28. อย่าให้ความอิจฉาริษยาไล่ทันคุณ
ฉันกำลังทำงานรับใช้เป็นผู้นำคริสตจักรในฤดูร้อนปี 2017 เนื่องจากความประสงค์ของงาน ผู้นำระดับสูงกว่าได้จัดแจงให้พี่น้องหญิงหยางกวงและพี่น้องหญิงเฉิงซินมาทำงานเคียงข้างฉันในการรับผิดชอบงานของคริสตจักร และบอกให้ฉันช่วยเหลือพวกเธอ หลังจากนั้นสักพัก ฉันเห็นว่าพี่น้องหญิงสองคนนี้ต่างแบกรับภาระในหน้าที่ของตัวเองและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ฉันไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับบางสิ่ง เพราะพี่น้องหญิงสามารถหารือและจัดการสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสมด้วยตัวพวกเธอเอง ในตอนแรก ฉันรู้สึกดีใจกับเรื่องนั้นมาก แต่เวลาผ่านไป เรื่องนี้เริ่มทำให้ฉันรู้สึกไม่ดี ฉันคิดกับตัวเองว่า “ฉันเป็นผู้นำ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าเรื่องของคริสตจักรไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเล็กก็ควรต้องมาหารือกับฉันก่อน แต่ตอนนี้ พี่น้องหญิงสองคนนี้จัดแจงบางสิ่งโดยไม่ได้ปรึกษาฉัน พวกเธอไม่ให้ความสำคัญกับฉันเลย! ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ฉันจะไม่เป็นผู้นำแค่ในนามหรือ?”
ที่การชุมนุมครั้งหนึ่ง มัคนายกผู้ให้น้ำเอ่ยถึงหยางกวงและเฉิงซิน เธอพูดว่า “พวกเธอต่างแบกรับภาระในหน้าที่ของตัวเองอย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้พวกเราขาดแคลนผู้ให้น้ำอยู่เสมอ แต่ตั้งแต่พวกเธอมาถึง นอกจากมีการปรับเปลี่ยนรวดเร็วแล้ว งานให้น้ำยังมีประสิทธิผลพอควรด้วย…” หลังจากได้ยินแบบนั้น ฉันก็กล่าวขอบคุณพระเจ้าออกมา แต่ในใจของฉันกลับไม่ได้พอใจนัก และรู้สึกได้ว่าหน้าของฉันร้อนผ่าว ฉันคิดกับตัวเองว่า “เหมือนว่าผู้อื่นจะนึกถึงพี่น้องหญิงสองคนนั้นมากกว่าที่นึกถึงฉัน ฉันเป็นผู้นำมาหลายปี แต่พี่น้องหญิงเหล่านั้นทำงานนี้มาเพียงไม่กี่วัน พวกเธอดีกว่าฉันงั้นเหรอ?” ฉันไม่อยากยอมรับเรื่องนั้น และไม่ได้ยินอะไรที่มัคนายกผู้ให้น้ำพูดหลังจากนั้นอีก ฉันเดินกลับบ้านอย่างอ่อนแรงหลังจากการชุมนุม คืนนั้นฉันนอนอยู่บนเตียง พลิกตัวไปมาไม่สามารถหลับได้ ฉันรู้สึกอารมณ์เสียมากทุกครั้งที่คิดถึงสิ่งที่มัคนายกผู้ให้น้ำพูด ฉันเป็นผู้นำมาหลายปี แต่เทียบกับพี่น้องหญิงทั้งสองที่เพิ่งเริ่มฝึกฝนไม่ได้เลย แล้วถ้าผู้นำระดับสูงกว่ารู้เข้าเธอจะคิดเกี่ยวกับฉันยังไง? เธอจะบอกว่าฉันขาดความสามารถและไม่เหมาะสมจะเป็นผู้นำหรือเปล่า? ผู้อื่นที่เคยเคารพนับถือฉัน พวกเขาจะคิดว่าตอนนี้พี่น้องหญิงเหล่านั้นดีกว่าฉันหรือเปล่า? พวกเขาจะสนับสนุนพวกเธอแทนฉันในอนาคตหรือเปล่า? ฉันรู้สึกเหมือนหยางกวงและเฉิงซินขโมยความโดดเด่นของฉันไป และฉันก็เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและความขุ่นเคืองต่อพวกเธอ ในช่วงนั้นความคิดฝันของฉันกำลังว้าวุ่นอย่างบ้าคลั่ง ด้วยความกลัวว่าตำแหน่งของฉันจะไม่มั่นคง ฉันผลักดันตัวเองอยู่เงียบๆ ให้ทำงานให้ดี มุ่งมั่นทำให้ดีขึ้นในโครงการทั้งหมดของเรา และทำให้ผู้อื่นเห็นว่าฉันไม่ได้เป็นรองพี่น้องหญิงเหล่านั้นแม้แต่น้อย หลังจากนั้น ฉันก็ตื่นนอนแต่เช้าและนอนดึกทุกวัน ฉันนำไปก่อนในโครงการสำคัญทั้งหมดและแก้ปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวว่าพี่น้องหญิงจะทำก่อนฉัน บางครั้งฉันถึงกับหวังว่าพวกเธอจะทำผิดพลาดและทำให้ตัวเองอับอาย วันหนึ่ง ขณะที่ตรวจสอบหนังสือของคริสตจักร เราพบความไม่สอดคล้องกันของจำนวนส่งออกและจำนวนได้รับ พี่น้องหญิงทั้งสองได้ดูแลการแจกจ่ายและการรับหนังสือ ขณะที่พวกเธอตามหาสาเหตุอย่างกังวลใจ นอกจากจะไม่ช่วยเหลือ ฉันยังสนุกสนานกับความโชคร้ายของพวกเธอ โดยคิดว่า “ฉันนึกว่าคุณสองคนเก่งมากเสียอีก ทีนี้จะทำยังไงกันล่ะ?” ฉันพูดกับพวกเธอด้วยน้ำเสียงตำหนิ ว่าถือเป็นเรื่องใหญ่หากมีปัญหาเกี่ยวกับหนังสือของคริสตจักร นั่นยิ่งทำให้พวกเธอเครียดมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อสภาวะของพวกเธอ ฉันแอบรู้สึกค่อนข้างมีความสุขว่า “มาดูกันว่าผู้นำระดับสูงกว่าจะยังคิดว่าพวกคุณดีกว่าฉันหรือเปล่าหลังจากที่พวกคุณทำความผิดใหญ่โตอย่างนี้! ถ้าพวกคุณยังอยู่ในสภาวะคิดลบแบบนี้ ฉันก็ไม่ต้องกังวลว่าพวกคุณจะเป็นภัยต่อตำแหน่งของฉัน” ตอนนั้นฉันรู้สึกผิดเล็กน้อยและตระหนักว่ากำลังล้ำเส้น แต่ฉันก็ไม่ได้ทบทวนเรื่องนั้นมากนัก
