4. ผู้นำคริสตจักรไม่ใช่เจ้าหน้าที่

โดย มัทธิว, ประเทศฝรั่งเศส

ผมยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายเมื่อสามปีก่อน  เดือนตุลาคม ค.ศ. 2020 ผมได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร  ผมตระหนักว่านี่เป็นความรับผิดชอบครั้งใหญ่ และผมรู้สึกเครียดนิดหน่อย แต่ก็ภูมิใจมาก  ผมรู้สึกว่าที่ตัวเองได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ที่สำคัญนี้ก็เพราะผมมีขีดความสามารถดีกว่าคนอื่น  ผมจริงจังกับหน้าที่ของตัวเองมาก สามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงอย่างสุดความสามารถ และช่วยเหลือเมื่อพวกเขาพบเจอปัญหาและความลำบากยากเย็นต่างๆ  ผมต้องการที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าผมเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมและสามารถทำงานได้จริง

และแล้วก็มีคนทำชั่วคนหนึ่งเริ่มกระจายข่าวลือภายในคริสตจักร  เขาเผยแพร่เรื่องโกหกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ใส่ร้ายและหมิ่นประมาทพระเจ้าตามกลุ่มชุมนุมต่างๆ บิดเบือนข้อเท็จจริง เปลี่ยนแปลงสิ่งทั้งหลายชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ และตัดสินงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เขาต้องการชักนำให้ผู้มาใหม่ผละจากคริสตจักรและทรยศพระเจ้า  ดังนั้นผมจึงจัดการชุมนุมและสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ และรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้บัญชาการที่นำทหารเข้าปะทะกับหน่วยต่างๆ ของศัตรู!  ผมต้องการที่จะพิสูจน์ว่าผมสามารถปกป้องพี่น้องได้ อยากแสดงให้พวกเขาเห็นว่าผมมีความรับผิดชอบ สามารถแบกรับภาระอันหนึกอึ้งได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วผมรู้สึกอ่อนแอมาก  ตัวผมเองไม่รู้ว่าจะหักล้างเหตุผลวิบัติบางข้ออย่างไร และเหตุผลวิบัติเหล่านี้ยังรบกวนผมด้วยซ้ำ  แต่ผมไม่ต้องการที่จะเผยความอ่อนแอของตนให้คนอื่นเห็น  ผมคิดว่าในฐานะผู้นำคริสตจักร ผมจำต้องแกร่งเหมือนประธานาธิบดีหรือผู้บัญชาการทหาร  ผมจะให้ใครเห็นความอ่อนแอของผมไม่ได้!  ดังนั้นผมจึงไม่เคยเปิดใจกับพี่น้องชายหญิงถึงสภาวะของผมเอง  ผมไม่เพียงแต่อำพรางตัวเองในเรื่องนี้เท่านั้น เวลาพวกเราเสวนากันถึงความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าในการชุมนุมทั้งหลาย ผมก็ชอบพูดคุยเรื่องความเข้าใจอันลุ่มลึกเพื่อให้คนอื่นคิดว่าผมมีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดีจริงๆ  แต่ผมก็แค่กลบเกลื่อนความล้มเหลวและความเสื่อมทรามของตัวเอง เปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงสิ่งที่ผมทำถูกต้องอย่างรวดเร็ว  ตัวอย่างเช่น หากเกิดง่วงนอนขึ้นมาในการชุมนุม ผมจะไม่ยอมรับ และเวลาที่ผมมีเรื่องลำบาก ผมก็จะเก็บงำไว้แทนที่จะเล่าให้คนอื่นฟัง

พี่น้องหญิงมาริเน็ตต์ที่ทำงานกับผม เลื่อมใสผมมาก เพราะผมใช้พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับสภาวะของเธอมาคอยช่วยเหลือเธออยู่เสมอ  ผมรู้ว่าเธอยอมรับนับถือผม และผมก็ยินดีและพอใจอย่างยิ่งเมื่อเธอแสดงความเลื่อมใสออกมา  พี่น้องชายหญิงที่เป็นผู้ให้น้ำแก่ผู้มาใหม่ก็เลื่อมใสผมมากเช่นกัน  มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่น้องหญิงคนหนึ่งบอกผมว่า เธอได้เรียนรู้จากการสามัคคีธรรมและการช่วยเหลือของผม  ผมยินดีมากที่ได้รับความเห็นชอบจากผู้อื่น  ในการชุมนุม พี่น้องชายหญิงบางคนตอบรับการสามัคคีธรรมของผมด้วยคำว่า “อาเมน” อย่างแข็งขัน และบางคนถึงกับพูดว่า “เป็นอย่างที่มัทธิวพูดไว้ไม่มีผิด” สำหรับผมแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงของความเลื่อมใส และผมรู้สึกเหมือนตัวเองมีที่ทางอันสำคัญอยู่ในหัวใจของพวกเขา  ผมรู้ว่านั่นไม่เหมาะสม แต่ก็ชอบความรู้สึกที่ได้รับการยอมรับนับถือ  และแล้ววันหนึ่งผมก็ได้ดูคำพยานในรูปแบบวิดีโอที่ชื่อว่า “ความเสียหายที่ทำลงไปด้วยการโอ้อวด”  คำพยานนี้กระทบใจผม  พี่น้องหญิงคนหนึ่งที่เป็นผู้นำเช่นกัน ชอบยกตนและอวดตัวในหน้าที่อยู่เสมอ  เธอล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและถูกบ่มวินัยด้วยความเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง  ปมของเรื่องอยู่ตรงที่พฤติกรรมของเธอทำให้พระเจ้าเคืองพระทัย  พอผมได้ดูวิดีโอนั้น ผมก็ตระหนักว่าในการโอ้อวดและอวดตัวเพื่อให้ผู้อื่นเลื่อมใสตัวเองนั้น ผมกำลังท้าทายและต่อต้านพระเจ้า  ผมอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์  ผมไม่เคยตระหนักว่าการยกตนและอวดตัวจะสามารถเป็นปัญหาอันร้ายแรงเช่นนี้ได้  ผมรู้สึกกลัวจริงๆ และไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

จากนั้นผมก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ซึ่งให้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของผม  พระวจนะของพระเจ้าระบุว่า “การยกชูและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตนเอง อวดตน พยายามทำให้ผู้คนยกย่องนับถือและเคารพบูชาตนเอง—มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้  นี่คือวิธีที่ผู้คนแสดงปฏิกิริยาไปตามสัญชาตญาณเมื่อพวกเขาถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาครอบงำ และนี่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งปวง  ผู้คนมักจะยกชูและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตนเองกันอย่างไร?  พวกเขาสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของการทำให้ผู้คนยกย่องนับถือและเคารพบูชาพวกเขาได้อย่างไร?  พวกเขาเป็นพยานยืนยันว่าตนเองได้ทำงานไปมากมายเพียงใด ทนทุกข์ไปมากมายขนาดไหน สละตนไปมากมายเท่าใด และจ่ายราคาเป็นอะไรไปบ้างแล้ว  พวกเขายกชูตนเองด้วยการกล่าวถึงต้นทุนของตน ซึ่งทำให้พวกเขามีที่ที่สูงขึ้น หนักแน่นขึ้น และมั่นคงขึ้นในจิตใจของผู้คน เพื่อให้มีผู้คนซาบซึ้ง ยกย่อง เลื่อมใส และถึงกับเคารพบูชา ยอมรับนับถือ และติดตามพวกเขาในจำนวนที่มากขึ้น  เพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้ ผู้คนจึงทำสิ่งต่างๆ มากมายที่เป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าเมื่อดูจากภายนอก แต่ในแก่นแท้กลับยกชูและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตนเอง  การกระทำเช่นนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่?  พวกเขาพ้นวิสัยของความเป็นเหตุเป็นผลและไม่มีความละอาย กล่าวคือ พวกเขาเป็นพยานยืนยันอย่างหน้าไม่อายถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำไปเพื่อพระเจ้าและว่าพวกเขาได้ทนทุกข์ไปมากมายเพียงใดเพื่อพระองค์  พวกเขาถึงขั้นโอ้อวดพรสวรรค์ ความสามารถพิเศษ ประสบการณ์ และทักษะพิเศษของตน กลวิธีอันชาญฉลาดในการดำรงชีวิตทางโลก วิธีการที่พวกเขาใช้ปั่นหัวผู้คนเล่น และอื่นๆ  วิธีการของพวกเขาในการยกชูและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตนเองก็คือ การโอ้อวดตัวพวกเขาเองและดูแคลนผู้อื่น  พวกเขายังกลบเกลื่อนและทำให้ตัวเองดูดีด้วยเช่นกัน โดยซ่อนเร้นความอ่อนแอ ข้อเสีย และข้อบกพร่องของตนจากผู้คน เพื่อให้ผู้คนมองเห็นแต่ความปราดเปรื่องของพวกเขาตลอดเวลา  พวกเขาไม่แม้กระทั่งกล้าที่จะบอกผู้คนอื่นๆ เมื่อพวกเขารู้สึกคิดลบ พวกเขาขาดพร่องความกล้าที่จะเปิดกว้างและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น และเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิด พวกเขาก็ทำอย่างสุดความสามารถในการที่จะปกปิดสิ่งที่ผิดนั้นและปิดบังสิ่งที่ผิดนั้น  พวกเขาไม่เคยเอ่ยถึงความเสียหายที่พวกเขาก่อให้เกิดแก่งานของคริสตจักรในครรลองของการทำหน้าที่ของพวกเขาเลย  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้มีส่วนร่วมแบ่งปันเล็กน้อยอยู่บ้างหรือได้สัมฤทธิ์ความสำเร็จเล็กน้อยอยู่บ้าง พวกเขาก็รีบร้อนที่จะโอ้อวดการนั้น  พวกเขาไม่สามารถรอเพื่อให้ทั้งโลกรู้ว่าพวกเขามีความสามารถเพียงใด ขีดความสามารถของพวกเขาสูงเพียงใด พวกเขายอดเยี่ยมเพียงใด และพวกเขาดีกว่าผู้คนปกติมากเพียงใด  นี่ไม่ใช่หนทางของการยกชูและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองหรอกหรือ?  การยกชูและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตนเองนั้นใช่สิ่งที่คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลทำกันหรือไม่?  ไม่เลย  ดังนั้นแล้ว อุปนิสัยใดเล่าที่มักจะถูกเผยออกมาในยามที่ผู้คนทำการนี้?  ความโอหัง  นี่คือหนึ่งในอุปนิสัยหลักที่ถูกเผยให้เห็น ตามมาด้วยความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นไปได้เพื่อทำให้ผู้คนอื่นๆ นับถือพวกเขาว่าสูงส่ง  คำพูดของพวกเขารัดกุมอย่างสมบูรณ์และบรรจุแรงจูงใจและกลอุบายอย่างชัดเจน พวกเขากำลังอวดตัว แต่ก็อยากซุกซ่อนข้อเท็จจริงนี้ไว้  สิ่งที่พวกเขาพูดส่งผลให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาเก่งกว่าผู้อื่น ว่าไม่มีผู้ใดเลยที่เทียบเท่าพวกเขา ว่าคนอื่นทุกคนด้อยกว่าพวกเขา  ผลลัพธ์เช่นนี้ย่อมสัมฤทธิ์ด้วยวิธีการที่ไม่ซื่อมิใช่หรือ?  อุปนิสัยใดที่อยู่เบื้องหลังวิธีการเช่นนี้?  และมีความเลวร้ายอันใดบ้างหรือไม่?  (มี)  นี่คืออุปนิสัยที่เลวร้ายประเภทหนึ่ง(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สี่: พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง)  การได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ความรู้สึกเหมือนหัวใจของผมถูกฟาดเข้าตรงๆ  ผมมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของตัวผม ผมต้องการที่จะสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูเป็นชายผู้แข็งแกร่ง บุคคลที่เพียบพร้อมตลอดเวลา  ผมชอบพูดถึงความเข้าใจที่เหนือชั้นและประสบการณ์เกี่ยวกับความสำเร็จของตนเอง เพื่อให้ผู้คนเกิดความประทับใจในทางบวก แต่ผมแทบไม่เคยพูดคุยเกี่ยวกับความอ่อนแอหรือความลำบากของตนเองตามจริง  หากผมรู้สึกอ่อนแอหรือคิดลบ หรือเผชิญปัญหาบางอย่าง หรือแม้กระทั่งในเวลาที่ผมอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ที่สุด ผมก็จะทำเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างนั้นยอดเยี่ยม เพื่อปกป้องความภาคภูมิใจและความมีหน้ามีตาของผม แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ผมอยู่ในความเจ็บปวดอย่างมาก  การได้เห็นผู้อื่นเลื่อมใสและชื่นชูผม ทำให้ผมตระหนักถึงความรู้สึกของพวกเขาอยู่บ้าง และผมก็รู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี  แต่ผมไม่ได้บอกพวกเขาว่าอย่ามาชื่นชูผม เพราะผมต้องการความเลื่อมใส ความชื่นชมรักใคร่ และการสรรเสริญจากทุกคน ผมโอหังเหมือนหัวหน้าทูตสวรรค์ไม่มีผิดมิใช่หรือ?  ผมไม่ได้พาผู้อื่นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แต่ผมกำลังพาพวกเขามาเบื้องหน้าตัวเอง  เมื่อตระหนักว่าผมสามารถครองพื้นที่ของพระเจ้าในหัวใจของพี่น้องชายหญิง ผมก็กลัวจนตัวสั่น และรู้แก่ใจว่าพระเจ้าทรงรังเกียจพฤติกรรมของผม  ผมเต็มไปด้วยสำนึกเสียใจและอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์อวดตัวมาตลอด ต้องการให้ทุกคนมองว่าเป็นผู้นำที่ดีและเหนือกว่าทุกคน  ข้าพระองค์กำลังแย่งชิงพระสิริของพระองค์  โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการที่จะกลับใจต่อพระองค์”  จากนั้นผมก็เขียนจดหมายสำนึกกลับใจฉบับหนึ่ง เปิดเผยว่าผมอวดตัวและยกตนอย่างไรแล้วก็ส่งจดหมายฉบับนั้นไปยังกลุ่มชุมนุมทุกกลุ่ม  ผมยังบอกทุกคนอย่างแจ่มแจ้งด้วยว่าพวกเขาไม่ควรชื่นชูผม  ผมรู้จักพี่น้องชายหญิงสองสามคนที่ชื่นชมยกย่องผมเป็นพิเศษ ผมจึงส่งข้อความที่เปิดใจและชำแหละตัวเองไปให้พวกเขาเป็นรายบุคคล  สองสามวันต่อมา พี่น้องมาริเน็ตต์ก็บอกผมอย่างตรงไปตรงมาว่าเธอเคยชื่นชูผมมาก่อน และบอกว่าผมเคยมีที่ทางอันสำคัญในหัวใจของเธอ  ผมละอายใจจริงๆ ที่ได้ยินเช่นนั้น รู้สึกเหมือนว่านั่นคือหลักฐานยืนยันความชั่วของผม  ผมมองเห็นความอัปลักษณ์ของตนเองในตอนนั้นเอง และรู้สึกเหมือนว่าผมได้สูญเสียเหตุผลทั้งหมดไปแล้วด้วยการทำให้คนอื่นมาเคารพบูชาผม  นั่นจะเป็นการทำหน้าที่ได้อย่างไร?  นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงมุ่งหวังเมื่อพระองค์ประทานหน้าที่นี้แก่ผมกระนั้นหรือ?  ผมรู้สึกไม่สบายใจและละอายใจเป็นอย่างยิ่ง  แต่ผมก็ยังคงไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามของตนอยู่ดี ดังนั้นไม่นานนักผมก็กลับเข้าหนทางเดิม

วันหนึ่งผมไปร่วมการชุมนุมที่ผู้นำคริสตจักรคนอื่นก็เข้าร่วมด้วย  ผมรู้สึกว่าการสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหญิงเรียบง่ายเกินจริง และผมก็พลอยไม่สบายใจ  ผมรู้สึกว่าการสามัคคีธรรมของพวกเขานั้นตื้นเขิน และผมก็ดูแคลนพวกเขานิดหน่อย ผมต้องการที่จะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าการสามัคคีธรรมของผมสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่าของพวกเขาดังนั้นผมจึงตระเตรียมสิ่งที่ผมต้องการที่จะพูดอยู่ในใจ  ผมคิดว่าจะพูดบางสิ่งที่มีความรู้แจ้งมากกว่าเพื่อให้ผมโดดเด่นเหนือคนอื่นและเพื่อให้การสามัคคีธรรมของผมมีน้ำหนัก  ผมคิดถึงการใช้คำที่จะทำให้การสามัคคีธรรมของผมฟังดูเลิศหรูที่สุด  ผมต้องการที่จะพิสูจน์จริงๆ ว่าผมมีความเข้าใจที่สูงส่งกว่า คนอื่นจะได้ซึ้งคุณค่าในความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของผม  ในการสามัคคีธรรม ผมยกตัวอย่างมากมายเพื่อให้พวกเขารู้ว่าการสามัคคีธรรมของผมมีรายละเอียดและเข้มข้น  เมื่อพูดจบ ผมพอใจมากที่ได้ยินทุกคนพูดว่า “อาเมน”  จากนั้นผมก็รีบไปตรวจดูหน้าต่างห้องแชท เพื่อดูว่าพี่น้องชายหญิงพูดอะไรดีๆ ถึงการสามัคคีธรรมของผมบ้างหรือเปล่า  เมื่อพวกเราใกล้จะเสร็จสิ้นการชุมนุม พี่น้องชายเซนก็สามัคคีธรรมบ้าง  แทนที่จะหยิบยกพระวจนะของพระเจ้าขึ้นมาและพูดว่าพวกเราควรปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้ากันอย่างไรดังที่เขาเคยทำ เขากลับอ้างอิงการสามัคคีธรรมของผม  ผมมองเห็นว่าผมกำลังยกย่องตัวเองและอวดตัวอีกแล้ว  ในตอนนั้นผมรู้สึกโกรธตัวเองอย่างมาก  ในการชุมนุม พวกเราเพิ่งจะแบ่งปันพระวจนะบางส่วนของพระเจ้ากับทุกคน โดยระบุว่าพวกเราจำเป็นต้องพูดจากหัวใจ  แล้วผมมาโอ้อวดและอวดตัวได้อย่างไร?  ผมไม่กล้าที่จะเชื่อเลยว่าผมกำลังทำตัวแบบนั้น  ผมค้นดูบทตอนทั้งหลายแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเราเพิ่งอ่านกันไปในการชุมนุม เพื่อที่ผมจะได้ค่อยๆ ตรึกตรองบทตอนเหล่านั้น  พระเจ้าตรัสไว้ว่า “หากพี่น้องชายหญิงสามารถบอกความในใจกันได้ ช่วยเหลือแบ่งเบากัน และจัดเตรียมให้กันได้ เช่นนั้นแล้วแต่ละคนก็ต้องเล่าประสบการณ์จริงของตนเอง  หากเจ้าไม่เล่าประสบการณ์จริงของเจ้าเอง—หากเจ้าเอาแต่ประกาศวาทะและคำสอนที่มนุษย์เข้าใจเท่านั้น หากเจ้าเอาแต่ประกาศคำสอนเล็กน้อยเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าและพูดแต่เรื่องพื้นๆ ที่จำเจ ไม่เปิดใจ—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ และไม่สามารถเป็นคนที่ซื่อสัตย์ได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์)  “ตอนที่กำลังเป็นคำพยานต่อพระเจ้า โดยหลักแล้วเจ้าควรพูดคุยถึงการที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนผู้คน รวมทั้งบททดสอบอะไรที่พระองค์ทรงใช้ถลุงผู้คนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา  เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับการที่ความเสื่อมทรามได้ถูกเปิดเผยในประสบการณ์ของพวกเจ้าไปมากเท่าไร เจ้าทนทุกข์ไปมากเท่าใด เจ้าทำสิ่งที่ต้านทานพระเจ้าไปมากเพียงใด และพระเจ้าได้ทรงพิชิตเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุด  จงเล่าว่าเจ้ามีความรู้ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่าไร และเจ้าควรเป็นพยานสำหรับพระเจ้าและชดใช้คืนพระองค์สำหรับความรักของพระองค์อย่างไร  พวกเจ้าควรใส่สาระสำคัญเข้าไปในภาษาประเภทนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำไปในลักษณะอันเรียบง่าย  จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งหลาย  จงพูดจาแบบติดดินไม่ถือตัวให้มากกว่านี้ พูดจาจากหัวใจ  นี่คือวิธีที่เจ้าควรผ่านประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ  จงอย่าทำให้มีทฤษฎีว่างเปล่าทั้งหลายที่ดูลุ่มลึกอยู่ในตัวพวกเจ้าเองด้วยความพยายามที่จะโอ้อวด การทำเช่นนั้นทำให้เจ้าดูเป็นคนค่อนข้างโอหังและไร้เหตุผล  เจ้าควรพูดให้มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริง จากประสบการณ์จริงของเจ้า และกล่าวออกมาจากหัวใจให้มากขึ้น การนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สุด และเป็นการเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะมองเห็น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้)  จากพระวจนะของพระเจ้า ผมมองเห็น ว่าผมจำต้องเปิดใจกับพี่น้องชายหญิง พูดถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของผม แบ่งปันประสบการณ์จริง และหลีกเลี่ยงการอวดตัวด้วยคำพูดที่ว่างเปล่า  เมื่อคิดทบทวนตนเองดู ผมเพิ่งจะพูดทฤษฎีบางอย่างที่ว่างเปล่าเพื่ออวดตัวและทำให้คนอื่นเลื่อมใส  ผลสืบเนื่องของการนี้ชัดเจนมาก  คนอื่นยอมรับนับถือผมและไม่ได้เป็นพยานให้พระวจนะของพระเจ้า แต่กลับอ้างอิงการสามัคคีธรรมของผมแทน  ในการชุมนุมทั้งหลาย ผมมักจะได้ยินผู้คนพูดอยู่เนืองๆ ว่า “ต้องขอบคุณการสามัคคีธรรมของมัทธิว” หรือ “เหมือนที่มัทธิวพูดไม่มีผิด” เป็นต้น  ผมคิดถึงเปาโลที่ยกตนและเอาหน้าอยู่เสมอ ไม่เป็นพยานให้พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า  นั่นพาให้ผู้เชื่อชื่นชูเปาโลและเป็นพยานให้คำพูดของเขามานานถึง 2,000 ปี  ผมไม่ได้กำลังทำสิ่งเดียวกันกับเปาโล และอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ที่ต่อต้านพระเจ้าหรอกหรือ? ผมรู้สึกกลัวจริงๆ และเกลียดชังตัวเอง  ผมกล่าวคำอธิษฐานว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ทำความผิดเช่นเดิมอีกแล้ว  พระวจนะของพระองค์แสดงหนทางให้แก่ข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์ก็ยังคงติดตามซาตาน สนองความหลงตัวลืมตนของข้าพระองค์  ข้าพระองค์เล่นบทของซาตานอีกแล้ว  พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วยเถิด!”

เย็นวันหนึ่ง ผมมองเห็นพระวจนะบทตอนนี้ของพระเจ้าที่ว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดคือข้อห้ามร้ายแรงที่สุดในการปรนนิบัติพระเจ้าของมนุษย์?  ผู้นำและคนทำงานบางคนต้องการความแตกต่าง ต้องการเหนือกว่าคนที่เหลือ ต้องการอวดตน และต้องการคิดหาเล่ห์กลใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อทำให้พระเจ้าทรงเห็นเพียงว่าแท้จริงแล้วพวกเขามีความสามารถเพียงใด  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้มุ่งเน้นการเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นการกระทำในหนทางที่โง่เขลาที่สุด  นี่มิใช่การเปิดเผยอุปนิสัยอันโอหังโดยแท้หรอกหรือ?… ในการรับใช้พระเจ้านั้น ผู้คนปรารถนาที่จะก้าวยาวไปข้างหน้า ทำสิ่งทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่ กล่าวคำพูดที่ยิ่งใหญ่ ปฏิบัติงานที่ยิ่งใหญ่ จัดการพบปะที่ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่  หากเจ้ามีความทะเยอทะยานอันโอฬารเช่นนั้นอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะล่วงละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า ผู้คนที่ทำการนี้จะตายอย่างรวดเร็ว  หากเจ้าไม่ประพฤติดี ไม่เปี่ยมศรัทธา และไม่สุขุมรอบคอบในการปรนนิบัติพระเจ้าของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าย่อมจะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  เมื่อได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า ผมก็สั่นเทาด้วยความกลัว  พระวจนะของพระเจ้าเผยให้ผมเห็นว่าในตัวผมมีความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากที่จะสัมฤทธิ์สิ่งยิ่งใหญ่ทั้งหลาย  ผมอยากเป็นประธานคุมการชุมนุมและกล่าวสุนทรพจน์อันใหญ่โต  ผมรักที่จะอวดตัวในการชุมนุมและอยากให้พี่น้องชายหญิงชื่นชูผม หวังว่าพวกเขาจะพากันคิดว่าผมมีขีดความสามารถที่ดีและมีความเข้าใจที่ลุ่มลึก  เมื่อมีความอยากเหล่านี้คอยขับเคลื่อน ผมก็อยากประกาศและอวดตัวในการชุมนุมที่ผมเข้าร่วมทุกครั้ง หวังให้คนอื่นเลื่อมใสในตัวผม  ผมชอบภาวะการเป็นผู้นำแบบนั้น  แต่เมื่อผมได้อ่านว่า “หากเจ้ามีความทะเยอทะยานอันโอฬารเช่นนั้นอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะล่วงละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า ผู้คนที่ทำการนี้จะตายอย่างรวดเร็ว” หัวใจของผมก็สั่นไหว และผมรู้สึกถึงความกลัวในหัวใจส่วนลึกของผม  ก่อนหน้านี้ผมนึกว่าตัวเองทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่ตอนนี้ผมตระหนักแล้วว่าผมกำลังทำให้พระองค์เคืองพระทัย  ผมต้องการทำแต่บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ จัดการชุมนุมที่ยิ่งใหญ่ ประกาศบางสิ่งที่สูงส่ง  ผมไม่ได้เป็นพยานให้พระเจ้าหรือปฏิบัติความจริง และผมก็ไม่ได้แบกรับภาระเพื่อชีวิตของพี่น้องชายหญิง  ผมกำลังยกย่องตนเองเพื่อให้มีที่ทางในหัวใจของพวกเขา  นี่ย่อมจะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ใน “ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง” ระบุว่า

1. มนุษย์ไม่ควรเชิดชูตัวเองและไม่ควรยกย่องตัวเอง  เขาควรนมัสการและยกชูพระเจ้า

…………

8. ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าควรนบนอบพระเจ้าและนมัสการพระองค์  จงอย่ายกย่องหรือนิยมบูชาบุคคลใด จงอย่าวางพระเจ้าเป็นลำดับแรก ผู้คนที่เจ้าเคารพนับถือเป็นลำดับที่สอง และตัวเจ้าเองเป็นลำดับที่สาม  ไม่มีบุคคลใดที่ควรมีความสำคัญในหัวใจของเจ้า และเจ้าไม่ควรพิจารณาผู้คน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่เจ้าเคารพเทิดทูน—ว่าเสมอกับพระเจ้าหรือเทียบเท่าพระองค์  นี่เป็นเรื่องที่มิอาจทนยอมรับได้สำหรับพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า

พออ่านพระวจนะของพระเจ้าจบ ผมก็ทุกข์ทนอยู่ข้างในอย่างมาก และคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงยกโทษให้ผมที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์  ผมอธิษฐานว่า “พระเจ้า!  ข้าพระองค์เจ็บปวดและทุกข์ทนจริงๆ  ข้าพระองค์ไม่รู้ตัวว่ากำลังยั่วยุให้พระองค์พิโรธ และข้าพระองค์ต้องการกลับใจ  โอ พระเจ้า!  ข้าพระองค์ขอแสวงหาความรู้แจ้งจากพระองค์เพื่อให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์”

ขณะที่อยู่ในความหวาดกลัว ผมได้อ่านพระวจนะบทตอนนี้ของพระเจ้า ความว่า “วันนี้ พระเจ้าทรงพิพากษาพวกเจ้า ตีสอนพวกเจ้า และกล่าวโทษพวกเจ้า แต่เจ้าต้องรู้ว่าประเด็นของการกล่าวโทษพวกเจ้าคือ เพื่อให้เจ้ารู้จักตัวเอง พระองค์ทรงกล่าวโทษ สาปแช่ง พิพากษา และตีสอน ก็เพื่อที่เจ้าอาจจะรู้จักตัวเจ้าเอง เพื่อที่อุปนิสัยของเจ้าอาจจะเปลี่ยนแปลง และที่ยิ่งไปมากกว่านั้นก็คือ เพื่อที่เจ้าอาจจะรู้คุณค่าของเจ้าเอง และมองเห็นว่าการกระทำทั้งหมดของพระเจ้านั้นชอบธรรมและเป็นไปโดยสอดคล้องกับพระอุปนิสัยของพระองค์และข้อพึงประสงค์ทั้งหลายแห่งพระราชกิจของพระองค์ มองเห็นว่าพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจโดยสอดคล้องกับแผนการของพระองค์เพื่อความรอดของมนุษย์ และมองเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ชอบธรรม ผู้ซึ่งทรงรัก ทรงช่วยให้รอด ทรงพิพากษา และทรงตีสอนมนุษย์  หากเจ้ารู้เพียงว่าเจ้ามีสถานะอันต่ำต้อย รู้เพียงว่าตัวเองเสื่อมทรามและเป็นกบฏ แต่ไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะเผยชัดถึงความรอดของพระองค์โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนที่พระองค์ทรงกระทำในตัวเจ้าในวันนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่มีหนทางใดเลยที่จะได้รับประสบการณ์ นับประสาอะไรที่เจ้าจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้  พระเจ้าไม่ได้เสด็จมาเพื่อประหัตประหารหรือทำลายล้าง แต่เพื่อพิพากษา สาปแช่ง ตีสอน และช่วยให้รอด  จนกว่าแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระองค์จะมาถึงจุดปิดตัว—ก่อนที่พระองค์จะทรงเปิดเผยบทอวสานของมนุษย์แต่ละหมวดหมู่—พระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของความรอด จุดประสงค์ทั้งมวลของพระราชกิจก็คือการทำให้ผู้ที่รักพระองค์มีความครบบริบูรณ์—อย่างถ้วนทั่วเช่นนั้น—และเพื่อให้พวกเขายอมสยบอยู่ใต้อำนาจครอบครองของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละมือจากพรเกี่ยวกับสถานะและทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเรื่องการนำความรอดมาสู่มนุษย์)  การได้อ่านบทตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกถึงสันติสุข  ผมนึกว่าตัวเองได้ล่วงเกินพระเจ้าในหนทางที่ไม่อาจให้อภัยได้เข้าให้แล้ว แต่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น  แม้ว่าพระเจ้าจะใช้พระวจนะของพระองค์มาพิพากษาและเปิดเผยตัวผม แต่พระองค์ก็มิได้ทรงเกลียดชังหรือกล่าวโทษผม พระองค์มีพระประสงค์ให้ผมกลับใจและเปลี่ยนแปลง  ผมสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า รวมทั้งความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระองค์  ผมรู้ว่าครั้งนี้ผมต้องแสวงหาความจริงและแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง

และแล้วผมก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ความว่า “การที่จะเป็นคนซื่อสัตย์นั้น อันดับแรกเจ้าต้องตีแผ่หัวใจของเจ้าให้ทุกคนสามารถมองเข้าไปในหัวใจของเจ้า เห็นทั้งหมดที่เจ้ากำลังคิด และมองดูใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า เจ้าต้องไม่พยายามอำพรางหรือปิดบังตนเอง  เมื่อนั้นเท่านั้นผู้คนจึงจะไว้ใจเจ้า และมองว่าเจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์  นี่คือการฝึกปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่สุด และเป็นปัจจัยเบื้องต้นของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  ถ้าเจ้าเสแสร้งอยู่ตลอดเวลา แสร้งทำอยู่เสมอว่าเจ้านั้นบริสุทธิ์ ประเสริฐ ยิ่งใหญ่ และมีบุคลิกที่สูงส่ง ถ้าเจ้าไม่ปล่อยให้ผู้คนมองเห็นความเสื่อมทรามและข้อเสียของเจ้า ถ้าเจ้าเสนอภาพลักษณ์ที่เป็นเท็จให้ผู้คนเห็นเพื่อให้พวกเขาเชื่อว่าเจ้าซื่อตรง ยิ่งใหญ่ รู้จักปฏิเสธตัวเอง ยุติธรรม และไม่เห็นแก่ตัว—นี่คือความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและความเทียมเท็จมิใช่หรือ?  เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนย่อมจะมองเจ้าออกอย่างทะลุปรุโปร่งมิใช่หรือ?  ดังนั้น จงอย่าใช้อะไรมาปลอมแปลงหรือปิดบังตัวเจ้าเอง  แต่จงตีแผ่ตัวเจ้าและหัวใจของเจ้าให้ผู้อื่นเห็น  หากเจ้าสามารถตีแผ่หัวใจของเจ้าให้ผู้อื่นเห็น หากเจ้าสามารถตีแผ่ความคิดและแผนการทั้งหมดของเจ้า—ทั้งด้านบวกและด้านลบ—นั่นก็คือความซื่อสัตย์มิใช่หรือ?  หากเจ้าสามารถตีแผ่ตัวเจ้าให้ผู้อื่นดู เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ย่อมจะมองเห็นเจ้าด้วย  พระองค์ย่อมจะตรัสว่า ‘ถ้าเจ้าตีแผ่ตัวเองให้ผู้อื่นมองเห็นเช่นนี้แล้ว เจ้าก็ย่อมซื่อสัตย์ต่อหน้าเราเป็นแน่’  แต่หากเจ้าเพียงตีแผ่ตัวเองต่อพระเจ้าเวลาอยู่นอกสายตาของผู้อื่น และแสร้งทำตัวยิ่งใหญ่และประเสริฐอยู่เสมอ หรือไม่เห็นแก่ตัวเวลาอยู่ร่วมกับพวกเขา เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงคิดอย่างไรกับเจ้า?  พระองค์จะตรัสว่าอย่างไร?  พระองค์จะตรัสว่า ‘เจ้าเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงโดยแท้  หน้าซื่อใจคดและต่ำทรามอย่างแท้จริง เจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์’  พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษเจ้าเช่นนี้  หากเจ้าอยากเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรืออยู่ต่อหน้าผู้อื่น เจ้าก็ควรให้คำอธิบายถึงสภาวะภายในตัวเจ้า รวมทั้งความในใจของเจ้าได้อย่างถ่องแท้และเปิดเผย  เรื่องนี้ทำได้ง่ายหรือไม่?  นี่ต้องมีระยะเวลาฝึกฝน ต้องหมั่นอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า  เจ้าต้องฝึกตัวเองให้กล่าวความในใจออกมาอย่างเรียบง่ายและเปิดเผยในทุกเรื่อง  ด้วยการฝึกฝนเช่นนี้ เจ้าจึงจะก้าวหน้าได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์)  การได้อ่านบทตอนนี้ช่วยผมให้เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์จากผม  พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้ผมเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ ซึ่งหมายความว่าผมต้องเรียนรู้ที่จะเปิดโปงความเสื่อมทรามและความคิดที่สัตย์จริงของตนเองให้ คนอื่นสามารถมองเห็นความอ่อนแอและข้อบกพร่องของผมได้  หากผมยกย่องตัวเองเรื่อยไปโดยไม่เปิดเผยความอ่อนแอและความล้มเหลวของตน เอาแต่ใช้การสามัคคีธรรมและการชุมนุมมาอวดตัว ก็ย่อมจะไม่ซื่อสัตย์อย่างยิ่ง  นั่นจะเป็นการเล่นไม่ซื่อกับพี่น้องชายหญิง  ผมได้เห็นว่าผมจำต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์อย่างยิ่งยวด  ผมยังได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับแนวคิดที่ผิดพลาดของผมเองอีกด้วย  ผมนึกว่าผู้นำควรเป็นวีรชนที่ปราศจากความอ่อนแอ เหมือนผู้อำนวยการบางคนในโลกภายนอก ที่เหนือชั้นกว่าคนอื่น เก่งกว่าคนอื่น  แต่นั่นไม่ใช่ผู้นำประเภทที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์  พระเจ้าทรงต้องประสงค์ผู้คนที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์  ผู้คนดังกล่าวสามารถเปิดใจเกี่ยวกับความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของพวกเขา และพวกเขารักและปฏิบัติความจริง  จุดประสงค์ของการสามัคคีธรรมของพวกเขาไม่ใช่เพื่ออวดตัว แต่เพื่อใช้ประสบการณ์ของตนมาช่วยพี่น้องชายหญิง  ผมยังจดจำสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “ท่านทั้งหลายอย่าให้ใครเรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’ เพราะพวกท่านมีพระอาจารย์เพียงผู้เดียว และพวกท่านทุกคนเป็นพี่น้องกัน… อย่าให้ใครเรียกท่านทั้งหลายว่า ‘บรมครู’ เพราะว่าบรมครูของพวกท่านมีเพียงผู้เดียวคือพระคริสต์ คนที่เป็นใหญ่ในพวกท่านย่อมต้องปรนนิบัติท่าน ใครยกตัวขึ้น จะต้องถูกทำให้ต่ำลง ใครถ่อมตัวลง จะได้รับการยกขึ้น(มัทธิว 23:8-12)  ผมตระหนักว่าผู้นำเล่นบทของผู้รับใช้ เป็นผู้รับใช้ที่มีความรับผิดชอบอันหนักอึ้ง  ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาก็ต้องนึกถึงความรับผิดชอบของตนอยู่เสมอ และความรับผิดชอบนี้ก็คือการให้น้ำและเกื้อหนุนพี่น้องชายหญิง และแสวงหาความจริงเพื่อช่วยพวกเขาแก้ปัญหา  ผู้นำไม่ใช่เจ้าหน้าที่และไม่ได้เหนือกว่าใครอื่น แต่ผมกลับแสดงละครตบตาตลอดเวลาที่ผมเป็นผู้นำ หวังให้ผู้คนเลื่อมใสและหลงใหลได้ปลื้มในตัวผม  นี่ไม่ตรงกันข้ามกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าหรอกหรือ?  พระเจ้าคือพระผู้สร้าง และมนุษย์ทั้งปวง ไม่ว่าตำแหน่งของพวกเขาจะได้รับการยกย่องหรือต่ำต้อยเพียงไหนก็ตาม ก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และควรนมัสการพระผู้สร้าง  ผมได้รู้จักบทบาทและความรับผิดชอบของผม รู้ว่าผมควรยืนอยู่ในที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและทำหน้าที่อย่างถูกต้องเหมาะสม  นับจากจุดนั้นมา กรอบความคิดของผมก็เปลี่ยนไป ผมเริ่มตั้งใจฝึกฝนปฏิบัติเพื่อเป็นคนซื่อสัตย์  เมื่อสังเกตเห็นว่าผมกำลังยกย่องตัวเองและอวดตัว ผมจะเปิดใจ และจงใจเปิดโปงความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของผม  บางครั้งนั่นก็เจ็บปวด แต่ก็แสดงให้ผมเห็นว่าจริงๆ แล้วผมไม่ซื่อสัตย์เพียงใด  ผมมองเห็นว่าตัวเองหลอกลวงพี่น้องชายหญิงไว้มากมายยิ่ง  ยิ่งเปิดใจมากเท่าใด ผมก็ยิ่งเห็นตัวตนที่แท้จริงและวุฒิภาวะที่แท้จริงของตนเองมากเท่านั้น  ผมตระหนักว่าผมไม่เคยสูงส่งและมีฤทธิ์เดชอย่างที่ตัวเองคิด  ก่อนหน้านี้ในการสามัคคีธรรมทั้งหมดที่ผมมีให้พี่น้องชายหญิง ผมวางตัวสูงส่ง หนุนใจและช่วยเหลือผู้คนด้วยคำสอน  แต่มาตอนนี้ผมเริ่มแบ่งปันสภาวะที่แท้จริงของผมให้พี่น้องชายหญิงรู้ เปิดใจกับพวกเขาในการสามัคคีธรรม  เวลาที่ผมทำเช่นนี้ ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองฉลาดหลักแหลมกว่าคนอื่นแต่อย่างใดเลย แต่ผมกลับสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของพวกเขาแทน และได้รับความกระจ่างและความรู้แจ้งจากการสามัคคีธรรมของคนอื่น  ผมไม่ค่อยได้สนใจการสามัคคีธรรมของคนอื่นมาก่อน ทึกทักเอาอย่างโอหังว่าผมคือผู้ที่จัดเตรียมความกระจ่างให้คนอื่น  บัดนี้ที่ผมได้สนทนากับทุกคนจากหัวใจ ผมก็สามารถรับฟังประสบการณ์และความรู้ที่พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมให้ฟังได้อย่างแท้จริง  ผมหยิ่งผยองและคิดว่าตนสำคัญน้อยลง และสามารถเข้ากันได้ดีกับพี่น้องชายหญิงด้วยฐานะที่ทัดเทียมกัน  การใช้เหตุผลของผมค่อยๆ เป็นปกติ และผมสามารถเปิดใจให้กว้างในระหว่างการสามัคคีธรรมในการชุมนุมต่างๆ ผมสำนึกรู้คุณของพระเจ้ายิ่งนักที่ผมเปลี่ยนไปแบบนี้

เดี๋ยวนี้บางครั้งผมก็จับได้ว่าตัวเองยังคงอวดตัว ซึ่งทำให้ผมเห็นว่าซาตานทำให้ผมเสื่อมทรามอย่างลึกล้ำเพียงใด และแสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่แค่สิ่งที่่มาแล้วก็ไป แต่ฝังอยู่ในกระดูกและในเลือดของผม  ผมจำเป็นต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น มีประสบการณ์กับการพิพากษาและการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระองค์เพื่อที่จะรู้จักความเสื่อมทรามและข้อเสียของผมเอง หาทางละทิ้งอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของผม และได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า  ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 3. พระวจนะของพระเจ้าขจัดความเข้าใจผิดที่ผมมี

ถัดไป: 5. การดิ้นรนที่จะพูดอย่างซื่อสัตย์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger