38. บทเรียนที่ได้รับจากความล้มเหลว
เมื่อก่อน ตอนฉันเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า ฉันมักจะอ่านพระคัมภีร์และเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้า หลังจากที่ฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และอ่านพระวจนะของพระองค์ ฉันได้รู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงในยุคสุดท้ายเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาผู้คน เพื่อชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด ก็เลยกลายเป็นว่าฉันมีความกระตือรือร้นในหน้าที่มากขึ้นไปอีกเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ จากการปฏิบัติ ฉันจึงเริ่มเข้าใจได้ชัดเจนขึ้นถึงความจริงเกี่ยวกับการเป็นพยานยืนยันแก่พระราชกิจของพระเจ้า รู้ซึ้งหลักธรรมของการประกาศข่าวประเสริฐและได้รับประสบการณ์บางอย่าง การประกาศของฉันก็เลยมีประสิทธิผลมากทีเดียว บรรดาพี่น้องล้วนกล่าวว่าฉันเก่งมากในเรื่องนี้ และฉันสามารถจับมโนคติอันหลงผิดของผู้ที่สนใจข่าวประเสริฐและสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขมโนคติเหล่านั้น ปัญหาที่พวกเขาว่ายากๆ สำหรับฉันแล้วก็ไม่ใช่ความท้าทายเท่าไรนัก ต่อมา ขณะที่ฉันกำลังประกาศข่าวประเสริฐ ฉันถูกตำรวจจับและถูกตัดสินจำคุกหนึ่งปี หลังจากที่ฉันออกมา ฉันก็เริ่มประกาศข่าวประเสริฐอีกครั้งอย่างรวดเร็ว พี่น้องหลายคนเพิ่งจะเรียนรู้วิธีประกาศข่าวประเสริฐ และผลลัพธ์ที่พวกเขาได้ก็ไม่ดีนัก ดังนั้น ผู้นำจึงให้ฉันรับผิดชอบงานข่าวประเสริฐ ฉันกับพี่น้องร่วมกันวิเคราะห์มโนคติอันหลงผิดบางประการที่ผู้สนใจข่าวประเสริฐมีโดยทั่วไป และอธิบายวิธีการแก้ไขด้วยการสามัคคีธรรม บางครั้งเราพบผู้สนใจข่าวประเสริฐที่มีมโนคติอันหลงผิดทางศาสนามากมาย พี่น้องจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาหลายครั้งแต่ก็ไม่เกิดผล แต่พอฉันสามัคคีธรรมกับพวกเขา ฉันก็จะสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเวลาผ่านไป งานข่าวประเสริฐของคริสตจักรเรามีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และฉันเริ่มชื่นชมตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ ฉันคิดว่าฉันช่างมีขีดความสามารถสูงจริงๆ และฉันสามารถแก้ไขปัญหาที่พี่น้องคนอื่นๆ ไม่สามารถทำได้อย่างง่ายดาย ฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนมีความสามารถพิเศษที่หาตัวจับได้ยาก ฉันเริ่มคิดว่า ตัวเองสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ และดูถูกคนอื่นว่าไม่มีความใส่ใจและมีขีดความสามารถต่ำ
ครั้งหนึ่ง พี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ให้น้ำผู้มาใหม่มาหาฉัน เธอบอกว่าผู้มาใหม่ถามคำถามบางข้อ และอยากให้ฉันสามัคคีธรรมกับพวกเขา ฉันรู้สึกรำคาญเธอมาก คิดว่า “ปัญหาง่ายๆ แค่นี้ทำไมเธอถึงแก้ไขไม่ได้? เธอไม่ใส่ใจในหน้าที่ ไม่แบกรับภาระขนาดนั้นเลยหรือ? ขีดความสามารถของเธอย่ำแย่ เสียจนแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของผู้มาใหม่ไม่ได้เลยเหรอ?” ฉันก็เลยดุเธอและพูดว่า “ถ้าแค่ให้น้ำผู้มาใหม่คุณยังทำให้ดีไม่ได้ แล้วคุณจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ?” พี่น้องหญิงเพียงแต่ก้มศีรษะลงและไม่พูดอะไร น้ำตาของเธอไหลลงมา ฉันรู้ว่าการพูดแบบนั้นไม่ถูกต้อง แต่ฉันคิดว่า “ถ้าฉันไม่ดุเธอ เธอก็คงไม่ใส่ใจและไม่พัฒนาตัวเอง” หลังจากนั้น พอมีปัญหาเธอก็ไม่กล้ามาหาอีก เธอกลายเป็นคนคิดลบและถูกจำกัด เธอรู้สึกว่าขีดความสามารถของเธอไม่ดีพอที่จะทำหน้าที่และให้น้ำผู้มาใหม่ ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร แต่ฉันก็ไม่ทบทวนตัวเอง ฉันไม่ได้สามัคคีธรรมหรือพยายามช่วยเธอ ในใจฉันดูถูกเธอว่า จะไม่เป็นการถ่วงเวลาหรอกหรือถ้าให้เธอทำงานนี้ ในเมื่อปัญหาง่ายๆ แค่นี้เธอก็แก้ไม่ได้? ดังนั้นหลังจากนั้น ฉันก็ไม่ให้เธอให้น้ำผู้มาใหม่คนนั้น อีกหนหนึ่ง ฉันกับผู้นำคริสตจักรจัดการชุมนุมสำหรับผู้มาใหม่ แต่หลังจากที่ผู้นำสามัคคีธรรมไปแล้ว ปัญหาของผู้มาใหม่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข ฉันคิดว่า “คุณเป็นผู้นำ แต่ยังไม่สามารถให้น้ำผู้มาใหม่ได้” ดังนั้น ฉันจึงเริ่มถามพวกเขาว่า “พวกคุณเข้าใจสิ่งที่พี่น้องหญิงเพิ่งจะพูดไปไหม?” พวกเขาส่ายหัวและบอกว่ายังไม่ชัดเจน หลังจากนั้น ฉันได้พูดคุยกับพวกเขาอย่างละเอียดถึงพระราชกิจของพระเจ้าสามระยะ พวกเขาฟังอย่างมีความสุข และหลายคนก็พูดว่า “ตอนนี้พอคุณอธิบายแบบนี้ เราเข้าใจแล้ว” การเห็นว่าพวกเขามีท่าทีนี้ต่อฉันทำให้ฉันมีความสุขมาก ฉันรู้สึกว่าฉันเก่งกว่าผู้นำในการประกาศข่าวประเสริฐและการให้น้ำ
หลังจากนั้น ฉันก็โอ้อวดตัวเองและดูถูกคนอื่นอยู่เรื่อย อุปนิสัยของฉันกลายเป็นโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันยัดเยียดเจตนารมณ์ของตัวเองในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงาน ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ฉันคิดแต่ว่าตัวเองเก่งกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ต่อให้ฉันปรึกษากับพวกเขา แต่สุดท้ายการตัดสินใจทั้งหมดก็จะขึ้นอยู่กับฉันอยู่ดี ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ฉันตัดสินใจเองซะทั้งหมดเลยจะได้ไม่เสียเวลา และในการประกาศข่าวประเสริฐและการให้น้ำ ฉันรู้สึกว่าคนอื่นๆ ต่ำกว่าฉัน และคิดว่าถ้าฉันทำเองทั้งหมดจะดีกว่า ดังนั้น ฉันจึงเริ่มประกาศข่าวประเสริฐและให้น้ำไปพร้อมกัน ฉันรับงานหลายอย่างด้วยตัวเอง ฉันยุ่งมากจนแทบไม่ได้หยุดพัก แต่แล้วผู้นำก็พบว่าฉันไม่ได้ฝึกฝนใครเลย ฉันไม่ได้ให้โอกาสคนอื่นๆ ฝึกปฏิบัติ และเธอก็ได้ตัดแต่งฉัน เธอบอกว่า “คุณจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่คิดว่านี่เป็นความโอหังหรอกหรือ?” แม้ว่าฉันจะเผชิญกับการถูกตัดแต่งและตำหนิ แต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทุกวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ฉันยุ่งอยู่กับการประกาศข่าวประเสริฐและให้น้ำผู้มาใหม่ ในความคิดของฉัน นี่คือการแบกรับภาระในหน้าที่ของฉัน ฉันยังคิดด้วยว่าขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของฉันดี และตราบใดที่ฉันได้ผลลัพธ์ ความโอหังของฉันก็ไม่ใช่ปัญหา หลังจากนั้น ฉันก็ยังคงทำสิ่งต่าง ๆ ตามหนทางของตัวเอง ไม่ว่าเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ฉันจะจัดการด้วยตัวเอง โดยไม่พูดคุยกับคนอื่น พี่น้องบางคนรู้สึกถูกจำกัด พวกเขาคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ และใช้ชีวิตในความคิดลบ คนอื่นๆ กลายเป็นพึ่งพาฉันมากเป็นพิเศษ พวกเขาไม่แบกรับภาระในหน้าที่ของพวกเขาเลย รอคอยคำสั่งจากฉันตลอดเวลา และเรื่องนี้ก็ส่งผลกระทบต่องานข่าวประเสริฐและงานให้น้ำ ไม่นานหลังจากนั้น ดวงตาของฉันเริ่มมีน้ำตาไหลตลอดเวลา บางครั้งก็รุนแรงมากจนฉันมองไม่เห็น หมอบอกว่าท่อน้ำตาของฉันอุดตัน และจำเป็นต้องรับการผ่าตัด ขณะที่ฉันเดินกลับบ้าน ฉันก็เริ่มคิดว่า “การที่อยู่ๆ ก็เป็นโรคตานี้ ต้องมีเจตนารมณ์ของพระเจ้าอยู่เบื้องหลัง ฉันได้ล่วงเกินพระเจ้าบ้างหรือเปล่านะ?” นั่นเป็นตอนที่ฉันเริ่มทบทวนสภาวะที่ฉันได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในใจ ขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ฉัน เพื่อที่ฉันจะได้เข้าใจปัญหาของตัวเอง
พอฉันกลับถึงบ้าน ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนเหล่านี้ที่ว่า “บางคนพอทำงานไปเล็กน้อยและนำคริสตจักรค่อนข้างดี ก็คิดไปว่าพวกเขาเหนือกว่าผู้อื่น และมักจะแพร่กระจายคำพูด เช่น ‘ทำไมพระเจ้าถึงทรงแต่งตั้งให้ฉันอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญ? ทำไมพระองค์จึงทรงเอ่ยชื่อฉันอยู่เรื่อย? ทำไมพระองค์ถึงหมั่นตรัสกับฉัน? พระเจ้าทรงยกย่องฉันเพราะฉันมีขีดความสามารถและเพราะฉันเหนือกว่าผู้คนทั่วไป พวกคุณอิจฉาด้วยซ้ำที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อฉันดีกว่า พวกคุณต้องมาอิจฉาเรื่องอะไร? พวกคุณไม่เห็นหรือว่าฉันทำงานไปเท่าไรและพลีอุทิศไปมากเพียงใด? พวกคุณไม่ควรอิจฉาสิ่งดีๆ ที่พระเจ้าประทานให้ฉันไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เพราะว่าฉันสมควรได้รับสิ่งเหล่านั้น ฉันทำงานมาหลายปีแล้วและทนทุกข์ไปมากนัก ฉันมีคุณสมบัติและสมควรได้รับความดีความชอบ’ ยังมีผู้อื่นที่พูดว่า ‘พระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันเข้าประชุมเพื่อนร่วมงานและร่วมฟังสามัคคีธรรมของพระองค์ ฉันมีคุณสมบัติในเรื่องนี้—แล้วพวกคุณมีหรือไม่? ก่อนอื่นเลยฉันมีขีดความสามารถสูง และฉันไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่าที่พวกคุณทำ ยิ่งไปกว่านั้นฉันสละตัวเองมากกว่าพวกคุณ และฉันสามารถทำงานของคริสตจักรให้สำเร็จได้—พวกคุณทำได้หรือไม่?’ นี่คือความโอหัง ผลลัพธ์ในการปฏิบัติหน้าที่และทำงานของผู้คนนั้นแตกต่างกัน บางคนได้ผลลัพธ์ที่ดีในขณะที่ผู้อื่นได้ผลลัพธ์ที่แย่ บางคนเกิดมาพร้อมขีดความสามารถที่ดีและสามารถแสวงหาความจริง ดังนั้นผลลัพธ์ในหน้าที่ของพวกเขาจึงดีขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่เป็นเพราะขีดความสามารถที่ดีของพวกเขาซึ่งพระเจ้าทรงลิขิตไว้แล้วล่วงหน้า แต่จะแก้ปัญหาเรื่องผลลัพธ์ที่แย่จากการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรากันอย่างไร? เจ้าต้องแสวงหาความจริงและทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง เมื่อนั้นเจ้าก็จะค่อยๆ สัมฤทธิ์ผลที่ดีได้เช่นเดียวกัน ตราบใดที่เจ้าเพียรพยายามเพื่อความจริงและสัมฤทธิ์จนสุดความสามารถของเจ้า พระเจ้าย่อมจะทรงเห็นชอบ แต่ไม่ว่าผลงานของเจ้าจะดีหรือไม่ เจ้าก็มิควรมีแนวคิดอันหลงผิด จงอย่าคิดว่า ‘ฉันมีคุณสมบัติเทียบเทียมพระเจ้า’ ‘ฉันมีคุณสมบัติที่จะชื่นชมสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่ฉัน’ ‘ฉันมีคุณสมบัติที่ทำให้พระเจ้าทรงสรรเสริญฉัน’ ‘ฉันมีคุณสมบัติที่จะนำผู้อื่น’ หรือ ‘ฉันมีคุณสมบัติที่จะอบรมสั่งสอนผู้อื่น’ จงอย่ากล่าวว่าเจ้ามีคุณสมบัติ ผู้คนไม่ควรมีความคิดเช่นนี้ หากเจ้ามีความคิดเหล่านี้ นี่ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้ามิได้อยู่ในที่อันควรของเจ้า และเจ้าก็ไม่มีแม้กระทั่งสามัญสำนึกที่มนุษย์พึงมี ฉะนั้นเจ้าจะสามารถละทิ้งอุปนิสัยอันโอหังของเจ้าได้อย่างไร? เจ้าไม่สามารถทำได้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ธรรมชาติอันโอหังคือรากเหง้าของการที่มนุษย์ต้านทานพระเจ้า) พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดโปงสภาวะของฉัน ฉันตระหนักได้ว่าอุปนิสัยโอหังครอบงำพฤติกรรมของฉันอยู่ พอการประกาศข่าวประเสริฐและการให้น้ำได้ผลลัพธ์ ฉันก็รู้สึกกระหยิ่มใจ ฉันคิดว่าความสามารถและขีดความสามารถของฉันดีมาก คิดว่าตัวฉันนั้นเป็นอะไรที่งานข่าวประเสริฐจะขาดไปไม่ได้ ฉันถือเอาทักษะเหล่านี้เป็นทุน ฉันโอหังมากจนไม่สนใจคนอื่น ฉันทำตัวเหมือนอยู่เหนือคนอื่น ดุพวกเขาและทำให้พวกเขาถูกจำกัด ตอนที่พี่น้องหญิงมีปัญหาในการให้น้ำผู้มาใหม่ ฉันไม่ได้ช่วยเธอแก้ปัญหา แต่กลับใช้สถานะของฉันไปดุเธอ และพอผู้นำกับฉันไปให้น้ำผู้มาใหม่ด้วยกัน แล้วผู้นำไม่ได้แก้ไขปัญหาของพวกเขา ฉันไม่ร่วมมือด้วยการสามัคคีธรรม แต่กลับดูถูกผู้นำ และจงใจทำให้เธอดูแย่ต่อหน้าผู้มาใหม่ เวลามีปัญหาเกิดขึ้นในการทำงาน ฉันก็ไม่ได้แสวงหาหลักธรรมความจริงหรือหารือกับเหล่าพี่น้อง ฉันคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ที่จะมองเห็นสิ่งทั้งหลายอย่างชัดเจน คิดว่าฉันสามารถตัดสินใจและจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ฉันไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้ฝึกปฏิบัติ และขนาดตอนที่ฉันถูกตัดแต่ง ฉันก็ไม่ได้คิดว่านั่นเป็นปัญหา ฉันคิดว่าตัวเองกำลังแบกรับภาระในหน้าที่ ฉันถือสิทธิ์ความเป็นอาวุโสและไม่ยอมรับการถูกตัดแต่ง ฉันช่างโอหังมากจริงๆ ในหัวใจของฉัน ฉันไม่ได้ยำเกรงหรือนบนอบพระเจ้า ฉันรับผิดชอบงานข่าวประเสริฐ ฉันควรจะฝึกฝนเหล่าพี่น้องให้ประกาศข่าวประเสริฐเช่นกัน แต่แทนที่จะทำแบบนั้น ฉันกลับดูถูกและด้อยค่าพวกเขา และจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง ผลก็คือ พวกเขารู้สึกถูกฉันจำกัดไว้ บางคนก็พึ่งพาฉันอย่างมาก ไม่สามารถแบกรับภาระในหน้าที่ของตนเองได้ และงานข่าวประเสริฐก็ได้รับผลกระทบ นี่ไม่ใช่การทำหน้าที่ของฉัน นี่คือการทำความชั่ว และขัดขวางงานข่าวประเสริฐ ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่า การที่ฉันจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองคือการแบกรับภาระในหน้าที่ แต่จริงๆ แล้ว ฉันก็แค่โอหัง ฉันได้วางตัวเองอยู่เหนือคนอื่น ทำกับพวกเขาอย่างคนไม่สำคัญและเข้ากำกับดูแลทุกอย่าง กระทำตามอำเภอใจโดยพลการด้วยอุปนิสัยโอหัง โดยไม่คำนึงถึงพระเจ้าหรือคนอื่น นี่ไม่ใช่อุปนิสัยของหัวหน้าทูตสวรรค์หรอกเหรอ? ถ้าฉันไม่กลับใจ ฉันจะถูกพระเจ้ารังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดออกไป เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ตระหนักได้ว่าพระเจ้ากำลังตีสอนและบ่มวินัยฉันผ่านความเจ็บป่วยนี้ ถ้าพระเจ้าไม่จัดสถานการณ์นี้ไว้ให้ฉัน ฉันก็คงยังคงกระทำตามอุปนิสัยโอหังของฉันต่อไป ฉันคงยังคงทำสิ่งชั่วร้าย ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และต้องพบกับการลงโทษ พอตระหนักได้แบบนี้ ฉันก็ร้องไห้และอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์โอหังเสียจนไม่มีความเป็นมนุษย์หรือเหตุผลเลย ข้าพระองค์ไม่คู่ควรที่จะใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์ พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่ต้องการที่จะต้านทานหรือเป็นกบฏต่อพระองค์ ข้าพระองค์ต้องการกลับใจ!” หลังจากนั้น ฉันได้แบ่งปันสภาวะของฉันอย่างเปิดเผยกับเหล่าพี่น้องชายหญิง ฉันเปิดโปงและชำแหละความเสียหายที่ฉันได้ก่อขึ้นกับพวกเขาเนื่องจากอุปนิสัยโอหังของฉัน และขอโทษพวกเขา หลังจากนั้น ฉันถ่อมใจมากขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ ฉันปรึกษาทุกเรื่องกับพี่น้อง และไม่นานนัก ความเจ็บป่วยของฉันก็หายไป ฉันขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ
หลังจากผ่านไปสักพัก คริสตจักรได้มอบหมายให้ฉันไปประกาศข่าวประเสริฐในสถานที่ใหม่ ฉันอดไม่ได้ที่จะเริ่มชื่นชมตัวเองอีกครั้งว่า ดูเหมือนว่าฉันทำได้ดีในการประกาศข่าวประเสริฐ ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะส่งฉันไปประกาศข่าวประเสริฐที่อื่นทำไมล่ะ? วันหนึ่ง ฉันไปประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้เชื่อในศาสนาสองคน ฉันไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องยาก ดังนั้นฉันจึงไม่ได้พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาหรือมโนคติอันหลงผิดใหญ่ๆ ของพวกเขาไว้ล่วงหน้า แต่กลับทำเหมือนครั้งก่อนๆ ฉันได้เป็นพยานโดยตรงถึงพระราชกิจของพระเจ้าสามระยะ ทันทีที่พวกเขาได้ยิน พวกเขาก็รู้ว่าฉันเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งป้อมและไม่เต็มใจที่จะฟังอะไรอีก ในเวลานั้น ฉันรู้สึกตะลึง ฉันเดินทางมาถึงที่นี่ และคิดว่าฉันสามารถขยายงานข่าวประเสริฐได้อย่างรวดเร็ว ฉันไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะล้มเหลวเร็วขนาดนี้ แล้วตอนนี้ฉันจะขยายงานข่าวประเสริฐได้อย่างไร? ถึงกระนั้น ฉันก็ยังไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ บางทีอาจจะเป็นแค่ปัญหาครั้งเดียว และฉันก็แค่ทำผิดพลาดไปในครั้งนี้เท่านั้น ฉันประกาศข่าวประเสริฐมาหลายปี ดังนั้นฉันมั่นใจว่าฉันจะสามารถนำคนมาได้ แต่ทุกที่ที่ฉันไป ฉันก็ล้มเหลว ฉันรู้สึกท้อแท้มากและตกอยู่ในสภาวะหดหู่ หลังจากนั้น ฉันก็ถูกแทนที่ เมื่อคิดว่าการประกาศของฉันไม่มีประสิทธิภาพก็ทำให้ฉันเจ็บปวด ฉันรู้สึกเหมือนฉันไร้ค่า ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะไม่ถูกกำจัดออกไปเหรอ? ฉันคิดถึงวันเวลาที่ฉันประกาศข่าวประเสริฐอย่างกระตือรือร้น แม้ว่างานจะหนักและเหนื่อย แต่ก็ทำให้ฉันมีความสุขที่ได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ทำไมตอนนี้ฉันถึงไม่ได้ผลลัพธ์เหล่านั้น? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจจนทนไม่ไหว ในความเจ็บปวดของฉัน ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์ต้องเรียนรู้บทเรียนอะไรจากสถานการณ์นี้? โปรดให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ และนำข้าพระองค์ให้เข้าใจตนเองด้วยเถิด”
ในขณะที่ฉันแสวงหา ฉันก็ได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “เวลาที่ใครบางคนมีพรสวรรค์หรือมีความสามารถพิเศษ นั่นหมายความว่าพวกเขาเก่งหรือเชี่ยวชาญบางอย่างมากกว่ามาตั้งแต่เกิดเมื่อเทียบกับผู้อื่น ตัวอย่างเช่น เจ้าอาจจะตอบโต้ได้เร็วกว่าผู้อื่นเล็กน้อย เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้เร็วกว่าผู้อื่นเล็กน้อย มีความเชี่ยวชาญในทักษะทางวิชาชีพบางอย่าง หรือเจ้าอาจจะเป็นนักพูดที่มีวาทศิลป์ และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้เป็นพรสวรรค์และความสามารถพิเศษที่บุคคลหนึ่งอาจมีได้ หากเจ้ามีพรสวรรค์หรือจุดแข็งบางอย่าง วิธีที่เจ้าเข้าใจและจัดการสิ่งเหล่าย่อมสำคัญมาก หากเจ้าคิดว่าเจ้าคือคนที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้เพราะไม่มีผู้ใดมีความสามารถพิเศษและพรสวรรค์อย่างเจ้า และคิดว่าหากเจ้าใช้พรสวรรค์และความสามารถพิเศษในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็กำลังปฏิบัติความจริง ทัศนะนี้ถูกหรือผิด? (ผิด) เหตุใดเจ้าจึงบอกว่าผิดเล่า? พรสวรรค์และความสามารถพิเศษคืออะไรกันแน่? เจ้าควรเข้าใจ ใช้ และจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร? ข้อเท็จจริงคือไม่ว่าเจ้ามีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษเช่นไร ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้ามีความจริงและชีวิต หากผู้คนมีพรสวรรค์และความสามารถพิเศษบางอย่าง การที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่โดยนำพรสวรรค์และความสามารถพิเศษเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ย่อมเป็นเรื่องที่เหมาะสม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริง และไม่ได้หมายความว่าพวกเขากำลังทำสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับหลักธรรม ตัวอย่างเช่น หากเจ้าเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง ความสามารถในการร้องเพลงของเจ้าเป็นตัวแทนของการปฏิบัติความจริงใช่หรือไม่? นั่นหมายความว่าเจ้าร้องเพลงอย่างสอดคล้องกับหลักธรรมใช่หรือไม่? ไม่ใช่เลย ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้ามีความสามารถพิเศษด้านคำพูดมาตั้งแต่เกิดและถนัดด้านการเขียน หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง งานเขียนของเจ้าจะสามารถสอดคล้องกับความจริงได้หรือ? สิ่งนี้จำเป็นต้องหมายความว่าเจ้ามีคำพยานจากประสบการณ์หรือไม่? (ไม่ ไม่จำเป็น) ด้วยเหตุนี้พรสวรรค์และความสามารถพิเศษจึงต่างจากความจริงและไม่อาจเทียบกันได้ ไม่ว่าเจ้ามีพรสวรรค์อย่างไร หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าจะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดี คนบางคนมักจะโอ้อวดพรสวรรค์ของตัวเองและรู้สึกว่าพวกเขาเก่งกว่าผู้อื่นอยู่เป็นปกติ พวกเขาจึงดูถูกคนอื่นและไม่เต็มใจที่จะให้ความร่วมมือกับผู้อื่นเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาต้องการเป็นผู้สั่งการยู่เสมอ และผลก็คือพวกเขาละเมิดหลักธรรมอยู่บ่อยครั้งเวลาปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาก็ต่ำมาก พรสวรรค์ทำให้พวกเขาโอหังและคิดว่าตนเองถูกเสมอ ทำให้พวกเขาดูถูกผู้อื่น และทำให้พวกเขารู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นและไม่มีใครเก่งเท่าพวกเขา และสิ่งนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นคนใจแคบ ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ถูกพรสวรรค์ของตนเองทำให้พินาศแล้วหรอกหรือ? อันที่จริงก็ใช่ ผู้คนที่มีพรสวรรค์และมีความสามารถพิเศษมีแนวโน้มที่จะทำตัวโอหังและคิดว่าตนเองถูกมากที่สุด หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและดำเนินชีวิตด้วยพรสวรรค์ของตนอยู่เสมอ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ไม่ว่าบุคคลหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ใดในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขามีความสามารถพิเศษประเภทใด หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่อาจลุล่วงหน้าที่ของตัวเองได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าบุคคลหนึ่งมีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษอะไร พวกเขาก็ควรปฏิบัติหน้าที่ประเภทนั้นให้ดี หากพวกเขาสามารถเข้าใจความจริงและทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมได้ด้วย เช่นนั้นแล้ว พรสวรรค์และความสามารถพิเศษของพวกเขาย่อมจะมีบทบาทในการปฏิบัติหน้าที่นั้น พวกที่ไม่ยอมรับความจริงและไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง ทั้งยังพึ่งพาแต่พรสวรรค์ของตนในการทำสิ่งทั้งหลายย่อมจะไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดจากการปฏิบัติหน้าที่ และเสี่ยงที่จะถูกกำจัดออกไป… คนที่มีพรสวรรค์และความสามารถพิเศษนั้นคิดว่าพวกเขาแสนปราดเปรื่อง คิดว่าพวกเขาเข้าใจทุกอย่าง—แต่พวกเขาไม่รู้ว่าพรสวรรค์และความสามารถพิเศษไม่ได้แสดงถึงความจริง สิ่งเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความจริงเลย เมื่อผู้คนพึ่งพาพรสวรรค์และความคิดฝันของพวกเขาในการปฏิบัติตน ความคิดและความคิดเห็นของพวกเขาก็มักจะขัดกับความจริง—แต่พวกเขามองไม่เห็นเรื่องนี้ และยังคงคิดว่า ‘ดูเอาเถอะว่าฉันปราดเปรื่องแค่ไหน ฉันเลือกได้ฉลาดเหลือเกิน! ช่างเป็นการตัดสินใจที่หลักแหลม! พวกคุณเทียบฉันไม่ติดสักคน’ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่หลงตัวเองและชื่นชมตัวเองตลอดกาล สำหรับพวกเขาแล้ว การสงบหัวใจและไตร่ตรองว่าพระเจ้าทรงร้องขอสิ่งใดจากพวกเขา ความจริงคืออะไร และหลักธรรมความจริงคืออะไรนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้นจึงยากที่พวกเขาจะเข้าใจความจริง และถึงแม้พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ ดังนั้นการที่พวกเขาจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงจึงเป็นเรื่องยากมากเช่นเดียวกัน สรุปคือ หากบุคคลหนึ่งไม่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขามีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษอย่างไร พวกเขาก็จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดีได้—นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, สิ่งใดกันแน่ที่ผู้คนพึ่งพาในการดำรงชีวิต?) หลังจากตริตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่าการมีความสามารถและพรสวรรค์พิเศษ ไม่ได้หมายความว่ามีความจริง หากไม่เข้าใจความจริง หรือปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองโดยไม่แสวงหาหลักธรรม และใช้พรสวรรค์และความสามารถพิเศษของตนเป็นทุนอยู่เสมอ ก็จะโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา ฉันตระหนักว่าตั้งแต่ฉันเริ่มทำหน้าที่ ฉันก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยพรสวรรค์ ฉันรู้พระคัมภีร์ดี และมีประสบการณ์ในการประกาศข่าวประเสริฐ ดังนั้นฉันจึงถือว่าของเหล่านี้เป็นทุน ทำให้ฉันโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันมองคนอื่นต่ำต้อย ฉันปฏิบัติต่อพวกเขาทุกคน เหมือนกับว่าพวกเขาไม่มีความสำคัญอะไร ผู้นำตัดแต่งในความโอหังของฉัน แต่ฉันก็ไม่ยอมรับ ยังคงใช้พรสวรรค์ของตนเป็นทุน และปฏิเสธคำแนะนำของเธอ เวลาประกาศ ฉันก็ไม่ได้แสวงหาหลักธรรมความจริง ฉันพึ่งพาพรสวรรค์และประสบการณ์ของตัวเองเพื่อ พยายามทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และเป็นผลให้ฉันล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่แม้กระนั้น ฉันก็ไม่คิดว่าท่าทีของฉันเป็นปัญหา ฉันไม่ได้ทบทวนตัวเอง ฉันคิดอย่างไร้ยางอายว่า ในเมื่อฉันมีพรสวรรค์และประสบการณ์ ฉันก็สามารถทำหน้าที่ได้อย่างดี ฉันช่างโอหังและไร้เหตุผลมาก ฉันนึกถึงเปาโล ผู้มีพรสวรรค์ ฉลาด และมีคารมคมคายดี เขามีความรู้ลึกซึ้งในพระคัมภีร์ และเป็นเลิศในการประกาศข่าวประเสริฐและชักชวนผู้คน แต่เขาใช้ทุกอย่างนั้นเป็นทุน อุปนิสัยของเขากลายเป็นโอหังมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่สนใจคนอื่น เขาอ้างว่าตัวเองนั้นเท่าเทียมกับบรรดาอัครทูต และทำงานเพียงเพราะเห็นแก่บำเน็จและมงกุฎ เขาถึงกับอ้างว่าตัวเองเป็นพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์ และในที่สุด เขาก็ถูกพระเจ้าลงโทษ เรื่องราวของเขาแสดงให้เห็นว่าการมีพรสวรรค์ไม่ได้หมายความว่าได้ครอบครองความเป็นจริงความจริง ถ้าไม่แสวงหาความจริง อุปนิสัยเสื่อมทรามของเราก็จะไม่เปลี่ยนแปลง และจะถูกเปิดโปงและกำจัดออกไป ต่อมา ฉันได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ซึ่งทำให้ฉันเห็นอะไรชัดเจนขึ้นมาบ้าง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ระหว่างปฏิบัติหน้าที่นั้น พวกเจ้าสัมผัสถึงการทรงนำของพระเจ้าและการให้ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือไม่? (สัมผัสได้) หากเจ้าสามารถสัมผัสได้ถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ยังคงคิดยกย่องตนเอง และคิดว่าเจ้ามีความเป็นจริง เช่นนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น? (เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราเกิดผลลัพธ์อยู่บ้าง พวกเราย่อมคิดว่าความดีความชอบครึ่งหนึ่งเป็นของพระเจ้า และอีกครึ่งหนึ่งเป็นของพวกเรา พวกเราเชิดชูการให้ความร่วมมือของตนเองอย่างไร้ขอบเขต คิดไปว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าความร่วมมือของพวกเรา และคิดว่าหากไร้ซึ่งสิ่งนี้ การให้ความรู้แจ้งของพระเจ้าก็ย่อมเป็นไปไม่ได้) แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า? พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งแก่ผู้อื่นเช่นกันได้หรือไม่? (ได้) เมื่อพระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งแก่ใครบางคน สิ่งนี้ย่อมเป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า แล้วความร่วมมืออันน้อยนิดในส่วนของเจ้าสิ่งใด? สิ่งนั้นเป็นความดีความชอบที่เจ้าสมควรได้ หรือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้า? (เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเรา) เมื่อเจ้าตระหนักว่านี่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมมีชุดความคิดที่ถูกต้อง และจะไม่คิดที่จะพยายามเอาความดีความชอบจากการนั้น หากเจ้าคิดอยู่เสมอว่า ‘นี่คือการมีส่วนช่วยของฉัน หากฉันไม่ร่วมมือ การให้ความรู้แจ้งของพระเจ้าจะเป็นไปได้หรือไม่? งานนี้พึงต้องมีความร่วมมือจากมนุษย์ ความร่วมมือของพวกเราทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์มากมาย’ เช่นนั้นเจ้าย่อมคิดผิด หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าและหากไม่มีผู้ใดสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงกับเจ้า เจ้าจะร่วมมือกันได้อย่างไร? เจ้าย่อมจะไม่รู้ว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ในเรื่องใด และจะไม่รู้เส้นทางปฏิบัติ ต่อให้เจ้าอยากนบนอบพระเจ้าและให้ความร่วมมือ เจ้าก็จะไม่รู้วิธี ‘การร่วมมือกัน’ นี้ของเจ้าเป็นเพียงคำพูดอันว่างเปล่ามิใช่หรือ? หากไร้ซึ่งการให้ความร่วมมือโดยแท้จริง เจ้าก็รังแต่จะทำตามแนวคิดของเจ้าเอง–ซึ่งในกรณีนี้ เจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ถึงตามมาตรฐานได้หรือ? แน่นอนว่าไม่ได้ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่มีอยู่ ปัญหาที่ว่านั้นคืออะไร? ไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะปฏิบัติหน้าที่ใด ไม่ว่าพวกเขาจะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ตามมาตรฐานและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของพระเจ้า ต่อให้เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของเจ้า หากพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจ หากพระเจ้าไม่ประทานความรู้แจ้งและไม่ทรงนำเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่รู้เส้นทางของเจ้า ทิศทางของเจ้า หรือเป้าหมายของเจ้า ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งใดคือผลของการนั้น? หลังจากตรากตรำทำงานหนักมาตลอดเวลานั้น เจ้าย่อมจะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมและย่อมจะไม่ได้รับความจริงและชีวิต—ทั้งหมดย่อมจะสูญเปล่า ดังนั้น การที่หน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติจะถึงมาตรฐานหรือไม่ ทำให้พี่น้องชายหญิงเจริญใจและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับพระเจ้าทั้งสิ้น! ผู้คนสามารถทำได้เพียงสิ่งเหล่านั้นซึ่งพวกเขาสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่งพวกเขาควรที่จะทำ และซึ่งอยู่ภายในขีดความสามารถประจำตัวของพวกเขาเท่านั้น—ไม่สามารถทำได้มากไปกว่านั้น เช่นนั้นแล้วในท้ายที่สุด การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้อย่างมีประสิทธิผลจึงขึ้นอยู่กับการนำแห่งพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงการประทานความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถเข้าใจความจริงและทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้นได้ตามเส้นทางที่พระองค์ประทานแก่เจ้า และตามหลักธรรมที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ นี่คือพระคุณและพรจากพระเจ้า และหากผู้คนไม่สามารถมองเห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็มืดบอด” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน) การอ่านพระวจนะของพระเจ้า ทำให้ฉันเข้าใจว่า ผลลัพธ์ที่ฉันได้จากการประกาศข่าวประเสริฐและให้น้ำแก่ผู้มาใหม่ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะฉัน แต่มาจากพระคุณของพระเจ้าและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้สามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงในทุกด้าน เพื่อมอบแนวทางและเส้นทางแห่งการปฏิบัติให้แก่เรา เช่นนั้นแล้ว ฉันจะเข้าใจอะไรได้บ้าง? หากไม่มีการให้ความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และการทรงนำจากพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าฉันจะมีคารมคมคายดี ขีดความสามารถสูง หรือคุ้นเคยกับพระคัมภีร์มากแค่ไหน ฉันก็จะไม่มีวันแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของศาสนชนเหล่านั้นได้ จากการเปิดเผยของข้อเท็จจริงนี้ ฉันได้เห็นว่า ถ้าไม่มีความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันก็เป็นเพียงคนโง่ที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ และไม่สามารถชักชวนใครได้แม้แต่คนเดียว ฉันเคยคิดว่า การที่หน้าที่ของฉันมีผลลัพธ์ดี นั่นเพราะขีดความสามารถของฉันดี เพราะฉันมีความสามารถ แต่ในความเป็นจริง ฉันไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่รู้จักตัวเอง ฉันใช้สิ่งเหล่านี้เป็นทุนเพื่อโอ้อวดอยู่เสมอ ฉันช่างไร้ยางอายเสียจริง
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมว่า “พระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์ ใส่พระทัยมวลมนุษย์ และทรงแสดงความห่วงใยต่อมวลมนุษย์ ตลอดจนการจัดเตรียมให้มนุษย์อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดหย่อน พระองค์ไม่มีวันทรงรู้สึกในพระทัยของพระองค์ว่านี่เป็นพระราชกิจเพิ่มเติม หรือบางสิ่งที่สมควรได้รับความเชื่อถือมากมาย พระองค์ไม่ทรงรู้สึกว่าการช่วยมนุษยชาติให้รอด การหล่อเลี้ยงพวกเขา และการประทานทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกเขา เป็นการมีส่วนร่วมสนับสนุนมวลมนุษย์อย่างมหาศาล พระองค์เพียงทรงจัดเตรียมให้มวลมนุษย์อย่างเงียบๆ และสงบ ด้วยวิธีของพระองค์เองและโดยผ่านทางแก่นแท้ของพระองค์เอง และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ไม่สำคัญว่ามวลมนุษย์ได้รับการจัดเตรียมมากเพียงใด และความช่วยเหลือมากเพียงใดจากพระองค์ พระเจ้าก็ไม่มีวันทรงนึกถึงหรือทรงพยายามที่จะได้รับความเชื่อถือ การนี้ถูกกำหนดโดยแก่นแท้ของพระเจ้า และยังเป็นการแสดงออกที่แท้จริงถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างแม่นยำอีกด้วย” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1) การอ่านพระวจนะของพระเจ้า ทำให้ฉันรู้สึกตื้นตัน พระอุปนิสัยของพระเจ้าช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน! เพื่อช่วยพวกเราที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างฝังลึกให้รอด พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ถึงสองครั้ง พระองค์ทรงพระราชกิจและตรัสสิ่งต่างๆ มากมาย และทรงสู้ทนกับความอัปยศและความเจ็บปวดอย่างมาก แต่พระเจ้าไม่เคยทรงโอ้อวดต่อมนุษย์ พระองค์ไม่เคยถือว่าการทำสิ่งนี้เป็นการได้รับเกียรติใดๆ แก่นแท้ของพระเจ้าไม่มีร่องรอยของความโอหังอยู่เลย กลับกัน พระองค์ทรงงานอย่างเงียบๆ เพื่อให้พระราชกิจของพระองค์สำเร็จลุล่วง ความถ่อมใจของพระเจ้าช่างน่าชื่นชม ฉันไม่ดีเท่ามดปลวกเลยด้วยซ้ำ ฉันทำหน้าที่ได้ผลลัพธ์ดีๆ ไม่กี่ครั้ง ก็รู้สึกว่าตัวเองเก่งกาจมากแล้ว ฉันคิดว่าฉันมีผลสัมฤทธิ์เยอะมากจนดูถูกเหยียดหยามทุกคน พอคิดถึงการทำตัวของฉันเวลาสั่งสอนคนอื่น น้ำเสียงและท่าทางของฉัน ฉันก็รู้สึกขยะแขยง หากพระเจ้าไม่ได้ทรงจัดการเตรียมการสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อเปิดเผยและตัดแต่งฉัน อุปนิสัยโอหังของฉันคงรบกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร แต่พระเจ้าทรงหยุดฉันไม่ให้ก้าวไปในทางที่ชั่วร้าย และเปิดโอกาสให้ฉันกลับใจและเปลี่ยนแปลง พระเจ้ากำลังทรงช่วยฉันให้รอด ฉันรู้สึกสำนึกในบุญคุณของพระองค์อย่างมาก! ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่ต้องการใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยโอหังนี้อีกแล้ว ขอพระองค์ทรงนำและช่วยข้าพระองค์ให้รอด และช่วยให้ข้าพระองค์ใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ด้วยเถิด”
หลังจากนั้นไม่นาน สภาวะของฉันก็ดีขึ้นเล็กน้อย ผู้นำจึงจัดแจงให้ฉันไปให้น้ำผู้มาใหม่อีกครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง พี่น้องหญิงคนหนึ่งมีปัญหาในการให้น้ำผู้มาใหม่ และไม่รู้จะทำอย่างไร เธอจึงมาหาฉันเพื่อแสวงหาการสามัคคีธรรม ปรากฏว่าเธอยังไม่เข้าใจต้นตอปัญหาของผู้มาใหม่อย่างถ่องแท้ ฉันจึงเริ่มรู้สึกดูถูกเธอ ฉันคิดว่า “ขีดความสามารถของเธอต่ำเกินไป เธอถึงได้มองไม่เห็นปัญหาของผู้มาใหม่ไงล่ะ ถ้าทุกคนให้น้ำผู้มาใหม่อย่างที่เธอทำ งานของคริสตจักรจะไม่ล่าช้าหรอกเหรอ?” แต่ครั้งนี้ ฉันรู้ตัวว่ากำลังเผยอุปนิสัยโอหังของตัวเองออกมา ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อขัดขืนตัวเอง ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ที่ว่า “และในฐานะผู้รอบรู้ในสายงาน เจ้าต้องไม่วางโตหรือโอ้อวดคุณสมบัติของเจ้า เจ้าควรถ่ายทอดทักษะและความรู้ของเจ้าให้แก่ผู้มาใหม่ในเชิงรุก เพื่อให้ทุกคนสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนร่วมกันได้ดี อาจเป็นได้ว่าเจ้ารู้เรื่องที่สุดในสายงานของเจ้าและเป็นผู้นำในด้านทักษะ แต่นี่คือพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า เจ้าจึงควรใช้พรสวรรค์ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและนำจุดแข็งของเจ้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าเจ้าจะมีทักษะหรือมีพรสวรรค์ปานใด เจ้าก็ไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ หากทุกคนสามารถฝึกฝนทักษะและมีความรู้ในสายงานได้ การปฏิบัติหน้าที่ก็จะมีประสิทธิผลมากขึ้น ดังภาษิตว่าผู้มีความสามารถต้องมีอีกสามคนคอยหนุน ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะมีความสามารถปานใด หากไร้ความช่วยเหลือจากผู้อื่นก็ย่อมไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้น ไม่มีใครควรโอหัง และไม่มีใครควรอยากกระทำการหรือตัดสินใจเอาเอง ผู้คนควรขบถต่อเนื้อหนัง วางมือจากแนวคิดและความเห็นของตน แล้วทำงานกับผู้อื่นอย่างกลมกลืน ผู้ใดก็ตามที่มีความรู้ในสายงานควรช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเปี่ยมรัก เพื่อที่พวกเขาอาจชำนาญทักษะและแตกฉานในความรู้เหล่านี้ด้วย นี่ย่อมเป็นผลดีต่อการปฏิบัติหน้าที่… หากเจ้าคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเต็มใจที่จะจงรักภักดีต่องานแห่งพระนิเวศของพระองค์ เจ้าก็ควรทุ่มเทนำจุดแข็งและทักษะทั้งหมดของเจ้ามาใช้ เพื่อที่ผู้อื่นอาจเรียนรู้และฝึกฝนทั้งหมดนั้นได้ และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น นี่คือสิ่งที่ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ พวกเขาย่อมได้รับความรักและพรจากพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน) พระวจนะของพระเจ้าแสดงเส้นทางแห่งการปฏิบัติให้ฉัน พี่น้องหญิงของฉันเพิ่งเริ่มฝึกให้น้ำผู้มาใหม่ เป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะไม่สามารถเข้าใจหรือแก้ไขปัญหาบางอย่างได้ ฉันควรทำให้ดีที่สุดเพื่อช่วยเธอ และสอนเธอว่าจะจัดการกับปัญหาเหล่านั้นอย่างไร ดังนั้นฉันจึงได้สามัคคีธรรมกับเธอ และเราก็ร่วมกันหาพระวจนะของพระเจ้าบทตอนที่เกี่ยวข้อง ต่อมา ปัญหาของผู้มาใหม่ก็ได้รับการแก้ไข และเขาก็ยินดีที่จะประกาศข่าวประเสริฐ ฉันกับพี่น้องหญิงรู้สึกดีใจมาก หลังจากนั้น เวลาฉันทำงานกับเหล่าพี่น้องชายหญิง ฉันก็มีความถ่อมใจมากขึ้น บางครั้ง เวลาที่ประกาศข่าวประเสริฐและให้น้ำผู้มาใหม่ พวกเขาไม่สามารถแก้ปัญหาของผู้สนใจรับข่าวประเสริฐและผู้มาใหม่ได้ แต่ฉันก็ไม่ดูถูกพวกเขาอีกต่อไป เราสามัคคีธรรมและแสวงหาหลักธรรมร่วมกันแทน เวลาที่พวกเขาเสนอข้อเสนอแนะอื่นๆ ฉันก็พยายามข่มใจตัวเองและรับฟังพวกเขา ฉันไม่กำหนดทิศทางให้หรือมองพวกเขาอย่างดูแคลนอีกต่อไป การทำเช่นนี้ทำให้ฉันมีความสงบและเป็นอิสระในหัวใจ