ซ. ว่าด้วยวิธีที่จะสัมฤทธิ์การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว

415. สิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งจริงแท้ต้องรู้ว่าพระผู้สร้างคือใคร การทรงสร้างมนุษย์เป็นไปเพื่อประโยชน์อันใด วิธีดำเนินความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่ง และวิธีนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงต้องเข้าใจ จับความเข้าใจ รู้จัก และใส่ใจในเจตนารมณ์ ความปรารถนา และข้อเรียกร้องทั้งหลายของพระผู้สร้าง และต้องปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับทางแห่งพระผู้สร้าง—ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว

อะไรคือการยำเกรงพระเจ้า? และคนเราสามารถหลบเลี่ยงความชั่วได้อย่างไร?

“การยำเกรงพระเจ้า” ไม่ได้หมายถึงความตระหนกตกใจและความหวาดกลัวจนไร้คำบรรยาย และไม่ใช่การเลี่ยงหนี ไม่ใช่การอยู่ให้ห่างเข้าไว้ และนั่นไม่ใช่ความปลาบปลื้มหลงใหลหรือความเชื่อเหนือธรรมชาติ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น นั่นกลับเป็นความเลื่อมใส ความนับถือ ความไว้วางใจ ความเข้าใจ การใส่ใจ การเชื่อฟัง การปวารณาตน ความรัก รวมทั้งการนมัสการ การตอบแทน และความนบนอบโดยปราศจากเงื่อนไขและโดยไม่พร่ำบ่น โดยปราศจากความรู้อันถ่องแท้ในพระเจ้า มนุษยชาติจะไม่มีความนับถืออันจริงแท้ ความไว้วางใจอันจริงแท้ ความเข้าใจอันถ่องแท้ การใส่ใจหรือการเชื่อฟังอันจริงแท้ แต่จะมีเพียงความหวาดหวั่นครั่นคร้ามและความไม่สบายใจ มีเพียงความสงสัย ความเข้าใจผิด การเลี่ยงหนี และการหลีกเลี่ยง โดยปราศจากความรู้อันถ่องแท้ในพระเจ้า มนุษยชาติจะไม่มีการปวารณาตนและการตอบแทนอันจริงแท้ หากปราศจากความรู้อันถ่องแท้ในพระเจ้า มนุษยชาติจะไม่มีการนมัสการและความนบนอบอันจริงแท้ มีเพียงความปลาบปลื้มหลงใหลและความเชื่อเหนือธรรมชาติแบบไม่ลืมหูลืมตา หากปราศจากความรู้อันถ่องแท้ในพระเจ้า มนุษยชาติไม่อาจสามารถปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับทางแห่งพระเจ้า หรือยำเกรงพระเจ้า หรือหลบเลี่ยงมารได้ ในทางกลับกัน ทุกกิจกรรมและพฤติกรรมซึ่งมนุษย์กระทำนั้นจะเต็มไปด้วยการก่อการกบฏและการเยาะเย้ยท้าทาย เต็มไปด้วยการใส่ร้ายกล่าวหาและการตัดสินให้ร้ายเกี่ยวกับพระองค์ และเต็มไปด้วยการประพฤติชั่วซึ่งเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับความจริงและกับความหมายที่แท้จริงของพระวจนะของพระเจ้า

ทันทีที่มนุษยชาติมีความไว้วางใจอันจริงแท้ในพระเจ้า พวกเขาจะมีความจริงแท้ในการติดตามพระองค์และพึ่งพาพระองค์ ด้วยความไว้วางใจที่แท้จริงและการพึ่งพาที่มีต่อพระเจ้าเท่านั้น มนุษยชาติจึงสามารถมีความเข้าใจและการจับใจความอันถ่องแท้ได้ การจับใจความที่แท้จริงในพระเจ้ามาพร้อมกันกับการใส่ใจที่แท้จริงในพระองค์ ด้วยการใส่ใจอันจริงแท้ในพระเจ้าเท่านั้น มนุษยชาติจึงสามารถมีการเชื่อฟังอันจริงแท้ได้ ด้วยการเชื่อฟังอันจริงแท้ต่อพระเจ้าเท่านั้น มนุษยชาติจึงสามารถมีการปวารณาตนอันจริงแท้ได้ ด้วยการปวารณาตนอันจริงแท้ต่อพระเจ้าเท่านั้น มนุษยชาติจึงสามารถมีการตอบแทนแบบไม่มีเงื่อนไขและปราศจากคำพร่ำบ่นได้ ด้วยความไว้วางใจและการพึ่งพาอันจริงแท้ ความเข้าใจและการใส่ใจอันจริงแท้ ความเชื่อฟังอันจริงแท้ การปวารณาตนและการตอบแทนอันจริงแท้เท่านั้น มนุษยชาติจึงสามารถมารู้จักพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และมารู้จักพระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้าง จนเมื่อพวกเขาได้มารู้จักพระผู้สร้างอย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น มนุษยชาติจึงสามารถปลุกการนมัสการและความนบนอบอันจริงแท้ในตัวพวกเขาขึ้นมาได้ จนเมื่อพวกเขามีการนมัสการและความนบนอบอันจริงแท้ต่อพระผู้สร้างแล้วเท่านั้น มนุษยชาติจึงสามารถละวางวิถีชั่วทั้งหลายของพวกเขาลงได้อย่างแท้จริง นั่นคือ การหลบเลี่ยงความชั่ว

นี่เองที่ประกอบขึ้นเป็นกระบวนการอันครบถ้วนของ “การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงมาร” และยังเป็นเนื้อหาโดยครบถ้วนบริบูรณ์ของการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงมารเช่นกัน นี่คือเส้นทางซึ่งจะต้องถูกเดินข้ามไปเพื่อที่จะบรรลุซึ่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงมาร

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, คำนำ

416. แรกที่สุดพวกเรารู้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าคือพระบารมีและพระพิโรธ พระองค์ไม่ทรงเป็นแกะที่ถูกผู้ใดฆ่า นับประสาอะไรที่จะเป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยผู้คนให้ทำอะไรก็ได้ที่พวกเขาอยากให้ทำ พระองค์ไม่ทรงเป็นอากาศว่างเปล่าที่ถูกบงการอีกด้วย หากเจ้าเชื่ออย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และเจ้าควรรู้ว่าเนื้อแท้ของพระองค์ไม่ใช่เนื้อแท้ที่จะถูกทำให้โกรธ ความโกรธนี้อาจก่อเกิดโดยคำพูด หรือบางทีความคิด หรือบางทีพฤติกรรมเลวทรามบางอย่าง หรือบางทีแม้แต่พฤติกรรมเบาๆ—พฤติกรรมที่ให้ผ่านได้ในสายตาและจริยธรรมของพวกมนุษย์ หรือบางทีมันอาจจะถูกกระตุ้นโดยคำสอนหรือทฤษฎี อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เจ้าได้ทำให้พระเจ้าทรงพระพิโรธ โอกาสของเจ้าก็จะหายไป และวันสุดท้ายของเจ้าก็จะมาถึง นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัว! หากเจ้าไม่เข้าใจว่าพระเจ้าจะต้องไม่ทรงถูกทำให้ขุ่นเคือง เช่นนั้นแล้วบางทีเจ้าอาจไม่กลัวพระองค์ และบางทีเจ้าอาจกำลังทำให้พระองค์ทรงขุ่นเคืองเป็นกิจวัตร หากเจ้าไม่รู้วิธียำเกรงพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไร้ความสามารถที่จะยำเกรงพระเจ้า และเจ้าจะไม่รู้วิธีที่จะนำตัวเจ้าเองมาอยู่บนเส้นทางแห่งการเดินในหนทางของพระเจ้า—การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ทันทีที่เจ้ากลายเป็นไหวตัวรับรู้ และรู้สึกตัวว่าพระเจ้าต้องไม่ถูกทำให้ทรงขุ่นเคือง เจ้าก็จะรู้ว่าอะไรคือการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์

417. แม้ว่าเนื้อแท้ของพระเจ้าจะมีองค์ประกอบของความรักอยู่ด้วย และพระองค์ก็ทรงกรุณาต่อทุกๆ คน แต่ผู้คนก็ได้มองข้ามและลืมข้อเท็จจริงที่ว่าเนื้อแท้ของพระองค์นั้นเป็นเนื้อแท้แห่งความทรงเกียรติเช่นกัน การที่พระองค์ทรงมีความรักไม่ได้หมายความว่าผู้คนสามารถทำให้พระองค์ทรงขุ่นเคืองได้อย่างอิสระโดยไม่ทำให้พระองค์ทรงเกิดความรู้สึกทั้งหลายหรือปฏิกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่ง อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงมีความกรุณาก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่ทรงมีหลักการในการปฏิบัติต่อผู้คน พระเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ทรงดำรงอยู่อย่างแท้จริง พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นหุ่นเชิดที่จินตนาการขึ้นหรือวัตถุอื่นใด ในเมื่อพระองค์ทรงดำรงอยู่จริง พวกเราควรตั้งใจฟังเสียงของพระทัยของพระเจ้าตลอดเวลา ให้ความสนใจใกล้ชิดต่อท่าทีของพระองค์ และมาเข้าใจความรู้สึกทั้งหลายของพระองค์ พวกเราไม่ควรใช้จินตนาการของมนุษย์ในการนิยามพระเจ้า อีกทั้งพวกเราไม่ควรบังคับใช้ความคิดหรือความปรารถนาของมนุษย์กับพระองค์ โดยทำให้พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนในลักษณะของมนุษย์บนพื้นฐานของจินตนาการทั้งหลายของมนุษย์ หากเจ้าทำการนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทำให้พระเจ้ากริ้ว กระตุ้นพระพิโรธของพระองค์ และท้าทายความทรงเกียรติของพระองค์! ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่พวกเจ้าได้มาเข้าใจความรุนแรงของเรื่องนี้แล้ว เราขอรบเร้าให้พวกเจ้าทุกๆ คนระมัดระวังและรอบคอบในการกระทำของพวกเจ้า จงระมัดระวังและรอบคอบในวาทะของพวกเจ้าเช่นกัน—ในส่วนของวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อพระเจ้า ยิ่งเจ้าระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น! เมื่อเจ้าไม่เข้าใจว่าอะไรคือท่าทีของพระเจ้า จงงดเว้นการพูดอย่างประมาท จงอย่าประมาทในการกระทำของเจ้า และจงอย่าใช้ป้ายฉลากด้วยความฉาบฉวย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น จงอย่ามาทำข้อสรุปตามอำเภอใจ เจ้าควรรอและแสวงหาแทน การกระทำเหล่านี้ก็เป็นการแสดงออกถึงการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใด หากเจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้ และเหนือสิ่งอื่นใด หากเจ้ามีท่าทีเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงโทษเจ้าเพราะความโง่ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการขาดความเข้าใจในเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสิ่งทั้งหลายของเจ้า ตรงกันข้าม เนื่องจากท่าทีของเจ้าเกี่ยวกับความกลัวต่อการทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง ความเคารพต่อเจตนารมณ์ของพระองค์ และความเต็มใจที่จะเชื่อฟังพระองค์ พระเจ้าก็จะทรงจดจำเจ้า ทรงนำทางและทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า หรือทรงยอมผ่อนปรนต่อความไม่เป็นผู้ใหญ่และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเจ้า ในทางกลับกัน หากท่าทีของเจ้าต่อพระองค์นั้นไม่มีความเคารพ—ตัดสินพระองค์ตามที่เจ้าปรารถนา หรือเดาและนิยามแนวคิดของพระองค์ตามอำเภอใจ—พระเจ้าก็จะทรงกล่าวโทษเจ้า บ่มวินัยเจ้า และแม้กระทั่งลงโทษเจ้า หรือพระองค์อาจประทานความเห็นเกี่ยวกับเจ้า บางที ความเห็นนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับบทอวสานของเจ้า เพราะฉะนั้นเราปรารถนาที่จะเน้นอีกครั้ง กล่าวคือ พวกเจ้าแต่ละคนควรระมัดระวังและรอบคอบเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระเจ้า จงอย่าพูดอย่างประมาท และจงอย่าประมาทในการกระทำของพวกเจ้า ก่อนที่เจ้าจะพูดสิ่งใด เจ้าควรหยุดและคิดว่า การกระทำครั้งนี้ของฉันจะทำให้พระเจ้ากริ้วหรือไม่? ในการทำสิ่งนั้น ฉันกำลังเคารพพระเจ้าอยู่หรือไม่? แม้ในเรื่องที่เรียบง่าย เจ้าควรพยายามขบคำถามเหล่านี้ให้แตก และใช้เวลามากขึ้นในการพิจารณาคำถามเหล่านี้ หากเจ้าสามารถฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับหลักการเหล่านี้ได้อย่างแท้จริงในทุกๆ ด้าน ในทุกๆ สิ่ง ตลอดเวลา และนำท่าทีเช่นนี้ไปใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าไม่เข้าใจบางสิ่ง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงนำทางเจ้าและทรงให้เส้นทางให้เจ้าติดตาม

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์

418. เราจะเตือนสติให้พวกเจ้ามีความเข้าใจในเนื้อหาของประกาศกฤษฎีกาบริหารมากขึ้น และให้พยายามทำความรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า หากไม่เช่นนั้น พวกเจ้าคงห้ามปากตัวเองให้ปิดสนิทได้อย่างลำบากยากเย็น ลิ้นของพวกเจ้าคงตวัดอย่างอิสระเกินไปกับการพูดคุยให้ฟังดูสูงส่ง แล้วเจ้าก็จะทำให้เป็นที่ขุ่นเคืองต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และร่วงลงสู่ความมืดมิด สูญเสียการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์และความสว่าง เพราะพวกเจ้าไม่มีหลักธรรมในการกระทำทั้งหลาย เพราะเจ้าทำและพูดในสิ่งที่ไม่ควร เจ้าจะต้องได้รับการลงทัณฑ์อันสาสม เจ้าควรรู้ว่าแม้เจ้าจะไม่มีหลักธรรมในคำพูดและความประพฤติ แต่พระเจ้าทรงมีหลักธรรมสูงส่งในทั้งสองสิ่ง เหตุผลที่เจ้าได้รับการลงทัณฑ์อันสาสมก็เพราะเจ้าได้กระทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง ไม่ใช่ต่อบุคคลคนหนึ่ง หากในชีวิตของเจ้า เจ้าได้กระทำให้เป็นที่ขุ่นเคืองต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้าหลายครั้งหลายครา เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมต้องกลายไปเป็นลูกหลานแห่งนรกอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้ สำหรับมนุษย์แล้ว อาจปรากฎเหมือนว่า เจ้าแค่ได้กระทำความประพฤติที่ไม่ลงรอยกับความจริงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น เจ้าได้ตระหนักรู้หรือไม่ว่า ไม่ว่าอย่างไรในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าได้กลายเป็นใครบางคนที่ไม่มีเครื่องบูชาลบล้างบาปจะมอบให้อีกแล้ว เพราะเจ้าได้ฝ่าฝืนประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าเกินกว่าหนึ่งครั้ง และยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่ได้แสดงสัญญาณของการกลับใจใหม่เลย ไม่มีตัวช่วยอื่นอีกแล้วสำหรับเจ้า มีก็แต่การดิ่งพรวดลงสู่นรกที่ซึ่งพระเจ้าจะทำการลงโทษมนุษย์เท่านั้นเอง ผู้คนจำนวนน้อยนิดได้กระทำความประพฤติบางอย่างที่ฝ่าฝืนหลักการทั้งหลายในขณะที่กำลังติดตามพระเจ้า แต่หลังจากได้รับการจัดการและให้การทรงนำ พวกเขาก็ค่อยๆ ค้นพบความเสื่อมทรามของตนเอง หลังจากนั้นก็ได้เข้าสู่ไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องของความเป็นจริง และพวกเขายังคงอยู่อย่างรู้แจ้งเห็นจริงมาจนถึงปัจจุบัน ผู้คนเช่นนั้นคือพวกที่จะคงอยู่ในตอนสุดท้าย กระนั้น ความซื่อสัตย์ต่างหากที่เราแสวงหา หากเจ้าเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และเป็นใครคนหนึ่งซึ่งปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับหลักธรรม เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถเป็นคนไว้ใจคนหนึ่งของพระเจ้าได้ หากในการกระทำของเจ้า เจ้าไม่ได้กระทำให้เป็นที่ขุ่นเคืองต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้า และแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า และมีหัวใจที่เคารพพระเจ้า เมื่อนั้นความเชื่อของเจ้าย่อมขึ้นถึงมาตรฐาน ผู้ใดก็ตามที่ไม่เคารพพระเจ้าและไม่มีหัวใจที่สั่นรัวด้วยความยำเกรง มีทีท่าสูงมากที่จะฝ่าฝืนประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า หลายคนรับใช้พระเจ้าด้วยจุดแข็งของความปรารถนาอันแรงกล้าของพวกเขา แต่ไม่มีความเข้าใจในประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าเลย ที่ยิ่งน้อยกว่านั้นก็คือ ความเฉลียวใจอันใดต่อการแสดงนัยแห่งพระวจนะของพระองค์ และดังนั้น ด้วยเจตนาดีของพวกเขา บ่อยครั้งที่พวกเขาลงเอยตรงการทำสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นการขัดจังหวะการบริหารจัดการของพระเจ้า ในกรณีที่รุนแรง พวกเขาถูกขว้างทิ้งออกไปเลย ถูกตัดขาดจากโอกาสอันใดในภายภาคหน้าที่จะได้ติดตามพระองค์ และถูกขับลงสู่นรก ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ทั้งหมดที่มีต่อพระนิเวศของพระเจ้าเป็นอันจบสิ้นลง ผู้คนเหล่านี้ทำงานในพระนิเวศของพระเจ้าด้วยจุดแข็งของเจตนาดีแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และจบลงด้วยการสร้างโทสะให้กับพระอุปนิสัยของพระเจ้า ผู้คนนำพาหนทางของการรับใช้พวกข้าราชการและบรรดาเจ้านายทั้งหลายมาใช้ในพระนิเวศของพระเจ้า และพยายามที่จะทำให้หนทางเหล่านั้นเข้ามามีบทบาท โดยการคิดอย่างไร้ประโยชน์ว่า หนทางเหล่านั้นจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับที่นี่ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม พวกเขาไม่เคยจินตนาการว่าพระเจ้ามิใช่ทรงมีพระอุปนิสัยของลูกแกะ แต่เป็นอุปนิสัยของราชสีห์ เพราะฉะนั้น บรรดาผู้ที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นครั้งแรกจึงไม่สามารถสื่อสารกับพระองค์ได้เลย ด้วยพระหฤทัยของพระเจ้านั้นไม่เหมือนหัวใจมนุษย์ เฉพาะหลังจากที่เจ้าเข้าใจความจริงหลากหลายประการแล้วเท่านั้น เจ้าจึงสามารถมารู้จักพระเจ้ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความรู้นี้ไม่ใช่ประกอบไปด้วยพระวจนะหรือคำสอนทั้งหลาย แต่ก็สามารถนำไปใช้เป็นเสมือนขุมทรัพย์ที่จะเป็นวิถีทางให้เจ้าได้เข้าไปสู่ความไว้ใจใกล้ชิดกับพระเจ้า และใช้เป็นสิ่งพิสูจน์ว่า พระองค์ทรงปีติยินดีในตัวเจ้า หากเจ้าขาดพร่องความเป็นจริงของความรู้ และไม่มีความจริงติดตัว เช่นนั้นแล้ว การปรนนิบัติอันเปี่ยมปรารถนาอย่างแรงกล้าของเจ้าย่อมทำได้เพียงนำความเกลียดและความชิงชังจากพระเจ้ามาสู่ตัวเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ

419. หากเจ้าไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้สำหรับเจ้าที่จะทำงานที่เจ้าควรทำเพื่อพระองค์ หากเจ้าไม่รู้จักเนื้อแท้ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้สำหรับเจ้าที่จะมีความเคารพและความยำเกรงต่อพระองค์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จะมีเพียงความฉาบฉวยและความกลับกลอกอย่างเลินเล่อเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นคือ การหมิ่นประมาทซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ แม้ว่าการทำความเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญอย่างแท้จริง และการรู้จักเนื้อแท้ของพระเจ้าก็ไม่สามารถมองข้ามไปได้ แต่ไม่เคยมีใครตรวจดูหรือเจาะลึกเข้าไปในปัญหาเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน เห็นได้ชัดแจ้งว่าพวกเจ้าได้เมินเฉยต่อประกาศกฤษฎีกาบริหารที่เราได้บัญญัติขึ้นทั้งหมด หากพวกเจ้าไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะมีแนวโน้มอย่างมากที่จะทำให้ขุ่นเคืองต่อพระอุปนิสัยของพระองค์ การทำให้ขุ่นเคืองต่อพระอุปนิสัยของพระองค์ก็เท่ากับการยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้าพระองค์เอง ซึ่งเป็นกรณีที่ผลลัพธ์สุดท้ายของการกระทำต่างๆ ของเจ้าจะเป็นการละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหาร บัดนี้ เจ้าควรตระหนักว่า เมื่อเจ้ารู้จักเนื้อแท้ของพระเจ้า เจ้าก็จะสามารถเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์ได้เช่นกัน—และเมื่อเจ้าเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์ เจ้าก็จะได้เข้าใจประกาศกฤษฎีกาบริหารแล้วเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องพูดว่า มีสิ่งใดมากมายอยู่ภายในประกาศกฤษฎีกาบริหารที่เกี่ยวข้องกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า แต่พระอุปนิสัยของพระองค์ไม่ได้ถูกแสดงออกมาทั้งหมดภายในประกาศกฤษฎีกาบริหารเหล่านั้น ดังนั้น เจ้าจะต้องขยับไปอีกหนึ่งก้าวเพื่อพัฒนาความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสำคัญมาก

420. พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และเฉกเช่นเดียวกับที่ผู้คนประพฤติตนแตกต่างกันในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ท่าทีของพระองค์ต่อพฤติกรรมเหล่านี้ก็แตกต่างกันเพราะพระองค์ไม่ทรงเป็นทั้งหุ่นเชิดและอากาศว่างเปล่า การทำความรู้จักกับท่าทีของพระเจ้าคือการไล่ตามเสาะหาที่คุ้มค่าสำหรับมวลมนุษย์ โดยการรู้จักท่าทีของพระเจ้า ผู้คนควรจะได้เรียนรู้วิธีที่พวกเขาสามารถบรรลุความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า และมาเข้าใจพระทัยของพระองค์ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อเจ้าค่อยๆ มาเข้าใจพระทัยของพระเจ้า เจ้าก็จะไม่รู้สึกว่าการยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่วเป็นสิ่งยากยิ่งที่จะทำให้สำเร็จลุล่วง ยิ่งกว่านั้น เมื่อเจ้าเข้าใจพระเจ้าจริงๆ เจ้าก็จะไม่มีแนวโน้มที่จะสร้างบทสรุปทั้งหลายเกี่ยวกับพระองค์ ทันทีที่เจ้าหยุดสร้างข้อสรุปเกี่ยวกับพระเจ้า เจ้าก็จะมีแนวโน้มน้อยลงที่จะทำให้พระองค์ทรงขุ่นเคือง และโดยที่เจ้าไม่ตระหนักรู้ พระเจ้าจะทรงนำทางเจ้าให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับพระองค์ การนี้จะเติมเต็มหัวใจของเจ้าด้วยความเคารพต่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะหยุดนิยามพระเจ้าโดยผ่านทางคำสอน ความหมายตามตัวอักษร และทฤษฎีทั้งหลายที่เจ้าได้ศึกษาจนเชี่ยวชาญ แต่โดยการแสวงหาจนพบเจตนารมณ์ทั้งหลายของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่งอย่างสม่ำเสมอ เจ้าก็จะกลายเป็นบุคคลที่สมดังพระทัยของพระเจ้าโดยไม่รู้สึกตัว

พระราชกิจของพระเจ้านั้นพวกมนุษย์มองไม่เห็นและไม่สามารถแตะต้องได้ แต่ในความคิดเห็นของพระองค์ การกระทำของบุคคลทุกๆ คน—พร้อมกับท่าทีของพวกเขาต่อพระองค์—ไม่เพียงสามารถล่วงรู้ได้โดยพระเจ้า แต่ยังสามารถมองเห็นได้สำหรับพระองค์อีกด้วย นี่คือบางสิ่งที่ทุกคนควรระลึกและชัดเจนอย่างมาก เจ้าอาจกำลังถามตัวเองอยู่เสมอว่า “พระเจ้าทรงรู้หรือไม่ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ที่นี่? พระองค์ทรงรู้หรือไม่ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้? บางทีพระองค์อาจทรงรู้ และบางทีพระองค์อาจไม่ทรงรู้” หากเจ้ายอมรับทัศนคติแบบนี้ ติดตามและเชื่อในพระเจ้า แต่ยังแคลงใจในพระราชกิจของพระองค์และการทรงดำรงอยู่ของพระองค์ เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็ววันหนึ่งจะมาถึง เมื่อเจ้าจะปลุกเร้าพระพิโรธของพระองค์ เพราะเจ้ากำลังเดินโซเซอยู่บนขอบหน้าผาอันตราย เราได้เห็นผู้คนที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่ยังคงไม่ได้รับความจริงความเป็นจริง นับประสาอะไรที่จะได้เข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ไม่สร้างความก้าวหน้าในชีวิตและวุฒิภาวะของพวกเขา โดยยึดติดกับคำสอนที่ตื้นเขินที่สุดเท่านั้น นี่เป็นเพราะผู้คนเช่นนี้ไม่เคยถือว่าพระวจนะของพระเจ้าคือชีวิตในตัวเอง และพวกเขาไม่เคยเผชิญหน้าและยอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระองค์ เจ้าคิดหรือไม่ว่าเมื่อทรงเห็นผู้คนเช่นนี้ พระเจ้าจะทรงเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี? พวกเขาปลอบพระทัยพระองค์หรือไม่? ด้วยเหตุนี้จึงเป็นวิธีที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้านั่นเองที่ตัดสินโชคชะตาของพวกเขา ในส่วนของวิธีที่ผู้คนแสวงหา และวิธีที่ผู้คนเข้าหาพระเจ้า ท่าทีของผู้คนมีความสำคัญอันดับแรก จงไม่เพิกเฉยต่อพระเจ้าเหมือนพระองค์ทรงเป็นเพียงอากาศว่างเปล่าก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่รอบๆ ที่ด้านหลังของหัวเจ้า จงคิดถึงพระเจ้าที่เจ้าเชื่อในฐานะพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าที่เป็นจริงเสมอ พระองค์ไม่ได้กำลังประทับอยู่บนนั้นในสวรรค์ชั้นที่สามโดยไม่มีสิ่งใดให้ทรงทำ ตรงกันข้ามพระองค์กำลังทรงเฝ้ามองหัวใจของทุกคน ทรงสังเกตการณ์สิ่งที่เจ้าคิดจะทำ ทรงเฝ้ามองทุกคำพูดเล็กน้อยและทุกความประพฤติเล็กน้อยของพวกเจ้า ทรงเฝ้าดูว่าเจ้าประพฤติตนอย่างไร และทรงเห็นว่าอะไรคือท่าทีของเจ้าต่อพระองค์ อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจมอบตัวเองให้กับพระเจ้าหรือไม่ พฤติกรรมของเจ้าทั้งหมดและความคิดและแนวคิดข้างในสุดของเจ้าถูกแผ่วางเฉพาะพระพักตร์พระองค์และกำลังถูกพระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์ เนื่องจากพฤติกรรมของเจ้า เนื่องจากความประพฤติของเจ้า และเนื่องจากท่าทีของเจ้าต่อพระองค์ ข้อคิดเห็นของพระเจ้าเกี่ยวกับเจ้า และท่าทีของพระองค์ต่อเจ้าจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราอยากจะให้คำแนะนำบางอย่างแก่ผู้คนบางคนว่า จงไม่วางตัวของเจ้าเองเหมือนเด็กทารกในพระหัตถ์ของพระเจ้า ราวกับว่าพระองค์ควรทรงหลงใหลเจ้า ราวกับว่าพระองค์ไม่มีวันทรงสามารถจากเจ้าไป และราวกับว่าท่าทีของพระองค์ต่อเจ้าได้ถูกกำหนดตายตัวแล้วและไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเราขอแนะนำให้เจ้าเลิกฝัน! พระเจ้าทรงชอบธรรมในการที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกๆ บุคคล และพระองค์ทรงจริงจังในวิธีการเข้าหาของพระองค์ในพระราชกิจแห่งการพิชิตและช่วยผู้คนให้รอด นี่คือการบริหารจัดการของพระองค์ พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกๆ คนอย่างจริงจัง และไม่ใช่เหมือนสัตว์เลี้ยงที่จะเล่นด้วย ความรักของพระเจ้าต่อพวกมนุษย์นั้นไม่ใช่แบบที่เอาใจหรือตามใจ อีกทั้งความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ก็ไม่ตามใจและไม่เพิกเฉย ในทางตรงกันข้าม ความรักของพระเจ้าต่อพวกมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับการทะนุถนอม การสงสาร และการเคารพชีวิต ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระองค์สื่อถึงความคาดหวังของพระองค์ต่อพวกเขา และเป็นสิ่งที่มนุษยชาติต้องการเพื่อที่จะอยู่รอด พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริง ท่าทีของพระองค์ต่อมวลมนุษย์นั้นมีหลักการ ไม่ใช่กฎกติกามากมายแต่อย่างใด และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เจตนารมณ์ของพระองค์ต่อมนุษยชาติกำลังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและแปลงสภาพไปตามกาลเวลา ขึ้นอยู่กับรูปการณ์แวดล้อมขณะที่เกิดขึ้น และพร้อมกับท่าทีของทุกๆ บุคคล เพราะฉะนั้น เจ้าควรรู้ในหัวใจของเจ้าด้วยความชัดเจนอย่างแท้จริงว่าเนื้อแท้ของพระเจ้านั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และพระอุปนิสัยของพระองค์จะปรากฏออกมาในเวลาที่ต่างกันและในบริบทที่แตกต่างกัน เจ้าอาจไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องจริงจัง และเจ้าอาจใช้มโนคติที่หลงผิดส่วนตัวของเจ้าเองเพื่อจินตนาการว่าพระเจ้าควรทรงทำสิ่งทั้งหลายอย่างไร อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่ทัศนคติขั้วตรงข้ามของเจ้าเป็นจริง และด้วยการใช้มโนคติที่หลงผิดส่วนตัวของเจ้าเองเพื่อพยายามวัดพระเจ้า เจ้าก็ได้ทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธแล้ว นี่เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงดำเนินการตามวิธีที่เจ้าคิดว่าพระองค์ทรงทำ อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงปฏิบัติต่อเรื่องนี้เหมือนที่เจ้าบอกว่าพระองค์จะทรงทำ ด้วยเหตุนี้ เราเตือนความจำเจ้าให้ระมัดระวังและรอบคอบในการเข้าหาทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเจ้า และเรียนรู้วิธีปฏิบัติตามหลักการแห่งการเดินในทางของพระเจ้าในสรรพสิ่ง ซึ่งก็คือการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เจ้าต้องพัฒนาความเข้าใจที่มั่นคงโดยคำนึงถึงเรื่องทั้งหลายเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าและท่าทีของพระเจ้า เจ้าต้องหาผู้คนที่รู้แจ้งเพื่อสื่อสารเรื่องเหล่านี้กับเจ้า และเจ้าต้องแสวงหาอย่างจริงจัง จงไม่มองดูพระเจ้าแห่งการเชื่อของเจ้าในฐานะหุ่นเชิด—ตัดสินพระองค์ตามอำเภอใจ มาถึงข้อสรุปเกี่ยวกับพระองค์โดยพลการ และไม่ปฏิบัติต่อพระองค์ด้วยความเคารพที่พระองค์ทรงสมควรได้รับ ในขณะที่พระเจ้ากำลังทรงนำพาความรอดมาให้เจ้าและกำหนดพิจารณาบทอวสานของเจ้า พระองค์อาจประทานความกรุณา หรือความยอมผ่อนปรน หรือการพิพากษาและการตีสอนแก่เจ้า แต่ไม่ว่าในกรณีใด ท่าทีของพระองค์ต่อเจ้าจะไม่ตายตัว มันขึ้นอยู่กับท่าทีของเจ้าเองต่อพระองค์ ตลอดจนความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์

421. ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าโดยจริงแท้มักจะมีพระองค์อยู่ในหัวใจของพวกเขาตลอดเวลา และพวกเขาจะพกพาหัวใจที่เคารพพระเจ้า หัวใจที่รักพระเจ้า ไว้ภายในพวกเขาเสมอ บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรทำสิ่งต่างๆ อย่างสุขุมและรอบคอบ และทุกอย่างที่พวกเขาทำควรสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและสามารถทำให้สมดังพระทัยของพระองค์ได้ พวกเขาไม่ควรดื้อรั้น กระทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาพอใจ ที่ไม่เหมาะสมกับมารยาทอย่างวิสุทธิชน ผู้คนต้องไม่ก่อความวุ่นวาย โบกธงของพระเจ้าไปทั่วทุกแห่งในขณะที่กรีดกรายและฉ้อโกงไปทุกที่ นี่คือความประพฤติชนิดที่เป็นกบฏมากที่สุด ครอบครัวทั้งหลายมีกฎของตนเอง และชนชาติทั้งหลายก็มีกฎหมายของตน—และจะไม่มีมากกว่านั้นหรือในพระนิเวศของพระเจ้า? มาตรฐานต่างๆ จะไม่เข้มงวดยิ่งกว่าหรือ? จะไม่มีประกาศกฤษฎีกาบริหารมากยิ่งกว่าหรือ? ผู้คนมีอิสระที่จะทำสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่ประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตามใจชอบได้ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งไม่ทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองจากมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งทำให้ผู้คนถึงแก่ความตาย ผู้คนไม่ได้รู้สิ่งนี้อยู่แล้วจริงๆ หรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง

422. ในทุกยุค ขณะที่ทรงพระราชกิจท่ามกลางพวกมนุษย์ พระเจ้าประทานพระวจนะบางคำให้กับพวกเขาและทรงบอกความจริงบางประการแก่พวกเขา ความจริงเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นหนทางที่ผู้คนควรยึดติด เป็นหนทางที่พวกเขาควรจะเดินไปข้างใน เป็นหนทางที่ทำให้พวกเขาสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และเป็นหนทางที่ผู้คนควรนำไปฝึกฝนปฏิบัติและยึดติดในชีวิตของพวกเขาและตลอดครรลองแห่งการเดินทางแห่งชีวิตของพวกเขา เป็นเพราะเหตุผลเหล่านี้นั่นเองพระเจ้าจึงทรงแสดงถ้อยดำรัสเหล่านี้ต่อมนุษยชาติ พระวจนะเหล่านี้ซึ่งมาจากพระเจ้าควรได้รับการยึดติดโดยผู้คน และการยึดติดในพระวจนะเหล่านี้คือการรับชีวิตเอาไว้ หากบุคคลผู้หนึ่งไม่ยึดติดในพระวจนะเหล่านี้ ไม่นำพระวจนะเหล่านี้ไปฝึกฝนปฏิบัติ และไม่ดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา เช่นนั้นแล้วบุคคลผู้นี้ก็จะไม่ได้กำลังนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้คนไม่ได้กำลังนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ได้กำลังยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว อีกทั้งไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ ผู้คนที่ไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ไม่สามารถรับคำสรรเสริญของพระองค์ได้ และผู้คนเช่นนี้ก็จะไม่มีบทอวสาน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์

423. การเดินในทางของพระเจ้านั้นไม่ได้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎอันผิวเผินทั้งหลายตรงกันข้ามกลับหมายความว่าเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับปัญหา เจ้ามีทรรศนะว่าเหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นสถานการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้แล้ว เป็นความรับผิดชอบที่พระองค์ประทานให้แก่เจ้า หรือภารกิจที่พระองค์วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหานี้ เจ้าควรถึงกับเห็นว่านั่นเป็นการทดสอบที่พระเจ้าทรงใส่ให้กับเจ้า เมื่อเจ้าประสบกับปัญหานี้ เจ้าต้องมีมาตรฐานในหัวใจของเจ้า และเจ้าต้องคิดว่าเรื่องนี้ได้มาจากพระเจ้า เจ้าต้องคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับมันในหนทางที่เจ้าสามารถทำให้ความรับผิดชอบของเจ้าลุล่วง ในขณะที่ยังคงจงรักภักดีต่อพระเจ้า ตลอดจนวิธีที่จะทำเช่นนั้นโดยไม่ทำให้พระองค์กริ้วหรือทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์ทรงขุ่นเคือง…นี่เป็นเพราะเพื่อที่จะยังอยู่ในทางของพระเจ้า พวกเราไม่สามารถปล่อยสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับพวกเราหรือรอบตัวพวกเราไป แม้กระทั่งสิ่งเล็กน้อย ไม่ว่าพวกเราจะคิดว่าพวกเราควรให้ความสนใจกับมันหรือไม่ ตราบใดที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าเรื่องใดก็ตาม พวกเราจะต้องไม่ปล่อยมันไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นควรถูกมองว่าเป็นการทดสอบที่พระเจ้าได้ทรงมอบแก่พวกเรา เจ้าคิดอะไรเกี่ยวกับวิธีมองสิ่งทั้งหลายวิธีนี้? หากเจ้ามีท่าทีแบบนี้ เช่นนั้นแล้ว มันจะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงข้อหนึ่ง กล่าวคือ ลึกลงไปนั้น เจ้ายำเกรงพระเจ้าและเต็มใจหลบเลี่ยงความชั่ว หากเจ้ามีความพึงปรารถนานี้ที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้านำไปฝึกฝนปฏิบัติจะไม่อยู่ไกลมากนักจากการตอบสนองต่อมาตรฐานแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว

บ่อยครั้งที่มีพวกที่เชื่อว่า เรื่องทั้งหลายที่ผู้คนไม่ค่อยให้ความสนใจมากนักและมักจะไม่พาดพิงถึงนั้น เป็นแต่เพียงเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหาเช่นนี้ ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับมัน แล้วพวกเขาก็ปล่อยให้มันผ่านไป อย่างไรก็ตาม โดยข้อเท็จจริงแล้วเรื่องนี้เป็นบทเรียนที่เจ้าควรศึกษา—บทเรียนเกี่ยวกับวิธีที่จะยำเกรงพระเจ้าและวิธีที่จะหลบเลี่ยงความชั่ว ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เจ้าควรกังวลสนใจยิ่งขึ้นไปอีกคือการรู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงทำอะไรเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นมาเผชิญหน้ากับเจ้า พระเจ้าทรงอยู่ข้างเจ้านั่นเอง กำลังทรงสังเกตการณ์ทุกคำพูดและการกระทำของเจ้า และกำลังทรงเฝ้าดูทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำและการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นในความคิดของเจ้า—นี่คือพระราชกิจของพระเจ้า ผู้คนบางคนถามว่า “หากนั่นเป็นจริง เช่นนั้นแล้วเหตุใดฉันจึงไม่รู้สึก?” เจ้าไม่รู้สึกเพราะเจ้ายังไม่ได้ยึดติดหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเป็นหนทางปฐมของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถสำนึกรับรู้ได้ถึงพระราชกิจอันแนบเนียนที่พระเจ้าทรงทำในผู้คน ซึ่งสำแดงตัวโดยสอดคล้องกับความคิดและการกระทำอันหลากหลายของผู้คน เจ้าเป็นคนสติแตก! อะไรเล่าที่เป็นเรื่องใหญ่? อะไรเล่าที่เป็นเรื่องเล็ก? เรื่องทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการเดินในทางของพระเจ้าไม่ได้ถูกแยกระหว่างเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก แต่พวกเจ้าสามารถยอมรับนั่นได้ไหม? (พวกเราสามารถยอมรับได้) ในด้านของเรื่องประจำวันทั้งหลาย มีบางเรื่องที่ผู้คนมองว่าเป็นเรื่องใหญ่และมีนัยสำคัญมาก และเรื่องอื่นๆ ที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็กไร้สาระ บ่อยครั้งที่ผู้คนเห็นว่าเรื่องใหญ่เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญมาก และพวกเขาพิจารณาว่าเรื่องเหล่านั้นได้ถูกพระเจ้าทรงส่งมา อย่างไรก็ตามเมื่อเรื่องใหญ่เหล่านี้แสดงบทบาทออกมา บ่อยครั้งที่ผู้คนไปไม่ถึงการทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วง ไม่สามารถได้รับวิวรณ์ใด และไม่สามารถได้รับความรู้จริงแท้ใดที่มีคุณค่า ก็เพราะวุฒิภาวะที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ของผู้คนและเพราะขีดความสามารถที่ต่ำของพวกเขา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเล็กแล้ว เรื่องเหล่านี้เพียงแค่ถูกผู้คนมองข้ามและถูกทิ้งให้เลือนหายไปทีละนิดทีละน้อย เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คนจึงได้สูญเสียโอกาสมากมายที่จะได้รับการตรวจดูเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและได้รับการทดสอบโดยพระองค์ มันหมายความว่ากระไรเล่า หากเจ้ามักมองข้ามผู้คน เหตุการณ์และวัตถุและสถานการณ์ทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้าเสมอ? มันหมายความว่าทุกวัน และแม้กระทั่งทุกชั่วขณะ เจ้ากำลังตัดขาดจากการที่พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม ตลอดจนภาวะผู้นำของพระองค์อยู่เป็นนิตย์ เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์ให้กับเจ้า พระองค์กำลังทรงเฝ้าดูอย่างลับๆ ทรงมองดูหัวใจของเจ้า ทรงสังเกตการณ์ความคิดและความสุขุมรอบคอบของเจ้า ทรงเฝ้าดูว่าเจ้าคิดอย่างไร และทรงรอดูว่าเจ้าจะปฏิบัติตัวอย่างไร หากเจ้าเป็นคนประมาท—คนที่ไม่เคยจริงจังกับทางของพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ หรือความจริง—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ใส่ใจหรือให้ความสนใจกับสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะทำให้ครบบริบูรณ์ หรือข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงคาดหมายให้เจ้าสนองในคราที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมเฉพาะบางอย่างสำหรับเจ้า และเจ้าก็จะไม่รู้ว่าผู้คน เหตุการณ์ และวัตถุทั้งหลายที่เจ้าประสบเกี่ยวเนื่องกับความจริงหรือน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างไร หลังจากที่เจ้าเผชิญหน้ากับรูปการณ์แวดล้อมซ้ำๆ และการทดสอบซ้ำๆ เช่นนี้ โดยที่พระเจ้าไม่ทรงเห็นผลลัพธ์ใดๆ ในตัวเจ้าแล้ว พระองค์จะทรงดำเนินหน้าต่อไปอย่างไรเล่า? หลังจากได้เผชิญหน้ากับการทดสอบซ้ำๆ เจ้าก็ยังไม่ได้ขยายพระเจ้ายิ่งใหญ่ในหัวใจของเจ้า ทั้งยังไม่ได้เห็นรูปการณ์แวดล้อมที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้าในสิ่งที่พวกมันเป็น นั่นคือ การทดสอบและการตรวจสอบจากพระเจ้า แต่ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้ากลับได้ปฏิเสธโอกาสที่พระเจ้าได้ประทานให้เจ้าแทน โดยปล่อยให้โอกาสผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ไม่ใช่การไม่เชื่อฟังอย่างสุดขีดที่ผู้คนแสดงให้เห็นหรอกหรือ? (ใช่สิ) พระเจ้าจะทรงรู้สึกเจ็บปวดเพราะเหตุนี้หรือไม่? (พระองค์จะทรงรู้สึก) พระเจ้าจะไม่ทรงรู้สึกเจ็บปวด! การได้ยินเราพูดการนี้ทำให้พวกเจ้าตกใจอีกครั้ง พวกเจ้าอาจกำลังคิดว่า “ไม่ได้มีการพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้วหรือว่าพระเจ้าทรงรู้สึกเจ็บปวดเสมอ? ดังนั้นพระเจ้าจะไม่ทรงรู้สึกเจ็บปวดหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้วเมื่อใดเล่าที่พระองค์ทรงรู้สึกเจ็บปวด?” โดยสังเขปแล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงรู้สึกเจ็บปวดในสถานการณ์นี้ ดังนั้นเช่นนั้นแล้ว ท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อพฤติกรรมประเภทที่ระบุไว้คร่าวๆ ข้างต้นนั้นคืออะไรเล่า? เมื่อผู้คนปฏิเสธการทดสอบและการตรวจสอบที่พระเจ้าทรงส่งให้พวกเขา และเมื่อพวกเขาหลบเลี่ยงทั้งสองอย่างนั้น มีเพียงท่าทีเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเช่นนี้ นี่คือท่าทีอะไรกันเล่า? พระเจ้าทรงผลักไสบุคคลแบบนี้จากก้นบึ้งพระทัยของพระองค์ มีความหมายสองชั้นสำหรับคำว่า “ผลักไส” เราควรอธิบายอย่างไรดีจากทัศนคติของเรา ลึกๆ แล้วคำว่า “ผลักไส” มีนัยยะของความเกลียดและความเกลียดชัง แล้วความหมายอีกชั้นหนึ่งเล่า? นั่นก็คือส่วนที่แสดงนัยของการยอมแพ้ในบางสิ่ง พวกเจ้าทั้งหมดรู้ว่า “ยอมแพ้” หมายถึงอะไรใช่หรือไม่? โดยสรุปแล้ว “ผลักไส” คือคำที่เป็นตัวแทนของปฏิกิริยาและท่าทีท้ายสุดของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้คนเหล่านั้นที่กำลังประพฤติตัวเช่นนั้น เป็นความเกลียดชังสุดขีดต่อพวกเขา และความเดียดฉันท์ และด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้มีการตัดสินใจที่จะละทิ้งพวกเขา นี่คือการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของพระเจ้าต่อบุคคลที่ไม่เคยเดินในทางของพระเจ้า และที่ไม่เคยยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์

424. ความยำเกรงและการเชื่อฟังของโยบที่มีต่อพระเจ้าเป็นตัวอย่างแก่มวลมนุษย์ และความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาเป็นจุดสูงสุดแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ที่มนุษย์ควรจะครอบครอง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มองเห็นพระเจ้า แต่เขาก็ตระหนักว่าพระเจ้าทรงมีอยู่อย่างแท้จริง และเพราะการตระหนักนี้เขาจึงยำเกรงพระเจ้า และเนื่องจากความยำเกรงพระเจ้าของเขา เขาจึงสามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้ เขายอมให้พระเจ้าทรงเอาสิ่งใดก็ตามที่เขามีไปโดยอิสระ กระนั้นเขาก็ไม่มีการร้องทุกข์คร่ำครวญ และได้ทรุดลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทูลบอกกับพระองค์ว่า ณ ชั่วขณะนี้ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงเอาเนื้อหนังของเขาไป เขาก็จะยินดียอมให้พระองค์ทำเช่นนั้น โดยไม่มีการร้องทุกข์คร่ำครวญ การประพฤติทั้งหมดทั้งมวลของเขานั้นเป็นไปเนื่องจากสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีและเที่ยงธรรมของเขา กล่าวคือ ด้วยผลแห่งความไร้มลทิน ความซื่อสัตย์ และความใจดีของเขา โยบจึงไม่หวั่นไหวในความตระหนักและประสบการณ์กับการมีอยู่ของพระเจ้าของเขา และบนรากฐานนี้เองเขาจึงได้ทำข้อเรียกร้องกับตัวเขาเองและตั้งมาตรฐานการคิด พฤติกรรม การประพฤติ และหลักการในการกระทำของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้สอดคล้องกับการทรงนำของพระเจ้าที่มีต่อเขาและกิจการทั้งหลายของพระเจ้าที่เขาได้มองเห็นท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง ตลอดเวลานั้น ประสบการณ์ของเขาได้ทำให้ในตัวเขานั้นเกิดความยำเกรงที่จริงและแท้ต่อพระเจ้าและทำให้เขาหลบเลี่ยงความชั่ว นี่คือแหล่งกำเนิดของความซื่อสัตย์ที่โยบยึดมั่น โยบครองครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ ไร้มลทิน และใจดี และเขาได้มีประสบการณ์จริงแห่งการยำเกรงพระเจ้า การเชื่อฟังพระเจ้า และการหลบเลี่ยงความชั่ว ตลอดจนความรู้ว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย” เพราะสิ่งเหล่านี้เท่านั้นเขาจึงสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเขาได้ท่ามกลางการโจมตีที่โหดร้ายของซาตาน และเพราะการโจมตีเหล่านี้เท่านั้นเขาจึงสามารถไม่ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังได้และสามารถจัดเตรียมคำตอบที่น่าพึงพอพระทัยแก่พระเจ้าได้เมื่อการทดสอบของพระเจ้าเกิดขึ้นกับเขา

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

425. โยบไม่ได้มองเห็นพระพักตร์ของพระเจ้าหรือได้ยินพระวจนะที่พระเจ้าตรัส และนับประสาอะไรที่เขาจะเคยได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเป็นการส่วนตัว กระนั้น ความยำเกรงพระเจ้าและคำพยานของเขาในช่วงระหว่างการทดสอบของเขานั้นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน และสิ่งเหล่านั้นเป็นที่รัก ที่ยินดี และที่ชื่นชมของพระเจ้า และผู้คนอิจฉา และยกย่องสิ่งเหล่านั้น และที่มากยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ พวกเขาร้องเพลงสรรเสริญสิ่งเหล่านั้น ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่และเหนือธรรมดาเกี่ยวกับชีวิตของเขา กล่าวคือ เขาใช้ชีวิตที่ไม่มีความโดดเด่นเหมือนกับบุคคลธรรมดาทุกคน ออกไปทำงานเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นและกลับบ้านเพื่อหยุดพักเมื่อดวงอาทิตย์ตก ความแตกต่างก็คือว่า ในช่วงระหว่างหลายทศวรรษในชีวิตของเขาที่ไม่มีความโดดเด่นนั้น เขาได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในทางแห่งพระเจ้า และได้ตระหนักและเข้าใจฤทธานุภาพและอธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอย่างที่บุคคลอื่นไม่เคยได้รับ เขาไม่ใช่ฉลาดกว่าบุคคลธรรมดาคนใด ชีวิตของเขาไม่น่าหวงแหนเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ได้มีทักษะพิเศษที่ไม่ปรากฏแก่ตา อย่างไรก็ดี สิ่งที่เขาครอบครองคือบุคลิกภาพที่ซื่อสัตย์ ใจดี และเที่ยงธรรม บุคลิกภาพที่รักความยุติธรรม ความชอบธรรม และสิ่งต่างๆ ที่เป็นเชิงบวก—ผู้คนธรรมดาส่วนใหญ่ไม่ได้ครอบครองสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย เขาแยกแยะความแตกต่างระหว่างความรักและความเกลียดชัง มีสำนึกรับรู้ถึงความยุติธรรม มีใจเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นพากเพียร และได้ให้ความสนใจพิถีพิถันต่อรายละเอียดในการคิดของเขา ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างเวลาที่ไม่มีความโดดเด่นของเขาบนแผ่นดินโลกเขาได้มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่เหนือธรรมดาทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำไว้ และเขาได้มองเห็นความยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์ และความชอบธรรมของพระเจ้า เขาได้มองเห็นความห่วงใย ความมีพระคุณ และการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ และเขาได้มองเห็นความทรงพระเกียรติ และสิทธิอำนาจของพระเจ้าผู้สูงสุด เหตุผลแรกที่ว่าทำไมโยบจึงสามารถได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เกินบุคคลธรรมดาก็คือ เพราะเขามีหัวใจที่บริสุทธิ์ และหัวใจของเขาเป็นของพระเจ้า และได้รับการทรงนำทางโดยพระผู้สร้าง เหตุผลที่สองคือการไล่ตามเสาะหาของเขา กล่าวคือ การที่เขาไล่ตามเสาะหาการเป็นคนไม่มีมลทินและดีพร้อม และการเป็นใครบางคนที่ทำตามน้ำพระทัยแห่งสวรรค์ ผู้เป็นที่รักของพระเจ้า และผู้ที่หลบเลี่ยงความชั่ว โยบครอบครองและไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านี้ในขณะที่ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าหรือได้ยินพระวจนะของพระเจ้าได้ ถึงแม้ว่าเขาไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า เขาก็ได้มารู้จักวิธีการที่พระเจ้าทรงใช้ปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และเขาเข้าใจพระปรีชาญาณที่พระเจ้าทรงมีในการทำเช่นนั้น ถึงแม้ว่าเขาไม่เคยได้ยินพระวจนะที่พระเจ้าตรัส แต่โยบก็รู้ว่ากิจการแห่งการให้รางวัลมนุษย์และเอาไปจากมนุษย์นั้นล้วนมาจากพระเจ้า ถึงแม้ว่าหลายปีแห่งชีวิตของเขาจะไม่แตกต่างไปจากหลายปีของบุคคลธรรมดาคนใด เขาก็ไม่ยอมให้ความไม่โดดเด่นแห่งชีวิตของเขาส่งผลกระทบต่อความรู้ของเขาเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า หรือส่งผลกระทบต่อการติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว ในสายตาของเขานั้น ธรรมบัญญัติทั้งหลายของทุกสรรพสิ่งเต็มไปด้วยกิจการต่างๆ ของพระเจ้า และอธิปไตยของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้ในทุกส่วนของชีวิตของบุคคลหนึ่ง เขาไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า แต่เขาสามารถตระหนักว่ากิจการของพระเจ้าอยู่ทุกหนแห่ง และในช่วงระหว่างเวลาที่ไม่มีความโดดเด่นของเขาบนแผ่นดินโลก ในทุกมุมแห่งชีวิตของเขานั้นเขาสามารถมองเห็นและตระหนักถึงกิจการต่างๆ ที่เหนือธรรมดาและน่าอัศจรรย์ของพระเจ้า และเขาสามารถมองเห็นการจัดการเตรียมการที่น่าอัศจรรย์ของพระเจ้า ความซ่อนเร้นและความนิ่งเงียบของพระเจ้าไม่ได้ขัดขวางความตระหนักของโยบที่มีต่อกิจการทั้งหลายของพระเจ้า อีกทั้งสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความรู้ของเขาเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า ชีวิตของเขาคือความตระหนักถึงอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ผู้ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งในช่วงระหว่างชีวิตประจำวันของเขา ในชีวิตประจำวันของเขานั้นเขายังได้ยินและเข้าใจพระสุรเสียงแห่งพระทัยของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า ผู้ซึ่งนิ่งเงียบท่ามกลางทุกสรรพสิ่งแต่กระนั้นก็ทรงแสดงพระสุรเสียงจากพระทัยของพระองค์และพระวจนะของพระองค์ด้วยการควบคุมธรรมบัญญัติแห่งทุกสรรพสิ่งด้วยเช่นกัน เช่นนั้นแล้ว เจ้ามองเห็นว่าหากผู้คนมีสภาวะความเป็นมนุษย์และการไล่ตามเสาะหาแบบเดียวกันกับโยบ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็สามารถได้รับความตระหนักและความรู้แบบเดียวกันกับโยบ และสามารถได้มาซึ่งความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าแบบเดียวกันกับโยบ พระเจ้าไม่ได้ทรงปรากฏต่อโยบหรือตรัสกับเขา แต่โยบก็สามารถเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม และสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กิจการทั้งหลายของพระเจ้าท่ามกลางทุกสรรพสิ่งและอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระองค์ก็เพียงพอสำหรับมนุษย์ที่จะกลายมาตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ ฤทธานุภาพ และสิทธิอำนาจของพระเจ้า และฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าก็พอแล้วที่จะทำให้มนุษย์ติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วโดยไม่ต้องมีการที่พระเจ้าได้ทรงปรากฏหรือตรัสกับมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

426. “การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงมาร” และการรู้จักพระเจ้านั้นเชื่อมโยงกันโดยมิอาจแบ่งแยกได้ด้วยเส้นด้ายนับหมื่นแสน และความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเหล่านี้ก็ชัดเจนในตัวเอง หากคนเราปรารถนาที่จะบรรลุซึ่งการหลบเลี่ยงความชั่ว คนเราก็ต้องมีการยำเกรงที่แท้จริงในพระเจ้าเสียก่อน หากคนเราปรารถนาที่จะบรรลุซึ่งการยำเกรงที่แท้จริงในพระเจ้า คนเราต้องมีความรู้ที่แท้จริงในพระเจ้าเสียก่อน หากคนเราปรารถนาที่จะบรรลุความรู้ในพระเจ้า คนเราก็ต้องได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า เข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้า ได้รับประสบการณ์กับการสั่งสอนและการบ่มวินัยของพระเจ้า การตีสอนและการพิพากษาของพระองค์เสียก่อน หากคนเราปรารถนาที่จะได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า คนเราก็ต้องเผชิญหน้ากับพระวจนะของพระเจ้า เผชิญหน้ากับพระเจ้า และขอให้พระเจ้าทรงจัดเตรียมโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าในรูปแบบของสภาวะแวดล้อมทุกชนิดซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้คน เหตุการณ์ทั้งหลาย และวัตถุสิ่งของทั้งหลายเสียก่อน หากคนเราปรารถนาที่จะเผชิญหน้ากับพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า คนเราก็ต้องมีหัวใจที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์ ความพร้อมที่จะยอมรับความจริง ความตั้งใจที่จะสู้ทนความทุกข์ ปณิธานและความกล้าที่จะหลบเลี่ยงความชั่ว และความทะเยอทะยานที่จะกลายเป็นสิ่งที่มีชีวิตทรงสร้างซึ่งจริงแท้…ในหนทางนี้ ในการขยับเดินต่อไปข้างหน้าทีละก้าว เจ้าจะเข้าใกล้พระเจ้าขึ้นไปทุกที หัวใจของเจ้าจะยิ่งบริสุทธิ์ขึ้นทุกที และชีวิตและคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ของเจ้าพร้อมด้วยความรู้ของเจ้าในพระเจ้าจะกลายเป็นมีความหมายขึ้นทุกที และเปล่งประกายสดใสขึ้นทุกที จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าจะรู้สึกว่าพระผู้สร้างไม่ได้ทรงเป็นปริศนาอีกต่อไป ว่าพระผู้สร้างไม่เคยทรงถูกซ่อนเร้นจากเจ้า ว่าพระผู้สร้างไม่เคยทรงปกปิดพระพักตร์ของพระองค์จากเจ้า ว่าพระผู้สร้างไม่ได้ทรงอยู่ไกลจากเจ้าเลย ว่าพระผู้สร้างไม่ได้ทรงเป็นหนึ่งเดียวซึ่งเจ้าถวิลหาอยู่เนืองนิตย์ในความคิดของเจ้าอีกต่อไป เพียงแต่เจ้าไม่สามารถเข้าถึงด้วยความรู้สึกของเจ้าได้ ว่าพระองค์ทรงเฝ้าระวังทั้งทางซ้ายและทางขวาของเจ้าจริงๆ และอย่างแท้จริง ทรงจัดหาให้กับชีวิตของเจ้า และทรงควบคุมลิขิตชีวิตของเจ้า พระองค์ไม่ได้ทรงอยู่บนเส้นขอบฟ้าอันไกลโพ้น และพระองค์ไม่ได้ทรงอำพรางพระองค์เองสูงขึ้นไปในก้อนเมฆ พระองค์ทรงอยู่ข้างเจ้า ทรงเป็นประธานเหนือเจ้าทุกคน พระองค์ทรงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี และพระองค์ทรงเป็นสิ่งเดียวที่เจ้ามี พระเจ้าเช่นนั้นทรงยอมให้เจ้ารักพระองค์จากหัวใจ เกาะติดพระองค์ โอบกอดพระองค์แนบกระชับ เลื่อมใสพระองค์ กลัวที่จะสูญเสียพระองค์ และไม่เต็มใจที่จะประกาศตัดขาดกับพระองค์อีกต่อไป ไม่เต็มใจที่จะไม่เชื่อฟังพระองค์อีกต่อไป หรือเลี่ยงหนีพระองค์หรืออยู่ห่างพระองค์อีกต่อไป ทั้งหมดที่เจ้าต้องการคือการใส่ใจพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ ตอบแทนทุกอย่างที่พระองค์ทรงมอบให้เจ้า และนบนอบต่ออำนาจครอบครองของพระองค์ เจ้าไม่ปฏิเสธที่จะได้รับการทรงนำ การจัดเตรียม การเฝ้าดู และการรับเอาไว้โดยพระองค์อีกต่อไป ไม่ปฏิเสธสิ่งซึ่งพระองค์ทรงบอกบทและทรงสถาปนาสำหรับเจ้าอีกต่อไป ทั้งหมดที่เจ้าต้องการคือการติดตามพระองค์ เดินเคียงข้างพระองค์ ทั้งหมดที่เจ้าต้องการคือยอมรับพระองค์เป็นชีวิตเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นของเจ้า การยอมรับพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นของเจ้า เป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้นของเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, คำนำ

427. เมื่อผู้คนได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ความรู้แรกที่เขามีเกี่ยวกับพระองค์คือพระองค์ทรงยากหยั่งถึง ทรงชาญฉลาด และทรงน่าพิศวง และพวกเขาเคารพพระองค์และรู้สึกถึงความล้ำลึกของพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอยู่เกินจากความรู้ความเข้าใจของจิตใจมนุษย์ ผู้คนเพียงต้องการที่จะมีความสามารถทำได้ตามสิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ เพื่อทำให้สมดังพระองค์ทรงพึงปรารถนาเท่านั้น พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเกินพระพักตร์พระองค์ เพราะพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำนั้นไปไกลเกินกว่าความคิดและจินตนาการของมนุษย์ และมนุษย์ไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้ แม้กระทั่งมนุษย์เองก็ไม่รู้ถึงความไม่เพียงพอของเขาเอง กระนั้น พระเจ้าทรงสร้างเส้นทางใหม่และได้ทรงมานำมนุษย์เข้าสู่โลกที่ใหม่กว่าและสวยงามกว่า และด้วยเหตุนั้นมวลมนุษย์จึงได้สร้างความก้าวหน้าใหม่ๆ และได้มีการเริ่มต้นใหม่ สิ่งที่ผู้คนรู้สึกเพื่อพระเจ้าไม่ใช่ความเลื่อมใส หรือไม่ใช่แค่ความเลื่อมใส ประสบการณ์ที่ลึกซึ้งที่สุดของพวกเขาคือความเกรงขามและความรัก ความรู้สึกของพวกเขาคือพระเจ้าทรงน่าพิศวงโดยแท้ พระองค์ทรงพระราชกิจที่มนุษย์ไร้ความสามารถที่จะทำได้ และตรัสสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์ไร้ความสามารถที่จะพูดได้ ผู้คนที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้เสมอ ผู้คนที่มีประสบการณ์ลึกซึ้งเพียงพอจะสามารถเข้าใจความรักของพระเจ้า พวกเขาสามารถรู้สึกถึงความดีงามของพระองค์ ว่าพระราชกิจของพระองค์ช่างชาญฉลาด ช่างน่าพิศวง และด้วยเหตุนั้นจึงเป็นพลังที่ไม่จำกัดที่เกิดขึ้นท่ามกลางพวกเขา มันไม่ใช่ความกลัวหรือความรักและความนับถือชั่วครั้งคราว แต่เป็นสำนึกรับรู้อย่างลึกซึ้งถึงความสงสารที่พระเจ้าทรงมีให้กับมนุษย์และการยอมผ่อนปรนให้กับเขา อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่เคยได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์สำนึกรับรู้ถึงพระบารมีของพระองค์และสำนึกรับรู้ว่าพระองค์ไม่ทรงยอมผ่อนปรนให้กับการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ แม้กระทั่งผู้คนที่เคยได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์มากมายก็ไร้ความสามารถที่จะหยั่งลึกพระองค์ได้ ทุกผู้คนที่เคารพพระองค์อย่างแท้จริงรู้ว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน แต่ตรงกันข้ามกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเสมอ พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ผู้คนเลื่อมใสพระองค์ทั้งหมดหรือแสดงท่าทางแห่งการนบนอบต่อพระองค์ แต่พวกเขาควรสัมฤทธิ์ความเคารพที่แท้จริงและการนบนอบที่แท้จริง ในพระราชกิจอันมากมายของพระองค์ ผู้ใดก็ตามที่มีประสบการณ์ที่แท้จริงจะรู้สึกเคารพพระองค์ ซึ่งสูงกว่าการเลื่อมใส ผู้คนได้มองเห็นพระอุปนิสัยของพระองค์เนื่องจากพระราชกิจการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ และดังนั้นพวกเขาจึงเคารพพระองค์ในหัวใจของพวกเขา พระเจ้าควรทรงได้รับการเคารพและเชื่อฟัง เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและพระอุปนิสัยของพระองค์ไม่เหมือนกับของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และอยู่เหนือกว่าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระเจ้าทรงปรากฏด้วยพระองค์เองและทรงคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ และไม่ทรงใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ควรค่าแก่การเคารพและการเชื่อฟัง มนุษย์ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการนี้ ดังนั้น ผู้คนทั้งหมดที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์และรู้จักพระองค์อย่างแท้จริงจึงรู้สึกถึงความเคารพต่อพระองค์ อย่างไรก็ตาม พวกที่ไม่ปลดปล่อยมโนคติที่หลงผิดที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระองค์—พวกที่ไม่คำนึงถึงพระองค์ว่าทรงเป็นพระเจ้าเลย—ไม่มีความเคารพต่อพระองค์ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะติดตามพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถูกพิชิต พวกเขาคือผู้คนที่ไม่เชื่อฟังโดยธรรมชาติ ดังนั้น สิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยว่าจะสัมฤทธิ์ผลโดยการทรงพระราชกิจเพื่อให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดได้มีหัวใจแห่งการเคารพให้กับพระผู้สร้าง นมัสการพระองค์ และนบนอบต่ออำนาจครอบครองของพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไข นี่คือผลลัพธ์สุดท้ายที่พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์มีจุดมุ่งหมายที่จะสัมฤทธิ์ หากผู้คนที่เคยได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจดังกล่าวไม่เคารพพระเจ้าแม้แต่น้อย และหากการไม่เชื่อฟังในอดีตของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะถูกกำจัดอย่างแน่นอน หากท่าทีที่บุคคลหนึ่งมีต่อพระเจ้าเป็นเพียงการเลื่อมใสพระองค์หรือการแสดงความนับถือต่อพระองค์จากที่ไกลๆ และไม่ใช่การรักพระองค์เลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือผลลัพธ์ที่บุคคลที่ปราศจากหัวใจที่รักพระเจ้าได้มาถึง และบุคคลนั้นขาดเงื่อนไขที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม หากพระราชกิจมากมายไร้ความสามารถที่จะได้รับความรักที่แท้จริงของบุคคล เช่นนั้นแล้วบุคคลนั้นก็ไม่ได้รับพระเจ้า และไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงแท้ บุคคลที่ไม่ได้รักพระเจ้าไม่ได้รักความจริงและดังนั้นจึงไม่สามารถได้รับพระเจ้า แล้วจะนับประสาอะไรกับการได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นไร้ความสามารถที่จะเคารพพระเจ้าได้ ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไรก็ตาม และไม่ว่าพวกเขาจะได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาอย่างไรก็ตาม เหล่านี้คือผู้คนที่มีธรรมชาติที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และผู้ที่มีอุปนิสัยชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด ทุกคนที่ไม่เคารพพระเจ้าจะต้องถูกกำจัด ต้องเป็นเป้าหมายการลงโทษ และต้องถูกลงโทษเช่นเดียวกับผู้ที่ทำความชั่ว และต้องทนทุกข์มากยิ่งกว่าผู้ที่ได้กระทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

ก่อนหน้า: ช. ว่าด้วยวิธีที่จะลุล่วงในหน้าที่ของคนเราอย่างเพียงพอ

ถัดไป: ด. ว่าด้วยวิธีที่จะเลือกเส้นทางในความเชื่อของคนเรา

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger