29. ทำไมฉันถึงเสแสร้งอยู่เสมอ?

โดยคริสติน ประเทศฟิลิปปินส์

ในเดือนสิงหาคม ปี 2021 ฉันเริ่มฝึกฝนการให้น้ำผู้เชื่อใหม่ เพราะว่าฉันออกเสียงภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้มาตรฐาน กลัวว่าตอนที่สามัคคีธรรมกับพวกเขา จะโดนพวกเขาดูถูก ปกติฉันเลยสื่อสารกับพวกเขาผ่านการพิมพ์ข้อความเท่านั้น แต่การทำแบบนี้อย่างต่อเนื่องก็ส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าของการให้น้ำ ระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่ง มีพี่น้องหญิงคนหนึ่งเล่าว่า ภาษาอังกฤษของเธอไม่ดีนัก แต่เธอก็อยากจะสามารถสามัคคีธรรมด้วยวาจากับผู้มาใหม่ได้ และแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความลำบากยากเย็นต่างๆ ของพวกเขาได้อย่างทันท่วงที เธอจึงใช้ซอฟต์แวร์แปลภาษาเป็นตัวช่วย แบบนั้นเธอจะสามารถสามัคคีธรรมกับพวกเขาด้วยคำพูดได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันรู้สึกละอายใจเมื่อเปรียบเทียบเรื่องนั้นกับท่าทีของตัวเองต่อหน้าที่ แม้ว่าเธอจะพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่เธอก็ยังสามารถหาวิธีสื่อสารด้วยวาจากับผู้มาใหม่ได้ ปัญหาเดียวของฉันก็คือการออกเสียงที่ไม่ได้มาตรฐาน ฉันทำได้ดีในการสนทนาในชีวิตประจำวัน แต่ฉันกลัวว่าผู้มาใหม่จะพูดว่าภาษาอังกฤษของฉันไม่ดี ฉันเลยไม่อยากจะสื่อสารด้วยวาจากับพวกเขา เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของการให้น้ำของฉันโดยตรง มีผู้เชื่อใหม่ที่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเราจึงต้องยกระดับงานให้น้ำของเรา และช่วยให้พวกเขาวางรากฐานบนหนทางที่แท้จริงโดยเร็วที่สุด แต่ฉันกลับเอาแต่คำนึงถึงชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง ไม่ได้คำนึงถึงวิธีที่จะให้น้ำผู้มาใหม่อย่างทันท่วงที ฉันไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย!  ดังนั้นฉันจึงอธิษฐาน พร้อมที่จะพึ่งพาพระเจ้าและพยายามสื่อสารด้วยวาจากับผู้มาใหม่ หลังจากนั้นฉันก็เริ่มฝึกพูดภาษาอังกฤษ โดยเริ่มจากผู้มาใหม่ที่ฉันคุ้นเคยอยู่แล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ไม่รู้สึกกลัวการสนทนาด้วยคำพูดอีกต่อไป ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งฉันกำลังสนทนากับผู้เชื่อใหม่คนหนึ่ง และไม่เพียงแต่ฉันจะสามารถแสดงออกได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ปัญหาของเขาก็ได้รับการแก้ไขด้วย ไม่น่าเชื่อเลย ฉันไม่เคยคิดว่าการสนทนาด้วยวาจาเพียงครั้งเดียวจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการส่งข้อความคุยกันหลายวัน

เมื่อมีสมาชิกใหม่เข้าร่วมคริสตจักรมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้นำให้ฉันกับพี่น้องหญิงเมวิสจับคู่กันเพื่อรับผิดชอบงานให้น้ำ เมื่อฉันได้ยินเกี่ยวกับการจัดแจงนี้ ฉันก็ประหลาดใจมาก ฉันเพิ่งเริ่มฝึกให้น้ำผู้มาใหม่ ยังมีความจริงอีกมากเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าที่ฉันไม่เข้าใจ และระดับภาษาอังกฤษของฉันก็ธรรมดา ฉันจะรับผิดชอบงานแบบนั้นได้อย่างไร?  เมวิสให้น้ำผู้มาใหม่มานานกว่าฉัน เธอจึงมีประสบการณ์มากกว่าในทุกๆ ด้าน เธอยังพูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดีด้วย ถ้าฉันจับคู่กับเธอ เมื่อดูจากความสามารถจริงๆ ของฉันแล้ว ความจริงจะไม่ถูกเปิดโปงทันทีที่ฉันอ้าปากเลยเหรอ?  เธออาจจะพูดว่าการสามัคคีธรรมความจริงของฉันไม่ชัดเจน ว่าฉันไม่เหมาะกับหน้าที่นั้น ขณะที่ฉันกำลังกังวลเรื่องนั้น เมวิสก็มาคุยงานกับฉัน และถามว่าภาษาอังกฤษของฉันเป็นยังไง ฉันพูดโดยไม่ทันได้คิดไปว่า “ภาษาอังกฤษของฉันไม่ดีเลยค่ะ ฉันอ่านหรือฟังพอเข้าใจนะ แต่พูดไม่ค่อยคล่อง การสื่อสารด้วยการเขียนของฉันโอเคค่ะ” เธอตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็รับผิดชอบเรื่องการนัดเวลาชุมนุมกับผู้เชื่อใหม่ ส่วนฉันจะรับผิดชอบเรื่องการสามัคคีธรรมกับพวกเขา เราร่วมงานกันได้ค่ะ” หลังจากได้ยินเมวิสพูดแบบนี้ ฉันก็คิดว่าการบอกว่าฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งเป็นข้ออ้างที่ดีมาก และในการชุมนุมฉันก็ไม่ต้องพูดอะไร ตราบใดที่ฉันเงียบ ข้อเสียและข้อบกพร่องของฉันก็จะไม่มีวันปรากฏให้เห็น แล้วตอนที่เมวิสให้น้ำผู้มาใหม่ ฉันจะสามารถอยู่ฟังและเรียนรู้ได้ และหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อฉันเข้าใจเรื่องต่างๆ แล้ว ฉันจะสามารถสื่อสารด้วยวาจากับพวกเขาได้ แบบนี้พวกเขาจะมองฉันไม่ออก

ครั้งแรกที่ฉันกับเมวิสให้น้ำผู้มาใหม่ด้วยกัน ฉันสังเกตว่าเธอปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว แต่นอกจากคำว่า “สวัสดีค่ะ!” ฉันก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกเลย เราตกลงกันไว้ว่าเมื่อการชุมนุมสิ้นสุดลง ฉันจะพูดคุยกับผู้เชื่อใหม่ เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและความลำบากของพวกเขาเพื่อหาทางแก้ไขโดยเร็วที่สุด แต่ฉันกลับรู้สึกลังเลใจ ในการปฏิสัมพันธ์ครั้งแรกกับเมวิส พวกเขาได้เห็นแล้วว่าภาษาอังกฤษของเธอดีแค่ไหนและเธอสามารถสามัคคีธรรมความจริงได้อย่างชัดเจน ถ้าพวกเขาพูดคุยกับฉันหลังจากนั้น และได้ยินฉันพูดตะกุกตะกัก พวกเขาจะรู้ถึงความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แล้วพวกเขาจะมองฉันยังไงล่ะ?  ฉันคิดแล้วคิดอีก แล้วตัดสินใจว่าจะพิมพ์ข้อความคุยต่อไป หลังจากนั้น นอกจากการพูดคุยกับผู้มาใหม่ไม่กี่คนที่ฉันค่อนข้างคุ้นเคยด้วยแล้ว ฉันก็ปฏิสัมพันธ์กับผู้มาใหม่คนอื่นๆ ผ่านการพิมพ์ข้อความ แต่นั่นเป็นวิธีสื่อสารที่ช้ากว่า บ่อยครั้งที่ฉันส่งข้อความหาผู้มาใหม่ แต่พวกเขาไม่ได้ออนไลน์ แล้วพอพวกเขาตอบกลับ ฉันก็ไม่ทันสังเกตเห็น ปัญหาบางอย่างคุยกันไม่กี่นาทีก็แก้ไขได้ แต่พอต้องพิมพ์คุยกัน บางทีสองวันก็ยังแก้ไม่ได้เลย จนกระทั่งเราได้ทบทวนงานที่เราทำไป ฉันถึงจะเห็นว่าผู้เชื่อใหม่เกือบครึ่งหนึ่งที่ฉันรับผิดชอบไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมตามปกติ ฉันตกตะลึงเลย เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?  เมวิสถามฉันว่า “ทำไมคุณถึงส่งข้อความหาผู้เชื่อใหม่ตลอดเลย?  ทำไมคุณไม่เคยพูดกับพวกเขาโดยตรงเลยล่ะ?” ฉันอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมบอกเธอ ฉันรู้ดีว่า ถ้าฉันพูดกับพวกเขาโดยตรงเพื่อแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นของพวกเขา บางคนก็จะเริ่มเข้าร่วมการชุมนุมตามปกติ แต่ฉันกลัวที่จะแสดงจุดอ่อนของตัวเองและอาศัยการส่งข้อความ ซึ่งนำมาสู่ผลที่ตามมาเช่นนี้

คืนนั้นฉันพลิกตัวไปมา และนอนไม่หลับ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่ ถ้าความสับสนและมโนคติอันหลงผิดต่างๆ ของผู้เชื่อใหม่ไม่ได้รับการแก้ไขในทันที พวกเขาก็อาจถอยห่างจากความเชื่อได้ทุกเมื่อ นั่นเป็นการละเลยหน้าที่อย่างร้ายแรง!  ทำไมฉันถึงยืนกรานที่จะส่งข้อความ ในเรื่องที่คุยกันแค่สามนาทีก็จบแล้ว?  ไม่ใช่ว่าฉันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ฉันสามารถสื่อสารด้วยวาจาได้เมื่อไม่นานมานี้ แล้วทำไมฉันถึงไม่ทำอย่างนั้นแล้วล่ะ?  พอมานึกดูว่าผู้มาใหม่บางคนไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมตามปกติ เพราะฉันให้น้ำพวกเขาอย่างไม่ถูกควร ก็อยากจะเขกหัวตัวเองจริงๆ  ฉันเสียใจมากจนอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงชี้แนะฉันให้เข้าใจตัวเอง จากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “ผู้คนเองก็เป็นสิ่งที่ทรงสร้าง  สิ่งที่ทรงสร้างสามารถสัมฤทธิ์มหิทธานุภาพไม่สิ้นสุดได้หรือ?  พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเพียบพร้อมและความไร้ข้อตำหนิได้หรือ?  พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเชี่ยวชาญในทุกสิ่งทุกอย่าง มาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง มองทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง และมีความสามารถในทุกสิ่งทุกอย่างได้หรือ?  พวกเขาไม่สามารถ  อย่างไรก็ตาม ภายในตัวมนุษย์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและจุดอ่อนที่ร้ายแรงอยู่ กล่าวคือ ทันทีที่พวกเขาเรียนรู้ทักษะหรืออาชีพ ผู้คนก็รู้สึกว่าพวกเขาสามารถ ว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่มีสถานะและคุณค่า และว่าพวกเขาเป็นมืออาชีพ  ไม่ว่าพวกเขาจะธรรมดาเพียงใด พวกเขาก็ล้วนต้องการสร้างภาพตัวเองว่าเป็นใครบางคนที่มีชื่อเสียงหรือบุคคลพิเศษ ต้องการเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนดังที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง และทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาเพียบพร้อมและไร้ที่ติ ไม่มีข้อบกพร่องสักอย่างเดียว พวกเขาปรารถนาที่จะกลายเป็นคนมีชื่อเสียง มีอำนาจ หรือยิ่งใหญ่ในสายตาของผู้อื่น และพวกเขาอยากกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยม สามารถทำได้ทุกสิ่งโดยไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำไม่ได้  พวกเขารู้สึกว่าหากพวกเขาได้แสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น พวกเขาก็คงจะดูเหมือนไม่สามารถ อ่อนแอและด้อยกว่า และว่าผู้คนจะดูแคลนพวกเขา  ด้วยเหตุผลนี้ พวกเขาจึงมีหน้าฉากตั้งไว้เสมอ  เมื่อถูกขอให้ทำบางสิ่ง ผู้คนบางคนจะพูดว่าพวกเขารู้วิธีทำทั้งที่พวกเขาทำไม่ได้จริง  หลังจากนั้นพวกเขาก็ค้นดูและพยายามเรียนรู้วิธีทำอย่างลับๆ แต่หลังจากศึกษามาหลายวันแล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าควรทำสิ่งนี้อย่างไร  เมื่อถามว่าพวกเขาทำไปถึงไหนกันแล้ว พวกเขาก็บอกว่า ‘จะเสร็จแล้ว อีกไม่นาน!’  แต่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขากลับคิดว่า ‘ฉันยังไปไม่ถึงไหนเลย ฉันไม่รู้จริงๆ ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  ฉันต้องไม่เผยความลับ ฉันต้องเสแสร้งแกล้งทำต่อไป ฉันไม่อาจปล่อยให้ผู้คนเห็นข้อบกพร่องและความไม่รู้ความของฉันได้ ฉันไม่อาจปล่อยให้พวกเขาดูถูกฉันได้!’  ปัญหานี้คืออะไร?  นี่คือนรกทั้งเป็นจากการพยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาหน้า  นี่คืออุปนิสัยประเภทใด?  ความโอหังของผู้คนเช่นนี้ไม่มีขอบเขต พวกเขาสูญสิ้นเหตุผลทั้งปวงไปแล้ว  พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเป็นเหมือนคนอื่น พวกเขาไม่ต้องการเป็นคนธรรมดา เป็นคนปกติ แต่ต้องการเป็นคนที่เหนือมนุษย์ เป็นบุคคลพิเศษ หรือดาวรุ่ง  นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่โตยิ่งนัก!  สำหรับจุดอ่อน ข้อบกพร่อง ความไม่รู้เท่าทัน ความโง่เขลา และการขาดพร่องความเข้าใจภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ พวกเขาจะห่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไว้ และไม่ให้ผู้อื่นมองเห็น และจากนั้นก็ปลอมแปลงตัวพวกเขาเองต่อไป… ผู้คนเช่นนี้ไม่ได้มีชีวิตอย่างเหม่อลอยฝันกลางวันหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ได้กำลังฝันอยู่หรอกหรือ?  พวกเขาไม่รู้ว่าตัวพวกเขาเองเป็นใคร อีกทั้งพวกเขาก็ไม่รู้วิธีที่จะนำสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติมาทำให้เป็นชีวิตจริง  พวกเขาไม่เคยได้ปฏิบัติตนเหมือนพวกมนุษย์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลยสักครั้ง  หากเจ้าใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างขอไปที ฝันกลางวัน และไม่ทำสิ่งใดตามความเป็นจริง หากเจ้าดำเนินชีวิตตามจินตนาการของตนเสมอ เช่นนั้นแล้ว นี่คือปัญหา เส้นทางในชีวิตที่เจ้าเลือกนั้นไม่ถูกต้อง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เงื่อนไขห้าประการที่ต้องทำเพื่อออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า)  เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เห็นว่า ฉันกำลังเสแสร้งและอำพรางตัวเองอยู่ ฉันกลัวว่าผู้เชื่อใหม่จะดูถูกฉันเพราะพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง ฉันจึงไม่กล้าสนทนากับพวกเขา หลังจากที่ฉันกับเมวิสเริ่มทำงานด้วยกัน ฉันเห็นว่าภาษาอังกฤษของเธอดีมาก และการสามัคคีธรรมความจริงของเธอก็ชัดเจนกว่าของฉัน ฉันกังวลว่าพี่น้องชายหญิงจะเห็นว่าฉันน่าผิดหวังเมื่อเปรียบเทียบกับเธอ และกลัวว่าเมวิสจะมองฉันออก ฉันจึงยิ่งเสแสร้งมากขึ้นไปอีก เมื่อเมวิสถามว่าภาษาอังกฤษของฉันเป็นยังไง ฉันก็จงใจบอกว่าไม่ดี โดยหาข้ออ้างที่จะไม่ต้องสามัคคีธรรมด้วยวาจา เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสองคนกำลังให้น้ำด้วยกัน ฉันจะไม่พูดเลย ฉันไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของตัวเอง ตอนให้น้ำผู้มาใหม่ ฉันก็ส่งข้อความหาพวกเขาแทนที่จะสนทนาโดยตรง ซึ่งหมายความว่าปัญหามากมายของผู้มาใหม่ไม่ได้รับการแก้ไขทันทีตามที่ควรจะเป็น พวกเขาจึงยังคิดลบและไม่เข้าร่วมการชุมนุม ฉันกำลังถ่วงงานของพวกเรา ฉันอำพรางตัวเองอยู่เสมอ กลัวว่าจุดอ่อนจะถูกเผย ฉันอยากจะแอบไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ แล้วค่อยกลับมาทำให้ทุกคนทึ่ง ช่างโอหังอะไรเช่นนี้!  ฉันไม่สามารถเผชิญหน้ากับข้อเสียและข้อบกพร่องของตัวเองได้อย่างถูกควร แต่อยากจะดูโดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่น เหมือนกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเผยไว้ว่า “พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเป็นเหมือนคนอื่น พวกเขาไม่ต้องการเป็นคนธรรมดา เป็นคนปกติ แต่ต้องการเป็นคนที่เหนือมนุษย์ เป็นบุคคลพิเศษ หรือดาวรุ่ง  นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่โตยิ่งนัก!”  ทักษะการพูดภาษาอังกฤษของฉันไม่ดีนัก และฉันให้น้ำผู้เชื่อใหม่มาเป็นเวลาสั้นๆ ฉันไม่มีประสบการณ์มากนักในงานให้น้ำ คริสตจักรจัดแจงให้ฉันไปให้น้ำผู้มาใหม่ชาวต่างชาติ และนี่ทำให้ฉันมีโอกาสที่ดีมากในการฝึกฝนซึ่งฉันควรจะเห็นค่า แต่แทนที่จะทำหน้าที่ให้ดี ฉันกลับอยากจะปกปิดข้อเสียของตัวเองอยู่เสมอ และทำเหมือนว่าฉันทำได้ทุกอย่าง เพื่อให้คนอื่นยกย่องและชื่นชมฉัน ฉันไม่มีสำนึกหรือการตระหนักรู้ตนเองเลยแม้แต่น้อย ฉันรู้ว่าต้องหยุดเสแสร้งและอำพรางตัวเอง ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ฉันก็ต้องปล่อยวางความทะนงตัว ต้องปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องนำไปปฏิบัติ

ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกสองสามบทตอนที่ให้เส้นทางแห่งการปฏิบัติแก่ฉัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอันใดที่เกิดขึ้น ไม่สำคัญว่านั่นคือสิ่งใด และไม่ปลอมแปลงตัวเองหรือสวมใบหน้าเทียมเท็จต่อผู้อื่นในวิถีทางใดเลย  ข้อบกพร่องของเจ้า ความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความผิดของเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า—จงเปิดกว้างอย่างครบบริบูรณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  จงอย่าเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ภายใน  การเรียนรู้วิธีเปิดใจตัวเอง คือขั้นตอนแรกสู่การเข้าสู่ชีวิต และนี่คืออุปสรรคขวางกั้นแรก ซึ่งเอาชนะได้ลำบากยากเย็นที่สุด  ทันทีที่เจ้าได้เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนั้นแล้ว การเข้าสู่ความจริงก็ย่อมง่าย  การลงมือทำขั้นตอนนี้มีนัยสำคัญว่ากระไร?  การนี้หมายความว่าเจ้ากำลังเปิดกว้างหัวใจของเจ้าและกำลังแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี ไม่ว่าดีหรือแย่ เป็นบวกหรือเป็นลบ โดยแผ่ตัวเองออกให้ผู้อื่นเห็นและให้พระเจ้าทอดพระเนตร ไม่ซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้า ไม่ปกปิดสิ่งใด ไม่ปลอมแปลงสิ่งใด ปลอดเล่ห์ลวงและเล่ห์เพทุบาย และเปิดกว้างและซื่อสัตย์ต่อผู้คนอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  ในหนทางนี้ เจ้าย่อมใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และไม่เพียงแค่พระเจ้าจะทรงพินิจพิเคราะห์เจ้าเท่านั้น แต่ผู้คนอื่นๆ ด้วยเช่นกันที่จะมีความสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าปฏิบัติตนโดยมีหลักธรรมและความโปร่งใสระดับหนึ่ง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  “ในการสถิตของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอำพรางตนเองอย่างไร ปกปิดตนเองอย่างไร หรือเจ้าจะแต่งเติมอะไรขึ้นมาเพื่อตนเอง พระเจ้าก็ทรงจับความเข้าใจในความคิดแท้จริงที่สุดทั้งหมดของเจ้าอย่างชัดเจน และสิ่งทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่ในส่วนภายในที่สุดและลึกที่สุดของเจ้า ไม่มีบุคคลสักคนเดียวซึ่งสิ่งทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในสามารถหลีกหนีจากการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หกข้อบ่งชี้ถึงการเจริญเติบโตของชีวิต)  เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่าก้าวแรกในการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง คือการเรียนรู้ที่จะเปิดใจ หยุดเสแสร้งและแสร้งทำ และเปิดโปงความไม่ดีพอ ข้อเสีย และความเสื่อมทรามของตัวเองที่ฉันเผยออกมา ฉันต้องเป็นคนที่เรียบง่าย ซื่อสัตย์ และอยู่กับความจริง ต่อหน้าพี่น้องชายหญิงและเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แล้วฉันจะสามารถผ่อนคลายและเป็นอิสระในหน้าที่ของตัวเองได้ การเข้าใจในเรื่องนี้ทำให้ฉันมีความมั่นใจและความกล้าหาญที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ ดังนั้นฉันจึงไปหาผู้นำและเมวิส และบอกพวกเขาอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับสภาวะและความเข้าใจของฉัน พวกเขาไม่ได้ดูถูกฉัน แต่สามัคคีธรรมกับฉันอย่างใจเย็นเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเองเพื่อช่วยให้ฉันเข้าใจปัญหาของฉัน เมื่อฉันให้น้ำผู้มาใหม่หลังจากนั้น ฉันก็ไม่ถูกจำกัดด้วยความทะนงตัวอีกต่อไป ฉันเริ่มให้ความสำคัญกับการสื่อสารด้วยวาจากับพวกเขาเพื่อที่ฉันจะสามารถช่วยแก้ไขความสับสนของพวกเขาได้เร็วขึ้น เมื่อเจอคำศัพท์ที่ฉันไม่รู้จักหรือออกเสียงไม่เป็น ฉันจะหยิบพจนานุกรมหรือใช้โปรแกรมแปลภาษา เมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น ฉันรู้สึกว่าการสามัคคีธรรมอย่างเปิดเผยกับพี่น้องชายหญิงและไม่อำพรางตัวเองหรือเสแสร้ง ช่วยให้ฉันได้รู้เกี่ยวกับความเสื่อมทรามและข้อเสียของตัวเอง และพลิกสภาวะที่ไม่ดีของฉันได้อย่างรวดเร็ว เหมือนดังที่พระเจ้าตรัสว่า “การเรียนรู้วิธีเปิดใจตัวเอง คือขั้นตอนแรกสู่การเข้าสู่ชีวิต และนี่คืออุปสรรคขวางกั้นแรก ซึ่งเอาชนะได้ลำบากยากเย็นที่สุด  ทันทีที่เจ้าได้เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนั้นแล้ว การเข้าสู่ความจริงก็ย่อมง่าย(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  ฉันคิดว่าหลังจากผ่านเรื่องทั้งหมดนี้ ฉันจะเริ่มสามารถเปิดใจและเปลี่ยนแปลงได้ แต่ทว่า หลังจากนั้นฉันก็ถูกเปิดโปงโดยอีกสถานการณ์หนึ่งอีกครั้ง

ครั้งหนึ่ง ผู้เชื่อใหม่สองสามคนต้องการแบ่งปันข่าวประเสริฐกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนฝูง ฉันกับผู้นำทีมจึงอธิบายหลักธรรมในการทำเช่นนั้นให้พวกเขาฟัง ฉันเพิ่งแนะนำตัวเองเสร็จ แล้วผู้เชื่อใหม่คนหนึ่งบอกว่าไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันพูด ผู้นำทีมรีบช่วยอธิบาย โดยบอกว่าฉันออกเสียงภาษาอังกฤษไม่ค่อยดี แล้วก็เริ่มพูดคุยกับผู้มาใหม่ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก ขณะฟังพวกเขาสนทนากันอย่างคล่องแคล่ว ฉันรู้สึกหน้าร้อนผ่าว มันน่าอายมาก เดิมที ฉันอยากให้ผู้นำทีมได้มีโอกาสเรียนรู้จากฉันและได้ฝึกฝนบ้าง แต่ฉันกลับแนะนำตัวเองให้ดีไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วผู้นำทีมกับผู้มาใหม่เหล่านั้นจะมองฉันยังไงล่ะ?  พวกเขาจะคิดว่าภาษาอังกฤษของฉันแย่มาก เลยต้องไร้ความสามารถในงานไปด้วยหรือเปล่า?  หลังจากนั้นใครจะฟังฉันเวลาที่ฉันติดตามเรื่องต่างๆ ล่ะ?  ความคิดเหล่านี้ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกล้มเหลวที่อธิบายไม่ถูก และฉันก็รู้สึกท้อแท้ใจอย่างมาก ในตอนนั้น ผู้นำคริสตจักรก็เป็นสมาชิกในกลุ่มด้วย ฉันกลัวว่าเธอจะออนไลน์ขึ้นมา เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น คิดว่าภาษาอังกฤษของฉันไม่ดี ว่าฉันทำงานไม่สำเร็จ แล้วก็ปลดฉัน ฉันไม่ต้องการให้พวกเขาดูออก จึงเริ่มซ่อนข้อบกพร่องของตัวเองอีกครั้ง โดยสื่อสารผ่านการพิมพ์ข้อความแทนการพูด และเปลี่ยนการสนทนากลุ่มเป็นการแชทส่วนตัวแบบตัวต่อตัว หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้ามาก ฉันกลัวว่าทุกคนจะรู้ความจริงเรื่องนี้และดูถูกฉัน ฉันใช้ชีวิตทุกวันในสภาวะนั้น และไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะคิดว่าจะทำหน้าที่ของฉันให้ดีได้อย่างไร ฉันรู้สึกถึงความมืดมนในหัวใจมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่สามารถรู้สึกถึงการชี้แนะของพระเจ้าได้เลย ฉันทำหน้าที่อย่างไม่มีทิศทางด้วย ฉันรู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาวะที่อันตราย แต่ก็เอาชนะมันไม่ได้ ดังนั้น ฉันจึงอธิษฐานในใจ ขอให้พระเจ้าทรงชี้แนะฉันออกจากสภาวะนั้น

วันหนึ่งฉันได้ดูวีดิทัศน์คำพยานชื่อ “เบื้องหลังการเสแสร้ง” และพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนที่ปรากฏในนั้นทำให้ฉันประทับใจอย่างสุดซึ้ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในเวลาที่ผู้คนเสแสร้งแกล้งทำอยู่เสมอ ปกปิดความผิดให้ตัวเองอยู่เสมอ วางท่าอยู่เสมอเพื่อให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขาสูงส่ง และไม่สามารถมองเห็นความผิดหรือข้อบกพร่องของพวกเขาได้ ในเวลาที่พวกเขาพยายามอยู่เสมอที่จะนำเสนอด้านที่ดีที่สุดของพวกเขาต่อผู้คนนั้น นี่คืออุปนิสัยชนิดใด?  นี่คือความโอหัง ความจอมปลอม ความหน้าซื่อใจคด นี่คืออุปนิสัยของซาตาน เป็นสิ่งที่เลว  จงดูสมาชิกของระบอบซาตานเอาเถิดว่า ไม่ว่าพวกเขาจะต่อสู้ พิพาทบาดหมาง หรือฆ่ากันในความมืดมากมายเพียงใด ก็ไม่ยอมให้ใครรายงานหรือเปิดโปงพวกเขา  พวกเขากลัวว่าผู้คนจะมองเห็นโฉมหน้าเยี่ยงปีศาจของตน และพวกเขาทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อปิดบังการนั้นไว้  ในที่สาธารณะ พวกเขาทำสุดความสามารถที่จะล้างความผิดให้ตัวเอง โดยพูดว่าพวกเขารักประชาชนมากเพียงใด พวกเขายิ่งใหญ่ รุ่งโรจน์ และไม่มีทางผิดพลาดเพียงใด  นี่คือธรรมชาติของซาตาน  ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดในธรรมชาติของซาตานคือเล่ห์เพทุบายและการหลอกลวง  แล้วอะไรเล่าคือจุดมุ่งหมายของเล่ห์เพทุบายและการหลอกลวงนี้?  การตบตาผู้คน การหยุดพวกเขาไม่ให้เห็นแก่นแท้และตัวตนที่แท้จริงของมัน และด้วยเหตุนี้จึงสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของการทำให้การปกครองของมันยืนยาวขึ้น  ผู้คนธรรมดาอาจขาดพร่องอำนาจและสถานะดังกล่าว แต่พวกเขาก็ปรารถนาเช่นกันที่จะทำให้ผู้อื่นมีทัศนะที่เป็นคุณต่อตัวพวกเขา และปรารถนาที่จะให้ผู้คนมีการประเมินคุณค่าสูงเกี่ยวกับพวกเขา และยกชูสถานะของพวกเขาในหัวใจของคนเหล่านั้นให้สูง  นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม และหากผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาย่อมไม่สามารถตระหนักรู้เรื่องนี้ได้… เป็นการทำผิดพลาดหรือการอำพรางตนที่เชื่อมโยงกับอุปนิสัย?  การอำพรางเป็นเรื่องของอุปนิสัย เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันโอหัง ความเลว และความหลอกลวง พระเจ้าทรงเกลียดชังการอำพรางเป็นพิเศษ… หากเจ้าไม่พยายามเสแสร้งแกล้งทำหรือสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง หากเจ้ายอมรับความผิดพลาดของเจ้าได้ ทุกคนย่อมจะพูดว่าเจ้าซื่อสัตย์และมีปัญญา  แล้วอะไรเล่าทำให้เจ้ามีปัญญา?  ทุกคนทำความผิดพลาด  ทุกคนมีข้อผิดพลาดและข้อตำหนิ  และอันที่จริงแล้ว ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเดียวกัน  จงอย่าคิดว่าตัวเจ้าเองสูงศักดิ์ เพียบพร้อม และใจดีกว่าผู้อื่น นั่นเป็นการไม่สมเหตุสมผลอย่างที่สุด  ทันทีที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและแก่นแท้และโฉมหน้าที่แท้จริงของความเสื่อมทรามของพวกเขาเป็นที่ชัดเจนสำหรับเจ้า เจ้าย่อมจะไม่พยายามปิดบังความผิดพลาดของตัวเอง และเจ้าจะไม่ถือสาความผิดพลาดของผู้อื่น—เจ้าจะเผชิญหน้าทั้งสองกรณีนี้ได้อย่างถูกต้อง  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเกิดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและไม่ทำสิ่งที่โง่เขลา ซึ่งจะทำให้เจ้ามีปัญญา  พวกที่ไม่มีปัญญาย่อมเป็นคนที่โง่เขลา พวกเขาย่อมวนเวียนอยู่กับความผิดพลาดเล็กน้อยของพวกเขาอยู่เสมอ พลางทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่หลังฉาก  เห็นแล้วชวนให้ขยะแขยง  ในข้อเท็จจริงแล้ว สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่นั้นเห็นได้ชัดในทันทีทันใดสำหรับผู้คนอื่นๆ แต่กระนั้นเจ้าก็ยังคงเล่นละครอย่างไม่รู้จักอาย  สำหรับผู้อื่นแล้ว นี่ดูเหมือนการแสดงตลก  นี่ย่อมโง่เขลามิใช่หรือ?  นี่โง่เขลาจริงๆ  ผู้คนที่โง่เขลาย่อมไม่มีปัญญาแม้แต่น้อย  ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ยินคำเทศนามากมายเพียงใด พวกเขายังคงไม่เข้าใจความจริงหรือมองสิ่งอันใดในสิ่งที่มันเป็นจริงๆ  พวกเขาไม่ยอมเลิกทำตัวหยิ่งยโส นึกว่าพวกเขานั้นแตกต่างจากทุกคนและน่าเคารพกว่า นี่คือความโอหังและความคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ นี่คือความโง่เขลา คนเขลาย่อมไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณใช่หรือไม่?  เรื่องใดที่เจ้าเขลาและไม่มีปัญญา นั่นก็คือเรื่องที่เจ้าไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และไม่สามารถเข้าใจความจริงได้โดยง่าย  นี่คือความเป็นจริงของเรื่องนี้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักธรรมที่คนเราควรใช้นำทางการประพฤติตน)  การไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นมาได้ การเสแสร้งกับการทำผิดพลาดนั้นมีธรรมชาติที่แตกต่างกัน ภาษาอังกฤษของฉันไม่ดี ดังนั้นเมื่อฉันทำผิดพลาด ฉันก็สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ แต่ฉันอำพรางตัวเองอยู่เสมอเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นตัวตนที่แท้จริงของฉัน สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันที่โอหัง หลอกลวง และชั่วร้าย นั่นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้า ฉันยังคงฝึกทำหน้าที่นั้นอยู่ ดังนั้นความผิดพลาด การมองข้าม และการแสดงออกถึงความเสื่อมทรามจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องรู้สึกอับอาย และสามารถแก้ไขได้โดยการแสวงหาความจริง แต่ตั้งแต่ฉันเข้ามารับผิดชอบงานให้น้ำ ฉันก็วางตัวเองในตำแหน่งของผู้ดูแล โดยคิดว่าฉันต้องดีกว่าคนทั่วไป ไม่อย่างนั้นผู้มาใหม่จะดูถูกฉัน เมื่อผู้เชื่อใหม่คนนั้นบอกว่าไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันพูด ฉันก็รู้สึกเหมือนว่าความไม่ดีพอของฉันถูกเปิดโปงและภาพลักษณ์ของฉันเสียหาย และผู้มาใหม่จะดูถูกฉันและไม่ฟังฉัน ฉันกังวลยิ่งกว่านั้นว่าผู้นำจะเห็นสิ่งที่ฉันขาด และคิดว่าฉันไม่เหมาะกับงาน แล้วก็ปลดฉัน ฉันคิดหาวิธีปกปิดข้อเสียของตัวเอง เพื่อรักษาสถานะและภาพลักษณ์ ถึงขั้นยอมให้งานของคริสตจักรต้องล่าช้า แทนที่จะสื่อสารด้วยวาจาฉันกลับแลกเปลี่ยนข้อความ และใช้การแชทส่วนตัวแทนการประชุมกลุ่มเพื่อคุยงาน ซึ่งทำให้งานให้น้ำของเราล่าช้า ฉันอยู่ในสภาวะระแวดระวังและห่างเหินจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ฉันช่างหลอกลวงอะไรเช่นนี้!  พอได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าในส่วนที่พิพากษาและเปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงซาตาน ฉันถึงกับตัวสั่นเลย พระเจ้าตรัสว่าแง่มุมที่โดดเด่นที่สุดของธรรมชาติเยี่ยงซาตานคือเล่ห์เหลี่ยมและการหลอกลวง นั่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายเป็นพิเศษ พญานาคใหญ่สีแดงเก่งกาจเป็นพิเศษในเรื่องการเสแสร้งและการหลอกลวง มันคุยโวเรื่องภาพลักษณ์ที่ “ยิ่งใหญ่ รุ่งโรจน์ และถูกต้อง” ของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้คนบูชาและเดินตามมัน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อพยายามรักษาอำนาจเบ็ดเสร็จของมันไว้ มันทำทุกอย่างเพื่อปกปิดสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดที่มันแอบทำ ด้วยเหตุนี้จึงหลอกลวงและชักพาผู้คนทั่วโลกให้หลงผิด เมื่อไตร่ตรองพฤติกรรมของตัวเอง ก็เห็นว่าฉันกำลังเสแสร้ง เพื่อให้คนอื่นมองฉันในแง่บวก และเห็นแต่ด้านดีของฉัน ฉันกำลังแสดงอุปนิสัยหลอกลวงและเลวร้าย!  อุปนิสัยนี้ไม่เหมือนกับอุปนิสัยของพญานาคใหญ่สีแดงหรอกหรือ?  การได้รับความเคารพและความชื่นชมจากผู้อื่นผ่านการหลอกลวงและการเสแสร้งจะมีประโยชน์อะไร?  ตอนที่ฉันซ่อนข้อบกพร่องและความไม่ดีพอของตัวเอง และใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อโกงพระเจ้าและผู้อื่น ฉันไม่เพียงแต่ไม่ก้าวหน้า แต่ยังทำให้งานให้น้ำผู้มาใหม่ล่าช้าอีกด้วย นั่นไม่ใช่เรื่องโง่หรอกหรือ?  ผู้เชื่อใหม่จำนวนมากกำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเรียนรู้เกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระองค์ที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พวกเขาสามารถเห็นความวิบัติที่เพิ่มขึ้นและการระบาดใหญ่ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ และรู้ว่าการยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าเป็นเส้นทางเดียวของการอยู่รอดสำหรับผู้คน พวกเขายินดีที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐกับเพื่อนฝูงและครอบครัว เพื่อนำคนเหล่านั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อจะได้รับความรอดจากพระองค์ แต่ฉันกลับไม่กังวลเรื่องการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เพื่อรักษาความทะนงตัวที่ไร้สาระของตัวเอง ฉันไม่ได้ตอบคำถามของพี่น้องชายหญิงเกี่ยวกับการแบ่งปันข่าวประเสริฐอย่างทันท่วงที นั่นทำให้คนจำนวนมากสืบค้นหนทางที่แท้จริงและหันกลับมาหาพระเจ้าได้ช้าลง นี่ฉันไม่ได้กลายเป็นอุปสรรค สิ่งกีดขวางงานข่าวประเสริฐหรอกหรือ?  ขณะที่ฉันทบทวนเรื่องนี้ ฉันตระหนักว่ากำลังใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง และแม้จะดูเหมือนว่าฉันกำลังทำหน้าที่ของตัวเอง แต่จริงๆ แล้วฉันกำลังต่อต้านพระเจ้า ทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า และสร้างความเสียหายต่อพี่น้องชายหญิง ฉันทั้งเกลียดทั้งขยะแขยงตัวเองจากก้นบึ้งของหัวใจ ฉันรู้สึกว่าติดค้างพระเจ้าอย่างมาก และทำให้พี่น้องชายหญิงผิดหวังด้วย ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าว่าพร้อมที่จะกลับใจ และต้องการที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแน่วแน่

ครั้งหนึ่งระหว่างการเฝ้าเดี่ยวฝ่ายวิญญาณของฉัน ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการอันใดมาปกป้อง ความมีหน้ามีตา ภาพลักษณ์ และสถานะของเจ้า และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังหรืออำพรางความผิดพลาดของเจ้า  เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามที่เปล่าประโยชน์เหล่านี้  หากเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เจ้าจะมีชีวิตที่ปราศจากการบีบบังคับหรือความเจ็บปวด และเจ้าจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างโดยบริบูรณ์  การเรียนรู้วิธีเปิดใจเวลาที่เจ้าสามัคคีธรรมคือขั้นตอนแรกสู่การเข้าสู่ชีวิต  อันดับถัดไป เจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะชำแหละความคิดและการกระทำของตนเองเพื่อดูว่ามีสิ่งใดผิด และมีสิ่งใดที่พระเจ้าไม่โปรด และเจ้าจำเป็นต้องพลิกสิ่งเหล่านั้นกลับมาทันทีและแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง  อะไรคือจุดประสงค์ของการแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง?  นั่นคือการยอมรับและรับเอาความจริง ในขณะที่กำจัดสิ่งทั้งหลายภายในตัวเจ้าที่เป็นของซาตานและแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยความจริง  ก่อนหน้านี้เจ้าทำทุกสิ่งตามอุปนิสัยอันหลอกลวงของเจ้า ซึ่งคือการโกหกและหลอกลวง เจ้ารู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดได้สำเร็จหากไม่พูดปด  บัดนี้ที่เจ้าเข้าใจความจริงและเกลียดชังหนทางแห่งการทำสิ่งทั้งหลายของซาตาน เจ้าก็ไม่กระทำการในหนทางนั้นอีกต่อไป เจ้ากระทำการด้วยความรู้สึกนึกคิดที่ซื่อสัตย์ สะอาดบริสุทธิ์ และนบนอบ  หากเจ้าไม่ปิดบังอะไรเอาไว้ หากเจ้าไม่มีการปั้นหน้า การเสแสร้งแกล้งทำ หรือปกปิดสิ่งทั้งหลายไว้ หากเจ้าตีแผ่ตัวเองต่อเหล่าพี่น้องชายหญิง ไม่ซ่อนเร้นแนวคิดและความคิดในส่วนลึกที่สุดของเจ้าเอาไว้ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้เห็นท่าทีที่ซื่อสัตย์ของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ความจริงย่อมจะค่อยๆ หยั่งรากในตัวเจ้า ความจริงย่อมจะเบ่งบานและเกิดผล ความจริงย่อมจะให้ผลลัพธ์ทีละน้อย  หากหัวใจของเจ้าซื่อสัตย์มากขึ้นเรื่อยๆ และฝักใฝ่ต่อพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และหากเจ้ารู้จักการอารักขาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และมโนธรรมของเจ้าต้องเดือดร้อนในยามที่เจ้าล้มเหลวที่จะอารักขาผลประโยชน์เหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ว่าความจริงได้มีผลในตัวเจ้าแล้ว และได้กลายเป็นชีวิตของเจ้าแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  พระวจนะของพระเจ้ามอบเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงแก่ฉัน ฉันต้องทำหน้าที่ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์และซื่อสัตย์ และไม่ว่าวุฒิภาวะของฉันจะมากหรือน้อย หรือฉันมีข้อเสียและข้อบกพร่องอะไร ฉันก็ไม่สามารถเสแสร้งได้ ฉันต้องแสดงตัวตนที่แท้จริงของฉันให้ทุกคนเห็น และเปิดเผยตัวเองแม้ว่าฉันจะทำผิดพลาดไป การใช้ชีวิตแบบนี้จะไม่เหนื่อย และพระเจ้าก็ทรงเห็นชอบ ที่จริงแล้ว ปัญหาและข้อบกพร่องของฉันจะไม่หายไปเพียงเพราะฉันพยายามซ่อนมันไว้ ดังนั้นฉันควรเผชิญหน้ากับมันอย่างสงบ รับรู้สิ่งที่ตัวเองขาด และเป็นคนที่สามารถเปิดเผยตัวเองและเปิดใจได้ ถ้าฉันไม่เข้าใจอะไร ก็ต้องตั้งคำถามและเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อที่จะปรับปรุงงานของตัวเองได้ทีละน้อย นอกจากนี้ ฉันควรถือว่าการที่ผู้นำจัดแจงให้ฉันเป็นผู้รับผิดชอบนั้น เป็นความรับผิดชอบที่ฉันยอมรับจากพระเจ้า ไม่ใช่สถานะ ฉันต้องปล่อยวางตัวตนของผู้ดูแลและให้ความสำคัญกับหน้าที่เป็นอันดับแรก ไม่ว่าคนอื่นจะคิดหรือพูดอะไร ฉันต้องแก้ไขแรงจูงใจของตัวเอง เจียมเนื้อเจียมตัว และทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง

ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็ปล่อยวางความทะนงตนและกระตือรือร้นที่จะค้นหาผู้มาใหม่ให้มาสื่อสารด้วยวาจา เพื่อช่วยแก้ไขความลำบากยากเย็นและปัญหาที่พวกเขามีในหน้าที่ ฉันยังฝึกฝนทักษะการสนทนาภาษาอังกฤษมากขึ้นและแก้ไขการออกเสียงด้วย และเมื่อฉันเจอสิ่งที่ไม่เข้าใจ ฉันจะถามพี่น้องชายหญิงคนอื่นและเรียนรู้จากจุดแข็งของพวกเขา ครั้งหนึ่ง เมื่อฉันเข้าร่วมการชุมนุมออนไลน์กับผู้เชื่อใหม่สองสามคน ขณะที่เราเริ่มทักทายกัน ฉันติดอยู่ที่ชื่อของคนหนึ่ง ผู้เชื่อใหม่คนนี้แก้ไขการออกเสียงของฉันซ้ำๆ ฉันรู้สึกอายเล็กน้อย และสงสัยว่า ทำไมเธอถึงจริงจังกับเรื่องนี้มาก แค่แก้ไขครั้งเดียวก็พอแล้ว ทุกคนกำลังฟังอยู่นะ!  แล้วฉันก็นึกถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการอันใดมาปกป้อง ความมีหน้ามีตา ภาพลักษณ์ และสถานะของเจ้า และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังหรืออำพรางความผิดพลาดของเจ้า  เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามที่เปล่าประโยชน์เหล่านี้  หากเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เจ้าจะมีชีวิตที่ปราศจากการบีบบังคับหรือความเจ็บปวด และเจ้าจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างโดยบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  ฉันคิดในใจว่า “จริงสิ เมื่อฉันผิด ฉันก็ผิด ทำไมฉันต้องซ่อนมันอยู่เสมอ?  แทนที่จะจดจ่ออยู่กับหน้าที่ ฉันกลับมัวแต่พะวงกับความทะนงตัว และฉันไม่มีทางทำหน้าที่ได้ดีเมื่อแบกภาระแบบนั้น” ดังนั้น ฉันจึงสงบสติอารมณ์และอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงชี้แนะฉันให้ปล่อยวางความทะนงตนและให้ความสำคัญกับหน้าที่ตัวเอง หลังจากอธิษฐาน ฉันก็ไม่รู้สึกอายอีกต่อไป และฉันก็ไม่รู้สึกถูกจำกัดมากนักจากการออกเสียงที่ไม่ได้มาตรฐาน ฉันขอให้ผู้มาใหม่ช่วยฉันแก้ไขการออกเสียง ไม่นานหลังจากนั้น พี่น้องหญิงที่เคยเป็นคู่ทำงานของฉันมาก่อนพูดว่า “ปกติคุณฝึกภาษาอังกฤษยังไงเหรอ?  คุณสื่อสารกับผู้เชื่อใหม่ได้อย่างราบรื่นมาก คุณก้าวหน้าไปมากในรอบหลายเดือนที่เราไม่ได้เจอกัน!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกตื้นตันมาก และรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นการชี้แนะและพระคุณของพระเจ้า ยิ่งฉันมีประสบการณ์พวกนี้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าการเปิดเผยสภาวะที่แท้จริงของฉัน การไม่อำพรางหรือปกปิดตัวเอง และการทำหน้าที่อย่างรอบคอบเป็นการปฏิบัติที่ทำให้หัวใจของฉันสงบสุข ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 28. อย่าให้ความอิจฉาริษยาไล่ทันคุณ

ถัดไป: 30. ไมตรีจิตถือเป็นหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมในการวัดความเป็นมนุษย์ที่ดีหรือไม่?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger