหาของตัวเอง และพูดคุยกับเธอยาวๆ ให้รู้เรื่อง” แต่สุดท้าย เมื่อฉันได้ชี้ให้เธอเห็นปัญหาแล้ว เธอไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับคำแนะนำของฉัน แต่เธอถึงขนาดพยายามเถียงฉันและปกป้องตัวเอง ฉันอยากเปิดโปงกับเธอถึงธรรมชาติและผลที่ตามมาจากการกระทำของเธอ แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ถ้าฉันเปิดโปงรุนแรงเกินไป ไม่เพียงแต่เธอจะถือโทษโกรธเคืองฉันเท่านั้น แต่เธอจะทำท่าทีไม่พอใจใส่ฉันทุกวันด้วย นั่นจะทำให้ชีวิตฉันยากขึ้นเยอะเลย” ดังนั้น ฉันจึงแค่ย้ำเตือนเธออย่างไม่กระทบจิตใจว่า เมื่อเราพบปัญหาในฐานะผู้นำ เราต้องเสาะแสวงมากขึ้นและมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า หลังจากนั้น หวังหรันก็เริ่มมีอคติกับฉัน และจะเมินฉันเวลาหารือเรื่องงาน และบอกให้ฉันแก้ปัญหาเอาเอง ฉันรู้สึกว่า เธอล้มเหลวในการรับผิดชอบหน้าที่ กระทำอย่างเลินเล่อและตามอำเภอใจอยู่เสมอๆ ไม่ยอมรับการตัดแต่ง และไม่ยอมรับความจริง และรู้สึกว่าเธอไม่เหมาะที่จะทำหน้าที่อีกต่อไปแล้ว ฉันอยากเขียนจดหมายถึงผู้นำเกี่ยวกับสถานการณ์ของเธอ แต่กังวลว่าถ้าเธอถูกปลด เธออาจคิดว่าฉันแอบรายงานความผิดลับหลังเธอ และจะถือโทษโกรธเคืองฉัน แล้วฉันก็จะอึดอัดใจ ถ้าเราเจอกันอีกหลังจากนั้น ฉันครุ่นคิดอยู่ในหัวสักพัก แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจละทิ้งความคิดที่จะเขียนจดหมายถึงผู้นำ ฉันรู้สึกผิดมากๆ ที่ถึงแม้จะเข้าใจความจริง แต่ฉันก็ยังไม่สามารถปฏิบัติตามความจริงได้เนื่องจากถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบีบคั้น ไม่กี่วันต่อมา ฉันรู้สึกไม่อยากทำอะไรเลยและพบแต่ทางตันในทุกอย่างที่ฉันพยายามทำ และรู้สึกมืดมนอย่างมากอยู่ภายใน ฉันอธิษฐานอยู่บ่อยๆ บอกพระเจ้าเกี่ยวกับสถานการณ์ของฉัน และขอให้พระองค์ทรงชี้นำให้ฉันเข้าใจตัวเอง
วันหนึ่งในระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “เมื่อพวกเจ้ามองเห็นปัญหา แต่ไม่ทำสิ่งใดเพื่อหยุดยั้ง ไม่สามัคคีธรรมถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่พยายามจำกัดปัญหา และยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่รายงานปัญหาแก่ผู้ที่อยู่เหนือเจ้าขึ้นไป กลับเล่นบทเอาอกเอาใจผู้คน นี่คือสัญญาณของความไม่จงรักภักดีมิใช่หรือ? คนที่ชอบเอาใจผู้คนนั้นจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือไม่? ไม่เลยแม้แต่น้อย คนเช่นนั้นไม่เพียงไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้าเท่านั้น—พวกเขากำลังทำตัวเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน เป็นผู้ช่วยและผู้ติดตามของมันด้วย พวกเขาไม่จงรักภักดีในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน แต่กับซาตานแล้ว พวกเขาจงรักภักดีทีเดียว แก่นแท้ของปัญหาอยู่ตรงนี้ ในเรื่องของความเป็นมืออาชีพที่ไม่เพียงพอ มันเป็นไปได้ที่จะเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ของเจ้าอย่างสม่ำเสมอระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ปัญหาเหล่านั้นสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่แก้ไขลำบากยากเย็นที่สุดคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ หากพวกเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน แต่ชอบเอาใจผู้คนอยู่เสมอ และไม่ตัดแต่งหรือช่วยเหลือผู้ที่เจ้ามองเห็นว่าละเมิดหลักธรรม ไม่เปิดโปงหรือเผยตัวพวกเขา แต่กลับถอยหนีอยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมรับผิดชอบ เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติหน้าที่แบบที่เจ้าทำนั้นมีแต่จะสร้างความเสียหายและถ่วงงานของคริสตจักรให้ช้าลงเท่านั้น การทำเหมือนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเป็นสิ่งที่ไร้ความสำคัญและไม่ยอมรับผิดชอบแม้แต่น้อย ไม่เพียงส่งผลต่อประสิทธิผลของงานเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความล่าช้าในงานของคริสตจักรครั้งแล้วครั้งเล่าอีกด้วย เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในลักษณะนี้ เจ้าย่อมเอาแต่ทำอย่างสุกเอาเผากินและหลอกลวงพระเจ้ามิใช่หรือ? นี่แสดงถึงความจงรักภักดีต่อพระเจ้ากระนั้นหรือ? หากเจ้าทำตัวสุกเอาเผากินอยู่เสมอเวลาปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และยืนกรานที่จะไม่กลับใจ เช่นนั้นแล้วก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เจ้าจะถูกกำจัดออกไป” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน) พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันเข้าใจว่าคนที่ชอบเอาใจผู้คนกลัวการล่วงเกินผู้อื่น ล้มเหลวในการคำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศน์ของพระเจ้า เพราะมัวแต่กังวลเรื่องการรักษาความสัมพันธ์อยู่เสมอ และไม่ลังเลที่จะสละผลประโยชน์ของพระนิเวศน์ของพระเจ้าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนตน หลักๆ แล้ว พวกเขาแค่กระทำเยี่ยงขี้ข้าของซาตานในการขัดขวางและรบกวนงานของพระนิเวศน์ของพระเจ้า พวกเขาไม่มีความจงรักภักดีต่อหน้าที่สักนิดเดียว แถมเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจเป็นพิเศษ พอได้ทบทวนถึงเวลาที่ฉันร่วมงานกับหวังหรัน ฉันแยกแยะได้ชัดเจนว่าเธอเผยออกมาว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ ควรถูกเปิดโปงและรายงานตามหลักธรรมความจริง แต่ฉันกังวลว่าเธอจะถือโทษโกรธเคืองฉัน และจะทำให้การปฏิสัมพันธ์กับเธอต่อไปทำได้ยาก ผลคือฉันทำตัวเป็นคนที่ชอบเอาใจคนอื่นเพื่อรักษาความสัมพันธ์ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นตอนที่เธอก่อการขัดขวาง และการรบกวนในคริสตจักร และก่อความเสียหายให้กับงานของคริสตจักร สำหรับตัวฉัน ฉันถูกพระเจ้ารังเกียจเดียดฉันท์ ร่วงลงสู่ความมืด และทนทุกข์แสนสาหัส พระวจนะของพระเจ้าบรรยายพฤติกรรมของฉันไว้อย่างดีว่า “พวกเขากำลังทำตัวเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน เป็นผู้ช่วยและผู้ติดตามของมันด้วย พวกเขาไม่จงรักภักดีในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน แต่กับซาตานแล้ว พวกเขาจงรักภักดีทีเดียว” พระเจ้าประทานพระคุณให้ฉันด้วยโอกาสในการทำหน้าที่ฐานะผู้นำ โดยคาดหวังให้ฉันคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์และปกป้องงานของคริสตจักร แต่ในเวลาที่สำคัญที่สุด ฉันกลับไม่ได้ทำตามความคาดหวังนี้ แท้จริงแล้ว ฉันถึงกับช่วยศัตรูในขณะที่พึ่งพาอาศัยเงินทองจากคริสตจักร ปกป้องผู้นำเทียมเท็จและทำตัวเฉกเช่นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน พระเจ้าคงจะทรงชิงชังและรังเกียจการกระทำของฉันมากแน่! ฉันคิดกับตัวเองว่า “ฉันรู้ว่าฉันควรรายงานเรื่องผู้นำเทียมเท็จที่กระทำการขัดขวางและรบกวนงานของคริสตจักร และก็รู้สึกผิดที่ไม่ได้ทำแบบนั้น ฉันอยากปฏิบัติตามความจริง แล้วทำไมฉันถึงทำไม่ได้ ฉันถูกอะไรควบคุมกันแน่?”
ต่อมา ฉันก็อ่านเจอพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในไปจนกว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและเข้าใจความจริงแล้ว สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ? ตัวอย่างเช่น เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว? เหตุใดพวกเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความรู้สึกรุนแรงเช่นนั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคนชั่วพวกนั้น? อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว? สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้? ถึงตอนนี้พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่าเหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งทั้งปวงนี้ก็คือว่า มีพิษของซาตานอยู่ภายในตัวมนุษย์ ดังนั้น อะไรคือพิษของซาตาน? สามารถแสดงมันออกมาในทางใดได้บ้าง? ตัวอย่างเช่น หากเจ้าถามว่า ‘ผู้คนควรดำรงชีวิตอย่างไร? ผู้คนควรดำรงชีวิตเพื่อสิ่งใด?’ ผู้คนก็จะตอบว่า ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา ปรัชญาและตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว ไม่ว่าผู้คนจะไล่ตามเสาะหาสิ่งใด พวกเขาก็ทำเช่นนั้นเพื่อตัวเอง—ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเองเท่านั้น ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือปรัชญาชีวิตของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย… ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์บรรจุปรัชญาและพิษของซาตานเอาไว้มากมาย บางครั้งเจ้าเองก็ไม่ทันตระหนักรู้ถึงปรัชญาเหล่านี้ด้วยซ้ำและไม่เข้าใจ ถึงกระนั้น ทุกขณะของชีวิตเจ้าก็มีพื้นฐานอยู่บนสิ่งเหล่านี้ ที่มากกว่านั้นคือเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้องและมีเหตุผลทีเดียว และไม่ใช่การเข้าใจผิดแต่อย่างใด นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าปรัชญาของซาตานได้กลายเป็นธรรมชาติของผู้คนไปแล้ว และว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตตามปรัชญาเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ คิดไปว่าหนทางในการใช้ชีวิตเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดี และไม่ได้สำนึกกลับใจแต่ประการใด ดังนั้น พวกเขากำลังเปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาอยู่เนืองนิตย์ และพวกเขายังใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตานอยู่ตลอดเวลา ธรรมชาติของซาตานคือชีวิตของมนุษยชาติ และเป็นแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษยชาติ” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร) ฉันได้เรียนรู้ผ่านพระวจนะของพระเจ้าว่า รากฐานของพฤติกรรมชอบเอาใจคนอื่นคือฉันใช้ชีวิตตามน้ำพิษของซาตาน เช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “จงนิ่งเงียบต่อความผิดของเพื่อนสนิทเพื่อสร้างมิตรภาพอันดีงามและยาวนาน” “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” เป็นต้น น้ำพิษเหล่านี้ได้ฝังรากลึกลงในหัวใจฉัน และฉันใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านั้น เสาะแสวงเพื่อรักษาความสัมพันธ์ของฉันอยู่เสมอ ฉันกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว หลอกลวง และขาดลักษณะความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาหน้าตา น้ำพิษเหล่านี้ได้กลายเป็นธรรมชาติแท้จริงของฉันไปแล้ว และทุกการกระทำของฉันก็ถูกน้ำพิษพวกนั้นควบคุม ฉันรู้ความจริงชัดเจน แต่ฉันแค่ปฏิบัติไม่ได้ ก่อนที่ฉันจะเริ่มเชื่อในพระเจ้า ใครก็ตามที่ฉันปฏิสัมพันธ์ด้วย ฉันชอบที่จะยอมเสียเปรียบในคำพูดและการกระทำของตัวเองอยู่เสมอ ขอแค่ได้รักษาความสัมพันธ์กับคนคนนั้น และฝากความประทับใจอันดีเอาไว้ให้พวกเขา หลังจากเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ยังใช้ชีวิตด้วยน้ำพิษเยี่ยงซาตานเหล่านี้ต่อ เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับหวังหรัน ฉันไม่ได้พูดถึงปัญหาของเธอกับเธอตอนที่ฉันสังเกตเห็น และไม่ได้เปิดโปงและรายงานเธอด้วยซ้ำ หลังจากเห็นชัดเจนว่าเธอเผยออกมาว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ นำความเสียหายมาสู่งานของครสิตจักร ฉันรู้ตัวเลยว่าฉันเป็นคนหลอกลวง ประจบประแจงและสอพลอ จดจ่ออยู่กับการพยายามรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่น ฉันไม่ได้มีการคำนึงถึงงานของพระนิเวศของพระเจ้า หรือการเข้าสู่ชีวิตฝ่ายวิญญาณของพี่น้องชายหญิงเลยแม้แต่น้อย ฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของฉันเลย ฉันกำลังทำสิ่งชั่วร้าย! ฉันยอมที่จะล่วงเกินพระเจ้ามากกว่าสหายของฉัน ในการพยายามปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัว ฉันได้ล้มเหลวในการปฏิบัติตามความจริง ไม่ได้กระทำตามหลักธรรม และรับใช้ในฐานะขี้ข้าของซาตาน ยอมให้ผู้นำเทียมเท็จสร้างความเสียหายต่องานของคริสตจักรได้ตามอำเภอใจ น่าเกลียดชังยิ่งนัก! และตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักได้ว่าผู้คนที่ชอบเอาใจคนอื่นนั้นมีจิตใจไม่ดี และพระเจ้าเกลียดชังพวกเขา! ถ้าฉันไม่ได้กลับใจ ฉันคงจะถูกพระเจ้ารังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดออกไปเป็นแน่
ต่อมา ฉันก็เห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “หากเจ้ามีแรงจูงใจและมุมมองของคนที่ชอบเอาใจผู้คน เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไม่สามารถปฏิบัติความจริงและยึดปฏิบัติตามหลักธรรมได้ในทุกๆ เรื่อง และเจ้าจะล้มเหลวและตกต่ำอยู่เสมอ หากเจ้าไม่ตื่นขึ้นและไม่แสวงหาความจริงเลย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมเป็นผู้ไม่เชื่อ และเจ้าก็จะไม่มีวันได้รับความจริงและชีวิต เช่นนั้นแล้ว เจ้าควรทำสิ่งใดเล่า? เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งทั้งหลายดังกล่าว เจ้าต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าและร้องเรียกพระองค์ วิงวอนขอความรอดและขอให้พระองค์ทรงมอบความเชื่อและเรี่ยวแรงมากขึ้นให้กับเจ้าและช่วยให้เจ้าสามารถยึดปฏิบัติตามหลักธรรมได้ ทำสิ่งที่เจ้าควรทำ จัดการกับสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรม ตั้งมั่นในตำแหน่งที่เจ้าควรยืนอยู่ ปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และป้องกันไม่ให้อันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า หากเจ้าสามารถขัดขืนผลประโยชน์ของตัวเอง ความภาคภูมิใจของเจ้า และจุดยืนว่าด้วยการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนของเจ้าได้ และหากเจ้าทำสิ่งที่เจ้าควรทำด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์และมิได้แบ่งแยก เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะทำให้ซาตานปราชัยและได้รับความจริงในแง่มุมนี้แล้ว” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) “เจ้าทั้งปวงกล่าวว่าเจ้าคำนึงถึงพระภาระของพระเจ้า และจะปกป้องคำพยานของคริสตจักร แต่ใครหรือในหมู่พวกเจ้าที่ได้คำนึงถึงพระภาระของพระเจ้าจริงๆ? จงถามตัวเจ้าเองว่า เจ้าเป็นใครคนหนึ่งซึ่งได้แสดงให้เห็นความคำนึงถึงพระภาระของพระองค์หรือไม่? เจ้าสามารถปฏิบัติความชอบธรรมเพื่อพระองค์หรือไม่? เจ้าสามารถยืนขึ้นและพูดเพื่อเราหรือไม่? เจ้าสามารถนำความจริงมาปฏิบัติอย่างหนักแน่นมั่นคงหรือไม่? เจ้ากล้าพอที่จะต่อสู้กับความประพฤติทั้งปวงของซาตานหรือไม่? เจ้าจะสามารถวางความรู้สึกของเจ้าและเปิดโปงซาตานเพื่อเห็นแก่ความจริงของเราได้หรือไม่? เจ้าจะสามารถยอมให้ในตัวเจ้ามีการสนองเจตนารมณ์ของเราหรือไม่? เจ้าเคยมอบถวายหัวใจของเจ้าในชั่วขณะที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดหรือไม่? เจ้าใช่คนที่ปฏิบัติตามเจตจำนงของเราหรือไม่? จงถามคำถามเหล่านี้กับตัวเจ้าเอง และคิดเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ให้บ่อย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 13) ฉันได้ตระหนักผ่านพระวจนะของพระเจ้าว่า การรายงานและการเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จคือหน้าที่และความรับผิดชอบของประชากรทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และเป็นสิ่งที่เป็นบวก การทำเช่นนั้นเพื่อปกป้องงานของคริสตจักรจากอุปสรรค ทำให้พี่น้องชายหญิงได้มีชีวิตคริสตจักรที่ดี และช่วยให้ผู้นำเทียมเท็จได้เข้าใจในการกระทำของตัวเองอย่างแท้จริง และกลับใจต่อพระเจ้าอย่างทันท่วงที สำหรับฉันแล้ว ฉันเชื่อแบบผิดๆ ว่าการรายงานผู้นำเทียมเท็จจะเป็นการล่วงเกินคนคนนั้น ดังนั้น ทั้งที่เห็นชัดๆ ว่าหวังหรันไม่ได้ทำงานจริง แต่ฉันก็ล้มเหลวในการรายงานและเปิดโปงเธอ ทำให้แต่ละโครงการของคริสตจักรเจออุปสรรค นี่เป็นความประมาทเลินเล่อที่ร้ายแรงมาก ฉันต้องหยุดใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตานในการรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่น ฉันต้องยืนหยัดกับพระเจ้า จัดการธุระต่างๆ ตามหลักธรรม ปกป้องงานของคริสตจักรและกระทำด้วยสำนึกของความยุติธรรม เฉพาะเมื่อกระทำแบบนั้นเท่านั้น ฉันจึงจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่ พระเจ้า! หลายต่อหลายครั้งแล้ว ที่พระองค์ทรงประทานโอกาสในการปฏิบัติตามความจริงแก่ข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์กลับใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ปกป้องตัวเองและล้มเหลวในการทำให้พระองค์พอพระทัยอยู่ร่ำไป คราวนี้ข้าพระองค์ไม่อยากจะใช้ชีวิตตามปรัชญาของผู้คนที่ชอบเอาใจคนอื่นเพื่อจัดการเรื่องทางโลกอีกต่อไปแล้ว และจะเขียนจดหมายเปิดโปงหวังหรัน” ทันทีที่ฉันเตรียมเขียนรายงาน ผู้นำของฉันก็ชวนฉันไปเข้าร่วมการชุมนุม และฉันก็ดำเนินการแจ้งพวกเขาทุกปัญหาที่หวังหรันมีอยู่ ฉันยังเปิดอกด้วยว่าฉันเคยเป็นคนที่พยายามทำให้ผู้อื่นพอใจในช่วงเวลานั้น ล้มเหลวในการปฏิบัติตามความจริง และก่อความเสียหายต่อผลประโยชน์ของคริสตจักร
หลังจากสำรวจปัญหาและสอบสวน ก็พบว่าหวังหรันเป็นผู้นำเทียมเท็จที่ล้มเหลวในการทำงานจริงและควรถูกปลด ในวันที่ปลดหวังหรัน หลังจากผู้นำเปิดโปงพฤติกรรมของเธอเสร็จแล้ว พวกเขาขอให้ฉันแสดงความคิดเห็น ฉันรู้สึกกังวลเล็กน้อย “ถ้าฉันเปิดโปงเธอ เธอจะถือโทษโกรธฉันแน่ๆ และคิดว่าเธอถูกปลดเพราะฉันรายงานปัญหาของเธอแค่นั้น เรื่องนั้นจะไม่ทำให้การปฏิสัมพันธ์กับเธอต่อจากนี้เป็นเรืองยากหรอกเหรอ?” ฉันตระหนักได้ว่าฉันกำลังพยายามรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัว และทำตัวเป็นคนที่ชอบเอาใจคนอื่นอีกแล้ว ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ แล้วก็หวนนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งได้ว่า “พระเจ้าประทานความจริงมากมายให้แก่ผู้คน ทรงนำทางเจ้ามาเป็นเวลายาวนานนัก และทรงจัดเตรียมให้เจ้ามากมาย เพื่อจุดประสงค์ที่จะให้เจ้าปกป้องและเป็นพยานให้งานของคริสตจักร ปรากฏว่าเมื่อคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์มีความประพฤติชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักร เจ้ากลับกลายเป็นขี้ขลาดและถอนตัว หลบหนีโดยชูแขนขึ้นเหนือศีรษะของเจ้า—เจ้าช่างไม่เอาไหนเสียเลย เจ้าไม่สามารถเอาชนะเหล่าซาตานได้ เจ้ายังไม่ได้เป็นพยาน และพระเจ้าทรงรังเกียจเจ้า ในชั่วขณะที่สำคัญอย่างยิ่งยวดนี้ เจ้าต้องลุกขึ้นทำสงครามกับเหล่าซาตาน เปิดโปงความประพฤติชั่วของศัตรูของพระคริสต์ กล่าวโทษและสาปแช่งพวกเขา โดยไม่ให้ที่ทางพวกเขาหลบซ่อนและชำระพวกเขาออกจากคริสตจักร มีเพียงการนี้เท่านั้นที่สามารถถือว่าเป็นการได้รับชัยชนะเหนือเหล่าซาตานและจบสิ้นชะตากรรมของพวกมัน” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่แปด)) พระวจนะของพระเจ้ามอบพลังให้ฉันปฏิบัติตามความจริง ฉันนึกถึงว่า ในอดีตฉันเสียโอกาสมากมายในการปฏิบัติตามความจริงเพราะฉันอยากปกป้องตัวเอง และจะพยายามอ่านสีหน้าท่าทางกับความชอบของคนอื่น แล้วก็กระทำตามนั้น ครั้งนี้ฉันจะพึ่งพาพระเจ้าในการปฏิบัติความจริง เปิดโปงทุกปัญหาของหวังหรัน ช่วยให้เธอทบทวนและทำความรู้จักตัวเอง พอตระหนักเรื่องนี้ ฉันได้ดำเนินการชี้ให้เห็นถึงปัญหาทั้งหมดของหวังหรานทีละข้อ และรู้สึกโล่งใจเป็นพิเศษในระหว่างที่ชี้แจง
ฉันได้ตระหนักผ่านประสบการณ์นี้ว่า การเป็นคนที่ชอบเอาใจคนอื่นนั้นเป็นอันตรายต่อตัวฉันและผู้อื่น อีกทั้งพระเจ้าก็ทรงรังเกียจเดียดฉันท์ผู้คนประเภทนี้ พระเจ้าไม่ทรงทำให้ผู้คนที่ชอบเอาใจคนอื่นเพียบพร้อม พระเจ้าทรงพอพระทัยผู้คนซื่อสัตย์ที่มีความเชื่อมั่นชัดเจนว่าพวกเขาชอบอะไรและไม่ชอบอะไร และมีสำนึกของความยุติธรรม และสามารถคุ้มครองผลประโยชน์แห่งพระนิเวศน์ของพระเจ้าได้ มีเพียงผู้คนที่ทำหน้าที่ในแบบที่สอดคล้องกับเจตนารมย์ของพระเจ้าเท่านั้นที่จะได้รับความรอด