50. สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการปฏิเสธที่จะเป็นผู้นำ
ในเดือนมกราคม ปี 2022 ฉันได้รับเลือกให้รับใช้ในฐานะผู้นำคริสตจักร และได้รับมอบหมายให้ดูแลการผลิตวีดิทัศน์เป็นหลัก ในตอนนั้นฉันรู้สึกขัดแย้งมาก ในแง่หนึ่ง ฉันกังวลว่าเพราะตัวเองขาดทักษะทางเทคนิค หากฉันรับตำแหน่งแต่ทำงานได้ไม่ดี ฉันจะถูกเผยและถูกปลด ในอีกแง่หนึ่ง หากฉันปฏิเสธที่จะทำหน้าที่นี้ ฉันจะรู้สึกผิดมาก ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงชี้แนะให้ฉันเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ วันนั้นฉันบังเอิญได้พบกับพี่น้องชายคนหนึ่ง ซึ่งหลังจากได้ยินเรื่องสภาวะของฉัน เขาก็สามัคคีธรรมกับฉันโดยกล่าวว่า “เหตุผลหลักที่คุณไม่อยากรับใช้ในฐานะผู้นำเกิดจากการคำนึงถึงจุดหมายปลายทางในอนาคตและโชคชะตาของคุณเอง คุณกังวลว่าจะทำหน้าที่จริงไม่ได้ แล้วจะถูกเผยและถูกปลด คุณยังมีมุมมองที่คลาดเคลื่อนอีกด้วยว่า การเป็นผู้นำนั้นอันตราย เพราะผู้นำอาจถูกเผยและถูกกำจัด คุณคอยระวังตัวกับพระเจ้าและเข้าใจพระองค์ผิดๆ ในความเป็นจริง เหตุผลที่ผู้นำหลายคนถูกเผยและถูกกำจัด ไม่ใช่เพราะพวกเขาดำรงตำแหน่งนั้น แต่เป็นเพราะพวกเขาล้มเหลวในการไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง และแสวงหาสถานะและกระทำการอย่างขาดความยับยั้งอยู่เสมอ” การสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายคนนี้ชี้ให้เห็นวิธีคิดของฉันได้อย่างตรงประเด็น และช่วยให้ฉันรู้จักสภาวะของตัวเองบ้าง หลังจากนั้น ฉันก็แสวงหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับสภาวะของตัวเองมากินและดื่ม
วันหนึ่งฉันพบพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนนี้ที่กล่าวว่า “เมื่อมีการปรับเปลี่ยนหน้าที่ของพวกเขาอย่างเรียบง่าย ผู้คนควรตอบรับด้วยท่าทีที่เชื่อฟัง ทำตามที่พระนิเวศของพระเจ้าบอกให้พวกเขาทำ และทำในสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ และไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด ก็จงทำให้ดีเหมือนว่าสิ่งนั้นอยู่ในอำนาจของพวกเขา ด้วยหัวใจทั้งดวงของพวกเขาและเรี่ยวแรงทั้งหมดของพวกเขา สิ่งที่พระเจ้าทรงทำลงไปนั้นย่อมไม่ผิดพลาด ความจริงที่เรียบง่ายเช่นนี้สามารถปฏิบัติได้โดยใช้มโนธรรมและเหตุผลเล็กน้อย แต่นี่กลับพ้นความสามารถของพวกศัตรูของพระคริสต์ เมื่อเป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนหน้าที่ พวกศัตรูของพระคริสต์จะนำเสนอข้อโต้แย้ง มีการบิดเบือนเหตุผลและการลองดีในทันที และลึกๆ แล้วพวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับการปรับเปลี่ยนนั้น มีสิ่งใดอยู่ในหัวใจของพวกเขากระนั้นหรือ? ความระแวงสงสัยและความกังขา จากนั้นพวกเขาก็ซักถามผู้อื่นโดยใช้วิธีการทุกชนิด… เหตุใดพวกเขาจึงทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นซับซ้อนเช่นนี้? มีเหตุผลเพียงข้อเดียวเท่านั้นคือ ศัตรูของพระคริสต์ไม่เคยทำตามการจัดแจงเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขายึดโยงหน้าที่ ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตนเข้ากับความหวังที่จะได้รับพรและบั้นปลายในอนาคตอย่างแนบแน่นเสมอ ราวกับว่าทันทีที่ความมีหน้ามีตาและสถานะของพวกเขาสูญสิ้น พวกเขาก็หมดหวังที่จะได้รับพรและรางวัล และทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับสูญสิ้นชีวิตไปด้วย พวกเขาคิดว่า ‘ฉันต้องรอบคอบ ฉันต้องไม่ประมาท! พระนิเวศของพระเจ้า พี่น้องชายหญิง ผู้นำและคนทำงาน และแม้กระทั่งพระเจ้าก็ไม่อาจเป็นที่พึ่งพาได้ ฉันไม่สามารถไว้ใจพวกเขาคนใดได้ คนที่คุณพึ่งพาได้ที่สุดและคู่ควรแก่ความไว้วางใจที่สุดก็คือตัวคุณเอง ถ้าคุณไม่วางแผนให้ตัวเองเช่นนั้นแล้วใครจะมาใส่ใจดูแลคุณ? ใครจะมาคำนึงถึงอนาคตของคุณ? ใครจะมาคำนึงว่าคุณจะได้รับพรหรือไม่? เพราะฉะนั้น ฉันต้องวางแผนและคิดคำนวณเพื่อตัวเองให้รอบคอบ ฉันจะทำผิดพลาดหรือประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มิฉะนั้นฉันจะทำอย่างไรถ้ามีใครพยายามเอาเปรียบฉัน?’ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงระวังตัวกับเหล่าผู้นำและคนทำงานในพระนิเวศของพระเจ้า กลัวว่าจะมีคนรู้ทันหรือดูพวกเขาออก แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะถูกปลด และความฝันที่จะได้รับพรก็จะพังทลาย พวกเขาคิดว่าพวกเขาต้องรักษาความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเอาไว้ เพื่อให้พวกเขามีความหวังที่จะได้รับพร ศัตรูของพระคริสต์มองการได้รับพรว่ายิ่งใหญ่กว่าฟ้าสวรรค์ ยิ่งใหญ่กว่าชีวิต สำคัญกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริง การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย หรือความรอดส่วนบุคคล และสำคัญกว่าการทำหน้าที่ของตนให้ดีและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน พวกเขาคิดว่าการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน การทำหน้าที่ของตนได้ดี และการได้รับการช่วยให้รอดล้วนแต่เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่แทบจะไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงหรือแสดงความคิดเห็น ในขณะที่การได้รับพรเป็นสิ่งเดียวในชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขาที่ไม่อาจลืมได้เป็นอันขาด ในสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กเพียงใด พวกเขาก็เอามายึดโยงกับการได้รับพร ระมัดระวังและเอาใจใส่อย่างยิ่ง และพวกเขาก็เหลือทางออกไว้ให้ตัวเองเสมอ” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบสอง: พวกเขาอยากถอนตัวเมื่อไม่มีสถานะหรือไม่มีหวังที่จะได้รับพร) “ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เมื่อคนเรามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้าง พวกเขาควรที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน นี่คือสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมที่จะทำยิ่งนัก และพวกเขาควรลุล่วงความรับผิดชอบนี้ บนเงื่อนไขที่ว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างปฏิบัติหน้าที่ของตน พระผู้สร้างได้ทรงพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นท่ามกลางมวลมนุษย์ พระองค์ได้ทรงพระราชกิจต่อผู้คนคืบหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง แล้วพระราชกิจนั้นคืออะไร? พระองค์ทรงจัดเตรียมความจริงไว้ให้มวลมนุษย์ โดยเปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับความจริงจากพระเจ้าในยามที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ มาสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าและก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต และในท้ายที่สุด ก็สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว บรรลุความรอดโดยบริบูรณ์ และไม่ตกอยู่ภายใต้ความทุกข์ร้อนจากซาตานอีกต่อไป นี่คือผลที่การที่พระเจ้าทรงให้มวลมนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตั้งใจจะสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุด… สิ่งที่สวยงามและยิ่งใหญ่เช่นนั้นถูกลูกหลานของพวกศัตรูของพระคริสต์บิดเบือนให้กลายเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งพวกเขาใช้เพื่อเรียกร้องมงกุฎและบำเหน็จจากพระหัตถ์ของพระเจ้า การแลกเปลี่ยนเช่นนั้นทำให้สิ่งที่สวยงามและยุติธรรมที่สุดกลายเป็นบางสิ่งที่อัปลักษณ์และเลวร้ายที่สุด นี่คือสิ่งที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำอยู่ไม่ใช่หรือ? เมื่อตัดสินจากการนี้ พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่เลวร้ายหรอกหรือ? พวกเขาช่างเลวร้ายจริงๆ! นี่เป็นการสำแดงถึงความเลวร้ายของพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่เจ็ด)) พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงว่าศัตรูของพระคริสต์เชื่อในพระเจ้าก็เพื่อจะได้รับพระพรเท่านั้น ไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์อะไร พวกเขาจะคำนึงถึงสถานการณ์นั้นโดยยึดที่บั้นปลายของตัวเองและพระพรที่จะได้รับเป็นหลัก แม้จะเผชิญกับบางสิ่งที่เรียบง่ายอย่างการปรับเปลี่ยนหน้าที่ พวกเขาก็ไม่สามารถนบนอบอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่จะไตร่ตรองและชั่งน้ำหนักว่าการตัดสินใจนั้นจะส่งผลต่อจุดหมายปลายทางในอนาคตของพวกเขาอย่างไร หากการปรับเปลี่ยนนั้นเอื้อต่อผลประโยชน์ส่วนตัวและจะทำให้พวกเขาได้รับพระพร พวกเขาก็จะยอมรับไว้ แต่หากการปรับเปลี่ยนนั้นส่งผลเสียต่อจุดหมายปลายทางในอนาคตและโชคชะตาของพวกเขา พวกเขาก็จะหาวิธีหลบเลี่ยง โดยกลัวว่าหากทำผิดครั้งเดียว พวกเขาจะถูกเผย ถูกกำจัด และไม่มีหวังที่จะได้รับพระพร ฉันได้เห็นว่าแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์นั้นเลวทรามและหลอกลวงอย่างแท้จริง! ฉันทบทวนว่าท่าทีของตัวเองต่อการปรับเปลี่ยนหน้าที่นั้นก็เหมือนกับท่าทีของศัตรูของพระคริสต์ พอได้ยินว่าตัวเองได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร สิ่งแรกที่ฉันนึกถึงคือจุดหมายปลายทางในอนาคต จุดจบ และบั้นปลายของตัวเอง ฉันวิเคราะห์ว่าหน้าที่นั้นจะเป็นประโยชน์ต่อฉันหรือไม่ และคำนึงถึงผลที่อาจตามมาทั้งหมดจากการทำหน้าที่ไม่สำเร็จไปแล้ว ก่อนที่จะเริ่มรับใช้ในฐานะผู้นำด้วยซ้ำ ฉันเต็มไปด้วยความสงสัยและความระแวงพระเจ้า และไม่นบนอบแม้แต่น้อย ฉันถึงกับคิดหาข้อแก้ตัวที่ฟังดูดีเพื่อหลบเลี่ยงหน้าที่นี้ ฉันอาจจะอ้างว่าตัวเองไม่มีขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำและจะทำให้งานล่าช้า ภายนอกอาจดูเหมือนว่าฉันไม่ได้ไล่ตามไขว่คว้าสถานะและค่อนข้างมีเหตุผล แต่ว่ามีแรงจูงใจที่ไม่อาจพูดออกมาได้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือ ฉันไม่กล้าแบกรับความรับผิดชอบในฐานะผู้นำและรับความเสี่ยงที่จะถูกเผยและถูกกำจัดหากฉันทำงานได้ไม่ดี ฉันจึงอยากหลบเลี่ยงหน้าที่นี้เพื่อรับประกันจุดหมายปลายทางในอนาคตของตัวเอง เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือการให้โอกาสเราปฏิบัติด้วยการทำหน้าที่ เพื่อช่วยให้เราเข้าใจความจริง เข้าสู่ความเป็นจริง ทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของเรา และบรรลุความรอด เมื่อฉันได้รับโอกาสอันยอดเยี่ยมแบบนี้ ฉันไม่เพียงล้มเหลวในการขอบคุณพระคุณของพระเจ้า แต่อันที่จริง ฉันเข้าใจผิดและระแวงพระเจ้า และอยากหลบเลี่ยงและปฏิเสธหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วย ฉันช่างเห็นแก่ตัวและหลอกลวงจริงๆ!
หลังจากนั้น ฉันก็ค้นหาพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับมุมมองที่คลาดเคลื่อนของตัวเอง ฉันพบบทตอนเหล่านี้ที่กล่าวว่า “บอกเราทีว่าเมื่อผู้คนซึ่งเสื่อมทรามได้รับสถานะ—ไม่ว่าพวกเขาเป็นใครก็ตาม—เมื่อนั้นพวกเขากลายเป็นศัตรูของพระคริสต์หรือไม่? นี่แน่นอนเลยหรือไม่? (หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ แต่หากพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะไม่กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์) เรื่องนั้นถูกต้องอย่างยิ่ง หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ และนี่เป็นกรณีที่ทุกคนซึ่งเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ทำเช่นนั้นเพราะสถานะใช่หรือไม่? ไม่ใช่ โดยหลักแล้วนี่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีความรักให้กับความจริง เพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่ถูกต้อง ไม่ว่าพวกเขามีสถานะหรือไม่ ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็ล้วนเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ ไม่ว่าพวกเขาได้ฟังคำเทศนามามากเพียงไร ผู้คนเช่นนั้นก็ไม่ยอมรับความจริง พวกเขาไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง แต่กลับมุ่งมั่นที่จะเดินไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว นี่ก็ละม้ายคล้ายกับวิธีที่ผู้คนกิน กล่าวคือ บางคนไม่บริโภคอาหารที่สามารถเลี้ยงดูร่างกายของพวกเขาและเกื้อหนุนการดำรงอยู่อย่างปกติได้ แต่กลับดึงดันที่จะบริโภคสิ่งทั้งหลายที่ทำอันตรายพวกเขาแทน ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วเป็นการทำตัวเองแท้ๆ นี่ไม่ใช่ตัวเลือกของพวกเขาเองหรอกหรือ? หลังจากถูกกำจัดออกไป คนทำงานบางคนก็เผยแพร่มโนคติอันหลงผิดโดยกล่าวว่า ‘จงอย่าเป็นผู้นำ และอย่าปล่อยให้ตัวเธอเองได้รับสถานะ ผู้คนตกอยู่ในอันตรายทันทีที่พวกเขาได้รับสถานะใดๆ และพระเจ้าจะทรงเปิดเผยพวกเขา! ทันทีที่พวกเขาถูกเปิดเผย พวกเขาจะไม่มีคุณวุฒิแม้แต่จะเป็นผู้เชื่อธรรมดา และจะไม่ได้รับพรใดเลย’ นั่นเป็นการกล่าวสิ่งจำพวกไหนหรือ? อย่างดีที่สุด นั่นก็เป็นตัวแทนของความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า อย่างแย่ที่สุดก็เป็นการหมิ่นประมาทพระองค์ หากเจ้าไม่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ติดตามทางแห่งพระเจ้า แต่เจ้ากลับยืนกรานที่จะเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ และลงเอยบนเส้นทางของเปาโล โดยในที่สุดก็พบจุดจบเดียวกัน บทอวสานเดียวกันกับเปาโล ทั้งยังคงพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าและตัดสินพระเจ้าว่าไม่ชอบธรรม เช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่ใช่พวกศัตรูของพระคริสต์ของแท้หรอกหรือ? พฤติกรรมเช่นนั้นย่อมถูกสาป!” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีแก้ไขการทดลองและพันธนาการของสถานะ) “บางคนนึกว่า ‘ใครก็ตามที่เป็นผู้นำย่อมโง่เขลา ไม่รู้ความ และนำความย่อยยับมาให้ตัวเอง เพราะการทำหน้าที่ผู้นำย่อมทำให้ผู้คนเผยความเสื่อมทรามออกมาให้พระเจ้าทอดพระเนตรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าพวกเขาไม่ทำงานนี้ จะมีการเผยความเสื่อมทรามออกมามากขนาดนี้หรือ?’ เป็นแนวคิดที่ช่างไร้สาระ! ถ้าเจ้าไม่ทำหน้าที่ผู้นำ เจ้าจะไม่เผยความเสื่อมทรามออกมากระนั้นหรือ? ต่อให้เจ้าแสดงความเสื่อมทรามออกมาน้อยลง แต่การไม่เป็นผู้นำหมายความกระนั้นหรือว่าเจ้าได้รับความรอดแล้ว? ตามการใช้เหตุผลแบบนี้ ทุกคนที่ไม่ได้ทำหน้าที่ผู้นำใช่คนที่สามารถมีชีวิตอยู่และได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? คำกล่าวนี้น่าหัวร่อเหลือเกินมิใช่หรือ? ผู้คนที่ทำหน้าที่ผู้นำย่อมนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ข้อกำหนดและมาตรฐานนี้สูงนัก ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้นำจะเผยสภาวะที่เสื่อมทรามบางอย่างออกมาเวลาที่พวกเขาเริ่มฝึกฝนใหม่ๆ นี่เป็นเรื่องปกติ และพระเจ้าก็ไม่ทรงกล่าวโทษเรื่องนี้ ไม่เพียงพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเท่านั้น แต่พระองค์ยังประทานความรู้แจ้ง ความกระจ่าง ทรงนำผู้คนเหล่านี้ พร้อมทั้งมอบภาระแก่พวกเขาเพิ่มเติมอีกด้วย ตราบใดที่พวกเขาสามารถนบนอบการทรงนำและพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาย่อมจะก้าวหน้าในชีวิตได้เร็วกว่าผู้คนทั่วไป ถ้าพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็จะสามารถออกเดินไปบนเส้นทางที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้า นี่คือสิ่งที่เป็นพรสูงสุดจากพระเจ้า บางคนไม่อาจเข้าใจเรื่องนี้ได้และบิดเบือนข้อเท็จจริง ตามความเข้าใจของมนุษย์แล้ว ไม่ว่าผู้นำจะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าใด พระเจ้าก็ไม่สนพระทัย พระองค์จะมองแต่ว่าผู้นำและคนทำงานเผยความเสื่อมทรามออกมามากเพียงใด และจะทรงกล่าวโทษพวกเขาตามนี้เท่านั้น ส่วนคนที่ไม่ใช่ผู้นำและคนทำงานนั้น เนื่องจากพวกเขาเผยความเสื่อมทรามออกมาน้อย ต่อให้พวกเขาไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าก็จะไม่กล่าวโทษพวกเขา นี่ไร้สาระมิใช่หรือ? นี่คือการหมิ่นประมาทพระเจ้ามิใช่หรือ? ถ้าเจ้าต้านทานพระเจ้าอย่างร้ายแรงขนาดนี้ในหัวใจของเจ้า เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดกระนั้นหรือ? เจ้าย่อมไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนโดยดูว่าพวกเขามีความจริงและคำพยานที่แท้จริงหรือไม่เป็นหลัก และที่สำคัญย่อมขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ถ้าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถกลับใจได้จริงหลังจากที่ถูกพิพากษาและตีสอนในส่วนที่ตนกระทำผิดไป เช่นนั้นแล้ว ตราบใดที่พวกเขาไม่กล่าววาจาหรือทำสิ่งที่หมิ่นประมาทพระเจ้า พวกเขาย่อมจะสามารถได้รับความรอดเป็นแน่ ตามความคิดฝันของพวกเจ้านั้น ผู้เชื่อทั่วไปที่ติดตามพระเจ้าไปจนสุดทางทุกคนย่อมจะสามารถได้รับความรอด ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่ผู้นำต้องถูกกำจัดออกไปทั้งสิ้น ถ้ามีการขอให้พวกเจ้าเป็นผู้นำ พวกเจ้าย่อมจะคิดไปว่าการไม่รับทำตามคำขอย่อมจะไม่ดี แต่ถ้าเจ้าทำหน้าที่ผู้นำ เจ้าย่อมจะเผยความเสื่อมทรามออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และนั่นก็จะเหมือนการเดินไปที่เครื่องประหารเองโดยแท้ ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่พวกเจ้าเข้าใจพระเจ้าผิดมิใช่หรือ? ถ้าจุดจบของผู้คนถูกกำหนดตามความเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมา ก็จะไม่มีใครสามารถได้รับการช่วยให้รอด เมื่อเป็นเช่นนั้น พระเจ้าจะทรงพระราชกิจแห่งความรอดไปเพื่ออะไร? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ความชอบธรรมของพระเจ้าจะไปอยู่เสียที่ไหน? มวลมนุษย์ย่อมจะไม่สามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า เพราะฉะนั้น พวกเจ้าทุกคนเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าผิดแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าไม่รู้จักพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้รู้ว่า ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ไม่ได้ถูกเผยและถูกกำจัด เพราะพวกเขารับใช้ในฐานะผู้นำ แต่เป็นเพราะพวกเขาล้มเหลวในการไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องหลังจากได้รับสถานะ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร และไม่ยอมกลับใจไม่ว่าคนอื่นจะตัดแต่งพวกเขายังไง นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่พวกเขาถูกเผยและถูกกำจัด พระเจ้าไม่ทรงกล่าวโทษผู้คนโดยดูจากการเผยความเสื่อมทรามเพียงครั้งเดียวหรือความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว พระองค์ทรงคำนึงถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาและเส้นทางที่พวกเขาเดิน แม้ว่าเราจะเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามของเราหลายครั้งขณะทำหน้าที่ และกระทำผิดอะไรบางอย่าง ตราบใดที่เราแสวงหาความจริงและกลับใจอย่างแท้จริง พระเจ้าจะทรงให้โอกาสเราอีกครั้ง พระเจ้าทรงกำจัดเพียงศัตรูของพระคริสต์และคนชั่ว ที่รังเกียจและเกลียดความจริงที่ไม่เคยกลับใจไม่ว่าจะกระทำความผิดกี่ครั้ง ฉันนึกถึงผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงเผยให้เห็นและทรงกำจัดในอดีต บางคนเอาแต่พร่ำพูดคำพูดและคำสอนและออกคำสั่ง แต่ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาจริงและละโมภผลประโยชน์จากสถานะตัวเอง ท้ายที่สุดพวกเขาก็ถูกจัดว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จและถูกปลด บางคนเพียงแสวงหาสถานะและหน้าตาในขณะที่ทำงาน แข่งขันกับคนอื่นเพื่อชื่อเสียง กดขี่และทรมานผู้คนโดยพลการ ฝ่าฝืนแนวทางการจัดแจงงานอย่างรุนแรงและทำตามแผนของตัวเอง ก่อตั้ง “อาณาจักรอิสระ” ล่อลวงผู้คน ปฏิเสธที่จะกลับใจอย่างสิ้นเชิง และสุดท้ายก็ถูกเผยว่าเป็นปีศาจศัตรูของพระคริสต์และถูกขับไล่ นี่คือผู้คนหลายประเภทที่ถูกเผยและถูกกำจัด เมื่อตระหนักเรื่องนี้ ฉันก็เข้าใจว่า ผู้คนไม่ได้ถูกเผยและถูกกำจัดตามหน้าที่ที่พวกเขาทำ แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่และแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ของพวกเขาดีหรือชั่วมากกว่า หากใครไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีความเป็นมนุษย์ที่แย่ ต่อให้ไม่ใช่ผู้นำ พวกเขาก็จะทำหน้าที่ได้ไม่ดี ถ้าพวกเขาอู้งานตลอดเวลา กระทำการแบบสุกเอาเผากิน และถึงกับไม่ออกแรงทำงานในแบบที่ยอมรับได้ พวกเขาก็จะยังถูกกำจัดในที่สุด ฉันตระหนักว่าคริสตจักรจัดการและจัดแจงผู้คนอย่างมีหลักธรรมมาก ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม และคริสตจักรนั้นปกครองด้วยความจริงและความชอบธรรม อย่างไรก็ตาม ฉันยังไม่เห็นข้อเท็จจริงนี้ และคิดอย่างคลาดเคลื่อนว่าการเป็นผู้นำจะเล่นงานฉัน ทัศนะของฉันไร้สาระมาก!
ครั้งหนึ่งระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันพบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพรหรือประสบเคราะห์ร้ายหรือไม่ หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา การได้รับพรหมายถึงพรทั้งหลายที่คนคนหนึ่งได้รับเมื่อพวกเขาได้รับการทำให้เพียบพร้อมหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา การประสบเคราะห์ร้ายหมายถึงการลงโทษที่คนคนหนึ่งได้รับเมื่ออุปนิสัยของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้ก้าวผ่านการตีสอนและการพิพากษาแล้ว—นั่นคือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้เพียบพร้อม แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือประสบเคราะห์ร้ายก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่คือสิ่งที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำเป็นอย่างน้อย เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวการประสบเคราะห์ร้าย เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้าว่า การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา โดยผ่านทางกระบวนการของการทำหน้าที่ของเขา มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป และโดยผ่านทางกระบวนการนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขา ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็จะได้รับความจริงมากขึ้นเท่านั้น และการแสดงออกของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น พวกที่เพียงแต่เสแสร้งทำไปอย่างพอเป็นพิธีในการทำหน้าที่ของพวกเขาและไม่แสวงหาความจริงย่อมจะถูกกำจัดออกไปในท้ายที่สุด เพราะผู้คนเช่นนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาในการปฏิบัติความจริง และไม่ปฏิบัติความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาคือพวกที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและจะประสบเคราะห์ร้าย ไม่เพียงแต่การแสดงออกของพวกเขาไม่บริสุทธิ์เท่านั้น แต่ทุกสิ่งที่พวกเขาแสดงออกยังชั่วอีกด้วย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์) ฉันรู้สึกชัดเจนยิ่งกว่าเดิมหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่มีความเกี่ยวพันใดๆ ระหว่างหน้าที่ที่เราทำกับเรื่องที่ว่าเราจะได้รับพระพรหรือถูกสาปแช่ง นี่มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เราจึงควรลุล่วงหน้าที่ของเรา หากใครลุล่วงหน้าที่ของตัวเองไม่ได้ ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เช่นเดียวกับการที่ลูกกตัญญูต่อพ่อแม่เป็นสิ่งที่ถูกต้องและถูกควร ไม่ว่าท้ายที่สุดพ่อแม่จะให้สิทธิ์ในทรัพย์สินแก่ลูกหรือไม่ ลูกก็ควรลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของตัวเอง ส่วนฉัน ฉันมีท่าทีอย่างไรต่อหน้าที่ของตัวเอง? เมื่อคิดว่าฉันจะต้องรับผิดชอบมากขึ้นในฐานะผู้นำ และถ้าทำได้แย่จะส่งผลเสียต่อจุดหมายปลายทางในอนาคตและโชคชะตาของฉัน ฉันก็อยากหาข้อแก้ตัวเพื่อหลบเลี่ยงและปฏิเสธหน้าที่ ฉันไม่ได้มองว่าหน้าที่เป็นความรับผิดชอบหรือภาระผูกพันที่ฉันควรลุล่วงแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน ฉันมองว่าหน้าที่เป็นธุรกรรมประเภทหนึ่ง และเลือกหน้าที่โดยดูว่าหน้าที่นั้นจะนำพระพรหรือการสาปแช่งมาให้ฉัน ฉันไม่มีเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีเกี่ยวกับหน้าที่ของตัวเองแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเชื่ออย่างคลาดเคลื่อนว่า เพราะฉันไม่ใช่มืออาชีพและไม่มีทักษะทางเทคนิคในการผลิตวีดิทัศน์ ฉันเลยจะทำงานของตัวเองได้ไม่ดี แต่พระเจ้าตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า “อันที่จริง ในฐานะผู้นำ หลังจากได้จัดการเตรียมงานแล้ว เจ้าต้องติดตามความคืบหน้าของงานด้วย แม้ว่าเจ้าจะไม่คุ้นเคยกับสายงานนั้น—แม้ว่าเจ้าจะไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับงานนั้น—เจ้าก็สามารถหาวิธีที่จะทำงานของเจ้าได้ เจ้าสามารถหาผู้ที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ผู้ที่เข้าใจในสายงานที่เกี่ยวข้อง มาดำเนินการตรวจสอบและให้คำแนะนำได้ จากคำแนะนำของพวกเขา เจ้าย่อมสามารถระบุหลักการที่เหมาะสมได้ และด้วยเหตุนี้เจ้าก็จะสามารถติดตามงานได้” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (4)) พระวจนะของพระเจ้าหักล้างมโนคติอันหลงผิดของฉันโดยตรง พระเจ้าไม่เคยกำหนดให้เราเชี่ยวชาญทักษะทางเทคนิคทั้งหมดในสาขาใดสาขาหนึ่งเพื่อที่จะเป็นผู้นำ ต่อให้เราไม่มีประสบการณ์ของมืออาชีพในสาขาใดสาขาหนึ่ง เราก็สามารถหาพี่น้องชายหญิงที่มีความรู้ทางเทคนิคมาทำงานร่วมกับเราได้เสมอ และแสวงหาหลักธรรมในลักษณะนี้ แบบนี้เราจะยังทำงานนั้นได้ และหากเราคิดหาทางออกไม่ได้จริงๆ เราก็ขอความช่วยเหลือจากผู้นำระดับสูงได้ อย่างไรก็ตาม หากฉันทุ่มเทสุดหัวใจและพยายามอย่างเต็มที่ แต่วุฒิภาวะของฉันต่ำเกินไปจริงๆ ขีดความสามารถไม่สูงพอ และฉันไม่อาจรับมือกับงานนี้ได้จริงๆ ฉันก็ลาออกและรับหน้าที่อื่นได้ เมื่อตระหนักถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกตาสว่างขึ้นมากในเรื่องนี้ และละทิ้งความกลุ้มใจและความวิตกกังวลของตัวเอง
ต่อมาฉันพบพระวจนะของพระเจ้าอีกสองบทตอนที่กล่าวว่า “เมื่อโนอาห์ได้ทำตามที่พระเจ้าได้ทรงชี้นำ เขาไม่รู้ว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร เขาไม่รู้ว่าพระเจ้าได้ทรงต้องการที่จะทำอะไรให้สำเร็จลุล่วง พระเจ้าเพียงได้ทรงให้พระบัญชาแก่เขา และสั่งให้เขาทำบางอย่าง และโดยไม่ต้องอธิบายมากความ โนอาห์ก็เดินหน้าและทำตามนั้น เขาไม่ได้พยายามเข้าใจความพึงปรารถนาของพระเจ้าอย่างลับๆ และเขาไม่ได้ต้านทานพระเจ้าหรือแสดงความไม่จริงใจ เขาเดินหน้าและทำตามนั้นเลยด้วยใจที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย ไม่ว่าพระเจ้าทรงให้เขาทำสิ่งใด เขาก็ทำ และการนบนอบและการฟังพระวจนะของพระเจ้าก็คือการเชื่อที่ค้ำจุนการกระทำของเขา นั่นเป็นวิธีที่เขาจัดการกับสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้อย่างตรงไปตรงมาและเรียบง่าย แก่นแท้ของเขา—แก่นแท้ของการกระทำของเขาคือการนบนอบ ไม่ใช่การเดาสุ่ม ไม่ใช่การต้านทาน และยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่การนึกถึงผลประโยชน์ส่วนตัวของเขาเอง หรือผลกำไรและขาดทุนของเขา ยิ่งกว่านั้น เมื่อพระเจ้าได้ตรัสว่าพระองค์จะทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วม โนอาห์ก็ไม่ได้ทูลถามว่าเมื่อใด หรือทูลถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งต่างๆ และแน่นอนเขาไม่ได้ทูลถามพระเจ้าว่าพระองค์จะทรงทำลายโลกอย่างไร เขาเพียงทำตามที่พระเจ้าทรงชี้นำ ไม่ว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้สร้างมันอย่างไร และสร้างด้วยอะไร เขาก็ได้ทำตามที่พระเจ้าได้ทรงขออย่างถูกต้อง และได้เริ่มดำเนินการโดยทันที เขาปฏิบัติตัวโดยสอดคล้องกับคำชี้นำของพระเจ้าด้วยท่าทีแห่งความต้องการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เขากำลังทำเพื่อช่วยเหลือตัวเองให้หลีกเลี่ยงความวิบัติหรือไม่? ไม่ เขาได้ถามพระเจ้าหรือไม่ว่าจะใช้เวลาอีกนานเท่าใดก่อนที่โลกจะถูกทำลาย? เขาไม่ได้ถาม เขาได้ถามพระเจ้าหรือไม่ หรือว่าเขารู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดในการสร้างเรือ? เขาไม่ได้รู้เรื่องนั้นเช่นกัน เขาเพียงนบนอบ ฟัง และปฏิบัติตาม” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1) “อะไรคือลักษณะการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์? อันดับแรก ไม่มีความสงสัยในวจนะของพระเจ้า นั่นเป็นหนึ่งในลักษณะการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์ นอกจากนี้ ลักษณะการแสดงออกที่สำคัญที่สุดคือการแสวงหาและการปฏิบัติความจริงในทุกเรื่อง—นี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เจ้าบอกว่าเจ้าซื่อสัตย์ แต่เจ้ามักผลักพระวจนะให้ไปอยู่เบื้องหลังจิตใจของเจ้าเสมอแล้วก็ทำทุกอย่างตามที่เจ้าต้องการ นั่นคือการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือไม่? เจ้ากล่าวว่า ‘แม้ขีดความสามารถของฉันจะต่ำ แต่ฉันมีหัวใจที่ซื่อสัตย์’ และเมื่อหน้าที่หนึ่งตกอยู่กับเจ้า เจ้าก็กลัวการทนทุกข์และการแบกรับความรับผิดชอบถ้าหากเจ้าทำหน้าที่นั้นได้ไม่ดี ดังนั้นเจ้าจึงหาข้อแก้ตัวเพื่อละเลยหน้าที่ของเจ้าหรือเสนอแนะให้ผู้อื่นทำหน้าที่นั้นแทน นี่เป็นการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์ใช่หรือไม่? ชัดเจนว่าไม่ใช่ เช่นนั้นแล้ว บุคคลที่ซื่อสัตย์ควรประพฤติตัวอย่างไร? พวกเขาควรนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า จงรักภักดีต่อหน้าที่ที่พวกเขาสมควรปฏิบัติ และเพียรพยายามที่จะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า การนี้แสดงออกได้หลายหนทาง หนทางหนึ่งคือการยอมรับหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของเจ้า ไม่ทำอย่างไม่เต็มใจ และไม่ออกอุบายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง เหล่านั้นคือการแสดงออกของความซื่อสัตย์ อีกหนทางหนึ่งคือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้า ทำสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องเหมาะสม และทุ่มเทหัวใจและความรักของเจ้าลงไปหน้าที่ของเจ้าเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย สิ่งเหล่านี้คือลักษณะการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์ควรมีระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้รู้ว่า โนอาห์ได้ยินพระวจนะของพระเจ้ามาไม่มากนักและไม่เคยสร้างเรือมาก่อน แต่เมื่อเผชิญกับพระบัญชาของพระเจ้า เขาก็ไม่ได้วิเคราะห์หรือตรวจสอบ และเขาไม่ได้พยายามเดาความพึงปรารถนาของพระเจ้า ในทางกลับกัน เขาแค่เชื่อฟัง นบนอบและทำทุกอย่างที่พระเจ้าทรงบัญชาโดยไม่คำนึงว่าสิ่งนั้นจะกระทบต่อผลประโยชน์ของตัวเองเองอย่างไร ความบริสุทธ์และความซื่อสัตย์ของโนอาห์ สะเทือนใจฉันมาก และฉันรู้สึกอับอายและละอายใจมาก ฉันนึกถึงเรื่องที่พี่น้องชายหญิงเลือกฉันให้มาเป็นผู้นำของพวกเขา แต่เมื่อเผชิญกับหน้าที่ที่สำคัญแบบนั้น สิ่งเดียวที่ฉันคิดถึงกลับเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง และฉันถึงกับคำนึงถึงผลที่อาจตามมาทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นกับฉันหากรับหน้าที่นั้น ฉันได้เห็นว่าตัวเองหลอกลวงแค่ไหน ความเป็นมนุษย์ของฉันเทียบไม่ได้กับคนอย่างโนอาห์เลย ฉันจะทำหน้าที่ได้ดีได้ยังไงโดยมีท่าทีแบบนั้น? ฉันพบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “บุคคลจำพวกใดที่กล้าแบกรับความรับผิดชอบ? คนแบบใดที่กล้ารับภาระอันหนักอึ้ง? คนที่เป็นผู้นำและกล้าเดินหน้าในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างที่สุดต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ไม่กลัวที่จะแบกรับความรับผิดชอบอันหนักอึ้งและสู้ทนความยากลำบากอันใหญ่หลวงเมื่อพวกเขามองเห็นงานที่มีความสำคัญอย่างที่สุด นั่นคือคนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า เป็นทหารที่ดีของพระคริสต์” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)) พระวจนะของพระเจ้ากินใจฉันมาก ฉันตระหนักว่าต้องเลิกคิดถึงจุดหมายปลายทางในอนาคตของตัวเอง ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ฉันจึงควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า กล้าที่จะรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่นี้ และเอาอย่างโนอาห์ในการทำหน้าที่ด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์และบริสุทธิ์ ตอนแรกฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มทำหน้าที่ตรงไหน ฉันจึงมักจะอธิษฐานถึงพระเจ้า แถมฉันได้รับการเกื้อหนุนอย่างอดทนจากพี่น้องหญิงที่เป็นคู่ทำงานของฉัน และกำลังใจจากพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ บางครั้งตอนฉันประสบความลำบากยากเย็น ฉันจะไปหาพี่น้องชายหญิงที่มีผลงานที่ดี และพวกเขาก็จะแบ่งปันกับฉันอย่างใจกว้าง เรื่องหลักธรรมที่พวกเขาจับความเข้าใจได้และวิธีการใดๆ ที่มีประสิทธิผลที่พวกเขาเคยใช้ ฉันรู้สึกซาบซึ้งมาก ฉันค่อยๆ เริ่มจับความเข้าใจในหลักธรรมและแนวทางแห่งการปฏิบัติได้บางอย่าง และทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น ฉันรู้สึกถึงการชี้แนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง และรู้สึกขอบคุณพระเจ้าเป็นพิเศษ ฉันยังมีข้อบกพร่องมากมายและฉันรู้ว่าตัวเองมีความรับผิดชอบที่หนักหนา แต่ฉันไม่อยากล่าถอยอีกต่อไปแล้ว ฉันจะพึ่งพาพระเจ้าเพื่อพยายามปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น!