ต่อมา หน้าที่ของเฉิงซินก็ถูกปรับเปลี่ยนด้วยเหตุผลบางอย่าง ที้งให้ฉันและหยางกวงทำงานด้วยกัน วันหนึ่งระหว่างการปรึกษาหารืองาน ฉันสังเกตว่าผู้นำระดับสูงกว่าคอยถามความเห็นของหยางกวงอยู่ตลอด ขณะที่ฉันนั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกถูกดูหมิ่น ฉันจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้นำอาจจดจ่อในการฝึกฝนเธอเพราะเธออายุน้อยกว่าและมีขีดความสามารถดีกว่าหรือเปล่า ฉันรู้สึกผิดหวังอย่างมาก ผู้นำเคยหารือสิ่งทั้งหลายกับฉันมาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เธอนึกถึงแต่หยางกวง แล้วนั่นไม่ได้แสดงให้เห็นว่าหยางกวงดีกว่าฉันเหรอ? ความอิจฉาริษยาของฉันแสดงออกมาอีกครั้ง ในช่วงนั้น ฉันตำหนิหยางกวงทุกครั้งที่สังเกตเห็นความคลาดเคลื่อนในงานของเธอ และบางครั้งก็แค่เย็นชาใส่เธอ ฉันเร่งรีบไปเป็นผู้นำการชุมนุมทุกครั้งและแก้ปัญหาของผู้อื่น โดยไม่ให้โอกาสเธอได้สามัคคีธรรม สภาวะของเธอย่ำแย่ลงเรื่อยๆ และเธอก็ไม่แบกรับภาระในงานของคริสตจักรอีกต่อไป เธอไม่จัดการชิ้นงานบางชิ้นอย่างทันท่วงที ส่งผลให้งานของคริสตจักรเกิดความเสียหาย ตอนนั้นฉันรู้สึกผิดอยู่บ้าง ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนในสภาวะคิดลบของเธออย่างมาก แต่ฉันก็ไม่ทบทวนตัวเอง ฉันไม่มีความเข้าใจในสภาวะของตัวเองเลยจนกระทั่งฉันถูกพระเจ้าบ่มวินัย
วันหนึ่งฉันรู้สึกไม่สบายและมีไข้ขึ้นมากระทันหัน แล้วก็มีอาการไอ ฉันคิดว่าโรคหอบหืดของฉันกำเริบอีกครั้ง แต่ต่อมา อาการไอก็แย่ลงเรื่อยๆ และไม่มียาตัวไหนช่วยให้ดีขึ้นเลย ไม่ว่าฉันจะอยากมากแค่ไหน ฉันก็ไปสามัคคีธรรมในการชุมนุมไม่ได้ ฉันไปพบหมอเพื่อตรวจดูอาการ และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดลมโป่งพองและวัณโรคขั้นรุนแรง หมอบอกว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก และต้องใช้ยารักษานานกว่าหนึ่งปีถึงจะควบคุมอาการได้ เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฉันก็ได้แต่นั่งนิ่งด้วยความตกใจ อีกทั้งรู้สึกทุกข์ใจอย่างมาก ฉันเคยเป็นวัณโรคมาก่อน ซึ่งเป็นโรคที่รักษาได้ยากมาก โรคนี้กลับมาอีกได้อย่างไรกัน แล้วทำไมครั้งนี้ถึงเป็นปัญหารุนแรงขนาดนี้? เนื่องจากวัณโรคเป็นโรคติดต่อ ฉันจึงไม่สามารถติดต่อกับพี่น้องชายหญิงได้เลย นั่นหมายความว่าฉันไม่สามารถทำหน้าที่ของฉันได้ ในช่วงหลายปีที่มีความเชื่อ ฉันได้ทำหน้าที่เสมอ ถึงขนาดละทิ้งครอบครัวและงานไว้เบื้องหลังเพื่อสละตัวเอง โดยเฉพาะในตอนนั้นที่งานคริสตจักรยุ่งมาก และฉันอยู่แถวหน้าของงานทั้งหมด ทำไมฉันถึงได้เจ็บป่วยร้ายแรงแบบนี้? พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์อะไร? ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าใด ฉันก็รู้สึกแย่ลงเท่านั้น บ่อยครั้งที่ฉันแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่ม ครั้งหนึ่ง ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “พระเจ้า! ข้าพระองค์เจ็บปวดเหลือเกิน ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไร โปรดทรงให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์เพื่อเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ ข้าพระองค์จะได้เรียนรู้บทเรียนจากความเจ็บป่วยครั้งนี้”
วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าในการเฝ้าเดี่ยว พระเจ้าตรัสว่า “ปกติแล้วเมื่อเจ้าเผชิญความเจ็บป่วยร้ายแรงหรือโรคประหลาดที่ทำให้เจ้าทนทุกข์อย่างร้ายกาจ นี่ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่ว่าเจ้าจะเจ็บป่วยหรือมีสุขภาพแข็งแรง ก็มีน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่ในการนั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ในการเชื่อในพระเจ้า การได้รับความจริงสำคัญที่สุด) เมื่อไตร่ตรองตามนี้ ฉันก็ตระหนักได้ ว่าการที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันเกิดป่วยรุนแรงนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่มีเจตนารมณ์ของพระเจ้าแฝงอยู่ในนั้นแน่นอน ฉันต้องตรวจสอบตัวเองอย่างจริงจัง ฉันอธิษฐานและแสวงหาจากพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ระหว่างการทบทวน ฉันก็ตระหนักได้อย่างฉับพลัน ว่าความอิจฉาริษยาของฉันต่อหยางกวงตลอดช่วงเวลานี้ และการดิ้นรนไม่หยุดเพื่อความโด่งดัง และผลประโยชน์ส่วนตัวของฉันทำให้เธอรู้สึกถูกจำกัด และทำให้มีผลกระทบต่องานของคริสตจักร เมื่อคิดได้แบบนั้น ฉันก็รู้สึกผิดและเต็มไปด้วยความเสียใจ ฉันอ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “มนุษยชาติช่างโหดร้าย! การรู้เห็นเป็นใจและเล่ห์เพทุบาย การคว้ากระชากและฉกฉวยสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากคนอื่น การแก่งแย่งชื่อเสียงและความมั่งคั่ง การเข่นฆ่ากันและกัน—เมื่อไรมันจะสิ้นสุดเสียที? ถึงแม้ว่าจะมีพระวจนะนับหลายแสนคำที่พระเจ้าตรัส ไม่มีใครที่คิดได้สักคน ผู้คนปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของครอบครัว ลูกชายและลูกสาวของตน เพื่ออาชีพการงาน ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในภายภาคหน้า ตำแหน่งหน้าที่ ความเหลิงในลาภยศ และเงินทองของตน เพื่ออาหาร เสื้อผ้า และเนื้อหนัง แต่มีใครสักคนหรือไม่ที่มีการกระทำต่างๆ ซึ่งเป็นไปเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง? แม้แต่ในท่ามกลางผู้ที่ปฏิบัติเพื่อพระเจ้า ก็มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักพระเจ้า มีผู้คนสักกี่คนที่ไม่ได้ปฏิบัติบนผลประโยชน์ของตนเอง? มีสักกี่คนที่ไม่กดขี่หรือกีดกันบุคคลอื่นๆ เพื่อที่จะปกป้องตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คนชั่วย่อมจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน) “บางคนกลัวอยู่เสมอว่าผู้อื่นจะเก่งกว่าตนหรืออยู่เหนือตน ว่าผู้อื่นจะได้รับการยอมรับขณะที่ตนถูกมองข้าม และนี่ก็พาให้พวกเขาเล่นงานและกีดกันผู้อื่น นี่เป็นเรื่องของการอิจฉาผู้คนที่มีความสามารถพิเศษมิใช่หรือ? นั่นย่อมเห็นแก่ตัวและควรดูหมิ่นมิใช่หรือ? นี่คืออุปนิสัยจำพวกใด? นี่คือความมุ่งร้าย! ผู้ที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น เอาแต่ตอบสนองความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวของตนเองเท่านั้น ไม่นึกถึงผู้อื่นหรือคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ย่อมมีอุปนิสัยที่ไม่ดี และพระเจ้าก็ไม่ทรงรักพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น) สิ่งที่พระเจ้าทรงเผยออกมาคือสภาวะของฉันอย่างแม่นยำ ตั้งแต่ฉันเห็นพี่น้องหญิงสองคนนั้นทำหน้าที่ได้อย่างชำนาญ ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และรับมือกับบางสิ่งโดยไม่ได้ปรึกษาฉัน ฉันก็เริ่มอึดอัดและคิดว่าพวกเธอไม่นับถือฉัน ตอนที่มัคนายกผู้ให้น้ำชมเชยพวกเธอที่ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิผล ฉันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าพวกเธอเป็นภัยต่อตำแหน่งของฉันและขโมยความโดดเด่นของฉันไป เพื่อพิสูจน์ว่าฉันดีกว่าพวกเธอและรักษาตำแหน่งของตัวเอง ฉันแซงหน้าพวกเธอไปสามัคคีธรรมและแก้ปัญหาของผู้อื่นในการชุมนุม และไม่ให้โอกาสพวกเธอได้สามัคคีธรรมเลยแม้แต่น้อย เมื่อจำนวนหนังสือของคริสตจักรไม่ถูกต้อง แทนที่ฉันจะช่วยพวกเธอหาสาเหตุ ฉันกลับเพลิดเพลินกับความทุกข์ของพวกเธอและพูดจาเสียดสี ทำให้พวกเธอต้องอยู่กับความคิดลบ ฉันช่างเป็นคนมุ่งร้ายเสียจริง ด้วยความคิดนี้ ฉันจึงรู้สึกผิดและเสียใจ แล้วอธิษฐานถึงพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “โอ้ พระเจ้า! ด้วยพระคุณของพระองค์ที่ข้าพระองค์สามารถดูแลควบคุมงานของคริสตจักรได้ แต่ข้าพระองค์กลับกบฏมาก นอกจากไม่ได้ทำหน้าที่อย่างดีและตอบแทนความรักของพระองค์ ข้าพระองค์ยังอิจฉาริษยาผู้มีความสามารถมากกว่า และต่อสู้เพื่อความโด่งดังและผลประโยชน์ส่วนตัว พฤติกรรมของข้าพระองค์น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงสำหรับพระองค์ พระเจ้า ข้าพระองค์อยากกลับใจและเปลี่ยนแปลง”
หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ที่ว่า “เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา บางคนแสวงหาคำตอบจากผู้อื่น แต่เมื่อบุคคลอื่นพูดตามความจริง พวกเขากลับไม่ยอมรับความจริงนั้น พวกเขาไม่สามารถเชื่อฟัง และในหัวใจของพวกเขา พวกเขาคิดว่า ‘ตามปกติฉันดีกว่าเขา หากคราวนี้ฉันฟังข้อเสนอแนะของเขา จะไม่ดูเหมือนว่าเขาเหนือกว่าฉันหรอกหรือ? ไม่ ฉันไม่สามารถฟังเขาในเรื่องนี้ได้ ฉันจะทำเรื่องนี้ตามวิธีของฉันก็แล้วกัน’ จากนั้นพวกเขาก็หาเหตุผลและข้ออ้างมาปัดมุมมองของบุคคลอื่นให้ตกไป เมื่อบุคคลผู้หนึ่งเห็นใครบางคนดีกว่าตน และพยายามโค่นล้มคนเหล่านั้น แพร่ข่าวลือเกี่ยวกับคนเหล่านั้น หรือใช้วิธีการที่น่าดูหมิ่นมาหาความคนเหล่านั้นและบ่อนทำลายชื่อเสียงของคนเหล่านั้น—ถึงกับเหยียบย่ำคนเหล่านั้นไปทั่ว—เพื่อปกป้องที่ทางของตนเองในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน นี่คืออุปนิสัยแบบใด? นี่ไม่ใช่ความโอหังและความทะนงตนเท่านั้น แต่เป็นอุปนิสัยของซาตาน เป็นอุปนิสัยที่มุ่งร้าย การที่บุคคลผู้นี้สามารถโจมตีและทำให้ผู้คนที่ดีกว่าและแกร่งกว่าตนหมางใจกันได้นั้นย่อมเลวและร้ายกาจ และการที่พวกเขาโค่นล้มผู้คนอย่างไม่หยุดยั้งก็แสดงให้เห็นว่ามีมารอยู่ในตัวพวกเขามากมาย! เมื่อใช้ชีวิตตามอุปนิสัยของซาตาน พวกเขาย่อมโน้มเอียงที่จะดูเบาผู้คน ที่จะพยายามใส่ความผู้คน ทำให้สิ่งทั้งหลายยากสำหรับผู้คน นี่ไม่ใช่การทำชั่วหรอกหรือ? และแม้จะใช้ชีวิตเยี่ยงนี้ พวกเขาก็ยังคงคิดว่าพวกเขาใช้ได้ ว่าพวกเขาเป็นคนดี—แต่ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนดีกว่าตน พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะทำให้คนเหล่านั้นลำบากและเหยียบย่ำคนเหล่านั้นทั่วทั้งตัว ประเด็นปัญหาตรงนี้คืออะไร? ผู้คนที่สามารถประพฤติชั่วเช่นนั้นย่อมไม่ซื่อสัตย์และไม่ฟังใครมิใช่หรือ? ผู้คนเช่นนั้นคิดถึงผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น พวกเขาคำนึงถึงความรู้สึกของตนเองเท่านั้น และทั้งหมดที่พวกเขาต้องการก็คือการสัมฤทธิ์ความอยากได้อยากมี ความมักใหญ่ใฝ่สูง และจุดมุ่งหมายของตนเอง พวกเขาไม่ใส่ใจว่าพวกเขาก่อความเสียหายให้กับงานของคริสตจักรมากเพียงใด และพวกเขาเลือกที่จะพลีอุทิศผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อปกป้องสถานะของตนในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนและความมีหน้ามีตาของตนเองเสียมากกว่า ผู้คนเช่นนี้ไม่โอหัง คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ เห็นแก่ตัว และต่ำทรามหรอกหรือ? คนพวกนี้ไม่เพียงโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอเท่านั้น พวกเขายังเห็นแก่ตัวและต่ำทรามเป็นที่สุดอีกด้วย พวกเขาไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย คนพวกนี้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลย นี่คือสาเหตุที่พวกเขาปฏิบัติตนอย่างไม่รู้จักยั้งคิดและทำทุกสิ่งตามที่ตนต้องการ โดยปราศจากสำนึกของการติเตียน ไม่มีความหวั่นเกรงอันใด ไม่มีความประหวั่นพรั่นใจหรือกังวลใจอันใด และไร้ซึ่งการคำนึงถึงผลที่จะตามมา พวกเขาทำเช่นนี้บ่อยครั้ง และประพฤติตนเช่นนี้เสมอมา อะไรคือธรรมชาติของพฤติกรรมเช่นนี้? พูดอย่างเบาๆ ก็คือ ผู้คนเช่นนี้มีความอิจฉามากเกินไป ความอยากมีหน้ามีตาและความอยากได้สถานะของพวกเขาก็รุนแรงเกินไป พวกเขาหลอกลวงและยอกย้อนเกินไป พูดให้แรงกว่านั้นก็คือ แก่นแท้ของปัญหาอยู่ที่ผู้คนเช่นนี้ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลย พวกเขาไม่เกรงกลัวพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าตัวพวกเขาเองสำคัญที่สุด และพวกเขาถือว่าทุกแง่มุมของตัวพวกเขาเองสูงส่งกว่าพระเจ้าและสูงส่งกว่าความจริง ในหัวใจของพวกเขา พระเจ้าไม่ทรงมีค่าควรให้เอ่ยถึง และไม่ทรงมีนัยสำคัญ และพระเจ้าจึงไม่ทรงมีสถานะในหัวใจพวกเขาแต่อย่างใดเลย พวกที่ไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจพวกเขาและพวกที่ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่? แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้ ดังนั้นแล้ว ตอนที่พวกเขามักจะเที่ยวทำตัวเองให้มีธุระยุ่งหัวหมุนไปทั่ว และทุ่มเทพลังงานไปค่อนข้างมากมายนั้น พวกเขากำลังทำอะไรหรือ? ผู้คนเช่นนั้นถึงกับกล่าวอ้างว่าได้ทอดทิ้งทุกสิ่งเพื่อที่จะสละเพื่อพระเจ้าและได้ทนทุกข์ไปอย่างมหาศาล แต่อันที่จริงแล้ว สิ่งจูงใจ หลักธรรมและวัตถุประสงค์ของการกระทำทั้งหมดของพวกเขานั้นเป็นไปเพื่อสถานะและเกียรติยศของพวกเขาเอง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทั้งปวงของพวกเขา พวกเจ้าจะพูดหรือจะไม่พูด ว่าบุคคลจำพวกนี้ร้ายแรง? คนที่ไม่เคารพพระเจ้านั้นเป็นบุคคลจำพวกไหนหรือ? พวกเขาไม่โอหังหรอกหรือ? พวกเขาไม่ใช่ซาตานหรอกหรือ? สิ่งประเภทใดกันที่ไม่เคารพพระเจ้า? ผู้คนประเภทใดหรือที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่กระนั้นกลับไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลย? พวกเขาไม่ได้โอหังหรอกหรือ? พวกเขาไม่ใช่ซาตานกันหรอกหรือ? แล้วหัวใจของสิ่งใดที่ไม่ยำเกรงพระเจ้ามากที่สุด? นอกเหนือจากพวกสัตว์ร้ายแล้ว ก็คือพวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ หมู่มารและพลพรรคของซาตานนั่นเอง พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลย พวกเขาไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยสิ้นเชิง พวกเขาสามารถทำความชั่วเช่นไรก็ได้ พวกเขาคือศัตรูของพระเจ้า และศัตรูของประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เงื่อนไขห้าประการที่ต้องทำเพื่อออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า) รู้สึกราวกับว่าพระเจ้าทรงอยู่ต่อหน้าฉันแล้วตัดสินฉัน ฉันคิดว่าหลังจากเป็นผู้นำมาหลายปี ฉันควรอยู่เหนือกว่าและดีกว่าผู้อื่น ฉันจึงอิจฉาและปฏิเสธใครก็ตามที่มีความสามารถมากกว่า ฉันรู้ว่าพี่น้องหญิงสองคนนั้นมีขีดความสามารถ พวกเธอแบกรับภาระและมีประสิทธิผลในหน้าที่ของตนเอง ซึ่งดีต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง แต่ฉันไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเหล่านั้นเลย กลับสนใจเกี่ยวกับชื่อเสียงและสถานะของตัวเองเท่านั้น ฉันต่อสู้กับพวกเธออย่างลับๆ มองหาความเบี่ยงเบนและความพลั้งเผลอในงานของพวกเธอ เพื่อทำให้พวกเธอเสียใจและอับอาย สิ่งนี้ทำให้พวกเธออยู่ในสภาวะย่ำแย่และไม่ได้แบกรับภาระในหน้าที่ของตนเอง ซึ่งก็ทำให้งานของคริสตจักรเสียหายด้วย เพื่อรักษาสถานะของตัวเอง อิจฉาผู้มีความสามารถมากกว่าตัวเอง ฉันจึงจำกัดพี่น้องหญิงสองคนนั้นผู้ซึ่งสามารถทำงานจริงได้ จนถึงจุดที่พวกเธอกลายเป็นคนคิดลบ จากการกระทำนั้น ฉันกำลังรบกวนงานของคริสตจักรและทำลายผลประโยชน์ของคริสตจักร ฉันไม่มีความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างที่ฉันเผยออกมานั้นเป็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ซาตานไม่อาจทนเห็นผู้คนเป็นไปด้วยดีได้ และปรารถนาอย่างยิ่งให้พวกเขากลายเป็นคนคิดลบ เสื่อมโทรม และทรยศพระเจ้า ฉันกำลังทำตัวเหมือนสมุนของซาตาน ขัดขวางงานของคริสตจักร ในฐานะผู้นำคริสตจักรคนหนึ่ง ฉันควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ปลูกฝังผู้คนเพื่อคริสตจักร เพื่อให้พี่น้องชายหญิงปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้ แต่กลับกัน นอกจากจะไม่ได้ปลูกฝังผู้คนที่มีความสามารถแล้ว ฉันยังอิจฉาริษยาและกดขี่พวกเขาด้วย นั่นเป็นการทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไรกัน? ฉันแค่ทำความชั่วและต่อต้านพระเจ้า
วันหนึ่ง ฉันเปิดใจกับพี่น้องหญิงคนหนึ่งและสามัคคีธรรมเรื่องสภาวะอิจฉาริษยาของฉัน เธอฟังแล้วก็แบ่งปันตัวอย่างเรื่องความอิจฉาริษยาของซาอูลที่มีต่อเดวิดให้ฉันฟัง เธอเล่าว่า “เมื่อซาอูลเห็นว่าพระเจ้าทรงใช้เดวิดเพื่อชนะสงคราม และชาวอิสราเอลทั้งหมดต่างสนับสนุนเขา ซาอูลจึงเกิดอิจฉาริษยาเดวิดและคอยพยายามฆ่าเขา สุดท้ายซาอูลก็ถูกพระเจ้ารังเกียจเดียดฉันท์และลงโทษ” การได้ยินเรื่องนี้ทำให้ฉันตัวสั่นระริก ฉันคิดถึงพฤติกรรมช่วงนี้ทั้งหมดของตัวเอง เมื่อพี่น้องหญิงสองคนนั้นได้ผลลัพธ์บางอย่างในหน้าที่ ฉันก็เกิดอิจฉาริษยาพวกเธอ แล้วจำกัดและกำราบพวกเธอทุกครั้ง ฉันไม่ได้แค่สร้างความลำบากให้พวกเธอ แต่ยังทำให้ตัวเองเป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกด้วย ฉันก็เหมือนกับซาอูลไม่ใช่เหรอ? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย แล้วก็ตระหนักได้ว่า นี่เป็นการสั่งสอนและบ่มวินัยของพระเจ้าที่ถูกเวลา ซึ่งหยุดฉันจากหนทางการทำความชั่ว ถ้าฉันยังทำตัวแบบนั้นต่อไป ผลสืบเนื่องคงนึกไม่ถึงเลย ต่อมา ฉันไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ทำไมกัน ทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอกว่าพระเจ้าทรงไม่ชอบการอิจฉาริษยา แต่ฉันกลับห้ามตัวเองไม่ให้ทำสิ่งทั้งหลายเพื่อกันผู้อื่นออกไปไม่ได้? ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ตรัสว่า “แก่นแท้ของศัตรูพระคริสต์มีลักษณะที่เด่นชัดที่สุดอยู่อย่างหนึ่งคือ พวกเขาผูกขาดอำนาจและใช้ความเผด็จการของตนเอง กล่าวคือ พวกเขาไม่ฟังใคร ไม่ให้ความเคารพผู้ใด และไม่ว่าผู้คนจะมีจุดแข็งอันใด หรือแสดงทัศนะที่ถูกต้องหรือความคิดเห็นด้วยปัญญาว่าอย่างไร หรือเสนอวิธีการอะไรที่เหมาะสม พวกเขาก็ไม่สนใจ เหมือนว่าไม่มีใครมีคุณสมบัติที่จะร่วมมือกับตน หรือมีส่วนร่วมในสิ่งใดก็ตามที่ตนทำอยู่ นี่คืออุปนิสัยแบบที่ศัตรูของพระคริสต์มี บางคนบอกว่านี่คือความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี—แต่จะเป็นความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีซึ่งพบเห็นกันทั่วไปได้อย่างไร? นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานโดยแท้ และอุปนิสัยเยี่ยงนี้ก็โหดร้ายอย่างยิ่ง เหตุใดเราจึงบอกว่าอุปนิสัยของพวกเขาโหดร้ายอย่างยิ่ง? ศัตรูของพระคริสต์ยึดทุกสิ่งไปจากพระนิเวศของพระเจ้าและยึดเอาทรัพย์สินของคริสตจักร ทำเหมือนสิ่งเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตนเอง จึงต้องให้ตนบริหารจัดการทั้งหมด และพวกเขาไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้ สิ่งเดียวที่พวกเขานึกถึงเวลาทำงานของคริสตจักรก็คือผลประโยชน์ของตนเอง สถานะของตนเอง และความภาคภูมิใจของตนเอง พวกเขาไม่ยอมให้ใครทำให้ผลประโยชน์ของตนเสียหาย และยิ่งไม่ยอมให้คนที่มีขีดความสามารถหรือคนที่กล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้ มาคุกคามความมีหน้ามีตาและสถานะของพวกเขา… เมื่อใครบางคนทำให้ตนเองโดดเด่นขึ้นมาด้วยงานเล็กๆ น้อยๆ หรือเมื่อใครบางคนสามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์จริง และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้รับประโยชน์ ได้รับความเจริญใจ และการเกื้อหนุน รวมทั้งได้รับการสรรเสริญจากทุกคนอย่างใหญ่หลวง ความอิจฉาและความเกลียดชังก็จะพอกพูนขึ้นในหัวใจของศัตรูพระคริสต์ พวกเขาพยายามกีดกันและกำราบคนคนนั้นเอาไว้ ไม่ว่าภายใต้รูปการณ์แบบใดพวกเขาก็ไม่ยอมให้ผู้คนดังกล่าวได้ทำงาน เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้คุกคามสถานะของตน… ศัตรูของพระคริสต์กลับคิดในใจว่า ‘ไม่มีทางที่ฉันจะยอมทนเรื่องนี้ คุณอยากมีบทบาทในพื้นที่ของฉัน อยากแข่งกับฉัน นั่นย่อมทำไม่ได้ อย่าคิดที่จะทำด้วยซ้ำ คุณมีการศึกษาสูงกว่าฉัน พูดจาฉะฉานกว่า ได้รับความนิยมมากกว่าฉัน และคุณก็ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยความขยันหมั่นเพียรมากกว่าฉัน ถ้าฉันร่วมมือกับคุณและคุณแย่งความสนใจไปจากฉัน แบบนั้นฉันจะทำอย่างไร?’ พวกเขาคำนึงถึงประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? ไม่ พวกเขาคิดถึงอะไร? พวกเขาเอาแต่คิดหาวิธีรักษาสถานะของตน แม้ศัตรูของพระคริสต์จะรู้ตัวว่าไม่สามารถทำงานจริงได้ แต่พวกเขาก็ไม่บ่มเพาะหรือส่งเสริมผู้คนที่มีขีดความสามารถดีและไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้คนกลุ่มเดียวที่พวกเขาส่งเสริมคือคนที่ยกยอพวกเขา พร้อมที่จะเคารพบูชาผู้อื่น เห็นชอบและเลื่อมใสพวกเขาอยู่ในหัวใจ เป็นคนที่ประสานงานคล่อง ไม่เข้าใจความจริง และไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะอะไรได้” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)) พระเจ้าทรงเผยว่าศัตรูของพระคริสต์ไม่มีการคำนึงถึงงานของคริสตจักร และต้องการแค่อำนาจผูกขาด พวกเขาควบคุมคริสตจักรไว้แต่เพียงคนเดียวและไม่ให้คนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเขากีดกันและกดขี่ผู้ที่เป็นภัยต่อสถานะของพวกเขา และทำงานอย่างจริงจังเพื่อปกปิดจุดแข็งและคุณความดีของผู้อื่น ฉันกำลังทำตัวเหมือนศัตรูของพระคริสต์ไม่มีผิด เพื่อรักษาสถานะของตัวเองให้มั่นคง ฉันเอาแต่ต้องการผูกขาดอำนาจและเป็นผู้ตัดสินใจเพียงคนเดียวในคริสตจักร ฉันยืนหยัดกับแนวคิดที่ว่า “จ่าฝูงมีได้เพียงหนึ่ง” และ “ทั่วทั้งจักรวาลนี้ เราเท่านั้นที่ครองราชย์สูงสุด” และฉันจะไม่ปล่อยให้ใครเหนือกว่าฉัน เมื่อพี่น้องหญิงทั้งสองรับมือกับบางเรื่องและไม่ได้หารือกับฉัน ฉันคิดว่าพวกเธอไม่ให้ความสำคัญกับฉัน แล้วอย่างไรก็ตามฉันก็เป็นผู้นำ ดังนั้นเรื่องต่างๆ ของคริสตจักรก็ควรพูดกับฉันก่อน เมื่อปัญหาต่างๆ ปรากฏขึ้นมาในหน้าที่ของพวกเธอ ฉันวิจารณ์พวกเธอด้วยการขยายปัญหาและจงใจทำให้พวกเธอดูโง่เอง ฉันทำหน้าที่เจ้าภาพการชุมนุมด้วยตัวเอง ไม่ให้โอกาสพี่น้องหญิงสองคนนี้ได้สามัคคีธรรม แล้วฉันยังพูดดูหมิ่นเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับพวกเธอลับหลังเพื่อทำให้ผู้ดูแลคิดว่าพวกเธอไม่กระตือรือร้นในสามัคคีธรรม และการชุมนุมจะมีความเงียบน่าอึดอัดอยู่ตลอด ซึ่งฉันเป็นคนเดียวที่ทำหน้าที่เจ้าภาพเสมอ ราวกับว่าความดีความชอบทั้งหมดเป็นของฉันเพียงลำพัง อุปนิสัยของฉันช่างหลอกลวงและเลวทราม อีกทั้งยังเดินอยู่ในเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ ในจุดนั้นฉันตระหนักได้ว่า หากไม่มีการสั่งสอนและการบ่มวินัยของพระเจ้า อีกทั้งการพิพากษาและการเผยของพระวจนะของพระองค์ ฉันคงไม่มีทางได้เห็นว่าธรรมชาติของการกระทำของฉันร้ายแรงแค่ไหน นอกจากฉันจะกดข่มและทำร้ายพี่น้องหญิงที่ร่วมงานกับฉันแล้ว ฉันยังกระทำผิดและประพฤติชั่วอีกด้วย ในช่วงนั้น ฉันรู้สึกตำหนิตัวเองและสำนึกผิดอย่างที่สุด ฉันเกลียดตัวเองที่ทำความชั่ว รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างถูกควร และรู้สึกเป็นหนี้ต่อพระเจ้าอย่างมหาศาล
ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มขึ้นหลังจากนั้นดังว่า “ในฐานะผู้นำคริสตจักร เจ้าไม่เพียงจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเท่านั้น เจ้ายังจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะค้นพบและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษ และเจ้าต้องไม่ริษยาหรือกดขี่คนเหล่านี้เด็ดขาด การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมเป็นผลดีต่องานของคริสตจักร หากเจ้าสามารถบ่มเพาะให้ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงสักสองสามคนร่วมมือกับเจ้าได้และทำงานทั้งปวงได้ดี และในท้ายที่สุดพวกเจ้าทุกคนก็มีคำพยานจากประสบการณ์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมเป็นผู้นำหรือคนทำงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสม หากเจ้าสามารถรับมือทุกสิ่งได้ตามหลักธรรม เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จงรักภักดี… หากเจ้าสามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เจ้าย่อมจะสามารถปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรม หากเจ้าแนะนำคนที่ดีและเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้ารับการฝึกอบรมและปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการเพิ่มคนที่มีความสามารถพิเศษให้แก่พระนิเวศของพระเจ้า นั่นย่อมจะทำให้งานของเจ้าง่ายขึ้นมิใช่หรือ? เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะแสดงให้เห็นความจงรักภักดีในหน้าที่ของเจ้ามิใช่หรือ? นั่นคือการทำดีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เป็นมโนธรรมและเหตุผลขั้นต่ำสุดซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่ผู้นำควรมี” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เรียนรู้ ว่าผู้นำและผู้ทำงานต่างต้องจดจ่อกับการค้นพบและการฝึกฝนผู้มีความสามารถพิเศษ การกดข่มและอิจฉาริษยาพวกเธอเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจ ฉันคิดเกี่ยวกับความเสียใจที่มีจากการทำงานกับพี่น้องหญิงสองคนนั้น แล้วตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าฉันจะทำงานกับใครในอนาคต ฉันจะให้ผลประโยชน์ของคริสตจักรมาก่อน ฉันจะแนะนำผู้คนที่มีความสามารถที่ฉันค้นพบในทันที และลุล่วงความรับผิดชอบต่างๆ ของตัวเอง ต่อมา ฉันได้เผย และจำแนกความเสื่อมทรามของตัวเองต่อผู้อื่นที่การชุมนุม ในขณะที่ทำงานร่วมกับทุกคน ฉันก็คอยเตือนตัวเองเรื่อยๆ ว่าให้ร่วมมือกับพวกเขา เพื่อเรียนรู้จากจุดแข็งของพวกเขาและไม่ทำอะไรที่ขัดขวางงานของคริสตจักร
หลังจากเวลาผ่านไป อาการป่วยของฉันก็ดีขึ้นเล็กน้อย และคริสตจักรก็จัดแจงให้ฉันทำงานผลิตวิดีทัศน์ ไม่นานหลังจากนั้น คริสตจักรได้ขอให้ฉันฝึกฝนเทคนิคบางอย่างให้พี่น้องหญิงอีกคนหนึ่ง เธอมีขีดความสามารถที่ดีและเป็นคนเรียนรู้เร็ว ฉันคิดว่า “ถ้าเธอเรียนรู้เทคนิคทั้งหมดนี้ เธอจะมาแทนที่ฉันหรือเปล่า? ผู้นำจะดูถูกฉันหรือเปล่าถ้าเธอเห็นว่าพี่น้องหญิงคนนี้เป็นคนเรียนรู้เร็วกว่าฉัน?” หลังจากคิดแบบนั้น ฉันก็ไม่อยากขมีขมันในการฝึกฝนเธอมากนัก แล้วฉันก็ตระหนักได้ว่าฉันไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง ฉันจึงเร่งรีบไปอธิษฐาน พร้อมกับเอ่ยขอให้พระเจ้าทรงดูแลใจของฉัน ฉันจำบางอย่างจากพระวจนะของพระเจ้าได้ดังว่า “ก่อนอื่นเจ้าควรนึกถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และคำนึงถึงงานของคริสตจักร จงให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เหนือสิ่งอื่นใด เฉพาะหลังจากนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถคิดเกี่ยวกับเสถียรภาพของสถานะของเจ้าหรือนึกถึงสายตาที่ผู้อื่นมองเจ้าได้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น) พระวจนะของพระเจ้าทำหน้าที่เป็นสิ่งเตือนใจฉันได้ทันท่วงที ฉันจึงขัดขืนความคิดที่ผิดพลาดของตัวเองและทำเต็มที่เพื่อฝึกฝนพี่น้องหญิงคนนั้น ไม่กี่วันต่อมา เธอก็ทำวิดีทัศน์ด้วยตัวเองได้ ขณะที่ทำงานด้วยกัน หน้าที่ของเราก็เริ่มมีประสิทธิภาพมากเล็กน้อย หลังจากได้รับประสบการณ์นี้ ฉันก็ตระหนักว่าการร่วมมืออย่างสามัคคีนำมาซึ่งความสุขและความสงบในใจเรา เพียงแค่การร่วมมืออย่างสามัคคีเท่านั้นที่ทำให้เราได้รับความรู้แจ้งและการชี้นำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสัมฤทธิ์ผลที่ดีในหน้าที่ของเรา การเปลี่ยนแปลงในตัวฉันครั้งนี้ทั้งหมดสำเร็จได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!