56. จุดเปลี่ยนของชีวิต

ผมเกิดในหมู่บ้านเกษตรกรรมและเติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน พ่อแม่ของผมเป็นชาวนาซื่อๆ ที่มักถูกรังแกอยู่บ่อยๆ ตอนเป็นเด็กผมสาบานไว้ว่า พอโตขึ้นผมจะทำให้ตัวเองมีตัวตนขึ้นมาให้ได้ และจะทำให้ชาวบ้านคนอื่นๆ มองเราในมุมใหม่ จะได้เลิกดูถูกหรือรังแกเราเสียที ผมเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ตอนอายุ 11 ขวบ ถึงแม้จะเหนื่อยและได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ไม่เคยถอดใจไม่ว่ามันจะยากเย็นแค่ไหน ต่อมา ด้วยความต้องการทำธุรกิจและโดดเด่นจากฝูงชน ผมจึงวิ่งเต้นกู้ยืมเงิน มอบของขวัญ และสร้างเส้นสาย จนในที่สุด ในปี 1999 ผมก็สามารถจดทะเบียนโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ได้

หลังจากโรงเรียนเปิดดำเนินการ ภายใต้การบริหารจัดการอย่างขยันขันแข็งของผม ธุรกิจก็เจริญรุ่งเรืองและมีกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โรงเรียนได้รับการยอมรับจากคนในท้องถิ่น และพ่อแม่ก็ภูมิใจในตัวผม รู้สึกว่าผมได้นำเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูล บรรดานักเรียนและผู้ปกครองต่างก็ประจบประแจงผม สำนักการกีฬาประจำเมืองและนายกเทศมนตรีของตำบลให้ความสำคัญกับผมมาก และมีท่าทีเป็นมิตรกับผมเสมอ เมื่อเห็นว่าทุกคนชื่นชม ผมก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญและได้รับการยกย่อง สนองความอยากได้อยากมีสถานะของผมอย่างเต็มที่ ผมมีความสุขมาก ผมรู้สึกว่า ในที่สุดตัวเองก็ประสบความสำเร็จในชีวิตเสียที ผมเข้าร่วมงานสังคมมากมายเพื่อทำให้โรงเรียนของผมมีฐานรากมั่นคง ผมติดสินบนแก่หน่วยงานต่างๆ และส่งของขวัญให้กับผู้นำในช่วงวันหยุด เพื่อให้พวกเขามอบใบประกาศเกียรติคุณและส่งเสริมโรงเรียน เพื่อเอาใจพวกเขา ผมพูดและทำสิ่งต่างๆ นับไม่ถ้วนที่ขัดกับหลักการของตัวเอง ผมกลัวว่าหากผมทำอะไรผิดพลาดกับเจ้าหน้าที่เข้า ธุรกิจ สถานะ และความมีหน้ามีตาที่ผมทุ่มเทสั่งสมมาจะหายวับไปในพริบตา ผมกระวนกระวายใจอยู่ตลอดและไม่อาจผ่อนคลายได้เลย มันเหนื่อยล้าไปทั้งกายทั้งใจ ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตที่ลำบากยากเย็นและน่าเหนื่อยล้ามาก ในตอนนั้นผมสับสนว่า ธุรกิจของผมประสบความสำเร็จ และผมก็ได้รับทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์แล้ว แต่ทำไมชีวิตถึงยังลำบากยากเย็นและน่าเหนื่อยล้าขนาดนี้?

แล้วในเดือนพฤษภาคม ปี 2012 ผมได้ยอมรับข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย ในการชุมนุมและการมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมได้เห็นว่า ที่นี่เป็นสถานที่ที่ไม่มีการหลอกลวง ไม่มีอำนาจและเงินตราเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกคนล้วนมุ่งเน้นไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อพวกเขาเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา พวกเขาก็สามารถเปิดใจสามัคคีธรรมถึงการรู้จักตัวเอง และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของพวกเขา นั่นเป็นอะไรที่ผมไม่เคยเห็นในสังคม ผมรู้สึกว่าเส้นทางแห่งความเชื่อเป็นเส้นทางเดินที่ถูกต้องในชีวิต พอได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ได้เรียนรู้ว่า ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงพระราชกิจในการประทานบำเหน็จแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว มีเพียงผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะได้รับการดูแลและคุ้มครองจากพระเจ้า และในที่สุดก็จะได้รับการช่วยให้รอดและได้รับการคุ้มครองให้รอดพ้นจากมหาวิบัติ สำหรับพวกที่ไม่มีความเชื่อหรือไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าพวกเขาจะบริหารธุรกิจได้ดีแค่ไหน หรือมีเงินมากเพียงใด สุดท้ายทุกอย่างก็จะไร้ความหมาย และสิ่งเหล่านั้นก็ไม่อาจช่วยชีวิตพวกเขาเองให้รอดได้ เมื่อผมเข้าใจทั้งหมดนั้น ผมก็ไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโรงเรียนอีกต่อไป แต่ผมกลับใช้เวลาว่างออกไปบอกเล่าข่าวประเสริฐแทน

ในช่วงแรก ครอบครัวสนับสนุนความเชื่อของผม แต่ทว่าในเวลาต่อมา ลูกชายคนโตของผมเห็นข่าวว่ารัฐบาลกำลังปราบปรามและจับกุมผู้เชื่อ ด้วยกลัวว่าความเชื่อของผมจะเป็นภัยคุกคามต่อโรงเรียน ลูกชายจึงเริ่มต่อต้านความเชื่อของผม ถึงขั้นขู่จะแจ้งให้ตำรวจมาจับผม เจ้าหน้าที่รัฐที่ผมมีความสัมพันธ์อันดีด้วยก็แนะนำผมเหมือนกันว่า “ประเทศนี้ไม่อนุญาตให้มีความเชื่อ คุณควรเลิกเชื่อซะเถอะ ถ้าคุณถูกจับ ไม่เพียงแต่คุณจะต้องถูกตัดสินโทษนะ แต่โรงเรียนของคุณก็อาจจะถูกปิดไปด้วย นั่นจะไม่เป็นการทำลายครอบครัวของคุณหรอกเหรอ?” ผมบอกเขาว่าความเชื่อของผมคือหนทางที่แท้จริง และผมตั้งใจหนักแน่นจะยึดมั่นในความเชื่อนี้จนถึงที่สุด พอโน้มน้าวผมไม่สำเร็จ เขาก็ไปบอกภรรยาผมเกี่ยวกับคำโกหกบางอย่างของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ให้ร้ายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เขายังบอกด้วยว่าผู้เชื่อใน “ฟ้าแลบจากทิศตะวันออก” เป็นเป้าหมายหลักในการจับกุมของรัฐบาล และคนรุ่นหลังในครอบครัวของผู้เชื่อก็จะได้รับผลกระทบในทางลบ ลูกหลานของพวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนในวิทยาลัย เข้ารับราชการทหาร หรือเป็นข้าราชการ เมื่อภรรยาของผมได้ยินแบบนี้ เธอก็เริ่มกลัวว่าความเชื่อของผมจะส่งผลในทางลบต่อลูกๆ ของเรา เธอเริ่มโต้เถียงกับผมอย่างรุนแรง ถึงขั้นขู่ว่าจะหย่ากับผม นั่นทำให้ผมเจ็บปวดอย่างมาก คิดว่า “ลูกชายคนรองของฉันเพิ่งจะได้งานดีๆ หลังจบปริญญาโท ถ้าเขาต้องสูญเสียทุกอย่างไปเพราะความเชื่อของฉันล่ะก็ เขาคงจะหันมาต่อต้านฉันแน่ๆ อีกอย่าง โรงเรียนที่ฉันทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างขึ้นมา ตอนนี้ก็กำลังเจริญรุ่งเรือง ถ้าโรงเรียนนี้ต้องถูกปิดไปเพราะฉันเชื่อในพระเจ้า แล้วเวลาหลายปีที่ฉันตรากตรำมาจะไม่สูญเปล่าไปหรอกเหรอ? เพื่อนบ้านจะพากันคิดยังไงกับฉัน?” ในตอนนั้น ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับ ผมเป็นทุกข์ใจอย่างหนัก จนถึงกับมีความคิดที่จะถอดใจจากความเชื่อของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็รู้ว่าความเชื่อเป็นเส้นทางเดียวที่จะไปสู่ความรอด ผมจึงไม่สามารถเลิกเชื่อได้

ผมเปิดเผยสภาวะของตัวเองในที่ชุมนุม ผู้นำได้สามัคคีธรรมกับผมโดยใช้พระวจนะของพระเจ้าหลายบทตอน รวมถึงพระวจนะตอนนี้ที่ว่า “นับแต่ชั่วขณะที่เจ้าเข้ามาในโลกนี้พร้อมกับเสียงร้องจ้า เจ้าก็เริ่มลุล่วงความรับผิดชอบของตน  เจ้าเล่นไปตามบทบาทของเจ้าและเริ่มการเดินทางของชีวิตของเจ้า เพื่อประโยชน์แห่งแผนการของพระเจ้าและการทรงลิขิตของพระองค์  ไม่ว่าภูมิหลังของเจ้าอาจจะเป็นอย่างไร และไม่ว่าการเดินทางข้างหน้าของเจ้าอาจจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ก็ไม่มีใครสามารถหลีกหนีการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของฟ้าสวรรค์ได้ และไม่มีใครสามารถควบคุมชะตากรรมของตนเองได้ เพราะมีเพียงพระองค์ผู้ทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งเท่านั้นที่สามารถทำงานเช่นนั้นได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์)  เธอสามัคคีธรรมว่า “ชะตากรรมของพวกเราทุกคนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ตั้งแต่วินาทีที่พวกเราแต่ละคนเกิดมา ทุกสิ่งที่พวกเราจะได้ประสบในชีวิตนี้ ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคและความลำบากยากเย็นใดที่เราต้องเผชิญ ล้วนถูกพระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วทั้งสิ้น ที่เราสามารถมีความเชื่อและยอมรับความรอดของพระเจ้าได้ในเวลานี้ ก็เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วเหมือนกัน ความจริงที่ว่าเราอยู่ในประเทศจีนและต้องเผชิญกับการกดขี่และความยากลำบากเพราะความเชื่อของเรา ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาต และพระองค์ทรงใช้การกดขี่นี้เพื่อทำให้ความเชื่อและการอุทิศตนของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพียบพร้อม ไม่ว่าคุณจะถูกจับกุมหรือไม่ โรงเรียนของคุณจะถูกปิดหรือไม่ หรือจุดหมายปลายทางในอนาคตของลูกๆ คุณจะเป็นยังไง ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่มีมนุษย์คนไหนกำหนดสิ่งเหล่านั้นได้ และแม้แต่รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินชี้ขาด” พระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมของผู้นำให้ความรู้แจ้งแก่ผมว่า “นั่นก็จริง ฉันใช้ชีวิตมาครึ่งชีวิตแล้ว ผ่านอะไรมาก็มาก และได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรที่ฉันเคยควบคุมได้อย่างแท้จริงเลย อย่างเช่น ตอนที่ฉันอยู่ในกองทัพ ฉันฝึกหนักและทำผลงานได้ดี ฉันควรจะได้เลื่อนขั้นเป็นนายทหาร แต่แล้วก็มีคนอื่นมาแย่งตำแหน่งไปอย่างไม่ยุติธรรม ในทางกลับกัน ฉันประสบกับความลำบากยากเย็นทุกประเภทในการก่อตั้งโรงเรียน แต่ในที่สุด ฉันก็สามารถทำให้โรงเรียนดำเนินการได้อย่างราบรื่น และตอนนี้ทุกอย่างก็กำลังไปได้สวย ความสำเร็จและความล้มเหลวเหล่านี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์” เมื่อคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ ผมก็ตระหนักได้ว่า ทุกสิ่งที่เราประสบในชีวิตถูกกฎเกณฑ์ของพระเจ้ากำหนดไว้แล้ว และเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ การกังวลว่าผมจะถูกจับกุมหรือไม่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร พระเจ้าได้ทรงกำหนดเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ดังนั้นผมต้องปล่อยทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และนบนอบการจัดการเตรียมการของพระองค์ จากนั้นผู้นำก็สามัคคีธรรมกับผมอีกเรื่องหนึ่งว่า “หนทางที่แท้จริงถูกกดขี่มาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ยิ่งเป็นหนทางที่แท้จริงมากเท่าไร กองกำลังของซาตานก็ยิ่งข่มเหงหนทางนั้นอย่างโหดร้ายมากขึ้นเท่านั้น ซาตานจะยอมอ่อนข้อให้การที่พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดได้ยังไง? ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจ พระองค์ทรงถูกรัฐบาลโรมันกับโลกศาสนาต่อต้านและข่มเหงอย่างบ้าคลั่ง รวมถึงบรรดาผู้ติดตามของพระองค์ก็ถูกข่มเหงเช่นกัน วันนี้ เราเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้ ดังนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะถูกระบอบเยี่ยงซาตานของพรรคคอมมิวนิสต์จับกุมและข่มเหง พระเจ้าทรงใช้การข่มเหงนี้เพื่อช่วยให้เรามีวิจารณญาณแยกแยะ เพื่อที่เราจะสามารถเห็นแก่นแท้เยี่ยงมารที่ต่อต้านพระเจ้าของพรรคได้อย่างชัดเจน”

ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “ที่นี่เป็นแผ่นดินแห่งความโสมมมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว  มันสกปรกเหลือทน ความทุกข์ระทมดาษดื่น พวกผีวิ่งอาละวาดไปทั่วทุกแห่งหน ลวงล่อและหลอกลวง ตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล เหี้ยมโหดและชั่วช้า เหยียบย่ำเมืองผีนี้และทิ้งให้มันกลาดเกลื่อนไปด้วยศพ กลิ่นสาบสางของซากที่เสื่อมสลายปกคลุมแผ่นดินและตลบอบอวลในอากาศ และมันถูกพิทักษ์อย่างแน่นหนา  ผู้ใดจะสามารถมองเห็นพิภพเหนือโพ้นฟ้าได้?  มารมัดร่างของมนุษย์ทั้งหมดอย่างแน่นหนา มันคลุมดวงตาสองข้างของเขา และปิดผนึกริมฝีปากของเขาไว้แน่น  กษัตริย์แห่งพวกมารได้อาละวาดมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วจนถึงทุกวันนี้ที่มันยังคงเฝ้าดูเมืองผีนี้อย่างใกล้ชิด ราวกับเป็นวังของพวกปีศาจที่ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ ในขณะเดียวกัน สุนัขยามฝูงนี้ก็ถลึงตาจ้องเขม็ง เกรงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าพระเจ้าจะทรงจับพวกมันโดยไม่ทันรู้ตัวและกวาดล้างพวกมันไปทั้งหมด ทิ้งให้พวกมันไม่มีสถานที่แห่งสันติสุขและความสุข  ผู้คนแห่งเมืองผีเช่นเมืองนี้จะเคยมองเห็นพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาเคยชื่นชมความน่ารักและความดีงามของพระเจ้าหรือ?  พวกเขาซึ้งคุณค่าอันใดในเรื่องราวของโลกมนุษย์?  พวกเขาคนใดสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ที่กระตือรือร้นของพระเจ้า?  เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าฉงนนักที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ยังคงซ่อนเร้นอย่างมิดชิด กล่าวคือ  ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม กษัตริย์แห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร?  มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร?  ข้ารับใช้พวกนี้!  พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันเริ่มปฏิบัติต่อพระเจ้าประหนึ่งศัตรูมานานแล้ว พวกมันล่วงเกินพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนอย่างที่สุด พวกมันไม่เคารพพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้  เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ?  บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ?  พวกเขาล้วนต่อต้านพระเจ้า!  การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย!  เสรีภาพทางศาสนาหรือ?  สิทธิ์และผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ?  ทั้งหมดนั้นคือเพทุบายเพื่อที่จะปิดบังบาป!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8))  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ผมเห็นว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคที่ไม่เชื่อในพระเจ้า และเป็นศัตรูของพระเจ้า มันจะไม่ยอมให้มีพระเจ้าอยู่ มันอ้างว่าอนุญาตให้มีเสรีภาพทางศาสนา แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงคำโกหกที่ชักพาให้หลงเชื่อ สิ่งที่มันหวาดกลัวก็คือ เมื่อผู้คนได้รับความเชื่อ อ่านพระวจนะของพระเจ้า และได้รู้ความจริง พวกเขาจะตระหนักว่าพรรคนี้แหละคือซาตานที่ทำร้ายผู้คน แล้วต่อต้านและปฏิเสธมัน จากนั้น ความทะเยอทะยานและเป้าหมายที่จะควบคุมผู้คนไปตลอดกาลของมันก็จะพังทลาย ดังนั้น เพื่อขัดขวางไม่ให้ผู้คนเชื่อและติดตามพระเจ้า มันจึงจับกุมและข่มเหงประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างบ้าคลั่ง ใช้สื่อมวลชนเพื่อกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ มันถึงขั้นข่มขู่ครอบครัวของผู้เชื่อ บังคับให้พวกเขากดขี่และเป็นปฏิปักษ์กับผู้เชื่อ จนกว่าพวกเขาจะถอดใจจากความเชื่อ สูญเสียความรอดของพระเจ้า และถูกทำลายไปพร้อมกับพรรคนี้ในนรก พรรคคอมมิวนิสต์จีนเลวทรามและเลวร้ายอย่างที่สุด! ครอบครัวของผมถูกมันชักพาให้หลงเชื่อและเริ่มกดขี่ผม หากผมยอมจำนนต่อการกดขี่ของครอบครัว ผมก็จะตกหลุมพรางของซาตาน ผมจะหลงกลมันไม่ได้ ไม่ว่าครอบครัวจะขัดขวางผมอย่างไร ผมก็รู้ว่าผมต้องยืนหยัดในความเชื่อและทำหน้าที่ของผมต่อไป

เมื่อเห็นว่าผมตั้งใจแน่วแน่ที่จะติดตามพระเจ้า ลูกชายคนโตก็ข่มเหงผมหนักขึ้น วันหนึ่ง เขาถึงกับไล่ผมออกจากโรงเรียนต่อหน้านักเรียนของผม เขาตะคอกใส่ผมด้วยความโกรธว่า “รัฐบาลไม่อนุญาตให้มีศาสนา แต่พ่อก็ยังยืนกรานจะเชื่อ! ถ้าพ่อถูกจับ พวกเราทั้งครอบครัวก็จะโดนร่างแหไปด้วย แม้แต่ลูกๆ ของผม แล้วจะให้ยอมรับเรื่องนั้นได้ยังไง? ถ้าพ่ออยากเชื่อของพ่อต่อไป พ่อก็ต้องออกไปจากโรงเรียน อย่าลากพวกเราเข้าไปเกี่ยวด้วยสิ!” ผมแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยว่า ลูกชายของผมเองจะพูดจาไร้หัวใจกับผมได้ถึงขนาดนี้ ไล่ผมออกไปเพียงเพราะผมเชื่อในพระเจ้า ผมรู้สึกเจ็บปวดมาก คิดว่า “ถ้าฉันถูกไล่ออกจากโรงเรียนของตัวเอง นั่นจะไม่หมายความว่าหยาดเหงื่อแรงกายที่ฉันทุ่มเทมาทั้งชีวิตสูญเปล่าไปหรอกเหรอ? ใครจะมาเรียกฉันว่า ‘ครูใหญ่’ อีก ใครจะมาเคารพฉัน? ฉันจะไม่ได้ชื่นชมกับสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป ฉันจะกลายเป็นแค่ชาวนาทั่วไปอีกครั้ง แล้วฉันจะเผชิญหน้ากับเพื่อนฝูงและคนรู้จักได้ยังไง?” ความคิดเหล่านี้ทำให้ผมปวดร้าวจนแทบทนไม่ไหว คิดว่า “ถ้าลูกชายขับไล่ไสส่งฉัน แล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน? ฉันควรจะยอมทำตามเขาดีไหม?” ขณะที่เรื่องทั้งหมดนี้ผุดมาในหัว ผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หากผู้คนไม่มีความมั่นใจใดๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะเดินไปตามเส้นทางนี้ต่อไป  ตอนนี้ทุกคนสามารถเห็นได้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดและความคิดฝันของผู้คนแม้แต่น้อย—พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจมากมายเหลือเกินและได้ตรัสพระวจนะมากมายเหลือเกิน และแม้ผู้คนอาจยอมรับรู้ว่าพระวจนะคือความจริง แต่มโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในตัวพวกเขา  หากผู้คนปรารถนาที่จะเข้าใจความจริงและได้รับความจริงไว้ พวกเขาก็ต้องมีความมั่นใจและพลังใจเพื่อให้สามารถยืนหยัดในสิ่งที่พวกเขาได้เห็นเรียบร้อยแล้ว และในสิ่งที่พวกเขาได้รับจากประสบการณ์ของพวกเขา  ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดในตัวผู้คน พวกเขาก็ต้องค้ำชูสิ่งที่พวกเขาเองครอบครอง จริงใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยังคงอุทิศตนเพื่อพระองค์จนถึงที่สุด  นี่คือหน้าที่ของมวลมนุษย์  ผู้คนต้องค้ำชูสิ่งที่พวกเขาควรทำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรธำรงไว้ซึ่งการอุทิศตนของเจ้าแด่พระเจ้า)  “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า  ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้นหรอก!  เจ้าต้องการให้พรมาถึงเจ้าอย่างง่ายดายมิใช่หรือ?  ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญกับบททดสอบอันขมขื่น  หากปราศจากบททดสอบเช่นนี้ หัวใจรักของพวกเจ้าที่มีต่อเราก็จะไม่เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา  แม้ว่าบททดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยสภาพการณ์เล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของบททดสอบจะแปรผันจากคนคนหนึ่งสู่อีกคน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41)  พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ผมสงบลง นั่นเป็นความจริง เส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่ายดาย เราต้องอดทนต่อความลำบากยากเย็นบางอย่าง และหากไม่มีความเชื่อ ก็ยากที่จะเดินต่อไปบนเส้นทางนี้ ถ้าผมกลายเป็นคนคิดลบและถอยหนีเพราะการข่มเหงนี้ แล้วความเชื่อของผมอยู่ที่ไหนกัน? ก่อนที่ผมจะเชื่อในพระเจ้า ตอนที่ผมดิ้นรนอยู่ในทางโลกหลายปีเพื่อสร้างตัว มันเป็นหนทางชีวิตที่เต็มไปด้วยความลำบากยากเย็น ความเหนื่อยล้า และไร้ความหวัง ตอนนี้ผมโชคดีพอที่ได้พบโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต ที่พระเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด แล้วผมจะถอดใจง่ายๆ ได้ยังไงกัน? ถ้าทำอย่างนั้น ผมจะได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าได้ยังไง? องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “จงดูนกทั้งหลายบนฟ้า พวกมันไม่ได้หว่าน ไม่ได้เกี่ยว ไม่ได้รวบรวมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของพวกท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงพวกมันไว้ ท่านไม่ประเสริฐกว่าพวกมันหรือ?(มัทธิว 6:26)  พระเจ้าทรงสร้างนกขึ้นมา ซึ่งพวกมันไม่ต้องหว่านไถหรือเก็บเกี่ยว แต่พระองค์ก็ยังคงทำให้พวกมันมีชีวิตรอดอยู่ได้ ตอนนี้ผมเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของผม พระเจ้าก็จะทรงเปิดทางให้กับผม หากลูกชายไล่ผมออกจากบ้าน ผมเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงนำผม และไม่มีอะไรที่ผมต้องกังวล ความคิดนี้ทำให้ความเชื่อของผมกลับคืนมาอีกครั้ง และผมก็ไม่รู้สึกว่าถูกลูกชายบีบคั้นอีกต่อไป เมื่อลูกชายเห็นว่าผมยังคงยืนหยัดในความเชื่ออยู่ เขาก็ผลักไสผมไปทางประตูโรงเรียนอย่างโกรธเกรี้ยว ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทิ้งโรงเรียนไว้เบื้องหลัง และไปพักอยู่ที่บ้านพ่อแม่ชั่วคราว

คืนนั้น เมื่อคิดถึงสถานการณ์ที่ย่ำแย่ของตัวเอง ผมก็รู้สึกอนาถใจ จึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงมีเจตนารมณ์อะไรในเรื่องนี้ ข้าพระองค์รู้ว่าการเชื่อในพระองค์คือการเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง แล้วทำไมลูกชายของข้าพระองค์ถึงปฏิบัติกับข้าพระองค์เช่นนี้? โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ด้วยเถิด” จากนั้น ผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่พี่น้องชายหญิงบางคนเคยแบ่งปันกับผมที่ว่า “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์  แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า  เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังทำการเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือการกระทำของมนุษย์และการรบกวนของพวกมนุษย์  เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังทั้งหมดนั้นคือการสู้รบ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง)  จากการไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ได้เห็นว่า ดูภายนอกปัญหานี้ดูเหมือน ลูกชายของผมถูกคำโกหกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนชักพาให้หลงเชื่อ จึงกดขี่และกีดกันความเชื่อของผม และไล่ผมออกจากโรงเรียนของตัวเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือซาตานที่กำลังก่อกวน ชักพาให้หลงเชื่อ และบงการสถานการณ์ เพียงเพื่อจะดูว่าผมจะเลือกอะไร ผมจะรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว ปกป้องชื่อเสียงกับสถานะของตัวเอง และทรยศพระเจ้าหรือเปล่า? หรือว่าผมจะละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตัวเหล่านี้และติดตามพระเจ้าต่อไป? สถานการณ์ที่ผมเผชิญทำให้ผมเป็นกังวลและไม่สบายใจ ก็เพราะผมขาดความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และไม่มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะละทิ้งทุกอย่างเพื่อพระองค์ ซาตานกำลังเล่นงานจุดอ่อนของผม ซึ่งก็คือความอยากมีหน้ามีตาและสถานะ รวมถึงความเป็นห่วงครอบครัวของผม เพื่อทำให้ผมทรยศพระเจ้าและทิ้งพระองค์ไว้เบื้องหลัง แล้วสุดท้าย มันก็จะทำลายและกลืนกินผม ซาตานช่างร้ายกาจและชั่วเสียจริง! การเข้าใจเรื่องนี้ทำให้ผมก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ผมตั้งใจแน่วแน่ว่า ไม่ว่าครอบครัวจะทำอะไรเพื่อหยุดยั้งผม และไม่ว่าผมจะต้องเผชิญความยากลำบากอะไรต่อไปในชีวิต ผมจะยืนหยัดในความเชื่อและติดตามพระเจ้าจนถึงที่สุด เพื่อทำให้ซาตานอับอาย

เนื่องจากผมไม่สามารถพักอยู่ที่บ้านพ่อแม่ได้นาน ผมจึงต้องกลับไปที่โรงเรียน หลังจากกลับไป ผมยังคงเข้าร่วมการชุมนุมและแบ่งปันข่าวประเสริฐต่อไป เมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมล้มเลิกความเชื่อ ลูกชายคนโตกับภรรยาของเขาก็ข่มเหงผมหนักขึ้นอีก พวกเขามักจะพูดจาแย่ๆ ใส่ผม สบถใส่ผมและบอกให้ผมออกไป พวกเขายังเข้าควบคุมการเงินของโรงเรียนทั้งหมดอีกด้วย ทำให้ผมไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว พวกเขาพูดจาทำร้ายจิตใจผมอยู่บ่อยๆ เพียงเพื่อทำให้ผมไม่สบายใจ ช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกโกรธอยู่ตลอดจนกินไม่ได้ แล้วสุขภาพของผมก็แย่ลง ผมหน้ามืดเวลาเดินและเกือบเป็นลมอยู่หลายครั้ง ผมเริ่มเป็นโรคกระเพาะ และช่วงค่ำๆ ผมจะปวดท้องอย่างรุนแรงจนวิธีเดียวที่จะบรรเทาอาการได้ก็คือการกดหมอนไว้กับท้อง เวลานอนไม่หลับ ผมก็จะเดินออกไปยังลานของโรงเรียน มองดูอาคารฝึกซ้อม สำนักงาน โรงอาหาร และหอพัก การจ้องมองโรงเรียนที่ผมทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างมันขึ้นมา ทำให้หัวใจของผมหนักอึ้ง ผมนึกสงสัยว่ามีถนนกี่สายที่ผมได้เดินทางไป มีสายสัมพันธ์มากเท่าไรที่ผมได้สร้างขึ้นมา และมีความทุกข์มากแค่ไหนที่ผมได้เผชิญ เพียงเพื่อให้โรงเรียนแห่งนี้เปิดขึ้นได้ ตอนนี้ หลังจากที่ผมประสบความสำเร็จบ้างแล้ว กลับต้องถูกลูกชายของตัวเองพรากไป นั่นคืองานทั้งชีวิตของผม ตอนนี้ ถ้าผมยังคงยืนหยัดในความเชื่อ ผมก็เสี่ยงที่จะสูญเสียทุกสิ่ง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ผมก็เจ็บปวดราวกับมีมีดกรีดลงบนหัวใจ ช่วงเวลานั้นผมอ่อนแอมาก แอบร้องไห้ตอนกลางคืนอยู่เสมอ ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังจะสูญเสียธุรกิจนี้ที่ข้าพระองค์ใช้เวลาทั้งชีวิตสร้างขึ้นมา และข้าพระองค์ไม่อาจทำใจปล่อยมันไปได้ โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้ก้าวข้ามสถานการณ์นี้ไปให้ได้ด้วยเถิด”

ต่อมา พี่น้องชายหญิงได้แบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนกับผม ซึ่งให้เส้นทางแห่งการปฏิบัติกับผม พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “บัดนี้เจ้าควรเห็นได้อย่างชัดแจ้งถึงเส้นทางที่แท้จริงที่เปโตรเลือก  หากเจ้าสามารถเห็นเส้นทางของเปโตรได้อย่างชัดแจ้ง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมั่นใจได้ในเรื่องพระราชกิจที่กำลังดำเนินอยู่ในวันนี้ ดังนั้นเจ้าก็จะไม่พร่ำบ่นหรือคิดลบ หรือถวิลหาสิ่งใดๆ เลย  เจ้าควรได้รับประสบการณ์กับอารมณ์ของเปโตรในเวลานั้น กล่าวคือ เขาได้รับผลกระทบรุนแรงจากความโศกเศร้า  เขาไม่ได้ร้องขออนาคตหรือพรใดอีกต่อไป  เขาไม่ได้แสวงหาผลกำไร ความสุข ชื่อเสียง หรือโชควาสนาในโลก เขาเพียงแค่พยายามที่จะใช้ชีวิตที่เปี่ยมความหมายที่สุด ซึ่งก็คือการชดใช้คืนความรักของพระเจ้าและทุ่มเทอุทิศสิ่งที่เขาถือว่าล้ำค่ามากที่สุดแด่พระเจ้า  เช่นนั้นแล้วเขาจึงจะพึงพอใจในหัวใจของเขา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เปโตรได้มารู้จักพระเยซูได้อย่างไร)  การไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมตาสว่าง ตอนนั้น เปโตรก็ทนทุกข์กับการกดขี่จากครอบครัวของเขาเพราะความเชื่อเช่นกัน ครอบครัวของเขาต้องการให้เขาสร้างชื่อเสียงและนำเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูล แต่เปโตรกลับไม่ได้ถูกสิ่งเหล่านั้นบีบคั้น เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงเรียกหาเขา เขาก็ละทิ้งทุกสิ่งเพื่อติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า และไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย ประสบการณ์ของเปโตรให้ความรู้แจ้งแก่ผม เปโตรมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และสามารถละทิ้งทุกสิ่งเพื่อติดตามพระองค์ เขาไล่ตามเสาะหาความจริง ได้รู้จักและรักพระเจ้า จนในที่สุดก็ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า ผมเพิ่งเชื่อในพระเจ้าได้ไม่นาน และเข้าใจความจริงเพียงตื้นเขิน แต่เมื่อคิดถึงความทุกข์ยากที่ผมเคยได้รับจากการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะในอดีต และการมองไปยังเส้นทางของเปโตรที่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้านั้น เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอย่างแท้จริง ผมอยากเอาอย่างเปโตร ปล่อยวางชื่อเสียงกับความมีหน้ามีตา และไล่ตามเสาะหาความจริง ต่อมาผมตัดสินใจออกจากโรงเรียน และยังคงปฏิบัติความเชื่อและทำหน้าที่ของผมต่อไป

ไม่กี่วันให้หลัง เพื่อนๆ ทหารเก่าของผมบางคนโกรธมากเมื่อรู้ข่าวเรื่องที่ลูกชายไล่ผมออกจากโรงเรียน พวกเขาพยายามคิดหาวิธีทุกวิถีทางเพื่อช่วยผมเอาโรงเรียนกลับคืนมา เพื่อนฝูงและญาติๆ ต่างพากันประณามในความไม่ยุติธรรม แม้แต่เลขานุการหมู่บ้านก็ช่วยผมโดยการออกใบรับรองอย่างเป็นทางการให้ ว่าโรงเรียนแห่งนี้เป็นสิ่งที่ผมสร้างขึ้นด้วยตัวเอง และไม่มีใครมีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของ เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา ผมก็คิดว่า “ตอนนี้ ด้วยใบรับรองใบนี้ หากเพื่อนๆ ทหารของฉันช่วยเอาโรงเรียนคืนมา ฉันก็จะได้เกียรติยศที่สูญเสียไปกลับมา” ผมตระหนักได้ว่าผมเริ่มอยากไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะอีกแล้ว ดังนั้น ผมจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในใจขอให้พระองค์ประทานความเข้มแข็งแก่ผมในการขัดขืนเนื้อหนัง หลังจากอธิษฐาน ผมนึกถึงประสบการณ์ของโยบ เขาสูญเสียทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปในชั่วข้ามคืน และแม้ว่านั่นจะเป็นความเจ็บปวดมหาศาล แต่เขาก็ไม่ได้พึ่งพาความสามารถของตัวเองเพื่อทวงทรัพย์สมบัติเหล่านั้นกลับคืนมา ตรงกันข้าม เขากลับอธิษฐานและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ทรัพย์สินของผมไม่อาจเทียบได้กับความมั่งคั่งของโยบ แต่ถ้าผมไม่อธิษฐานและแสวงหาพระเจ้าในการเผชิญกับสถานการณ์นี้ แล้วต้องการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองเพื่อเอาโรงเรียนกลับคืนมาแทน แบบนั้นจะเป็นการนบนอบพระเจ้าได้ยังไง? อีกอย่าง ถ้าผมได้โรงเรียนกลับคืนมาและใช้เวลาทั้งวันบริหารโรงเรียน ผมก็คงไม่มีพลังมาปฏิบัติความเชื่อและทำหน้าที่ของผม ตอนนี้ เมื่อลูกชายยึดโรงเรียนไปจากผมแล้ว ผมกลับสามารถปฏิบัติความเชื่อและทำหน้าที่ของผมได้อย่างสุดจิตสุดใจ นี่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม ความคิดนี้ทำให้หัวใจของผมก็แจ่มใสขึ้นมาก ผมตระหนักได้ว่าที่ผมไม่สามารถปล่อยวางโรงเรียนได้ ก็เป็นเพราะผมถูกความเสื่อมทรามครอบงำฝังลึกเกินไป และใส่ใจกับหน้าตาและสถานะมากเกินไป

ต่อมาผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “มนุษย์ซึ่งเกิดมาในดินแดนอันโสมมเช่นนั้น ได้ถูกสังคมทำให้มัวหมองอย่างรุนแรง  เขาได้รับอิทธิพลจากจริยธรรมแบบศักดินา และได้รับการสอนใน ‘สถาบันอุดมศึกษา’ การคิดอ่านที่ล้าหลัง ศีลธรรมอันเสื่อมทราม มุมมองชีวิตแบบคับแคบ ปรัชญาที่น่าดูหมิ่นของการติดต่อเจรจาทางโลก การดำรงอยู่อันไร้ค่าอย่างที่สุด และรูปแบบการใช้ชีวิตและขนบธรรมเนียมทั้งหลายอันต่ำทราม—ทั้งหมดนี้ได้รุกล้ำเข้าไปในหัวใจของมนุษย์อย่างรุนแรง และได้บ่อนทำลายและโจมตีมโนธรรมของเขาอย่างรุนแรง  ผลก็คือ มนุษย์ออกห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และต่อต้านพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีสักคนที่จะเต็มใจยอมสละสิ่งใดๆ เพื่อพระเจ้า ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจนบนอบพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ภายใต้อำนาจของซาตาน มนุษย์ไม่ทำอะไรเลยนอกจากไล่ตามเสาะหาความยินดี โดยยอมให้ตัวเขาเองจมอยู่กับความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในดินแดนแห่งโคลน  แม้คราที่พวกเขาได้ยินความจริง พวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดก็ไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องการนำความจริงไปปฏิบัติ และพวกเขาก็ไม่มีแนวโน้มที่จะแสวงหาพระเจ้าแม้เมื่อพวกเขาได้เห็นการทรงปรากฏของพระองค์แล้วก็ตาม  มนุษย์ที่ต่ำทรามเช่นนั้นจะสามารถมีโอกาสแห่งความรอดได้อย่างไร?  มนุษย์ที่เสื่อมศีลธรรมเช่นนั้นจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างได้อย่างไร?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า)  พระวจนะของพระเจ้าทรงเผยให้เห็นสภาวะของผมอย่างแม่นยำ ตั้งแต่ยังเด็ก พ่อแม่และครูต่างสอนผมถึงสิ่งต่างๆ เช่น “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” “คนเราต้องสู้ทนความทุกข์ยากอันใหญ่หลวงที่สุดจึงจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ” และ “จงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” ปรัชญาซาตานเหล่านี้ฝังลึกลงไปภายในหัวใจของผม สร้างมุมมองที่ผิดเพี้ยนเกี่ยวกับชีวิตและคุณค่าของชีวิตขึ้นในตัวผม ผมคิดว่าการก้าวหน้าในชีวิต การเป็นคนเหนือผู้อื่น และการได้มีหน้ามีตาและสถานะ เป็นหนทางเดียวที่จะมีชีวิตที่มีความมั่นคงและมีคุณค่า ผมพร้อมจะสู้ทนต่อความยากลำบากทุกอย่างเพื่อสร้างชื่อให้กับตัวเอง ตอนที่ผมบริหารโรงเรียนศิลปะการต่อสู้ ทุกๆ วันเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เงินที่ผมหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายถูกใช้ไปกับการเอาใจเจ้าหน้าที่รัฐ คอยป้อยอและพูดจาหวานหูเพื่อให้พวกเขาพอใจ ผมใช้ชีวิตอย่างไร้ศักดิ์ศรี ในช่วงเทศกาล ผมต้องส่งของขวัญให้ผู้นำของรัฐล่วงหน้า เกรงว่าแม้แต่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดปัญหาได้ การรักษาความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างบุคคลเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเหนื่อยล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ผมกลับจมลึกอยู่ในวังวนนี้และหาทางออกไม่ได้ ผู้คนรอบตัวผมกระทำความชั่วทุกรูปแบบโดยไม่ลังเลหลังจากได้รับชื่อเสียงและสถานะ ไม่ว่าจะเป็นการคอร์รัปชันและติดสินบน เที่ยวโสเภณี และเล่นการพนัน พวกเขาทำหมดไม่มีข้อจำกัด นั่นแหละคือการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามและทำร้ายพวกเขาโดยสมบูรณ์ การที่ลูกชายของผมเข้ายึดโรงเรียนที่ผมสร้างขึ้นมากับมือ ก็เป็นเพราะเขาถูกความเย้ายวนในผลประโยชน์และสถานะครอบงำ ถึงกับไม่เห็นแก่ความรักระหว่างพ่อกับลูกเพียงเพื่อผลประโยชน์นั้น ซึ่งทำให้ผมนึกถึงราชวงศ์โบราณ ที่พี่น้องหรือแม้แต่พ่อกับลูกต้องฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์ นี่คือตรรกะวิบัติของซาตานและคำพูดเยี่ยงมาร ที่ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามจนสูญเสียความเป็นมนุษย์และเหตุผลไปหมด ในตอนนั้นเองผมเห็นว่า ความมีหน้ามีตาและสถานะเป็นโซ่ตรวนที่ซาตานใช้พันธนาการมวลมนุษย์อย่างไร ถ้าเราใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน และเสาะหาความมีหน้ามีตาและสถานะ เราก็จะยิ่งเสื่อมทรามมากขึ้นเรื่อยๆ และชีวิตก็จะเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ พระเจ้าไม่ทรงต้องการเห็นผมถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอีกต่อไป และดังนั้น เมื่อผมจมอยู่ในวังวนของความมีหน้ามีตาและสถานะ พระวจนะของพระเจ้าจึงแสดงให้ผมเห็นว่า การไล่ตามเสาะหาความจริงคือเส้นทางที่ถูกต้อง และเป็นหนทางเดียวที่จะใช้ชีวิตที่มีความหมาย ผมถูกพันธนาการและบีบคั้นด้วยปรัชญาซาตาน ดังนั้น เมื่อผมสูญเสียความสำราญในเงินทอง หน้าตา และสถานะ ผมจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะปล่อยวางสิ่งเหล่านั้น และรู้สึกเป็นทุกข์ ถึงขั้นอยากจะยื่นฟ้องเพื่อทวงสิ่งเหล่านั้นกลับคืนมา ผมช่างโง่เขลาเสียจริง หากผมยังเดินต่อไปบนเส้นทางนั้น ผมก็จะปล่อยให้ซาตานทำร้ายผมต่อไป และสุดท้าย ผมก็จะถูกทำลายไปพร้อมกับมัน! องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา?(มัทธิว 16:26)  นั่นเป็นเรื่องจริง ไม่ว่ามนุษย์จะมีเงินทองหรือมีหน้ามีตามากแค่ไหน สิ่งเหล่านั้นก็ไม่อาจซื้อความจริงหรือชีวิตได้! วันนี้ผมสูญเสียทรัพย์สิน ความมีหน้ามีตา และสถานะที่ผมสร้างขึ้นมาทั้งชีวิต แต่ผ่านประสบการณ์นี้ ผมได้เรียนรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นทำร้ายผู้คนอย่างไร และการไล่ตามไขว่คว้ามันนำมาซึ่งผลสืบเนื่องที่น่ากลัวอย่างไร ผมยังได้เรียนรู้ถึงความหมายและคุณค่าของการไล่ตามเสาะหาความจริง และสามารถปล่อยวางทรัพย์สินทางวัตถุเพื่อติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของผมได้อีกด้วย นี่คือความรอดอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงมอบให้กับผม วินาทีที่ผมเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ผมก็ไม่ต้องการต่อสู้กับลูกชาย หรือยื่นฟ้องเขาอีกต่อไป สิ่งเดียวที่ผมใส่ใจคือการนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของผมอย่างถูกควร

ตั้งแต่นั้นมา ผมก็แบ่งปันข่าวประเสริฐในคริสตจักรและทำหน้าที่ของผม แม้ว่าผมจะไม่ได้รับการยกย่องจากผู้คนอีกต่อไป แต่ผมกลับรู้สึกสงบมากกว่าที่เคยเป็นมา และทุกๆ วันก็เต็มไปด้วยความหมาย ผมมั่นใจอยู่ในหัวใจว่า การมีความเชื่อและการติดตามพระเจ้าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และเป็นหนทางที่มีความหมายมากที่สุดในการดำเนินชีวิต ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 55. ความเป็นจริง เบื้องหลังคนขี้เกรงใจ

ถัดไป: 59. ความสำคัญของท่าทีที่ถูกต้องในหน้าที่

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger