39. การทำธุรกรรมเบื้องหลังการจ่ายราคา
วันหนึ่งในปลายปี 2019 จู่ๆ หลานสาวฉันก็บอกว่าปวดขา ฉันพาเธอไปโรงพยาบาลเพื่อเอกซเรย์ แต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร ฉันเลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก วันต่อมา เธอบอกว่า ขาเธอยังปวดตุบๆ อยู่เลย พอเห็นเธอร้องไห้เพราะปวด ทำเอาฉันร้องไห้ตาม พอตกกลางคืน เธอปวดขาถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่ได้นอนเลย ฉันนวดขาให้เธอพร้อมกับอธิษฐานถึงพระเจ้าไปด้วยตลอด และฝากอาการเจ็บป่วยของเธอไว้กับพระองค์ ในช่วงเช้าของวันที่สาม ลูกชายและลูกสะใภ้ของฉันพาหลานสาวฉันไปโรงพยาบาลประจำอำเภอ
หลังจากถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล เธอมีไข้ขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง และคงอยู่ที่ 40 องศาไม่ลดลงเลย เธอได้รับการตรวจในแผนกศัลยกรรมและอายุรกรรม แต่ก็ไม่พบปัญหาอะไร และแพทย์ก็ไม่มีวิธีรักษา ด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง ลูกชายฉันจึงพาเธอไปโรงพยาบาลในเมืองหลวงของมณฑล เมื่อปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ ทีแรกผลการวินิจฉัยออกมาว่าเป็นโรคลูปัส แต่ต่อมากลับได้ผลการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด เมื่อพ่อแม่ของลูกสะใภ้กลับจากโรงพยาบาลและเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฉันฟัง ฉันรู้สึกเป็นกังวลมาก ทั้งโรคลูปัสและภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดต่างถึงตายได้ทั้งนั้น แม้จะวางเรื่องผลวินิจฉัยไว้ก่อน หลานสาวฉันก็ยังคงมีไข้สูงถึง 40 องศา ซึ่งสามารถส่งผลร้ายต่อสุขภาพเธอได้อย่างมากหากเป็นอยู่นานเกินไป สถานการณ์ของเธอไม่สู้ดีเลย ฉันยิ่งคิดเรื่องนี้ก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ ฉันเลี้ยงหลานสาวมา และคงทนไม่ได้หากต้องเห็นเธอเป็นอะไรไป ฉันพยายามปลอบใจตัวเองอยู่อย่างนั้น คิดว่า “เธอจะไม่เป็นไร พระเจ้าทรงฤทธานุภาพทุกประการ พระองค์จะทรงคุ้มครองหลานสาวของฉัน พระองค์จะไม่ปล่อยให้เธอตาย” เมื่อฉันคิดถึงความเจ็บป่วยของหลานสาว ฉันมักจะร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจ เธอยังเด็กนัก และต้องมาทนทุกข์เช่นนี้ ฉันอยากเป็นคนที่ต้องพบกับความเจ็บป่วยเสียเอง เพื่อจะได้ทนทุกข์แทนเธอ ฉันยังคิดอีกด้วยว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้า แล้วเหตุใดเรื่องนี้ถึงเกิดกับครอบครัวของฉัน?” แต่แล้วฉันก็คิดอีกทีว่า “แท้จริงแล้ว สถานการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นกับฉันจากการทรงอนุญาตของพระเจ้า บางทีพระองค์อาจทรงกำลังทดสอบความเชื่อของฉันอยู่ ฉันตำหนิพระเจ้าไม่ได้ ตราบใดที่ฉันยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของฉัน อาการป่วยของหลานสาวฉันก็จะหาย” จากนั้นมา ฉันกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปกติ และปฏิบัติหน้าที่ของฉันต่อไป ในการรับรองบรรดาพี่น้องชายหญิง ฉันก็ทำทุกอย่างที่ทำได้แก่พวกเขา พี่น้องชายหญิงต้องการช่วยเหลือฉัน แต่ฉันไม่ยอมให้ช่วย ฉันคิดว่า ตราบใดที่ฉันยังปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุด พระเจ้าจะทรงแสดงพระคุณแก่ฉัน และหลานสาวของฉันจะอาการดีขึ้น
หลังจากนั้นประมาณครึ่งเดือน ลูกชายฉันโทรมาบอกว่า การป่วยของหลานสาวฉันได้รับการยืนยันแล้วว่ามีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด เธอยังมีไข้สูงแบบเป็นๆ หายๆ และมีเนื้องอกเกิดขึ้นที่เยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต เมื่อได้ยินข่าวนี้ ฉันรูู้สึกบีบคั้นหัวใจ ฉันยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ ด้งนั้นฉันจึงร้องขอต่อพระเจ้า “หลานสาวของข้าพระองค์ป่วย แต่ข้าพระองค์ได้ทำหน้าที่มาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเธอควรจะอาการดีขึ้นสิ! แต่ตอนนี้ โรคที่เป็นนอกจากจะไม่ดีขึ้นแล้ว ยังกลับทรุดลงอีกต่างหาก เป็นไปไม่ได้จริงๆ หรือคะที่จะรักษาโรคของเธอ?” วันหนึ่งสามีฉันมาหา เขาร้องไห้และพูดว่า “หลานสาวเรากำลังจะตาย ทางโรงพยาบาลบอกว่าเธอป่วยระยะสุดท้าย และหมอบอกว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว พวกเขาบอกให้เราพาเธอกลับบ้าน” คำพูดของสามีเหมือนสายฟ้าฟาด ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่ามันเป็นเรื่องจริง ฉันรับไม่ได้ ในหัวฉันมีภาพชีวิตฉันกับหลานสาวผุดขึ้นเต็มไปหมด เมื่อคิดว่าเธอเคยน่ารักมากเพียงใด น้ำตาฉันก็ไหลไม่หยุด ฉันร้องไห้ฟูมฟายต่อพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอให้พระองค์ทรงโปรดดูแลหัวใจของฉัน และทรงนำฉันให้นบนอบ แต่เมื่อฉันเห็นรูปถ่ายเธอในโทรศัพท์ ใบหน้าเธอบวมช้ำ ฉันก็สูญเสียความตั้งใจทั้งหมดที่จะสู้ต่อ ฉันไม่อยากอ่านพระวจนะของพระเจ้า และรู้สึกไม่มีแรงจูงใจที่จะปฎิบัติหน้าที่ของตัวเอง สิ่งเดียวที่ฉันสนใจคืออาการป่วยของหลานสาว ต่อมา ลูกเขยของฉันได้นำประวัติการรักษาของหลานสาวไปปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ แต่ผู้เชี่ยวชาญก็บอกเช่นกันว่า พวกเขาทำอะไรไม่ได้ และแนะนำให้หยุดเสียเงินไปกับสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขได้ ซึ่งนี่ยิ่งทำให้ฉันเสียใจ “ฉันเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี ฉันไม่เคยหยุดปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง และพยายามทำงานทุกอย่างที่ทางคริสตจักรจัดแจงให้ฉันทำอย่างดีที่สุดอยู่เสมอ แม้กระทั่งตอนที่หลานสาวป่วย ฉันก็ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ ยังคงรับรองพี่น้องชายหญิงต่อไป หลังจากที่ต้องจ่ายราคามามากขนาดนี้ ทำไมหลานสาวของฉันถึงได้ป่วยร้ายแรงเช่นนี้?” ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ ฉันอดร้องไห้ไม่ได้เลย ในความเจ็บปวดนั้น ฉันได้อธิษฐานถึงพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า หลานสาวของข้าพระองค์กำลังจะตาย ข้าพระองค์ทุกข์ใจและอ่อนแอ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร อีกทั้งยังพร่ำบ่นพระองค์ โปรดชี้แนะข้าพระองค์ให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ด้วยเถิด”
ในความทุกข์นั้น ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า
4. หากหลังจากเจ้าได้ใช้จ่ายเพื่อเราแล้ว เราไม่พึงพอใจกับข้อเรียกร้องไม่กี่อย่างของเจ้า เจ้าจะกลายเป็นท้อแท้ใจและผิดหวังในตัวเรา หรือกระทั่งกลายเป็นโกรธแค้นและตะโกนด่าทอหรือไม่?
5. หากเจ้าจงรักภักดีอย่างมากมาโดยตลอด มีความรักมากมายให้เรา กระนั้นเจ้าก็ยังทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ความตึงเครียดทางการเงิน และการทอดทิ้งของผองเพื่อนและญาติมิตรของเจ้า หรือหากเจ้าทนฝ่าโชคร้ายอื่นใดในชีวิต ความจงรักภักดีและความรักของเจ้าที่มีต่อเราจะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (2)
เมื่อเผชิญคำถามของพระเจ้า ฉันรู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง ความเจ็บป่วยของหลานสาวเป็นบททดสอบที่แท้จริงสำหรับฉัน เพื่อจะดูว่าฉันมีความเชื่อและนบนอบพระเจ้าหรือไม่ ในอดีต ฉันคิดอยู่เสมอว่าได้ใช้ความพยายาม และปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองเพื่อพระเจ้า ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ฉันจงรักภักดีต่อพระเจ้าแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อหลานสาวของฉันเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด และอาการของเธอแย่ลง ฉันก็เริ่มคิดลบและพร่ำบ่น ฉันเลิกอยากอ่านพระวจนะของพระเจ้า และเริ่มขาดแรงจูงใจในการทำหน้าที่ ฉันเห็นว่า ที่จริงแล้วฉันไม่ได้นบนอบหรือจงรักภักดีต่อพระเจ้า ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงชี้แนะฉันให้เรียนรู้บทเรียนและนบนอบอย่างจริงใจในเรื่องความเจ็บป่วยของหลานสาวฉัน ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าแสวงหา การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่? เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ? เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?… เจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ? เจ้ากล้าเผชิญหน้าพระเจ้ากระนั้นหรือ? หากเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป เจ้าย่อมจะไม่ได้สิ่งใดเลยไม่ใช่หรือ? หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) พระวจนะของพระเจ้าเผยสภาวะของฉัน จากจุดเริ่มต้นความเชื่อของฉันในพระเจ้า ฉันคิดว่า ตราบใดที่ฉันได้ใช้ความพยายามเพื่อพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของฉัน พระเจ้าจะประทานพรให้ครอบครัวฉันพบสันติสุขและความเจริญรุ่งเรือง และทุกคนจะปลอดจากโรคและภัยพิบัติ ดังนั้นนับตั้งแต่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันจึงกระตือรือร้นที่จะปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ พระเจ้าทรงกรุณาต่อฉันมาก ก่อนที่ฉันจะรู้ตัว โรคภัยบางอย่างของฉันก็หายดีแล้ว และความมุ่งมั่นไล่ตามเสาะหาของฉันก็ยิ่งแรงกล้ามากขึ้น แม้ว่าฉันจะถูกพรรคคอมมิวนิสต์จับกุม ฉันก็ยังคงทำหน้าที่ต่อหลังจากได้รับการปล่อยตัว แต่เมื่อหลานสาวของฉันป่วยด้วยโรคร้ายแรงนี้ ในใจฉันพร่ำบ่นพระเจ้าที่ไม่ทรงคุ้มครองเธอ แม้ว่าฉันยังคงปฏิบัติหน้าที่ตัวเองต่อไป แต่ก็เป็นเพราะฉันแค่ต้องการให้พระเจ้าทรงคุ้มครองหลานสาวฉันโดยการรักษาเธอให้หาย ฉันต้องการแลกความพยายามและการพลีอุทิศภายนอกของตัวเองกับพระพรของพระเจ้า เมื่ออาการป่วยของหลานสาวฉันไม่ดีขึ้น ชีวิตของเธอก็ตกอยู่ในอันตราย และโรงพยาบาลก็ยุติการรักษา ฉันหัวใจสลาย ฉันข้าใจผิด และพร่ำบ่นพระเจ้า คิดว่าพระองค์ไม่ทรงชอบธรรม ฉันเริ่มคิดลบ และต่อต้านพระเจ้า ฉันเห็นว่าตัวเองเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพระคุณและพระพร ฉันไล่ตามไขว่คว้าความสะดวกสบายในชีวิตและความปลอดภัยทางกาย แทนที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง และการพลีอุทิศและความพยายามของฉันนั้นไม่ใช่การนบนอบพระเจ้าอย่างจริงใจ แต่กลับเต็มไปด้วยความอยากได้อยากมีและข้อเรียกร้องที่เกินเลยต่อพระเจ้า นี่คือการหลอกลวงพระเจ้าและพยายามทำธุรกรรมกับพระองค์ ต่อมา ฉันได้พระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “พระเจ้าจะทรงทำในสิ่งที่พระองค์ควรที่จะทำ และพระอุปนิสัยของพระองค์นั้นก็ชอบธรรม ความชอบธรรมไม่ใช่ความเป็นธรรมหรือความมีเหตุผลแต่อย่างใด ความชอบธรรมไม่ใช่สมภาคนิยม หรือเรื่องของการจัดสรรสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับให้แก่เจ้าโดยสอดคล้องกับการที่เจ้าได้ทำงานให้ครบบริบูรณ์ไปมากเท่าใด หรือการจ่ายให้เจ้าสำหรับงานใดก็ตามที่เจ้าได้ทำไป หรือการให้สิทธิอันควรแก่เจ้าไปตามความพยายามอันใดที่เจ้าสละ นี่ไม่ใช่ความชอบธรรม หากแต่เป็นเพียงการปฏิบัติที่เป็นธรรมและมีเหตุผล มีน้อยคนนักที่สามารถรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า สมมุติว่าพระเจ้าทรงกำจัดโยบทิ้งหลังจากที่โยบเป็นพยานเพื่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว การทำแบบนี้ชอบธรรมหรือไม่? อันที่จริง การทำแบบนี้ชอบธรรม เหตุใดจึงเรียกการทำแบบนี้ว่าความชอบธรรม? มนุษย์มองความชอบธรรมอย่างไร? หากบางสิ่งอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน เช่นนั้นก็ย่อมง่ายมากสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่า พระเจ้าทรงชอบธรรม อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นการอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา—หากนั่นเป็นบางสิ่งที่พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะจับใจความได้—เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม เมื่อย้อนกลับไปตอนนั้น หากพระเจ้าได้ทรงทำลายโยบไป ผู้คนก็คงจะไม่ได้กล่าวว่าพระองค์ทรงชอบธรรม ถึงกระนั้นก็ตาม อันที่จริงแล้วไม่ว่าผู้คนได้ถูกทำให้เสื่อมทรามหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งหรือไม่ พระเจ้าจำเป็นต้องหาเหตุผลให้กับพระองค์เองในตอนที่พระองค์ทรงทำลายพวกเขากระนั้นหรือ? พระองค์ควรจำเป็นต้องอธิบายต่อผู้คนกระนั้นหรือ ว่าพระองค์ทรงทำดังนั้นไปบนพื้นฐานใด? พระเจ้าต้องตรัสแจ้งผู้คนถึงกฎเกณฑ์ที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้หรือ? ไม่มีความจำเป็นเลย ในพระเนตรของพระเจ้านั้น ใครบางคนที่เสื่อมทรามและมีโอกาสต่อต้านพระเจ้า เป็นคนที่ไม่มีค่าใด ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดการพวกเขาอย่างไรย่อมจะเป็นการสมควร และทั้งหมดล้วนเป็นการจัดการเตรียมการของพระเจ้า หากเจ้าไม่เป็นที่น่ายินดีในสายพระเนตรของพระเจ้า และหากพระองค์ตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงเห็นประโยชน์ของเจ้าแล้วหลังจากคำพยานของเจ้า เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงทำลายเจ้า นี่จะเป็นความชอบธรรมของพระองค์ด้วยหรือไม่? นี่เป็นความชอบธรรม เจ้าอาจจะไม่มีความสามารถที่จะระลึกได้ถึงการนี้ในตอนนี้จากข้อเท็จจริงทั้งหลาย แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจในคำสอน พวกเจ้าจะว่าอย่างไร—การทำลายล้างซาตานของพระเจ้านั้นเป็นการแสดงออกถึงความชอบธรรมของพระองค์หรือไม่? (ใช่) จะเป็นอย่างไรหากพระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ซาตานคงอยู่? เจ้าไม่กล้าพูดใช่ไหม? แก่นแท้ของพระเจ้านั้นชอบธรรม แม้ว่าไม่ง่ายที่จะจับใจความสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนชอบธรรม เป็นธรรมดาที่ผู้คนไม่เข้าใจ ตอนที่พระเจ้าทรงมอบเปโตรให้กับซาตาน เปโตรตอบสนองอย่างไร? ‘มวลมนุษย์นั้นไร้ความสามารถที่จะหยั่งถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ แต่ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนบรรจุน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ มีความชอบธรรมอยู่ในทั้งหมดนั้น เป็นไปได้อย่างไรที่ข้าพระองค์จะไม่เปล่งถ้อยคำสรรเสริญแด่พระปัญญาและกิจการของพระองค์?’… ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนชอบธรรม แม้มนุษย์อาจจะไม่สามารถรับรู้ความชอบธรรมของพระเจ้าได้ก็ตาม แต่พวกเขาไม่ควรทำการตัดสินตามใจชอบ หากบางสิ่งที่พระองค์ทรงทำปรากฏแก่มนุษย์ทั้งหลายว่าไร้เหตุผล หรือหากพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดใดเกี่ยวกับเรื่องนั้น และนั่นทำให้พวกเขากล่าวว่าพระองค์ทรงไม่ชอบธรรม เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็กําลังไร้เหตุผลอย่างที่สุด เจ้าก็เห็นว่าเปโตรพบบางสิ่งไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เขาแน่ใจว่าพระปัญญาของพระเจ้าสถิตอยู่และมีน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ในสิ่งเหล่านั้น มนุษย์ไม่สามารถหยั่งถึงทุกสิ่งได้ มีสิ่งต่างๆ มากมายเหลือเกินที่พวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจ ดังนั้น การรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าจึงไม่ใช่เรื่องง่าย” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) หลังจากที่ได้ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่า ความชอบธรรมของพระองค์ไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันเคยจินตนาการไว้ ฉันเคยคิดว่า ความชอบธรรมหมายถึงการทำงานปริมาณหนึ่งแล้วได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ หรือเมื่อพยายามแล้วก็จะได้รับรางวัลตอบแทน นี่เป็นเพียงมโนคติอันหลงผิดของฉันเอง พระเจ้าคือความจริง และแก่นแท้ของพระองค์คือความชอบธรรม ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงกระทำสิ่งใด และไม่ว่าสิ่งนั้นจะสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์หรือไม่ สิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นล้วนชอบธรรม ฉันประเมินความชอบธรรมของพระเจ้าจากมุมมองของการสร้างธุรกรรมหรือการแลกเปลี่ยน ฉันเชื่อว่าถ้าฉันพยายามมาก ละทิ้งมาก ฉันก็จะได้รับพระพรจากพระเจ้า ฉันคิดว่า หากฉันทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่ พระเจ้าก็ควรจะทรงคุ้มครองครอบครัวฉัน และดูแลไม่ให้หลานสาวฉันเจ็บป่วยหรือประสบภัยพิบัติ ดังนั้นเมื่อเธอต้องมาป่วยหนัก ฉันจึงอ้างเหตุผลกับพระเจ้า พร่ำบ่นพระองค์ และคิดว่าพระองค์ไม่ทรงชอบธรรม ทัศนะของฉันช่างน่าหัวเราะสิ้นดี ฉันตาบอด และไม่รู้จักพระเจ้าเลย ฉันคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ดังนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองและตอบแทนความรักของพระเจ้าเป็นเรื่องธรรมชาติและถูกต้อง เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของฉัน ฉันไม่ควรไปพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้าเลย ก็เหมือนกับลูกที่ควรกตัญญูต่อพ่อแม่ ฉันควรนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการของพระเจ้าโดยปราศจากเงื่อนไข ไม่ต้องคำนึงว่า พระองค์จะประทานพระคุณและพระพรแก่ฉัน หรือทำให้ฉันต้องทนทุกข์จากภัยพิบัติหรือไม่ เพราะพระเจ้านั้นทรงชอบธรรม มิฉะนั้น ฉันก็คงไม่คู่ควรกับการถูกเรียกว่ามนุษย์ ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าต้องประสบกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ภัยพิบัติ การได้รับพร และความโชคร้าย และบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าก็ไม่มีข้อยกเว้น พระเจ้าไม่เคยตรัสอ้างว่าผู้เชื่อจะปลอดภัยและได้รับการคุ้มครองเสมอไป ในทางกลับกัน ไม่ว่าจะมีสถานการณ์ใดเกิดขึ้นกับเรา พระเจ้าทรงประสงค์ให้เรามีความเชื่อและนบนอบอย่างแท้จริง และลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่ฉันกลับเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อแสวงหาพระพร ฉันได้แต่ขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองครอบครัวฉันให้ปลอดภัย ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและภัยพิบัติ ทว่าฉันไม่ได้แสวงหาความจริงและนบนอบพระองค์เลย ความเชื่อของฉันเป็นแค่ความเชื่อทางศาสนา ที่ใช้เพื่อเสาะแสวงที่จะกินขนมปังให้อิ่มท้องเท่านั้น และพระเจ้าไม่ทรงรับรองความเชื่อเช่นนั้นเลย หากไม่มีการเผยข้อเท็จจริงเหล่านี้ ฉันก็คงไม่มีทางตระหนักถึงมุมมองที่ผิดพลาดของตนเองที่เชื่อพระเจ้าเพียงเพื่อแสวงหาพระพร ฉันจะไม่มีวันได้รับความจริงจากการเชื่อเช่นนี้ แต่กลับจะถูกพระเจ้าทรงกำจัดออกไป พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้สถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของฉันเกิดขึ้น เพื่อเป็นหนทางในการชำระความเชื่อเพื่อให้ได้รับพรของฉันให้บริสุทธิ์ และเพื่อชำระมลทินและความเสื่อมทรามของฉันให้บริสุทธิ์ รวมถึงเพื่อเปลี่ยนแปลงและช่วยฉันให้รอด นี่คือความรักของพระเจ้า! เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
จากนั้น ฉันยังคงคิดทบทวนต่อไปว่า อะไรคือธรรมชาติที่บงการความเชื่อแบบธุรกรรมที่ฉันมีต่อพระเจ้า ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์ ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของพวกเขาเอง เมื่อพวกเขาละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตัวเองเพื่อพระเจ้า นั่นเป็นไปเพื่อที่จะได้รับพร และเมื่อพวกเขาจงรักภักดีต่อพระองค์ นั่นก็ยังคงเป็นไปเพื่อที่จะได้รับบำเหน็จรางวัลอยู่ดี โดยสรุปแล้ว ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพร ได้รับรางวัล และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ในสังคม ผู้คนทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ทำหน้าที่เพื่อที่จะได้รับพร เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถสู้ทนความทุกข์มากมายได้ ไม่มีหลักฐานถึงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์ที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) “พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะพระเจ้า เพราะมวลมนุษย์ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งเกินไป และผู้คนก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะพระเจ้า แต่ปฏิบัติในฐานะคนคนหนึ่ง การที่ผู้คนสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าอยู่เสมอนั้นเป็นปัญหาอย่างไร? และการที่พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่เสมอนั้นเป็นปัญหาอย่างไร? สิ่งใดกันที่ถูกบรรจุอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์? เราได้ค้นพบว่า ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดกับพวกเขา หรือไม่ว่าพวกเขาจัดการกับสิ่งใด ผู้คนก็เอาแต่คุ้มครองผลประโยชน์ของตัวเองและกังวลกับเนื้อหนังของตัวเอง และพวกเขาก็มองหาเหตุผลหรือข้ออ้างเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอ พวกเขาไม่ได้แสวงหาหรือยอมรับความจริงเลยสักนิด และทุกสิ่งที่พวกเขาทำก็คือการสร้างความชอบธรรมให้แก่เนื้อหนังของตนเองและวางแผนเพื่อความสำเร็จของตนในภายหน้า พวกเขาล้วนวอนขอพระคุณจากพระเจ้า อยากได้รับผลประโยชน์ใดก็ตามที่ตนทำได้ เหตุใดผู้คนจึงสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้ามากมายนัก? เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้คนมีความโลภโดยธรรมชาติ ถึงกระนั้นเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาก็ยังไม่มีเหตุผลใดๆ เลย ทุกสิ่งที่ผู้คนทำ—ไม่ว่าจะเป็นในขณะที่กำลังอธิษฐาน หรือสามัคคีธรรม หรือเทศนาสั่งสอน—ทั้งในการไล่ตามเสาะหา ในความนึกคิด และในความใฝ่ฝันของพวกเขา เหล่านี้ล้วนเป็นการเรียกร้องต่อพระเจ้า และเป็นการพยายามวอนขอสิ่งทั้งหลายจากพระองค์ ทั้งหมดนี้ผู้คนทำไปด้วยหวังว่าจะได้รับบางสิ่งจากพระเจ้า บางคนบอกว่า ‘นี่คือธรรมชาติของมนุษย์’ ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว! นอกจากนี้ การที่ผู้คนสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้ามากเกินไปและมีความปรารถนาอันฟุ้งเฟ้อมากเกินไป ก็พิสูจน์ว่าผู้คนขาดมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริง พวกเขาล้วนเรียกร้องและวอนขอสิ่งต่างๆ เพื่อประโยชน์ของตัวเอง หรือพยายามโต้แย้งและหาข้ออ้างให้ตัวเอง ทำเรื่องทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวเอง สามารถเห็นได้จากหลายสิ่งว่า สิ่งที่ผู้คนทำนั้นไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง อันเป็นข้อพิสูจน์ที่สมบูรณ์ถึงตรรกะเยี่ยงซาตานที่ว่า ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ ได้กลายเป็นธรรมชาติของมนุษย์ไปเสียแล้ว” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ผู้คนสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้ามากเกินไป) ฉันตรึกตรองพระวจนะของพระเจ้า และตระหนักว่า ฉันเชื่อในพระเจ้าเพื่อแสวงหาพระพรและผลประโยชน์ เพราะฉันถูกพิษร้ายของซาตานเข้าควบคุม อย่างเช่น “ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “อย่ากระดิกแม้แต่นิ้วเดียวหากไม่ได้รางวัล” การดำเนินชีวิตภายใต้พิษร้ายของซาตานเหล่านี้ทำให้ฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวและหลอกลวงเป็นพิเศษ ฉันแสวงหาแต่ผลประโยชน์ และพยายามทำธุรกรรมกับพระเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน แม้ว่าฉันจะทุ่มเทความพยายามและจ่ายราคาอย่างมากตลอดหลายปีที่เชื่อในพระเจ้า แต่ฉันก็ทำทั้งหมดนั้นเพื่อพระพรและผลประโยชน์ของตัวเอง ฉันต้องการแลกเปลี่ยนราคาเพียงน้อยนิดที่จ่ายไปกับพระพรอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ฉันไม่ได้นบนอบพระเจ้าและไม่ได้จงรักภักดีต่อพระองค์เลย ผลก็คือ เมื่อหลานสาวของฉันป่วยหนัก และความทะเยอทะยานในการได้รับพรของฉันล่มสลาย ฉันรู้สึกทุกข์ใจอย่างยิ่งและพร่ำบ่นพระเจ้า ไม่มีแรงจูงใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ฉันใช้ความพยายามและราคาเพียงเล็กน้อยที่จ่ายไปเป็นทุนในการเถียงและต่อต้านพระเจ้า ฉันเห็นว่าขณะที่ปฏิบัติหน้าที่นั้น ฉันกำลังหลอกลวงพระเจ้า สร้างข้อเรียกร้องต่างๆ นานา และพยายามทำการแลกเปลี่ยนกับพระองค์ ซาตานทำให้ฉันเสื่อมทรามอย่างฝังลึกเกินไป และฉันก็เห็นแก่ตัวและหลอกลวงเกินไป ฉันนึกถึงเปาโล ผู้ที่ประกาศ ทำงาน ละทิ้งทุกสิ่ง ทุ่มเทความพยายาม ทนทุกข์ใหญ่หลวง และแม้กระทั่งพลีชีพเป็นมรณสักขี ทว่า เขากลับไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือปฏิบัติตามพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเลย การละทิ้งและความพยายามทั้งหมดของเขาเป็นไปเพื่อให้ได้รับรางวัลและมงกุฎเท่านั้น เขากล่าวว่า เขาได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง วิ่งแข่งจนครบถ้วน และรักษาความเชื่อไว้แล้ว และมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของเขา ความหมายของเขาคือ พระเจ้าจะทรงเป็นผู้ชอบธรรมก็ต่อเมื่อพระองค์ประทานรางวัลและมงกุฎให้แก่เขา และถ้าพระเจ้าไม่ประทานรางวัลหรือมงกุฎให้ แสดงว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม จากเรื่องนี้ เราจะเห็นได้ว่า ความทุกข์และความพยายามที่เปาโลได้ทำไปในการเชื่อในพระเจ้านั้น เป็นเพียงการทำธุรกรรมกับพระเจ้าเท่านั้น ในที่สุด เขาได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า และถูกพระองค์ลงโทษ ฉันก็เหมือนกัน ฉันเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อไล่ตามไขว่คว้าพระคุณและพระพร และถือว่าการละทิ้งและความพยายามของตัวเองเป็นวิธีการและเป็นต้นทุนเพื่อแลกกับพระพร ถ้าฉันไม่เปลี่ยนมุมมองที่ผิดพลาดในการไล่ตามเสาะหา ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ฉันก็ไม่มีวันได้รับความเห็นชอบพระเจ้า ฉันจะถูกพระเจ้าทรงเผยและกำจัดออกไปเช่นเดียวกับเปาโล จากนั้นฉันก็ได้อ่านพระวจนะอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มนุษย์ควรพยายามลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพยายามรักพระเจ้าโดยไม่สร้างตัวเลือกอื่น เพราะพระเจ้าทรงคู่ควรกับความรักของมนุษย์ บรรดาผู้ที่พยายามรักพระเจ้าไม่ควรไล่ตามไขว่คว้าประโยชน์ส่วนตัวใดๆ หรือไล่ตามไขว่คว้าสิ่งซึ่งพวกเขาถวิลหาเป็นการส่วนตัว นี่คือวิถีทางที่ถูกต้องที่สุดของการไล่ตามเสาะหา หากสิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือความจริง หากสิ่งที่เจ้านำไปปฏิบัติคือความจริง และหากสิ่งที่เจ้าบรรลุคือการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า เช่นนั้นแล้วเส้นทางที่เจ้าย่ำเท้าก็เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่าฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ผู้ซึ่งได้รับอาหาร น้ำ และความอุดมสมบูรณ์ในชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ ฉันควรไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดี และไล่ตามเสาะหาการนบนอบและความรักต่อพระเจ้า นี่คือมโนธรรมและเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี ฉันนึกถึงการที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ถึงสองครั้งเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด การที่พระองค์ทรงทนทุกข์กับการถูกเยาะเย้ย ใส่ร้ายป้ายสี และถูกปฏิเสธจากโลก รวมทั้งการถูกข่มเหงและประณามจากพรรคคอมมิวนิสต์และโลกศาสนา แต่ถึงกระนั้น พระองค์ยังคงแสดงความจริงอย่างเงียบๆ เพื่อทรงให้น้ำและจัดเตรียมให้เรา พระองค์ยังได้ทรงจัดเตรียมสถานการณ์มากมายเพื่อเผยความเสื่อมทรามของเรา เพื่อชำระเราให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงเรา แม้ว่าภายในตัวฉันยังคงมีความเป็นกบฏและความเสื่อมทรามอยู่มาก และฉันอาจเข้าใจผิดและพร่ำบ่นพระเจ้าเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่ฉันต้องการ แต่พระเจ้าไม่เคยยอมแพ้ที่จะช่วยให้ฉันรอดพ้น พระองค์ใช้พระวจนะของพระองค์ในการพิพากษา เปิดโปง เตือนใจ เตือนสติ ปลอบประโลม และหนุนใจฉัน ในขณะที่พระองค์ทรงรอให้ฉันแก้ไขทางเดินของตัวเอง ความรักของพระเจ้านั้นไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว และพระองค์ทรงน่ารักมาก! แต่ฉันกลับเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพระพรและผลประโยชน์เท่านั้น และไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความรักและการนบนอบพระองค์ ฉันช่างไม่มีมโนธรรมและเหตุผลเลยจริงๆ เมื่อรู้ได้อย่างนี้ ฉันก็รู้สึกตำหนิตัวเองและสำนึกผิดอย่างหนัก และรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้ามาก
สองสามวันต่อมา โรงพยาบาลแจ้งข่าวอีกครั้งว่า หลานสาวของฉันป่วยหนักขั้นวิกฤต และพวกเขาให้เธอออกจากโรงพยาบาล เพื่อให้เตียงว่างสำหรับรับผู้ป่วยรายอื่น เมื่อฉันได้ยินข่าวนี้ ฉันรู้สึกเศร้ามาก จึงได้อธิษฐานถึงพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ประทานลมหายใจแก่หลานสาวของข้าพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะทรงกระทำหรือจัดการเตรียมการสิ่งใด ก็ล้วนเหมาะสมและชอบธรรมทั้งสิ้น ต่อให้เธอต้องตาย ข้าพระองค์ก็จะไม่พร่ำบ่นใดๆ ข้าพระองค์จะยังคงเชื่อในพระองค์และติดตามพระองค์ต่อไป” หลังจากนั้น ลูกชายฉันได้พาหลานสาวฉันไปรักษาที่โรงพยาบาลอีกแห่งในเมืองหลวงของมณฑล แพทย์ได้อ่านประวัติการรักษาของหลานสาวฉัน แล้วบอกว่า ไม่สามารถรับตัวเธอไว้รักษาได้ เพราะภาวะเจ็บป่วยของเธอนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ลูกชายฉันจึงกลับมาโดยไม่ได้ส่งเธอเข้าโรงพยาบาล ฉันคิดว่า ในเวลานี้ “ถ้าพระเจ้าทรงลิขิตให้หลานสาวของฉันต้องตาย ก็ไม่มีใครช่วยเธอได้ แต่ถ้าพระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้เธอตาย ตราบใดที่เธอยังมีลมหายใจอยู่ ก็ไม่มีอะไรมาจบชีวิตเธอได้ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ฉันจะนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์” เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉันก็ไม่รู้สึกแย่เท่าที่เคยเป็น ไม่กี่วันต่อมา เมื่อฉันไปเยี่ยมหลานสาว ฉันเห็นเธอกำลังทรมานจากความเจ็บปวด ใบหน้าของเธอซูบผอมจนจำไม่ได้เลย ฉันใจสลาย และไม่อาจหยุดร้องไห้ได้เลย ความคิดที่ว่าหลานสาวของฉันจะต้องตายนั้นยังคงทำให้ฉันเศร้าใจมาก และเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากเผชิญ ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจ “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่สามารถผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ด้วยตัวเอง โปรดทรงดูแลหัวใจข้าพระองค์ และชี้แนะให้ข้าพระองค์นบนอบพระองค์ด้วยเถิด” ในขณะนี้ ฉันนึกถึงประสบการณ์ของอับราฮัมในการถวายอิสอัค พระเจ้าทรงขอให้อับราฮัมถวายบุตรชายของเขาเป็นเครื่องเผาบูชา ในเวลานั้น อับราฮัมก็รู้สึกทุกข์ใจอย่างมากเช่นกัน แต่เขาก็ยังวางอิสอัคบนแท่นบูชาอย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์ เมื่อเงื้อมีดขึ้นจะฆ่าบุตรชายของตน พระเจ้าทรงเห็นความจริงใจและการนบนอบของอับราฮัม จึงทรงหยุดเขาไว้ อับราฮัมมีความเชื่อและการนบนอบที่แท้จริงต่อพระเจ้า และเขาตั้งมั่นในคำพยานให้พระเจ้าในยามที่เผชิญบทบทสอบ ซึ่งทำให้เขาได้รับความเห็นชอบและพระพรจากพระองค์ ประสบการณ์ของอับราฮัมหนุนใจฉัน เมื่อนึกถึงตัวเอง ตอนที่เห็นหลานสาวอยู่ที่ปากเหวแห่งความตาย ฉันพูดว่า ฉันจะนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า แต่ก็ยังปล่อยวางไม่ได้ เมื่อเห็นเธอกำลังทรมาน ฉันก็ยังไม่อยากเผชิญหน้ากับความจริงนั้น ฉันยังคงหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์ ว่าพระเจ้าจะรักษาหลานสาวของฉันให้หายและให้เธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ในใจของฉัน ฉันเรียกร้องต่อพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า และฉันก็ไม่มีเหตุผลหรือการนบนอบเลยแม้แต่น้อย ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้ใดไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อยู่ในสายพระเนตรขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? ผู้ใดไม่ได้ใช้ชีวิตท่ามกลางการทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? ชีวิตและความตายของมนุษย์เกิดขึ้นด้วยการเลือกของเขาเองกระนั้นหรือ? มนุษย์ควบคุมชะตากรรมของเขาเองหรือ? ผู้คนมากมายร้องหาความตาย กระนั้นความตายก็อยู่ไกลจากพวกเขา ผู้คนมากมายต้องการที่จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งในชีวิตและเกรงกลัวความตาย กระนั้นวันที่พวกเขาจะสิ้นชีพกลับใกล้เข้ามา และผลักพวกเขาลงสู่หุบเหวแห่งความตายโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 11) ใช่แล้ว ชีวิตและความตาย โชคดีและโชคร้ายของผู้คน ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เวลาที่คนเกิดและเวลาที่คนตาย ล้วนแต่ถูกพระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว คนเราไม่มีทางเลือกในเรื่องนี้ ไม่ว่าความเจ็บป่วยของหลานสาวฉันจะรักษาได้หรือไม่ และเธอจะมีชีวิตอยู่ได้นานเพียงใด ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่มีมนุษย์คนใดมีอิทธิพลต่อเรื่องนี้เลย เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันจึงได้อธิษฐานถึงพระเจ้า ไม่ว่าความเจ็บป่วยของหลานสาวฉันจะรักษาให้หายได้หรือไม่ก็ตาม ฉันก็พร้อมที่จะนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า
วันหนึ่ง พี่สาวคนหนึ่งบอกสูตรยาพื้นบ้านแก่ฉัน ฉันปรุงยาให้หลานสาวของฉันตามวิธีที่พี่สาวอธิบาย ฉันไม่รู้หรอกว่า ยานั้นจะช่วยเธอได้หรือเปล่า แต่คิดว่าควรจะลองดู อาการเจ็บป่วยของหลานสาวฉันค่อยๆ ดีขึ้นทุกวันๆ โดยไม่คาดคิด ไข้ค่อยๆ ลดลง และในไม่ช้าเธอก็พ้นขีดอันตราย ไม่นานหลังจากนั้น เราก็พบสูตรยาพื้นบ้านอีกสูตรหนึ่ง และหลังจากกินไปได้สักพัก หลานสาวฉันก็หายปวดขา! ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างมาก อีกไม่กี่เดือนต่อมา หลานสาวฉันสามารถเดินได้สองสามก้าวโดยใช้มือเกาะสิ่งรอบข้างเพื่อพยุงตัว และอาการของเธอก็ค่อยๆ ดีขึ้น หนึ่งปีต่อมา เธอสามารถใช้ชีวิตและเดินได้อย่างปกติ และอาการที่หัวใจของเธอก็ได้รับการฟื้นฟู ต่อมา เมื่อผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลในเมืองหลวงของมณฑลทราบว่าหลานสาวของฉันไม่เพียงไม่ตาย แต่ยังกลับฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่อีกด้วย พวกเขาแทบไม่เชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง เราหมดเงินไปมากกับการพยายามรักษาอาการป่วยของเธอที่โรงพยาบาลนั้น แต่พวกเขากลับรักษาเธอไม่ได้ โรงพยาบาลใหญ่หลายแห่งได้ตัดสินให้หลานสาวฉันตาย แต่เมื่อฉันปล่อยวางความอยากได้พระพร เต็มใจนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และมอบหลานสาวของฉันไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ โรคของเธอกลับได้รับการรักษาอย่างไม่คาดคิดด้วยยาพื้นบ้านที่ใช้ของราคาไม่แพงแค่ไม่กี่อย่าง ฉันได้เห็นมหิทธานุภาพและอธิปไตยของพระเจ้าอย่างแท้จริง ปัจจุบัน หลานสาวของฉันไม่มีปัญหาอะไรนอกจากเดินลากขานิดหน่อยและหัวใจเต้นเร็วไปเล็กน้อย ผู้ที่คุ้นเคยกับโรคของเธอบอกว่านี่คือปาฏิหาริย์ที่เธอฟื้นตัวได้อย่างนี้
พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า “ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา สิ่งที่ผู้คนแสวงหาก็คือการได้มาซึ่งพรสำหรับอนาคต นี่คือเป้าหมายของพวกเขาในความเชื่อของพวกเขา ผู้คนทั้งหมดมีเจตนาและความหวังนี้ แต่ความเสื่อมทรามในธรรมชาติของพวกเขาต้องได้รับการแก้ไขโดยผ่านทางการทดสอบทั้งหลายและกระบวนการถลุง ในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเผยให้เห็นความเสื่อมทราม ในแง่มุมเหล่านี้เองที่เจ้าต้องได้รับการถลุง—นี่คือการจัดการเตรียมการของพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสภาพแวดล้อมหนึ่งให้กับเจ้า อันเป็นการบังคับให้เจ้าได้รับการถลุงตรงนั้นเพื่อให้เจ้าสามารถรู้ความเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง ในท้ายที่สุด เจ้าก็ไปถึงจุดที่เจ้ายอมตายเพื่อที่จะทิ้งความตั้งใจและความอยากได้อยากมีของเจ้า และเพื่อนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เพราะฉะนั้น หากผู้คนไม่มีกระบวนการถลุงอยู่เป็นเวลาหลายปี หากพวกเขาไม่สู้ทนความทุกข์ในปริมาณหนึ่ง พวกเขาก็จะไม่มีความสามารถที่จะขจัดการจำกัดบังคับแห่งความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในความคิดของพวกเขาและในหัวใจของพวกเขาออกไปจากตัวพวกเขาได้ ในแง่มุมใดก็ตามที่ผู้คนยังคงอยู่ภายใต้การจำกัดบังคับของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขา และในแง่มุมใดก็ตามที่พวกเขายังมีความอยากได้อยากมีของตนเองและมีข้อเรียกร้องของตนเอง ในแง่มุมเหล่านี้เองที่พวกเขาควรทนทุกข์ เฉพาะโดยผ่านทางความทุกข์เท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้บทเรียนทั้งหลายได้ ซึ่งก็หมายถึงการมีความสามารถที่จะได้รับความจริง และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในข้อเท็จจริงนั้น การรับประสบการณ์กับความทุกข์และบททดสอบทั้งหลายทำให้เกิดการเข้าใจความจริงมากมาย ไม่มีใครสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ตระหนักรู้ความทรงมหิทธิฤทธิ์และพระปัญญาของพระเจ้า หรือซาบซึ้งในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะดวกและสบาย หรือเมื่อรูปการณ์แวดล้อมเป็นใจ นั่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้เลย!” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) จากประสบการณ์นี้ ฉันได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับความอยากได้พระพรและความไม่บริสุทธิ์ในความเชื่อของตัวฉันเองที่มีต่อพระเจ้า ทัศนะเกี่ยวกับความเชื่อของฉันเปลี่ยนไป และฉันได้รับความเข้าใจแท้จริงถึงอธิปไตยอันทรงมหิทฤทธิ์และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ฉันรู้สึกอย่างแท้จริงว่า การได้มีประสบการณ์กับความยากลำบากเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี และนี่คือการชำระให้บริสุทธิ์และการช่วยให้รอดของพระเจ้าสำหรับฉัน