ช. ว่าด้วยวิธีที่จะลุล่วงในหน้าที่ของคนเราอย่างเพียงพอ

404. ในฐานะสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และคริสตชนผู้เปี่ยมศรัทธา พวกเราทุกคนล้วนมีความรับผิดชอบและภาระผูกพัน ที่จะต้องถวายร่างกายและจิตใจเพื่อเติมเต็มพระบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จบริบูรณ์ ด้วยเหตุที่การเป็นอยู่ของพวกเราทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นล้วนมาจากพระเจ้า และดำรงอยู่ได้ก็ด้วยอำนาจอธิปไตยของพระเจ้า หากร่างกายและจิตใจของเรามิได้มีไว้เพื่อพระบัญชาของพระเจ้าและไม่ได้เป็นไปเพื่อเหตุอันชอบธรรมของมวลมนุษย์แล้วไซร้ ดวงวิญญาณของพวกเราจะไม่มีค่าพอต่อผู้คนซึ่งได้ยอมพลีชีพเพื่อพระบัญชาของพระเจ้าเลย และยิ่งไม่มีค่าพอต่อพระเจ้าผู้ได้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งไว้ให้กับพวกเรา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง

405. วิธีที่เจ้าคำนึงถึงพระบัญชาทั้งหลายของพระเจ้านั้น เป็นเรื่องจริงจังอย่างมาก! หากเจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบความไว้วางพระทัยแก่เจ้าให้ครบบริบูรณ์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่ในการทรงสถิตของพระองค์และควรถูกลงโทษ มันถูกลิขิตโดยฟ้าและยอมรับรู้โดยแผ่นดินโลกว่าพวกมนุษย์ควรทำพระบัญชาใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมอบความไว้วางพระทัยแก่พวกเขาให้ครบบริบูรณ์ นี่เป็นความรับผิดชอบสูงสุดของพวกเขา และสำคัญพอกันกับชีวิตจริงๆ ของพวกเขา หากเจ้าไม่จริงจังกับพระบัญชาของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทรยศพระองค์ในหนทางที่แสนสาหัสที่สุด ในการนี้ เจ้าน่าวิปโยคกว่ายูดาส และควรถูกสาปแช่ง ผู้คนต้องได้รับความเข้าใจอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับวิธีที่จะให้ทรรศนะต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบความไว้วางพระทัยให้แก่พวกเขา และอย่างน้อยที่สุด ต้องจับใจความว่า พระบัญชาทั้งหลายที่พระองค์ทรงมอบความไว้วางพระทัยให้แก่มนุษยชาตินั้นเป็นการยกย่องและเป็นความโปรดปรานพิเศษจากพระเจ้า พระบัญชาเหล่านั้นคือสิ่งที่มีสง่าราศรีที่สุด สิ่งอื่นทุกสิ่งสามารถทอดทิ้งได้ ต่อให้คนเราต้องพลีอุทิศชีวิตของคนเราเอง เขาก็ยังคงต้องทำให้พระบัญชาของพระเจ้าลุล่วงไปอยู่ดี

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์

406. ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพระพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่ หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา การได้รับพระพรคือเมื่อใครบางคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้ชื่นชมกับพระพรของพระเจ้าหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา การถูกสาปแช่งคือเมื่ออุปนิสัยของใครบางคนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาแล้ว คือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่ถูกลงโทษ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพระพรหรือถูกสาปแช่งก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่เป็นสิ่งที่น้อยที่สุดที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำ เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพระพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวถูกสาปแช่ง เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้า: การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา โดยผ่านทางกระบวนการของการทำหน้าที่ของเขา มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป และโดยผ่านทางกระบวนการนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขา ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็จะได้รับความจริงมากขึ้นเท่านั้น และการแสดงออกของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น พวกที่เพียงแต่เสแสร้งทำไปอย่างพอเป็นพิธีในการทำหน้าที่ของพวกเขาและไม่แสวงหาความจริงจะถูกกำจัดในท้ายที่สุด เพราะผู้คนเช่นนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาในการปฏิบัติความจริง และไม่ปฏิบัติความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง พวกเขาคือพวกที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและจะถูกสาปแช่ง ไม่เพียงแต่การแสดงออกของพวกเขาไม่บริสุทธิ์เท่านั้น แต่ทุกสิ่งที่พวกเขาแสดงออกนั้นชั่วร้าย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์

407. สิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้าควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เจ้าดำรงชีวิตภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า เจ้ายอมรับทั้งหมดซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียม ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมาจากพระเจ้า และดังนั้นแล้ว เจ้าจึงควรลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า—นี่คือหน้าที่ของเจ้า จากการนี้สามารถเห็นได้ว่า สำหรับมวลมนุษย์แล้ว การปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้านั้นชอบธรรม สวยงาม และสูงศักดิ์กว่าอะไรอื่นใดซึ่งทำจนแล้วเสร็จในขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกของมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดท่ามกลางมวลมนุษย์มีความหมายหรือควรค่ามากกว่า และไม่มีสิ่งใดนำพาความหมายและความควรค่ามาสู่ชีวิตของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า การที่สิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าจะมีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า มีความสามารถที่จะสนองน้ำพระทัยของพระผู้สร้างนั้น เป็นสิ่งที่แสนวิเศษที่สุดท่ามกลางมวลมนุษย์ และเป็นบางสิ่งซึ่งควรได้รับการสรรเสริญท่ามกลางมวลมนุษย์ อะไรก็ตามที่พระผู้สร้างทรงไว้วางใจมอบหมายต่อสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้า ควรได้รับการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขโดยพวกเขา สำหรับมวลมนุษย์แล้ว นี่เป็นบางสิ่งซึ่งได้รับการอวยพรและรุ่งโรจน์ และสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวงผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดแสนวิเศษหรือควรค่าแก่การฉลองรำลึกมากไปกว่า—นั่นเป็นบางสิ่งด้านบวก และสำหรับเรื่องวิธีที่พระผู้สร้างทรงปฏิบัติต่อบรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญากับพวกเขา นี่เป็นเรื่องสำหรับพระผู้สร้าง และไม่ใช่กิจการของมวลมนุษย์ที่ทรงสร้าง หากจะพูดตามตรง นี่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า เจ้าจะได้สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้า และหากพระองค์ไม่ทรงมอบสิ่งใดให้เจ้าเลย เช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดเลยที่เจ้าสามารถพูดเกี่ยวกับการนั้นได้ เมื่อสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้ายอมรับพระบัญชาของพระเจ้า และร่วมมือกับพระผู้สร้างในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่ย่อมไม่ใช่การแลกเปลี่ยนหรือการค้า สิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้าต้องไม่ลองพยายามที่จะใช้ท่าทีหรือสิ่งอันใดเพื่อเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้พระพรหรือพระสัญญาจากพระเจ้า เมื่อพระผู้สร้างทรงไว้วางใจมอบหมายพระราชกิจนี้ต่อพวกเจ้า ก็ย่อมเป็นการถูกและถูกต้องเหมาะสมที่เจ้าจะยอมรับหน้าที่และพระบัญชานี้ ในฐานะสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้า ไม่มีการแลกเปลี่ยนมาเกี่ยวข้องเลย ในด้านของพระผู้สร้าง พระองค์ทรงเต็มพระทัยที่จะไว้วางใจมอบหมายพระบัญชานี้ต่อพวกเจ้าแต่ละคน และในด้านของมวลมนุษย์ที่ทรงสร้าง ผู้คนควรยินดียอมรับหน้าที่นี้ โดยปฏิบัติต่อหน้าที่นี้เป็นภาระผูกพันของชีวิตของพวกเขา เป็นความควรค่าซึ่งพวกเขาควรดำรงชีวิตไปตามในชีวิตนี้ ไม่มีการแลกเปลี่ยนเลยในที่นี้ นี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนที่เทียบเท่ากัน นับประสาอะไรที่การนั้นจะเกี่ยวข้องกับบำเหน็จอันใดหรือการตีความประเภทใดก็ตาม นี่ไม่ใช่การค้า นั่นไม่ใช่การแลกเปลี่ยนด้วยราคาที่ผู้คนจ่าย หรือแรงงานที่พวกเขามีส่วนร่วมแบ่งปันเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พระเจ้าไม่เคยได้ตรัสการนั้น และมนุษย์ไม่ควรเข้าใจการนั้นไปตามนั้น

—พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า: พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่หก)

408. เมื่อบุคคลผู้หนึ่งยอมรับสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้กับพวกเขา พระเจ้าก็ทรงมีมาตรฐานสำหรับตัดสินว่าการกระทำของพวกเขาดีหรือแย่ และบุคคลผู้นั้นได้เชื่อฟังหรือไม่ และบุคคลผู้นั้นได้ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ และสิ่งที่พวกเขาทำได้ตามมาตรฐานนั้นหรือไม่ สิ่งที่พระเจ้าใส่พระทัยคือหัวใจของบุคคล ไม่ใช่การกระทำของพวกเขาที่ผิวภายนอก มันไม่ใช่กรณีที่พระเจ้าทรงควรอวยพระพรใครสักคนตราบเท่าที่พวกเขาทำบางสิ่ง โดยไม่คำนึงถึงวิธีที่พวกเขาทำสิ่งนั้น นี่เป็นความเข้าใจผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้า พระเจ้าไม่เพียงทอดพระเนตรที่ผลลัพธ์ท้ายสุดของสิ่งทั้งหลาย แต่ทรงให้การเน้นย้ำมากขึ้นกับการที่ว่าหัวใจของบุคคลเป็นอย่างไรและท่าทีของบุคคลเป็นอย่างไรในระหว่างการพัฒนาของสิ่งทั้งหลาย และพระองค์ทอดพระเนตรว่ามีการเชื่อฟัง การพิจารณา และความพึงปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในหัวใจของพวกเขาหรือไม่

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

409. ไม่สำคัญว่าเจ้าลุล่วงหน้าที่ใด เจ้าต้องพยายามที่จะจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและเข้าใจว่าข้อพึงประสงค์ของพระองค์คือสิ่งใดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะมีความสามารถที่จะรับมือกับเรื่องราวสารพันในหนทางซึ่งมีหลักธรรม ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า แน่นอนที่สุดว่า เจ้าไม่สามารถทำไปตามการเลือกชอบส่วนตัวของเจ้า โดยการแค่ทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าประสงค์จะทำ สิ่งใดก็ตามที่เจ้าคงจะมีความสุขและชูใจที่จะทำ หรือสิ่งใดก็ตามที่คงจะทำให้เจ้าดูดี หากเจ้านำการเลือกชอบส่วนบุคคลของเจ้ามาบังคับใช้กับพระเจ้า หรือฝึกฝนปฏิบัติการเลือกชอบเหล่านั้นราวกับเป็นความจริง ถือปฏิบัติการเลือกชอบเหล่านั้นราวกับพวกมันเป็นความจริงหลักธรรม เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมไม่ใช่การลุล่วงหน้าที่ของเจ้า และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในหนทางนี้จะไม่ได้รับการจดจำโดยพระเจ้า ผู้คนบางคนไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาไม่รู้ว่าการทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วงไปด้วยดีนั้นหมายถึงสิ่งใด พวกเขารู้สึกว่าในเมื่อพวกเขาได้ใส่หัวใจและทุ่มความพยายามเข้าไปในการทำหน้าที่นั้น ละทิ้งเนื้อหนังของพวกเขาและทนทุกข์ เช่นนั้นแล้ว การลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาก็ควรขึ้นไปถึงมาตรฐาน—แต่แล้วเหตุใดเล่าพระเจ้าจึงไม่พึงพอพระทัยอยู่เสมอ? ผู้คนเหล่านี้ได้ทำผิดไปตรงไหนหรือ? ความผิดของพวกเขาก็คือการไม่แสวงหาให้พบข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับปฏิบัติตนไปตามแนวคิดของตัวพวกเขาเอง พวกเขาปฏิบัติต่อความอยากได้อยากมี การเลือกชอบ และสิ่งจูงใจแบบเห็นแก่ตัวทั้งหลายของพวกเขาเองประหนึ่งเป็นความจริง และพวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นราวกับว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงรัก ราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นมาตรฐานและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ พวกเขามองสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง ดีงาม และสวยงามว่าเป็นความจริง การนี้ผิด ในข้อเท็จจริงแล้ว แม้บางคราวผู้คนอาจจะคิดว่าบางสิ่งบางอย่างนั้นถูก และว่ามันสอดคล้องกับความจริง นั่นก็ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า มันสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งผู้คนคิดว่าบางสิ่งถูกต้องมากเท่าไร พวกเขาก็ควรใช้ความระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาควรแสวงหาความจริงมากขึ้นเท่านั้น เพื่อที่จะมองเห็นว่าสิ่งที่พวกเขากำลังคิดนั้นบรรจบกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าหรือไม่ หากมันเกิดวิ่งสวนทางกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระองค์และสวนทางกับพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วนั่นก็ยอมรับไม่ได้ต่อให้เจ้าคิดว่ามันถูก มันก็เป็นแค่เพียงความคิดแบบมนุษย์ และมันจะไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความจริงโดยไม่สำคัญว่าเจ้าคิดว่ามันถูกต้องเพียงใดก็ตาม การกำหนดพิจารณาของเจ้าในเรื่องถูกและผิดนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าแต่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น และไม่สำคัญว่าเจ้าคิดว่าบางสิ่งบางอย่างถูกต้องเพียงใดก็ตาม เจ้าต้องทิ้งขว้างมันไป เว้นเสียแต่ว่ามีมูลฐานสำหรับมันอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า หน้าที่คืออะไรหรือ? มันก็คือพระบัญชาหนึ่งซึ่งพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่ผู้คน ดังนั้นแล้ว เจ้าควรทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงอย่างไรหรือ? ก็โดยการปฏิบัติตนอย่างสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์และมาตรฐานทั้งหลายของพระเจ้า และโดยการมีพื้นฐานของพฤติกรรมของเจ้าอยู่บนความจริงหลักธรรมมากกว่าที่จะอยู่บนความอยากได้อยากมีตามความชอบส่วนตัวของมนุษย์ ในหนทางนี้ การลุล่วงของเจ้าในหน้าที่ทั้งหลายของเจ้าย่อมขึ้นไปถึงมาตรฐาน

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการแสวงหาหลักธรรมของความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี

410. สำหรับผู้คนบางคน ไม่สำคัญว่า ประเด็นปัญหาใดที่พวกเขาอาจจะเผชิญเมื่อกำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอยู่ พวกเขาไม่แสวงหาความจริง และพวกเขาปฏิบัติตนไปตามความคิด มโนคติที่หลงผิด จินตนาการ และความอยากได้อยากมีทั้งหลายของพวกเขาเสมอ พวกเขากำลังสนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตัวพวกเขาเองอยู่เป็นนิตย์ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขานั้นก็มีอำนาจควบคุมอยู่เหนือการกระทำของพวกเขาเสมอ แม้ว่าพวกเขาอาจทำหน้าที่ของพวกเขาครบบริบูรณ์ตามที่พวกเขาได้ถูกมอบหมาย แต่พวกเขาก็ไม่ได้รับความจริงอันใดเลย ดังนั้นอะไรเล่าคือสิ่งที่ผู้คนดังกล่าวพึ่งพาตอนที่พวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา? พวกเขาไม่ได้กำลังพึ่งพาทั้งความจริงและพระเจ้า ความจริงน้อยนิดที่พวกเขาเข้าใจจริงๆ ไม่ได้เริ่มต้นอำนาจอธิปไตยในหัวใจของพวกเขา พวกเขากำลังพึ่งพาพรสวรรค์และความสามารถทั้งหลายของตัวพวกเขาเอง พึ่งพาความรู้อันใดก็ตามที่พวกเขาหามาได้ และพึ่งพาความสามารถพิเศษของพวกเขา ตลอดจนพลังใจ หรือเจตนาดีทั้งหลายของตัวพวกเขาเอง เพื่อที่จะทำหน้าที่เหล่านี้ให้ครบบริบูรณ์ นี่คือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดีกระนั้นหรือ? นี่คือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเป็นที่น่าพึงพอใจกระนั้นหรือ? แม้ว่าบางคราวเจ้าอาจพึ่งพาความเป็นธรรมชาติ จินตนาการ มโนคติที่หลงผิด ความรู้และการเรียนรู้ของเจ้าเพื่อที่จะทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง แต่ก็ไม่มีประเด็นปัญหาในเรื่องของหลักธรรมผุดขึ้นในบางสิ่งที่เจ้าทำเลย โดยผิวเผินแล้ว ดูราวกับว่าเจ้ายังไม่ได้ใช้เส้นทางที่ผิด แต่ก็มีสิ่งหนึ่งซึ่งไม่สามารถถูกมองข้าม นั่นคือ ในช่วงระหว่างกระบวนการของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หากมโนคติที่หลงผิด จินตนาการ ความอยากส่วนบุคคลทั้งหลายของเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยและไม่เคยได้รับการแทนที่ด้วยความจริง และหากการกระทำและความประพฤติของเจ้านั้นไม่เคยทำไปโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงทั้งหลาย เช่นนั้นแล้วบทอวสานสุดท้ายจะเป็นอย่างไร? เจ้าก็จะกลายเป็นคนปรนนิบัติคนหนึ่ง นี่คือสิ่งที่ถูกเขียนไว้ในพระคัมภีร์อย่างตรงชัดว่า “เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’ เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:22-23) เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงทรงเรียกผู้คนเหล่านี้ผู้ทุ่มเทความพยายามและผู้ทำการปรนนิบัติว่า “เจ้าผู้ทำความชั่ว”? มีประเด็นหนึ่งที่พวกเราสามารถแน่ใจได้ และนั่นก็คือว่า ไม่สำคัญว่าผู้คนเหล่านี้ทำหน้าที่หรืองานอะไร แรงจูงใจ แรงกระตุ้น เจตนา และความคิดทั้งหลายของพวกเขาย่อมเกิดขึ้นโดยทั้งหมดทั้งสิ้นจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของพวกเขานั้น โดยรวมแล้วมีพื้นฐานอยู่บนแนวคิดกับผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งหลายของตัวพวกเขาเอง และความคำนึงถึงและแผนการของพวกเขานั้นก็วนเวียนอยู่กับความมีหน้ามีตา สถานะ ความไร้ค่า และความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของพวกเขา ลึกลงไปนั้น พวกเขาไม่ครองความจริงอยู่เลย และพวกเขาก็ไม่ปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงทั้งหลาย เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว สิ่งใดหรือที่สำคัญยิ่งยวดสำหรับพวกเจ้าที่จะต้องแสวงหาในตอนนี้? (พวกเราควรแสวงหาความจริง และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า) สิ่งใดหรือที่พวกเจ้าควรทำอย่างเฉพาะเจาะจงในตอนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของพวกเจ้าอยู่โดยสอดคล้องไปกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า? เมื่อคำนึงถึงเจตนาและแนวคิดทั้งหลายของเจ้าในตอนที่กำลังทำบางสิ่งบางอย่าง เจ้าต้องเรียนรู้วิธีที่จะหยั่งรู้ว่าเจตนาและแนวคิดเหล่านั้นสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ ตลอดจนหยั่งรู้ว่าเจตนาและแนวคิดทั้งหลายของเจ้านั้นถูกออกแบบมาเพื่อการลุล่วงความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตัวเจ้าเองหรือผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า หากเจตนาและแนวคิดทั้งหลายของเจ้านั้นสอดคล้องไปกับความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมสามารถทำหน้าที่ของเจ้าไปในแนวเดียวกับการคิดของเจ้า อย่างไรก็ตาม หากเจตนาและแนวคิดเหล่านั้นไม่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องหันหลังกลับและทิ้งเส้นทางนั้นอย่างรวดเร็ว เส้นทางนั้นไม่ถูก และเจ้าไม่สามารถฝึกฝนปฏิบัติแบบนั้นได้ หากเจ้ายังคงเดินบนเส้นทางนั้นต่อไปแล้วไซร้ เจ้าย่อมจบลงตรงการกระทำความชั่ว

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม

411. ตอนที่กำลังทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เจ้าควรตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอเพื่อที่จะมองเห็นว่าเจ้ากำลังทำสิ่งทั้งหลายไปตามหลักธรรมหรือเปล่า ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้นได้มาตรฐานหรือเปล่า ว่าเจ้าแค่กำลังทำมันไปในลักษณะพอเป็นพิธีหรือไม่ ว่าเจ้าได้พยายามที่จะบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่ และว่ามีปัญหาอันใดกับท่าทีของเจ้าและหนทางการคิดของเจ้าหรือไม่ ครั้นเจ้าได้มีการคิดทบทวนตัวเองแล้ว และสิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นชัดเจนต่อเจ้า เวลาที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ให้ลุล่วงก็ย่อมจะง่ายดายขึ้น ไม่สำคัญว่าเจ้าเผชิญสิ่งใดในขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—ความคิดลบ และความอ่อนแอ หรือการอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีภายหลังจากที่ได้รับการจัดการ—เจ้าควรปฏิบัติต่อมันอย่างถูกต้องเหมาะสม และเจ้าต้องแสวงหาความจริงและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน โดยการทำสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะมีเส้นทางไปสู่การฝึกฝนปฏิบัติ หากเจ้าปรารถนาที่จะทำได้ดีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เช่นนั้นแล้วอารมณ์ของเจ้าต้องไม่มีผลต่อเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังรู้สึกคิดลบและอ่อนแอเพียงใด เจ้าควรฝึกฝนปฏิบัติความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ ด้วยความเคร่งครัดอย่างสมบูรณ์ และติดอยู่กับหลักธรรมทั้งหลาย หากเจ้าทำการนี้แล้วไซร้ ผู้คนอื่นๆ ไม่เพียงแต่จะเห็นชอบต่อตัวเจ้าเท่านั้น แต่พระเจ้าก็จะโปรดเจ้าด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะเป็นบุคคลหนึ่งที่รับผิดชอบและที่แบกรับภาระ เจ้าจะเป็นบุคคลที่ดีอย่างถ่องแท้ผู้ซึ่งลุล่วงหน้าที่ของเจ้าอย่างได้มาตรฐานจริงๆ และผู้ซึ่งใช้ชีวิตที่เป็นสภาพเสมือนของบุคคลจริงแท้คนหนึ่งอย่างครบถ้วน ผู้คนเช่นนั้นได้รับการทำให้บริสุทธิ์และสัมฤทธิ์การแปลงสภาพจริงในตอนที่กำลังทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง และสามารถกล่าวได้ว่า พวกเขานั้นซื่อสัตย์ในสายพระเนตรของพระเจ้า เฉพาะผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถพากเพียรบากบั่นกับการฝึกฝนปฏิบัติความจริงและประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตนตามหลักธรรม และสามารถทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงอย่างได้มาตรฐาน ผู้คนซึ่งปฏิบัติตนด้วยหลักธรรมนั้นทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงไปอย่างพิถีพิถันเมื่อพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ดี พวกเขาไม่ได้ทำงานในลักษณะขอไปที พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้เท่าทัน และพวกเขาไม่อวดโอ้ตัวเองเพื่อทำให้ผู้อื่นนึกถึงตัวพวกเขาอย่างสูงส่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี พวกเขาก็ทำกิจประจำวันของพวกเขาเสร็จสิ้นไปอย่างจริงจังตั้งใจและมีความรับผิดชอบไม่ต่างกัน และต่อให้พวกเขาเผชิญบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเหตุให้เกิดอันตรายเสียหายต่อการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง หรือที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อพวกเขาเล็กน้อย หรือเป็นเหตุให้เกิดการหยุดชะงักในขณะที่พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาก็ยังมีความสามารถที่จะทำหัวใจให้สงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน โดยกล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าปัญหาที่ข้าพระองค์เผชิญนั้นใหญ่แค่ไหน—ต่อให้ฟ้าสวรรค์ถล่มลงมา—ตราบที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าพระองค์ทำได้ในการลุล่วงหน้าที่ของข้าพระองค์ ทุกวันที่ข้าพระองค์ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่นั้น เป็นวันหนึ่งซึ่งข้าพระองค์จะทำงานหนักในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์มีค่าคู่ควรต่อหน้าที่นี้ที่พระเจ้าประทานให้กับข้าพระองค์ รวมถึงลมหายใจนี้ที่พระองค์ทรงใส่เข้ามาในร่างกายของข้าพระองค์ โดยไม่คำนึงว่าข้าพระองค์อาจจะอยู่ในความลำบากยากเย็นมากเพียงใด ข้าพระองค์จะพักวางทั้งหมดลงไว้ก่อน เพราะการทำหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ลุล่วงนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญสูงสุด!” บรรดาผู้ที่ไม่รู้สึกกระทบกระเทือนโดยบุคคลใด เหตุการณ์ใด สิ่งใด หรือสภาพแวดล้อมใด ผู้ซึ่งไม่ถูกควบคุมโดยอารมณ์หรือสถานการณ์ภายนอกอันใด และผู้ที่วางหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาและพระบัญชาทั้งหลายที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่พวกเขาเป็นอันดับแรกสุดก่อนสิ่งอื่นใด—พวกเขาคือผู้คนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าและผู้ที่นบนอบต่อพระองค์อย่างถ่องแท้ ผู้คนเช่นนี้ได้บรรลุการเข้าสู่ชีวิตและได้เข้าสู่ความจริงความเป็นจริงแล้ว นี่คือหนึ่งในการแสดงออกที่จริงแท้และสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดของการใช้ชีวิตตามความจริง

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเข้าสู่ชีวิตเริ่มต้นที่การปฏิบัติหน้าที่

412. ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงขอสิ่งใดจากเจ้า เจ้าเพียงแค่จำเป็นต้องทำมันให้ได้ด้วยพละกำลังทั้งหมดของเจ้า และเราหวังว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและมอบการอุทิศสูงสุดแด่พระองค์ในบทอวสาน ตราบเท่าที่เจ้าสามารถมองเห็นรอยแย้มพระโอษฐ์แห่งความสมดังใจหมายของพระเจ้าขณะที่พระองค์ประทับบนพระบัลลังก์ของพระองค์ ต่อให้ชั่วขณะนี้เป็นเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการตายของเจ้า เจ้าก็ควรมีความสามารถที่จะหัวเราะและยิ้มได้เมื่อเจ้าหลับตาของเจ้า ในระหว่างเวลาของเจ้าบนแผ่นดินโลก เจ้าต้องทำหน้าที่สุดท้ายของเจ้าเพื่อพระเจ้า ในอดีต เปโตรได้ถูกตรึงกางเขนโดยห้อยหัวลงเพื่อประโยชน์แห่งพระเจ้า แต่เจ้าควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในบทอวสาน และใช้พลังงานทั้งหมดของเจ้าให้หมดไปเพื่อประโยชน์ของพระองค์ สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างสามารถทำสิ่งใดในพระนามของพระเจ้าได้? เพราะฉะนั้น เจ้าควรยอมถวายตัวเจ้าเองต่อพระเจ้าโดยเร็วแทนที่จะเป็นภายหลัง เพื่อให้พระองค์ทรงจัดการกับเจ้าตามที่พระองค์ทรงปรารถนา ตราบเท่าที่มันทำให้พระเจ้าทรงมีความสุขและพอพระทัย ตราบนั้นก็ปล่อยให้พระองค์ทรงทำตามที่พระองค์ทรงประสงค์กับเจ้า พวกมนุษย์มีสิทธิอันใดที่จะกล่าวคำร้องทุกข์เล่า?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 41

413. วันนี้ สิ่งที่พวกเจ้าพึงต้องสัมฤทธิ์ผลไม่ใช่ข้อเรียกร้องเพิ่มเติม แต่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ และเป็นสิ่งที่ผู้คนทั้งหมดควรกระทำ หากพวกเจ้าไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งหน้าที่ของพวกเจ้าหรือไม่สามารถทำมันได้ดี เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าไม่ได้กำลังนำความยากลำบากมาสู่ตัวพวกเจ้าเองหรอกหรือ? พวกเจ้าไม่ได้กำลังเสี่ยงกับความตายอยู่หรือ? พวกเจ้าจะยังคงสามารถคาดหวังที่จะมีอนาคตและความสำเร็จที่มองว่าน่าจะเป็นไปได้ได้อย่างไร? พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการทรงกระทำเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ และความร่วมมือของมนุษย์ก็ได้รับการถวายเพื่อประโยชน์ของการบริหารจัดการของพระเจ้า หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงกระทำทุกสิ่งที่พระองค์ควรทรงกระทำแล้ว มนุษย์พึงต้องทุ่มเทในการปฏิบัติของเขาและร่วมมือกับพระเจ้า ในพระราชกิจของพระเจ้า มนุษย์ควรทุ่มเทจนสุดความพยายาม ควรมอบถวายความจงรักภักดีของเขา และไม่ควรปล่อยตัวปล่อยใจไปกับมโนคติที่หลงผิดมากมาย หรือนั่งนิ่งเฉยและรอความตาย พระเจ้าทรงสามารถเสียสละพระองค์เองเพื่อมนุษย์ แล้วเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถถวายความจงรักภักดีของเขาแด่พระเจ้าเล่า? พระเจ้าทรงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับมนุษย์ แล้วเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถถวายความร่วมมือสักเล็กน้อยบ้างเล่า? พระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อมวลมนุษย์ แล้วเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถทำหน้าที่บางอย่างของตนเพื่อประโยชน์แห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าเล่า? พระราชกิจของพระเจ้าได้มาไกลถึงขนาดนี้ แม้กระนั้น พวกเจ้าก็ยังเพียงมองเห็นแต่ไม่ลงมือทำ พวกเจ้าได้ยินแต่ไม่ขยับตัว ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่เป้าหมายของความพินาศหรอกหรือ? พระเจ้าได้ทรงอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์แก่มนุษย์ แล้วเหตุใดวันนี้มนุษย์จึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างจริงจังจริงใจบ้าง? สำหรับพระเจ้า พระราชกิจของพระองค์คือลำดับความสำคัญแรกของพระองค์ และพระราชกิจในการบริหารจัดการของพระองค์ย่อมมีความสำคัญที่สุด สำหรับมนุษย์ การนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติและทำให้ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าลุล่วงคือลำดับความสำคัญแรกของเขา พวกเจ้าทั้งหมดควรเข้าใจสิ่งนี้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์

414. อันที่จริง ผลการปฏิบัติงานของมนุษย์เป็นความสำเร็จลุล่วงทั้งหมดที่มีอยู่โดยธรรมชาติในตัวมนุษย์ กล่าวคือ ทั้งหมดที่เป็นไปได้สำหรับมนุษย์ เป็นเวลานี้เองที่หน้าที่ของเขาได้กระทำให้ลุล่วงแล้ว ข้อบกพร่องต่างๆ ของมนุษย์ในระหว่างการปรนนิบัติของเขาจะค่อยๆ ลดลงผ่านประสบการณ์ที่ก้าวหน้าและกระบวนการการก้าวผ่านการพิพากษาของเขาข้อบกพร่องต่างๆ เหล่านี้ไม่ขัดขวางหรือส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของมนุษย์ พวกผู้ที่หยุดรับใช้หรือยอมแพ้และถอยกลับเพราะกลัวว่าอาจมีข้อบกพร่องในการรับใช้ของพวกเขานั้นขี้ขลาดที่สุดของคนทั้งหมด หากผู้คนไม่สามารถแสดงออกในสิ่งที่พวกเขาควรจะแสดงออกในระหว่างการปรนนิบัติหรือการสัมฤทธิ์สิ่งที่เป็นไปได้โดยธรรมชาติสำหรับพวกเขา แต่กลับเล่นไปเรื่อยเปื่อยและเสแสร้งแสดงท่าทาง พวกเขาก็ได้สูญเสียภารกิจที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี ผู้คนเช่นนี้เป็นสิ่งที่รู้จักกันว่าเป็น “คนที่มีคุณภาพปานกลาง” พวกเขาเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์ ผู้คนเช่นนี้จะสามารถถูกเรียกอย่างเหมาะสมว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร? พวกเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เสื่อมทรามซึ่งสุกใสที่ด้านนอกแต่เน่าเสียที่ด้านในหรอกหรือ? หากมนุษย์คนหนึ่งเรียกตัวเองว่าพระเจ้า แต่ไร้ความสามารถที่จะแสดงออกถึงการมีเทวสภาพ ทำงานของพระเจ้าพระองค์เอง หรือเป็นตัวแทนของพระเจ้า ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาไม่ใช่พระเจ้า เพราะเขาไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้า และสิ่งที่พระเจ้าทรงสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยธรรมชาติไม่ดำรงอยู่ในตัวเขา หากมนุษย์สูญเสียสิ่งที่เขาสามารถบรรลุได้โดยธรรมชาติ เขาก็จะไม่สามารถถูกพิจารณาว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป และเขาก็จะไม่มีค่าพอที่จะยืนหยัดเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและรับใช้พระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีค่าพอที่จะรับพระคุณของพระเจ้าหรือรับการปกป้อง คุ้มครอง และทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า หลายคนที่ได้สูญเสียความไว้วางใจของพระเจ้ายังคงสูญเสียพระคุณของพระเจ้าต่อไป พวกเขาไม่เพียงไม่ดูหมิ่นการประพฤติผิดของพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขายังเผยแพร่แนวคิดที่ว่าหนทางของพระเจ้านั้นไม่ถูกต้องอย่างโจ่งแจ้ง และบรรดาผู้ที่เป็นกบฏถึงกับปฏิเสธการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้ที่มีความเป็นกบฏมากเช่นนี้จะสามารถมีสิทธิ์ได้ชื่นชมกับพระคุณของพระเจ้าได้อย่างไร? พวกผู้ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขานั้นเป็นกบฏอย่างยิ่งต่อพระเจ้าและเป็นหนี้พระองค์มากมาย แต่พวกเขาหันหลังกลับและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่าพระเจ้าผิด มนุษย์ชนิดนี้จะสามารถมีค่าพอที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่เหตุเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การถูกกำจัดและลงโทษหรอกหรือ? ผู้คนที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้านั้นมีความผิดอยู่แล้วต่ออาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด ซึ่งแม้แต่ความตายก็เป็นการลงโทษที่ไม่เพียงพอ แต่พวกเขาก็ยังมีหน้ามาโต้เถียงกับพระเจ้าและเทียบตัวพวกเขากับพระองค์ อะไรคือมูลค่าของการทำให้ผู้คนเช่นนี้เพียบพร้อม? เมื่อผู้คนล้มเหลวในการทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วง พวกเขาควรรู้สึกผิดและเป็นหนี้ พวกเขาควรจะดูหมิ่นความอ่อนแอและความไร้ประโยชน์ของพวกเขา การเป็นกบฏและความเสื่อมทรามของพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น ควรจะมอบชีวิตของพวกเขาให้กับพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่มีค่าพอที่จะได้ชื่นชมกับพระพรและพระสัญญาของพระเจ้า และได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์ แล้วส่วนใหญ่ของพวกเจ้านั้นล่ะ? พวกเจ้าจะปฏิบัติต่อพระเจ้าที่ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าอย่างไร? พวกเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์อย่างไร? พวกเจ้าได้ทำทุกสิ่งที่เจ้าได้ถูกเรียกให้ทำโดยถึงกับต้องสละแม้แต่ชีวิตของเจ้าเองแล้วหรือยัง? พวกเจ้าได้พลีอุทิศอะไรไปบ้าง? พวกเจ้าไม่ได้รับมากมายจากเราแล้วหรอกหรือ? พวกเจ้าสามารถแยกแยะได้หรือไม่? พวกเจ้าจงรักภักดีต่อเราเพียงใด? พวกเจ้าได้รับใช้เราอย่างไร? แล้วทุกสิ่งที่เราได้ประทานให้พวกเจ้าและได้ทำเพื่อพวกเจ้านั้นเล่า? พวกเจ้าได้ทำการประเมินทุกอย่างไว้แล้วหรือยัง? พวกเจ้าทั้งหมดได้ตัดสินและเปรียบเทียบการนี้กับมโนธรรมน้อยนิดที่พวกเจ้ามีอยู่ในตัวพวกเจ้าแล้วหรือยัง? ใครคือผู้ที่คำพูดและการกระทำของพวกเจ้าสามารถมีค่าพอกับเขา? เป็นไปได้ไหมว่าการพลีอุทิศเพียงน้อยนิดของพวกเจ้านั้นมีค่าพอสำหรับทุกสิ่งที่เราได้ประทานให้พวกเจ้า? เราไม่มีทางเลือกอื่นใดและได้อุทิศตนอย่างสุดหัวใจให้พวกเจ้ามานานแล้ว แต่พวกเจ้ายังคงเก็บงำเจตนาชั่วร้ายไว้และมีความไม่เต็มใจต่อเรา นั่นคือขอบข่ายหน้าที่ของพวกเจ้า ภารกิจเพียงอย่างเดียวของพวกเจ้า มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกหรือ? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง? พวกเจ้าจะสามารถถูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร? มันไม่ชัดเจนสำหรับพวกเจ้าหรอกหรือว่าพวกเจ้ากำลังแสดงออกและดำรงชีวิตตามอะไร? พวกเจ้าได้ล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าให้ลุล่วง แต่พวกเจ้าพยายามที่จะได้รับความอดกลั้นและพระคุณอันไพบูลย์ของพระเจ้า พระคุณเช่นนี้ไม่ได้ถูกตระเตรียมไว้สำหรับคนที่ไร้ค่าและต่ำช้าเช่นพวกเจ้า แต่ถูกตระเตรียมไว้สำหรับพวกที่ไม่ขออะไรและพลีอุทิศด้วยความยินดี ผู้คนเช่นพวกเจ้า คนที่มีคุณภาพปานกลางเช่นนี้ ไม่มีค่าพออย่างที่สุดที่จะได้ชื่นชมกับพระคุณแห่งสวรรค์ มีแต่ความยากลำบากและการลงโทษที่ไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้นที่จะไปกับพวกเจ้าทุกวัน! หากพวกเจ้าไม่สามารถสัตย์ซื่อต่อเรา ชะตากรรมของพวกเจ้าก็จะเป็นชะตากรรมแห่งความทุกข์ หากเจ้าไม่สามารถรับผิดชอบต่อถ้อยคำของเราและงานของเรา บทอวสานของพวกเจ้าก็จะเป็นบทอวสานแห่งการลงโทษ พระคุณ พระพร และชีวิตอันวิเศษของอาณาจักรทั้งหมดนั้นจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกเจ้า นี่คือจุดจบที่พวกเจ้าสมควรได้พบและเป็นผลสืบเนื่องจากการกระทำของพวกเจ้าเอง!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์

ก่อนหน้า: ฉ. ว่าด้วยวิธีที่จะปฏิบัติการเชื่อฟังพระเจ้า

ถัดไป: ซ. ว่าด้วยวิธีที่จะสัมฤทธิ์การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger