68. การเก็บเกี่ยวผลผลิตจากการถูกตัดแต่งและถูกจัดการ

โดย โหย่วซิ่น ประเทศเกาหลีใต้

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษากับการตีสอน และการทนทุกข์กับกระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้า หรือถูกจัดการ บ่มวินัยและตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าได้ และไม่ทำเป็นขอไปทีกับพระองค์  ภายใต้กระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่อุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลง  โดยผ่านทางการเปิดโปง การพิพากษา การบ่มวินัย และการจัดการของพระวจนะของพระองค์เท่านั้นพวกเขาจึงจะไม่กล้าที่จะปฏิบัติตนอย่างมุทะลุอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหนักแน่นและสำรวมแทน  ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือว่า พวกเรามีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าและต่อพระราชกิจของพระองค์ได้ ต่อให้พระราชกิจไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พวกเขาก็มีความสามารถที่จะละวางมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้และนบนอบได้อย่างเต็มใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว)  เมื่อก่อน ตอนที่ฉันอ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษากับการตีสอน และการทนทุกข์กับกระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้า หรือถูกจัดการ บ่มวินัยและตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าได้ และไม่ทำเป็นขอไปทีกับพระองค์” ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ ฉันตั้งใจอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน ฉันเข้าร่วมการชุมนุมตรงเวลาเสมอ และฉันก็นบนอบต่อหน้าที่ใดก็ตามที่ได้รับมอบหมายจากทางคริสตจักร ฉันคิดว่าตราบใดที่ฉันไม่ได้ทำบาป ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี เป็นผู้ที่เชื่อมานานหลายปีและได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากมาย ดังนั้น อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉันก็จะเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ทำไมฉันยังต้องได้รับการพิพากษาและตีสอน รวมถึงตัดแต่งและจัดการโดยพระเจ้าอีก? ฉันไม่เคยเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ที่อ่านไปอย่างแท้จริงเลยค่ะ จนกระทั่งฉันได้รับการตัดแต่งและจัดการอย่างหนักอยู่ 2-3 ครั้ง และได้ไตร่ตรองตัวเอง ตอนนั้นเองฉันจึงได้เห็นว่าฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกแค่ไหน ได้เห็นว่าธรรมชาติแบบซาตานที่แสนยโสและโอหังถูกหยั่งรากลึกในตัวของฉัน และถ้าไม่มีการพิพากษาและการตีสอน รวมถึงการตัดแต่งและการจัดการจากพระเจ้าฉันก็คงไม่มีวันได้รู้จักตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องถูกชำระให้บริสุทธิ์หรือเปลี่ยนแปลงเลย

ช่วงต้นปี 2016 ฉันทำหน้าที่เป็นผู้นำคริสตจักร ตอนที่ฉันเริ่มทำงานครั้งแรก ฉันรู้สึกว่าตัวเองยังบกพร่องอยู่มาก ฉันเลยอธิษฐานต่อพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ในหน้าที่ของตัวเองตลอดเวลา เวลาเจอปัญหาที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันจะแสวงหาและสามัคคีธรรมกับเพื่อนร่วมงาน และฉันยอมรับข้อเสนอแนะของคนอื่นๆ ได้ ฉันค่อนข้างถ่อมตัวทีเดียว หลังจากการปฏิบัติมากกว่าหกเดือน ฉันก็เข้าใจหลักปฏิบัติขึ้นบ้าง และฉันช่วยแก้ไขความยากลำบากบางประการของพี่น้องชายหญิงได้ โดยการสามัคคีธรรมความจริง ฉันค่อยๆ เริ่มรู้สึกอิ่มเอมใจ คิดว่า “ถึงฉันจะไม่เคยเป็นผู้นำคริสตจักรมาก่อน ฉันก็มีความสามารถที่ดีและเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าได้เร็วอยู่นะ หลังจากปฏิบัติมากขึ้น ฉันแน่ใจว่าฉันจะต้องเก่งขึ้นกว่านี้แน่” ต่อมาฉันได้รับมอบหมายหน้าที่ที่สำคัญ และฉันยิ่งกลายเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ในบรรดาเพื่อนร่วมงานนั้นฉันอายุน้อยที่สุด และระยะเวลาของความเชื่อก็น้อยกว่า แต่ฉันรู้สึกว่าการรับผิดชอบบางสิ่งที่สำคัญได้ ฉันต้องเป็นคนมีพรสวรรค์จริงๆ! เป็นเวลาสักพักเลยค่ะ ที่ฉันเชิดหน้าชูคอแม้แต่เวลาเดิน รู้สึกเหมือนฉันมีหน้าที่ที่สำคัญที่สุดกว่าทุกคน ราวกับว่าไม่มีใครเทียบเท่าฉันได้ เวลาผ่านไป ฉันยิ่งกลายเป็นคนที่โอหังมากขึ้นเรื่อยๆ ในการพูดคุยเรื่องงานของคริสตจักร เวลาเพื่อนร่วมงานเสนอแนะอะไรมา ฉันก็จะยึดแค่ความคิดของตัวเอง คิดว่า “นั่นคือวิธีที่คุณคิดจะใช้กันจริงๆ หรือ? ฉันเคยจัดการกับอะไรแบบนี้มาก่อน ดังนั้นฉันจะไม่เข้าใจเรื่องของหลักปฏิบัติดีกว่าหรือ? ฉันรู้วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการเรื่องนี้” บางครั้งเมื่อพี่สาวที่ฉันทำงานด้วยเกิดจริงจังกับอะไรบางอย่างมากไปหน่อย ฉันก็จะหมดความอดทน คิดว่าเรื่องง่ายๆ แบบนั้นจัดการง่ายออก ไม่เห็นจำเป็นที่จะไปสามัคคีธรรมและแสวงหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางครั้งในการประชุมของบรรดาเพื่อนร่วมงาน ฉันเห็นว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นไม่ได้เอาข้อเสนอแนะของเธอไปใช้ ฉันก็จะเริ่มดูถูกเธอ ฉันคิดว่า “ขนาดเธอเป็นผู้นำมานานกว่าฉัน เธอก็ไม่มีอะไรที่เหนือกว่าฉันสักอย่าง” มีครั้งหนึ่งเธอบอกว่าฉันแกล้งถ่วงเวลาในหน้าที่ตัวเอง ความคืบหน้าของฉันเป็นไปอย่างเชื่องช้า ฉันก็รับไม่ได้และย้อนกลับไปว่า “ฉันไม่สามารถยอมรับการสามัคคีธรรมนี้จากเธอได้ เธอไม่ได้เกี่ยวข้องในงานนี้เหมือนกันหรือ? เธอไม่ได้รับผิดชอบมันเหมือนกันหรือไง? เธอขาดความตระหนักในตัวเองและผลักทุกอย่างมาให้ฉันขนาดนี้ได้อย่างไร?” พูดแค่นั้นแล้วฉันยืนขึ้นและเดินออกเลยค่ะ ผู้นำรู้เรื่องพฤติกรรมของฉันในภายหลัง และจัดการกับฉัน บอกว่าฉันโอหังมากเกินไป ฉันรับทราบด้วยคำพูดเท่านั้น บอกไปว่า “ฉันโอหังมากเกินไป และฉันไม่ยอมรับความจริงค่ะ” ฉันไม่ได้ไตร่ตรอง หรือพยายามเข้าใจธรรมชาติและแก่นแท้ของฉันเอง แต่ในหน้าที่ของตัวเองฉันก็เอาแต่วางมาด ทำอะไรตามวิธีของฉัน ฉันมีเพื่อนร่วมงานบางคนในตอนนั้น ซึ่งถูกเปลี่ยนตัวเพราะพวกเขาขาดความสามารถ และไม่สามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ แต่ฉันไม่เคยกังวลเรื่องการถูกเปลี่ยนตัวเลยค่ะ ฉันคิดว่า “ฉันคือคนที่มีพรสวรรค์แท้จริงในคริสตจักรตอนนี้ และฉันก็รับผิดชอบงานอยู่ตั้งมาก ถ้าไม่มีฉัน พวกเขาจะสามารถหาคนที่เหมาะสมในเวลาที่กระชั้นชิดแบบนี้ได้หรือ?” และเพราะฉันกลายเป็นคนที่โอหังโดยไม่รู้ตัว ฉันจึงถูกตัดแต่งและจัดการอย่างค่อนข้างรุนแรง

มีครั้งหนึ่ง ฉันได้อ่านบทความบางอันเรื่องประสบการณ์และคำพยานของพี่น้องชายหญิงซึ่งฉันรู้สึกว่ามันค่อนข้างผิวเผิน ฉันจึงปฏิเสธบทความพวกนั้นไปโดยที่ไม่ได้หารือเรื่องนี้กับใครเลย ตอนที่ผู้นำรู้เรื่องนี้เขาโกรธมากๆ เขาถามฉันว่า “ทำไมคุณถึงปฏิเสธบทความดีๆ แบบนั้นล่ะ? คุณได้เอาไปคุยกับเหล่าเพื่อนร่วมงานบ้างหรือเปล่า?” ฉันบอกไปว่า “เปล่าค่ะ ตอนนั้นฉันแค่รู้สึกว่าบทความพวกนี้มันผิวเผิน” ทันทีที่ฉันพูดคำนี้ ผู้นำก็จัดการกับฉันอย่างเคร่งเครียด บอกว่า “ถึงบทความพวกนี้อาจจะผิวเผินไปสักหน่อย แต่ประสบการณ์ของพวกเขาก็เป็นของจริง และมันแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง มันสอนใจผู้คน นั่นคือสิ่งที่ทำให้มันเป็นคำยืนยันประสบการณ์ส่วนตัวที่ดี คุณไม่ได้แสวงหาความจริงในหน้าที่ของตัวเอง อีกทั้งคุณยังมุ่งร้ายและโอหัง คุณไม่ได้เข้าใจในความจริง หรือหารือเรื่องนี้กับคนอื่นๆ การแค่โยนบทความที่ดีเยี่ยมทิ้งไป เพิกเฉยต่อคำพยานของการมีประสบการณ์แห่งพระราชกิจของพระเจ้า นั่นไม่เรียกว่าโง่หรือ? นั่นไม่ใช่สิ่งที่ซาตานจะทำหรอกหรือ? คุณมันก็เป็นแค่คนที่ชอบสร้างปัญหา!” ฉันก็เคยถูกตัดแต่งและจัดการมาก่อนค่ะ แต่ไม่เคยเจอที่เกรี้ยวกราดถึงขนาดนั้น คำพูดที่ว่า “โง่” “ซาตาน” “ชอบสร้างปัญหา” “มุ่งร้ายและโอหัง” เอาแต่ดังก้องอยู่ในหัวของฉันซ้ำๆ และฉันไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ฉันรู้สึกเหมือนว่าขนาดหายใจยังลำบาก แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่ามันผิด ถึงแม้ฉันจะไม่ได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆในเวลานั้น แต่ฉันไม่ได้บอกพวกเขาหลังจากนั้นหรือ? พระเจ้าทรงเห็นเข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจของเรา แค่เพียงฉันคิดถึงข้อแก้ตัว ผู้นำก็พูดต่ออย่างเคร่งเครียด “คุณมันทำอะไรตามใจตัวเอง คุณถามได้เวลาที่ไม่เข้าใจอะไร หรือพูดคุยกับคนอื่นๆ ก็ได้ แต่คุณไม่แม้แต่จะทำแบบนั้น คุณช่างโอหังและไร้หัวใจที่เกรงกลัวพระเจ้าโดยสิ้นเชิง!” ได้ยินแบบนี้ ฉันก็เลยยอมๆ ไปแบบไม่เต็มใจนัก ถ้าฉันมีหัวใจที่เกรงกลัวพระเจ้าสักหน่อย ฉันก็คงแสวงหาเสียก่อนที่จะลงมือทำอะไร แต่ฉันกลับทำสิ่งต่างๆ อย่างที่ต้องการ โดยไม่ถามความคิดเห็นของคนอื่นๆ ฉันเป็นคนที่โอหังและชอบคิดว่าตัวเองถูกจริงๆ

ผู้นำทำการสอบสวนเรื่องของฉัน และพบว่าฉันโอหังมากเกินไป อีกทั้งไม่เข้าใจในความจริง และฉันไม่คู่ควรกับหน้าที่ที่สำคัญเช่นนั้น ฉันเลยถูกเปลี่ยนตัว สภาพจิตใจของฉันดิ่งลงสู่ความคิดลบจริงๆ ค่ะ ฉันรู้สึกว่าผู้นำมองเห็นฉันทะลุปรุโปร่งกับปัญหานี้ และคิดว่าฉันไม่ใช่คนที่ไล่ตามความจริง คิดว่าฉันโอหังอย่างไม่น่าเชื่อ และไม่คู่ควรแม้แต่การอบรมปลูกฝังด้วยซ้ำ ฉันคิดว่าตัวเองไม่เหลือโอกาสในพระนิเวศของพระเจ้าอีกต่อไป ฉันกลายเป็นคนคิดลบมากขึ้นเรื่อยๆ และเต็มไปด้วยความเข้าใจผิด ฉันรู้สึกเหมือนฉันกลายเป็นซาตาน แล้วฉันจะถูกช่วยให้รอดได้อย่างไร? ฉันคิดว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงคงคิดว่าฉันไม่ใช่คนที่เหมาะสมแน่ๆ แล้วการไล่ตามต่อไปจะมีอะไรดีอีกหรือ? ระหว่างช่วงเวลานั้น ถึงแม้ว่าฉันจะฝืนใจทำทีเป็นทำหน้าที่บางอย่าง แต่ฉันก็ไม่ได้ต้องการไล่ตามความจริง คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบสามัคคีธรรมกับฉันเรื่องน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่หลายครั้ง แต่ฉันก็ไม่ได้คิดในมุมอื่นบ้างเลย หลังจากนั้นเธอได้ตัดแต่งและจัดการกับฉัน บอกว่าฉันจงใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ยาก คิดลบอยู่เสมอ และฉันกำลังต่อต้านพระเจ้า และถ้าฉันยังไม่เปลี่ยนแปลง ฉันก็จะถูกพระเจ้ากำจัดในไม่ช้าก็เร็ว พอได้ยินแบบนั้นฉันก็รู้สึกกลัว และตระหนักได้ถึงความจริงจังของสถานการณ์ ฉันเร่งไปอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า เพื่ออธิษฐานและแสวงหา และไตร่ตรองในตัวเอง ตลอดหกเดือนนั้น ทำไมฉันถึงไม่สามารถรับมือการถูกตัดแต่งและจัดการอย่างเหมาะสมได้? จากที่ฉันไตร่ตรอง ฉันก็ได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า: “ผู้คนบางคนกลับกลายเป็นนิ่งเฉยหลังการถูกตัดแต่งและจัดการ พวกเขาสูญเสียกำลังวังชาทั้งหมดที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และจบลงตรงการสูญสิ้นความจงรักภักดีของพวกเขาไปด้วยเช่นกัน  นี่เป็นเพราะเหตุใดหรือ?  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการที่พวกเขาขาดการตระหนักรู้เกี่ยวกับแก่นแท้ของการกระทำของพวกเขา และนี่จึงนำทางไปสู่การที่พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะนบนอบต่อการถูกตัดแต่งและจัดการได้  การนี้กำหนดพิจารณาโดยธรรมชาติของพวกเขาซึ่งโอหังและทะนงตน และซึ่งไม่มีความรักให้กับความจริง  ทั้งส่วนหนึ่งยังเป็นเพราะความที่พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เป็นนัยสำคัญของการถูกตัดแต่งและจัดการ  ผู้คนล้วนเชื่อกันว่า การถูกตัดแต่งและจัดการหมายความว่า บทอวสานของพวกเขาได้ถูกกำหนดแล้ว  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาเชื่ออย่างเข้าใจผิดว่า หากพวกเขาครองความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่บ้าง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่ควรถูกจัดการและตัดแต่ง และหากพวกเขาถูกจัดการ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็มิได้เป็นการบ่งชี้ถึงความรักและความชอบธรรมของพระเจ้า  ความเข้าใจผิดดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้คนมากมายกล้าที่จะไม่ ‘จงรักภักดี’ ต่อพระเจ้า  อันที่จริงนั้น เมื่อพิจารณาโดยรวมทั้งหมดแล้ว นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมากเกินไป นั่นก็คือ พวกเขาไม่ต้องการทนทุกข์กับความยากลำบาก  พวกเขาแค่ต้องการได้มาซึ่งพระพรโดยหนทางอันง่ายดาย  ผู้คนไม่ตระหนักรู้ความชอบธรรมของพระเจ้า  มิใช่ว่าพระองค์มิได้ทรงทำสิ่งใดที่ชอบธรรม หรือว่าพระองค์ไม่ได้กำลังทรงทำสิ่งใดที่ชอบธรรม ก็แค่ว่า ผู้คนไม่เคยเชื่อว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นชอบธรรม  ในสายตามนุษย์ หากพระราชกิจของพระเจ้าไม่คล้อยตามความอยากได้อยากแบบมนุษย์ของพวกเขา หรือหากมันไม่เป็นไปในแนวเดียวกับสิ่งที่พวกเขาคาดหวัง เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ย่อมไม่ทรงชอบธรรม  อย่างไรก็ตาม ผู้คนไม่เคยรู้ว่า การกระทำของพวกเขานั้นไม่เหมาะสมและไม่คล้อยตามความจริง อีกทั้งพวกเขายังไม่เคยตระหนักเลยว่าการกระทำของพวกเขานั้นต้านทานพระเจ้า(“ความหมายโดยนัยของการกำหนดบทอวสานของผู้คนโดยพระเจ้ามีพื้นฐานอยู่บนผลการปฏิบัติงาน” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  หลังจากได้อ่านการเปิดเผยนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ในที่สุดฉันก็เข้าใจ ว่าเหตุผลที่ฉันเป็นคนคิดลบมาตลอดนั้น เป็นเพราะฉันหยิ่งยโสและโอหังมากเกินไป อีกทั้งไม่รู้จักธรรมชาติของพฤติกรรมของตัวเอง ฉันคิดว่าตัวเองแค่ทำพลาด คิดว่าการจัดการกับฉันแบบนั้นมันมากเกินไป นั่นคือเหตุผลว่าทำไมฉันจึงติดอยู่ในความคิดลบ เข้าใจพระเจ้าผิด และเอาแต่ปกป้องตัวเอง ในขณะที่อ่านพระวจนะของพระเจ้านั้น ฉันก็ถามตัวเองว่า ฉันถูกตัดแต่งและจัดการอย่างรุนแรงขนาดนี้ จากการทำพลาดแค่เพียงครั้งเดียวงั้นหรือ มันมีหลักปฏิบัติอยู่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจัดการกับผู้คนอย่างไร ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับธรรมชาติและแก่นแท้ รวมถึงพฤติกรรมทั่วไปของพวกเขา ผู้นำไม่ได้จัดการกับฉันแบบไม่มีเหตุผลที่ดี ถ้าอย่างนั้น ปัญหาอะไรในตัวฉัน ที่ทำให้ฉันถูกตัดแต่งและจัดการอย่างเคร่งเครียดล่ะ?

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า: “หากเจ้าครองความจริงภายในเจ้าจริงๆ เส้นทางที่เจ้าเดินนั้นย่อมจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้องไปเอง  หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ  ตัวอย่างเช่น หากความโอหังและความทะนงตนมีอยู่ภายในตัวเจ้า เจ้าก็คงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี่ยงการไม่เยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า เจ้าคงจะรู้สึกถูกบีบให้จำยอมเยาะเย้ยท้าทายพระองค์  เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ  สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง อวดแสดงตัวเองอยู่เป็นนิตย์ และในที่สุดก็นั่งในที่ของพระเจ้า และให้คำพยานสำหรับตัวเจ้าเอง  ในที่สุด เจ้าก็คงจะแปรแนวคิดของเจ้าเอง การคิดของเจ้าเอง และมโนคติที่หลงผิดของตัวเจ้าเองไปเป็นความจริงเพื่อที่จะได้รับการนมัสการ  จงดูเถิดว่า ผู้คนทำความชั่วไปมากเพียงใดภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของพวกเขา!  เพื่อที่จะแก้ไขการปฏิบัติตนชั่วของพวกเขา พวกเขาจะต้องแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของพวกเขาเสียก่อน  หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำพาการแก้ไขขั้นพื้นฐานมาสู่ปัญหานี้(“โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ยังมีคำเทศนาที่กล่าวถึง ว่าเมื่อคนบางคนมีพรสวรรค์หรืออื่นๆ หรือมีความสามารถบางอย่าง พวกเขาก็จะดูถูกคนอื่น พวกเขาไม่อยากฟังใคร คิดว่าตัวเองนั้นดีกว่าทุกคน คนประเภทนั้นคือคนที่หยิ่งยโส โอหัง และชอบคิดว่าตัวเองถูก ฉันคิดถึงการที่ตั้งแต่ฉันเป็นผู้ที่เชื่อมา ฉันไม่ได้จดจ่อในการไล่ตามความจริง แต่กลับทำหน้าที่โดยอาศัยความสามารถและอุปนิสัยที่โอหังของตัวเอง ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่พูดดี อีกทั้งมีความสำเร็จเล็กๆ ในหน้าที่ของตัวเองอยู่บ้าง ผู้นำจึงนับถือฉัน ฉันคิดว่าตัวเองช่างยอดเยี่ยมและมีความสามารถในงานมากกว่าคนอื่นๆ ฉันจึงไม่ได้คิดถึงเหล่าพี่น้องชายหญิงที่ร่วมงานด้วยมากนัก ฉันยืนหยัดจะทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีของตัวเอง และอุปนิสัยที่โอหังของฉันก็โตขึ้นเรื่อยๆ ต่อมา ฉันก็มีทัศนคติที่ย่อหย่อนต่อการงานของคริสตจักร ฉันไม่เคยแสวงหาหลักปฏิบัติแห่งความจริง หรือไปแสวงหาและสามัคคีธรรมกับคนอื่นๆ กลับกัน ฉันทำสิ่งต่างๆ โดยพลการ ทำตามที่ตัวเองต้องการ และจบลงที่สร้างความวุ่นวายให้การงานของคริสตจักร ฉันมักรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีความสามารถที่ดีและเข้าใจความจริงบ้างแล้ว แต่หลังจากถูกเปิดโปง ในที่สุดฉันก็ได้เห็นว่าสิ่งที่ฉันเคยเข้าใจเป็นเพียงบางส่วนของหลักคำสอน ว่าฉันไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของสภาพที่เป็นจริงของความจริง หรือสามารถสามัคคีธรรมบนความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้เลย ถึงเป็นแบบนี้ ฉันก็ยังโอหังอย่างไม่น่าเชื่อ และทำอะไรโดยพลการในทุกเรื่อง ฉันโอหังถึงขนาดสูญสิ้นเหตุผลทั้งหมดและมองไม่เห็นพระเจ้า ปัญหาของฉันถูกเปิดโปงตอนที่ผู้นำเข้ามาตรวจสอบงานของฉันเท่านั้น ฉันคิดว่าฉันทำหน้าที่ของตัวเองแบบนั้นมาโดยตลอดได้อย่างไร ไม่เพียงแต่ฉันไม่ช่วยเหลือหรือเป็นประโยชน์ต่อเหล่าพี่น้องชายหญิง แต่ฉันยังเปิดเผยพฤติกรรมอันเสื่อมทรามมากมายที่บีบบังคับพวกเขาอีกด้วย ฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ฉันทำสิ่งชั่วร้ายมาตลอดต่างหาก! ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งตระหนกมากเท่านั้น ฉันรู้ว่าเมื่อใครบางคนทำอะไรด้วยความโอหัง ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะหลีกเลี่ยงการต่อต้านพระเจ้าและทำสิ่งชั่วร้ายได้ ฉันคิดถึงพี่น้องชายหญิงบางคนที่ดูเหมือนมีความสามารถน้อยกว่าฉัน แต่พวกเขากลับระมัดระวังและเอาใจใส่ในหน้าที่ของตัวเอง พวกเขารู้วิธีแสวงหาความจริง และยอมรับมุมมองของคนอื่นๆ ในขณะที่ฉันโอหังมาก จนขาดความตระหนักในตัวเองอย่างแท้จริง ฉันขาดความตระหนักว่าจะแสวงหาความจริงอย่างไรอย่างถึงที่สุด ยิ่งฉันไตร่ตรองมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งรู้สึกว่าเส้นทางของฉันไม่ใช่หนึ่งในการไล่ตามความจริง ฉันเป็นคนที่โอหังและไม่เคยคิดถึงพระเจ้าเลย ดังนั้นพอฉันถูกตัดแต่งและจัดการ รวมถึงถูกปลดออกจากหน้าที่ นั่นก็คือการที่พระเจ้าทรงคุ้มครองและช่วยฉันให้รอดจริงๆ ถ้าไม่มีสิ่งนั้น ใครจะรู้ว่าฉันอาจทำเรื่องชั่วร้ายมากกว่านี้อีกเท่าไหร่ ฉันอาจจะไปถึงจุดที่ไม่อาจหวนกลับ และเผชิญกับการขับไล่ก็ได้ แล้วมันก็จะสายเกินไปสำหรับความเสียใจ หลังจากได้เข้าใจพระเจตนาอันดีของพระเจ้า ฉันก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ฉันรู้สึกว่าหกเดือนที่ผ่านมาฉันเข้าใจผิดและตำหนิพระเจ้ามาตลอด อีกทั้งยังคิดลบและย่อหย่อนในงานอีกด้วย เหตุผลไหนก็ใช้กับฉันไม่ได้เลย! นับแต่นั้น ฉันก็ต้องการแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเพื่อชดเชยต่อการล่วงละเมิดที่เคยทำในอดีต

หกเดือนต่อมา ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำทีม ในตอนนั้นฉันกลัวมากว่าจะสะดุดและล้มลงอีกครั้งเพราะธรรมชาติที่แสนโอหังของฉัน เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในหน้าที่ของฉัน ฉันก็ค่อนข้างระมัดระวัง และฉันได้จัดให้มีการพูดคุยและสามัคคีธรรมกับเหล่าพี่น้องชายหญิงที่ร่วมงานกับฉันอยู่บ่อยๆ แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ในคริสตจักร พอทำหน้าที่ของตัวเองในทางนั้นแล้ว ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ และฉันก็เข้ากับเหล่าพี่น้องชายหญิงได้ดีขึ้นมาก สองสามเดือนต่อมา ฉันได้เห็นความสำเร็จบางอย่างในหน้าที่ของตัวเอง และเริ่มรู้สึกปลาบปลื้มแบบลับๆ ขึ้นมาอีกครั้ง คิดว่าฉันต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ และไม่ว่าฉันทำหน้าที่อะไรก็ตาม ฉันก็สามารถทำให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไป อุปนิสัยที่โอหังของฉันก็เริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง บางครั้ง เมื่อเหล่าพี่น้องชายหญิงมีปัญหาที่พวกเขาต้องการแสวงหาเรื่องนั้นกับผู้นำ ฉันก็จะหมดความอดทน ฉันจะคิดว่า “เราไม่ได้แสวงหาเรื่องนี้กันไปแล้วหรือ? ทำไมถึงจำเป็นต้องแสวงหาเพิ่มอีก? ฉันก็รู้หลักปฏิบัติ เพราะงั้นการสามัคคีธรรมของฉันก็ควรพอแล้วสิ” โดยไม่คิดทบทวนให้ดี ฉันจะแบ่งปันความเข้าใจกับเหล่าพี่น้องชายหญิง และต้องการให้พวกเขายอมรับมัน แต่พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ และต้องการแสวงหาเรื่องนั้นกับผู้นำ หลังจากนั้น ผู้นำได้สามัคคีธรรมกับพวกเราเรื่องหลักของการปฏิบัติ ซึ่งมันต่างจากสิ่งที่ฉันเข้าใจก่อนหน้านี้ ฉันจึงรู้สึกประหลาดใจ และคิดว่า “ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการแสวงหา ไม่อย่างนั้นหน้าที่ของพวกเราคงได้รับผลกระทบ” แต่หลังจากข้อเท็จจริงนั้น ฉันก็ไม่ได้ไตร่ตรองหรือพยายามรู้จักตัวเอง ฉันยังคงเป็นคนที่โอหังและไร้เหตุผล เวลาที่ฉันเห็นข้อผิดพลาดในหน้าที่ของเหล่าพี่น้องชายหญิง ฉันก็ด่าว่าพวกเขาอย่างยโส คิดว่า “ถ้าพวกเธอถึงขนาดจัดการเรื่องเล็กๆ นี้ไม่ได้ แล้วจะทำอะไรได้? ฉันไม่คิดว่าพวกเธอทุ่มเทใส่หัวใจลงไปในเรื่องนี้นะ” เวลาผ่านไป คนอื่นๆ เริ่มรู้สึกว่าถูกฉันบีบบังคับ และเริ่มตีตัวออกห่าง ฉันบีบบังคับน้องสาวคนหนึ่งมากจนเธอไม่อยากทำหน้าที่ของตัวเองอีกต่อไป ฉันรู้ว่าตัวเองทำผิด แต่เวลามีอะไรเกิดขึ้น ก็ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะเปิดเผยอุปนิสัยที่โอหังของตัวเองออกมา พอคิดว่าก่อนหน้านี้ฉันเคยสะดุดและล้มมาอย่างไร ฉันก็รู้สึกกลัวขึ้นมารางๆ แต่ตอนนั้น ฉันไม่ได้แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา

ต่อมา ฉันตัดสินใจอยู่คนเดียวที่จะให้พี่สาวคนหนึ่งรับผิดชอบหน้าที่ที่สำคัญ พี่ชายคนหนึ่งเตือนฉัน ว่าเธอเป็นคนหลอกลวง และไม่เหมาะสมกับหน้าที่สำคัญ ฉันก็คิดว่า “เธอมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่พี่พูดเสียหน่อย ใครบ้างที่ไม่มีความเสื่อมทรามและข้อบกพร่อง?” ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อเสนอแนะของพี่ชายคนนี้เลย แต่กลับตามหาตัวพี่สาวคนนี้เพื่อสามัคคีธรรม และย้ำเตือนเธอเรื่องปัญหา ฉันตกใจมากเมื่อปรากฏว่าเธอเป็นคนตีสองหน้าและเพิกเฉยต่อหน้าที่ของตัวเองอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียร้ายแรงต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อผู้นำได้ทราบเรื่องนี้ เขาก็จัดการกับฉันอย่างเคร่งเครียด บอกว่า “เธอก็แค่ทำตามใจตัวเอง เลื่อนตำแหน่งให้คนหลอกลวง พี่ชายก็เตือนเธอแล้ว แต่เธอกลับไม่ฟังเขาหรือตรวจสอบมันด้วยตัวเอง แล้วตอนนี้ก็มีผลร้ายแรงตามมา และสร้างความยุ่งเหยิงครั้งใหญ่ นี่เป็นเพราะการขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ของเธอ เธอไม่เข้าใจความจริงและยังเป็นคนโอหัง เธอจะต้องถูกเปลี่ยนตัว!” การถูกตัดแต่งและจัดการอย่างรุนแรงเป็นสิ่งที่แสนเจ็บปวดสำหรับฉัน ฉันถูกปลดออกจากหน้าที่ต่อหน้าพี่น้องชายหญิงมากมาย และผู้นำได้ย้ำว่าฉันเป็นต้นเหตุให้เกิดความยุ่งเหยิงอะไรบ้าง และฉันต้องถูกเปลี่ยนตัว ฉันรู้สึกเหมือนมันจบแล้วสำหรับฉัน ว่าฉันจะต้องถูกกำจัดอย่างแน่นอน และการไล่ตามต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉันกลายเป็นคนที่คิดลบมากหลังจากถูกเปลี่ยนตัว ทุกคืนบนเตียงฉันจะคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเริ่มร้องไห้ ฉันรู้สึกละอายใจเกินกว่าจะเจอใครได้อยู่สักระยะเลยค่ะ ฉันได้เห็นเหล่าพี่น้องชายหญิงต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างมีความสุข และรู้สึกเหมือนว่าฉันไม่มีอะไรเหมือนพวกเขา เพราะธรรมชาติที่โอหังของฉันนั่นเอง ฉันเลื่อนตำแหน่งให้คนหลอกลวงโดยไม่หารือกับใครหรือรับฟังคำแนะนำ ขัดขวางการงานของคริสตจักรอย่างร้ายแรง แล้วพระเจ้าจะยังทรงช่วยฉันให้รอดอีกหรือ? ฉันไม่เคยจินตนาการว่าเส้นทางแห่งความเชื่อจะมาถึงจุดสิ้นสุดตอนที่อายุยังน้อยอย่างนี้ ฉันถึงขั้นเริ่มสงสัย ว่าตอนที่พระเจ้าตรัสว่าการถูกตัดแต่งและจัดการคือความรอดไม่ใช่การกำจัด นั่นไม่ได้ใช้กับฉัน หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความเข้าใจผิด ครั้งหนึ่ง ตอนที่ผู้นำมาสามัคคีธรรมกับพวกเราเรื่องงาน ฉันไปซ่อนอยู่ในมุมที่ไกลที่สุด ฉันตกใจมากที่จู่ๆ เขาก็เรียกชื่อฉัน และถามว่าช่วงนี้ฉันมีความก้าวหน้าเรื่องไหนบ้าง เขาถามต่ออีกว่า ฉันกลายเป็นคนคิดลบหลังจากถูกตัดแต่งและจัดการหรือเปล่า จากนั้นเขาก็สามัคคีธรรมกับฉันอย่างจริงจัง และตักเตือนฉัน บอกว่า “เธอยังเด็กอยู่เลย เธอควรไล่ตามความจริงและมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยนะ” การได้ยินคำพูดที่จริงใจเหล่านี้จากผู้นำ มันช่างปลอบประโลมและเป็นกำลังใจให้ฉันมาก จนฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้เลยค่ะ ฉันเป็นคนที่ยโสและโอหัง ไร้ความรับผิดชอบ และย่อหย่อนต่อหน้าที่ของตัวเองมาตลอด อีกทั้งสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อการงานของคริสตจักร ผู้นำทำถูกแล้วที่เปลี่ยนตัวฉัน อีกทั้งยังตัดแต่งและจัดการฉัน แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะให้กำลังใจฉันด้วย ฉันขอบคุณพระเจ้าจากหัวใจสำหรับพระเมตตาของพระองค์ คืนนั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าทั้งน้ำตา และตัดสินใจ ที่จะไตร่ตรองตัวเองอย่างแท้จริง และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยที่โอหังของฉัน

ต่อมา ฉันได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ความโอหังคือรากเหง้าของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  ยิ่งผู้คนโอหังมากขึ้นเท่าใด พวกเขาย่อมโน้มเอียงที่จะต้านทานพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ปัญหานี้รุนแรงเพียงใดหรือ?  ผู้คนที่มีอุปนิสัยโอหังไม่เพียงพิจารณาว่าคนอื่นทุกคนอยู่ใต้พวกเขาเท่านั้น แต่ที่แย่ที่สุดในบรรดาทั้งหมดก็คือ พวกเขาถึงขั้นกำลังวางท่ายโสใส่พระเจ้า  แม้ว่าโดยภายนอกแล้วผู้คนบางคนอาจจะปรากฏว่าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อพระองค์เฉกเช่นพระเจ้าแต่อย่างใดเลย  พวกเขารู้สึกอยู่เสมอว่า พวกเขาครองความจริงและหลงรักตัวเองเหลือเกิน  นี่คือแก่นแท้และรากเหง้าของอุปนิสัยโอหัง และมันมาจากซาตาน  เพราะฉะนั้น ปัญหาเรื่องความโอหังจึงต้องได้รับการแก้ไข  ความรู้สึกว่าคนเราดีกว่าผู้อื่น—นั่นเป็นเรื่องเล็กนัก  ประเด็นปัญหาที่วิกฤติก็คืออุปนิสัยโอหังของคนเรากีดกันคนเราจากการนบนอบต่อพระเจ้า กฎเกณฑ์ของพระองค์ และการจัดการเตรียมการของพระองค์ บุคคลเช่นนั้นรู้สึกเอนเอียงอยู่เสมอที่จะแข่งขันกับพระเจ้าเพื่ออำนาจเหนือผู้อื่น  บุคคลจำพวกนี้ไม่เคารพพระเจ้าแม้เพียงน้อยนิด ไม่พูดอะไรเลยเกี่ยวกับการรักพระเจ้าหรือการนบนอบต่อพระองค์  ผู้คนซึ่งโอหังและทะนงตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ซึ่งโอหังมากจนถึงขนาดที่ได้สูญเสียสำนึกของพวกเขาไป ไม่สามารถนบนอบต่อพระเจ้าในการเชื่อในพระองค์ของเขา และถึงขั้นยกย่องและให้คำพยานแก่ตัวพวกเขาเอง  ผู้คนดังนี้ต้านทานพระเจ้าที่สุด  หากผู้คนปรารถนาที่จะไปถึงที่ซึ่งพวกเขาเคารพพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาต้องแก้ไขอุปนิสัยโอหังของพวกเขาเสียก่อน  ยิ่งเจ้าแก้ไขอุปนิสัยโอหังของเจ้าได้อย่างถ้วนทั่วมากขึ้นเท่าใด ความเคารพที่เจ้ามีเพื่อพระเจ้าก็จะมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนบนอบต่อพระองค์ และมีความสามารถที่จะได้มาซึ่งความจริงและรู้จักพระองค์(การสามัคคีธรรมของพระเจ้า)  ด้วยการเปิดเผยของพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงเห็น ว่าการกระทำตามธรรมชาติที่โอหังของฉันนั้น ไม่ใช่แค่ปัญหาของการเปิดเผยความเสื่อมทรามบางส่วนเท่านั้น แต่หลักๆ แล้วมันทำให้ฉันไม่คำนึงถึงผู้อื่นแม้กระทั่งพระเจ้าโดยสิ้นเชิง มันทำให้ฉันกบฏและต่อต้านพระเจ้า แทนที่จะเป็นตัวฉันเอง พอคิดย้อนไปถึงตอนที่ฉันทำหน้าที่อยู่ ฉันมักรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นคนฉลาดและมีความสามารถที่ดี ดังนั้น ฉันจึงอาศัยพรสวรรค์และความสามารถของตัวเองในการทำหน้าที่ ฉันมั่นใจในตัวเองมากจนฉันแทบจะไม่อธิษฐานต่อพระเจ้า หรือแสวงหาหลักปฏิบัติแห่งความจริง ในหัวใจของฉันไม่มีพื้นที่สำหรับพระเจ้าเลย เมื่อผลมันไม่ออกมาอย่างที่คิด ฉันก็ทำตัวดีขึ้น แต่ช่วงที่ฉันได้เข้าใจหลักปฏิบัติบ้าง และประสบความสำเร็จเล็กๆ ฉันก็ใช้มันเป็นต้นทุนของตัวเอง ฉันรู้สึกว่าอะไรก็ตามที่ทำจะออกมาดี ฉันสามารถทำอะไรก็ได้ ฉันประเมินผู้คนและสถานการณ์ได้ ไม่มีปัญหา ฉันจึงกลายเป็นคนที่โอหัง หลอกลวง และคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกมากกว่าเดิม ทำตามวิธีของตัวเองในทุกเรื่อง เป็นคนเผด็จการ ฉันถึงขั้นขัดขวางการแสวงหาความจริงกับผู้นำของเหล่าพี่น้องชายหญิง และบังคับเอาความคิดของตัวเองอยู่เหนือพวกเขา ราวกับมันคือความจริง บอกให้พวกเขายอมรับและนบนอบต่อมัน ข้อเท็จจริงนั้นแสดงให้ฉันเห็นว่า ฉันทำตัวตามธรรมชาติที่โอหังของตัวเอง และฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากบีบบังคับและสร้างความเสียหายต่อเหล่าพี่น้องชายหญิง และขัดขวางการงานของคริสตจักรอย่างร้ายแรง ฉันถึงขั้นรับบทเป็นส่วนหนึ่งของสมุนของซาตานด้วยซ้ำ การที่ผู้นำได้จัดการกับฉัน แสดงให้เห็นถึงการขัดขวางอันร้ายแรงนั้นถูกต้องทั้งหมด การที่ฉันถูกปลดออกจากหน้าที่ คือความชอบธรรมของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ในที่สุดฉันก็ได้เห็นว่าธรรมชาติที่โอหังนั้นน่ากลัวและร้ายแรงมากแค่ไหน ถ้าปล่อยมันไว้โดยไม่แก้ไข ฉันก็มีแนวโน้มที่จะทำเรื่องชั่วร้ายและต่อต้านพระเจ้าได้ทุกเมื่อ และฉันก็สามารถขัดขวางการงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคือง อีกทั้งถูกกำจัดและถูกลงโทษ หลังจากที่ฉันถูกเปลี่ยนตัว ปัญหาอื่นๆ ในหน้าที่ของฉันก็ปรากฏ เมื่อเผชิญหน้ากับการตำหนิของเหล่าพี่น้องชายหญิง อีกทั้งปัญหาในงานของฉันถูกเปิดโปง ฉันก็รู้สึกเสียใจและตำหนิตัวเองอย่างมาก ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ ทำไมฉันถึงโอหังขนาดนั้น? ฉันมักจะรู้สึกเหมือนตัวเองมีความสามารถพิเศษ เหมือนทุกอย่างที่ฉันทำนั้นดี แต่ฉันได้ทำอะไรแม้เพียงเล็กน้อยเพื่อสนองพระเจ้าหรือไม่? หน้าที่ที่ฉันทำนั้นยุ่งเหยิงเละเทะ และฉันเป็นแค่คนที่สร้างความเสียหายเท่านั้น ถ้าฉันมีความยำเกรงต่อพระเจ้าสักหน่อย ถ้าฉันอธิษฐานหรือแสวงหามากกว่านี้ หรือถ้าฉันได้สามัคคีธรรมและพูดคุยกับคนอื่นๆ ถ้าฉันระมัดระวังมากขึ้นอีกนิด ฉันก็คงไม่ไปถึงจุดที่ทำสิ่งที่ขัดขืนต่อพระเจ้ามากขนาดนั้น

ในความพยายามที่จะแก้ไขธรรมชาติที่โอหังของฉัน ต่อมาฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบางบท ความว่า “ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษากับการตีสอน และการทนทุกข์กับกระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้า หรือถูกจัดการ บ่มวินัยและตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าได้ และไม่ทำเป็นขอไปทีกับพระองค์  ภายใต้กระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่อุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลง  โดยผ่านทางการเปิดโปง การพิพากษา การบ่มวินัย และการจัดการของพระวจนะของพระองค์เท่านั้นพวกเขาจึงจะไม่กล้าที่จะปฏิบัติตนอย่างมุทะลุอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหนักแน่นและสำรวมแทน  ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือว่า พวกเรามีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าและต่อพระราชกิจของพระองค์ได้ ต่อให้พระราชกิจไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พวกเขาก็มีความสามารถที่จะละวางมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้และนบนอบได้อย่างเต็มใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว)  พอได้อ่านบทนี้อีกครั้ง ฉันก็ซาบซึ้งได้อย่างแท้จริงว่าทางเดียวที่จะแก้ไขความโอหังของคนได้ คือยอมรับการถูกพิพากษา ตีสอน ตัดแต่ง และจัดการโดยพระเจ้า ความเสื่อมทรามโดยซาตานของเราหยั่งลึกมาก ดังนั้น ถ้าเราอาศัยแค่การอ่านพระวจนะของพระเจ้า และการไตร่ตรองส่วนตัว ความเข้าใจในตัวเองของพวกเราก็จะผิวเผิน และอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเราก็คงจะไม่เปลี่ยนแปลง หากฉันปราศจากการเปิดโปง การตัดแต่ง และการจัดการโดยพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันก็จะยังมั่นใจในตัวเองมากเกินไป และคิดว่าตัวเองพิเศษ ฉันคงจะไม่รู้จักตัวเองเลย ฉันก็คงไม่รู้จริงๆ ว่าตัวฉันโอหังมากแค่ไหน หรืออุปนิสัยแบบซาตานของตัวเองร้ายแรงแค่ไหน ตอนนี้ พอฉันคิดย้อนไปทุกอย่างที่เคยทำ ฉันก็รู้สึกละอายใจและเต็มไปด้วยความเสียใจค่ะ ฉันละอายที่จะคิดถึงมัน และไม่แม้แต่จะภูมิใจในตัวเองได้ แต่มันคือบทเรียนที่แสนเจ็บปวดอย่างแท้จริง ที่ทำให้ฉันได้เข้าใจในธรรมชาติที่โอหังของตัวเองขึ้นอีกนิด และได้รู้ว่าจุดไหนที่ฉันดูท่าจะสะดุดและล้มลง มันยังทำให้ฉันยำเกรงต่อพระเจ้าขึ้นมาบ้าง ฉันยังเห็นด้วยว่า ฉันขาดทั้งสภาพที่เป็นจริงของความจริง และหัวใจที่แสวงหาความจริงในหน้าที่ของตัวเองอย่างสิ้นเชิง ฉันทะนงตน ทำอะไรโดยพลการ และเป็นตัวขัดขวาง เปรียบเทียบกับพี่น้องชายหญิงที่มีความสามารถทั่วไป แต่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ฉันก็ไม่ได้พิเศษอะไรเลย ความโอหังของฉันไร้ซึ่งมูลความจริง หลังจากตระหนักได้ถึงทั้งหมดนี้ ฉันก็ถ่อมตัวในหน้าที่ของตัวเองมากขึ้นและไม่มั่นใจในตัวเองมากเกินไปอีกแล้ว ฉันตั้งใจฝึกวางตัวเองลง และปฏิเสธตัวเอง ฉันแสวงหาหลักปฏิบัติแห่งความจริงมากขึ้น และรับฟังเหล่าพี่น้องชายหญิงมากขึ้น ฉันเริ่มต้นการพูดคุยที่เปิดเผย เพื่อแก้ไขปัญหาใดๆ ก็ตามในคริสตจักร บางครั้งที่ฉันแสดงความโอหังขึ้นมาอีก หรือละเมิดต่อหลักปฏิบัติในหน้าที่ของตัวเอง ฉันก็จะวางตัวเองลง และยอมรับการตัดแต่งและการจัดการ เช่นเดียวกับคำชี้แนะและการช่วยเหลือของคนอื่นๆ เวลาผ่านไป ฉันรู้สึกว่าการปฏิบัติในทางนั้นมีประโยชน์มากๆ เพราะความเข้าใจในความจริงของฉันนั้นตื้นเขิน และฉันขาดความเข้าใจถ่องแท้ในหลายๆ เรื่อง ด้วยการทำงานร่วมกับเหล่าพี่น้องชายหญิง และทำให้มุมมองของทุกคนเป็นไปในแนวเดียวกัน ฉันก็สามารถเข้าใจในสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ด้วยการทำหน้าที่ของตัวเองในทางนั้น ฉันก็ได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้าโดยไม่ทันรู้ตัวค่ะ ฉันไม่ทำเรื่องผิดพลาดใหญ่โต หรือมีปัญหาใหญ่ๆ อีก และภายใต้การดูแลของเหล่าพี่น้องชายหญิง ธรรมชาติที่โอหังของฉันก็ถูกควบคุมในไม่ช้า การนำสิ่งนี้มาปฏิบัติ ได้มอบความรู้สึกแห่งสันติสุขและความสงบให้แก่ฉัน และฉันก็ทำสิ่งต่างๆ ด้วยความยโสที่น้อยลงเรื่อยๆ ครั้งหนึ่ง พี่สาวที่ทำงานอยู่ข้างๆ ฉันบอกว่า “จนถึงตอนนี้พี่ก็รู้จักเธอมาเกือบสองปีแล้ว เธอเคยเป็นคนที่โอหังมาก และคนอื่นก็มักรู้สึกว่าถูกเธอบีบบังคับเสมอ แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ” ณ จุดนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้เลยค่ะ ฉันเคยเป็นคนที่โอหังอย่างไม่น่าเชื่อเลย การเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยแบบนี้ ก็ไม่ได้มาง่ายๆ พอคิดย้อนไปถึงช่วงสองสามปีที่ผ่านมา การถูกตัดแต่งและจัดการถึงสองครั้งที่ไม่อาจลืมได้นั้น เป็นประโยชน์และเป็นผลดีกับฉันที่สุดค่ะ ถ้าฉันไม่ได้ผ่านเรื่องนั้นมา แม้ตอนนี้ ฉันก็แน่ใจว่าตัวเองก็คงไม่ได้มีความเป็นมนุษย์ที่เหมาะสม ฉันคงไม่คิดถึงพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย ฉันก็คงยืนอยู่บนหน้าผาที่อันตราย อยู่บนปากเหวแห่งการต่อต้านพระเจ้าตลอดเวลา ตอนนี้ฉันได้รู้อย่างแท้จริงแล้วว่า การถูกตัดแต่งและจัดการนั้นคือการคุ้มครองจากพระเจ้า และเป็นความรอดสำหรับฉันค่ะ

ก่อนหน้า: 67. การใช้ชีวิตอย่างคล้ายมนุษย์บ้างเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่แน่นอน

ถัดไป: 69. กลับสู่หนทางที่ถูกต้อง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger