67. วิธีเผชิญความลำบากยากเย็นในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ

โดย เคลวิน ประเทศเปรู

ทั้งครอบครัวของผมเป็นคาทอลิก และคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านของเราก็เช่นกัน แต่เนื่องจากโบสถ์คาทอลิกที่นั่นไม่มีบาทหลวงมาทำหน้าที่ ก็เลยไม่มีใครไปโบสถ์เพื่อศึกษาพระคัมภีร์มาเป็นเวลานานแล้ว  ในวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 2020 ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทางออนไลน์ และจากพระวจนะของพระองค์ ผมก็แน่ใจว่าองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้ว พระองค์คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และผมก็ได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ด้วยความยินดี  ต่อมา ผมได้อ่านข้อความนี้ในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ใจความว่า “เนื่องจากมนุษย์เชื่อในพระเจ้า เขาจึงต้องเดินตามทุกรอยพระบาทของพระเจ้าอย่างใกล้ชิด เขาควร ‘ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ใดก็ตาม’  ผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นผู้แสวงหาหนทางที่แท้จริงอย่างแท้จริง พวกเขาเท่านั้นคือผู้ที่รู้จักพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์)  ผมรู้ว่าในฐานะผู้เชื่อ เราควรรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์  มีผู้เชื่อมากมายในหมู่บ้าน แต่ไม่มีใครเลยที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า ดังนั้นผมจึงอยากแบ่งปันข่าวอันน่าเหลือเชื่อนี้กับพวกเขาจริงๆ  แต่ผมก็กลัวนิดหน่อย  ผมรู้สึกว่าเพราะผมยังเด็กและไม่รู้วิธีแบ่งปันข่าวประเสริฐ พวกเขาคงไม่ฟังผมแน่ๆ  ผมกังวลว่าพวกเขาจะดูถูกผม และพูดว่า “เธอยังเด็กขนาดนี้ ทำไมถึงวิ่งวุ่นประกาศไปทั่ว แทนที่จะไปโรงเรียน หรือหางานทำล่ะ?”  อีกอย่าง พวกเขาเป็นผู้เชื่อมาหลายปีแล้ว แล้วพวกเขาจะฟังคำพยานของผมเรื่องการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูเจ้าเหรอ?  พวกเขาจะปฏิบัติต่อผมอย่างไร?  ผมจะสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดหรือความสับสนที่พวกเขาอาจมีได้อย่างไร?  ผมจะทำอย่างไรถ้าพวกเขาต่อต้านการที่ผมเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และแบ่งปันข่าวประเสริฐ?  ผมคิดมากเรื่องนี้ แต่ก็รู้ว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ผมต้องแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพวกเขาและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า

ดังนั้นผมจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า และจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ความเชื่อของผมก็เข้มแข็งขึ้น  ผมได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระองค์ที่ว่า “เจ้าตระหนักรู้ภาระบนบ่าของเจ้า พระบัญชาสำหรับเจ้า และความรับผิดชอบของเจ้าบ้างหรือไม่?  ไหนเล่าสำนึกแห่งภารกิจครั้งประวัติศาสตร์ของเจ้า?  เจ้าจะทำหน้าที่เจ้านายคนหนึ่งของยุคถัดไปให้ถูกควรได้อย่างไร?  เจ้ามีสำนึกอันแรงกล้าของการเป็นนายหรือไม่?  ควรอธิบายการเป็นนายของสรรพสิ่งว่าอย่างไร?  แท้จริงแล้วใช่การเป็นนายของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงและทุกสิ่งที่จับต้องได้ในโลกหรือไม่?  เจ้าวางแผนให้งานระยะต่อไปเดินหน้าอย่างไร?  มีผู้คนมากมายเพียงใดที่กำลังรอคอยให้เจ้าเลี้ยงดูพวกเขา?  งานของเจ้าใช่งานหนักหรือไม่?  พวกเขาอับจน น่าเวทนา มืดบอด และหลงทาง โหยไห้อยู่ในความมืดมิดว่า—ไหนเล่าหนทาง?  พวกเขาโหยหายิ่งนักที่จะให้ความสว่างพลันเคลื่อนลงมาเหมือนดาวตกและสลายกองกำลังแห่งความมืดที่กดขี่มนุษย์มานานหลายปี  พวกเขาคาดหวังและคะนึงหาเช่นนี้ทั้งวันทั้งคืน—มีใครบ้างที่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้?  แม้ในวันที่ความสว่างวาบผ่าน ผู้คนที่ทุกข์ทนอยู่ลึกๆ เหล่านี้ก็ยังคงถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินอันมืดมิด ไร้ซึ่งความหวังที่จะได้รับการปลดปล่อย เมื่อใดที่พวกเขาจะไม่ร่ำไห้อีกต่อไป?  วิญญาณอันเปราะบางที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้หยุดพักเหล่านี้ช่างโชคร้ายอย่างยิ่ง ถูกพันธนาการให้อยู่ในสภาวะเช่นนี้มาช้านานด้วยเครื่องจองจำที่ไร้ความกรุณาและประวัติศาสตร์ที่ถูกแช่แข็ง  มีใครได้ยินเสียงโหยไห้ของพวกเขาบ้าง?  มีใครมองเห็นสภาพอันยากแค้นของพวกเขาบ้าง?  เจ้าเคยฉุกคิดบ้างหรือไม่ว่าพระหทัยของพระเจ้าจะทุกข์ระทมและกระวนกระวายเพียงใด?  พระองค์จะทรงทนเห็นมวลมนุษย์ที่ไม่รู้ประสาซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นมาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง พากันทนทุกข์ทรมานเยี่ยงนี้ได้อย่างไร?  ถึงอย่างไรมนุษย์ก็คือเหยื่อที่ถูกวางยาพิษ  และแม้มนุษย์จะรอดชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่มีใครรู้บ้างว่ามวลมนุษย์ถูกมารชั่ววางยาพิษมานานแล้ว?  เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าก็เป็นหนึ่งในเหยื่อทั้งหลาย?  เจ้าไม่เต็มใจที่จะพากเพียรช่วยผู้รอดชีวิตทั้งหมดนี้ให้รอดด้วยความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  เจ้าไม่เต็มใจที่จะอุทิศเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเพื่อตอบแทนพระเจ้าผู้ทรงรักมวลมนุษย์ประดุจเนื้อหนังและโลหิตของพระองค์เองหรอกหรือ?  แท้จริงแล้วเจ้าเข้าใจการที่พระเจ้าทรงใช้ให้เจ้าดำรงชีวิตที่ไม่ธรรมดานี้ว่าอย่างไร?  แท้จริงแล้วเจ้ามีปณิธานและความมั่นใจหรือไม่ที่จะดำรงชีวิตอันเปี่ยมความหมายของคนที่เปี่ยมศรัทธาและรับใช้พระเจ้า?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรจัดการกับภารกิจในอนาคตของเจ้าอย่างไร?)  ผมเข้าใจว่า การแบ่งปันข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ของเรา  ผู้คนจำนวนมากยังไม่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และยิ่งไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้วและกำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระผู้คนให้บริสุทธิ์  พวกเขายังคงใช้ชีวิตอยู่ในความเสื่อมทรามและความทุกข์ยากของซาตาน  พระเจ้าทรงหวังว่าเราทุกคนจะสามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ และลุกขึ้นยืนและร่วมมือกับพระองค์  ไม่ว่าเราจะเผชิญกับปัญหาหรือความลำบากยากเย็นใด เราสามารถอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้าให้มากขึ้น และทำทุกอย่างที่เราสามารถทำได้เพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร  แต่ผมไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ผมรู้สึกว่าด้วยความที่ยังเด็กมาก ผมไม่สามารถแบ่งปันข่าวประเสริฐได้  ผมกลัวว่าชาวบ้านจะไม่ฟังผมและจะดูถูกผม ดังนั้นผมจึงติดอยู่ระหว่างความลำบากยากเย็นเหล่านี้กับความคิดฝันของตัวเอง โดยแบกรับความกังวลไว้  ผมคิดถึงแต่ความลำบากยากเย็นของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่ได้คิดที่จะอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้าผ่านความลำบากยากเย็นเหล่านี้ เพื่อลุล่วงหน้าที่และความรับผิดชอบของผม  เมื่อผมนึกถึงผู้คนจำนวนมากที่กำลังโหยหาการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและได้รับการช่วยให้รอดจากความมืด ผมก็รู้สึกถึงความเร่งด่วน  ผมตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อเผยแผ่และเป็นคำพยานถึงข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และจะทุ่มเทเวลาและพลังงานทั้งหมดของผมให้กับงานนี้

หลังจากนั้น ผมก็เริ่มวางแผนที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐกับคนในหมู่บ้านของผม  ตอนแรก ผมไปที่ร้านถ่ายเอกสารเพื่อพิมพ์ใบเชิญ ให้สิบครอบครัวมาฟังคำเทศนาที่บ้านของผม  พวกเขาทุกคนค่อนข้างประหลาดใจ และพูดสิ่งดีๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่  ผมมีความสุขมากครับ  ต่อมา ผมคิดว่า “ถ้าคืนนี้มีคนมาเยอะ ก็คงจะยากสำหรับทุกคนที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้า จากโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กๆ ของฉันขณะที่พวกเขากำลังฟังคำเทศนา” ดังนั้น ผมจึงไปขอยืมแล็ปท็อปของเพื่อนคนหนึ่ง  เย็นวันนั้น มีคนมาฟังคำเทศนา 13 คน และระหว่างการชุมนุม พวกเขาทุกคนก็สนุกกับการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ใครที่อยากอ่านก็จะลุกขึ้นยืนและอาสาอ่านเอง  ทุกคนมีความสุขมากหลังจากนั้น  พวกเขาบอกว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นยอดเยี่ยม และพวกเขาได้รับประโยชน์มากมายจากการอ่านพระวจนะเหล่านั้น  พวกเขาบอกว่าเป็นเรื่องดีมากที่ได้มาชุมนุมกันเพื่ออ่านพระวจนะ และถึงกับอยากจะพาคนในครอบครัวมาฟังพระวจนะของพระองค์ในวันรุ่งขึ้นด้วย  การได้เห็นว่าทุกคนโหยหาพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงใดทำให้ผมมีความสุขมากจริงๆ  แต่แล้วผมก็ตระหนักว่าการยืมแล็ปท็อปของเพื่อนไปเรื่อยๆ คงไม่เหมาะแน่  ผมอยากจะซื้อเป็นของตัวเอง แต่เมื่อผมรวบรวมเงินทั้งหมดที่มี มันก็ยังไม่พอ  ผมค่อนข้างลำบากใจ  หลังจากสอบถามไปทั่ว ผมก็ได้รู้ว่าโปรเจ็กเตอร์ราคาถูกกว่าคอมพิวเตอร์เล็กน้อย และผมตัดสินใจที่จะกู้เงินมาซื้อเครื่องหนึ่ง เพื่อที่ชาวบ้านคนอื่นๆ จะได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยวิธีนั้น ผมไปที่ตัวเมืองเพื่อกู้เงิน และซื้อโปรเจ็กเตอร์มา  ผมเตรียมทุกอย่างพร้อมก่อนเริ่มการชุมนุมครั้งต่อไป และไม่นานชาวบ้านก็เริ่มทยอยกันมา  มีผู้เข้าร่วม 19 คน ซึ่งทำให้ห้องนั้นเต็มพอดี  ในตอนนั้น ผมเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงทั้งหมดนี้ และผมก็ตื่นเต้นมาก  ผมรีบไปหาลำโพงเพื่อให้ทุกคนได้ฟังพระวจนะของพระเจ้า  เราสามัคคีธรรมความจริงกันถึงคำเผยพระวจนะเรื่องการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้ลุล่วงแล้ว วิธีต้อนรับพระองค์  วิธีที่จะมั่นใจว่าองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้ว และพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย จะเผยให้เห็นคนทุกประเภทอย่างไร  ผู้คนที่เข้าร่วมต่างก็มีส่วนร่วมในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างกระตือรือร้น และเด็กบางคนก็ตื่นเต้นที่จะอ่านด้วยเหมือนกัน  เมื่อเห็นว่าพวกเขาโหยหาพระวจนะของพระองค์มากเพียงใด ผมก็รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ  มีสองสามคนยังอยู่ต่อหลังการชุมนุมเลิก และบอกว่าพวกเขาชอบฟังมาก  บางคนซาบซึ้งใจมาก รวมถึงผู้ใหญ่บ้านด้วย ซึ่งเขาอยากให้ชาวบ้านทุกคนมาฟังพระวจนะของพระเจ้า  มันเป็นเรื่องประหลาดใจที่น่ายินดีมาก  ผลลัพธ์นี้ได้ทลายมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผมไปหมด และผมก็รู้สึกละอายใจ  ผมได้เห็นพระราชกิจและการชี้แนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีความมั่นใจในการแบ่งปันข่าวประเสริฐมากขึ้นเรื่อยๆ  หลังจากนั้น ผมก็เชิญชาวบ้านมาฟังคำเทศนาทุกวัน และก็เริ่มมีคนมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขาทุกคนตื่นเต้นมาก และพูดว่า “ผมไม่เคยอ่านอะไรแบบนี้มาก่อนเลย พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จกลับมาแล้ว และเราก็ได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ช่างเป็นพรเหลือเกินที่สามารถต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้”  พวกเขายังวางแผนจัดงานเพื่อเชิญผู้คนจากเมืองโดยรอบให้มาร่วมการชุมนุมด้วย พวกเขาบอกผมว่า “เธอยังหนุ่มมาก แต่กลับทำเรื่องนี้เพื่อชาวบ้าน ช่วยให้ทุกคนได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและยังตั้งใจจริงจังกับเรื่องนี้มาก ไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้ให้พวกเรามาก่อนเลย เราไม่เคยคิดว่าคนหนุ่มอย่างเธอจะทำเรื่องนี้ได้ ยอดเยี่ยมมากๆ”  ผมรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ซึ่งทำให้ผมตื่นเต้นและมั่นใจในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐมากขึ้น

แต่ผมก็เจอกับความลำบากยากเย็นทุกรูปแบบตอนที่ผมให้น้ำผู้เชื่อใหม่เหล่านี้  บางครั้งสัญญาณอินเทอร์เน็ตของผมก็ไม่ค่อยดี และต้องไปจัดการชุมนุมให้ทีละบ้าน  ที่แย่ไปกว่านั้นคือที่นั่นฝนตกหนักมาก และถนนก็จะกลายเป็นโคลนไปหมด ทำให้เดินลำบาก  ตอนที่ผมออกไปให้น้ำผู้มาใหม่ ผมต้องวิ่งจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่ง  บางครั้งผมต้องรีบไปถึงบ้านของผู้เชื่อใหม่ก่อนที่ฝนจะเริ่มตก และบางครั้งผมก็ต้องรอเพราะพวกเขายังไม่กลับบ้าน  พอการชุมนุมเลิก การเดินกลับบ้านบนถนนที่เปียกโชกไปด้วยฝนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บางครั้งผมจะรู้สึกคิดลบและอ่อนแอเล็กน้อยเวลาที่เหนื่อยจนหมดแรง ดังนั้นผมจึงอธิษฐานและอ่านพระวจนะของพระเจ้า  ในตอนนั้น ผมได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า  ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้น! เจ้าอยากให้พรมาถึงตัวเจ้าโดยง่ายมิใช่หรือ?  ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญบททดสอบอันขมขื่น  หากปราศจากบททดสอบเช่นนี้ หัวใจรักที่พวกเจ้ามีต่อเราก็จะไม่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา  ต่อให้บททดสอบเหล่านี้มีแต่รูปการณ์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าบททดสอบย่อมเข้มข้นแตกต่างกันไป  บททดสอบคือพรจากเรา และมีพวกเจ้ามากน้อยแค่ไหนหรือที่เข้าเฝ้าเราบ่อยครั้งและคุกเข่าขอร้องพรจากเรา?  เจ้าพวกเด็กโง่เอย!  เจ้าคิดเสมอว่าคำพูดอันเป็นมงคลไม่กี่คำก็นับเป็นพรจากเราแล้ว ทว่ากลับไม่ตระหนักว่าความขมขื่นก็เป็นพรหนึ่งของเรา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41)  “เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ เจ้าต้องสามารถวางความกังวลต่อเนื้อหนังเอาไว้ก่อนและไม่ทำการพร่ำบ่นพระเจ้า… ไม่สำคัญว่าวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้าจะเป็นอย่างไร ก่อนอื่นเจ้าต้องมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะทนทุกข์และมีความเชื่อที่แท้จริงนี้ และเจ้าต้องมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะขบถต่อเนื้อหนังอีกด้วย  เจ้าควรเต็มใจที่จะทนทุกข์ด้วยตนเองและมีประสบการณ์กับการสูญเสียผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าเพื่อที่จะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เจ้าต้องสามารถรู้สึกสำนึกเสียใจอยู่ในหัวใจของเจ้าด้วยว่า ในอดีตนั้นเจ้าไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ และตอนนี้ เจ้าสามารถสำนึกเสียใจได้แล้ว  เจ้าต้องไม่ขาดสิ่งเหล่านี้แม้แต่สิ่งเดียว—พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้าเพียบพร้อมผ่านสิ่งเหล่านี้  หากเจ้าไม่สามารถทำได้ตามเกณฑ์เหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่สามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อมได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  พระวจนะของพระเจ้าหนุนใจและชูใจผมไม่ให้ท้อหรืออ่อนแอ และบอกว่าพระเจ้าจะทรงชี้แนะและช่วยเหลือผม  ผมประสบกับความไม่สบายกายและได้จ่ายราคาไปบ้างเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐ แต่นั่นก็มีความหมายและมีคุณค่า เป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดที่ควรทำ และเป็นสิ่งที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้ามากที่สุด  ผมนึกถึงเปตร มัทธิว และอัครทูตคนอื่นๆ ขององค์พระเยซูเจ้า ที่ทนทุกข์อย่างมากเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  บางคนถึงกับเสียชีวิตระหว่างพยายามที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐ แต่พวกเขายังคงยืนหยัดและไม่เคยถอย เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว การทนทุกข์เล็กน้อยของผมนั้นไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงเลยด้วยซ้ำ  เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่ผมโชคดีได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ และสามารถทำหน้าที่ของผมโดยการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรได้  ผมจะเอาแต่คำนึงถึงเนื้อหนังของตัวเองและกลัวความลำบากยากเย็นเพียงเล็กน้อยไม่ได้  ผมต้องเต็มใจที่จะทนทุกข์  เมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็นใดๆ ผมจะท้อแท้ไม่ได้  แม้ว่าผมจะทนทุกข์กับความไม่สบายกาย ผมก็ยังต้องแบ่งปันข่าวประเสริฐ เป็นพยานให้พระเจ้า และลุล่วงหน้าที่ของผมเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมป่วยและเป็นหวัดอยู่หลายวัน  ตอนเย็นผมจะมีไข้ ปวดหัว และปวดท้อง  ผมถึงกับพูดไม่ได้  พี่น้องหญิงคนหนึ่งเห็นว่าผมอาการไม่ดีจึงบอกผมว่า “คืนนี้คุณไม่ควรไปร่วมการชุมนุมนะ”  ตอนนั้นผมก็เห็นด้วย  แต่หลังจากนั้น ความคิดที่จะปล่อยให้ผู้เชื่อใหม่ชุมนุมกันเองทำให้ผมกระวนกระวายใจ  ผมคิดว่าการที่รู้สึกไม่สบายนี้เป็นบททดสอบสำหรับผม และผมยังคงต้องทำหน้าที่ของผมให้ดี  ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ผมป่วยหรือขาเจ็บ ผมยังออกไปเล่นฟุตบอลได้เลย  แล้วทำไมตอนนี้ผมจะทำหน้าที่ของผมไม่ได้ล่ะ?  เมื่อคิดเช่นนั้น ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปยังที่ชุมนุม  น่าแปลกที่พอไปถึง ผมกลับไม่รู้สึกว่าไม่สบาย ผมมีความสุขมาก และอาการก็ดีขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่วัน

หลังจากทำงานอย่างหนักเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐมากว่าหนึ่งเดือน ชาวบ้านส่วนใหญ่ ยกเว้นคนที่ไปทำงานนอกเมือง ก็ได้ยอมรับข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ผมอยากให้ผู้คนได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้ามากขึ้น เพราะยังมีผู้คนอีกมากมายที่ไม่รู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้ว กำลังทรงแสดงความจริงมากมาย และทรงพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์และช่วยให้มวลมนุษย์รอด  ดังนั้นผมจึงตัดสินใจไปแบ่งปันข่าวประเสริฐในหมู่บ้านอื่นๆ  ผมอธิษฐานในใจว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ โปรดทรงชี้แนะข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้ไม่สูญเสียความเชื่อและสามารถก้าวต่อไปได้ ข้าพระองค์มั่นใจว่าพระองค์จะทรงช่วยข้าพระองค์แก้ไขความลำบากยากเย็นใดๆ ก็ตามที่ข้าพระองค์ต้องเผชิญ”  หลังจากนั้น ผมก็ไปที่หมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐ  ผมเดินลงเนินไปตามถนนที่เป็นโคลนเป็นเวลา 30 นาทีเพื่อประกาศข่าวประเสริฐให้พวกเขา แต่สามครัวเรือนแรกต่างก็บอกว่าไม่มีเวลา และปฏิเสธผมอย่างสุภาพ  ผมรู้สึกผิดหวังและท้อใจอยู่บ้าง  คืนนั้นผมกลับถึงบ้านดึกมาก  พี่น้องหญิงแอนนี่โทรมาหาผมเพื่อถามว่าการแบ่งปันข่าวประเสริฐของผมเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งยังสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้ากับผม หนุนใจและช่วยเหลือผมด้วย  ผมได้อ่านบางอย่างในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “สิ่งที่เราปรารถนาคือความจงรักภักดีและความนบนอบของเจ้า ณ บัดนี้ ความรักและคำพยานของเจ้า ณ บัดนี้ แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะไม่รู้ว่าคำพยานคืออะไรหรือความรักคืออะไร เจ้าก็ควรจะนำทุกอย่างของเจ้ามาให้เรา และส่งมอบทรัพย์สมบัติเดียวที่เจ้ามีให้แก่เรา นั่นก็คือ ความจงรักภักดีและความนบนอบของเจ้า  เจ้าควรรู้ว่ามีคำพยานถึงการที่เราทำให้ซาตานพ่ายแพ้อยู่ในความจงรักภักดีและความนบนอบของมนุษย์ เช่นเดียวกับคำพยานถึงการพิชิตมนุษย์โดยบริบูรณ์ของเรา  หน้าที่แห่งความเชื่อในเราของเจ้าก็คือการเป็นพยานแก่เรา การจงรักภักดีต่อเราและไม่จงรักภักดีต่อสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น และยอมนบนอบไปจนถึงปลายทาง  ก่อนที่เราจะเริ่มขั้นตอนต่อไปของงานของเรา เจ้าจะเป็นพยานให้เราอย่างไร?  เจ้าจะจงรักภักดีและจะนบนอบเราอย่างไร?  เจ้าอุทิศความจงรักภักดีทั้งหมดของเจ้าให้แก่หน้าที่การงานของเจ้าหรือไม่ หรือเจ้าจะล้มเลิก?  เจ้าจะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการทุกอย่างของเรา (แม้ว่าจะเป็นความตายหรือความย่อยยับ) หรือหนีหายไปกลางทางเพื่อหลบเลี่ยงการตีสอนของเรา?  เราตีสอนเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้เป็นพยานให้เรา จงรักภักดีและนบนอบเรา  ยิ่งไปกว่านั้น การตีสอนในปัจจุบันเป็นการคลี่คลายงานขั้นตอนต่อไปของงานของเรา และเพื่อช่วยให้งานนั้นก้าวหน้าต่อไปโดยไม่มีอะไรขวางกั้น  ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงเตือนสติเจ้าให้เฉลียวฉลาด และจงอย่าปฏิบัติกับชีวิตของเจ้าหรือนัยสำคัญในการดำรงอยู่ของเจ้าเหมือนกับเม็ดทรายที่ไร้ค่า  เจ้าสามารถรู้ได้แน่หรือไม่ว่างานที่จะมาถึงของเรานั้นคืออะไร?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าเราจะทำงานอย่างไรในวันข้างหน้า และงานของเราจะคลี่คลายไปอย่างไร?  เจ้าควรจะรู้ถึงนัยสำคัญของประสบการณ์ของเจ้ากับงานของเรา และยิ่งไปกว่านั้น นัยสำคัญของความเชื่อในเราของเจ้า  เราได้ทำไปมากมายแล้ว เราจะล้มเลิกแค่ครึ่งทางดังที่เจ้าจินตนาการได้อย่างไร?  เราได้ทำงานที่กว้างขวางเช่นนี้แล้ว เราจะทำลายมันได้อย่างไร?  แท้ที่จริงแล้ว เราได้มาเพื่อทำให้ยุคนี้สิ้นสุดลง  นี่คือเรื่องจริง แต่ที่มากกว่านั้น เจ้าต้องรู้ว่าเรากำลังจะเริ่มต้นยุคใหม่ จะเริ่มต้นงานใหม่ และที่สำคัญที่สุดคือ จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร ดังนั้น เจ้าควรรู้ว่างานปัจจุบันเป็นเพียงเพื่อการเริ่มต้นยุคหนึ่งเท่านั้น และเพื่อวางรากฐานในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐในสมัยที่จะมาถึงและการทำให้ยุคนี้สิ้นสุดลงในภายภาคหน้า  งานของเราไม่ใช่ง่ายดายดังที่เจ้าคิด อีกทั้งไม่ได้ไร้ค่าหรือไร้ความหมายดังที่เจ้าอาจเชื่อ  เพราะฉะนั้น เรายังคงต้องพูดกับเจ้าว่า เจ้าควรจะมอบชีวิตของเจ้าให้แก่งานของเรา และที่มากกว่านั้น เจ้าควรจะอุทิศตัวเจ้าเองเพื่อสง่าราศีของเรา  นานแล้วที่เราได้โหยหาให้เจ้าเป็นพยานแก่เรา และนานยิ่งกว่านั้นที่เราได้โหยหาให้เจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐของเรา  เจ้าควรจะเข้าใจว่าอะไรอยู่ในหัวใจของเรา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?)  การได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมเข้มแข็งขึ้นมาบ้าง  ผมรู้สึกเหมือนพระเจ้ากำลังตรัสกับผมว่า ผมควรมีความเชื่อในพระองค์ และไม่ว่าผมจะเผชิญกับความลำบากยากเย็นอะไร ผมจะอ่อนแอหรือคิดลบไม่ได้ จะท้อแท้หรือเสียใจไม่ได้ เพราะพระเจ้ากำลังทรงชี้แนะเราอยู่ ตราบใดที่ผมคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงเปิดทางให้ผม  จากพระวจนะของพระเจ้า ผมเห็นว่าการแบ่งปันข่าวประเสริฐไม่ใช่เส้นทางที่ง่าย แต่ต้องทนทุกข์และจ่ายราคา  โนอาห์ประกาศข่าวประเสริฐเป็นเวลา 120 ปี และเขาก็ถูกผู้คนเยาะเย้ย ใส่ร้าย และกล่าวหาอย่างมุ่งร้าย  เขาทนทุกข์อย่างมาก และแม้ว่าจะไม่มีใครเปลี่ยนใจเชื่อเลย แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้หรืออ่อนแอ เขายังคงแบ่งปันข่าวประเสริฐต่อไป โนอาห์ยังคงเข้มแข็งในการอุทิศตนและการนบนอบพระเจ้า  เขาทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และได้รับความเห็นชอบและพระพรจากพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงส่งน้ำท่วมมาทำลายโลก ครอบครัวของโนอาห์แปดคนก็ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าและมีชีวิตรอด  แล้วผมก็นึกถึงตัวเอง ผมเพิ่งแบ่งปันข่าวประเสริฐกับสามครอบครัว พอพวกเขาไม่ยอมรับผมก็ท้อใจเสียแล้ว  ผมไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าเลย  อันที่จริง พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้สถานการณ์และความลำบากยากเย็นเหล่านี้เกิดขึ้นกับผม เพื่อทำให้ความเชื่อและการอุทิศตนของผมต่อพระองค์เพียบพร้อม  ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับข่าวประเสริฐหรือไม่ ผมก็ต้องไปประกาศ นั่นเป็นหน้าที่ของผม

พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมเข้มแข็ง วันรุ่งขึ้น ผมก็ไปที่หมู่บ้านอีกแห่งเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐ  ผมยังได้อธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งแก่ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐเพื่อให้เข้าใจพระวจนะของพระองค์ด้วย  เย็นวันนั้น ผมพบคนหนึ่งที่สนใจฟังข่าวประเสริฐ และหลังจากที่ผมสามัคคีธรรมและเป็นพยานให้เขาถึงการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว ผมก็ยังคงหาคนอื่นๆ เพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐต่อไป และในคืนนั้นก็ทำให้คนหกคนเปลี่ยนใจเชื่อ  ผมประหลาดใจมาก เพราะผู้รับข่าวประเสริฐบางคนเป็นคาทอลิกและมีมโนคติอันหลงผิดมากมาย แต่หลังจากที่ผมสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้ากับพวกเขา พวกเขาก็สามารถเข้าใจ และยอมรับข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  หลังจากนั้นผมก็ไปที่อื่น และทุกครั้งที่ผมออกไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ ผมจะอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งและทรงชี้แนะผม เพื่อที่ผมจะได้รู้วิธีประกาศและเป็นพยานถึงพระวจนะของพระองค์  เมื่อมีผู้คนยอมรับข่าวประเสริฐของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ความเชื่อของผมก็เติบโตขึ้น  แม้ว่าบางครั้งตอนที่ผมไปหมู่บ้านอื่นเพื่อประกาศกับคนแปลกหน้า ผมจะรู้สึกอายและกลัวเล็กน้อย แต่การชี้แนะจากพระวจนะของพระเจ้าก็ทำให้ผมมีความมั่นใจและความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับมัน  ผมรู้ว่านี่เป็นหน้าที่ของผม และถ้าผมไม่แบ่งปันข่าวประเสริฐ ผมก็จะได้ฝึกฝนไม่มากพอ และผมก็จะไม่เรียนรู้และได้รับความจริงมากขึ้น  หลังจากนั้น โดยการฝึกฝนแบ่งปันข่าวประเสริฐอย่างต่อเนื่อง ผมก็เลิกประหม่าและหวาดกลัว และเข้าใจความจริงเรื่องนิมิตได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  ผมรู้สึกผ่อนคลายและเป็นอิสระมาก  ผมได้รับประโยชน์มากมายจริงๆ จากกระบวนการแบ่งปันข่าวประเสริฐนี้

จากการแบ่งปันข่าวประเสริฐ ผมได้รับประสบการณ์มากมายและเผชิญกับความยากลำบากหลายอย่าง  แต่ผมได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาและมองขึ้นไปหาพระเจ้าในช่วงเวลาเหล่านี้ ได้รู้จักอธิปไตยอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ และยังได้เข้าใจถึงความสำคัญของการทำหน้าที่ของผมอีกด้วย

ก่อนหน้า: 66. การกลับใจของคุณหมอ

ถัดไป: 68. การทรมาน เบื้องหลังกรงขัง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger