12. สองทศวรรษแห่งความทุกข์ยาก

ในปี 1991 ผมได้กลายเป็นคริสตชน จากนั้นอีกไม่กี่ปีต่อมา ผมก็กลายเป็นผู้ประกาศของคริสตจักร ในปี 1995 ตำรวจในฝ่ายความมั่นคงทางการเมืองของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะประจำอำเภอ ได้นำตัวผมไป บีบให้ผมบอกว่าผมไปประกาศที่ไหนมาและใครเป็นผู้นำของผม เมื่อผมไม่ยอมตอบ พวกเขาก็ทุบตีและเตะผม และทรมานผมเป็นเวลาสี่หรือห้าชั่วโมง จนผมเขียวช้ำไปทั้งตัว จากนั้นพวกเขาก็ขังผมไว้ในสถานกักกันประจำอำเภอ ตำรวจและนักโทษคนอื่นๆ ทรมานผมนาน 42 วัน จนผมเจียนตาย ต่อมาภรรยาของผมใช้เส้นสาย และจ่ายค่าปรับเกือบ 10,000 หยวน เพื่อให้ผมได้รับการปล่อยตัว ตอนนั้นผมไม่เข้าใจ ในฐานะผู้เชื่อที่แบ่งปันข่าวประเสริฐ เรานำผู้อื่นให้ทำตามคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นคนดี มีความอดทน และรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง ทำไมพรรคคอมมิวนิสต์จึงข่มเหงเราอย่างโหดร้ายนัก ต่อมาหลังจากมีความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผ่านการเผยในพระวจนะของพระเจ้าและประสบการณ์ส่วนตัว ผมได้เข้าใจถึงแก่นแท้อันชั่วร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์ที่เกลียดชังความจริงและต่อต้านพระเจ้า

ในวันหนึ่งของเดือนธันวาคมปี 1999 ขณะที่ภรรยากับผมกำลังรับประทานอาหารเช้า เจ้าหน้าที่สามคนได้บุกเข้ามา หนึ่งในนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ที่เคยจับกุมผมเนื่องจากความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าก่อนหน้านี้ เขามองผมจากหัวจดเท้าหลายครั้ง แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “แกถูกแจ้งความว่ากำลังนับถือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และประกาศข่าวประเสริฐ แกนี่ไม่จำจริงๆ เลยนะ!” หลังจากนั้น พวกเขาก็ค้นทั่วบ้านโดยไม่เว้นแม้แต่ซอกเล็กซอกน้อย การค้นหานี้ดำเนินไปประมาณหนึ่งชั่วโมง จนข้าวของเกลื่อนกลาดไปหมด แต่พวกเขาก็ไม่พบหนังสือหรือเอกสารเกี่ยวกับความเชื่อแต่อย่างใด จากนั้นพวกเขาก็นำผมขึ้นรถเพื่อพาไปยังสถานีตำรวจ ระหว่างทาง ภาพเหตุการณ์ตอนที่ถูกจับกุมและทรมานครั้งแรกผุดขึ้นในความทรงจำของผมเป็นฉากๆ ผมรู้สึกกลัวอย่างมาก คิดในใจว่า “ปีศาจพวกนี้มันเกลียดชังผู้เชื่อเข้าไส้ ถ้าอย่างนั้น พวกนี้จะทรมานฉันด้วยวิธีไหนกัน?” ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างเงียบๆ และระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ว่า “ไม่ว่าใครก็ตามที่เราได้มอบสง่าราศีของเราให้ จะต้องเป็นพยานให้เรา และมอบชีวิตของพวกเขาให้เรา  เราได้กำหนดเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้านานแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?)  จริง…การจับกุมตัวของผมในวันนั้นได้รับอนุญาตจากพระเจ้า และความทุกข์ทรมานที่ผมประสบ ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือตาย ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทั้งสิ้น ผมต้องเป็นพยาน พระวจนะของพระเจ้าให้ความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ผม และผมรู้สึกสงบลง

พวกเขาพาผมไปที่สถานีตำรวจก่อนเพื่อค้นตัวและสอบถาม แต่เมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมพูด พวกเขาจึงพาผมไปยังสำนักงานความมั่นคงสาธารณะประจำอำเภอ ที่นั่น เจ้าหน้าที่หลายคนล้อมผมไว้ แล้วทั้งต่อยทั้งเตะผม บางคนใช้กระบองตำรวจทุบ พวกเขาทุบตีผมจนล้มลงไปกองกับพื้น เลือดไหลออกจากจมูกและปากผม เสื้อผ้าผมฉีกขาด และหัวหมุนไปหมด ผมไม่มีแม้แต่กำลังจะยืนขึ้น แล้วคนที่เป็นหัวหน้าก็คว้าคอผมขึ้นและพูดว่า “ถ้าฉันไม่สอนให้แกรู้ความ แกก็ไม่รู้สินะว่ากำลังกวนบาทาใคร! พูดมา!  ผู้นำของแกคือใคร?  แกประกาศให้ใครไปบ้าง?” ผมรู้สึกลนลานมาก หากผมไม่พูด พวกเขาจะยังคงทุบตีผมแน่ ขืนเป็นแบบนั้นต่อไป ผมคิดว่าผมอาจลงเอยด้วยการพิการหรือไม่ก็เสียชีวิต ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจ ขอให้พระองค์คุ้มครองและนำทาง แล้วผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หากว่ามนุษย์เก็บงำความคิดที่ขลาดอายและเกรงกลัว นั่นก็เป็นเพราะซาตานได้หลอกพวกเขา ด้วยกลัวว่าพวกเราจะข้ามสะพานแห่งความเชื่อเพื่อเข้าสู่พระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6)  ผมตระหนักว่าความขี้ขลาดและความกลัวของผมมาจากซาตาน และแม้ตำรวจจะโหดเหี้ยมเพียงใด พวกเขาก็ทำได้แค่ทำร้ายและทรมานร่างกายของผม แต่พวกเขาไม่อาจแตะต้องจิตวิญญาณของผมได้ แม้พวกเขาจะตีผมจนตายในวันนั้น จิตวิญญาณของผมก็จะอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ความคิดนี้ให้ความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ผม และผมจะไม่ทรยศพระเจ้าหรือขายพี่น้องของผม แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม ผมกัดฟันแน่นและไม่พูดสักคำ เมื่อพวกเขาถามผมหลายครั้งแล้วผมยังไม่ตอบ พวกเขาจึงเตะผมล้มลงกับพื้น จากนั้นหยิบกระบองตำรวจวางบนพื้นคอนกรีต และให้คนสองคนจับผมบังคับให้คุกเข่าทับลงไป แรงกดบนกระดูกแข้งทำให้ผมเจ็บแปลบจนน้ำตาไหลออกมา เจ้าหน้าที่คนหนึ่งใช้เท้ากระทืบไปที่น่องของผมอย่างโหดร้ายหลายครั้ง ความเจ็บปวดรุนแรงจนผมร้องออกมา และล้มลงไปนอนตัวงออยู่กับพื้น เจ้าหน้าที่ตะโกนสั่ง “ลุกขึ้น!” แต่ผมขยับขาไม่ได้ ไม่มีแรงยืนขึ้น รู้สึกแสนทุกข์ทรมาน ผมอธิษฐานถึงพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์แทบจะทนไม่ไหวแล้ว และไม่รู้ว่าพวกเขาจะทรมานข้าพระองค์อย่างไรอีก พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากทรยศพระองค์ โปรดประทานความเชื่อและความเข้มแข็งให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด” แล้วทันใดนั้น ผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าตอนหนึ่งที่ว่า “พวกเจ้าเคยยอมรับพรทั้งหลายที่ตระเตรียมไว้ให้พวกเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าเคยไล่ตามเสาะหาสัญญาทั้งหลายที่เคยให้ไว้แก่พวกเจ้าหรือไม่?  ภายใต้การนำแห่งความสว่างของเรา พวกเจ้าย่อมจะฝ่าพ้นอำนาจกดขี่แห่งกำลังบังคับของความมืด  พวกเจ้าจะไม่สูญเสียการชี้นำแห่งความสว่างเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืด  พวกเจ้าจะเป็นนายของสรรพสิ่ง  เป็นผู้ชนะต่อหน้าซาตาน  เมื่อประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงล่มสลาย พวกเจ้าจะยืนหยัดท่ามกลางผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนในฐานะบทพิสูจน์แห่งชัยชนะของเรา  พวกเจ้าจะตั้งมั่นและไม่หวั่นไหวในแผ่นดินแห่งซีนิม  ด้วยความทุกข์ที่พวกเจ้าทนฝ่า พวกเจ้าย่อมจะสืบทอดพรของเรา และจะฉายความสว่างแห่งสง่าราศีของเราไปทั่วจักรวาล(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 19)  พระวจนะของพระเจ้าเสริมความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ผม ผมต้องพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง และด้วยการนำทางของพระวจนะของพระองค์ ผมจะสามารถเอาชนะซาตานและตั้งมั่นในคำพยานได้อย่างแน่นอน หลังจากการทรมานอันโหดร้ายนาน 6-7 ชั่วโมง ผมถูกทุบตีจนแทบแหลก และกล้ามเนื้อน่องซ้ายฉีกขาด เนื่องจากผมยังคงไม่ยอมพูด ตำรวจจึงพาผมไปยังสถานกักกัน เจ้าหน้าที่ที่นั่นเห็นว่าบาดแผลของผมสาหัสแค่ไหนและไม่อยากรับผมไว้ กระทั่งตำรวจต่อรองกับพวกเขานานพอสมควร พวกเขาจึงยอมรับตัวผมในที่สุด

พวกเขาพาผมไปยังห้องขังที่มีกลิ่นบางอย่างเหม็นคลุ้ง เป็นห้องเล็กๆ ประมาณ 10 ตารางเมตร ข้างในมีผ้าห่มเน่าเหม็นสกปรกไม่กี่ผืน กับส้วมอยู่ในนั้นด้วย มีนักโทษ 15-16 คน ทั้งกิน ดื่ม นอน และขับถ่ายในพื้นที่เดียวกันนี้ ห้องนั้นทั้งชื้นแฉะและรกสกปรก นักโทษคนอื่นๆ มองผมด้วยสายตาดุร้าย ผมรู้สึกประหม่าและอธิษฐานถึงพระเจ้าไม่หยุด ผมนึกถึงสิ่งที่พระองค์เคยตรัสไว้ว่า “จงอย่ากลัว มือของเราจะสนับสนุนเจ้า และเราจะคอยกันเจ้าให้ห่างจากคนชั่วทั้งปวง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 28)  พระวจนะของพระเจ้าปลอบประโลมและให้ความเชื่อแก่ผม ทำให้ผมรู้สึกไม่กังวลอีกต่อไป วันถัดมา หัวหน้านักโทษจงใจหาเรื่องและให้นักโทษคนอื่นๆ ทุบตีผม จนผมนอนกลิ้งกับพื้น สุดท้ายผมก็นอนขดตัวเพราะความเจ็บปวดจนขยับตัวไม่ได้ หลังจากนั้น ตำรวจจะสอบสวนผมเป็นระยะ สั่งให้ผมทรยศคริสตจักร แต่เมื่อไม่ได้ข้อมูลอะไร พวกเขาก็เปลี่ยนกลยุทธ์ ครั้งหนึ่ง ลุงหลี่ ลุงของภรรยาของผมมาสอบถามผม เขาทำงานเอกสารในแผนกความมั่นคงทางการเมืองของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ เขาแสร้งห่วงใยและถามผมว่า “มีนักโทษคนไหนซ้อมแกหรือเปล่า? ได้กินอิ่มบ้างไหมล่ะ?” จากนั้นเขาให้เจ้าหน้าที่อีกคนไปซื้อซาลาเปาและบุหรี่สองสามซองมาให้ผม เขาถอนหายใจและพูดด้วยสีหน้าห่วงใย “ถ้าแกไม่สารภาพ แกอาจติดคุก แล้วฉันก็จะช่วยอะไรแกไม่ได้นะ แต่ถ้าแกสารภาพ แกอาจได้กลับบ้านทันช่วงตรุษจีน ลองคิดดูนะ!” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น ผมคิดถึง พ่อแม่ที่อายุเจ็ดสิบกว่าปี และภรรยาที่ต้องเลี้ยงลูกสามคนตามลำพัง พวกเขาจะอยู่อย่างไรหากผมติดคุกสามถึงห้าปีจริงๆ เรือนจำของพรรคคอมมิวนิสต์เหมือนกับนรก และคุณอาจถูกทรมานจนตายได้ทุกเมื่อ พวกเขาจะทำอย่างไรหากผมตาย? ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ ผมจึงอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงปกป้อง แล้วผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ที่ว่า “ในทุกเวลา ประชากรของเราควรเตรียมพร้อมต่อต้านกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน พิทักษ์ประตูบ้านของเราเพื่อเรา พวกเขาควรมีความสามารถที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกันและจัดเตรียมให้แก่กันและกันได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในกับดักของซาตาน ซึ่งในเวลานั้นก็คงจะสายเกินกว่าจะเสียใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 3)  พระวจนะของพระเจ้าปลุกสติของผม ตำรวจต้องการใช้ความรักในครอบครัวและความอ่อนแอทางเนื้อหนังของผมเพื่อให้ผมทรยศพระเจ้า ช่างแยบยลเสียจริง! ผมแทบจะหลงกลเข้าให้แล้ว ชีวิตของผมนั้นพระเจ้าประทานให้ ไม่ว่าผมจะมีชีวิตอยู่หรือตาย ล้วนขึ้นอยู่กับพระองค์ ชะตากรรมของพ่อแม่และภรรยาของผมเองก็อยู่ในมือของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ตัดสิน หากผมถูกตัดสินให้ติดคุก มันก็คือสิ่งที่พระเจ้าอนุญาต ผมก็จะต้องตั้งมั่นในคำพยานถึงแม้ว่ามันจะคร่าชีวิตผมก็ตาม! ผมจึงบอกเขาว่า “ผมได้พูดทุกอย่างที่ต้องพูดแล้ว และผมไม่รู้อะไรอีก” เมื่อกลอุบายของเขาไม่ได้ผล เขาจ้องผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วสะบัดหน้าเดินออกไปอย่างโมโห

เจ้าหน้าที่เรือนจำคอยสั่งให้นักโทษคนอื่นทรมานผมด้วยวิธีต่างๆ เช่น “กินเกี๊ยว” “ส่องกระจก” “กินข้อศอก” และท่องกฎเรือนจำ “กินเกี๊ยว” คือการห่อผมด้วยผ้านวม แล้วให้คนอื่นต่อยและเตะผม จนผมหน้ามืดและตาลาย “ส่องกระจก” คือการจุ่มหัวผมลงในชักโครก ซึ่งเต็มไปด้วยปัสสาวะและอุจจาระ และถ้าผมไม่ระวังก็จะสำลัก “กินข้อศอก” คือการใช้ข้อศอกแทงหลังผม อีกทั้ง พวกเขายังบังคับให้ผมท่องกฎเรือนจำ หากผมพูดผิดสักคำ พวกเขาจะถอดกางเกงผมแล้วใช้รองเท้าที่มีพื้นพลาสติกตี จนที่บั้นท้ายของผมเป็นแผลเลือดไหล นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่เรือนจำยังบังคับให้ผมทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน เนื่องจากบาดเจ็บผมจึงทำงานช้า และนักโทษอื่นๆ ก็ยังคอยเพิ่มงานให้ หากไม่ทำเสร็จผมก็จะถูกซ้อม การเผชิญกับการทรมานเช่นนี้นั้นเจ็บปวดและหดหู่มากสำหรับผม บางครั้งผมอ่อนแรงจนอยากตายเพื่อจบความทุกข์ทรมาน ผมอธิษฐานหาพระเจ้าตลอดเวลา ขอให้พระองค์ทรงปกป้องจิตใจของผม วันหนึ่ง ภาพการถูกตรึงกางเขนขององค์พระเยซูเจ้าก็ผุดขึ้นในความคิดอย่างกะทันหัน พระเจ้าทรงสูงสุด บริสุทธิ์ และปราศจากบาป พระองค์ทรงเสด็จมาประสูติเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เองและมาทำงานเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด แต่กลับถูกตรึงกับกางเขน บัดนี้ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เสด็จมาทรงงานในประเทศจีน และเช่นเดียวกัน พระองค์ทรงทนทุกข์กับการปฏิเสธ การใส่ร้าย การกล่าวโทษ และการหมิ่นประมาทจากมนุษย์ พระองค์ยังถูกพรรคคอมมิวนิสต์ไล่ล่า แต่พระองค์ยังคงประกาศความจริงเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด ความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน! ผมเป็นผู้เชื่อที่แสวงหาความรอด การทนทุกข์เพียงเล็กน้อยนี้จะเป็นอะไรไป ยิ่งกว่านั้น การทนทุกข์คือการมีส่วนร่วมในอาณาจักรของพระคริสต์ และในความทุกข์ยากของพระองค์ นี่เป็นเรื่องที่มีเกียรติ สิ่งนี้มีคุณค่าและความหมาย การตระหนักเช่นนี้ทำให้ความเชื่อและความเข้มแข็งของผมฟื้นคืนมา และไม่ว่าพวกนักโทษจะทรมานผมอย่างไร ผมก็ไม่รู้สึกทุกข์ระทมอีกต่อไป

หลังอาหารเช้าวันหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถพาผมไปที่ตลาดซึ่งห่างจากบ้านประมาณ 5.5 กิโลเมตร แล้วพาผมและนักโทษอีกราวสิบกว่าคนขึ้นไปบนแท่น ผมตระหนักได้ว่าพวกเขากำลังจัดการประณามผม มีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงประจำอำเภอนั่งเรียงแถวอยู่บนเวที และมีฝูงชนแน่นอยู่ด้านล่าง หลายคนกระซิบกระซาบและชี้นิ้วมาที่ผม ใบหน้าของผมร้อนผ่าว หัวใจเต้นแรงและผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ผมคิดถึงว่า ญาติ เพื่อน และคนรู้จักหลายคนของผมอยู่ในพื้นที่นั้น รวมถึงเพื่อนร่วมงานในนิกายเดิมของผมด้วย พวกเขาจะคิดอย่างไรเมื่อเห็นผมกำลังถูกพิจารณาโทษพร้อมป้ายคล้องคอเช่นเดียวกับนักโทษคนอื่นๆ จากนี้ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ ดังนั้นผมจึงอธิษฐานขอความเข้มแข็งจากพระเจ้า แล้วผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าตอนหนึ่งว่า  “เราหวังว่าผู้คนทั้งหมดสามารถกล่าวคำพยานที่กึกก้องแข็งแกร่งต่อเราเบื้องหน้าพญานาคใหญ่สีแดง ว่าพวกเขาสามารถมอบถวายตัวพวกเขาเองเพื่อเราเป็นครั้งสุดท้าย และทำให้ข้อกำหนดของเราลุล่วงเป็นคราวสุดท้าย  พวกเจ้าสามารถทำการนี้ได้อย่างแท้จริงหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 34)  พระวจนะของพระเจ้าให้ความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ผม ในฐานะผู้เชื่อ เราอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง เราไม่ได้ทำผิดกฎหมายหรือทำสิ่งไม่ดี เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรต้องอับอาย ความอัปยศที่ผมเผชิญคือการทนทุกข์จากการถูกข่มเหงเพราะความชอบธรรม ผมควรรู้สึกภาคภูมิใจ ความคิดนี้ทำให้ผมสงบลง สุดท้ายพวกเขาก็ให้ข้อหาผมด้วย “ความเชื่ออันผิดกฎหมาย” และ “ก่อความวุ่นวายในสังคม” และให้ผมอบรมแก้ไขโดยใช้แรงงาน 3 ปี เมื่อเห็นใบหน้าที่แสร้งว่ามีศีลธรรมและภาคภูมิใจในตัวเองทั้งหมดนั้นบนเวที ผมเกลียดพวกปีศาจเหล่านี้ด้วยทุกอณูในร่างกาย และสาบาน ว่าแม้พวกเขาจะตัดสินจำคุกผม 30 ปี ไม่ใช่แค่ 3 ปี ผมก็จะไม่มีวันทรยศพระเจ้า จะไม่ก้มหัวให้ซาตานเด็ดขาด!

สองวันหลังการประณาม ผมก็ถูกส่งไปยังค่ายแรงงาน ที่นั่นผมถูกมอบหมายให้ทำงานก่อสร้าง ขุดท่อ และเข็นปูนทรายด้วยรถเข็น ผมต้องทำงานหนักแบบนั้นวันละสิบกว่าชั่วโมง บางครั้งผมทำงานช้าเพราะว่าน่องบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ฝ่ายอบรมก็ตีผมเมื่อสังเกตเห็น ผมรู้สึกถึงความอ่อนแอเมื่อคิดว่าจะต้องอยู่ที่นี่ 3 ปี ผมไม่รู้ว่าจะผ่านไปยังไงหรือจะมีชีวิตรอดหรือไม่ ในช่วงเวลานั้น ผมอธิษฐานหาพระเจ้าตลอดและคิดถึงความรักของพระองค์ การคิดถึงความเจ็บปวดและความอัปยศที่พระองค์ทรงประสบเพื่อช่วยมนุษยชาติที่เสื่อมทรามให้รอด ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง มันทำให้ผมพร้อมที่จะนบนอบ และต้องการติดตามพระเจ้าจนกว่าจะสิ้นลม ไม่ว่าผมจะทนทุกข์เพียงใด

หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้รู้จักนักโทษชื่อชางจิ้น ผู้เป็นผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากเราทั้งคู่เป็นคริสตชน เราจึงสนทนากันเรื่องความเชื่อเมื่อมีโอกาส ผมเห็นว่าพี่น้องชายชางจิ้นมีความเป็นมนุษย์ที่ดีและรอคอยการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผมจึงอยากบอกเขาเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย แต่ก่อนที่ผมจะมีโอกาสทำเช่นนั้น เขาก็พ้นโทษและได้รับการปล่อยตัวออกไปแล้ว ผมรู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง จึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงเปิดทาง เพื่อให้ผมมีโอกาสบอกข่าวประเสริฐกับชางจิ้น ไม่นานหลังจากเขาได้รับการปล่อยตัว ผมก็กำลังใช้แรงงานที่ไซต์งานตามปกติ วันหนึ่ง ผมปวดท้องและต้องเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าปกติ ผมสังเกตเห็นว่าผนังห้องน้ำไม่สูงมากและมีโรงงานใหญ่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ขณะอยู่ในห้องน้ำ มียามยืนอยู่ด้านนอกกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ ผมไม่แน่ใจว่านี่คือพระเจ้าเปิดทางให้หรือไม่ ผมจึงกล่าวคำอธิษฐาน หลังจากอธิษฐาน ผมรู้สึกมั่นใจในใจว่านี่คือทางออกที่พระเจ้าประทานให้ ดังนั้นผมจึงกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปในโรงงานเมื่อยามไม่สังเกต ผมรีบถอดชุดนักโทษออกอย่างรวดเร็ว พาดไว้บนไหล่ แล้วเดินออกทางประตูหลัก ผมไม่เคยคิดฝันเลย ว่าจะหลบหนีได้ภายใต้การรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเช่นนี้ ผมรู้สึกขอบพระคุณพระเจ้าอย่างยิ่ง

แต่ไม่นาน ผมก็ได้ยินเสียงไซเรนดังตามหลัง ผมรีบวิ่งไปซ่อนตัวในหมู่ต้นไม้ และอธิษฐานไม่หยุด ผมรอจนกระทั่งมืดสนิท จึงออกมาจากหมู่ต้นไม้อย่างระวังตัว ผมเดินตามถนนชนบทเล็กๆ สอบถามทาง มุ่งหน้าไปยังบ้านของชางจิ้น เมื่อดึกดื่น หลังจากผมขึ้นทางหลวงที่ตรงไปยังบ้านเขา ผมก็เห็นตำรวจสองสามคนข้างหน้ากำลังตั้งจุดตรวจ และผมก็ตกใจกลัว จะทำยังไงถ้าพวกเขาจับได้ พวกเขาจะไม่ปล่อยผมแน่ถ้าจับตัวผมได้ ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจ ผมเห็นกองฟางและรีบวิ่งไปซ่อน อยู่ที่กองฟางนั้นนานกว่าชั่วโมง ผมคลานออกมาอย่างระมัดระวังออกเมื่อเห็นรถตำรวจออกไปแล้ว จากนั้นจึงเดินต่อไปยังบ้านชางจิ้นอย่างยากลำบาก ผมเดินไปได้ไม่ไกลก่อนที่น่องจะปวดมากจนเดินไม่ไหวอีกต่อไป ดังนั้นผมจึงนั่งพักและจากนั้นค่อยเดินต่อ ขณะเดิน ผมร้องเพลงสรรเสริญ “ฉันปรารถนาที่จะเห็นวันแห่งพระสิริของพระเจ้า”:

1  วันนี้ฉันยอมรับการพิพากษาของพระเจ้า และพรุ่งนี้ฉันจะรับพระพรของพระองค์  ฉันเต็มใจที่จะมอบความเยาว์วัยของฉันและมอบถวายชีวิตของฉัน เพื่อจะได้เห็นวันแห่งพระสิริของพระเจ้า  พระองค์ทรงพระราชกิจและทรงแสดงความจริง โดยประทานหนทางของชีวิตแก่มนุษย์  พระวจนะและความรักของพระเจ้านั่นทำให้หัวใจของฉันหลงใหล  ฉันเต็มใจที่จะดื่มจากถ้วยอันขมขื่นและทนทุกข์เพื่อได้รับความจริง  ฉันจะสู้ทนการดูหมิ่นโดยไม่มีการร้องทุกข์คร่ำครวญ  ฉันปรารถนาที่จะใช้ชีวิตของฉันชดใช้คืนพระคุณของพระเจ้า

2  ด้วยการฝากฝังของพระเจ้าในหัวใจของฉัน ฉันจะไม่วันคุกเข่าให้ซาตาน  แม้ว่าศีรษะของพวกเราอาจถูกบั่นและเลือดของพวกเราอาจสาดกระเซ็น แต่กระดูกสันหลังของประชากรของพระเจ้าก็ไม่สามารถทำให้งอได้  ฉันจะเป็นคำพยานที่ดังกึกก้องให้แก่พระเจ้า และทำให้เหล่ามารและซาตานได้อับอาย  ความเจ็บปวดและความยากลำบากได้ถูกพระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า ฉันจะจงรักภักดีและนบนอบพระองค์จนตาย  ฉันจะไม่มีวันเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงร่ำไห้อีก และไม่มีวันเป็นเหตุให้พระองค์ทรงกังวลอีกเลย  ฉันจะมอบถวายความรักและความจงรักภักดีของฉันต่อพระเจ้าและทำภารกิจของฉันจนครบบริบูรณ์ในการถวายพระเกียรติแด่พระองค์

…………

—ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ

ผมรู้สึกว่าความเชื่อของผมหนักแน่นขึ้นในขณะที่ผมฮัมเพลงเบาๆ ในที่สุด ผมก็มาถึงบ้านของชางจิ้นในตอนประมานเที่ยงของวันถัดไป พอเราเห็นหน้ากัน เราก็ร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติ เนื่องจากตำรวจอาจจะมา เขาจึงจัดหาให้คนอื่นรับผมไปอยู่ด้วยแทน ตามคาด ตอนเที่ยงของวันที่สาม ตำรวจขับรถมาที่บ้านของชางจิ้น เมื่อพวกเขาไม่พบตัวผม พวกเขาก็จากไปด้วยความหงุดหงิด หลังจากนั้น ผมได้บอกเล่าข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ากับชางจิ้น ด้วยการนำทางของพระเจ้า พี่น้องชายหญิงกว่า 100 คนจากนิกายของเขา ก็ได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  

หลังจากหนีออกจากค่ายแรงงาน ผมก็กลายเป็นอาชญากรที่ถูกหมายจับ ผมเดินทางไปทั่วเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐ โดยไม่กล้ากลับบ้าน สิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเดือนกันยายนปี 2010 ผมแอบกลับไปยังบ้านเกิด และไปที่บ้านของพี่สาว ที่นั่น ผมได้พบภรรยา และเธอบอกผมว่า หลังจากที่ผมหนีออกจากค่ายแรงงาน ตำรวจได้บุกค้นบ้านของเรา รวมถึงบ้านของญาติๆ ของเราด้วย พวกเขาพยายามขู่เข็ญภรรยา พ่อแม่ และญาติคนอื่นๆ ของผม ให้พวกเขาบอกเบาะแสเกี่ยวกับที่อยู่ของผม ตำรวจยังแอบเฝ้าตรวจตราบริเวณรอบๆ บ้านของผมอยู่หลายวัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตำรวจไม่เคยล้มเลิกการตามล่าผม ในช่วงตรุษจีนและวันเกิดของพ่อแม่ พวกเขามักจะมาสอบถามเกี่ยวกับผม และดูว่าผมได้กลับมาหรือไม่ ในปี 2002 ภรรยาของผมถูกจับกุมเพราะความเชื่อของเธอ ครอบครัวของเราต้องเสียเงินไปกว่า 2,000 หยวน และใช้เส้นสายเพื่อให้เธอได้รับการปล่อยตัว ครอบครัวของเราต้องเผชิญกับความยากลำบาก เพราะทั้งผมและภรรยาต่างก็เคยถูกจับและถูกปรับเงิน ลูกๆ ของเราถูกบีบบังคับให้ต้องออกจากโรงเรียน ก่อนจะเรียนจบประถมและมัธยมต้น และต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพที่อื่น ผมรู้สึกเสียใจมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เมื่อพ่อแม่ได้ข่าวว่าผมกลับมา พวกท่านก็มาพบผมที่บ้านของพี่สาว ทันทีที่พวกท่านเห็นผมก็ร้องไห้ออกมาโดยยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ แต่พวกท่านก็ไม่กล้าร้องเสียงดัง เพราะกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน พวกท่านบอกว่าฝันถึงผมอยู่เสมอ และร้องไห้จนตาแทบบอด เมื่อเห็นว่าพ่อแม่ของผมดูอ่อนกำลังเพียงใด ผมก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สองสามวันต่อมา ขณะที่พ่อของผมกำลังปั่นจักรยานกลับไปยังบ้านพี่สาวเพื่อมาหาผม ท่านประสบอุบัติเหตุจักรยานล้มจนกระดูกต้นขาหัก เมื่อผมทราบข่าว ผมก็เป็นห่วงท่านมาก และผมก็เสี่ยงไปเยี่ยมท่านที่บ้านตอนเที่ยงคืน พอพ่อเห็นผม ท่านก็ร้องไห้และพูดว่า “หมอบอกว่าพ่อคงรักษากระดูกต้นขาไม่ได้ พ่อคงจะต้องรอวันตาย นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน” ผมปลอบโยนท่าน พร้อมกลั้นน้ำตาเอาไว้ ผมไม่กล้าอยู่นาน เพราะกลัวว่าจะถูกจับ จึงต้องรีบจากมาหลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง เพราะการไล่ล่าของพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นเวลากว่าทศวรรษ ผมจึงต้องหลบหนี ผมไม่สามารถกลับบ้าน ไม่สามารถพบหน้าครอบครัว ไม่สามารถแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ หรือทำหน้าที่ของสามีและพ่อให้กับภรรยาและลูกทั้งสามคนของผมได้ และตอนนี้พ่อของผมล้มป่วย แต่ผมกลับไม่สามารถดูแลท่านได้แม้แต่วันเดียว ผมรู้สึกว่าทำให้พ่อแม่ผิดหวังและหัวใจของผมเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ผมรีบอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำผม และประทานความเชื่อและความเข้มแข็งให้กับผม หลังจากอธิษฐาน ผมก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “เส้นทางที่พระเจ้าทรงนำเราไปไม่ได้เป็นเส้นตรงตลอด แต่เป็นถนนคดเคี้ยวซึ่งเต็มไปด้วยหลุมบ่อ และพระเจ้าตรัสว่า ยิ่งถนนขรุขระมากขึ้นเท่าไร มันยิ่งสามารถเผยถึงหัวใจรักของพวกเราได้มากขึ้นเท่านั้น  แต่ไม่มีใครในพวกเราเลยที่สามารถเปิดเส้นทางเช่นนี้ได้  ในประสบการณ์ของเรา เราได้เดินบนเส้นทางขรุขระและเสี่ยงอันตรายมามากมาย และได้ทนฝ่าความทุกข์อันใหญ่หลวง บางคราวเราเคยถึงกับโศกาจาบัลย์เป็นที่สุดจนอยากจะร้องออกมา แต่เราก็ได้เดินบนเส้นทางนี้ต่อมาจนถึงทุกวันนี้ เราเชื่อว่านี่คือเส้นทางซึ่งทรงนำโดยพระเจ้า ดังนั้นเราจึงทนฝ่าความทรมานในความทุกข์ทนทั้งมวลแล้วไปต่อ เพราะนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ ใครเล่าจะหลีกพ้นได้?  เราไม่ได้ร้องขอเพื่อรับพรใดๆ ทั้งหมดที่เราขอคือให้เราสามารถเดินบนเส้นทางที่เราควรเดินซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เราไม่ได้มุ่งพยายามเลียนแบบคนอื่นหรือเดินบนหนทางที่พวกเขาเดิน ทั้งหมดที่เราแสวงหาคือการที่ได้อุทิศตนจนลุล่วงด้วยการเดินไปบนเส้นทางที่ถูกตั้งไว้ให้จนสุดทาง… นี่เป็นเพราะเราเชื่อมาตลอดว่าพระเจ้าคือผู้ที่ทรงกำหนดว่าแต่ละบุคคลต้องทนทุกข์มากน้อยเพียงใดและพวกเขาต้องเดินไปบนเส้นทางของพวกเขาในระยะทางไกลแค่ไหน และไม่มีใครสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (6))  “สิ่งที่พวกเจ้าได้รับเป็นมรดกตกทอดในวันนี้เหนือกว่าที่อัครทูตและผู้เผยพระวจนะทั้งหลายตลอดหลายยุคหลายสมัยเคยได้รับ และยิ่งใหญ่กว่าของโมเสสหรือเปโตรด้วยซ้ำ  พรจากพระเจ้าไม่สามารถได้มาภายในวันเดียวหรือสองวัน แต่ต้องได้มาด้วยการพลีอุทิศอย่างใหญ่หลวง  กล่าวคือ พวกเจ้าต้องครองความรักที่ก้าวผ่านกระบวนการถลุงมาแล้ว พวกเจ้าต้องครองความเชื่ออันยิ่งใหญ่ และพวกเจ้าต้องมีความจริงมากมายที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกเจ้ามี ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้าต้องหันเข้าหาความยุติธรรมโดยไม่ขลาดกลัวหรือคอยแต่เลี่ยงหนี และต้องมีหัวใจที่รักพระเจ้าซึ่งเสมอต้นเสมอปลายไปจนตาย  เจ้าต้องมีความแน่วแน่ และต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้า ความเสื่อมทรามของพวกเจ้าจะต้องได้รับการบำบัด พวกเจ้าต้องยอมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าโดยปราศจากการพร่ำบ่น และพวกเจ้าต้องนบนอบไปจนตายด้วยซ้ำ  นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรต้องบรรลุ นี่คือจุดหมายสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากผู้คนกลุ่มนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?)  การอ่านพระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมได้รับความรู้แจ้ง พระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วว่ามนุษย์แต่ละคนจะต้องทนทุกข์มากเพียงใดในชีวิตนี้ ผมต้องมอบพ่อแม่ของผมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ผมยังนึกถึงเหล่าธรรมิกชนตลอดทุกยุค ที่ได้เป็นพยานอันดังกึกก้องให้พระเจ้าผ่านทางการถูกข่มเหงและความทุกข์ยาก ผมได้รับงานของพระเจ้าในยุคสุดท้ายและได้ชื่นชมความจริงที่พระองค์ทรงแสดงไว้ ผมได้รับมากกว่าบรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะทั้งหมดเสียอีก แต่เมื่อผมเผชิญกับการข่มเหง ผมกลับระทมทุกข์และอ่อนแอ ผมช่างด้อยวุฒิภาวะเหลือเกิน จากนั้นผมจึงตกลงใจ ที่จะเดินตามรอยเท้าของเหล่าธรรมิกชน มีความมั่นคงในความเชื่อ และติดตามพระเจ้า!

ในปี 2011 พี่น้องชายคนหนึ่งนำจดหมายมาแจ้งว่า ตำรวจกลับไปที่บ้านของผมเพื่อสอบถามภรรยาว่าผมอยู่ที่ไหน ตั้งแต่ตอนนั้น ผมกับภรรยาก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

วันหนึ่งในเดือนธันวาคม ปี 2012 ผมออกไปกับพี่น้องชายหญิงสองสามคนท่ามกลางสายฝน เพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐกับครอบครัวหนึ่ง ตำรวจสี่นายปรากฏตัวออกมา พวกเขาลงจากรถและเข้าจับกุมผม พี่น้องหญิงสองคนที่ขี่จักรยานไฟฟ้าพยายามหนี ตำรวจสามนายขับรถไล่ตามพวกเธอ เจ้าหน้าที่อีกคนจับตัวผมแน่น และผมพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้น พี่สาวคนหนึ่งเข้ามาฉุดเจ้าหน้าที่ไว้เพื่อปกป้องผม ทำให้ผมสามารถวิ่งหนีไปได้ แต่ผมวิ่งไปได้เพียงสิบกว่าเมตร เจ้าหน้าที่ก็ตามมาทันและจับตัวผมอีกครั้ง จากนั้น พี่น้องหญิงสองคนรีบเข้ามาฉุดรั้งเขาไว้ ทำให้ผมสามารถหนีไปได้อีกครั้ง เมื่อกลับถึงบ้านหัวใจของผมก็ยังเต้นแรง และผมหยุดคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้ ผมสามารถหนีรอดมาได้เพราะพี่น้องหญิงสองคนนั้นช่วยดึงเจ้าหน้าที่ไว้เพื่อปกป้องผม ผมไม่รู้ว่าพวกเธอถูกจับหรือไม่ พวกเธอจะถูกทรมานหรือเปล่า และพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ถูกจับไปด้วยหรือไม่ ผมนึกถึงสองครั้งก่อนที่ผมเคยถูกจับและถูกทรมาน ผมรู้สึกว่าการประกาศข่าวประเสริฐในประเทศจีนเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง เราสามารถถูกจับกุมและถูกจำคุกได้ทุกที่ทุกเวลา ผมรู้สึกหดหู่ใจมาก จึงกล่าวอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หลังจากอธิษฐานเสร็จ ผมเปิดหนังสือพระวจนะของพระเจ้าและเห็นข้อความว่า “สำหรับทุกผู้คน การถลุงเป็นความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส และลำบากยากเย็นมากที่จะยอมรับ—ทว่าในระหว่างการถลุงนี้นี่เองที่พระเจ้าทำให้พระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์เป็นที่ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นสำหรับมนุษย์ และทรงทำให้ข้อพึงประสงค์ของพระองค์เป็นที่รู้ทั่วกันสำหรับมนุษย์ และทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งมากขึ้น และการตัดแต่งซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น  มนุษย์ได้รับความรู้ที่ล้ำเลิศขึ้นเกี่ยวกับตนเองและความจริง รวมทั้งความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยผ่านทางการเปรียบเทียบข้อเท็จจริงกับความจริง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์มีความรักที่จริงแท้ยิ่งขึ้นและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นต่อพระเจ้า  นั่นคือจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการดำเนินพระราชกิจแห่งการถลุง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์สามารถมีความรักแท้จริงได้ โดยการได้รับประสบการณ์กับกระบวนการถลุงเท่านั้น)  “ในยุคสุดท้าย พวกเจ้าจึงต้องเป็นคำพยานให้พระเจ้า  ไม่ว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าก็ควรเดินไปให้สุดทาง แม้จะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเจ้าก็ตาม พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น)  ผมเริ่มทบทวนตัวเองหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมเห็นว่าความรักที่ผมมีต่อพระเจ้านั้นปลอมปน และผมยังไม่ได้ยอมนบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง สองครั้งล่าสุดที่ผมถูกจับกุม แม้ว่าผมถูกทรมาน ผมก็ไม่ยอมแพ้ต่อซาตาน และยังคงตั้งมั่นในคำพยานของผม ดังนั้น ผมจึงคิดว่าผมมีวุฒิภาวะ ว่าผมมีความเชื่อและการนบนอบต่อพระเจ้า แต่เมื่อถูกซาตานทดลองและโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า วุฒิภาวะที่แท้จริงของผมก็เปิดเผยออกมา การที่ผมสามารถตั้งมั่นได้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่วุฒิภาวะที่แท้จริงของผม แต่มาจากความเชื่อและความกล้าหาญที่พระวจนะของพระเจ้ามอบให้ผม ครั้งนี้ผมได้เห็นว่า การใช้พระปัญญาของพระเจ้านั้นปรับเปลี่ยนไปตามกลอุบายของซาตานจริงๆ ซาตานใช้เล่ห์กลต่างๆ เพื่อให้ผมถูกจับกุมและทรมาน เพื่อให้ผมพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง และทำให้ผมหักหลังพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงใช้สถานการณ์เหล่านั้น เพื่อให้ผมเห็นข้อผิดพลาด และเข้าใจถึงข้อบกพร่องของตัวเอง และความเชื่อรวมถึงการนบนอบอย่างแท้จริงของผมก็ได้ถูกทำให้เพียบพร้อมผ่านการทดสอบที่ยาวนานเหล่านั้น หลังจากเข้าใจเจตนารมณ์อันแรงกล้าของพระเจ้า ผมไม่รู้สึกเป็นลบหรือทุกข์ใจเหมือนก่อน แต่กลับตกลงใจที่จะทำตามแบบอย่างของเปโตร ปฏิบัติตามการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าในทุกสิ่ง และไม่ว่าจะเผชิญกับการข่มเหงหรือความทุกข์ยากมาเพียงใด เพื่อลุล่วงหน้าที่ของผม ผมก็จะแบ่งปันข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้า

ตลอดเวลากว่าสองทศวรรษ ผมถูกพรรคคอมมิวนิสต์จับกุม ถูกข่มเหงและทรมานอย่างโหดร้าย ถูกบังคับให้ออกจากบ้านและเห็นครอบครัวแตกสลาย และบางครั้งผมก็อ่อนแอ แต่พระวจนะของพระเจ้าได้มอบความเข้มแข็งให้ผมครั้งแล้วครั้งเล่า จนผมสามารถยืนหยัดมาถึงทุกวันนี้ ผมได้ทนทุกข์ทรมานทางร่างกายจากการข่มเหงและความยากลำบากเหล่านั้น แต่ผมก็ได้เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น ผมยังได้รับความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับ พระปัญญา มหิทธานุภาพ ความรัก และการช่วยให้รอดของพระเจ้า ผมได้เห็นอย่างชัดเจน ว่าพรรคคอมมิวนิสต์เป็นปีศาจของซาตานที่ต่อต้านพระเจ้า ผมได้ต่อต้านพรรคอย่างสิ้นเชิง ละทิ้งพรรค และมุ่งมั่นที่จะติดตามพระเจ้าอย่างเด็ดเดี่ยว ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจากใจจริง ที่ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งเหล่านี้ให้กับผม ทำให้ผมได้รับขุมทรัพย์ล้ำค่าที่สุดในชีวิต

ก่อนหน้า: 9. ในศาสนาแล้ว ไม่อาจได้รับความจริง

ถัดไป: 15. สิ่งปลอมปนในการพลีอุทิศให้แก่พระเจ้าของฉัน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger