68. การทรมาน เบื้องหลังกรงขัง

เช้าวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายนปี 2004 ผมไปร่วมชุมนุมที่บ้านของพี่น้องหญิงอาวุโสท่านหนึ่ง ตอนที่ผมกำลังจะเคาะประตูนั้นเอง ประตูก็เปิดผลัวะออกมา มีมือคู่หนึ่งคว้าตัวผมลากเข้าไปข้างใน ชายคนหนึ่งจ้องจนผมหลบตาและขู่คำรามด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “อย่าริอ่านพูดแม้แต่คำเดียว!” ชายอีกคนคว้าคอผมและเตะเข้าที่หน้าแข้ง พลางถามว่าผมมาทำอะไรและจะมีมากันกี่คน ผมรู้ตัวว่าชายเหล่านี้เป็นตำรวจ จึงพูดด้วยความรู้สึกวิตกกังวลเล็กน้อยว่า “ผมแค่มาส่งน้ำและเก็บค่าน้ำครับ” พวกมันคนหนึ่งพูดว่า “แกคือเฉินห่าวไม่ใช่เหรอ?” ผมตั้งตัวไม่ติด พวกมันรู้ชื่อของผมได้ยังไง?  ก่อนที่ผมจะทันตอบโต้ พวกมันก็เริ่มค้นตัวผม ยึดสมุดบันทึกและเงินมากกว่า 600 หยวนจากกระเป๋ากางเกงของผม จากนั้นก็ใส่กุญแจมือผม ผมได้ยินคนหนึ่งพูดว่า “สุดท้ายก็ไม่เสียเปล่าที่ดักซุ่มที่นี่มาเป็นเดือน” ผมตระหนักว่าพวกมันจับตาดูบ้านหลังนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ประมาณห้านาทีต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบสามนายก็มาถึง หนึ่งในนั้นมองผมอย่างประหลาดใจและพูดว่า “คุณมาทำอะไรที่นี่?  คุณมายุ่งเกี่ยวกับคนพวกนี้ได้ยังไง?” ชายคนนี้ชื่อหลิวและน้องสาวของเขาเคยเป็นเพื่อนร่วมงานของผมตอนที่ผมเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า เขาโหดเหี้ยมและร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง และสั่งให้ลูกน้องเอาตัวผมไป ผมนึกถึงพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้ พวกเขามักจะถูกทรมานทุกรูปแบบ และบางคนก็ถึงกับถูกซ้อมจนตาย ผมรู้สึกกลัวมาก ผมไม่รู้ว่าตำรวจจะทรมานหรือถึงกับฆ่าผมด้วยหรือไม่ ผมจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองผม และทรงมอบความเชื่อและความแข็งแกร่งในการตั้งมั่นในคำพยานของผมให้พระองค์ จากนั้นผมก็นึกถึงการที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงสามารถทำลายทั้งจิตวิญญาณและกายในนรกได้(มัทธิว 10:28) ใช่แล้ว ตำรวจฆ่าผมได้แค่ทางกายเท่านั้น พวกมันไม่อาจปล้นเอาดวงจิตของผมไปได้ ด้วยการชี้แนะจากพระวจนะของพระเจ้า ผมรู้สึกกลัวน้อยลงเล็กน้อย

หลังจากนั้น พวกมันนำตัวผมไปที่สถานีตำรวจท้องถิ่น ชายที่ชื่อหลิวแสร้งทำน้ำเสียงจริงใจบอกพวกตำรวจที่นำตัวผมเข้ามาว่า “อย่าทำรุนแรงกับเขาเกินไปนะ เขาเป็นคนซื่อๆ เรารู้จักกันมานานแล้ว” จากนั้นเขาก็แสร้งทำขึงขังพูดกับผมว่า “รู้อะไรก็แค่บอกเรามา การปฏิบัติทางศาสนานิดๆ หน่อยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ถ้าสารภาพทั้งหมด คุณก็จะได้กลับบ้าน ปีกว่าแล้วใช่มั้ยที่คุณไม่ได้กลับบ้าน?  ไตร่ตรองให้ดี คิดได้แล้วก็แค่บอกสิ่งเราอยากรู้ ผมรับประกันว่าคุณจะปลอดภัย” พอได้ยินแบบนั้น ผมก็หวั่นไหวเล็กน้อย และคิดว่า “ในเมื่อเรารู้จักกันดีและเขาก็เป็นหัวหน้าทีมสอบสวนพิเศษ บางทีถ้าฉันเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ค่อยสำคัญไปบ้างจนเขาเชื่อใจ เขาอาจจะปล่อยฉันไป” ขณะที่ไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่ จู่ๆ ผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในทุกเวลา ประชากรของเราควรเตรียมพร้อมต่อต้านกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในกับดักของซาตาน ซึ่งในเวลานั้นก็คงจะสายเกินกว่าจะเสียใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 3)  ผมจึงตระหนักว่าตัวเองเกือบหลงกลอุบายฉลาดแกมโกงของซาตานเสียแล้ว เจ้าหน้าที่หลิวคนนี้เป็นคนเจ้าเล่ห์และรอบจัด ผมจะเชื่อคำพูดของเขาได้ยังไง?  เขาแค่อยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับคริสตจักรจากผมและบีบให้ผมทรยศพระเจ้า พอตระหนักได้แบบนี้ ผมก็ไม่ปริปาก จากนั้นเจ้าหน้าที่อีกคนก็ถามผมว่า “แกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่ไหน?  แกร่วมชุมนุมกับใคร?  ผู้นำของแกคือใคร? คริสตจักรเก็บเงินไว้ที่ไหน?” แต่ไม่ว่าเขาจะซักไซ้ผมอย่างไร ผมก็ไม่พูดแม้แต่คำเดียว

เวลาประมาณบ่ายสามโมงวันเดียวกัน พวกมันก็ย้ายผมไปที่เรือนจำประจำเขต เจ้าหน้าที่ที่นั่นนำตัวผมเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง และสั่งให้ผมถอดเสื้อผ้าออกให้หมด ชูแขนขึ้นและหมุนตัวไปรอบๆ พอผมไม่ยอมหมุนตัว เขาก็เตะผมทันควัน จากนั้นก็บอกให้ผมลุกนั่งสามครั้ง ผมรู้สึกโมโหและอับอาย หลังจากนั้น ผมก็ถูกนำตัวไปที่ห้องขัง ซึ่งอัดแน่นไปด้วยนักโทษมากกว่า 30 คนในพื้นที่ไม่ถึง 20 ตารางเมตร ทันทีที่ผมเข้าห้องขัง นักโทษสองคนก็บิดแขนผมไพล่หลัง ดึงขึ้นและดันไปข้างหน้าเพื่อแห่ผมไปรอบห้อง ก่อนจะเตะผมลงไปกองกับพื้น หน้าผากผมโขกกับพื้นจนเลือดออก พวกนักโทษเอาแต่หัวเราะและมีคนหนึ่งพูดว่า “ดูเหมือนว่าเครื่องบินจะไม่ได้เบรกนะ” อีกคนพูดว่า “มีเรื่องต้องสอนแกเยอะเลย เดี๋ยวแกก็รู้เอง” ผมคิดในใจว่า “ฉันเพิ่งมาถึงพวกมันก็ทรมานผมแบบนี้เสียแล้ว ฉันจะอยู่รอดในนี้ได้ยังไง?  ฉันจะทนสภาพแบบนี้ได้หรือ?” ในใจผมอธิษฐานถึงพระเจ้า อ้อนวอนให้พระองค์ทรงปกป้องหัวใจของผมเพื่อให้ผมสามารถตั้งมั่นในคำพยานของตัวเองได้ ทันใดนั้นเอง ผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “พระเจ้าทรงมีความลำบากยากเย็นมหาศาลในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ผ่านทางความลำบากยากเย็นนี้ อันเป็นการสำแดงพระปัญญาของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์  พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์และการพิชิตชัยของพระองค์ผ่านทางความทุกข์ของผู้คน ผ่านทางขีดความสามารถของพวกเขา และผ่านทางอุปนิสัยเยี่ยงซาตานทั้งปวงของผู้คนในแผ่นดินอันโสมมนี้ เพื่อที่พระองค์อาจได้รับพระสิริจากการนี้ และเพื่อที่พระองค์อาจได้รับบรรดาผู้ที่จะเป็นพยานให้แก่กิจการของพระองค์  ดังนี้คือนัยสำคัญทั้งหมดของการเสียสละทั้งปวงที่พระเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อผู้คนกลุ่มนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?)  เมื่อใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ตระหนักว่าพระเจ้าทรงกำลังใช้สภาพแวดล้อมนี้เพื่อทำให้ความเชื่อของพวกเราเพียบพร้อม เพราะพระเจ้าทรงอนุญาต ผมจึงถูกตำรวจจับกุมและทรมาน พระองค์ทรงหวังว่าผมจะตั้งมั่นในคำพยานของตนให้พระองค์เพื่อทำให้ซาตานอับอาย การมีโอกาสเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าถือเป็นเกียรติอย่างแท้จริง ผมนึกถึงการที่องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่มนุษยชาติ และหลังจากที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยพวกเราให้รอด พระองค์ก็ทรงถูกพรรครัฐบาลไล่ล่าและข่มเหง ถูกโลกศาสนาปรามาสและปฏิเสธ ทรงทนทุกข์กับความยากลำบากและความอัปยศอดสูทุกรูปแบบ แต่ถึงกระนั้น พระเจ้าก็ยังทรงแสดงความจริงและค้ำจุนพวกเรา ความทุกข์เพียงเล็กน้อยแค่นี้ จะเทียบกับโอกาสที่ได้ติดตามพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์ได้อย่างไร?  เมื่อตระหนักเช่นนี้ ผมก็รู้สึกเข้มแข็งขึ้นเล็กน้อยและคิดว่า “ไม่ว่าพวกมันจะทรมานผมยังไง ผมก็ต้องไม่เผยข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับคริสตจักรหรือทรยศพระเจ้า”

ในเช้าวันที่สี่ ตำรวจก็มาสอบสวนผมอีกครั้ง พวกมันซักไซ้รายละเอียดหลายอย่างที่เกี่ยวกับคริสตจักร และเอาภาพถ่ายบุคคลหลายภาพมาให้ผมดูและบอกให้ผมระบุตัวพวกเขา โดยบอกว่าคนเหล่านี้ได้ระบุตัวผมแล้ว ผมรู้ว่านี่เป็นอุบายฉลาดแกมโกงอีกอันหนึ่งของพวกมัน พวกมันต้องการหลอกให้ผมหักหลังพี่น้องชายหญิง ผมจึงเมินพวกมัน สุดท้ายพอเห็นว่าผมไม่ยอมพูดอะไร พวกมันก็ส่งผมกลับไปเข้าห้องขังอีกห้องหนึ่ง พอผมเข้าไป ผมก็ได้ยินเจ้าหน้าที่คนนั้นบอกพวกนักโทษในห้องขังนั้นว่า “ไอ้นี่มันเป็นผู้เชื่อ ‘ดูแล’ มันให้ดีๆ ล่ะ” จากนั้นนักโทษหนุ่มคนหนึ่งก็เข้ามาหาผม แล้วบอกว่าเขาจะ “ล้างหูผมให้สะอาด” ทั้งเขากับนักโทษอีกคนหนึ่งดึงหูของผมไปคนละทาง ผมเริ่มพยายามผลักพวกเขาออกไป แต่พวกเขาปล่อยมืออย่างกระทันหันและผมก็ล้มลงกับพื้น ตอนที่ผมกำลังจะลุกขึ้นนั้นเอง ใครบางคนก็กดไหล่ผมไว้ จนผมลุกขึ้นยืนไม่ได้ จากนั้นนักโทษอีกคนก็เข้ามาพูดว่า เขาจะ “ลอกเปลือกไม้ออกจากต้น” เขาพับขากางเกงผมขึ้น แล้วใช้มือข้างหนึ่ง กดขาผมอย่างแรง พร้อมถูหน้าแข้งผมอย่างแรง ด้วยมือข้างที่ห่อด้วยถุงผงซักฟอก เขาถูเร็วมาก จนไม่นานขาผมก็กลายเป็นสีแดงก่ำ และเริ่มปวดแสบปวดร้อน นักโทษอีกคนที่กดตัวผมไว้ก็คอยบิดหูของผม พวกเขาทรมานผมแบบนั้นนานกว่ายี่สิบนาที หูผมเจ็บจี๊ด หน้าแข็งผมช้ำมากและมีเลือดซึมออกมา หลังจากนั้น นักโทษหนุ่มนั่นก็เตะหลังผมอย่างแรง จนผมเซถลาไปข้างหน้า จากนั้นเขาก็เตะท้องผมอย่างแรง จนหลังแอ่นด้วยความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนอวัยวะภายในของผมจะปริแตกออก นักโทษอีกคนเข้ามาเตะผมเข้าที่หลัง ส่งให้ผมหน้าคว่ำลงกับพื้น หลังจากนั้นพวกเขาก็เอาผ้าห่มมาคลุมตัวผมและเริ่มเตะต่อยผม ผมเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัว หน้าผากของผมมีแผลแตกและจมูกก็มีเลือดหยดออกมา พวกเขาถูผงซักฟอกใส่ผมของผม บังคับให้ผมถอดเสื้อผ้าออก และอาบน้ำเย็น ตอนนั้นเป็นเดือนธันวาคม ข้างนอกมีหิมะตก น้ำของห้องขังนั้นละลายมาจากน้ำแข็งในแท็งก์น้ำและเย็นเยียบไปถึงกระดูก ผมหนาวยะเยือกจากน้ำที่เย็นจัด สั่นเทาไปทั้งตัว หลังจากนั้น นักโทษคนหนึ่งก็ละลายผงซักฟอกครึ่งแก้วในน้ำและพูดว่า “ดูเหมือนแกจะหนาวนะ เราเก็บ ‘เบียร์’ ไว้ให้แกครึ่งแก้วแน่ะ ดื่มเสียสิ” พอผมไม่ดื่ม เขาก็พูดว่า “อะไร?  น้อยไปเหรอ?” และเทน้ำเย็นลงไปอีก ฟองจากผงซักฟองไหลลงมาจากข้างแก้ว พอเห็นว่าผมยังไม่ยอมดื่มน้ำในแก้วนั้น เขาก็พูดว่า “ถ้าแกไม่ดื่ม เราจะทำให้แก ‘จุดประทัด’ ได้ยังไง?” จากนั้นนักโทษสองคนก็กดผมลงกับเตียง บีบจมูกผมและกรอกน้ำผงซักฟอกใส่ปากผม ความหมายของ “การจุดประทัด” ก็คือการบังคับให้คนคนหนึ่งดื่มน้ำผงซักฟอก จากนั้นก็ซ้อมพวกเขาเพื่อให้สำรอกมันกลับออกมา ผมดิ้นรนสุดแรงเกิดและตะโกนว่า “พวกแกพยายามจะฆ่าฉันเหรอ?  ที่นี่ไม่มีกฎหรือไง?” ตำรวจคนหนึ่งที่ยืนเฝ้าอยู่ได้ยินผมตะโกนและตะคอกกลับมาว่า “แกจะตะโกนหาอะไร?  พวกมันก็แค่อาบน้ำให้แกนิดหน่อย ไม่ตายหรอกน่า!  ขืนตะโกนอีก พรุ่งนี้แกได้เจอกระบองไฟฟ้าแน่!” คำพูดของมันทำให้ผมโกรธมาก น้ำที่เย็นจัดทำให้ผมสั่นเทาไปทั้งตัว และผมขนลุกซู่จากความหนาวเย็น ขณะที่ผมกำลังยื่นมือที่สั่นเทาไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่ นักโทษคนหนึ่งก็เตะผมลงไปกองกับพื้น ผมพยายามยันตัวขึ้นยืนขณะที่หลังแอ่นจากความเจ็บปวด แต่ก็ถูกนักโทษอีกสองคนกดเข้ากับกำแพงทันที หลังจากนั้นนักโทษสิบสามคนก็พุ่งเข้ามาหาผม และเริ่มเตะต่อยผมเหมือนกับกระสอบทราย นักโทษคนหนึ่งที่ถูกตัดสินโทษประหารร้องขึ้นว่า “เอาละ พวกแกต่อยมันคนละสิบครั้งนะ” จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ข้างๆ คอยนับตอนที่นักโทษทุกคนต่อยผม ผมเจ็บปวดมากจนหลังแอ่น อกกับท้องของผมเจ็บปวดแสนสาหัส ผมแทบหายใจไม่ออก หลังจากนั้น นักโทษอีกคนก็เข้ามา ใช้กุญแจมือฟาดหลังหัวผมอย่างแรงสองครั้ง ผมมึนงงและคลื่นไส้ ห้องเริ่มหมุน หูของผมเริ่มอื้อ จากนั้นผมก็ถูกทิ้งให้อาเจียนอยู่นาน สุดท้าย ผมก็อาเจียนออกมาแต่น้ำสีเหลืองๆ ผมเอามือกุมหน้าอกและไม่กล้าหายใจลึกๆ เพราะแค่หายใจก็เจ็บแล้ว ในท้ายที่สุด ผมเริ่มไอออกมาเป็นเลือด และรู้สึกเหมือนร่างกายจะหลุดเป็นชิ้นๆ ผมคิดในใจว่า “นักโทษพวกนี้จะซ้อมฉันจนตาย ครอบครัวก็ไม่รู้ว่าฉันถูกจับมา แถมพี่น้องชายหญิงก็ไม่รู้ว่าฉันถูกพาตัวมาที่ไหน ถ้าพวกมันฆ่าฉันจริงๆ และตำรวจแค่ทิ้งศพของฉันไว้ในที่รกร้าง ก็จะไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น” พอตระหนักได้แบบนี้ ผมก็รู้สึกกลัวและอ่อนแอมาก ผมจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  ข้าพระองค์ไม่อาจทนได้อีกต่อไปแล้ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป พวกมันจะทรมานข้าพระองค์จนตาย โปรดทรงคุ้มครองข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะทนรับความเจ็บปวดและการทรมานนี้ได้ด้วยเถิด” ตอนนั้นเอง ผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าซึ่งกล่าวว่า “อับราฮัมได้มอบถวายอิสอัค—พวกเจ้าได้มอบถวายสิ่งใด?  โยบได้มอบถวายทุกสิ่งทุกอย่าง—พวกเจ้าได้มอบถวายสิ่งใด?  ผู้คนมากมายเหลือเกินได้พลีอุทิศตนเอง พลีอุทิศชีวิตและหลั่งเลือดของพวกเขาเพื่อแสวงหาหนทางที่แท้จริง  พวกเจ้าเคยได้จ่ายราคานั้นหรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นัยสำคัญของการช่วยพงศ์พันธุ์ของโมอับให้รอด)  เมื่อเผชิญคำถามเหล่านี้ ผมก็รู้สึกละอายใจมาก ผมนึกถึงบรรดานักบุญตลอดทุกยุคสมัย เพราะพวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า บางคนถูกขว้างหินจนตาย บางคนถูกหั่นเป็นชิ้นๆ และบางคนถึงกับถูกม้าลากจนตาย พวกเขาพลีชีวิตอันล้ำค่าของตนเพื่อตั้งมั่นในคำพยานของตนให้พระเจ้า แต่หลังจากถูกจับ ถูกซ้อม ถูกทรมาน และถูกข่มขู่เอาชีวิต ผมก็เริ่มอ่อนแอ คิดลบ และหวงแหนชีวิตอย่างขี้ขลาดเพราะความกลัวตาย ผมช่างขี้ขลาดนัก!  ผมคิดถึงว่าตัวเองขาดมโนธรรมแค่ไหนที่ไม่อาจตั้งมั่นในคำพยานของตนให้พระเจ้าได้ ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ แม้จะได้ชื่นชมยินดีกับการให้น้ำและการหล่อเลี้ยงจากพระวจนะของพระเจ้าอย่างมาก ผมรู้สึกถูกกล่าวหาอย่างที่สุด และสาบานว่าไม่มีวันยอมแพ้ซาตาน ไม่ว่าต่อไปจะเจอการทรมานอะไร หลังจากที่เห็นว่าผมนอนไม่ไหวติงอยู่บนพื้นเท่านั้น พวกนักโทษจึงหยุดทุบตีผมในที่สุด

หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ เจ้าหน้าที่หลิวก็มาสอบสวนผมอีกครั้ง เขาพูดกับผมโดยใช้น้ำเสียงจริงใจอย่างปลอมๆ ว่า “เพื่อนเก่า เราดูประวัติของคุณอย่างละเอียดแล้ว และคุณไม่เคยทำผิดกฎหมายเลย พ่อแม่ของคุณก็มีแต่จะแก่ตัวลง ส่วนลูกของคุณก็กำลังร้องไห้หาคุณอยู่ พวกเขาต่างก็หวังว่าคุณจะกลับบ้านไปฉลองปีใหม่กัน ลองคิดดูอีกหน่อยนะ ถ้าคุณบอกสิ่งที่เราต้องการรู้เกี่ยวกับคริสตจักร เราจะปล่อยคุณไปทันที” พอผมไม่ตอบ เขาก็เปลี่ยนวิธีการและพูดว่า “คือว่านะ ต่อให้คุณไม่ปริปากพูด เราก็ยังสามารถตัดสินจำคุกคุณได้ 3 ถึง 5 ปี คุณต้องรู้สิว่าสิ่งต่างๆ มันก็เป็นแบบนี้ อย่าดื้อรั้นนักเลย” พอผมยังคงเมินเขา เขาก็ส่งผมกลับห้องขังไปคิดใคร่ครวญถึงข้อเสนอของเขา เมื่อกลับมาที่ห้องขัง ผมก็คิดถึงเรื่องที่แม่ของผมอายุมากแล้ว แถมสุขภาพก็ไม่ดี ถ้าผมถูกตัดสินจำคุก 3 ถึง 5 ปีจริงๆ และถึงขั้นตายในคุก ใครจะดูแลแม่ของผมล่ะ?  ยิ่งผมคิดเรื่องนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ สุดท้าย ผมก็เริ่มคิดว่า บางทีผมอาจจะเผยเรื่องที่ไม่ส่งผลเสียที่จะช่วยให้ผมไม่ถูกส่งเข้าคุกได้ ตอนนั้นเอง ผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าซึ่งกล่าวว่า “กับบรรดาผู้ที่ไม่ได้แสดงให้เราเห็นความจงรักภักดีแม้แต่น้อยในระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ลำบาก เราจะไม่ปรานีอีกต่อไป เพราะความปรานีของเราขยายเวลามาเพียงถึงตอนนี้เท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่มีความชอบให้กับใครก็ตามที่ครั้งหนึ่งเคยทรยศเรา นับประสาอะไรที่เราจะชอบเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาผู้ที่ขายผลประโยชน์ของผองเพื่อนของตน นี่คืออุปนิสัยของเรา  ไม่ว่าบุคคลคนนั้นอาจเป็นใครก็ตาม(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  จากพระวจนะของพระเจ้า ผมเห็นว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่ทนต่อการก้าวล่วงใดๆ พระเจ้าทรงชิงชังผู้ที่กลายเป็นยูดาส หักหลังคริสตจักร และทรยศพระเจ้าเป็นที่สุด และพระองค์จะไม่มีวันยกโทษให้คนเช่นนั้น ผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าเจ้าหน้าที่หลิวเป็นคนปลิ้นปล้อนและฉลาดแกมโกง และเข้าใจว่าถ้าผมเผยข้อมูลไปแม้แต่นิดเดียว เขาก็จะหาหนทางบีบให้ผมเผยข้อมูลมากยิ่งขึ้น แต่ผมกลับเชื่อคำพูดเยี่ยงมารของเขา ผมมันโง่จริงๆ!  ผมคิดจะทรยศพระเจ้าเพราะห่วงครอบครัว ผมเห็นว่าความเชื่อในพระเจ้าของผมนั้นอ่อนแอจริงๆ ชะตากรรมของพวกเราล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงชี้ขาดว่าผมจะถูกทรมานจนตายหรือไม่ และจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของผม ผมควรไว้วางใจฝากทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และพึ่งพาพระองค์เพื่อผ่านความทุกข์ยากสาหัสนี้ไป เมื่อผมเริ่มเต็มใจที่จะนบนอบ พวกนักโทษในห้องขัง 8 ก็เลิกทุบตีผม พอเห็นว่าพวกนักโทษเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อผม พวกเจ้าหน้าที่ก็ย้ายผมไปห้องขัง 10

พวกนักโทษในห้องขัง 10 ทุบตีผมเหมือนอย่างที่พวกในห้องขัง 8 เคยทำ ก่อนที่ผมจะมีโอกาสตอบโต้ พวกมันก็เอาผ้าห่มคลุมตัวผมและเริ่มเตะต่อยผม พวกมันเรียกนี่ว่า “การทำเกี๊ยว” เมื่อไรก็ตามที่นักโทษพวกนั้นอารมณ์ไม่ดี พวกมันก็จะมาลงที่ผม ผมทนทุกข์อย่างหนักและรู้สึกอัดอั้นอย่างมากในสภาพแวดล้อมนั้น แค่จะผ่านไปแต่ละวันก็เต็มกลืนแล้ว ผมจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงชี้แนะผมและทรงมอบความเชื่อแก่ผม หนึ่งสัปดาห์ต่อมา นักโทษคนหนึ่งที่ถูกตัดสินประหารชีวิตพูดกับผมว่า “เล่าเรื่องการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าของแก แล้วร้องเพลงนมัสการให้ฉันฟังหน่อย ถ้าแกไม่ทำตามที่ฉันบอก ฉันจะเอากุญแจมือนี่ทุบหัวแก อย่าคิดหยุดเชียว ตอนนี้แกมีหน้าที่แค่พูดและร้องเพลง” ผมจึงร้องเพลงอะไรก็ตามที่นึกขึ้นได้ และผมก็เริ่มร้องเพลงโดยไม่แม้แต่จะคิดว่า “ผู้ใดเล่าท่ามกลางพวกเจ้าคือโยบ?  ผู้ใดเล่าคือเปโตร?  เหตุใดเราจึงได้พูดพาดพิงถึงโยบซ้ำๆ?  เหตุใดเราจึงอ้างอิงถึงเปโตรหลายครั้งเหลือเกิน?  พวกเจ้าได้เคยรู้ซึ้งแล้วหรือไม่ว่าความหวังของเราสำหรับพวกเจ้าคืออะไร?  เจ้าควรใช้เวลามากขึ้นในการใคร่ครวญสิ่งต่างๆ เช่นนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 8)  พระวจนะของพระเจ้ากินใจผมมาก ผมนึกถึงการที่โยบยังคงสรรเสริญพระนามพระเจ้าต่อไปแม้แต่หลังจากสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองและมีฝีร้ายขึ้นทั่วตัว ผมนึกถึงเปโตร ซึ่งใช้ทั้งชีวิตไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้าและก้าวผ่านกระบวนการถลุงและความยากลำบากนับครั้งไม่ถ้วน ในท้ายที่สุดก็ถูกตรึงกางเขนกลับหัว เขารักพระเจ้าจนถึงที่สุดและนบนอบพระองค์จนกระทั่งถึงแก่ความตาย พวกเขาทั้งคู่เป็นคำพยานอันงดงามให้พระเจ้าและได้รับการชมเชยจากพระองค์ พระเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดเล่าท่ามกลางพวกเจ้าคือโยบ?  ผู้ใดเล่าคือเปโตร?” จากพระวจนะของพระเจ้า ผมสำนึกถึงความคาดหวังของพระองค์ ผมคิดว่า “ผมต้องเป็นเหมือนโยบและเปโตร และเป็นพยานให้พระเจ้า” เมื่อได้ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ผมก็มีแรงจูงใจครั้งใหม่ ผมรู้สึกเหมือนพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างผม และผมรู้สึกถึงความมุ่งมั่นครั้งใหม่ที่จะทนรับความทุกข์ทั้งหมดและตั้งมั่นในคำพยานของผม หลังจากนั้น ผมบอกนักโทษคนนั้นเรื่องพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหมือนสรรพสิ่ง เรื่องพระองค์ทรงลงโทษพวกที่ทำชั่วและปูนบำเหน็จผู้ที่ทำความดี เป็นพยานยืนยันให้พระอุปนิสัยชอบธรรมของพระเจ้า ผมเล่าเรื่องของลาซารัสกับเศรษฐีให้เขาฟังด้วย ผมบอกเขาว่าพวกที่ทำชั่วจะทนทุกข์จากผลของสิ่งที่ทำไว้ และถูกขับลงไปในนรกเพื่อรับโทษหลังจากตาย พระเจ้าได้ทรงมาแล้วเพื่อแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์ และผู้คนต้องยอมรับความจริงนั้นเพื่อปลดปล่อยตนเองจากบาปเพื่อที่จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ หลังจากได้ฟังทั้งหมดนั้น นักโทษคนนั้นก็ถอนหายใจและพูดว่า “สายเกินไปแล้วล่ะ!  ถ้าฉันเจอคนอย่างแกเร็วกว่านี้ ฉันก็คงไม่มีทางมาถึงจุดนี้หรอก” เพื่อนร่วมห้องขังอีกคนซึ่งเป็นครูเกษียณก็พูดอย่างเห็นด้วยว่า “ผมเคยเจอผู้เชื่ออย่างคุณมาก่อน ผมไม่เคยได้ยินว่าพวกเขาทำอะไรผิดกฎหมายเลย” จากนั้นเขาก็ออกความเห็นอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ในประเทศจีน ไม่มีอะไรอย่างความยุติธรรมหรือหลักนิติธรรมหรอก” หลังจากนั้น พวกนักโทษในห้องขังนั้นก็เลิกทุบตีผม ผมรู้ว่านี่คือสัญญาณของความกรุณาของพระเจ้า ว่าพระองค์ทรงสมสารความอ่อนแอของผม เมื่อเห็นมหิทธานุภาพและอธิปไตยของพระเจ้ากับตา ความเชื่อของผมก็เพิ่มเป็นเท่าตัว

ในเดือนธันวาคม ปี 2004 พรรคคอมมิวนิสต์จีนเอาผิดผมข้อหา “การชักชวนให้เปลี่ยนศาสนาอย่างผิดกฎหมายจนก่อให้เกิดความไม่สงบในสังคม” และตัดสินให้ผมรับการศึกษาใหม่ผ่านการใช้แรงงานเป็นเวลาสามปี ผมโกรธจัดเมื่อได้ยินคนอ่านการตัดสินโทษของผม ในฐานะผู้เชื่อ ผมกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องและไม่เคยทำอะไรผิดกฎหมายเลย แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ยังยัดเยียดโทษสามปีให้ผม พวกมันชั่วร้ายจริงๆ!  ต่อมา พระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นในจิตใจผมว่า “ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม กษัตริย์แห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร?  มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร?  ข้ารับใช้พวกนี้!  พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันเริ่มปฏิบัติต่อพระเจ้าประหนึ่งศัตรูมานานแล้ว พวกมันล่วงเกินพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนอย่างที่สุด พวกมันไม่เคารพพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันรุกรานและจี้ปล้น พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่สภาพไม่รู้สึกตัว  เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ?  บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ?  พวกเขาล้วนต่อต้านพระเจ้า!  การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย!  เสรีภาพทางศาสนาหรือ?  สิทธิ์และผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ?  ทั้งหมดนั้นคือเพทุบายเพื่อที่จะปิดบังความชั่ว!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8))  พรรคคอมมิวนิสต์จีนอ้างว่าสนับสนุนเสรีภาพทางศาสนาในขณะที่ลอบปราบปรามและข่มเหงคริสตชน ทุบตี ทรมาน และขังบรรดาผู้เชื่อในพระเจ้า พวกมันแสวงหาชื่อเสียงผ่านการหลอกลวงและมีแต่ความชั่วร้าย!  ด้วยการได้รับประสบการณ์ด้วยตัวเองในการถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมและข่มเหง ผมสามารถรับรู้ถึงแก่นแท้ที่ต่อต้านพระเจ้าเยี่ยงปีศาจของพวกมัน นี่ทำให้ปณิธานของผมที่จะติดตามพระเจ้าไปจนถึงที่สุดแรงกล้าขึ้นอีก

ในเดือนมกราคม ปี 2005 ผมถูกย้ายไปที่ค่ายใช้แรงงานและได้รับมอบหมายงานในโรงพิมพ์ พวกเราต้องทำงานวันละประมาณ 15 ชั่วโมง และมักจะมีเวลาพักแค่วันละประมาณ 3-4 ชั่วโมง พวกเราต้องทำงานล่วงเวลา 10 ถึง 15 วันทุกเดือน และบางครั้งก็ถึงกับต้องทำงานข้ามคืน เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนแบ่งงานพิมพ์ของพวกเราก็เพิ่มจาก 3,000 เป็นมากกว่า 15,000 แผ่น เนื่องจากเรื่องนี้ ผมต้องแบกแผ่นแม่พิมพ์กลับไปกลับมาทั้งวัน ซึ่งมักจะเป็นระยะทางประมาณวันละสิบถึงยี่สิบกว่า กิโลเมตร ผมจะถือหมึกพิมพ์ด้วยมือซ้ายในขณะที่ทาหมึกด้วยมือขวาอย่างต่อเนื่อง กลิ่นหมึกทำให้ผมมึนหัว แสบตา สายตาพร่าเลือน และหายใจลำบาก ตลอดทั้งวัน ผมรับมือกับความเจ็บปวดจนทนไม่ไหวอย่างต่อเนื่องที่แขน ขา และไหล่ และผมเหนื่อยมากจนหลับทั้งยืนได้เลย ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่ง ตอนที่ผมเป็นหวัดและมีไข้ ผมมึนหัวมากจนเกือบจะล้มคะมำลงไป พอหัวหน้างานเห็นแบบนี้ เขาก็พูดว่าผมแค่พยายามอู้งานและบอกว่า “โดนกระบองช็อตเข้าหน่อยเดี๋ยวแกก็ทำงานทันเองแหละ” ผมนึกถึงชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปี ที่ถูกช็อตเพราะไม่สามารถทำงานหนักได้ เขายังคงมีแผลไหม้หลายแห่งที่หู และผิวหนังหลายแห่งก็คล้ำดำจากการช็อตครั้งอื่น ในที่สุดมันก็มากเกินเขาจะรับไหวจนเขาพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกลืนตะปูลงไป แต่เขาไม่ตายและถูกตัดสินโทษใช้แรงงานเพิ่มอีกหนึ่งเดือน ผมรู้ว่าคนเหล่านี้เป็นปีศาจที่จะฆ่าพวกเราอย่างไม่แยแส ว่าพวกมันจะไม่มีทางปล่อยให้พวกเราได้พัก ผมจึงทำได้แค่กัดฟันทนทำไปต่อ เนื่องจากปริมาณงานที่เยอะมาก นิ้วของผมเริ่มผิดรูป และผมมีซีสต์ที่ข้อศอกซึ่งบวมจนมีขนาดเท่าไข่แดง ผมเป็นโรคเยื่อจมูกอักเสบรุนแรงด้วย และมักจะรู้สึกมึนงงและหายใจไม่ทั่วท้อง การทำงานมากเกินไปผนวกกับการอดนอนทำให้ผมมึนงงมาก จนเดินซวนเซตัวสั่นเทาและรู้สึกเหมือนว่าอาจจะล้มได้ทุกเมื่อ นอกจากงานแล้ว พวกเรายังถูกบังคับให้มีส่วนร่วมในการล้างสมองซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนเดือนละสองครั้งด้วย ผมพบว่าเหตุผลวิบัติ และแนวความคิดนอกรีตของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นน่ารังเกียจ และผมไม่อยากฟังเลย ผมทนทุกข์อย่างมากในค่ายใช้แรงงานนั้น และคิดถึงวันเวลาที่ได้ชุมนุมและอ่านพระวจนะของพระเจ้ากับพี่น้องชายหญิง ผมอยากออกจากสถานการณ์ที่ไร้มนุษยธรรมเหมือนนรกนั้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ผมอธิษฐานถึงพระเจ้า และขอให้พระองค์ทรงมอบความแข็งแกร่ง และทรงช่วยให้ผมมีชัยเหนือสภาพแวดล้อมนั้น ต่อมา เพลงนมัสการจากพระวจนะของพระเจ้าที่ชื่อ “วิธีถูกทำให้เพียบพร้อม” ก็ผุดขึ้นในจิตใจ ที่ร้องว่า “เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ เจ้าต้องสามารถวางความกังวลต่อเนื้อหนังเอาไว้ก่อนและไม่ทำการพร่ำบ่นพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงซ่อนเร้นพระองค์จากเจ้า เจ้าต้องสามารถมีความเชื่อที่จะติดตามพระองค์ เพื่อรักษาความรักก่อนหน้านี้ของเจ้าโดยไม่ปล่อยให้สั่นคลอนหรือสูญสลายไป  ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด เจ้าต้องยอมให้พระเจ้าทรงจัดวางเจ้าตามแต่พระทัยของพระองค์ และยอมสาปแช่งเนื้อหนังของเจ้าเองดีกว่าที่จะทำการพร่ำบ่นพระองค์  เมื่อเจ้าเผชิญกับบททดสอบ เจ้าต้องเต็มใจทนทุกข์กับความเจ็บปวดของการละทิ้งสิ่งที่เจ้ารัก และเต็มใจที่จะร่ำไห้อย่างขมขื่น เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย  นี่เท่านั้นจึงเป็นความรักและความเชื่อที่แท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  ขณะที่ผมร้องเพลงนมัสการเพลงนั้น ผมก็เริ่มเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และรู้สึกว่ามีกำลังใจมาก อีกทั้งเต็มใจที่จะนบนอบสถานการณ์ที่ลำบากยากเย็นนี้ และพึ่งพาพระเจ้าและความเชื่อของผมเพื่อผ่านมันไป ในช่วงสองปีกว่าที่ผมอยู่ในค่ายใช้แรงงาน ผมเป็นโรคเยื่อจมูกอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ โรคไขข้ออักเสบ โรคไส้เลื่อน และปัญหาในช่องท้อง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่โรคไส้เลื่อนของผมกำเริบ และเจ้าหน้าที่ของค่ายใช้แรงงานนำตัวผมไปที่คลินิกทางการแพทย์ ผมเห็นหมอประจำคลินิกทำเข็มหักคาก้นของนักโทษคนหนึ่ง จากนั้นก็ใช้คีบหนีบห้ามเลือดคุ้ยมันออกมา พอเห็นแบบนั้นผมก็กลัวมากและไม่กล้ากลับไปที่คลินิกนั้นอีก ในช่วงเวลานั้น เดินได้ไม่เกินสองก้าว ท้องน้อยของผมก็เจ็บแปลบแล้ว เวลาผมพยายามฝืนตัวทำงาน ผมก็รู้สึกเหมือนว่าผมกำลังจะขาดอากาศหายใจ พวกเจ้าหน้าที่เรือนจำกังวลว่าจะต้องรับผิดชอบถ้าผมเกิดตายขึ้นมา เลยนำตัวผมไปโรงพยาบาลในเมืองของค่ายใช้แรงงานเพื่อการตรวจร่างกายให้ละเอียดขึ้น หลังจากที่ตรวจผมเสร็จ หมอก็พูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “คุณทำงานใช้แรงงานประเภทไหน?  รอจนถึงตอนนี้ถึงมาหาหมอได้ยังไง!  คุณต้องผ่าตัดรักษาไส้เลื่อน แถมทั้งปอดและตับก็โตนิดหน่อย คุณจึงไม่เหมาะจะทำงานใช้แรงงานอีกแล้ว ถ้าคุณยังทำงานต่อไป คุณจะตายนะ” อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าหน้าที่ก็แค่รับยามาให้ผมและพาผมกลับไปที่ค่ายใช้แรงงาน ตอนนั้นผมกังวลมาก เพราะรู้ว่ายังเหลือโทษอีกหนึ่งปี และผมไม่แน่ใจว่าจะรอดไปได้หรือไม่ หลังจากนั้น ผมก็คิดว่า “ตลอดสองปีที่ถูกคุมขังมา ฉันถูกตำรวจทรมานและเกือบถูกนักโทษซ้อมจนตาย แต่แม้จะเจอความทุกข์ทั้งหมดนั้น ฉันก็ไม่เคยทรยศพระเจ้าสักครั้ง งั้นฉันเกิดเจ็บป่วยร้ายแรงขนาดนี้ได้ยังไง?  หรือว่าชะตากรรมของฉันจะต้องตายในค่ายใช้แรงงานนี้จริงๆ?” ท่ามกลางความทุกข์ ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  ข้าพระองค์ควรทำเช่นไร?  โปรดทรงชี้แนะข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากนั้นสักพัก พระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นในจิตใจผม “เจ้าควรรู้ว่า มีความเชื่อที่แท้จริงและความจงรักภักดีที่แท้จริงอยู่ภายในตัวเจ้าหรือไม่ รู้ว่าเจ้ามีบันทึกของการทนทุกข์เพื่อพระเจ้าหรือไม่ และรู้ว่า เจ้าได้นบนอบพระเจ้าด้วยประการทั้งปวงหรือไม่  หากเจ้าขาดสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว ความเป็นกบฏ ความหลอกลวง ความโลภ และการพร่ำบ่นก็จะยังคงอยู่ภายในตัวเจ้า  เนื่องจากหัวใจของเจ้าอยู่ห่างไกลจากความซื่อสัตย์ เจ้าจึงไม่เคยได้รับการระลึกถึงจากพระเจ้า และไม่เคยดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ)  ขณะที่ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ทบทวนตัวเอง เมื่อเผชิญความเจ็บป่วยและความเจ็บปวด ผมเริ่มคิดลบและอ่อนแอ และถึงกับพยายามโต้เถียงกับพระเจ้า ผมได้ละทิ้งคำสาบานของตัวเอง พร่ำบ่นและเป็นกบฏ ความนบนอบของผมอยู่ที่ไหน?  คำพยานของผมอยู่ที่ไหน?  ผมจำได้ว่าตอนที่ผมถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนข่มเหงและทรมาน เจ็บปวดและอ่อนแอ พระวจนะของพระเจ้าคือสิ่งที่ชี้แนะผมและมอบความเชื่อและความแข็งแกร่งให้ผม พระเจ้ายังทรงพระราชกิจผ่านผู้คน สถานการณ์ และสิ่งทั้งหลายเพื่อเปิดเส้นทางให้ผมด้วย พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างผมเสมอ ทรงเฝ้าดูแลและคุ้มครองผม ความรักที่พระองค์ทรงมีให้ผมนั้นยิ่งใหญ่ และผมรู้ว่า ผมต้องเลิกเข้าใจพระองค์ผิดและเลิกพร่ำบ่น ไม่ว่าเบื้องหน้าจะมีการทรมานหรือความทุกข์อะไร ไม่ว่าผมจะอยู่หรือตาย ผมก็ต้องพึ่งพาพระเจ้าเดินหน้าต่อไป!  หนึ่งเดือนต่อมา ตำรวจย้ายผมไปทำงานอื่นที่เดินน้อยลง และสุขภาพของผมก็ดีขึ้นอย่างมาก ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรักของพระองค์จากก้นบึ้งของหัวใจ

ในขณะที่อยู่ในค่ายใช้แรงงาน ผมจะร้องเพลงนมัสการในใจบ่อยๆ เพลงหนึ่งที่ส่งผลต่อผมมากเป็นพิเศษก็คือเพลงชื่อ “คุณเสนออะไรให้พระเจ้า” เนื้อเพลงว่า “อับราฮัมได้มอบถวายอิสอัค—พวกเจ้าได้มอบถวายสิ่งใด?  โยบได้มอบถวายทุกสิ่งทุกอย่าง—พวกเจ้าได้มอบถวายสิ่งใด?  ผู้คนมากมายเหลือเกินได้พลีอุทิศตนเอง พลีอุทิศชีวิตและหลั่งเลือดของพวกเขาเพื่อแสวงหาหนทางที่แท้จริง  พวกเจ้าเคยได้จ่ายราคานั้นหรือไม่?  เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พวกเจ้าไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะชื่นชมพระคุณที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นแต่อย่างใด  จงอย่าคำนึงถึงตัวเจ้าเองอย่างสูงส่งเกินไป  เจ้าไม่มีสิ่งใดให้คุยโต  ความรอดที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น พระคุณที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้ถูกมอบให้กับเจ้าอย่างอิสระ  พวกเจ้าไม่ได้มอบถวายสิ่งใด กระนั้นพวกเจ้าก็ได้ชื่นชมพระคุณอย่างอิสระ  พวกเจ้าไม่รู้สึกละอายหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นัยสำคัญของการช่วยพงศ์พันธุ์ของโมอับให้รอด)  ทุกครั้งที่ผมร้องเพลงนมัสการเพลงนี้จบ ผมจะรู้สึกสำนึกในพระคุณอย่างเต็มเปี่ยม สภาพเลวร้ายของผมเป็นเรื่องเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับสภาพเลวร้ายของนักบุญตลอดทุกยุคสมัย ในการได้รับประสบการณ์พระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาทุกคนล้วนเป็นคำพยานอันงดงามให้พระเจ้า และได้รับความเห็นชอบของพระองค์ ตอนนี้พระเจ้าทรงมอบโอกาสที่คล้ายคลึงกันให้ผมได้เป็นพยานยืนยัน นี่คือความรักที่พระองค์ทรงมีให้ผม!  พระวจนะของพระเจ้านี้เองที่ให้กำลังใจผมและชี้แนะผมอย่างต่อเนื่องผ่านการถูกคุมขังอันยาวนาน และยากลำบากในค่ายใช้แรงงาน ผมคงทำไม่ได้หากปราศจากการชี้แนะจากพระวจนะของพระเจ้าในสภาพการณ์ที่เลวร้ายเช่นนั้น

ในเดือนกันยายน ปี 2007 ผมรับโทษครบกำหนดและได้รับการปล่อยตัวออกจากค่ายใช้แรงงาน ตอนที่ผมออกมา พวกมันสั่งว่าหลังจากผมกลับบ้านแล้ว ผมต้องไปรายงานตัวกับสถานีตำรวจท้องถิ่น ไม่เช่นนั้นทะเบียนบ้านของผมจะเป็นโมฆะ พวกมันยังข่มขู่ผมด้วยว่าถ้าผมถูกจับอีก ผมจะได้รับโทษที่หนักกว่าเดิมมาก หลังจากถูกปล่อยตัว ผมย้ายไปไกลจากบ้าน เพื่อที่จะได้สามารถเชื่อในพระเจ้าต่อไปและทำหน้าที่ของตัวเองได้ ผ่านการถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมและข่มเหง ผมรับรู้ถึงแก่นแท้ที่ต่อต้านพระเจ้าเยี่ยงปีศาจของพวกมันได้อย่างชัดเจน ยิ่งพวกมันข่มเหงผม ผมก็ยิ่งมุ่งมั่นที่จะติดตามพระเจ้า เพื่อลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 67. วิธีเผชิญความยากลำบากในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ

ถัดไป: 69. ฉันกลายเป็น ผู้นำเทียมเท็จได้อย่างไร

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger