49. ท่าทีที่ถูกควรต่อหน้าที่ของตน
ฉันเคยให้น้ำผู้มาใหม่ในคริสตจักร แต่เพราะขีดความสามารถฉันยังไม่ถึงขั้น จึงมีความจริงหลายอย่างที่ฉันไม่สามารถสามัคคีธรรมได้อย่างชัดเจน และไม่สามารถแก้ไขปัญหาของผู้มาใหม่ได้ นอกจากนี้ ฉันยังคอยปกป้องภาพลักษณ์และสถานะของตัวเองอยู่เสมอ เมื่อมีสิ่งที่ไม่เข้าใจ ฉันก็รู้สึกอายที่จะไปขอให้คนอื่นช่วย ผลก็คือ ฉันทำหน้าที่ให้น้ำผู้มาใหม่ได้ไม่ดี และถูกปลดด้วยเหตุนี้ จากนั้นผู้นำก็จัดแจงให้ฉันทำงานธุรการทั่วไป ฉันรู้สึกเสียใจมากเมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ในครั้งนี้ ฉันรับไม่ได้จริงๆ โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่ามีคนยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายมากขึ้น และจำเป็นต้องให้น้ำอย่างเร่งด่วน การที่หน้าที่ของฉันถูกเปลี่ยนในช่วงเวลานั้นทำให้ฉันสงสัย ว่าฉันถูกเปิดโปงหรือเปล่า ฉันกังวลว่าถ้าคนอื่นรู้เข้า พวกเขาจะคิดกับฉันยังไง พวกเขาจะคิดว่าฉันขาดขีดความสามารถ และทำได้แค่งานใช้แรงงานและงานจิปาถะเท่านั้นหรือเปล่า ตอนแรกฉันทำหน้าที่ให้น้ำผู้เชื่อใหม่ร่วมกับคนอื่นๆ แต่ตอนนี้ฉันจัดการงานธุรการทั่วไป แค่งานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง หน้าที่แบบนี้ทำไปเพื่ออะไร? ถึงจะทำได้ดีแค่ไหน สุดท้ายฉันก็จะเป็นแค่คนลงแรงที่ถูกกำจัดออกไป ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเสียใจ ฉันไม่ทำงานของตัวเองให้ดี แต่กลับแสร้งทำพอเป็นพิธีโดยไม่ใส่ใจ บางครั้งมีงานให้ทำมากมายในตอนค่ำ แต่ฉันก็เริ่มง่วงนอนเร็วมาก วันหนึ่ง พี่น้องหญิงที่รับผิดชอบงานให้น้ำส่งข้อความมา ขอให้ฉันช่วยรวบรวมเอกสารงานเก่าๆ ฉันรู้สึกต่อต้านมากเมื่อเห็นข้อความนั้น ฉันไม่ได้ทำงานให้น้ำแล้ว ทำไมเธอถึงมาขอให้ฉันทำแบบนั้น? แต่ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ จึงจำใจตอบตกลง วันต่อมา พี่น้องหญิงที่ทำงานให้น้ำอีกคนก็มาขอให้ฉันช่วยอะไรบางอย่าง ฉันก็รู้สึกไม่เต็มใจเลย คิดว่า “งานธุรการนี่มันเป็นงานจิปาถะจริงๆ ใครจะสั่งให้ฉันทำอะไรก็ได้ มันไม่ใช่งานของฉันเสียหน่อย ทำไมเธอถึงมาขอให้ฉันช่วยล่ะ?” ฉันกลัวว่าเธอจะคิดว่าฉันไม่ช่วยเหลืองานของคริสตจักรถ้าปฏิเสธ เมื่อไม่มีทางเลือก ฉันจึงตอบตกลง
เป็นเวลาสองสามวันแล้วที่ฉันไม่ได้ทบทวนตัวเองเลย ฉันไม่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงหน้าที่จากพระเจ้าและต่อต้านผู้นำ รู้สึกว่าเธอกำลังสร้างความลำบากให้ฉัน ฉันพูดกับพี่น้องหญิงที่เคยเป็นคู่ทำงานกันมา เหมือนจงใจกลายๆ ว่า “ฉันไม่เคยอยู่ว่างเลยตอนทำงานให้น้ำ และทำทุกอย่างที่ควรทำ ผู้นำก็ไม่เคยช่วยฉันเวลามีปัญหา แต่กลับรีบปลดฉันทันที เอาล่ะ ช่างมันเถอะ! การที่ฉันถูกปลด ก็แสดงว่าต้องมีบทเรียนสำหรับฉัน” หลังจากได้ยินแบบนั้น พี่น้องหญิงคนนั้นก็รู้สึกว่าผู้นำไม่ยุติธรรมกับฉัน ตอนนั้น ฉันรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับฉันเลย ทำไมฉันถึงถูกมอบหมายให้ทำงานธุรการ? ฉันมีความสามารถทำได้แค่งานจิปาถะเท่านั้นเองเหรอ? ฉันไม่คู่ควรแก่การบ่มเพาะหรือไง? ฉันรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ตั้งแต่นั้นมา และต่อให้ฉันจะคงความเชื่อเอาไว้จนถึงที่สุด ฉันก็จะถูกกำจัดอยู่ดี ความคิดเหล่านี้ทำให้ฉันทุกข์ใจยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ฉันรู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาวะที่ไม่ถูกต้อง จึงรีบมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน และกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เป็นอะไรไป? นี่ก็เป็นหน้าที่เหมือนกัน ทำไมข้าพระองค์ถึงไม่พอใจกับการทำงานธุรการเลย? ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงโปรดให้ความรู้แจ้งและทรงชี้นำ ให้ข้าพระองค์เข้าใจตัวเอง และเลิกใช้ชีวิตในความเสื่อมทรามด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับท่าทีของศัตรูของพระคริสต์ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า “หน้าที่ที่เหมาะสมกับเจ้าควรขึ้นอยู่กับจุดแข็งของตัวเจ้าเอง หากบางคราวเจ้าไม่ถนัดในหน้าที่ที่คริสตจักรจัดแจงให้ หรือหน้าที่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าปรารถนาที่จะทำ เจ้าก็สามารถยกประเด็นนั้นขึ้นมาและแก้ไขโดยผ่านการสัมพันธ์สนิท แต่หากเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่นั้นได้ และนั่นเป็นหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติ และที่เจ้าไม่ต้องการทำหน้าที่นั้นก็เพียงเพราะเจ้าเกรงกลัวการทนทุกข์ ถ้าเช่นนั้นเจ้าย่อมมีปัญหา หากเจ้าเต็มใจที่จะเชื่อฟังและสามารถขัดขืนเนื้อหนังของตนได้ เช่นนั้นเจ้าก็สามารถพูดได้ว่าเจ้าค่อนข้างมีเหตุผล อย่างไรก็ตาม หากเจ้าพยายามคำนวณอยู่เสมอว่าหน้าที่ใดมีเกียรติมากกว่ากัน และเจ้าก็ทึกทักว่าหน้าที่บางหน้าที่จะทำให้ผู้อื่นดูแคลนเจ้า นี่ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เหตุใดเจ้าจึงมีอคติกับความเข้าใจในหน้าที่ทั้งหลายนัก? เป็นได้หรือว่าเจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ดีได้หากเป็นหน้าที่ที่เจ้าเลือกตามแนวคิดของตนเอง? นั่นไม่จริงเสมอไป สิ่งสำคัญที่สุดในที่นี้คือการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และหากเจ้าไม่ทำเช่นนั้น เจ้าก็จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ดีได้ ต่อให้เป็นหน้าที่ที่เจ้าเพลิดเพลินก็ตาม คนบางคนปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยปราศจากหลักธรรม และพวกเขาปฏิบัติหน้าที่โดยขึ้นอยู่กับความชอบของตนเองเสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยแก้ไขความลำบากยากเย็นได้เลย พวกเขาทำแต่พอให้พ้นตัวเสมอในทุกหน้าที่ที่ตนปฏิบัติ และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ถูกจำกัดออกไป ผู้คนแบบนี้สามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?… ผู้คนที่ชั่วและพวกศัตรูของพระคริสต์ไม่เคยมีท่าทีที่ถูกต้องในหน้าที่ของตน พวกเขาคิดอะไรตอนที่ถูกโยกย้าย? ‘คุณคิดว่าฉันเป็นแค่คนรับใช้อย่างนั้นหรือ? ตอนที่คุณใช้ฉัน คุณก็ให้ฉันทำงานรับใช้คุณ และเมื่อคุณไม่ต้องการฉัน คุณก็แค่ไล่ฉันไป ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไม่ทำงานรับใช้แบบนั้นอีก! ฉันต้องการเป็นผู้นำหรือคนทำงาน เพราะนั่นเป็นงานที่น่านับถืองานเดียวในที่แห่งนี้ ถ้าคุณจะไม่ยอมให้ฉันเป็นผู้นำหรือคนทำงานและยังคงต้องการให้ฉันตรากตรำอยู่ คุณก็ลืมเรื่องนี้ไปได้เลย!’ นี่เป็นท่าทีประเภทใด? พวกเขากำลังนบนอบอยู่หรือไม่? พวกเขารับมือการถูกโยกย้ายหน้าที่บนพื้นฐานใด? ตามความวู่วาม แนวคิดของตนเอง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองถูกต้องหรือไม่? แล้วการรับมือกับเรื่องนี้ในหนทางนี้มีผลที่ตามมาอย่างไร? ก่อนอื่น พวกเขาจะจงรักภักดีและจริงใจต่อหน้าที่ถัดไปของตนได้หรือไม่? ไม่ พวกเขาย่อมจะทำไม่ได้ พวกเขาจะมีท่าทีที่เป็นบวกหรือไม่? พวกเขาจะอยู่ในสภาวะจำพวกใด? (สภาวะท้อแท้) อะไรคือแก่นแท้ของความท้อแท้? นั่นก็คือความเป็นปรปักษ์ แล้วผลลัพธ์สุดท้ายของอารมณ์ท้อแท้และเป็นปรปักษ์คืออะไร? คนที่รู้สึกแบบนั้นสามารถทำหน้าที่ของตนได้ดีหรือไม่? (ไม่) หากใครบางคนคิดลบและเป็นปรปักษ์อยู่เสมอ พวกเขาเหมาะที่จะทำหน้าที่หรือไม่? ไม่ว่าพวกเขาทำหน้าที่ใด พวกเขาก็ไม่อาจทำได้ดี นี่คือวงจรอุบาทว์และจะไม่จบลงด้วยดี เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? ผู้คนเช่นนั้นไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่ดี พวกเขาไม่แสวงหาความจริง พวกเขาไม่นบนอบ และพวกเขาไม่สามารถเข้าใจท่าทีและแนวทางที่พระนิเวศของพระเจ้ามีต่อพวกเขาได้อย่างถูกควร นี่เป็นปัญหาใช่หรือไม่? นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงในหน้าที่ซึ่งเหมาะควรอย่างไม่มีที่ติ แต่พวกศัตรูของพระคริสต์กลับพูดว่านี่เป็นการทำเพื่อทรมานพวกเขา ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังถูกปฏิบัติเหมือนเป็นมนุษย์ ว่าพระนิเวศของพระเจ้าขาดความรัก ว่าพวกเขากำลังถูกปฏิบัติเหมือนเป็นเครื่องจักร ถูกเรียกหายามเป็นที่ต้องการ จากนั้นก็เขี่ยทิ้งเมื่อไม่ต้องการแล้ว นี่เป็นข้อโต้แย้งที่บิดเบือนไม่ใช่หรือ? คนที่พูดเรื่องแบบนั้นมีมโนธรรมหรือเหตุผลหรือไม่? พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์! พวกเขาบิดเบือนเรื่องที่ถูกควรโดยแท้ พวกเขาบิดเบือนให้การปฏิบัติอันเหมาะควรที่สุดกลายเป็นสิ่งที่เป็นลบ—นี่คือความเลวร้ายของศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? คนที่เลวขนาดนี้สามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่? ไม่ได้อย่างแน่นอน นี่เป็นปัญหาของศัตรูของพระคริสต์ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกเขาก็ตาม พวกเขาจะนึกถึงสิ่งนั้นในหนทางที่บิดเบือน เหตุใดพวกเขาจึงคิดในหนทางที่บิดเบือน? เพราะแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขานั้นเลวร้ายยิ่งนัก แก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์นั้นมีความเลวร้ายเป็นหลัก รองมาคือความชั่วร้ายของพวกเขา และเหล่านี้คือลักษณะเฉพาะที่สำคัญของพวกเขา ธรรมชาติที่เลวร้ายของศัตรูของพระคริสต์ทำให้พวกเขาไม่อาจทำความเข้าใจสิ่งใดได้อย่างถูกต้อง แต่กลับบิดเบือนทุกสิ่งทุกอย่างแทน พวกเขาทำเกินจำเป็น จับผิดในเรื่องหยุมหยิม และไม่สามารถรับมือกับสิ่งทั้งหลายได้อย่างถูกควรหรือแสวงหาความจริงได้เลย จากนั้นพวกเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาโต้กลับและหาทางแก้แค้น โดยถึงกับเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดและระบายความคิดลบ ยุยงและหว่านล้อมผู้อื่นให้ก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขาแอบแพร่กระจายคำพร่ำบ่นบางอย่างไปทั่ว ตัดสินวิธีที่พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติกับผู้คน กฎเกณฑ์การปกครองบางอย่างแห่งพระนิเวศของพระเจ้า วิธีที่ผู้นำบางคนทำสิ่งทั้งหลาย ตลอดจนกล่าวโทษผู้นำเหล่านี้ นี่เป็นอุปนิสัยจำพวกใด? นี่เป็นความชั่วร้าย” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบสอง: พวกเขาอยากถอนตัวเมื่อไม่มีสถานะหรือไม่มีหวังที่จะได้รับพร) ฉันเห็นจากพระวจนะของพระเจ้าว่า เมื่อเผชิญกับสิ่งใดก็ตาม ศัตรูของพระคริสต์นั้นไม่สามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้อย่างถูกควร แต่กลับเข้าใจผิดอยู่เสมอ พวกเขามองการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ตามธรรมดา เหมือนกับว่ากำลังถูกลดขั้น โดยคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นการสร้างความลำบากให้แก่ตน พวกนั้นคิดลบและต่อต้าน และอาจละทิ้งหน้าที่ไปเมื่อไหร่ก็ได้โดยไม่สนใจงานของคริสตจักร ศัตรูของพระคริสต์มันช่างมีธรรมชาติที่ชั่วร้ายอะไรอย่างนี้! ฉันเห็นว่าตัวเองก็กระทำในแบบเดียวกันเลย ฉันควรจะทบทวนตัวเองว่าล้มเหลวอย่างไรหลังจากถูกปลด และเห็นคุณค่าของโอกาสในหน้าที่ใหม่ แต่ฉันกลับไม่ทบทวนเลย ฉันรู้สึกว่าเป็นเพราะผู้นำกลั่นแกล้งฉัน ว่าการจัดการงานธุรการเป็นงานต่ำต้อยและน่าอาย และรู้สึกว่าตัวเองทำงานจิปาถะ เป็นคนลงแรง และไม่คู่ควรแก่การบ่มเพาะ ฉันไม่สามารถนบนอบได้เลย และถึงกับรู้สึกว่าตัวเองถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมอย่างหนัก จึงต่อต้านหน้าที่นี้อย่างมาก ฉันย่อหย่อนอยู่เสมอ แสร้งทำพอเป็นพิธี เอ้อระเหยไปวันๆ ฉันกำลังตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า และใช้ความคิดลบเช่นนี้ต่อต้านพระเจ้า ฉันไม่อยากให้ความร่วมมือเวลาพี่น้องหญิงที่ทำงานให้น้ำมาขอให้ช่วย แต่กลับเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ฉันคิดว่าพวกเขาเอาแต่สั่งฉัน ทำให้ฉันต้องทำงานหนักและงานจิปาถะ ฉันอยากระบายความรู้สึกที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม จึงระบายเรื่องที่ไม่พอใจให้กับคู่ทำงานเก่าของฉันฟัง โดยบ่นเกี่ยวกับผู้นำ ซึ่งการกระทำเช่นนั้นส่งผลกระทบต่อเธอ ทำให้ในที่สุดเธอพลอยมีอคติต่อผู้นำไปด้วย การเปลี่ยนหน้าที่นั้นเปิดโปงฉันออกมาอย่างเต็มที่ ฉันทำหน้าที่ตามความชอบส่วนตัว อยากทำแต่หน้าที่ที่ทำให้ฉันดูดี เมื่อสถานะต่ำลง ฉันก็รู้สึกว่าคนอื่นคงจะไม่ชื่นชมฉัน และฉันไม่มีหวังที่จะได้รับพร ดังนั้นฉันจึงคิดลบ ทำงานอย่างเฉื่อยชา ต่อต้านพระเจ้า และถึงกับระบายความโกรธออกมาในการทำหน้าที่เลยทีเดียว ฉันแพร่อคติและมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง หนำซ้ำยังทำให้อีกคนต้องมาต่อสู้เพื่อฉันด้วย แบบนั้นจะไปต่างอะไรกับศัตรูของพระคริสต์? ฉันช่างไม่มีเหตุผลหรือความเป็นมนุษย์ที่ปกติเอาเสียเลย!
ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนที่ว่า “บางคนไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม พวกเขาสุกเอาเผากินเสมอ เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการรบกวน และในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ถูกแทนที่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ถูกขับไล่จากคริสตจักร ซึ่งก็คือการที่พวกเขาได้รับโอกาสในการกลับใจ ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และทุกคนมีช่วงเวลาที่ตนเลอะเลือนหรือสับสน ช่วงเวลาที่ตนมีวุฒิภาวะน้อย จุดมุ่งหมายในการมอบโอกาสแก่เจ้าก็เพื่อที่เจ้าจะได้สามารถพลิกฟื้นทั้งหมดนี้ แล้วเจ้าสามารถพลิกฟื้นทั้งหมดนี้ได้อย่างไร? เจ้าต้องทบทวนและทำความเข้าใจความผิดพลาดในอดีตของตน จงอย่าแก้ตัว และอย่าเริ่มทำการแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิด หากเจ้าเข้าใจพระเจ้าผิดและส่งต่อความเข้าใจผิดเหล่านี้ไปให้ผู้อื่นอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เพื่อที่พวกเขาก็จะได้ตีความพระเจ้าแบบผิดๆ กับเจ้าด้วย และหากเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและเที่ยวไปแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้น เพื่อที่ทุกคนจะได้มีมโนคติอันหลงผิดกับเจ้าและพยายามใช้เหตุผลกับพระเจ้าเคียงข้างเจ้า นี่ไม่ใช่การปลุกปั่นหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การต่อต้านพระเจ้าหรอกหรือ? แล้วอะไรสักอย่างที่ดีสามารถมาจากการต่อต้านพระเจ้าได้หรือ? เจ้ายังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่? เจ้าหวังว่าพระเจ้าจะทรงช่วยเจ้าให้รอด แต่เจ้าไม่ยอมรับพระราชกิจของพระองค์ และเจ้าก็ขัดขืนและต่อต้านพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะยังทรงช่วยเจ้าให้รอดหรือไม่? ลืมความหวังเหล่านี้ไปได้เลย เมื่อเจ้าทำความผิดพลาด พระเจ้าไม่ได้ทรงให้เจ้าต้องรับผิดชอบ อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงกำจัดเจ้าออกไปเพราะความผิดพลาดครั้งเดียวนี้ พระนิเวศของพระเจ้าได้มอบโอกาสแก่เจ้า และได้อนุญาตให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ต่อไป รวมทั้งกลับใจ ซึ่งเป็นโอกาสที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า หากเจ้ามีมโนธรรมและเหตุผล เจ้าก็ควรหวงแหนโอกาสนี้ราวสมบัติล้ำค่า บางคนสุกเอาเผากินอยู่เสมอเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน และพวกเขาก็ถูกแทนที่ บางคนถูกโยกย้าย นี่หมายความว่าพวกเขาถูกกำจัดออกไปแล้วหรือไม่? นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าตรัส เจ้ายังคงมีโอกาส แล้วเจ้าควรทำอย่างไร? เจ้าควรทบทวนและรู้จักตนเอง และบรรลุการกลับใจที่แท้จริง นี่คือเส้นทาง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่บางคนทำ พวกเขาสู้กลับ และเที่ยวไปพูดจนทั่วว่า ‘ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติหน้าที่นี้เพราะฉันพูดสิ่งที่ผิดและล่วงเกินบางคน’ พวกเขาไม่มองหาปัญหาในตัวเอง ไม่ทบทวน ไม่แสวงหาความจริง ไม่นบนอบการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และต่อต้านพระเจ้าด้วยการแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิด พวกเขาไม่กลายเป็นซาตานไปแล้วหรอกหรือ? เมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลายที่ซาตานทำ เจ้าย่อมไม่ใช่ผู้ติดตามพระเจ้าอีกต่อไป เจ้ากลายเป็นศัตรูของพระเจ้า—พระเจ้าจะทรงช่วยศัตรูของพระองค์ให้รอดได้หรือไม่? ไม่ได้ พระเจ้าทรงช่วยคนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้รอด คนจริง—ไม่ใช่มาร ไม่ใช่ศัตรูของพระองค์ เมื่อเจ้าต่อต้านพระเจ้า และพร่ำบ่นต่อพระเจ้า และตีความพระเจ้าแบบผิดๆ และทำการตัดสินพระเจ้า แพร่กระจายมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าย่อมต่อต้านพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง เจ้ากำลังส่งเสียงโวยวายคัดค้านพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการแสวงหาหลักธรรมความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี) ฉันรู้สึกสะเทือนใจอย่างลึกซึ้งจากพระวจนะของพระเจ้า แม้ฉันจะถูกปลด แต่คริสตจักรก็ยังให้โอกาสฉันทำหน้าที่ คริสตจักรไม่ได้บอกว่าฉันจะไม่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ หรือจะถูกกำจัดออกไป ฉันได้รับการจัดแจงให้ทำหน้าที่ใหม่ ซึ่งเป็นโอกาสให้ฉันทบทวนและทำความเข้าใจตัวเอง แต่ฉันกลับไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า คิดว่าการถูกปลด คือการสูญเสียสถานะและเสียหน้า ฉันคิดลบและต่อต้าน ฉันเป็นกบฏและไม่มีเหตุผลเอามากๆ! ตอนที่ฉันให้น้ำผู้เชื่อใหม่ เป็นเพราะฉันไม่มีขีดความสามารถดีพอ ฉันจึงไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงได้ชัดเจน และไม่ได้แก้ไขปัญหาของผู้มาใหม่อย่างทันท่วงที ด้วยความที่กลัวว่าคนอื่นจะดูถูก ฉันจึงเสแสร้งแกล้งทำ และไม่เปิดใจหรือขอความช่วยเหลือกับปัญหาที่เจอ ผู้นำสามัคคีธรรมกับฉันถึงหลักธรรมและวิธีการทำหน้าที่นั้น แต่ฉันก็พอใจแค่เพียงรับรู้ไว้ จากนั้นก็ไม่เคยคิดถึงการนำมาปฏิบัติและใช้จริงเลย ดังนั้น หลังจากสามัคคีธรรมไปแล้วมากมาย ฉันก็ยังจับความเข้าใจหลักธรรมไม่ได้หลายประการ และงานให้น้ำของฉันก็ไม่เคยได้ผลลัพธ์ที่ดี ฉันไม่เพียงแต่มีขีดความสามารถต่ำ แต่ยังทะนงตัวสุดขีด และไม่มีความตั้งใจที่จะเสาะแสวงความจริงอีกด้วย ฉันไม่พัฒนาทักษะตัวเอง และงานก็ไม่มีความก้าวหน้า จึงจำเป็นต้องถูกโยกย้ายไปทำหน้าที่อื่น แต่ฉันไม่ยอมรับความเสื่อมทรามและข้อผิดพลาดของตัว ฉันรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับการโยกย้าย และปฏิเสธที่จะยอมรับ ฉันถึงกับเข้าใจผิดคิดว่าพระเจ้ากำลังทรงเปิดโปงฉัน ทำให้ฉันดูแย่ และพระองค์กำลังจะทรงกำจัดฉัน นั่นเป็นความคิดที่เหลวไหลและไร้เหตุผลอย่างที่สุด ด้วยขีดความสามารถที่อ่อนด้อยและความไม่สำเร็จในการให้น้ำผู้มาใหม่ ฉันมักจะรู้สึกเป็นลบ หากฉันยังคงทำหน้าที่นั้นต่อไป ไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียต่อชีวิตของฉันเอง แต่ยังเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของคริสตจักรด้วย ตามขีดความสามารถและจุดแข็งของฉัน ผู้นำได้มอบหน้าที่ที่ฉันพอจะทำได้ให้ นั่นเป็นการเดินตามหลักธรรม และเป็นการรับผิดชอบต่อชีวิตของฉัน แต่ฉันกลับไม่รู้ว่าสิ่งใดดีสำหรับฉัน ฉันไม่ได้ทบทวนเพื่อรู้จักตนเอง แต่กลับตอบโต้ ตัดสินผู้นำลับหลังเธอ แพร่ความคิดลบ จากภายนอกดูเหมือนฉันแค่หาข้อผิดพลาดของเธอ แต่แท้จริงแล้ว ฉันกำลังต่อต้านพระเจ้า ขัดขืนพระองค์ พอถูกเปิดโปงเช่นนี้ ฉันก็เห็นว่าตัวเองไม่เพียงแค่ขาดขีดความสามารถ แต่ยังมีอุปนิสัยเสื่อมทรามอย่างร้ายแรงอีกด้วย ถ้าฉันไม่นบนอบอย่างที่ควรและทำหน้าที่อย่างจริงจัง ฉันจะถูกเปิดโปงและกำจัดออกไป!
เมื่อได้ทบทวนตัวเอง ฉันก็พบว่าฉันมีทัศนะที่ผิดพลาด ฉันเคยคิดว่างานแต่ละอย่างมีลำดับชั้น บางงานต่ำต้อย บางงานสูงส่ง และมีเพียงงานผู้นำหรืองานให้น้ำเท่านั้นที่เป็นหน้าที่ที่แท้จริง ส่วนงานธุรการไม่ถือว่าเป็นหน้าที่ ฉันคิดว่างานเหล่านั้นเป็นงานชั้นต่ำ การทำหน้าที่แบบนั้นเป็นแค่การลงแรง และสุดท้ายฉันก็จะถูกกำจัดเมื่อลงแรงเสร็จ ดังนั้น เมื่อฉันได้ยินว่าถูกมอบหมายงานใหม่ให้ดูแลงานธุรการทั่วไป ฉันจึงรู้สึกด้อยคุณค่า และถูกปฏิบัติเหมือนเป็นเครื่องจักร ฉันต่อต้านเรื่องนั้นอย่างหนัก และถึงกับไม่มีแรงจูงใจที่จะทำหน้าที่ของตัวเองเลย แต่ในคริสตจักร หน้าที่ทุกอย่างล้วนเป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ ผู้ให้น้ำ หรือคนทำงานธุรการ ล้วนเป็นการทำหน้าที่ และทุกคนต้องร่วมมือกันอย่างดี เหมือนกับเครื่องจักร ที่ทุกชิ้นส่วนต่างก็มีหน้าที่ของตัวเอง ดังนั้นหน้าที่ต่างๆ จึงไม่มีคำว่าใหญ่หรือเล็ก สูงส่งหรือต่ำต้อย มีเกียรติหรือไร้ค่า เพียงแต่ทำหน้าที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง ไม่ว่าใครกำลังทำหน้าที่อะไร ทุกคนต่างก็มีบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ และมีหลักธรรมความจริงที่ควรปฏิบัติและเข้าสู่ ตราบใดที่เราไล่ตามเสาะหาความจริง เราทุกคนก็สามารถได้รับความรอดจากพระเจ้า แต่ฉันกลับคิดผิดมาตลอด ฉันคิดว่าการดูแลงานธุรการเป็นแค่การออกแรงและเป็นงานจิปาถะเท่านั้น ฉันใช้มุมมองที่ผิดเพี้ยนไปกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของฉัน และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าผิดไป นั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจและขยะแขยงอย่างมาก ซึ่งทำให้ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนที่ว่า “ความปรารถนาของพระเจ้าคือการที่ทุกคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และเป็นผู้ที่พระองค์ทรงรับไว้ในท้ายที่สุด เป็นผู้ที่พระองค์ทรงชำระให้สะอาด และกลายเป็นประชากรที่พระองค์ทรงรัก ไม่สำคัญเลยกับการที่เรากล่าวว่าพวกเจ้าล้าหลังหรือมีขีดความสามารถอ่อนด้อย นี่คือข้อเท็จจริงทั้งสิ้น แต่การที่เรากล่าวเช่นนี้มิได้พิสูจน์ว่าเราตั้งใจที่จะละทิ้งพวกเจ้า ว่าเราได้สูญสิ้นความหวังในตัวพวกเจ้า และยิ่งไม่ได้พิสูจน์ว่าเราไม่เต็มใจที่จะช่วยพวกเจ้าให้รอด วันนี้เรามาเพื่อทำงานแห่งความรอดของพวกเจ้า ซึ่งหมายความว่างานที่เราทำคือการสานต่องานแห่งความรอด ทุกคนมีโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม กล่าวคือ หากว่าเจ้าเต็มใจ หากว่าเจ้าไล่ตามเสาะหา ในท้ายที่สุดเจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้ และพวกเจ้าจะไม่ถูกละทิ้งเลยสักคนเดียว หากเจ้ามีขีดความสามารถอ่อนด้อย ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าจะสอดคล้องกับขีดความสามารถอันอ่อนด้อยของเจ้า หากเจ้ามีขีดความสามารถสูง ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าก็จะสอดคล้องกับขีดความสามารถที่สูงของเจ้า หากเจ้าไม่รู้เท่าทันหรือไม่มีการศึกษา ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าก็จะสอดคล้องกับความไม่รู้หนังสือของเจ้า หากเจ้ามีการศึกษา ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าก็จะสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้ามีการศึกษา หากเจ้าเป็นคนสูงวัย ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าย่อมจะสอดคล้องกับวัยของเจ้า หากเจ้าสามารถให้การต้อนรับขับสู้ ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าก็จะสอดคล้องกับความสามารถนี้ หากเจ้าพูดว่าเจ้าไม่สามารถให้การต้อนรับขับสู้ และสามารถเพียงปฏิบัติหน้าที่หนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ หรือการดูแลคริสตจักร หรือการเข้าร่วมกิจการทั่วไปอื่นๆ การทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมของเราก็จะสอดคล้องกับหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกซาบซึ้ง แต่ในขณะเดียวกันก็ละอายใจด้วย ฉันเข้าใจผิดและโทษพระเจ้าโดยไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ คิดว่าถูกมอบหมายให้ทำงานธุรการเพราะขีดความสามารถต่ำ และจะถูกกำจัดออกไปเมื่อออกแรงเสร็จ แท้จริงแล้ว พระเจ้าไม่เคยตรัสว่าจะไม่ช่วยคนที่มีขีดความสามารถต่ำให้รอด และพระองค์ไม่ได้ตัดสินคนจากขีดความสามารถหรือหน้าที่ของพวกเขา พระองค์ทรงพิจารณาว่า พวกเขารักและไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ นั่นคือกุญแจสำคัญว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ ฉันนึกถึงคนชั่วที่ถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรก่อนหน้านี้ เธอดูเหมือนจะมีขีดความสามารถและหน้าที่ที่น่าชื่นชม แต่เธอมักไล่ตามไขว่คว้าสถานะอยู่เสมอ กดขี่ผู้อื่นและกีดกันผู้ที่มีความเห็นต่าง เธอถูกตัดแต่งหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่กลับใจ ในที่สุด เธอก็ถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร และบรรดาผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกเปิดโปงและกำจัดออกไปในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ส่วนใหญ่แล้วภายนอกมีขีดความสามารถและพรสวรรค์ แต่พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาล้วนทำชั่วมากมายเพื่อชื่อเสียงและสถานะ และอยู่บนเส้นทางที่ต่อต้านพระเจ้า ไม่ว่าใครจะดูเหมือนมีขีดความสามารถยอดเยี่ยมแค่ไหน สถานะอาจจะสูงส่งเพียงใด ถ้าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ก็เพียงแต่รอเวลาที่จะถูกพระเจ้าเปิดโปงและกำจัดออกไป ฉันยังคิดถึงพี่น้องชายหญิงบางคนที่มีขีดความสามารถปานกลาง ซึ่งหน้าที่ของพวกเขาอาจไม่โดดเด่นนัก แต่พวกเขาสามารถทุ่มเทใจให้กับหน้าที่นั้น โดยยืนอยู่ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เมื่่อพวกเขาเผยความเสื่อมทราม พวกเขาจะมาเฉพาะพระพักตร์เพื่ออธิษฐาน และเสาะแสวงที่จะทบทวนและรู้จักตัวเองผ่านพระวจนะของพระเจ้า อุปนิสัยของพวกเขาก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป อุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมอย่างยิ่ง พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อใครอย่างไม่เป็นธรรม ไม่ว่าคุณภาพขีดความสามารถของเราจะเป็นอย่างไร ทำหน้าที่ใด พระเจ้าทรงบำรุงและให้น้ำทุกคนอย่างเท่าเทียม และทรงจัดสถานการณ์ ให้เราได้มีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง พระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอดนั้นเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริงอย่างยิ่ง! หลังจากเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้ว ฉันก็ไม่ได้ต่อต้านหน้าที่ปัจจุบันของตัวเองมากนัก แต่กลับอยากนบนอบและปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดี
ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบางตอนที่ว่า “สำหรับพวกเจ้าแล้ว การที่พวกเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าในวันนี้ ไม่ว่าเป็นหน้าที่เล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าเป็นทางร่างกายหรือทางจิตใจ และไม่ว่าเป็นการรับมือกับประเด็นปัญหาภายนอกหรืองานภายใน ก็ไม่มีการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาคนใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ นี่เป็นทางเลือกของเจ้าได้อย่างไร? ทั้งหมดนี้ได้รับการนำโดยพระเจ้า การที่เจ้าตื้นตันใจเช่นนี้ มีสำนึกของภารกิจและความรับผิดชอบเช่นนี้ และการที่เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่นี้ได้ก็เป็นเพราะพระบัญชาของพระเจ้าเท่านั้น มีคนมากมายในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อที่มีรูปร่างหน้าตาดี มีความรู้ หรือมีความสามารถพิเศษ แต่พระเจ้าทรงโปรดปรานคนเหล่านั้นหรือไม่? ไม่ พระองค์ไม่ทรงโปรดพวกเขา พระเจ้าไม่ทรงคัดสรรพวกเขา และพระองค์ทรงโปรดปรานเพียงพวกเจ้าเท่านั้น พระองค์ทรงให้พวกเจ้าทุกคนรับบทบาททุกรูปแบบ ปฏิบัติหน้าที่ทุกประเภท และมีความรับผิดชอบรูปแบบต่างๆ ในพระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์ ในที่สุดเมื่อแผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงจุดสิ้นสุดและสัมฤทธิ์แล้ว นี่จะเป็นพระสิริและพระคุณยิ่ง! ดังนั้นแล้ว ในยามที่ผู้คนทนทุกข์ต่อความยากลำบากเล็กน้อยขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนในทุกวันนี้ ในยามที่พวกเขาต้องล้มเลิกบางสิ่ง สละตนเองเล็กน้อย และยอมลำบากในบางเรื่อง ในยามที่พวกเขาสูญเสียสถานะกับชื่อเสียงและผลประโยชน์ของตนบนโลก และในยามที่สิ่งเหล่านี้หายไปทั้งหมด ย่อมดูเหมือนพระเจ้าทรงพรากทั้งหมดนี้ไปจากพวกเขา แต่พวกเขากลับได้รับอะไรบางอย่างที่ล้ำค่าและมีคุณค่ามากกว่าเดิม ผู้คนได้รับสิ่งใดจากพระเจ้า? พวกเขาได้รับความจริงและชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ของตน ต่อเมื่อเจ้าได้ลุล่วงหน้าที่ของตน เจ้าจึงได้ทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น เจ้าใช้ทั้งชีวิตของเจ้าเพื่อภารกิจของเจ้าและพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้เจ้า เจ้ามีคำพยานอันงดงาม และเจ้าใช้ชีวิตที่มีคุณค่า—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงเป็นคนที่แท้จริง! และเหตุใดเราจึงกล่าวว่าเจ้าเป็นคนที่แท้จริง? เพราะพระเจ้าได้ทรงคัดสรรเจ้าและทรงให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างภายใต้การบริหารจัดการของพระองค์ นี่คือสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่งยวดและมีความหมายยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) “พระเจ้าไม่ทรงดูสิ่งที่เจ้าพูดหรือสัญญาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ พระองค์ทรงดูว่าสิ่งที่เจ้าทำมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ อีกอย่างพระเจ้าไม่สนพระทัยว่าการกระทำของเจ้าสูงส่ง ลุ่มลึก หรือทรงพลังเพียงใด และต่อให้เจ้าทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพียงใดก็ตาม หากพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความจริงใจในทุกการเคลื่อนไหวของเจ้า พระองค์จะตรัสว่า ‘บุคคลผู้นี้เชื่อในตัวเราอย่างจริงใจ พวกเขาไม่เคยโอ้อวด พวกเขาประพฤติปฏิบัติตามตำแหน่งหน้าที่ของตน แม้พวกเขาอาจไม่ได้สร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อพระนิเวศของพระเจ้าและมีขีดความสามารถต่ำ พวกเขายังคงแน่วแน่และมีความจริงใจในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ’ ‘ความจริงใจ’ ที่ว่านี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง? ความจริงใจที่ว่าประกอบด้วยความยำเกรงและการนบนอบพระเจ้า รวมไปถึงความเชื่อและความรักที่แท้จริง ประกอบด้วยทุกสิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์จะเห็น ผู้คนเช่นนี้อาจดูไม่พิเศษในสายตาของผู้อื่น และพวกเขาอาจเป็นคนทำอาหารหรือทำความสะอาด เป็นใครบางคนที่ปฏิบัติหน้าที่ธรรมดา ผู้คนเช่นนี้ไม่โดดเด่นสำหรับผู้อื่น ไม่สัมฤทธิ์สิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ และพวกเขาไม่มีสิ่งใดที่น่ายกย่อง น่าชื่นชมหรือน่าอิจฉา—พวกเขาเป็นเพียงผู้คนธรรมดา แต่ทุกสิ่งที่พระเจ้าพึงประสงค์พบได้ในหมู่พวกเขาและมีชีวิตในหมู่พวกเขา และพวกเขาทุ่มเทให้กับพระเจ้า จงบอกเราว่า พระเจ้าต้องประสงค์สิ่งใดมากไปกว่านี้อีก? พระองค์พอพระทัยพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเห็นว่า ไม่ว่าฉันจะได้รับหน้าที่ใด ก็ล้วนมาจากการปกครองและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ฉันควรนบนอบและเผชิญทุกอย่างด้วยหัวใจ ไม่ว่าขีดความสามารถฉันจะเป็นอย่างไร หรือฉันจะทำได้มากน้อยแค่ไหน ฉันควรทุ่มเททุกอย่างที่มี ทำให้เต็มที่ นั่นคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า และนั่นคือความหมายที่แท้จริงของการทำหน้าที่ของฉัน
หลังจากเรื่องนี้ ฉันมีท่าทีที่ถูกต้อง และทำงานธุรการอย่างขยันขันแข็ง และเมื่อผ่านไปได้ช่วงหนึ่ง ฉันเห็นว่างานนั้นไม่ใช่งานหนักน่าเบื่ออย่างที่เคยคิดไ้ว้เลยแม้แต่น้อย มีหลักธรรมมากมายที่ต้องจับความเข้าใจและเข้าสู่ในหน้าที่นั้น โดยต้องมีหัวใจที่แท้จริงและแสวงหาความจริงตลอดการปฏิบัติหน้าที่นั้น เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งการปฏิบัติ ฉันได้รับประโยชน์มากมายจากการดูแลงานธุรการ ฉันได้เรียนรู้ทักษะบางอย่าง และเข้าใจหลักธรรมบางประการ อีกทั้งได้มีประสบการณ์ว่าการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้านั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างไร การเปลี่ยนแปลงหน้าที่ครั้งนี้ได้เปลี่ยนมุมมองที่ผิดของฉันเกี่ยวกับหน้าที่ต่างๆ และฉันก็เต็มใจนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุด ขอบคุณค่ะพระเจ้า!