44. การสอบสวนลับในโรงแรม

โดย ซ่งผิง, ประเทศจีน

วันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 ฉันกับพี่น้องหญิงคนหนึ่งนัดกันไปชุมนุม  ประมาณบ่ายสองโมง ขณะที่ฉันกำลังรอเธออยู่ใกล้ร้านรองเท้า ฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งมองฉันเป็นระยะๆ พลางคุยโทรศัพท์ไปด้วย ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ  พอตอนที่ฉันกำลังจะออกจากตรงนั้นนั่นเอง ฉันก็ได้ยินว่า “อย่าขยับ!”  ฉันเห็นคนสี่ห้าคนปรี่เข้ามาหาฉัน และฉันก็คิดว่า “โอ ไม่นะ นี่มันพวกตำรวจนี่!”  ฉันพยายามวิ่งหนี แต่ชายสองคนตามฉันมาทัน กดฉันลงกับพื้น จากนั้นก็ผลักฉันขึ้นรถ ที่ซึ่งฉันได้เห็นพี่น้องหญิงอีกสามคนถูกจับมาพร้อมกับฉัน

พวกตำรวจนำตัวพวกเราไปสถานีตำรวจและสั่งให้พวกเรายืนอยู่ตรงข้างกำแพงสนาม  ฉันประสาทเสียไปหมด  ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างตั้งใจจริง และนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “จงอย่ากลัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26)  จริงสิ เมื่อมีพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้าง ฉันจำเป็นต้องกลัวสิ่งใดเล่า?  ฉันจำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้าเพื่อรับประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมนี้  ฉันค่อยๆ สงบใจตัวเองลงจนได้  หลังจากนั้นตำรวจหญิงคนหนึ่งก็บังคับให้ฉันเปลื้องผ้าเพื่อค้นตัว และจงใจให้ฉันนั่งยองๆ ในท่าแยกขา  ฉันรู้สึกอับอายและโกรธจริงๆ

คืนต่อมา พวกตำรวจนำตัวฉันไปที่โรงแรมสูงหกชั้น  พวกนั้นได้เช่าสามชั้นบนของโรงแรมมาเปลี่ยนให้เป็นศูนย์สอบสวนลับเพื่อกักตัวและทรมานบรรดาผู้เชื่อในพระเจ้า  เมื่อฉันไปถึงชั้นที่หก ฉันก็เห็นพี่น้องชายหญิง 20 กว่าคนยืนเรียงแถวอยู่ และฉันตกตะลึงว่า มีคนถูกจับมามากมายเหลือเกิน!  ดูเหมือนว่าพรรคคอมมิวนิสต์จับกุมพวกเขาทั้งหมดมาพร้อมกัน  ฉันไม่รู้ว่าตำรวจจะปฏิบัติต่อพวกเราอย่างไร ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบกริบ ขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองพวกเราให้พวกเราสามารถตั้งมั่นได้  จากนั้นพวกตำรวจก็แยกพวกเราไปสอบสวน

ตอนตีห้าของวันที่สาม ตำรวจอ้วนนายหนึ่งเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงตะคอกว่า “ชายคนที่ฉันสอบสวนมาเป็นผู้นำ เป็นคนที่ดื้อรั้นเสียด้วย  กว่าจะสอบสวนเสร็จก็ปาเข้าไปตีสองตีสาม”  เขาวางท่าภูมิใจพูดต่อไปว่า “ก่อนอื่นเลยนะ ฉันก็เตะเข้าที่หน้ามันอย่างแรง แล้วฉันก็เตะหนักๆ ไปที่หน้าอีกข้างของมัน แล้วจากนั้น ฉันก็ใช้สองมือตบหน้ามันซ้ำๆ”  เขาสะบัดมือแล้วบ่นอย่างโกรธเคืองต่อไปว่า “ฉันตบมันแรงมากจนมือฉันเจ็บ ฉันก็เลยหยิบขวดที่มีน้ำแร่อยู่ครึ่งหนึ่งมาฟาดหน้ามันจนฉันขยับแขนไม่ไหว  หน้ามันเสียรูปไปหมดเลยนะ  ดูไม่ออกเลยว่ามันเป็นใคร”  ฉันประหวั่นพรั่นพรึงไปกับผลงานการแสดงของตำรวจคนนั้น  หัวใจฉันเต้นแรง และฉันรู้สึกโกรธมากเป็นพิเศษ “ตำรวจพวกนี้โหดร้ายเหลือเกิน ถ้าพวกมันซ้อมฉันเหมือนที่ซ้อมพี่น้องชายของฉัน ฉันจะทนไหวไหม?”  ฉันไม่กล้าคิดต่อ  ฉันรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองพี่น้องชายที่ถูกซ้อม และทรงคุ้มครองฉันด้วย เพื่อให้พวกเราสามารถมั่นใจในการรับประสบการณ์กับสภาวะแวดล้อมนี้

ในเช้าวันที่สี่ พวกตำรวจนำตัวฉันไปที่สถานี  นายตำรวจแซ่หวู่ถามว่าฉันมีตำแหน่งอะไรในคริสตจักร  ฉันบอกว่าฉันเป็นผู้เชื่อธรรมดาคนหนึ่ง  เขาทะลึ่งพรวดขึ้นยืนและพูดว่า “ฉันเดาว่าถ้าแกไม่เจ็บตัวเสียบ้าง แกก็คงไม่พูดความจริงสินะ!”  เขาสั่งให้ฉันกางแขนออก ย่อตัวลง ยืนขึ้น แล้วก็เคลื่อนไหวแบบนั้นซ้ำๆ  หลังจากทำอยู่นาน ฉันก็เหนื่อยมากจนเหงื่อท่วมตัว ขาก็ล้าไปหมด  ฉันร่วงลงไปที่พื้น  เขายิ้มเยาะพูดว่า “แกรู้อะไรไหม?  ไม่ว่าใครจะแกร่งขนาดไหน ที่นี่ พวกมันก็ต้องก้มหัวให้ฉัน  แกเป็นผู้นำหรือเปล่า?  หัวหน้าของแกเป็นใคร?”  เมื่อฉันไม่ตอบอะไร เขาก็สั่งให้ฉันนั่งย่อตัวลง  หลังจากนั่งยองอยู่สองสามนาที ขาของฉันก็เริ่มสั่น ขาทั้งสองบวมเป่ง และไม่นานฉันก็ทรุดฮวบลงไป  เขาสั่งให้ฉันลุกขึ้นและลงนั่งยองต่อไป ฉันทำแบบนั้นซ้ำอยู่เกิน 800 ครั้ง  ตำรวจนายหนึ่งพูดอย่างข่มขวัญว่า “ดูสิว่าแกเหงื่อออกขนาดไหน  น่าสมเพช  ทำไมแกถึงทุกข์ทนแบบนี้?  พระเจ้าอยู่ที่ไหน?  ถ้าแกบอกสิ่งที่แกรู้ แกก็ไม่ต้องทนทุกข์  แต่ถ้าไม่ แกจะทุกข์ทนอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว”  การที่ได้ฟังคำพูดของนายตำรวจคนนี้ทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยง  ฉันตวัดตามองเขาและพูดว่าฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น  พวกเขาใส่กุญแจมือฉันไพล่หลังกับเก้าอี้เสือ  หลังจากถูกใส่กุญแจมืออยู่สักพัก ฉันก็รู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจลำบาก  ฉันเกือบจะหายใจไม่ออก  ฉันจึงขอให้พวกนั้นถอดกุญแจมือ และหลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดพวกเขาก็ถอดกุญแจมือ  ต่อมา นายตำรวจคนหนึ่งเข้ามาพูดว่า “พยายามเข้าใจสถานการณ์ของแกหน่อย  คนอื่นสารภาพกันหมดแล้ว  การนั่งปิดปากเงียบอยู่ตรงนี้คนเดียวมันเป็นเรื่องโง่นะ ว่าไหม?  บอกสิ่งที่แกรู้มาเดี๋ยวนี้ แล้วเราจะปล่อยแกไป”  จากนั้นเขาก็เอารูปถ่ายออกมาสองสามรูปและสั่งให้ฉันชี้ตัวคนในรูปพวกนั้น  เขาพูดว่า “คนพวกนี้ถูกจับมาหมดเรียบ แถมบอกว่ารู้จักแกด้วย  แกรู้จักพวกมันไหม?  พวกมันทำงานอะไรในคริสตจักร?”  ฉันคิดว่า “ถ้าพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ยอมรับว่ารู้จักฉันจริง แต่ฉันพูดว่าไม่รู้จักพวกเขา พวกตำรวจก็จะไม่ปล่อยฉันไปแน่  แต่ถ้าฉันพูดว่ารู้จักพวกเขา ฉันก็จะทรยศพี่น้องชายหญิง  นั่นจะทำให้ฉันเป็นยูดาสที่ทรยศพระเจ้า  ฉันควรทำอย่างไรดี?”  ตอนนั้นเอง ฉันนึกขึ้นได้ถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ในทุกเวลา ประชากรของเราควรเตรียมพร้อมต่อต้านกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน พิทักษ์ประตูบ้านของเราเพื่อเรา… เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในกับดักของซาตาน ซึ่งในเวลานั้นก็คงจะสายเกินกว่าจะเสียใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 3)  ฉันตระหนักว่านี่เป็นเล่ห์กลหนึ่งของซาตาน  พวกตำรวจอาจจะกำลังใช้วิธีการนี้มาหลอกลวงให้ฉันทรยศพี่น้องชายหญิงและทรยศพระเจ้า  ฉันจะตกหลุมพรางไม่ได้  ต่อให้พี่น้องชายหญิงยอมรับว่ารู้จักฉัน ฉันก็ยังไม่อาจทรยศพวกเขาได้  เมื่อคิดแบบนี้ ฉันจึงพูดว่าฉันไม่รู้จักพวกเขา

นายตำรวจแซ่หวู่เห็นว่าฉันไม่ถูกหลอก จึงพูดอย่างโมโหว่า “อยากเห็นนักว่าแกดื้อรั้นสักแค่ไหน!”  จากนั้นเขาก็สั่งให้ฉันลุกขึ้นแล้วสวมกุญแจมือฉันกับลูกกรงโลหะตรงหน้าต่างโถงทางเดิน  ตัวฉันถูกแขวนลอยอยู่ในอากาศ ข้อมือฉันเจ็บปวดจนสุดจะทน และในขณะเดียวกัน พวกตำรวจก็มองดูฉันและหัวเราะ  หลังผ่านไปสักพัก พวกมันเอาตัวฉันลงมาและบอกให้ฉันนั่งยองๆ ต่อ  คืนนั้น ตำรวจนำตัวฉันกลับไปที่โรงแรม  เช้าวันต่อมา นายตำรวจแซ่หวู่ก็พูดว่า “นับตั้งแต่วันนี้ ฉันจะสวมกุญแจมือแกไว้ที่หน้าต่าง  ถ้าแกไม่บอกความจริง แกจะไม่ได้กินด้วยซ้ำ”  หลังจากนั้น พวกมันก็คล้องกุญแจมือข้างหนึ่งของฉันเข้ากับลูกกรงโลหะ  พวกมันมาถามฉันถึงรายละเอียดของคริสตจักรเป็นครั้งคราว  เมื่อตำรวจคนหนึ่งเห็นว่าฉันยังไม่ยอมพูด  เขาก็ตบฉันด้วยแฟ้มอย่างแรง และจงใจเปิดประตูให้ฉันได้ยินเสียงของพี่น้องหญิงคนอื่นที่กำลังถูกทรมาน  เมื่อได้ยินพวกเธอร้องด้วยความทุกข์ทรมาน ฉันก็รู้สึกใจสลายและโกรธมาก

สี่วันต่อมา นายตำรวจแซ่มู่ก็หยิบสมุดจดของฉันมาชี้ไปตามหมายเลขต่างๆ บนนั้น และถามฉันว่าใช่หมายเลขโทรศัพท์ของพี่น้องชายหญิงหรือไม่  พอฉันไม่ตอบ เขาก็ตะโกนเสียงดังว่า “ต่อให้แกไม่ปริปาก สมุดจดนี้ก็เพียงพอที่จะตัดสินโทษแกแล้ว!”  เขาหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมา ชี้ไปที่บุคคลในรูป และถามฉันว่าเขาใช่ผู้นำของคริสตจักรหรือไม่  จากนั้นเขาก็หยิบรูปถ่ายของบ้านพักสำหรับคริสตจักรออกมาสามภาพ แล้วบอกให้ฉันระบุบ้านพวกนั้น  ฉันรู้จักบ้านทั้งหมดนี้ แต่ฉันพูดว่าฉันไม่รู้จัก  เขาเสริมว่า “เราจะจับแกใส่รถพาไปที่นั่น  แกแค่ต้องชี้ตำแหน่งให้เราก็พอ  แล้วเราจะช่วยเก็บเป็นความลับให้ จะไม่มีใครรู้ว่าแกให้ข้อมูลนี้”  เมื่อเห็นว่าฉันยังไม่ยอมพูดอะไร เขาก็พูดกับตำรวจคนข้างๆ ว่า “จับมันแก้ผ้า แล้วแขวนมันให้หันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง คนผ่านไปผ่านมาจะได้เห็น  จากนั้นก็ถ่ายรูปมันไปโพสต์ในอินเทอร์เน็ต บอกว่ามันเป็นยูดาส และบอกว่ามันบอกเราทุกอย่างแล้ว”  หลังจากนั้น เขาก็เข้ามาถอดเสื้อผ้าฉัน  ฉันกลัวมาก  ถ้าเขาทำแบบนี้จริงๆ แล้วโพสต์รูปถ่ายของฉันบนอินเทอร์เน็ต ญาติมิตรของฉันก็จะเห็น  แล้วฉันจะอยู่ต่อไปอย่างไรหลังจากนั้น?  ฉันขอร้องไม่ให้เขาถอดเสื้อผ้าฉัน แต่เขายิ้มเยาะแล้วพูดว่า “อะไรนะ?  แกกลัวหรือ?”  จากนั้นพวกมันทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะ  เมื่อเห็นท่าทีอิ่มเอมใจของพวกมัน ฉันก็ตระหนักว่านี่เป็นอีกเล่ห์กลของซาตาน ฉันจึงรีบสงบใจลงแล้วร้องหาพระเจ้า  เวลานี้เอง ฉันก็นึกขึ้นได้ถึงบทสวดสรรเสริญจากพระวจนะของพระเจ้าที่ชื่อว่า “เจ้าควรละทิ้งทั้งหมดเพื่อความจริง” ความว่า“เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น  นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ  เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  พระวจนะของพระเจ้ามอบความมั่นใจและความเข้มแข็งให้ฉัน  ฉันเชื่อในพระเจ้าและเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต  การถูกทรมานและทำให้อัปยศอดสูเนื่องจากความเชื่อในพระเจ้าของฉันไม่มีอะไรให้ต้องอับอายเลย  ฉันกำลังถูกข่มเหงเพื่อความชอบธรรม และพระเจ้าก็ทรงเห็นชอบเรื่องนี้  ถ้าฉันยอมอ่อนข้อให้ซาตานและทรยศพระเจ้าเพื่อปกป้องความมีหน้ามีตาของตน นั่นย่อมจะเป็นสิ่งที่น่าละอายที่สุดที่ฉันจะสามารถทำได้ และฉันก็จะสูญสิ้นศักดิ์ศรีมนุษย์อย่างแท้จริง  ฉันเกลียดตัวเองที่ใจเสาะและร้องขอความกรุณาจากซาตาน แปรตัวเองไปเป็นตัวตลกของซาตานด้วยเหตุนั้น  ฉันสาบานกับตนเองว่าไม่สำคัญว่าตำรวจเลวพวกนี้จะทำให้ฉันอัปยศอดสูอย่างไร ต่อให้พวกมันถอดเสื้อผ้าของฉันออกจริงๆ ฉันก็จะไม่มีวันก้มหัวร้องขอความกรุณาจากพวกมัน และฉันก็จะไม่มีวันกลายเป็นยูดาส  เมื่อตำรวจเห็นว่าฉันไม่กลัวอีกต่อไป พวกมันก็โกรธมากจนสวมกุญแจมือทั้งสองข้างของฉันเข้ากับลูกกรงโลหะ  ตำรวจหญิงคนหนึ่งตะโกนว่า “พวกนายไม่ได้จะเปลื้องผ้ามันหรอกหรือ?  ถอดให้หมดสิ พวกนายจะได้เห็นหมดทุกอย่าง”  กลุ่มนายตำรวจหัวเราะอย่างคึกคะนองเหมือนปีศาจจากยมโลก  ในเวลานั้น เท้าของฉันอยู่ในอากาศ และน้ำหนักของฉันอยู่ที่ข้อมือซึ่งเจ็บปวดราวกับมันกำลังจะหัก  ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่ในใจอย่างตั้งใจจริง ขอให้พระองค์ทรงมอบความมั่นใจและเข้มแข็งให้ฉันสามารถสู้ทนต่อการทรมานของตำรวจได้และไม่ประนีประนอมกับซาตาน  ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ตำรวจจึงปล่อยฉันลงมา  เท้าของฉันชาหมดความรู้สึก ฉันล้มฮวบลงทันทีที่เท้าแตะพื้น  เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งพูดอย่างสารเลวว่า “คิดถึงสถานการณ์ของแกนะ  ถ้าแกยังไม่พูด เราก็มีกลเม็ดอื่นๆ มาจัดการกับแก”  หลังจากนั้น พวกมันก็ออกไป

สองวันต่อมา นายตำรวจอ้วนคนหนึ่งก็เข้ามา  ทันทีที่เขาเข้ามา เขาก็พูดกับนายตำรวจสองคนที่คอยเฝ้าคุมฉันอยู่ว่า “พวกนายรู้ไหมว่าทำไมพวกนายถึงทำลายผู้หญิงคนนี้ไม่ได้?  เพราะพวกนายอ่อนเกินไป แล้วก็ไม่ได้ใช้เทคนิคที่ถูกต้องน่ะสิ  วันนี้ ฉันจะสอนกลเม็ดให้สักสองสามอย่าง และแสดงให้ดูว่าฉันทำยังไง!”  เขาสั่งให้ฉันนั่งยอง จากนั้นก็ยืนย่อขา แล้วก็ทำซ้ำจนถึงจุดที่ฉันไม่เหลือเรี่ยวแรงและทรุดฮวบลงไปกอง  แล้วเขาก็บอกเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนนั้นให้จับแขนฉันคนละข้าง กดฉันลงแล้วยกฉันขึ้น และทรมานฉันอย่างนี้ต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เมื่อมองดูสีหน้าอำมหิตของพวกมัน ฉันก็รู้ว่าการทรมานที่หนักกว่ากำลังจะตามมา  ฉันนึกถึงลักษณะท่าทางเหมือนทาสของตนเองตอนที่ฉันก้มหัวให้ซาตานและร้องขอความกรุณาเมื่อสองวันก่อนเนื่องจากกลัวความอัปยศอดสู ฉันจึงตัดสินใจว่า วันนี้ ฉันจะพึ่งพาพระเจ้าและเป็นพยานแด่พระองค์ต่อหน้าซาตาน  ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าตำรวจจะใช้วิธีการอื่นใดมาทรมานข้าพระองค์อีก แต่ข้าพระองค์ต้องการสร้างคำพยานที่แข็งแกร่งและดังกึกก้องแด่พระองค์ ดังนั้นข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงมอบความมั่นใจและความเข้มแข็งให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”  ผ่านไปเพียงชั่วครู่ พวกมันก็เหนื่อยล้าและเหงื่อโทรมกายจนไม่อาจยกฉันขึ้นได้  ทันทีที่พวกมันปล่อยมือจากฉัน ฉันก็ร่วงลงกับพื้นอย่างแรง  พวกมันสั่งให้ฉันลุกขึ้นมานั่งยองครั้งแล้วครั้งเล่า  นายตำรวจอ้วนยิ้มเยาะและพูดว่า “มันดูร้อนเสียเหลือเกิน  ราดน้ำเย็นใส่มันสักหน่อยสิ  ฉันแน่ใจว่ามันต้องชอบแน่”  จากนั้นพวกนั้นก็ราดน้ำเย็นใส่ฉันจนฉันเปียกชุ่มไปหมด  แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ ฉันรู้สึกถึงไอร้อนลอยขึ้นจากตัวฉัน และฉันก็ไม่รู้สึกหนาวเลย  ฉันรู้ว่านี่คือการที่พระเจ้าทรงคุ้มครองฉัน  ฉันพร่ำขอบคุณพระเจ้าในหัวใจอย่างต่อเนื่อง และฉันรู้สึกว่าความเชื่อในพระเจ้าของฉันเติบโตขึ้น

จากนั้นตำรวจทั้งสองนายก็ดึงฉันลุกขึ้นแล้วคล้องกุญแจมือข้างซ้ายของฉันเข้ากับลูกกรงโลหะ  ข้อมือของฉันบาดเจ็บจากการถูกแขวนก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้นพอฉันถูกสวมกุญแจมือคราวนี้ มันก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก  เมื่อได้เห็นความเจ็บปวดของฉัน พวกตำรวจก็หัวเราะ และฉันไม่อยากให้พวกมันเห็นความอ่อนแอ ฉันจึงสู้ทนความเจ็บปวดนั่นโดยไม่ส่งเสียง  ฉันพยายามฝืนตัวอย่างหนักที่จะยืนเขย่งปลายเท้าเพื่อลดความเจ็บปวด  หัวแม่เท้าข้างหนึ่งของฉันยังพอจะแตะถึงพื้นได้บ้าง แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งเห็นเข้า เขาก็ใช้เท้ายันส้นเท้าของฉัน ปล่อยให้ตัวฉันห้อยค้างอยู่สักพัก แล้วก็ชักเท้าออก ทำให้มือของฉันถูกกระตุกอย่างแรงจนเจ็บปวดมากเป็นพิเศษ  เมื่อเห็นว่าฉันยังเงียบอยู่ พวกตำรวจก็เอาเชือกมามัดเท้าข้างหนึ่งของฉัน ดึงเชือกขึ้นเพื่อห้อยตัวฉันกลางอากาศ จากนั้นก็ปล่อยลงแบบฉับพลัน  พวกมันทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ร่างกายของฉันแกว่งไกวไปมาอยู่อย่างนั้น และให้ความรู้สึกเหมือนข้อมือกำลังถูกมีดหั่นเฉือน  ขณะที่สิ่งนี้ดำเนินต่อไป ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจอย่างเร่งด่วน  ต่อมา นายตำรวจอ้วนก็เอาเก้าอี้หวายตัวหนึ่งเข้ามา  นายตำรวจอีกสองคนจับขาของฉันคนละข้าง เอาไปพาดบนขอบพนักเก้าอี้ จากนั้นก็กระตุกเก้าอี้ออกไป  น้ำหนักทั้งหมดของฉันตกลงบนข้อมือ  มันเจ็บจนแทบทนไม่ไหว  สามสิบหรือสี่สิบนาทีต่อมา พวกตำรวจก็เอามือซ้ายของฉันลงมา สวมกุญแจมือขวาของฉันกับลูกกรงโลหะ แล้วก็ทรมานฉันต่อไป  ฉันเริ่มรู้สึกเหมือนลมหายใจขาดเป็นห้วง และคิดว่า “ฉันไม่รู้ว่าพวกตำรวจจะทรมานฉันอีกนานแค่ไหน  ถ้าพวกมันยังคงแขวนฉันไว้แบบนี้ มือของฉันต้องพิการแน่ แล้วถ้ามือของฉันพิการไปจริงๆ ฉันจะอยู่รอดได้อย่างไรในอนาคต?”  ยิ่งฉันคิดเรื่องนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น จนฉันถึงขั้นหายใจลำบาก  ฉันรู้สึกว่าฉันไม่อาจทนมันได้อีกต่อไป ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างตั้งใจจริงว่า “ข้าแต่พระเจ้า เนื้อหนังของข้าพระองค์อ่อนแอเกินไป  โปรดทรงมอบความเข้มแข็ง เพื่อให้ข้าพระองค์สามารถตั้งมั่นและทำให้ซาตานอับอายได้ด้วยเถิด”  อึดใจนั้นเอง ฉันก็นึกขึ้นได้ถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “บนถนนสู่เยรูซาเลม พระเยซูทรงอยู่ในความเจ็บปวดร้าวราน ประหนึ่งมีดด้ามหนึ่งกำลังถูกบิดคว้านอยู่ในพระทัยของพระองค์ กระนั้นพระองค์ก็มิได้มีเจตนารมณ์ที่จะทรงคืนวาจาของพระองค์เลยแม้แต่น้อย  ตลอดเวลานั้นมีกำลังอันทรงพลังอำนาจบีบให้พระองค์จำยอมไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาไปยังที่ที่พระองค์จะทรงถูกตรึงกางเขน  ในท้ายที่สุด พระองค์ก็ถูกตอกตรึงกับกางเขนและกลายเป็นสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป เป็นการเสร็จสิ้นพระราชกิจในการทรงไถ่มวลมนุษย์  พระองค์ได้ทรงหลุดพ้นจากโซ่ตรวนแห่งความตายและแดนคนตาย  เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ความตาย นรก และแดนคนตายสูญเสียพลังอำนาจของตน และได้ถูกกำราบโดยพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรับใช้ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์พระเจ้า)  พระวจนะของพระเจ้ามอบความเข้มแข็งให้ฉัน  เพื่อไถ่มนุษยชน องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนและทรงทนทุกข์กับความอัปยศอดสูและความเจ็บปวดอย่างใหญ่หลวง แต่พระองค์ก็ทรงทำเช่นนั้นโดยไม่ลังเลใจ  ความรักที่พระเจ้ามีให้ผู้คนนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน และในการนี้ พระเจ้าได้ทรงวางพระองค์เป็นตัวอย่างให้กับเราแล้ว  แต่เมื่อฉันเผชิญการทรมานของพวกตำรวจ ฉันไม่ได้คิดถึงวิธีที่จะยืนหยัดเป็นพยาน  แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับคิดถึงร่างกายของตนเอง  ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นนัก  พอใจคิดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกละอายและกระอักกระอ่วนใจ  ครั้งนี้ ฉันมุ่งมั่นว่าจะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  การคิดถึงความรักของพระเจ้าทำให้ฉันเกิดแรงบันดาลใจและทำให้ฉันมีความกล้าที่จะต่อสู้กับซาตานไปจนถึงปลายทาง  ตอนนั้นเอง ตำรวจคนหนึ่งเห็นว่าฉันหลับตาจึงพูดว่า “มันกำลังอธิษฐานกับพระเจ้าของพวกมัน และทุกครั้งที่มันอธิษฐาน มันก็มีความเข้มแข็งพุ่งพรวดขึ้นมาทุกที”  อีกคนเอาแท่งโลหะบางๆ แหย่ตาฉัน  เขาแหย่ตาฉันพลางพูดว่า “เปิดตาซิ แกไม่ได้รับอนุญาตให้อธิษฐานกับพระเจ้าของแก”  เมื่อเขาเห็นว่าฉันยังเงียบอยู่ เขาก็ใช้เข็มขัดฟาดหน้าฉันสามสี่ครั้ง แต่ฉันไม่รู้สึกเจ็บปวดสักนิด  ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง นายตำรวจคนหนึ่งพูดว่า “สวมกุญแจมือมันให้สูงขึ้น มันจะได้แตะพื้นไม่ได้  ลองดูว่ามันจะเพลิดเพลินแค่ไหน”  จากนั้นตำรวจสองคนก็ยกฉันขึ้น แต่ตอนที่อีกคนถอดกุญแจมือและกำลังจะคล้องมันเข้ากับลูกกรงที่อยู่สูงขึ้นไป กุญแจมือก็เกิดพังและล็อคไม่ได้ขึ้นมาอย่างฉับพลัน  พวกมันลองใช้อีกคู่หนึ่ง แต่ก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี  ฉันรู้ว่านี่คือการคุ้มครองของพระเจ้า และฉันขอบคุณพระเจ้าในหัวใจ  พวกตำรวจเหนื่อยเกินกว่าจะยกฉันไว้อีกต่อไป พวกมันจึงปล่อยมือ และฉันก็ร่วงลงกับพื้นทันที  พวกมันทรมานฉันมาเกือบสองชั่วโมง และฉันก็หมดสิ้นเรี่ยวแรงเสียจนฉันได้แต่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น  เมื่อมองย้อนไปดูทั้งกระบวนการที่ตำรวจทรมานฉัน ฉันเห็นได้ชัดเจนถึงธรรมชาติอันชั่วและสามานย์ของพวกตำรวจ  ฉันยังรู้สึกถึงความห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีให้ฉันด้วย และฉันก็เกิดความเชื่อมั่นในพระเจ้ามากขึ้น  ผ่านไปสักพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งก็เข้ามาเตะฉันสองสามครั้ง  พอเห็นว่าฉันยังไม่ขยับเขยื้อน เขาก็ทายาหม่องทั้งขวดลงบนตาของฉัน แต่ฉันไม่รู้สึกอะไรสักนิด  พวกตำรวจเห็นว่าฉันไม่ตอบสนองจึงออกไป  ฉันรู้ว่านี่คือการที่พระเจ้าทรงคุ้มครองฉัน

ประมาณหนึ่งทุ่ม เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งก็เข้ามา  เมื่อเขาเห็นว่าฉันตัวเปียกชุ่มและตัวสั่นเทาด้วยความหนาว เขาก็ตำหนิตำรวจอีกคน  ด้วยความเมตตาจอมปลอม เขาขอให้พวกนั้นนำเสื้อผ้าแห้งๆ มาเปลี่ยนให้ฉัน แล้วก็ให้บะหมี่ฉันถ้วยหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็พยายามเอาใจฉัน  เขาพูดว่า “คุณอยู่ห่างบ้านมาไกลมาก และตอนนี้คุณก็กลับไปไม่ได้  ลูกๆ ไม่คิดถึงคุณหรือ?  อายุน้อยแค่นี้ คุณจะเชื่อพระเจ้าให้ได้อะไรขึ้นมา?  ผมได้ยินว่าคุณเป็นผู้นำ ดังนั้นแค่บอกสิ่งที่พวกเราอยากรู้มา แล้วผมสัญญาว่าพวกเราจะปล่อยคุณไป  คุณจะได้กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวไง”  เมื่อฉันได้ยินแบบนี้ ฉันก็ตระหนักว่าเขาพยายามหลอกลวงให้ฉันเชื่อใจแล้วบอกข้อมูลเกี่ยวกับคริสตจักร  ฉันพูดว่า “ฉันบอกสิ่งที่รู้ไปหมดแล้ว เรื่องอื่นฉันไม่รู้หรอก”  เขาตบโต๊ะปังทันที ยืนขึ้น แล้วพูดอย่างสารเลวว่า “อย่าคิดนะว่าถ้าแกไม่พูดแล้วเราจะทำอะไรแกไม่ได้!  รัฐบาลกลางสั่งให้พวกเรากำจัดผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้สิ้นซาก  พวกเราจะกำจัดองค์กรของแก  ถ้าแกไม่เริ่มให้ความร่วมมือ แกจะถูกตัดสินโทษ”  แล้วเขาก็ออกไป  ตอนนี้เอง นายตำรวจแซ่หวู่พูดว่า “แกทำเรื่องฉลาดๆ แล้วให้ข้อมูลที่เราต้องการดีกว่านะ  แบบนั้นแกจะไม่ต้องทนทุกข์มากนัก”  ฉันคิดว่า “พวกตำรวจจะไม่หยุดถ้าพวกมันไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ  ถ้าฉันไม่อาจยืนต้านการทรมานได้แล้วกลายเป็นยูดาส นั่นจะเป็นการทรยศพระเจ้า แบบนั้นฉันฆ่าตัวตายเสียดีกว่า”  ฉันกำลังมีความคิดเรื่องฆ่าตัวตาย  ชั่วขณะนั้นเอง ฉันก็ตระหนักว่าสภาวะของฉันมันผิด ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  เนื้อหนังของข้าพระองค์อ่อนแอ และข้าพระองค์ต้องการตายเพื่อหนีจากสภาพแวดล้อมนี้  ข้าพระองค์อ่อนแอเกินไป และวุฒิภาวะของข้าพระองค์น้อยเกินไป  โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ และทรงมอบความมั่นใจและความเข้มแข็งให้ข้าพระองค์ตั้งมั่นด้วยเถิด”  หลังจากอธิษฐาน ฉันก็พลันนึกได้ว่า ฉันมีไฟล์พระวจนะของพระเจ้าในเครื่องเล่นเอ็มพีห้าของฉัน  ฉันพูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มว่า “เอาเครื่องเล่นเอ็มพีห้าของฉันมา ในนั้นมีสิ่งที่ฉันอยากเอาให้พวกคุณดู”  เขาคิดว่าฉันกำลังจะสารภาพ เขาจึงส่งมันให้ฉัน  ฉันเปิดเครื่องเล่นเอ็มพีห้า ซึ่งฉันได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงอ้างถึงว่าเป็น ‘ผู้ชนะ’ คือผู้ที่ยังคงสามารถยืนหยัดเป็นพยาน และคงไว้ซึ่งความมั่นใจและการอุทิศตนที่พวกเขามีต่อพระเจ้าเมื่ออยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานและในขณะที่ถูกซาตานล้อมไว้ นั่นคือ เมื่อพวกเขาพบว่าตนเองอยู่ท่ามกลางกองกำลังแห่งความมืด  หากเจ้ายังคงสามารถรักษาหัวใจให้บริสุทธิ์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และคงไว้ซึ่งความรักอันจริงแท้ที่เจ้ามีต่อพระเจ้าไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังยืนหยัดเป็นพยานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงการเป็น ‘ผู้ชนะ’(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรธำรงไว้ซึ่งการอุทิศตนของเจ้าแด่พระเจ้า)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า  เมื่อฉันเผชิญการข่มเหงและความทุกข์ลำบาก สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์คือความเชื่อและความจงรักภักดีของฉัน  พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้ฉันเป็นคำพยานแห่งชัยชนะขณะที่อยู่ภายใต้การโอบล้อมโดยซาตาน  ตำรวจเลวพวกนี้ทรมานฉันในหนทางนี้เพื่อบังคับให้ฉันทรยศพระเจ้า  ถ้าฉันฆ่าตัวตาย สูญเสียคำพยานของตนเอง นั่นย่อมจะเป็นการหลงกลซาตาน และล้มเหลวที่จะดำเนินชีวิตตามความพยายามที่พระเจ้าได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อฉัน—นั่นจะทำร้ายพระเจ้ามากเกินไป  ฉันไม่อาจตายได้ ฉันจำต้องมีชีวิตต่อไป ต้องเข้มแข็ง ยืนหยัดและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  เมื่อคิดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกถึงสำนึกของความเข้มแข็ง  ฉันคุกเข่าลงและถวายคำอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า  นายตำรวจหนุ่มพูดอย่างประหลาดใจว่า “แกกล้าหาญทีเดียวนะ ที่กล้าคุกเข่าลงอธิษฐานที่นี่!”  ฉันเมินเขา  หลังจากอธิษฐาน เขาถามฉันว่า “แกตัดสินใจได้หรือยัง?  ถ้าคิดเสร็จแล้ว ก็บอกสิ่งที่แกรู้มา”  ฉันพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ที่ต้องพูดฉันก็พูดไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะพูดอีก”  เจ้าหน้าที่แซ่หวู่เดือดดาลมากจนหยิบกุญแจมือขึ้นมาคล้องมือข้างหนึ่งของฉันกับลูกกรงโลหะ  เจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มพูดว่า “การอธิษฐานนี่ทรงพลังจริงๆ นะ  เหมือนทำให้มันเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย  มันไม่กลัวอะไรเลย และไม่พูดอะไรด้วย”  เมื่อฉันได้ยินแบบนั้น ฉันก็ขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ และฉันก็กลายเป็นมั่นใจมากขึ้น ว่าฉันสามารถตั้งมั่นได้

เช้าวันต่อมา เมื่อพวกตำรวจเห็นว่าไม่มีกลเม็ดไหนของพวกมันได้ผลกับฉัน พวกมันก็พูดว่า “นับตั้งแต่วันนี้ พวกเราจะสวมกุญแจมือแกกับหน้าต่างทุกวัน และพวกเราจะไม่ให้แกกิน ดื่ม หรือนอนหลับ  มาดูกันนะว่าแกจะทนไปได้สักกี่วัน”  ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เชื่อว่าชีวิตและความตายของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์  โปรดทรงคุ้มครองข้าพระองค์ด้วยเถิด  ต่อให้ข้าพระองค์ตาย ข้าพระองค์ก็จะยืนหยัดเป็นพยานแด่พระองค์!”  หลังจากนั้น พวกตำรวจก็ผลัดกันเฝ้าดูฉัน และพวกมันก็ปลุกฉันเสียงดังเมื่อเห็นว่าฉันผล็อยหลับ  ในวันที่สาม ชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนสังเกตเห็นฉันถูกสวมกุญแจมือกับหน้าต่างและตะโกนมาหาฉันว่า “คุณถูกใครลักพาตัวมาหรือเปล่า?  ถ้าใช่ก็โบกมือให้ผมแล้วผมจะโทรแจ้งตำรวจให้คุณ”  ฉันคิดว่า “ฉันถูกตำรวจจับมาขังไว้  คุณคิดว่าพวกตำรวจทำสิ่งดีๆ ให้คนธรรมดาเหรอ?  ตำรวจพรรคคอมมิวนิสต์ก็แค่ฝูงปีศาจเดรัจฉาน”  ผ่านไปอีกสองสามวัน ผู้คนที่ชั้นล่างก็สังเกตเห็นต่างกันมากขึ้นทุกทีว่าฉันถูกคล้องกุญแจมือไว้ติดกับหน้าต่าง  พวกเขาชี้มาที่ฉันและพูดคุยกันไม่หยุด พวกตำรวจจึงย้ายฉันไปอยู่ห้องตรงข้าม

คืนหนึ่งประมาณวันที่ 20 มีนาคม ฉันถูกพาไปสำนักงานสืบสวนพิเศษแห่งหนึ่ง  ที่นั่น ตำรวจสามคนให้ฉันอยู่ภายใต้การล้างสมองจนถึงตีสี่กว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจแซ่หลิวคนหนึ่งจึงได้พูดกับฉันว่า “ตอนนี้คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ขยายขึ้นเป็นหลายล้านคนแล้ว และนี่เป็นภัยต่อผลประโยชน์ของพรรคคอมมิวนิสต์โดยตรง  ถ้าเราไม่ปราบปรามมัน ใครจะฟังพรรคคอมมิวนิสต์ล่ะ?  ท่านประธานสีสั่งเป็นการส่วนตัวว่าให้กำจัด ‘ฟ้าแลบจากทิศตะวันออก’ ให้สิ้นซาก และสั่งให้พวกที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้รับการศึกษาใหม่ เพื่อให้พวกนั้นล้มเลิกความเชื่อและยอมรับการศึกษาและภาวะการเป็นผู้นำของพรรค  ถ้าพวกนั้นปฏิเสธ พวกนั้นก็จะถูกตัดสินจำคุก และถึงพวกนั้นจะถูกซ้อมจนตายก็ไม่มีใครสนใจ”  เขาพูดต่อไปว่า “ตอนนี้ ทั้งจังหวัดและทั้งประเทศกำลังจับกุมสมาชิกของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ท้ายที่สุดมันก็จะถูกถอนรากถอนโคน  ถ้าแกคิดว่าแกยังเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไปได้ ฉันบอกให้เลยนะว่าเป็นไปไม่ได้!”  ฉันพูดว่า “เราผู้เชื่อในพระเจ้าแค่ไปร่วมชุมนุม อ่านพระวจนะของพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยเพื่อกลายเป็นคนซื่อสัตย์ และเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต  เราจะส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของพรรคคอมมิวนิสต์ได้ยังไง?  ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้วคุณจะรู้  พวกคุณยึดหนังสือพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไปเยอะแยะ ทำไมไม่ลองเปิดอ่านสักเล่มล่ะ?”  เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนพูดเสียงดังว่า “อย่ามาบอกเรื่องเชื่อในพระเจ้า!  พวกเราไม่เชื่อในเรื่องนี้ พวกเราเชื่อในพรรคคอมมิวนิสต์และประธานสีเท่านั้น”  แล้วเขาก็ขู่ฉันว่า “คิดดูให้ดีๆ  ถ้าบอกสิ่งที่พวกเราอยากรู้มา ฉันสัญญาว่าจะไม่ตัดสินจำคุกแก  เราจะให้แกกลับบ้านทันที  ถ้าแกยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง ฉันจะส่งแกไปโรงพยาบาลบ้า  หมอจะฉีดยาให้แกทุกวัน แกจะได้เสียสติ  แกจะอยู่กับคนป่วยทางจิตทุกประเภทเลย แล้วพวกนั้นก็จะทุบตีและดุด่าแกทุกวัน  ลองดูว่าแกจะอยู่ในนั้นได้นานแค่ไหน”  หลังจากฉันได้ยินแบบนี้ ฉันก็กลัวมาก  ถ้าฉันถูกส่งไปโรงพยาบาลโรคจิต ฉันจะอยู่ร่วมกับคนป่วยทางจิตทุกวัน  การอยู่ร่วมกับคนแบบนี้ แม้แต่คนดีๆ ก็กลายเป็นบ้าได้  เมื่อตำรวจเห็นฉันเงียบ พวกมันก็ขู่ฉันอีกครั้งว่า “กลับไปคิดดูนะ  เขียนทุกอย่างที่เราควรรู้มา  ดูจากหลักฐานที่เรามี เราสามารถตัดสินโทษแกได้อย่างน้อยสามถึงเจ็ดปีเลยนะ”

พอกลับไปที่โรงแรม ฉันหลับไม่ลงเลยเมื่อคิดถึงสิ่งที่พวกตำรวจพูด  ความคิดที่ว่ามีคนป่วยทางจิตมาไล่จับฉันไปรอบๆ แล้วทุบตีฉัน และภาพของตัวฉันเองกลายเป็นบ้าแล้ววิ่งแก้ผ้าไปตามถนนทำให้ฉันเหงื่อกาฬแตกพลั่กและลุกพรวดขึ้นนั่งบนเตียง  ฉันร้องไห้และอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  ข้าพระองค์กลัวว่าจะกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน  โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ ทรงนำทางข้าพระองค์ และทรงทำให้ข้าพระองค์สงบลง  ไม่สำคัญว่าข้าพระองค์เผชิญหน้ากับรูปการณ์แวดล้อมประเภทใด ข้าพระองค์ก็จะไม่มีวันทรยศพระองค์”  หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า  “เมื่อผู้คนพร้อมที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นไม่สลักสำคัญ และไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้  สิ่งใดจะสามารถสำคัญกว่าชีวิตได้?  ด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงกลายเป็นไม่สามารถทำสิ่งใดมากขึ้นอีกในผู้คน ไม่มีสิ่งใดที่มันสามารถทำกับมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 36)  ขณะที่ฉันใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ค่อยๆ สงบลง  ถ้าฉันเต็มใจจะเสี่ยงชีวิต ความทุกข์ใดหรือที่ฉันไม่อาจสู้ทนได้?  ชีวิตและความตายของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และฉันจะไม่กลายเป็นคนป่วยทางจิตหากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต  หลังจากรุ่งเช้า ฉันหยิบกระดาษกับปากกาออกมา และเขียนไปหนึ่งบรรทัดว่า “กำแพงสูงและลานกว้าง เน่าเปื่อยอยู่ในคุกตลอดกาล”  พอเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นเห็น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป  เขาโมโหมากจนปิดประตูปึงปังออกไป

ผ่านไปเดือนกว่า ฉันถูกส่งไปสถานกักกัน  เนื่องจากการสอบสวนยังไม่ได้ผลสรุปที่แน่ชัด พวกนั้นจึงตัดสินโทษให้ฉันถูกเฝ้าจับตาในที่พักอาศัยนานหกเดือน และเตือนฉันว่า “ตอนนี้แกเป็นผู้ต้องหาอาชญากรรมแล้ว และไม่มีอิสระที่ไหนทั้งนั้น  ถ้าแกเชื่อในพระเจ้าอีก แกก็จะถูกตัดสินโทษถ้าเราจับได้”  ตำรวจโทรมาที่บ้านของฉันเป็นครั้งคราว และคนจากสำนักกิจการศาสนาก็มาที่บ้านของฉันเพื่อถามเรื่องความเชื่อในพระเจ้าของฉัน  ฉันไม่กล้าติดต่อพี่น้องชายหญิง และไม่อาจใช้ชีวิตคริสตจักรได้  เนื่องจากการถูกตำรวจทรมาน ฉันงอนิ้วไม่ได้ทั้งสองมือ และข้อมือทั้งสองของฉันก็เจ็บปวดมากจนขยับไม่ได้  ฉันไม่มีเรี่ยวแรงจะหยิบหวีขึ้นมาด้วยซ้ำ และกระทั่งตอนนี้ ข้อมือของฉันก็ไม่มีแรงเลย

หลังจากถูกจับ ถูกข่มเหง และถูกทรมานโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ฉันก็ได้เห็นอย่างชัดเจนถึงธรรมชาติอันโหดเหี้ยม ชั่ว และท้าทายฟ้าของมัน  ฉันยังเห็นชัดเจนด้วยว่ามันคือซาตานที่ต่อต้านพระเจ้าและทำร้ายผู้คน  ขณะเดียวกัน ฉันก็เห็นว่าพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์และทรงเปี่ยมปัญญา และฉันรู้สึกถึงการที่พระเจ้าทรงคุ้มครองและดูแลฉัน  เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่คอยนำทางฉันทีละขั้นทีละก้าว เพื่อให้ได้รับชัยชนะเหนือซาตานและตั้งมั่น  ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 43. หลังจากที่คู่ของผมเสียชีวิต

ถัดไป: 45. ออกจากโรงพยาบาลบ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger