16. การได้เห็นศิษยาภิบาลในศาสนาถูกเผยออกมาว่าเป็นผู้รับใช้ที่ชั่ว
เดือนกันยายน ปี 2020 ผมได้พบพี่น้องหญิงคนหนึ่งทางออนไลน์ เธอบอกผมว่าองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้วในพระนามของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพระองค์กำลังทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา เริ่มต้นจากพระนิเวศของพระเจ้า ผมตื่นเต้นที่ได้ยินเรื่องการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเริ่มเข้าร่วมการชุมนุมออนไลน์ พร้อมทั้งศึกษาพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผ่านการอ่านพระวจนะของพระองค์ ผมได้เรียนรู้เรื่องรากเหง้าความเสื่อมทรามของมนุษย์ที่เกิดจากซาตาน พระราชกิจสามระยะของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอด ความล้ำลึกของการประสูติเป็นมนุษย์ พระราชกิจการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และความจริงอีกมากที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแม้แต่น้อย ตลอดระยะเวลาของการแสวงหาและตรวจสอบ ผมมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่เสด็จกลับมา และเข้าร่วมคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมชอบการให้น้ำและการหล่อเลี้ยงจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าในทุกๆ วัน และรู้สึกว่าฝ่ายวิญญาณของผมได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อเปรียบเทียบแล้ว การเทศนาของศิษยาภิบาลของผมล้วนเป็นสิ่งเดิมๆ ที่แห้งแล้งและน่าเบื่อ ไม่มีความสว่างใดๆ ไม่ยกระดับจิตใจเลยสักนิด ผมจึงหยุดไปร่วมพิธีนมัสการที่โบสถ์
จากนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021 เกิดรัฐประหารในพม่า และอินเทอร์เน็ตถูกตัดขาด ผมก็เข้าร่วมการชุมนุมออนไลน์ไม่ได้อีก ไม่นาน พี่น้องชายสองคนมาที่หมู่บ้านผม บอกว่าอยากจัดการชุมนุมในพื้นที่ ตอนนั้นเรามีคนเข้าร่วม 20 คน แปลกที่หลังจากการชุมนุมไม่กี่ครั้ง ก็มีคนรายงานเรากับศิษยาภิบาลในพื้นที่ เขาเริ่มบอกคนในโบสถ์ว่าเราเข้าร่วมชุมนุมออนไลน์ แทนที่จะไปโบสถ์ และเราไม่ยอมฟังนักบวช เขาโกหกว่าเรากำลังจัดตั้งองกรค์ของเราเอง เขาบอกทุกคนว่าอย่าข้องเกี่ยวกับเรา เกือบทุกคนในหมู่บ้านเราเป็นคริสเตียน ต่างชื่นชอบและฟังศิษยาภิบาล เพราะการโจมตีและการตัดสินของเขา ข่าวเรื่องความเชื่อของเราในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แพร่กระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้าน และทุกคน แม้แต่ญาติ เพื่อนฝูง และเพื่อนบ้าน เริ่มด่าว่าเรา ที่ไม่ไปโบสถ์หรือฟังศิษยาภิบาลอีก บอกว่าเป็นเรื่องแย่มาก ทุกที่ที่ผมไป ผู้คนต่างชี้นิ้วด่า ครอบครัวผมก็เป็นไปด้วย ต่อต้านความเชื่อที่ผมมีต่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมรู้สึกเสียใจมากจริงๆ คิดว่า เมื่อก่อน ผมมีสัมพันธ์ที่ดีมากทั้งกับเพื่อนและเพื่อนบ้าน คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่ตอนนี้พวกเขาทำกับผมเหมือนเป็นหนามยอกอก เหมือนเป็นศัตรู ทุกคนมีเสรีภาพในการเชื่อในพระเจ้า เราแค่ปฏิบัติความเชื่อโดยไม่ทำสิ่งผิดกฎหมายเลย แล้วทำไมศิษยาภิบาลถึงได้ตัดสินและกล่าวโทษเรา ทั้งยังให้ชาวบ้านปฏิเสธเราด้วย? ผมตกอยู่ในความคิดลบโดยไม่ทันรู้ตัว และอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ศิษยาภิบาลตัดสินและโจมตีพวกเรา และแม้แต่ครอบครัว และญาติมิตรเพื่อนฝูงของเราก็ต่อต้านและปฏิเสรธเรา ข้าพระองค์ระทมทุกข์นัก ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาถึงทำกับเราเช่นนี้ โปรดให้ความรู้แจ้งเพื่อให้ข้าพระองค์เข้าใจเรื่องนี้และหลุดพ้นจากความคิดลบด้วยเถิด” จากนั้นผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจ ดูแลบุคคลผู้หนึ่ง และพินิจพิเคราะห์บุคคลผู้นี้ และเมื่อพระองค์ทรงโปรดปรานและให้ความเห็นชอบในตัวบุคคลผู้นี้ ซาตานย่อมตามไปอย่างใกล้ชิด พยายามชักพาให้บุคคลดังกล่าวหลงผิดและทำร้ายอย่างสาหัส หากพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้บุคคลผู้นี้เอาไว้ ซาตานก็จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจของมันเพื่อขัดขวางพระเจ้า ใช้ลูกเล่นเลวๆ อันหลากหลายมาทดลอง รบกวน และบั่นทอนพระราชกิจของพระเจ้า เพื่อที่จะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ที่ซ่อนเร้นของมัน วัตถุประสงค์นี้คืออะไร? มันไม่ต้องการให้พระเจ้าได้รับผู้ใดสักคน มันต้องการช่วงชิงผู้ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้ไว้มาครองเสียเอง มันต้องการที่จะควบคุมพวกเขา กำกับดูแลพวกเขาเพื่อให้พวกเขาเคารพบูชามัน เพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมกับมันในการกระทำความชั่วและต้านทานพระเจ้า นี่ไม่ใช่แรงจูงใจที่ชั่วร้ายเลวทรามของซาตานหรอกหรือ?… ในการทำสงครามกับพระเจ้า และในการสะกดรอยตามมาข้างหลังพระองค์นั้น วัตถุประสงค์ของซาตานคือเพื่อรื้อทำลายพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำ เพื่อยึดครองและควบคุมบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับ เพื่อทำให้บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับนั้นดับสิ้นไปโดยสิ้นเชิง หากพวกเขาไม่ถูกทำให้ดับสิ้นไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะมาเป็นสิ่งครอบครองของซาตาน เพื่อให้มันใช้งาน—นี่คือวัตถุประสงค์ของมัน” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4) นี่ช่วยให้ผมเห็นว่า ที่ศิษยาภิบาลกันเราไม่ให้ติดตามพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย ที่จริงแล้วเป็นการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ในยุคสุดท้าย เพื่อช่วยให้รอดและได้รับกลุ่มผู้เชื่อที่แท้จริง แต่ซาตานเป็นศัตรูของพระเจ้า มันใช้อุบายทุกประเภทขัดขวางและทำลายพระราชกิจของพระองค์ เพื่อที่ว่าผู้คนจะไปจากพระเจ้า ทรยศพระองค์ และใช้ชีวิตอยู่ใต้อำนาจของมัน แล้วมันก็สามารถควบคุมพวกเขา และในที่สุดพวกเขาก็จะถูกลงโทษในนรกไปกับมัน ผมได้เห็นว่าที่จริงพวกนักบวชที่คริสตจักรเป็นข้ารับใช้ของซาตาน เมื่อได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว แทนที่พวกเขาจะศึกษาค้นคว้า แต่กลับกันคนอื่นไม่ให้ทำเช่นนั้น การเทศนาของพวกเขาไม่ได้บำรุงเลี้ยงฝ่ายวิญญาณ แต่ก็ไม่ยอมให้ผู้คนแสวงหาหนทางที่แท้จริง พอเห็นว่าเราเลิกไปโบสถ์และไม่ทำตามพวกเขา พวกเขาก็กล่าวโทษและใส่ร้ายเรา อยากให้เราทรยศต่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และกลับเข้าโบสถ์ของพวกเขา กลับไปอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา แล้วเราจะสูญเสียความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้าย เมื่อรู้อย่างนี้ ผมจึงบอกตัวเองว่า ต้องไม่หลงกลอุบายของซาตาน ต้องไม่ละทิ้งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพื่อติดตามพวกเขา แต่ต้องยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง
หลังจากนั้น ผู้เชื่อใหม่บางคนและผู้ที่กำลังตรวจสอบพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ก็อ่อนแอลงและถอนตัวไป ถึงทุกคนรอบตัวเราจะต่อต้าน แต่พวกเราที่เหลือก็ไม่หยุดการชุมนุม ศิษยาภิบาลโกรธจัดเมื่อรู้เรื่องนี้ และให้เพื่อนร่วมงานในโบสถ์บางคนมาที่บ้านผมอยู่เรื่อยๆ มายืนกรานให้ผมไปที่บ้านของศิษยาภิบาล ผมรู้สึกโกรธกับเรื่องนั้น และคิดว่า การฟังพระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมความจริงในการชุมนุม เป็นเสรีภาพของผม ทำไมศิษยาภิบาลถึงพยายามขัดขวางผมอยู่เรื่อย? ผมก็อยากจะลองไปฟังเขาดูเหมือนกัน ว่าเขาคิดว่าผมทำผิดอะไร เย็นวันหนึ่ง ผมจึงไปที่บ้านของศิษยาภิบาล พร้อมกับพี่น้องชายหญิงอีกสองสามคน นักบวชอีกบางส่วนก็อยู่ที่นั่น ศิษยาภิบาลพูดว่า “ผมได้ยินเรื่องการชุมนุมออนไลน์ของคุณ ในฐานะนักบวชของคุณ เรามีหน้าที่ต้องเตือนคุณ ไม่ให้เลือกเส้นทางอื่น” ผมตอบไปว่า “เราฟังการเทศนาของพวกเขา แต่ไม่ได้ทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว และกำลังทรงงานขั้นตอนใหม่—” ยังไม่ทันจะพูดจบ เขาก็ขัดจังหวะผมด้วยความโกรธ “พอแล้ว! เราจะไม่ฟังเรื่องนี้อีกแม้แต่คำเดียว วันนี้คุณต้องเลือกมา คุณจะเชื่อในพระเจ้าองค์อื่นต่อไป หรือกลับเข้าโบสถ์เรา?” ตอนที่พูด เขาก็หยิบสมุดบันทึก ที่มีชื่อเราทุกคนเขียนไว้ในนั้นออกมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่งการว่า “ถ้าจะฟังการเทศนาของพวกนั้นต่อไป ก็ให้ขีดฆ่าชื่อของคุณออกไป แต่ถ้าไม่ฟังแล้ว ก็ให้ทำเครื่องหมายถูกไว้ ถ้าไม่ฟังผมล่ะก็ คุณจะต้องเดือดร้อนหนักแน่! เราจะไม่ทำอะไรให้เลยในเรื่องงานแต่ง งานศพ หรือการเกิดของคนในครอบครัวคุณ ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม เราจะไม่ช่วยในการจัดงานอะไรเลย” ไม่มีใครพูดอะไร ผมลังเลเล็กน้อย คิดว่า ถ้าไม่เขียนอะไรเลย ศิษยาภิบาลก็จะยังหาวิธีขวางทางความเชื่อของผม ถ้าผมขีดฆ่าชื่อออก พวกนักบวชก็จะไม่ช่วยจัดงานอะไรให้ครอบครัวผมเลย สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมเนียมเก่าแก่ของหมู่บ้าน และสำคัญต่อทุกคนจริงๆ ไม่อาจละเลยได้ และทุกคนในหมู่บ้านก็ฟังพวกนักบวช ถ้าพวกเขาไม่มาร่วม ก็ไม่มีใครมาเหมือนกัน และไม่มีใครช่วยจัดงาน ทุกคนจะไม่ปฏิเสธผมหรอกเหรอ? แต่ผมรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว งั้นถ้าผมขีดถูกที่ชื่อตัวเอง และกลับเข้าโบสถ์ นั่นจะไม่เป็นการไม่ยอมรับและทรยศพระเจ้าหรอกเหรอ? ในตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง จึงอธิษฐานขอการชี้แนะจากพระเจ้า แล้วก็นึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ไม่มีใครที่เอามือจับคันไถแล้วหันหลังกลับ จะสมควรกับแผ่นดินของพระเจ้า” (ลูกา 9:62) นั่นเป็นความจริง ผมเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า ในความเชื่อ เราต้องยกย่องพระเจ้าว่าทรงยิ่งใหญ่ นบนอบพระราชกิจของพระองค์ ก้าวให้ทันพระองค์ ผมจะเรียกตัวเองว่าผู้เชื่อได้ยังไงถ้าให้ค่าศิษยาภิบาลมากกว่าพระเจ้า? ผมจะเหมาะสมกับราชอาณาจักรได้ยังไง? ตอนนั้น ผมอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการตั้งมั่นในการเป็นพยานให้พระองค์ในวันนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าพระองค์อยากเดินตามพระองค์” ผมรู้สึกสงบขึ้นมากและขีดฆ่าชื่อผมออกอย่างเด็ดเดี่ยว คนอื่นบางคนก็ขีดฆ่าชื่อตัวเองออกด้วย มีพี่น้องหญิงเพียงคนเดียวที่ขีดถูกที่ชื่อของเธอ ศิษยาภิบาลโมโหจนพูดขึ้นว่า “คุณเลือกทางนี้เองนะ จากนี้ไปเราอยู่คนละเส้นทางกัน เรื่องของคุณไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้ว”
พอกลับถึงบ้าน ผมก็กังวลขึ้นมาอีก ปกติแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวในหมู่บ้าน เราจะขอให้ศิษยาภิบาลอธิษฐานให้ เป็นประธานในศาสนพิธี หากศิษยาภิบาลไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง เราก็จะทำอะไรแบบนั้นไม่ได้ และทุกคนก็จะเดียดฉันท์และโจมตีเรา ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะใช้กลวิธีไหนอีกเพื่อกันไม่ให้เราปฏิบัติความเชื่อ หรือไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ทุกอย่างจะจบลง การคิดถึงเรื่องทั้งหมดนั้นทำให้เจ็บปวดจริงๆ ผมไม่รู้ว่าจะผ่านมันไปยังไง ผมกล่าวคำอธิษฐานทันทีว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เห็นแล้วว่าวุฒิภาวะของข้าพระองค์ยังน้อยเพียงใด ข้าพระองค์มักจะกังวลถึงการใส่ร้ายและการปฏิเสธของผู้อื่น กลัวที่จะเผชิญกับเรื่องนี้และรู้สึกอ่อนแอ ข้าแต่พระเจ้า ทรงนำให้ข้าผ่านเรื่องนี้ไปด้วยเถิด” หลังจากนั้น ผมก็ติดต่อพี่น้องหญิงที่ให้น้ำผมทางออนไลน์ ผมบอกเธอว่าผมเจอกับอะไรมาบ้าง เธอส่งพระวจนะของพระเจ้ามาให้ผมบทตอนหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อได้รับคำพยานจากโยบหลังจากที่การทดสอบของเขาสิ้นสุดลง พระเจ้าตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าพระองค์จะทรงได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่ง—หรือมากกว่ากลุ่มหนึ่ง—ที่เหมือนกับโยบ แต่ทว่าพระองค์ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะไม่มีวันเปิดโอกาสให้ซาตานโจมตีหรือล่วงละเมิดบุคคลอื่นใดโดยใช้วิธีการที่มันเคยใช้ทดลอง โจมตี และล่วงละเมิดโยบโดยการเดิมพันกับพระเจ้าอีก พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานทำสิ่งต่างๆ เช่นนั้นกับมนุษย์ ผู้ซึ่งอ่อนแอ โง่เขลา และไม่รู้เท่าทันอีกเลย—มันพอแล้วที่ซาตานได้ทดลองโยบ! การไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานล่วงละเมิดผู้คนอย่างไรก็ตามที่มันปรารถนาคือความกรุณาของพระเจ้า สำหรับพระเจ้า มันพอแล้วที่โยบได้ทนทุกข์กับการทดลองและล่วงละเมิดของซาตาน พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานทำสิ่งต่างๆ เช่นนั้นอีกเลย เพราะชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่างของผู้คนที่ติดตามพระเจ้านั้นได้รับการปกครองและจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้า และซาตานไม่มีสิทธิ์ที่จะจัดการผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกตามใจชอบ—พวกเจ้าควรจะชัดเจนเกี่ยวกับจุดนี้! พระเจ้าใส่พระทัยเกี่ยวกับจุดอ่อนของมนุษย์ และเข้าพระทัยความโง่เขลาและความไม่รู้เท่าทันของเขา ถึงแม้ว่าพระเจ้าต้องทรงส่งมอบมนุษย์ให้แก่ซาตานเพื่อที่เขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างบริบูรณ์ พระเจ้าก็ไม่เต็มพระทัยที่จะเห็นมนุษย์ถูกซาตานล้อเล่นเป็นคนโง่และล่วงละเมิดอีก และพระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นมนุษย์ทรมานอยู่เสมอ มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และการที่พระเจ้าทรงปกครองและทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับมนุษย์นั้นเป็นไปตามธรรมชาติและสมเหตุสมผลโดยสมบูรณ์แบบ นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของพระเจ้า และมันคือสิทธิอำนาจที่พระเจ้าทรงใช้ปกครองทุกสรรพสิ่ง! พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานล่วงละเมิดหรือกระทำทารุณมนุษย์ตามใจชอบ พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานใช้วิธีการต่างๆ เพื่อนำทางมนุษย์ให้หลงผิด และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานแทรกแซงในอธิปไตยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงยอมให้ซาตานเหยียบย่ำและทำลายธรรมบัญญัติที่พระองค์ทรงใช้ปกครองทุกสรรพสิ่ง ไม่ต้องพูดถึงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเกี่ยวกับการบริหารจัดการและการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด! บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยให้รอด และบรรดาผู้ที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าได้ เป็นแกนหลักและการตกผลึกแห่งพระราชกิจในแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า ตลอดจนราคาแห่งความพยายามของพระองค์ในหกพันปีแห่งการทรงพระราชกิจของพระองค์ พระองค์จะทรงสามารถมอบผู้คนเหล่านี้ให้แก่ซาตานโดยง่ายดายได้อย่างไร?” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2) จากพระวจนะ ผมเห็นว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไร พระเจ้าก็ทรงยอมให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้น ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ หากพระองค์ไม่ทรงอนุญาต ไม่ว่าซาตานจะดุร้ายแค่ไหน อยากทำร้ายเราแค่ไหน มันก็ทำไม่ได้ พระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งกีดขวางเหล่านั้นเกิดขึ้น เป็นพระองค์ที่ทรงทดสอบผม และช่วยผมให้รอดด้วย พระองค์ทรงหวังว่าผมจะเป็นเหมือนโยบ ตั้งมั่นเป็นพยานให้พระองค์ผ่านสถานการณ์นั้น นอกจากนี้ยังให้ผมสามารถพึ่งพาพระเจ้าในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น และได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ เพื่อที่ผมจะได้เกิดความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า แต่ผมกลับติดอยู่ในบ่วงของซาตาน ผมอยากปกป้องความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ไม่ถูกปฏิเสธและใส่ร้าย ผมมักจะกลัวว่าจะเกิดสิ่งเลวร้ายขึ้น ไม่ได้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ผมสงบลงและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์เข้าใจแล้ว ว่าพระองค์ทรงยอมให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ ก็ล้วนแต่เป็นไปเพื่อช่วยข้าพระองค์ให้รอดและชำระให้บริสุทธิ์ เพื่อทำให้ความเชื่อของข้าพระองค์เพียบพร้อม ข้าพระองค์พร้อมตั้งมั่นเป็นพยานให้พระองค์แล้ว แต่วุฒิภาวะของข้าพระองค์ยังน้อยนัก โปรดทรงช่วยเสริมสร้างความเชื่อให้ข้าพระองค์ผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยเถิด”
ผมคิดว่า เมื่อผมได้ตัดสินใจที่จะเดินตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว ศิษยาภิบาลก็จะไม่ยุ่งกับผม และผมก็จะชุมนุมได้ตามปกติ แต่เปล่า เพราะความก้าวร้าวและการตัดสินของศิษยาภิบาล ชาวบ้านคนอื่นๆ จึงคอยขัดขวางความเชื่อของพวกเรา พวกเขาเยาะเย้ย ใส่ร้าย และโจมตีพวกเราอย่างเปิดเผยต่อหน้าครอบครัวของเรา ว่าเราไม่ทำพิธีทางศาสนา ฝ่าฝืนกฎของหมู่บ้าน พวกเขาพูดว่า หากเรายังเชื่อต่อไป พวกเขาจะแจ้งความให้ทางการมาจับพวกเราไป ครอบครัวของผมทนต่อแรงกดดันนั้นไม่ไหว พวกเขาเอาแต่โต้เถียงกับผมอยู่ตลอดเวลา คอยเร่งเร้าให้ผมล้มเลิกความเชื่อ คนอื่นๆ ก็ถูกครอบครัวกดดันเหมือนกัน บางคนถูกไล่ออกจากบ้าน ถึงขั้นไม่สามารถเข้าบ้านของตัวเองได้ ศิษยาภิบาลแพร่คำโกหก พูดว่าปัญหาต่างๆ ในครอบครัวของพวกเรามีมากมาย เพียงเพราะพวกเราไม่ยอมเชื่อฟังนักบวชและไม่ไปโบสถ์ เขายังอยากสอบสวนพี่น้องชายสองคนที่มาให้น้ำเราด้วย ผมโกรธจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ พวกนักบวชบิดเบือนความจริงไปหมด ถ้าไม่ใช่เพราะการโจมตีของพวกเขา เราคงจะไม่มีวันเจอกับปัญหาเหล่านั้นเลย ต่อมา พี่น้องหญิงคนหนึ่งบอกพี่น้องชายที่ให้น้ำสองคนนั้นให้เลิกมา เพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย ทุกคนรู้สึกคิดลบและอ่อนแอตลอดช่วงเวลานั้น เราขาดแรงจูงใจที่จะชุมนุมหรือทำหน้าที่ ผมเองก็รู้สึกอ่อนแออยู่บ้างเมื่อเห็นว่าเกิดเรื่องแบบนี้ ผมไม่ว่ารู้จะช่วยเหลือและเกื้อหนุนพี่น้องชายหญิงยังไงดี และจู่ๆ ก็รู้สึกว่าเส้นทางแห่งความเชื่อนั้นช่างยากเหลือเกิน ผมไม่เข้าใจเลย เราเป็นแค่ผู้เชื่อที่ชุมนุมและอ่านพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ทำไมพวกเขาไม่เลิกยุ่งกับเรา แต่ตั้งใจแน่วแน่ที่จะต้อนเราให้จนมุม? ท่ามกลางความเจ็บปวดนั้น ผมร้องทูลต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกอ่อนแอและไม่อาจสงบใจได้เลย ข้าพระองค์จะอยู่บนเส้นทางแห่งความเชื่อนี้ต่อไปได้อย่างไร? โปรดให้ความรู้แจ้งและชี้แนะข้าพระองค์ด้วยเถิด” จากนั้น ผมก็นึกถึงบางอย่างที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าโลกนี้เกลียดชังพวกท่าน ก็จงรู้ว่าโลกเกลียดชังเราก่อน ถ้าพวกท่านเป็นของโลก โลกก็ย่อมจะรักคนที่เป็นของโลกเอง แต่เพราะท่านไม่ได้เป็นของโลก คือเราเลือกท่านออกจากโลก เพราะเหตุนี้ โลกจึงเกลียดชังท่าน” (ยอห์น 15:18-19) จู่ๆ ผมก็นึกขึ้นได้ ว่าพวกเขาเกลียดชังและกดขี่เรา เพราะที่จริงพวกเขาเกลียดการเสด็จมาของพระเจ้า และที่จริงกำลังต่อสู้กับพระเจ้า ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา และทรงเผยทุกคนออกมา บางคนเชื่อในพระเจ้าเพียงในนามเท่านั้น พวกเขาไม่ได้รักความจริง แต่กลับเกลียดชัง เมื่อพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ตรัสและทรงงานเพื่อแสดงความจริงบนแผ่นดินโลก พวกเขากลับตัดสินและกล่าวโทษพระองค์ เช่นเดียวกับเมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน ผู้นำชาวยิวปฏิเสธจะยอมรับความจริงที่พระองค์ทรงแสดง ทำทุกอย่างเพื่อกล่าวโทษและหมิ่นประมาทพระองค์ ผู้เชื่อชาวยิวก็คล้อยตามพวกเขา พากันปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้า สุดท้ายก็ตรึงพระองค์ไว้บนกางเขน โลกนี้ช่างชั่วร้ายเสียจริง! แต่ยิ่งมีการปฏิเสธและการกล่าวโทษจากกองกำลังทางศาสนามากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนว่านี่คือหนทางที่แท้จริงและเป็นพระราชกิจของพระเจ้า นั่นยิ่งทำให้ผมอยากอยู่บนหนทางนี้ต่อไปเป็นเท่าตัว!
ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อพี่น้องชายหญิงรู้เรื่องที่เกิดขึ้น พวกเขาก็ส่งพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาให้ผมบทตอนหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้น! เจ้าอยากให้พรมาถึงตัวเจ้าโดยง่ายมิใช่หรือ? ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญบททดสอบอันขมขื่น หากปราศจากบททดสอบเช่นนี้ หัวใจรักที่พวกเจ้ามีต่อเราก็จะไม่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา ต่อให้บททดสอบเหล่านี้มีแต่รูปการณ์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าบททดสอบย่อมเข้มข้นแตกต่างกันไป บททดสอบคือพรจากเรา และมีพวกเจ้ามากน้อยแค่ไหนหรือที่เข้าเฝ้าเราบ่อยครั้งและคุกเข่าขอร้องพรจากเรา? เจ้าพวกเด็กโง่เอย! เจ้าคิดเสมอว่าคำพูดอันเป็นมงคลไม่กี่คำก็นับเป็นพรจากเราแล้ว ทว่ากลับไม่ตระหนักว่าความขมขื่นก็เป็นพรหนึ่งของเรา พวกคนที่ร่วมแบ่งปันความขมขื่นของเราจะได้ร่วมแบ่งปันความหวานชื่นของเราอย่างแน่นอน นั่นคือคำสัญญาของเราและพรของเราแก่พวกเจ้า จงอย่าลังเลที่จะกินและดื่มและชื่นชมวจนะของเรา เมื่อความมืดมนผ่านพ้น ความสว่างจะรวมตัวกัน ก่อนรุ่งสางคือช่วงที่มืดมนที่สุด หลังจากเวลานี้ ท้องฟ้าจะค่อยๆ กระจ่าง และพระอาทิตย์ก็ขึ้นมา จงอย่ากลัวหรือขลาดไป” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41) ผมซาบซึ้งใจมากเมื่อได้อ่านบทตอนนี้ เราเดินตามพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า ถูกนักบวชขัดขวาง ถูกชาวบ้านปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม นั่นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะคนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามฝังลึก โลกมืดมนและชั่วร้าย ไม่มีใครต้อนรับการเสด็จมาของพระเจ้า การเดินตามพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อเข้าสู่ราชอาณาจักรและได้รับการเห็นชอบจากพระองค์ เราต้องประสบกับการข่มเหงและความยากลำบากแบบนั้น พระเจ้าทรวเป็นกำลังหนุนของเราและทรงอยู่กับเราเสมอ ผมไม่มีอะไรต้องกลัวเลย เพียงแต่ต้องอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงชี้แนะให้เราฝ่าฟันการขัดขวางและการก่อกวนของศิษยาภิบาลได้อย่างแน่นอน ผมนึกถึงประสบการณ์ของพี่น้องชายหญิงชาวจีนที่เคยดูในหนังและวิดีโอ พวกเขาถูกรัฐบาลจีนกดขี่ ไล่ล่า และเฝ้าจับตาดู และอาจถูกจับกุมได้ทุกเมื่อ ครอบครัวก็ติดร่างแหไปด้วย ถูกยึดทรัพย์สินและไล่ออกจากงาน หลายคนถูกจำคุกและถูกทรมานอย่างทารุณ พวกเขาทนทุกข์มากมาย แต่ก็ยังสามารถพึ่งพาพระเจ้าและกล่าวคำพยานแห่งชัยชนะเหนือซาตานได้ จากนั้นผมก็นึกถึงความทุกข์ที่พระเจ้าทรงเผชิญในสองครั้งที่ประสูติเป็นมนุษย์ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลกในเนื้อหนังเพื่อทรงไถ่มวลมนุษย์ ก็ถูกชาวยิวกล่าวโทษและดูหมิ่น และในที่สุดก็ถูกตรึงบนกางเขน ในยุคสุดท้าย พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์อีกครั้ง และพระองค์กำลังทรงแสดงความจริงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระองค์ทรงถูกระบอบการปกครองของซาตาน และกองกำลังศัตรูของพระคริสต์ในโลกศาสนา ต่อต้าน กล่าวโทษ ปฏิเสธ และใส่ร้าย พระเจ้าทรงทนทุกข์อย่างใหญ่หลวงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ความทุกข์เล็กๆ ของผมไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และที่พระองค์ทนทุกข์มาทั้งหมดก็เพื่อความรอดของพวกเรา ผมทนทุกข์เพื่อให้ได้รับความจริงและถูกช่วยให้รอด ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ผมควรสู้ทน แม้ว่าประสบการณ์นั้น จะเจ็บปวดสำหรับผม แต่ผมก็ได้รับวิจารณญานแยกแยะพวกนักบวชขึ้นมาบ้าง และมีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้น พระเจ้าทรงใช้สภาพแวดล้อมที่ยากลำบากเพื่อประทานความจริงแก่เรา และเพื่อทำให้ความเชื่อของเราเพียบพร้อม นี่คือพรจากพระเจ้า! ผมสงบขึ้นมากหลังจากได้รู้เจตนารมณ์ของพระเจ้า และออกมาจากเมฆหมอกของความคิดลบ จากนั้นผมก็รีบจัดการชุมนุมให้กับพี่น้องชายหญิงทุกคน ที่ยังคงติดอยู่ในสภาวะคิดลบ ทุกคนสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าผ่านการสามัคคีธรรมของเรา ได้รับความเชื่อที่จะเดินตามพระเจ้าต่อไป และไม่รู้สึกคิดลบอีกแล้ว เราเริ่มใช้ชีวิตคริสตจักรตามปกติ แบ่งปันข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้า ทุกคนต่างก็มีแรงจูงใจมากขึ้น
แต่พวกนักบวชพยายามทำทุกอย่างเพื่อรั้งเราไว้ ครั้งหนึ่ง สามีของพี่น้องหญิงคนหนึ่งเสียชีวิตด้วยโรคภัย ทั้งครอบครัวกดดันให้เธอไปขอโทษศิษยาภิบาล เพื่อที่เขาจะได้ช่วยอธิษฐานและจัดการพิธีศพให้ พวกนักบวชฉวยโอกาสมาข่มขู่และบังคับเธอ ให้ล้มเลิกความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และกลับเข้าโบสถ์ ผมโกรธมาก สามีจากไปเธอก็โศกเศร้าอยู่แล้ว แต่พวกนักบวชกลับซ้ำเติมเธอในยามทุกข์ใจ กดดันให้เธอละทิ้งความเชื่อ พวกเขาใช้วิธีการต่ำทรามสารพัด เพียงเพื่อให้เรากลับไปที่โบสถ์และเดินตามพวกเขา ศิษยาภิบาลระดับสูงมาคุยกับเรา เขาพูดหลายอย่าง ที่เป็นการกล่าวโทษและหมิ่นประมาทพระเจ้า รบเร้าเราซ้ำๆ ให้ล้มเลิกความเชื่อ แต่เรามีมีวิจารณญาณแยกแยะแล้ว จึงไม่หวั่นไหว เมื่อพวกนักบวชและหัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่าเรายืนหยัดมั่นคง พวกเขาก็ปลุกปั่นให้ชาวบ้านคนอื่นๆ ตีตัวห่างและกีดกันเรา โดยพูดว่า “คนพวกนี้ไม่ยอมฟังเรา งั้นก็ปล่อยให้พวกเขาเชื่อไปเถอะ คอยจับตาดูลูกหลานของพวกคุณ อย่าให้เข้าใกล้คนพวกนี้ ใครก็ตามที่ติดต่อพวกเขาหรืออยากตรวจสอบคำสอนของพวกเขา ทั้งครอบครัวจะติดร่างแหไปด้วย และเราจะไม่ช่วยอะไรพวกเขาเลย” พวกเขายังให้คนหนุ่มสาวในโบสถ์ คอยเฝ้าดูผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างพวกเรา คนที่ติดต่อเราจะถูกเรียกไปที่บ้านของศิษยาภิบาลเพื่อซักถาม สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมมองเห็นธาตุแท้ที่ต่อต้านพระเจ้าของพวกเขาชัดเจนขึ้น พวกเขาควบคุมผู้เชื่อไว้ในกำมืออย่างแน่นหนา ไม่ยอมให้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและฟังพระสุรเสียงของพระองค์ ผมคิดถึงพวกฟาริสี เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมา พระราชกิจและพระวจนะของพระองค์เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ แต่พวกเขาไม่แสวงหาหรือสืบค้น กลัวว่าผู้เชื่อจะเดินตามองค์พระเยซูเจ้า กลัวเสียสถานะและความเป็นอยู่ พวกเขาจึงทุ่มเททุกอย่างเพื่อกล่าวโทษพระองค์ และถึงกับตรึงพระองค์กับกางเขน พวกเขาจองจำผู้เชื่อไว้ในกำมือ ให้ผู้เชื่อบูชาพวกเขาเท่านั้น ไม่ยอมส่งคืนแกะของพระเจ้ากลับไปหาพระองค์ เป็นผู้รับใช้ที่ชั่ว และศิษยาภิบาลกับผู้อาวุโสในทุกวันนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเขา ผมนึกถึงพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่กล่าวโทษพวกเขาว่า “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม” (มัทธิว 23:13) “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า” (มัทธิว 23:15) พวกนักบวชทุกวันนี้ก็เหมือนพวกฟาริสีเมื่อก่อน พวกเขาเป็นผู้รับใช้ที่ชั่ว ปิดกั้นเส้นทางสู่ราชอาณาจักร ก็เหมือนที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเปิดโปงไว้ว่า “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถทำได้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาล้วนเป็นคนที่เลวทรามไร้ค่า แต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอน ‘พระเจ้า’ พวกเขาคือคนที่ถือธงของพระเจ้า แต่กลับจงใจต้านทานพระเจ้า พวกเขาชูป้ายว่าเชื่อในพระเจ้า พลางกินเนื้อหนังและดื่มเลือดของมนุษย์ไปด้วย ทุกคนที่เป็นเช่นนี้คือเหล่ามารชั่วที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าหัวหน้าปีศาจที่จงใจก่อกวนการออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องของผู้คน และเป็นเครื่องสะดุดที่คอยขัดแข้งขัดขาการแสวงหาพระเจ้าของผู้คน พวกเขาอาจดูมี ‘สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่อะไรนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ต้านทานพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทุกคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต้านทานพระเจ้า) พวกนักบวชไม่เพียงแต่ไม่ยอมตรวจสอบพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าเท่านั้น แต่พอรู้ว่ามีใครกำลังศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้พวกเขาก็ทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวาง พวกเขากลัวว่าผู้เชื่อจะเดินตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แล้วเลิกบูชาและติดตามพวกเขา หรือมอบของถวายให้พวกเขา พวกเขาใช้ธรรมเนียมและพิธีเก่าแก่ของหมู่บ้านเพื่อควบคุมผู้คน บังคับให้กลับเข้าโบสถ์ พวกเขาอ้างว่าเป็นผู้เชื่อ แต่ในหัวใจของพวกเขาไม่มีความยำเกรงพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเป็นปีศาจที่เกลียดพระเจ้าและความจริงโดยธรรมชาติ พวกเขาเป็นเครื่องกีดขวางเส้นทางของเราสู่ราชอาณาจักร ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดการกดขี่ทั้งหมดนี้ เพื่อช่วยให้เราเกิดวิจารณญาณแยกแยะ เราจึงสามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของพวกนักบวชได้อย่างแท้จริง การโจมตีของพวกนักบวชไม่อาจทำให้ผมจมอยู่ในสภาวะคิดลบได้ ที่จริงกลับทำให้ความเชื่อผมแข็งแกร่ง ผมยังสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของพวกเขา และเดินหน้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พร้อมเป็นพยานให้พระเจ้าต่อไปได้อีกด้วย เมื่อเวลาผ่านไป เพื่อนและญาติบางคนของผมก็เริ่มมีวิจารณญาณแยกแยะพฤติกรรมของพวกนักบวชเช่นกัน บางคนยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สิ่งนี้แสดงให้ผมเห็นว่าพระปัญญาของพระเจ้าสำแดงขึ้นบนพื้นฐานของกลอุบายซาตาน การกดขี่และขัดขวางของศิษยาภิบาลกลับกลายเป็นสิ่งที่ช่วยแยกแพะออกจากแกะ บางคนเลือกจะคล้อยตามพวกนักบวชในการต่อต้านพวกเรา แต่บางคนมีวิจารณญาณแยกแยะแก่นแท้ที่แท้จริงของพวกเขา ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และหันกลับมาหาพระองค์ พระราชกิจของพระเจ้าช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก! ประสบการณ์นี้สอนผมว่า ทุกสถานการณ์ล้วนมีเจตนารมณ์อันดีงามของพระเจ้า ทั้งหมดจำเป็นต่อเรา และล้วนเพื่อช่วยเราให้รอดและทำให้เราเพียบพร้อม ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่า ต่อให้วันข้างหน้าจะเผชิญกับอะไร ผมก็พร้อมนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์เพื่อฝ่าผ่านไป ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!