67. หลังจากที่พ่อของฉันถูกไล่ออก

โดย อิซาเบลลา, ประเทศฝรั่งเศส

เมื่อสองสามปีก่อนตอนที่ฉันกำลังทำหน้าที่ไกลบ้าน จู่ๆ ฉันก็ได้ข่าวว่าพ่อของฉันถูกระบุว่าเป็นคนทำชั่วและถูกไล่ออกจากคริสตจักร  กล่าวกันว่าบทบาทของพ่อในคริสตจักรไม่มีความเป็นบวก แพร่มโนคติอันหลงผิด ความคิดลบ และบั่นทอนความกระตือรือร้นในการทำหน้าที่ของผู้คน  พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมกับพ่อและตัดแต่งพ่อไปหลายครั้ง แต่พ่อก็ไม่ยอมรับแต่อย่างใด และไม่เป็นมิตรกับคนที่เปิดโปงและตัดแต่งพ่อ  ฉันตกใจมากตอนที่ได้ข่าว  ฉันรู้ว่าพ่อเป็นคนเจ้าอารมณ์ แต่ก็รู้สึกว่าท่านมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี เปี่ยมรักต่อพี่น้องชายหญิง และช่วยเหลือเสมอเมื่อพวกเขามีความลำบากในชีวิต  เพื่อนบ้านทุกคนต่างก็บอกว่าพ่อชอบช่วยเหลือและรักผู้อื่น แล้วจู่ๆ ทำไมถึงถูกขับไล่เพราะเป็นคนชั่วไปได้?  ตั้งแต่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าเมื่อ ค.ศ. 2001 พ่อก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐและปฏิบัติหน้าที่ของตนมาตลอด  พ่ออาศัยนอนตามกองฟืนและสุสานเพื่อหลบหนีการจับกุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน  พ่อทนทุกข์มามากและแม้จะไม่ได้ทำอะไรโดดเด่นมากมาย แต่พ่อก็ทำงานหนักมาหลายปี  แล้วท่านถูกไล่ออกไปแบบนั้นได้อย่างไร?  ฉันนึกสงสัยว่าผู้นำคริสตจักรจัดการผิดพลาดใช่หรือไม่  ทำไมถึงไม่ให้โอกาสพ่อกลับใจ?  พอคิดเรื่องพ่อ ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดนักหนาอยู่พักใหญ่ และรู้สึกแย่แทนท่าน

หนึ่งปีให้หลัง ฉันกลับมาทำหน้าที่ที่บ้านเกิด  ตอนแรกที่เจอพ่อ ฉันยังคงรู้สึกไม่ดีแทนท่านจริงๆ และอยากทำอะไรก็ได้ที่ตนเองสามารถทำได้เพื่อพ่อ  พ่อดูแลฉันอย่างดีเยี่ยมเช่นกัน  แต่ฉันก็ค่อยๆ ตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องในวิธีการพูดของพ่อ  พ่อพูดเรื่องที่เป็นลบซึ่งสามารถทำให้ใครบางคนเข้าใจพระเจ้าผิด ตีตัวออกห่างจากพระเจ้า และรู้สึกหดหู่ได้  ยกตัวอย่างแม่ของฉัน  แม่เคยเป็นผู้นำคริสตจักร แต่ถูกย้ายเพราะมีขีดความสามารถอ่อนด้อยและไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง แม่จึงอยู่ในสภาวะที่คิดลบอยู่ระยะหนึ่ง  พ่อของฉันไม่ได้สามัคคีธรรมถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อช่วยแม่ แต่กลับพูดว่า “ไม่มีความมั่นคงปลอดภัยในพระนิเวศของพระเจ้า และทุกคนจะถูกปลดเข้าสักวัน  พระเจ้าไม่ทรงรู้หรอกหรือว่าคุณขาดพร่องขีดความสามารถ?  พระเจ้าทรงเจตนาให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นกับคุณ คัดเลือกคุณเป็นผู้นำ แล้วก็ปลดคุณ คุณจะได้ทนทุกข์  พระเจ้าทรงกำหนดขีดความสามารถที่ต่ำต้อยให้คุณ  ถ้าพระเจ้าไม่ได้ประทานขีดความสามารถที่ดี คุณก็จะไม่มีวันทำหน้าที่ได้ดี!”  หลังจากที่พ่อพูดแบบนั้น สภาวะของแม่ก็เลวร้ายลง  พอรู้ว่าพ่อพูดอะไรออกมา ฉันโกรธมากและรู้สึกว่าพ่อไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ  นี่เป็นการเปลี่ยนหน้าที่ตามปกติในคริสตจักร แต่พ่อกลับพูดว่าพระเจ้าทรงจงใจทำให้คนทนทุกข์  นั่นไม่ถูกต้องเลย  คริสตจักรจัดเตรียมและปรับเปลี่ยนหน้าที่ของผู้คนตามจุดแข็งของพวกเขา ในด้านหนึ่งก็เพื่อให้งานของคริสตจักรพัฒนาไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จมากขึ้น  อีกด้านหนึ่งก็เพื่อทำให้ผู้คนสามารถรู้จักขีดความสามารถและวุฒิภาวะของตน พวกเขาจะได้ค้นพบหน้าที่และตำแหน่งที่เหมาะสม ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของตนได้ดีขึ้น และลงมือทำในส่วนของตัวเอง  การจัดการเตรียมการเช่นนี้สอดคล้องกับหลักธรรมทุกอย่าง เป็นผลดีต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน  แม่ถูกโอนย้ายจากตำแหน่งผู้นำที่ทำอยู่ แต่ก็ได้ทำอีกหน้าที่หนึ่งที่เหมาะกับตัวเอง และสามารถรู้จักตนเองและได้รับบทเรียนจากความล้มเหลวนี้  นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ?  แล้วพ่อบิดเบือนความจริงได้อย่างไร?  ในคริสตจักรยังมีพี่น้องชายคนหนึ่งที่ลาออกจากงานเพื่อให้สามารถทำหน้าที่ของตนได้เต็มเวลา  ยามที่หน้าที่ของเขาไม่ยุ่งเกินไปนัก เขาก็ทำอาชีพเสริมเพื่อหารายได้  เป็นงานใช้แรงที่หนักเอาการ และเขาก็หาเลี้ยงตัวพลางปฏิบัติหน้าที่ของตนไปด้วย  เขาไม่เคยทำอะไรที่ต้องใช้แรงกายอย่างหนัก แล้วพอหมดแรง เขาก็จะรู้สึกแย่มาก  พอพ่อฉันรู้เข้า ท่านก็พูดกับพี่น้องคนนั้นว่า “ครอบครัวของผมเคยมีเงินมีทองใช้อยู่บ้าง แต่ตั้งแต่มาเชื่อในพระเจ้า พวกเราก็พลีอุทิศตลอดมา  ตอนนี้พวกเราแทบไม่เหลือเงินแล้ว ผมเองก็ต้องทำงานใช้แรงอย่างหนัก  คุณล้มเลิกอะไรๆ ไปมากแล้ว แต่วันหนึ่งคุณอาจจะร้องไห้เข้าจริงๆ…”  ฉันตกใจมากที่ได้ฟังพ่อพูดเช่นนั้น  ทำไมพ่อถึงสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายแบบนั้น?  เวลาที่ผู้คนละทิ้งทุกอย่างเพื่อสละตนเองแก่พระเจ้า แม้พวกเขาอาจไม่ได้มั่งคั่งนักในชีวิตทางวัตถุและอาจทุกข์ทนบ้าง แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับคือความจริงและชีวิต  นั่นคือบางสิ่งที่เงินทองไม่ว่าจำนวนเท่าใดก็ไม่สามารถแทนที่ได้  สิ่งที่พ่อพูดไปนั้นไม่ตรงตามความจริง  ชีวิตของพวกเราไม่ได้หนักหนาไปกว่าที่เคยเป็นมากนัก และหลายครั้งที่พ่อมีปัญหาในการหางานทำหรือมีความลำบากในชีวิต พระเจ้าก็ทรงเปิดทางให้ท่าน ช่วยให้พ่อได้งานที่เหมาะสมเพื่อให้หาเลี้ยงชีวิตได้ต่อไป  ก่อนที่จะรับเชื่อ พ่อดื่มเหล้าสูบบุหรี่ตลอด และสุขภาพแย่มาก  มือสั่นเวลาถือชามข้าว  พอมาเชื่อในพระเจ้า พ่อก็เลิกดื่มและใช้เวลาทำหน้าที่และสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง สุขภาพของพ่อจึงดีขึ้นเรื่อยๆ  ทุกคนที่พบเห็นพ่อต่างก็บอกว่าพ่อดูดีขนาดไหน บอกว่าพ่อดูราวกับเป็นคนใหม่  ครอบครัวของพวกเราได้รับพระคุณจากพระเจ้ามามากมายถึงเพียงนี้ แต่พ่อไม่เอ่ยถึงเลย กลับบิดเรื่องราวและพร่ำบ่น จงใจชักพาให้ผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิดและติเตียนพระองค์ ตั้งใจก่อกวนความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้า นำพวกเขาให้ออกห่างจากพระเจ้าและทรยศพระเจ้า

มีเรื่องเช่นนั้นอีกมากมายนัก  หลังจากที่ฉันเลิกศึกษาเล่าเรียนเพื่อทำหน้าที่ในคริสตจักรเต็มเวลา พ่อก็พูดเสมอว่า “ลูกสละมากมายโดยไม่เผื่อทางออกให้ตัวเองเลย  สักวันลูกจะเสียใจ”  นั่นฟังดูไม่ถูกต้อง  การที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทำหน้าที่ของตนอยู่ในคริสตจักรย่อมถูกต้องและเหมาะสม  นี่คือความรับผิดชอบของฉันและภาระผูกพันของฉัน  ฉันล้มเลิกที่จะเล่าเรียนด้วยความตั้งใจของตนเอง  การที่สามารถเชื่อและติดตามพระเจ้า และทำหน้าที่ของตนในคริสตจักรได้ คือพระคุณที่พระเจ้าประทานแก่ฉัน  และตลอดหลายปีมานี้ ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองในคริสตจักร ฉันจึงเข้าใจความจริงบางอย่างและได้รับสิ่งต่างๆ ที่ฉันไม่เคยได้จากโลกข้างนอก  ฉันรู้ว่าผู้คนควรไล่ตามเสาะหาอะไรในชีวิต และฉันก็เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างในโลกดีขึ้นมาก  ฉันไม่ติดตามกระแสชั่วทางโลกเหมือนคนหนุ่มสาวที่เป็นผู้ไม่เชื่อ  นี่คือของจริงที่ฉันได้รับโดยแท้ ซึ่งไม่มีทางได้จากโรงเรียนเป็นแน่  แต่พ่อกลับทำให้การสละเพื่อพระเจ้าในหน้าที่ของคนเรากลายเป็นเรื่องในทางลบ  นั่นไม่ใช่การเผยแพร่ความคิดลบและความตายหรอกหรือ?  ฉันจึงโต้กลับไปว่า “ลูกจะไม่เสียใจ!  ลูกอาจจะไม่ได้เรียนมาสองสามปีแล้ว และทำหน้าที่ของตัวเองแทน แต่ลูกก็ได้เรียนรู้ความจริงมากมายและได้อะไรมามากเหลือเกิน  ลูกจะไม่มีวันได้อะไรแบบนั้นจากหนังสือเป็นอันขาด  สิ่งที่พ่อพูดอยู่ไม่สอดคล้องกับความจริง”  ฉันตกใจมากเมื่อพ่ออารมณ์เสียขึ้นมา และกำหมัดแน่นด้วยความโกรธราวกับพ่อกำลังจะต่อยฉัน  แล้วฉันก็ตระหนักว่าพ่อไม่ใช่คนแบบที่ฉันเคยคิด  ฉันตัดสินพ่อจากความประพฤติภายนอกที่ดีเสมอมา ไม่ได้ใช้หลักธรรมความจริง  ฉันมองว่าพ่อกังวลสนใจและเอาใจใส่ฉันมาก ดูภายนอกก็มีความรักให้แก่พี่น้องชายหญิง และเป็นคนที่สภาวะความเป็นมนุษย์ไม่ได้ย่ำแย่  แต่เบื้องหลังพฤติกรรมที่ดูดีนั้นมีสิ่งชั่วร้ายอยู่ในหัวใจของพ่อ  พ่อมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์อย่างมหาศาล  คำพูดของพ่อฟังดูเหมือนปลอบโยนและเข้าอกเข้าใจ คำนึงถึงทางเลือกของพวกเรา แต่อันที่จริงแล้วพ่อกำลังเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ทำให้ผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิดและติเตียนพระองค์  การยอมรับวาจาของพ่อจะทำให้พวกเราเกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า หรือถึงกับอยากเลิกเชื่อ เลิกทำหน้าที่ เลิกสละเพื่อพระเจ้า และกลับสู่โลกภายนอก  ช่างชักนำไปในทางที่ผิดจริงๆ!

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่พูดถึงพฤติกรรมของพ่อ  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พวกที่อยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิงซึ่งระบายความรู้สึกในแง่ลบของตนอยู่เสมอนั้นเป็นสมุนของซาตานและพวกเขารบกวนคริสตจักร  สักวันหนึ่ง ผู้คนเช่นนี้ต้องถูกขับไล่และกำจัดออกไป  ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้น หากผู้คนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า หากพวกเขาไม่มีหัวใจที่นบนอบพระเจ้าแล้วไซร้ พวกเขาจะไม่เพียงแค่ไร้ความสามารถที่จะทำงานใดๆ เพื่อพระองค์ได้เท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาจะกลายเป็นพวกที่รบกวนพระราชกิจของพระองค์และพวกที่ท้าทายพระองค์  การเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่นบนอบหรือยำเกรงพระองค์ และกลับต่อต้านพระองค์แทนนั้น เป็นความอัปยศยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้เชื่อ  หากผู้เชื่อทั้งหลายแค่ทำตามใจชอบและไม่ระงับยับยั้งคำพูดและการประพฤติปฏิบัติตนเหมือนที่ผู้ไม่มีความเชื่อเป็นแล้วไซร้ พวกเขาก็เลวยิ่งกว่าผู้ไม่มีความเชื่อเสียอีก พวกเขาคือปีศาจขนานแท้… ทุกคนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามล้วนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม  บางคนไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ในขณะที่คนอื่นๆ แตกต่างออกไป นั่นคือ ไม่ใช่แค่พวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเท่านั้น แต่ธรรมชาติของพวกเขายังมุ่งร้ายอย่างที่สุดอีกด้วย  ไม่ใช่แค่คำพูดและการกระทำของพวกเขาเท่านั้นที่เปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของพวกเขา แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเหล่านี้คือหมู่มารและเหล่าซาตานอย่างแท้จริง  พฤติกรรมของพวกเขารบกวนและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก มันรบกวนการเข้าสู่ชีวิตของบรรดาพี่น้องชายหญิง และการนั้นสร้างความเสียหายต่อชีวิตตามปกติของคริสตจักร  ไม่ช้าก็เร็ว หมาป่าในคราบแกะเหล่านี้ต้องถูกชำระออกไป ท่าทีที่ไม่ผ่อนปรน ท่าทีแห่งการปฏิเสธ ควรจะถูกนำมาใช้กับสมุนของซาตานเหล่านี้  นี่เท่านั้นคือการยืนในฝ่ายของพระเจ้า และพวกที่ล้มเหลวในการทำเช่นนั้นกำลังเกลือกกลิ้งในโคลนตมกับซาตาน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง)  “ผู้คนที่ไม่ดิ้นรนเพื่อความก้าวหน้ามักจะปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นคนคิดลบและเฉื่อยชาเหมือนตัวพวกเขาเองเสมอ  พวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงย่อมอิจฉาผู้ที่ปฏิบัติ และพยายามชักพาผู้ที่เลอะเลือนและไม่มีวิจารณญาณให้หลงผิดอยู่เสมอ  สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนเหล่านี้ระบายออกมาสามารถเป็นสาเหตุให้เจ้าเสื่อมถอย ตกต่ำ พัฒนาไปสู่สภาวะผิดปกติ และเต็มไปด้วยความมืดได้  สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุให้เจ้ากลับกลายเป็นห่างเหินไปจากพระเจ้า และให้เจ้าหวงแหนเนื้อหนังและปรนเปรอตัวเจ้าเอง  ผู้คนที่ไม่รักความจริงและที่มักจะสุกเอาเผากินต่อพระเจ้าอยู่เสมอนั้น ไม่มีความตระหนักรู้ในตนเอง และอุปนิสัยของผู้คนเช่นนั้นล่อลวงผู้อื่นให้กระทำบาปและเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า  พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง อีกทั้งพวกเขาไม่ยอมให้ผู้อื่นปฏิบัติความจริง  พวกเขาหวงแหนบาปและไม่มีความรังเกียจตัวเองเลย พวกเขาไม่รู้จักตัวเอง และพวกเขาหยุดผู้อื่นจากการรู้จักตัวเอง พวกเขายังหยุดผู้อื่นจากการอยากได้ความจริงอีกด้วย  ผู้ที่พวกเขาชักพาให้หลงผิดย่อมไม่สามารถมองเห็นความสว่างได้  พวกเขาตกอยู่ในความมืด ไม่รู้จักตัวเอง ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความจริง และกลายเป็นเหินห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง)  พอไตร่ตรองดู ฉันจึงเห็นว่าผู้ที่เผยแพร่มโนคติอันหลงผิด และความคิดลบในหมู่พี่น้องชายหญิงอยู่เสมอย่อมเป็นของซาตาน  ผู้คนเช่นนั้นทำตัวเป็นลูกสมุนของซาตาน รบกวนและชักนำให้คนหลงผิด และกีดกันพวกเขาจากการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  การที่พ่อพูดจาแบบนั้นและพูดอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่การแสดงความเสื่อมทรามเพียงชั่วครั้งชั่วคราวหรือแสดงความคิดลบและความอ่อนแอให้เห็นเท่านั้น  นี่เป็นเพราะท่านเกลียดความจริงและเกลียดพระเจ้าจากแก่นแท้ธรรมชาติของพ่อเอง ดังนั้นเวลามีอะไรเกิดขึ้น มุมมองที่พ่อแสดงออกมาจึงตรงข้ามกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงทั้งสิ้น ทั้งหมดนั้นคือมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเพื่อให้ผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิด ติเตียนและทรยศพระองค์  ฉันมองเห็นว่าพ่อไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่อย่างใด  พ่อปฏิบัติหน้าที่ของตนเพียงเพื่อให้ได้พร และเมื่อไม่ได้รับพรทางด้านวัตถุสำหรับความทุกข์และการสละของตน พ่อจึงรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และถึงกับเต็มไปด้วยความโกรธเคืองและเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า  พ่อไม่สามารถติดตามเส้นทางแห่งความเชื่อ และอยากชักจูงคนอื่นให้ออกห่างจากพระเจ้า ทรยศพระเจ้า และประจันหน้าพระเจ้าไปพร้อมกับตน  คำพูดของพ่อเต็มไปด้วยเล่ห์กลของซาตาน ทั้งหมดก็เพื่อเล่นงานความตั้งใจในหน้าที่ของผู้คนและทำลายความสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับพระเจ้า  พ่อเป็นเพียงลูกสมุนของซาตาน เป็นคนของมาร  คนปกติที่มีจิตใจดีย่อมจะไม่จงใจทำอะไรแบบนั้นไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกคิดลบและอ่อนแอเพียงไหนก็ตาม  มีเพียงปีศาจที่เอาเยี่ยงซาตานเท่านั้นที่จะรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้ามากขนาดนั้น  ฉันรู้สึกมากขึ้นทุกทีว่าพ่อของตัวเองน่ากลัวมาก ว่าพ่อไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนทำชั่ว

ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ความว่า “อาจเป็นไปได้ว่าตลอดหลายปีที่เจ้ามีความเชื่อในพระเจ้า เจ้าไม่เคยสาปแช่งใครหรือกระทำความประพฤติเลวร้ายใดๆ แต่ในการคบหาสมาคมกับพระคริสต์ของเจ้า เจ้าไม่สามารถพูดความจริง กระทำการอย่างซื่อสัตย์ หรือนบนอบพระวจนะของพระคริสต์ ในกรณีเช่นนั้น เราบอกเลยว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ชั่วร้ายและมุ่งร้ายที่สุดในโลก  เจ้าอาจมีอัธยาศัยดีและอุทิศตนเป็นพิเศษต่อบรรดาญาติ เพื่อน ภรรยา (หรือสามี) บุตรชายหญิง และบิดามารดาของเจ้า และไม่เคยเอาเปรียบผู้อื่น แต่หากเจ้าไม่สามารถเข้ากันได้กับพระคริสต์ หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์อย่างปรองดองกับพระองค์ได้แล้วไซร้ ต่อให้เจ้าสละทั้งหมดที่มีให้กับเพื่อนบ้านของเจ้า หรือดูแลเอาใจใส่บิดามารดาและสมาชิกในครัวเรือนของเจ้าอย่างพิถีพิถัน เราก็จะบอกว่าเจ้ายังคงเป็นคนชั่ว และยิ่งกว่านั้น ยังเต็มไปด้วยเพทุบายอันเจ้าเล่ห์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่เข้ากันไม่ได้กับพระคริสต์คือปรปักษ์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน)  บทตอนนี้ช่วยให้ฉันมองเห็นว่าพวกเราไม่อาจบอกได้ว่าใครดีใครชั่วด้วยการดูภายนอกว่าพวกเขาปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร แต่สามารถบอกได้จากท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและความจริง  ไม่ว่าพวกเขาจะดีขนาดไหนเมื่อมองจากภายนอก หรือไม่ว่าผู้คนจะคิดกับพวกเขาอย่างไร ถ้าโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาเกลียดความจริงและพระเจ้า พวกเขาก็คือคนทำชั่วที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า  แม้พ่อของฉันจะดูมีน้ำใจไมตรี คอยช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงในเวลาที่พวกเขาขาดพร่องอะไร ไม่เคยตระหนี่ถี่เหนียว และใช้จ่ายเต็มที่เวลาเป็นเจ้าบ้านให้แก่พี่น้องชายหญิง แม้พ่อจะดูเป็นคนดีที่มีใจกรุณา แต่โดยแก่นแท้ธรรมชาติแล้วพ่อรังเกียจความจริง พ่อเกลียดความจริง  พ่อรู้ดีว่าพระเจ้าทรงเปิดโปงทัศนะผิดๆ ของพวกเราที่มีความเชื่อเพียงเพื่อที่จะแสวงหาพรเท่านั้น แต่พอพระเจ้าทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมที่ไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของพ่อ ไม่สนองตอบความอยากได้อยากมีพรของพ่อ พ่อก็ทำตัวน่าเกลียด เต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ตัดสินพระองค์และถึงขั้นเกลียดพระองค์  หลายปีมานี้พ่อไม่เคยทบทวนตัวเองหรือแสวงหาความจริง เอาแต่ตัดสินพระราชกิจของพระเจ้า และเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดที่พ่อมีต่อพระองค์  เจตนาในคำพูดของพ่อมีเล่ห์กลของซาตานอยู่ พาให้ผู้คนคิดลบและอ่อนแอโดยไม่ทันรู้ตัว  นี่ช่างชั่วร้ายเสียจริง  พระเจ้าทรงประเมินผู้คนตามแก่นแท้ของพวกเขา ตามท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและความจริง  แต่ฉันกลับประเมินพ่อของตนเองตามการแสดงออกภายนอก  เมื่อเห็นว่าพ่อมีพฤติกรรมที่ดีอยู่บ้าง ฉันก็เชื่อว่าพ่อเป็นคนดีและคริสตจักรไม่ควรไล่พ่อออก ดังนั้นฉันจึงอยากให้การสนับสนุนท่าน  ฉันไม่ได้เข้าใจความจริงหรือใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นข้อควรปฏิบัติของตน  ฉันช่างเขลาจริงๆ  เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกว่าคริสตจักรทำถูกแล้วที่ไล่พ่อออก  พ่อเกลียดพระเจ้าและความจริง การถูกคริสตจักรไล่ออกจึงต้องโทษตัวพ่อเองเท่านั้น  ฉันไม่รู้สึกเสียใจแทนพ่ออีกแล้ว  ฉันรู้สึกเป็นอิสระ

จากนั้นก็มีเรื่องอื่นเกิดขึ้นที่ทำให้ฉันยิ่งรู้จักและเข้าใจพ่อในเชิงลึก  พ่อของฉันได้ข่าวว่าพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่เคยตัดแต่งพ่อมาก่อน ถูกปลดจากหน้าที่ของเธอ  พ่อมีความสุขมากกับข่าวนี้ และด้วยประกายแห่งความเกลียดชังในดวงตา พ่อก็กัดฟันกรอดและพูดว่า “จำได้ไหมว่าคุณตัดแต่งผมอย่างไร?  คุณบอกว่าผมไม่มีหลักธรรมในการทำหน้าที่ ไม่ปฏิบัติความจริง  ครั้งนี้ถึงคราวคุณละ!”  แววตาของพ่อดุร้ายมากและสีหน้าก็ดูน่ากลัว  ฉันได้เห็นว่าพ่อไม่มีความเห็นใจอะไรทั้งสิ้น  ตอนที่ถูกตัดแต่ง พ่อก็ไม่ได้แสวงหาความจริงและไม่ได้เรียนรู้ แต่กลับเกลียดคนคนนั้นมาหลายปีเพราะความภาคภูมิใจของตนได้รับความกระทบกระเทือน  นี่ยิ่งพิสูจน์ให้ฉันเห็นว่าโดยแก่นแท้แล้ว พ่อเป็นคนที่มีใจมุ่งร้าย เป็นคนทำชั่วที่เกลียดความจริง  นี่คือคนทำชั่วที่แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา และแน่นอนว่าการไล่พ่อออกจากคริสตจักรย่อมถูกต้องแล้ว

ในเวลาต่อมา พระนิเวศของพระเจ้าได้จัดแจงให้คริสตจักรหลายแห่งตรวจสอบดูว่ามีคนที่ถูกให้ออกหรือไล่ออกอย่างไม่ถูกต้องบ้างหรือไม่ หรือมีคนที่ถูกให้ออกหรือไล่ออกคนไหนกลับใจจริงๆ บ้างไหม  สำหรับผู้คนเหล่านี้ คริสตจักรสามารถพิจารณาคืนตำแหน่งให้พวกเขาได้ตามหลักธรรม  ผู้นำคนใหม่ไม่รู้สถานการณ์ของพ่อฉัน  เธอเห็นท่าทางกระตือรือร้นและเต็มใจที่จะเป็นเจ้าบ้านให้พี่น้องชายหญิงของพ่อ เห็นว่าพ่อช่วยเหลือพวกเขาหางาน เป็นคนที่ใส่ใจอย่างมาก และถวายของบ้าง  เพราะฉะนั้นเธอจึงคิดว่าพ่อคงถูกไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม และอยากพาพ่อกลับเข้าคริสตจักร  พอได้ฟังผู้นำกล่าวเช่นนี้ ฉันก็ตกใจมาก เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าการไล่พ่อออกมานั้นสอดคล้องกับหลักธรรมทุกอย่าง ไม่ใช่การไล่ออกที่ผิดพลาด  ฉันจึงพูดทันทีว่า “จะให้พ่อกลับเข้ามาอีกไม่ได้”  ด้วยความที่ไม่รู้จักพ่อ เธอจึงสามัคคีธรรมถึงการที่ผู้คนต้องการโอกาสที่จะกลับใจ  ตอนแรกฉันอยากเล่าพฤติกรรมต่างๆ ของพ่อโดยเฉพาะ แต่ก็ลังเลและไม่ได้พูดอะไรออกไป  ฉันคิดอยู่ว่านี่คือพ่อตัวเองที่เลี้ยงดูฉันมาตลอดหลายปีนี้  ถ้าพ่อรู้ว่าฉันขัดขวางไม่ให้รับท่านกลับเข้ามาอีกครั้ง พ่อคงจะเจ็บปวดมาก แล้วก็โกรธฉันมาก!  พอคิดแบบนั้น ฉันก็ปิดปากเงียบ แต่ก็รู้สึกผิดจริงๆ หลังจากที่ผู้นำเดินออกไป  เรื่องของพ่อมีแค่แม่กับฉันที่รู้อย่างชัดแจ้ง และการไม่พูดในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งแบบนี้ย่อมจะเป็นการปกป้องงานของคริสตจักรไม่สำเร็จ  คืนนั้นฉันได้แต่นอนกระสับกระส่าย และนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้าหากไม่ใชพวกผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า?  พวกเขามิใช่ผู้คนเหล่านั้นที่เป็นกบฏต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  พวกเขามิใช่บรรดาผู้ที่อ้างว่ามีความเชื่อทว่ายังเป็นผู้ขาดพร่องความจริงหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ใช่บรรดาผู้ที่เพียงแค่พยายามให้ได้มาซึ่งพรในขณะที่ไร้ความสามารถที่จะเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรอกหรือ?  เจ้ายังคงอยู่ร่วมกันกับปีศาจเหล่านั้นวันนี้ และปฏิบัติต่อพวกมันด้วยจิตสำนึกและความรัก แต่ในกรณีนี้ เจ้ามิได้กำลังหยิบยื่นเจตนาที่ดีต่อซาตานหรอกหรือ?  เจ้ามิได้อยู่ร่วมขบวนการเดียวกับพวกปีศาจหรอกหรือ?  หากผู้คนมาได้จนถึงจุดนี้แต่ยังไร้ความสามารถที่จะแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วได้ และยังคงหลับหูหลับตารักและเมตตาต่อไปโดยไม่มีความปรารถนาใดๆ ที่จะแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือไม่ว่าจะหนทางใดก็ไม่มีความสามารถที่จะรับเจตนารมณ์ของพระเจ้าไว้เสมือนเป็นของตนเองได้ เช่นนั้นแล้ว วาระสุดท้ายของพวกเขาจะล้วนน่าอนาถยิ่งขึ้นไปอีก ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่เป็นมนุษย์ก็คือศัตรูของพระเจ้า  หากเจ้าสามารถแบกรับจิตสำนึกและความรักต่อศัตรูได้ เจ้ามิได้ขาดสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรมหรอกหรือ?  หากเจ้าสามารถเข้ากันได้กับพวกเหล่านั้นที่เรารังเกียจและกับพวกที่เราไม่เห็นด้วย และยังคงแบกรับความรักหรือความรู้สึกส่วนตัวต่อพวกเขาอยู่ เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้เป็นกบฏหรอกหรือ?  เจ้ามิได้กำลังต้านทานพระเจ้าโดยเจตนาหรอกหรือ?  บุคคลเช่นนั้นถือครองความจริงกระนั้นหรือ?  หากผู้คนแบกรับจิตสำนึกต่อเหล่าศัตรู มีความรักให้ปีศาจ และปรานีต่อซาตาน เช่นนั้นแล้ว พวกเขามิได้กำลังทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักโดยเจตนาหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน)  ฉันรู้สึกแย่เมื่อนึกถึงพระวจนะของพระเจ้า  ฉันรู้ดีอย่างมากว่าพ่อเกลียดความจริงและต้านทานพระเจ้า ว่าโดยแก่นแท้แล้วพ่อคือคนทำชั่ว  พ่อไม่ตรงกับหลักธรรมในการรับคนกลับเข้ามาใหม่ของคริสตจักร  แต่ฉันก็ยังอยากที่จะปิดบังให้พ่อและปกป้องท่าน และไม่สามารถเปิดโปงพฤติกรรมชั่วของท่าน  ฉันอ่อนไหวเกินไป  ฉันกำลังใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน เช่น “เลือดข้นกว่าน้ำ” และ “มนุษย์มิใช่ไร้ชีวิตจิตใจ เขาจะสามารถเป็นอิสระจากภาวะอารมณ์ได้อย่างไรกัน?”  ฉันคิดว่าพ่อคือพ่อของฉัน ฉันจะไร้หัวใจมากไปก็ไม่ได้ ต้องทำตัวดีเข้าไว้  ฉันกลัวว่าพ่อจะเกลียดฉันถ้าพ่อรู้ว่าฉันพูดถึงปัญหาของท่าน กลัวว่าพ่อจะหาว่าฉันเนรคุณและเลี้ยงเสียข้าวสุกมาตลอดหลายปีนี้  ฉันไม่ได้มองสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า แต่กลับใช้ความรู้สึกปกป้องพ่อแทนการปกป้องงานของคริสตจักร  ฉันทั้งต้านทานและทรยศพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองทำ  แก่นแท้ของพ่อคือแก่นแท้ของคนทำชั่ว และถ้าพ่อกลับเข้าคริสตจักร ท่านก็มีแต่จะทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักและขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงเท่านั้น  นั่นไม่ทำให้ฉันเป็นผู้ช่วยของคนทำชั่วหรอกหรือ?  ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งรู้สึกแย่ลง  พอใช้ชีวิตตามอารมณ์ของตนเอง ฉันก็ไม่รู้จักแยกแยะถูกผิดและหลงลืมหลักธรรมของการเป็นมนุษย์

ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “พระวจนะของพระเจ้าเอ่ยขอให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักธรรมใดหรือ?  จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และจงเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง กล่าวคือ นี่คือหลักธรรมที่ควรปฏิบัติตาม  พระเจ้าทรงรักบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้  เหล่านี้ยังเป็นผู้คนที่พวกเราควรรักด้วยเช่นกัน  พวกที่ไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้ที่เกลียดชังและกบฏต่อพระเจ้า—พระเจ้าทรงรังเกียจผู้คนเหล่านี้ และพวกเราก็ควรรังเกียจพวกเขาเช่นกัน  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอต่อมนุษย์  หากบิดามารดาของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า หากพวกเขารู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมว่าความเชื่อในพระเจ้าคือเส้นทางที่ถูกต้อง และสามารถนำไปสู่ความรอด แต่ทว่ายังคงไม่ยอมรับ เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคือผู้คนที่รังเกียจและเกลียดชังความจริง และพวกเขาคือผู้ที่ขัดขืนและเกลียดชังพระเจ้า—แล้วก็เป็นธรรมดาที่พระเจ้าจะทรงชังและเกลียดพวกเขา  เจ้าจะนึกชังบิดามารดาเยี่ยงนี้ได้หรือไม่?  พวกเขาต่อต้านและด่าว่าพระเจ้า—ซึ่งในกรณีนั้นแน่นอนว่าพวกเขาย่อมเป็นปีศาจและเป็นซาตาน  เจ้าจะสามารถเกลียดชังและสาปแช่งพวกเขาได้หรือไม่?  เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่แท้จริง  หากบิดามารดาของเจ้ากีดกันเจ้าไม่ให้เชื่อในพระเจ้า เจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  ตามที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอ เจ้าควรรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง  ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ‘ใครเป็นมารดาของเรา?  ใครเป็นพี่น้องของเรา?’ ‘เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา’  พระวจนะเหล่านี้มีอยู่แล้วย้อนหลังไปในยุคพระคุณ และบัดนี้พระวจนะของพระเจ้าก็ยิ่งชัดเจนขึ้นอีก กล่าวคือ ‘จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง’  พระวจนะเหล่านี้ตัดตรงเข้าจุด ทว่าบ่อยครั้งที่ผู้คนไร้ความสามารถที่จะจับความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น)  พระวจนะของพระเจ้ามอบหลักธรรมที่ฉันต้องนำมาใช้กับพ่อ  ท่านเป็นพ่อของฉัน แต่ก็เป็นคนชั่วโดยแก่นแท้ธรรมชาติ  พ่อเกลียดความจริงและเป็นศัตรูของพระเจ้า  พ่อมีแต่จะก่อให้เกิดการหยุดชะงักในคริสตจักรและทำร้ายพี่น้องชายหญิงเท่านั้น  พระเจ้าทรงเกลียดชังและรังเกียจผู้คนแบบนั้น และพระองค์ย่อมไม่ทรงช่วยคนทำชั่วให้รอด  การคำนึงถึงความรู้สึกดีๆ และความรักที่ฉันมีต่อพ่อย่อมจะโหดร้ายต่อพี่น้องชายหญิง ทำให้คริสตจักรเสียหาย และเป็นการเข้าข้างคนทำชั่วในการต้านทานพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระองค์!

ภายหลัง ฉันกับแม่สามัคคีธรรมกันในเรื่องนี้ เราทั้งคู่รู้สึกว่านี่คือการที่พระเจ้าทรงทดสอบพวกเรา ว่าพวกเราต้องปฏิบัติความจริงและค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักร  ถ้าพวกเราปิดบังให้พ่อและปกป้องพ่อ และไม่เปิดเผยพฤติกรรมอันชั่วของพ่อ พวกเราก็จะพลอยมีส่วนในความชั่วของพ่อ และย่อมจะถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและลงโทษไปด้วย  พ่อของฉันยังไม่ได้รับตำแหน่งคืน แต่พอพี่น้องชายหญิงมาเยี่ยมพวกเรา พ่อก็ยังจะเผยแพร่วาจาแห่งความคิดลบและความตายที่สร้างความยุ่งเหยิงให้แก่พวกเขา  ถ้าพ่อกลับมา ไม่ว่ากลุ่มไหนที่พ่อไปพูดคุยด้วยก็คงเสียหายกันหมด และไม่ว่าคริสตจักรไหนที่พ่อติดต่อด้วย ก็คงมีเหยื่อเต็มคริสตจักรไปหมด!  ถ้าฉันเพิกเฉยต่อมโนธรรมของตนเองและเงียบไว้ นั่นย่อมจะสร้างความเสียหายให้แก่พี่น้องชายหญิง และจะเป็นการก่อกวนงานของคริสตจักร!  ฉันยิ่งกลัวมากขึ้นและตระหนักว่าในช่วงเวลาอันวิกฤตินี้ การปกป้องงานของคริสตจักรหรือการปิดบังให้คนทำชั่วเกี่ยวข้องกับจุดยืนที่ฉันมี  ผู้นำคริสตจักรไม่รู้จักพ่อ คิดว่าพ่อดูภายนอกแล้วเป็นคนดี และกำลังพิจารณาว่าพ่อควรมีโอกาสกลับเข้าคริสตจักรอีกครั้งหรือไม่  แต่พวกเรารู้จักพ่อ พวกเราจึงต้องปฏิบัติความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ และรายงานพฤติกรรมอันชั่วของพ่อแก่ผู้นำตามความสัตย์จริง  ไม่กี่วันให้หลัง ผู้นำได้มาชุมนุมที่บ้านของพวกเรา  แม่กับฉันจึงเปิดใจเกี่ยวกับพฤติกรรมอันชั่วของพ่อ และในที่สุดก็ไม่มีการเชิญพ่อกลับไป  ฉันรู้สึกถึงสันติสุขอย่างแท้จริงเมื่อปฏิบัติเช่นนี้

ตอนแรก ฉันหลงเชื่อพฤติกรรมภายนอกของพ่อ และไม่มีวิจารณญาณใดๆ ในเรื่องของท่าน  ฉันไม่สามารถแยกแยะคนดีกับคนชั่ว  เนื่องจากพ่อฉันถูกไล่ออก ฉันจึงได้เรียนรู้ความจริงบางอย่างและมีวิจารณญาณขึ้นมาบ้าง มองเห็นแก่นแท้ของพ่ออย่างชัดเจนว่าเป็นคนทำชั่ว  ฉันเอาชนะการจำกัดควบคุมของอารมณ์อันอ่อนไหวและปฏิบัติกับพ่อตามหลักธรรมความจริง  นั่นคือการคุ้มครองและความรอดที่พระเจ้าทรงมีให้ฉัน!  ขอคำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 66. การตัดสินใจที่มิอาจลบเลือน

ถัดไป: 68. ตอนนี้ฉันรู้วิธีเป็นพยานต่อพระเจ้าแล้ว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger