3. พระวจนะของพระเจ้าขจัดความเข้าใจผิดที่ผมมี

โดย ฟลาเวียน, ประเทศเบนิน

เดือนกันยายนปี 2019 ผมได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ต่อมา ผมได้รับเลือกให้เป็นผู้นำกลุ่มการชุมนุมต่างๆ ในคริสตจักร และพี่น้องชายหญิงก็พูดกันว่าผมเข้าใจสิ่งต่างๆ เร็วและมีขีดความสามารถดี  ผ่านไปไม่นานผมได้รับเลือกให้เป็นมัคนายกข่าวประเสริฐ และผมก็กระตือรือร้นในการทำหน้าที่มากกว่าเดิม  ทุกวันผมยุ่งอยู่กับการประกาศข่าวประเสริฐและการจัดชุมนุม  พี่น้องชายหญิงเพลิดเพลินกับการสามัคคีธรรมของผม และผู้นำคริสตจักรก็บอกว่าผมทำได้ดี  นี่ทำให้ผมมีความสุขมาก และรู้สึกว่าขีดความสามารถของผมดีเป็นพิเศษจริงๆ  และเพื่อให้ผู้คนมาเลื่อมใสในตัวผมกันมากขึ้น ผมจึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มขึ้น ดูหนังของพระนิเวศหลายเรื่อง และดูวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกมาก  แต่ผมก็พอใจแค่การเข้าใจคำพูดและคำสอนเพื่ออวดตัวเท่านั้น ไม่ได้มุ่งเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือมุ่งปฏิบัติความจริง  เวลาชุมนุม ผมสามัคคีธรรมให้ครอบคลุมเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้ คนอื่นจะได้คิดว่าผมเข้าใจมากกว่า  ผมถึงกับสามัคคีธรรมในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจดีเพื่อให้คนอื่นคิดว่าผมรู้ทุกอย่าง  และเพื่อที่จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในใจของผู้นำ ผมจึงแสร้งทำเป็นเข้มแข็งมาก อย่างเช่น ตอนแรกผมมีมโนคติที่หลงผิดเรื่องพระราชกิจของพระเจ้า แต่ผมก็คิดว่าถ้าพูดออกไป ผู้นำย่อมจะคิดว่าผมไม่เข้าใจความจริง  ดังนั้นผมเลยจงใจซ่อนมโนคติที่หลงผิดของตนเองไม่ให้ผู้นำรู้  มันเหมือนผมใส่หน้ากากอยู่  สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าคนอื่นคือภาพลวงตา

ไม่กี่เดือนต่อมา ผมได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ดูแลงานข่าวประเสริฐเป็นหลัก  งานนี้ต้องใช้ขีดความสามารถ วิจารณญาณ และความสามารถในการทำงาน  ผมรู้สึกว่าในคริสตจักร นอกจากผมก็ไม่มีใครแล้วที่มีคุณสมบัติเหล่านั้น พระเจ้าถึงได้ทรงลิขิตให้ผมทำหน้าที่นี้  การได้เลื่อนตำแหน่งครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่น เป็นคนที่สนใจแสวงหาความจริงที่สุด เป็นคนที่พระเจ้าทรงรักและโปรดปราน  ผมรู้สึกด้วยว่าตัวเองเป็นคนพิเศษในคริสตจักร คริสตจักรจะขาดผมไม่ได้  ผมถึงกับคิดว่าการรับผิดชอบงานข่าวประเสริฐก็เหมือนการเป็นยามรักษาการณ์หน้าทางเข้าคริสตจักร ผมสามารถตัดสินใจว่าใครเข้าได้และใครเข้าไม่ได้  แล้วผมก็ค่อยๆ โอหังขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือคนอื่น รู้สึกว่าผมออกคำสั่งได้ และพี่น้องชายหญิงคือ “ผู้บังคับใช้กฎ” ของผมที่ต้องฟังผม  ในงานของคริสตจักร ผมอยากตัดสินใจด้วยตนเองและอยากมีอำนาจชี้ขาดเสมอ  ผมรู้สึกเหมือนว่าผมคือคนที่มีความสามารถในการทำงาน ผมคือคนที่ช่ำชองหลักธรรม ดังนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องยอมรับมุมมองหรือคำแนะนำของคนอื่น  ผมดูถูกพี่น้องชายหญิงเสมอ  มีผู้นำกลุ่มอยู่คนหนึ่งที่มีขีดความสามารถกลางๆ และผมรู้สึกดูถูก  ผมอยากแทนที่เธอโดยไม่สนความถูกต้องและไม่สนว่าเธอทำหน้าที่ได้มีประสิทธิผลหรือไม่  นอกจากนั้นแล้ว ผมยังมองพี่น้องชายหญิงว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา รู้สึกเหมือนว่าผมจะพูดวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ  มีพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่มีวิธีการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง แต่ผมคิดว่าเธอทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง จึงตำหนิเธออย่างรุนแรงโดยไม่ได้สามัคคีธรรมถึงหลักธรรมต่างๆ ซึ่งทำให้เธอคิดลบมากจนไม่อยากทำงานคู่กับผม  ต่อมาระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่ง ผู้นำของพวกเราถามทุกคนว่ามีปัญหาอะไรบ้างไหม และเธอคนนี้ก็พูดตามตรงว่า “พี่น้องชายฟลาเวียนมีปัญหาค่ะ  เขาไม่สามัคคีธรรมถึงความจริง วิพากษ์วิจารณ์ผู้คนอยู่เสมอ และทุกครั้งที่เขาวิจารณ์ฉัน เขาก็พูดแรงมากเป็นประจำ”  หลังจากนั้นพี่น้องชายหญิงอีกหลายคนก็รายงานว่าผมวิจารณ์ผู้คนตามใจชอบ พวกเขาใช้พระวจนะของพระเจ้ามาเปิดโปงพฤติกรรมที่โอหังของผม

ที่จริง บางคนก็เคยพูดถึงปัญหาเรื่องพฤติกรรมที่โอหังของผมกับผมแล้ว  พี่น้องชายหญิงบางคนมองว่าผมเข้มงวดเกินไปเวลาถามเรื่องงานของคนอื่น และส่งข้อความหาผม บอกว่า “พี่น้อง พูดจาแบบนั้นไม่ดีนะ  คุณจะทำให้พี่น้องชายหญิงของคุณรู้สึกในทางลบ”  พี่น้องชายหญิงยังบอกด้วยว่าผมพูดจาดูถูกคนอื่น ไม่ได้วางตัวอยู่ระดับเดียวกับพี่น้องชายหญิง และพวกเขาบางคนไม่อยากคุยกับผม ส่วนคนอื่นๆ ก็รู้สึกว่าถูกเล่นงานจนไม่อยากทำหน้าที่ของตนอีกแล้ว  การถูกพี่น้องชายหญิงต่อว่าและตัดแต่งซ้ำๆ ส่งผลต่อความรู้สึกภาคภูมิใจของผมอย่างมาก  ผมเคยคิดว่าตัวเองคือคนที่พระเจ้าทรงรักและโปรดปราน แต่การได้เห็นว่าพี่น้องเปิดโปงและปฏิเสธผมอย่างไร ก็ทำให้ผมรู้สึกห่อเหี่ยวและคิดลบเอามากๆ  ผมหมดแรงขับเคลื่อนให้ไล่ตามและทำหน้าที่อย่างขอไปทีเท่านั้น ไม่ติดตามดูงานของพี่น้องชายหญิง และไม่มุ่งแก้ไขความยุ่งยากหรือปัญหาที่พวกเขาเจอ  ผมไม่สนใจเลยว่าพวกเขาต้องการอะไรมากที่สุด

ภายหลัง พี่น้องหญิงคนหนึ่งส่งพระวจนะของพระเจ้ามาให้ผมบทตอนหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสภาวะของผมอย่างมาก  พระเจ้าตรัสว่า “ตั้งแต่มวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ธรรมชาติของผู้คนก็เริ่มเสื่อม และพวกเขาก็ค่อยๆ สูญเสียเหตุผลที่ผู้คนปกติพึงมี  ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ทำตัวเป็นมนุษย์ในฐานะที่เป็นมนุษย์อีกต่อไป แต่กลับเต็มไปด้วยความทะยานอยากอันโลดโผน พวกเขาไปไกลเกินสถานภาพของมนุษย์แล้ว ทว่ายังคงโหยหาที่จะไปให้สูงขึ้น  คำว่า ‘สูงขึ้น’ นี้หมายความว่าอย่างไร?  พวกเขาอยากล้ำเลิศกว่าพระเจ้า ล้ำเลิศกว่าฟ้าสวรรค์ และล้ำเลิศเหนือทุกสิ่ง  เมื่อดูที่รากเหง้าแล้ว สาเหตุที่ผู้คนเผยอุปนิสัยเช่นนี้ให้เห็นคืออะไร?  เมื่อพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ธรรมชาติของมนุษย์นั้นโอหังเกินไป  ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘โอหัง’  นี่เป็นคำดูหมิ่น  หากใครเผยความโอหังออกมา ผู้อื่นย่อมคิดว่าพวกเขาไม่ใช่คนดี  เมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนโอหังอย่างยิ่ง ผู้อื่นย่อมนึกเสมอว่าพวกเขาเป็นคนชั่ว  ไม่มีใครอยากถูกตีตราด้วยคำคำนี้  อย่างไรก็ตาม ที่จริงแล้วทุกคนโอหัง และมนุษย์ทุกคนที่เสื่อมทรามย่อมมีแก่นแท้นี้  บางคนกล่าวว่า ‘ฉันไม่โอหังเลยแม้แต่น้อย  ฉันไม่เคยอยากเป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ หรืออยากล้ำเลิศกว่าพระเจ้า หรือล้ำเลิศกว่าทุกสิ่ง  ฉันเป็นคนที่ประพฤติตัวดีเป็นพิเศษและรับผิดชอบหน้าที่เสมอมา’  ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น คำพูดเหล่านี้ไม่ถูกต้อง  พอผู้คนมีธรรมชาติและแก่นแท้ที่โอหังมากขึ้น พวกเขาก็มักจะสามารถต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า ไม่ฟังพระวจนะของพระองค์ แพร่มโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระองค์ ทำสิ่งที่ทรยศพระองค์ รวมทั้งสิ่งที่ยกชูและเป็นคำพยานให้ตัวเอง  เจ้าบอกว่าเจ้าไม่โอหัง แต่สมมุติว่าเจ้าได้รับโอกาสให้นำคริสตจักรแห่งหนึ่ง สมมุติว่าเราไม่ได้ตัดแต่งเจ้า และไม่มีใครในครอบครัวของพระเจ้าวิพากษ์วิจารณ์หรือช่วยเหลือเจ้า กล่าวคือ หลังจากที่นำคริสตจักรนั้นไปสักพัก เจ้าย่อมจะนำผู้คนมาอยู่แทบเท้าเจ้า และทำให้พวกเขาเชื่อฟังเจ้า ถึงขนาดเลื่อมใสและเคารพเจ้า  แล้วเพราะเหตุใดเจ้าจึงจะทำเช่นนั้น?  เรื่องนี้ย่อมจะมีธรรมชาติของเจ้าเป็นตัวกำหนด ซึ่งเป็นเพียงการเผยให้เห็นตามธรรมชาติเท่านั้น  เจ้าไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องเรียนรู้เรื่องนี้จากผู้อื่น อีกทั้งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้พวกเขามาสอนเรื่องนี้แก่เจ้า  เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาบอกหรือบีบให้เจ้าทำเรื่องนี้ สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเจ้าเองตามธรรมชาติ  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำคือการทำให้ผู้คนยกชูเจ้า สรรเสริญเจ้า เคารพบูชาเจ้า ทำตามเจ้า และฟังเจ้าทุกเรื่อง  เป็นธรรมดาที่การเปิดโอกาสให้เจ้าเป็นผู้นำย่อมก่อให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ และเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  แล้วสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  นี่มีธรรมชาติที่โอหังของมนุษย์เป็นตัวกำหนด  การสำแดงความโอหังคือการต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า  เมื่อผู้คนโอหัง ทะนงตน และคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะจัดตั้งอาณาจักรอิสระของตนเอง และทำสิ่งทั้งหลายตามวิธีใดก็ตามที่ตนต้องการ  พวกเขายังพาผู้อื่นเข้ามาอยู่ในเงื้อมมือของตนและดึงผู้อื่นเข้าสู่อ้อมกอดของตนอีกด้วย  การที่ผู้คนสามารถทำเรื่องที่โอหังเช่นนี้ได้ ย่อมพิสูจน์โดยแท้ว่าแก่นแท้ของธรรมชาติอันโอหังของพวกเขาคือแก่นแท้ของซาตาน เป็นแก่นแท้ของหัวหน้าทูตสวรรค์  เมื่อพวกเขามีความโอหังและความทะนงตนถึงระดับหนึ่ง พวกเขาก็ไม่มีที่ทางในหัวใจของตนให้แก่พระเจ้าอีกต่อไป และย่อมวางมือจากพระเจ้า  และแล้วพวกเขาก็ปรารถนาที่จะเป็นพระเจ้า ทำให้ผู้คนเชื่อฟังตน และพวกเขาย่อมกลายเป็นหัวหน้าทูตสวรรค์  หากเจ้ามีธรรมชาติอันโอหังเยี่ยงซาตานเช่นนี้ พระเจ้าจะไม่ทรงมีที่ทางในหัวใจของเจ้า  ต่อให้เจ้าเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าก็จะไม่ทรงยอมรับเจ้าอีกต่อไป จะทรงมองว่าเจ้าคือคนชั่ว และจะทรงกำจัดเจ้าออกไป(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ธรรมชาติอันโอหังคือรากเหง้าของการที่มนุษย์ต้านทานพระเจ้า)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ผมก็นึกถึงพฤติกรรมของตัวเองที่เป็นมาจนถึงปัจจุบัน  ตอนที่ผมเริ่มรับเชื่อ ทุกคนก็ชื่นชมและหนุนใจผม  พวกเขาบอกว่าผมมีขีดความสามารถดีและสามัคคีธรรมได้ดี  ผมได้เลื่อนตำแหน่งหลายครั้งด้วย จึงรู้สึกว่าตัวเองพิเศษและเก่งกว่าพี่น้องคนอื่น รู้สึกว่าผมมีคุณสมบัติที่จะกำกับดูแลพวกเขา  ธรรมชาติของผมที่โอหังและคิดว่าตนเองชอบธรรม รวมทั้งความทะเยอทะยานที่จะไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ทำให้ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่พระเจ้าทรงยินดีและโปรดปราน  ผมรู้สึกเหมือนตัวผมโดดเด่นและเหนือกว่าคนอื่น ผมจึงเริ่มใช้ตำแหน่งของตัวเองมาต่อว่าและบีบคั้นคนอื่น  ผมถึงกับพยายามควบคุมพี่น้องชายหญิงและทำให้พวกเขาฟังผม  ผมทำตัวเหมือนหัวหน้าทูตสวรรค์!  ผมยกย่องตัวเองมากเกินไป  หลังถูกพี่น้องชายหญิงตัดแต่งและปฏิเสธ ผมถึงตระหนักว่าผมไม่ได้เพียบพร้อมอย่างที่ตัวเองคิด  ผมทึกทักไปเองว่าตัวผมเหนือกว่าคนอื่นมากและพระเจ้าทรงโปรดปรานผม แต่นั่นเป็นจินตนาการของผมเท่านั้น

หลายวันต่อมา ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกสองบทตอน ซึ่งเปิดโปงและชำแหละศัตรูของพระคริสต์  พระเจ้าตรัสว่า “ศัตรูของพระคริสต์จะยอมทำทุกทางเพื่อให้ได้สถานะ ตอบสนองความทะเยอทะยานของตน และสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขาที่จะควบคุมคริสตจักรและเป็นพระเจ้า  พวกเขามักจะทำงานจนดึกดื่นและตื่นยามรุ่งสาง นอนดึกและตื่นมาซ้อมคำเทศนาของตนในเวลาเช้าตรู่ และจดบันทึกสิ่งต่างๆ อันปราดเปรื่องที่ผู้อื่นกล่าวเอาไว้ด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมด้วยคำสอนที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้ในบทเทศนาอันสูงส่ง  พวกเขาใคร่ครวญทุกวันว่าจะเทศนาอย่างไรให้ฟังดูสูงส่ง ตรึกตรองว่าควรเลือกใช้พระวจนะคำใดของพระเจ้าจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด และบันดาลใจให้เกิดความเลื่อมใสและการสรรเสริญในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และแล้วพวกเขาก็จดจำพระวจนะเหล่านั้นจนขึ้นใจ  จากนั้นพวกเขาก็พิจารณาว่าจะตีความพระวจนะเหล่านั้นในหนทางที่แสดงให้เห็นความฉลาดและปราดเปรื่องของตนได้อย่างไร  พวกเขาหมั่นฟังพระวจนะของพระเจ้าอีกหลายครั้งเพื่อให้พระวจนะของพระองค์ตราตรึงอยู่ในหัวใจของตนอย่างแท้จริง  พวกเขาทำทั้งหมดนี้ด้วยความมานะพยายามของนักเรียนที่แข่งกันชิงที่เรียนในมหาวิทยาลัย  เมื่อมีใครบางคนเทศนาได้ดี หรือกล่าวคำเทศนาที่ให้ความรู้แจ้งอยู่บ้าง หรือบทเทศนาที่พอจะมีทฤษฎีบ้าง ศัตรูของพระคริสต์ก็จะเก็บรวบรวมไว้และทำให้เป็นคำเทศนาของตนเอง  ไม่มีความพยายามที่มากเกินไปสำหรับศัตรูของพระคริสต์  เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดคือแรงจูงใจและเจตนาเบื้องหลังความพยายามของพวกเขา?  คือการสามารถประกาศพระวจนะของพระเจ้า กล่าวพระวจนะเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนและง่ายดาย พูดพระวจนะเหล่านี้ได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่อให้ผู้อื่นเห็นว่าศัตรูของพระคริสต์มีสภาวะฝ่ายวิญญาณมากกว่าตน ถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้ามากกว่า รักพระเจ้ามากกว่า  ในหนทางนี้ ศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะสามารถได้รับความเลื่อมใสและการเคารพบูชาจากผู้คนบางส่วนรอบตัวพวกเขา  ศัตรูของพระคริสต์รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่คุ้มค่าที่จะทำและคุ้มกับความพยายาม ราคา หรือความยากลำบากใดๆ(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบ (ภาคที่เจ็ด))  “แก่นแท้ของพฤติกรรมของศัตรูพระคริสต์คือการใช้วิถีทางและวิธีการต่างๆ มาสนองความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนตลอดเวลา ชักพาให้หลงผิดและดักจับผู้คน และการได้สถานะอันสูงส่งเพื่อให้ผู้คนติดตามและเคารพบูชาตน  เป็นไปได้ว่าในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่จงใจแย่งชิงมนุษยชาติกับพระเจ้า แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน นั่นคือแม้ในเวลาที่พวกเขาไม่แย่งชิงพวกมนุษย์กับพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะมีสถานะและพลังอำนาจท่ามกลางพวกมนุษย์  ต่อให้วันนั้นมาถึงเมื่อพวกเขาตระหนักว่าพวกเขากำลังแย่งชิงสถานะกับพระเจ้า และพวกเขาดึงรั้งตัวเองเอาไว้บ้าง พวกเขาก็ยังคงใช้วิธีการต่างๆ มาไล่ตามไขว่คว้าสถานะและความมีหน้ามีตา พวกเขาชัดเจนในหัวใจของตนว่าพวกเขาจะมีสถานะที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหากได้รับความเห็นชอบและความเลื่อมใสจากผู้คนบางส่วน  กล่าวสั้นๆ ก็คือ แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำดูเหมือนจะประกอบด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา แต่ผลที่เกิดขึ้นคือการชักพาผู้คนให้หลงผิด ทำให้ผู้คนบูชาและติดตามพวกเขา—ซึ่งในกรณีนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในหนทางนี้คือการยกย่องและเป็นพยานยืนยันให้แก่ตัวพวกเขาเอง  ความทะเยอทะยานของพวกเขาที่จะควบคุมผู้คนและได้รับสถานะและอำนาจในคริสตจักรย่อมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  พวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์โดยแท้(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่ห้า: พวกเขาชักพาผู้คนให้หลงผิด ดึงผู้คนมาเข้าร่วม ข่มขู่ และควบคุมผู้คน)  พระเจ้าตรัสว่าเพื่อให้ตนเองได้รับการสรรเสริญและเทิดทูนจากคนอื่น ศัตรูของพระคริสต์ใช้ความทุกข์ที่มองเห็นภายนอกมาสร้างภาพลวงตาเพื่อหลอกผู้คน  นี่คือสิ่งที่ผมเป็นไม่ใช่หรือ?  ผมแสวงหาชื่อเสียงและสถานะเสมอ และทุกสิ่งที่ผมทำก็เป็นไปเพื่อให้คนอื่นยกย่องนับถือผม  ผมใช้เวลามากมายอ่านพระวจนะของพระเจ้า บางครั้งไม่ยอมนอนจนดึกดื่น แต่จุดประสงค์ของผมมีเพียงเพื่อเข้าใจคำสอนมากขึ้น จะได้อวดตนกับคนอื่นๆ ได้ดีขึ้นและให้คนอื่นยกย่องนับถือและชื่นชมผม  พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นทุกสิ่งที่ผมสำแดงออกมา  ผมรู้สึกว่าตัวเองถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษไปแล้วและจะถูกกำจัดออกไป ก็เลยมีแต่ความกระวนกระวาย  แต่ผมไม่กล้าเล่าสภาวะที่แท้จริงของตนเองให้พี่น้องชายหญิงรู้ เพราะกลัวจะถูกมองว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์และถูกขับไล่  ผมพยายามปกปิดความวิตกกังวลของตนเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่หัวใจของผมนั้นทรมาน และผมรู้สึกเหมือนว่าผมถูกตัดสินโทษประหารไปแล้ว  ในช่วงเดียวกันนี้มีศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งถูกเปิดโปงและขับไล่  ดูภายนอกเหมือนเธอสละตนเพื่อพระเจ้าและแสวงหาพระวจนะของพระเจ้ามาสามัคคีธรรมกับพี่น้องคนอื่น แต่ตัวเธอเองกลับไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า พอมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเธอเองเกิดขึ้น เธอก็แพร่ความคิดลบถึงกับไม่ยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าและก่อกวนคนที่สืบค้นหนทางที่แท้จริง  ผมตระหนักว่าการแสดงออกของผมนั้นบางอย่างเหมือนกับการสำแดงของเธอ เช่น ผมมักจะหาพระวจนะของพระเจ้ามาสามัคคีธรรมกับเหล่าพี่น้อง แต่ตัวผมเองกลับไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  เวลาเจอเรื่องยากๆ ผมก็พึ่งพาเชาวน์และปัญญาของตนเองในการแก้ไขเรื่องเหล่านั้น แทนที่จะมุ่งแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือปฏิบัติความจริง  ยิ่งไปกว่านั้นผมยังสำแดงความเป็นศัตรูของพระคริสต์ตามที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยเอาไว้  ผมเลยยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ว่าตนเองจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์และถูกขับไล่ เพราะผมรู้สึกว่าตัวผมมีธรรมชาติที่แย่ สามารถหลอกลวงและควบคุมพี่น้องชายหญิงได้อย่างง่ายดาย และสักวันหนึ่งผมก็จะทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักเหมือนอย่างศัตรูของพระคริสต์คนนั้น  การครุ่นคิดเรื่องนี้ทำให้ความกลัวของผมยิ่งเลวร้าย  ผมรู้สึกว่าตัวเองหมดหวังที่จะได้รับพร ผมเลยเริ่มบ่นว่า “ฉันเมินเสียงคัดค้านของครอบครัวเพื่อที่จะเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนเอง ถึงกับยอมทิ้งอนาคตและออกจากบ้านเกิดเพื่อมาเผยแผ่ข่าวประเสริฐตามที่ใหม่ๆ  ฉันยอมลำบากมากขนาดนี้ แต่สุดท้ายกลับจะตกนรกเพื่อรับการลงโทษอยู่ดี  ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ฉันคงไม่สละมากแบบนั้น  อย่างน้อยก็คงได้เพลิดเพลินกับความสุขสบายทางกายก่อนตายบ้าง”  ตอนนั้นผมคิดแต่เรื่องบั้นปลายของตนเองเท่านั้น ไม่ได้สนใจแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็เลยมัวระวังพระเจ้าเสมอและเข้าใจพระองค์ผิด  ผมรู้สึกว่าถ้าผมยังทำหน้าที่ที่สำคัญอย่างนั้นต่อไป ผมจะถูกเปิดโปงและขับไล่อย่างแน่นอน ผมจึงลาออกจากตำแหน่งผู้นำ  ผมกลัวว่าพี่น้องชายหญิงจะวิพากษ์วิจารณ์และตัดแต่งผมหลังได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผม ผมเลยไม่เปิดใจกับพวกเขาและไม่จับคู่ทำงานกับพวกเขาด้วย  ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่น้องชายหญิงห่างเหินกันไปเลย  แล้วต่อมาผมอ้างการกลับบ้านไปประกาศข่าวประเสริฐเพื่อที่จะกลับไปหาครอบครัวที่เป็นผู้ไม่เชื่อของผม  เมื่อเจอครอบครัวตนเองบังคับขู่เข็ญและขัดขวาง ผมก็ยิ่งคิดลบ  แม้ว่าผมจะยังเข้าร่วมการชุมนุมอยู่ แต่ก็แค่ชุมนุมไปอย่างนั้น  ผมอ่อนแอมากและรู้สึกว่าตนเองจบสิ้นแล้ว ผมจึงตัดสินใจออกจากคริสตจักร

เมื่อออกจากคริสตจักร หัวใจของผมว่างเปล่ามาก  ผมอยู่ในห้องของตัวเองทั้งวันและไม่อยากทำอะไร  แม้จะไม่ถูกครอบครัวข่มเหงแล้วและค่อนข้างจะสุขสบายทางกาย แต่ผมกลับมีแต่ความกระวนกระวายและรู้สึกผิดมาก  ผมกังวลตลอดเวลาว่าจะถูกพระเจ้าลงโทษที่ผมทรยศพระองค์  ผมกลัวนรกและกลัวความตาย ผมพยายามที่จะก้าวข้ามความวิตกกังวลนี้ แต่ก็ไม่เป็นผล  ผมอ่านหนังสือสังคมศาสตร์ไปหลายเล่ม หวังว่าจะเจออะไรที่ช่วยปลอบประโลมดวงจิตของผมได้บ้าง แต่ไม่มีอะไรช่วยบรรเทาความทรมานในใจผมได้ เหมือนว่าผมทำได้แค่อยู่เฉยๆ เฝ้ารอความตายเท่านั้น  วันหนึ่งผมอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้ทรงนำผมออกจากสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้  ต่อมาผมเริ่มฟังบทเพลงสรรเสริญและอ่านพระวจนะของพระเจ้า  พระวจนะของพระองค์ปลุกให้มโนธรรมของผมตื่นขึ้นมาและให้ความรู้แจ้งแก่ผม  พระเจ้าตรัสว่า “ผู้คนบางคนมีอุปนิสัยแห่งศัตรูของพระคริสต์ และมักจะเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบางประการออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง แต่ในขณะเดียวกันกับที่มีการเผยเช่นนั้น พวกเขาก็ทบทวนและทำความรู้จักตัวเองไปด้วย สามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้ และเมื่อผ่านไประยะหนึ่งก็จะสามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวพวกเขาได้  พวกเขาเป็นเป้าหมายแห่งความรอดที่เป็นไปได้(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สี่: พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง)  “มีผู้ที่เมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าก็มักจะสร้างมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดขึ้นมาบ่อยๆ เพราะพระเจ้าทรงเปิดโปงสภาวะอันเสื่อมทรามของผู้คนและตรัสบางสิ่งที่กล่าวโทษผู้คน  พวกเขากลายเป็นลบและอ่อนแอ คิดว่าพระวจนะของพระเจ้าชี้ตรงไปที่ตน คิดว่าพระเจ้าทรงวางมือจากพวกเขาและจะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  พวกเขากลายเป็นลบจนถึงขั้นมีน้ำตาและไม่ต้องการติดตามพระเจ้าอีกต่อไป  อันที่จริงนี่คือการเข้าใจพระเจ้าผิด  เมื่อเจ้าไม่เข้าใจความหมายของพระวจนะของพระเจ้า เจ้าก็ไม่ควรที่จะพยายามพรรณนาพระเจ้า  เจ้าไม่รู้ว่าบุคคลประเภทใดที่พระเจ้าทรงทอดทิ้ง หรือภายใต้สถานการณ์ใดที่พระองค์ทรงละทิ้งผู้คน หรือภายใต้สถานการณ์ใดที่พระองค์ทรงเลิกสนพระทัยผู้คน มีหลักธรรมและบริบทที่เป็นที่มาของทั้งหมดนี้  หากเจ้าไม่มีความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องที่ละเอียดลออเหล่านี้โดยครบถ้วน เจ้าย่อมจะโน้มเอียงมากที่จะเกิดความรู้สึกไวเกินไป และเจ้าจะจำกัดตนเองตามพระวจนะหนึ่งคำจากพระเจ้า  นั่นเป็นปัญหามิใช่หรือ?  เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาผู้คน สิ่งใดคือแง่มุมสำคัญของพวกเขาที่พระองค์ทรงกล่าวโทษ?  สิ่งที่พระเจ้าทรงพิพากษาและเปิดโปงคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของผู้คน  พระองค์ทรงกล่าวโทษอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขา พระองค์ทรงกล่าวโทษการสำแดงและพฤติกรรมต่างๆ ของความเป็นกบฏและการต่อต้านพระเจ้าของพวกเขา พระองค์ทรงกล่าวโทษพวกเขาที่ไม่สามารถนบนอบพระเจ้า ที่ต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอ และที่มีแรงจูงใจและจุดมุ่งหมายของตนเองอยู่เป็นนิจ—แต่การกล่าวโทษเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งผู้คนที่มีอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  หากเรื่องนี้ไม่ชัดเจนสำหรับเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ขาดความสามารถในการเข้าใจ ซึ่งทำให้เจ้าเป็นเหมือนคนที่ป่วยทางจิตเล็กน้อย ระแวงสงสัยในทุกสิ่งและตีความพระเจ้าผิดอยู่เสมอ  ผู้คนเช่นนั้นไร้ซึ่งความเชื่อที่แท้จริง ดังนั้นพวกเขาจะสามารถติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทางได้อย่างไร?  จากการได้ยินถ้อยแถลงในการกล่าวโทษจากพระเจ้าครั้งเดียว เจ้าก็คิดว่าผู้คนที่ถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษ พวกเขาย่อมถูกพระเจ้าทรงทอดทิ้ง และจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดอีกต่อไป และเพราะเหตุนี้เจ้าจึงกลายเป็นคนคิดลบ และทอดทิ้งตนเองให้สิ้นหวัง  นี่คือการตีความพระเจ้าผิด  อันที่จริงพระเจ้าไม่เคยทรงทอดทิ้งผู้คน  พวกเขาตีความพระเจ้าผิดและทอดทิ้งตนเอง  ไม่มีสิ่งใดคอขาดบาดตายไปกว่ายามที่ผู้คนทอดทิ้งตนเอง ดังที่ลุล่วงไว้ในพระวจนะในพันธสัญญาเดิมว่า ‘คนโง่ตายเพราะขาดสามัญสำนึก’ (สุภาษิต 10:21)  ไม่มีพฤติกรรมใดโง่เขลาไปกว่าการที่ผู้คนทอดทิ้งตนเองให้สิ้นหวัง  บางครั้งเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าซึ่งดูเหมือนจะพรรณนาผู้คน ทว่าที่จริงพระวจนะเหล่านั้นมิได้พรรณนาผู้ใดเลย แต่เป็นการแสดงออกถึงเจตนารมณ์และความคิดเห็นของพระเจ้า  เหล่านี้คือพระวจนะแห่งความจริงและหลักธรรม พระวจนะเหล่านี้ไม่ได้พรรณนาผู้ใด  พระวจนะที่พระเจ้าดำรัสในช่วงเวลาแห่งพระโมหะหรือพระพิโรธยังเป็นตัวแทนของพระอุปนิสัยของพระเจ้าอีกด้วย พระวจนะเหล่านี้เป็นความจริง และยิ่งไปกว่านั้นพระวจนะเหล่านี้เป็นของหลักธรรม  ผู้คนต้องเข้าใจเรื่องนี้  จุดประสงค์ของพระเจ้าในการตรัสเช่นนี้คือเพื่ออนุญาตให้ผู้คนเข้าใจความจริงและเข้าใจหลักธรรม แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพื่อจำกัดผู้ใด  เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบั้นปลายและบำเหน็จสุดท้ายของผู้คน และยิ่งไม่เกี่ยวกับการลงโทษผู้คนในขั้นสุดท้าย  นี่เป็นเพียงพระวจนะที่ตรัสเพื่อพิพากษาและตัดแต่งผู้คนเท่านั้น พระวจนะเหล่านี้คือผลแห่งพระโมหะที่ผู้คนไม่เป็นไปตามความคาดหวังของพระองค์ และถ้อยคำเหล่านี้ถูกตรัสออกมาเพื่อปลุกผู้คนให้ตื่น เพื่อกระตุ้นเตือนพวกเขา อีกทั้งเป็นพระวจนะที่มาจากพระทัยของพระเจ้า  แต่กระนั้นบางคนก็ล้มลงและละทิ้งพระเจ้าเพราะถ้อยแถลงของการพิพากษาจากพระเจ้าเพียงครั้งเดียว  ผู้คนเช่นนี้ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่ยอมใช้เหตุผล พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลย… มีหลายครั้งที่พระเจ้าทรงหลีกเลี่ยงผู้คน และหลายครั้งที่พระองค์ทรงวางพวกเขาไว้ก่อนชั่วครู่หนึ่งเพื่อที่พวกเขาอาจคิดทบทวนตัวพวกเขาเอง แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงละทิ้งพวกเขา พระองค์กำลังประทานโอกาสให้พวกเขากลับใจ  อันที่จริงพระเจ้าทรงละทิ้งแต่คนชั่วที่ทำความชั่วมากมาย พวกผู้ไม่เชื่อ และพวกศัตรูของพระคริสต์เท่านั้น  ผู้คนบางคนพูดว่า ‘ฉันรู้สึกไร้ซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนานแล้วที่ฉันไม่ได้มีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระเจ้าได้ทรงละทิ้งฉันแล้วหรือ?’  นี่คือมโนคติที่ผิด  ตรงนี้ก็มีปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ผู้คนทั้งหลายเจ้าอารมณ์เกินไป พวกเขาทำตามเหตุผลของตนเองตลอดเวลา เอาแต่ใจตนเองอยู่เสมอ และไร้ซึ่งความมีเหตุผล—นี่คือปัญหาทางด้านอุปนิสัยมิใช่หรือ?  เจ้าพูดว่าพระเจ้าทรงละทิ้งเจ้าแล้ว ว่าพระองค์จะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด แล้วพระองค์ทรงกำหนดจุดจบของเจ้าแล้วกระนั้นหรือ?  พระเจ้าเพียงตรัสพระวจนะอันโกรธกริ้วไม่กี่คำกับเจ้าเท่านั้น  เจ้าพูดได้อย่างไรว่าพระองค์ทรงวางมือจากเจ้าแล้ว ว่าพระองค์ไม่ทรงต้องการเจ้าอีกต่อไป?  มีหลายครั้งที่เจ้าไม่สามารถรู้สึกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้  แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงตัดสิทธิ์ไม่ให้เจ้าอ่านพระวจนะของพระองค์ และพระองค์ก็ยังไม่ได้ทรงกำหนดจุดจบของเจ้า หรือตัดเจ้าให้ขาดจากเส้นทางสู่ความรอด—ดังนั้นเจ้าจะไม่สบายใจนักหนาด้วยเรื่องอันใด?  เจ้าอยู่ในสภาวะที่แย่ แรงจูงใจของเจ้ามีปัญหา ความคิดและมุมมองของเจ้ามีปัญหา สภาวะจิตใจของเจ้าบิดเบี้ยว—ทว่าเจ้าไม่พยายามแก้ไขสิ่งเหล่านี้ด้วยการแสวงหาความจริง กลับตีความพระเจ้าผิดและพร่ำบ่นพระเจ้าอยู่เนืองนิตย์ และผลักความรับผิดชอบไปให้พระเจ้า และถึงกับพูดว่า ‘พระเจ้าไม่ทรงต้องการฉัน ดังนั้นฉันก็ไม่เชื่อในพระองค์อีกต่อไป’ เจ้าไม่ได้กำลังทำตัวไม่สมเหตุสมผลหรอกหรือ?  เจ้าไม่ได้กำลังไร้เหตุผลอยู่หรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า (1))  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวกับหัวใจของผมโดยตรง  ผมเข้าใจแล้วว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงวางมือจากผม กล่าวโทษ หรือกำหนดจุดจบของผม  ที่จริงแล้วพระเจ้าทรงรู้ว่าผมถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามขนาดไหน  พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้พี่น้องชายหญิงเปิดโปงผมในเวลาที่เหมาะสม และใช้พระวจนะของพระองค์เปิดเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผม รวมทั้งเส้นทางที่ผมเดินอยู่ เพราะมีเพียงทางนี้เท่านั้นที่ผมจะรู้จักตัวเองได้  นี่เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ผมจะได้เปลี่ยนแปลง  การพิพากษา ตีสอน และตัดแต่งของพระเจ้าไม่ได้เป็นไปเพื่อกล่าวโทษหรือกำจัดผมออกไป แต่เพื่อช่วยผมให้รอด  พระเจ้าทรงหวังว่าผมจะรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริงและมีการกลับใจที่แท้จริง  แต่ผมกลับใช้อคติและมโนคติที่หลงผิดของตนเองมาทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างผิดๆ เชื่อไปว่าเพราะผมสำแดงความเป็นศัตรูของพระคริสต์ พระเจ้าย่อมไม่ทรงต้องการผมเป็นแน่ และเชื่อว่าผมไม่แคล้วมีชะตากรรมอย่างเดียวกับพวกคนที่จะถูกทำลายล้าง  ผมเชื่อไปว่าถ้าใครบางคนที่มีอุปนิสัยอย่างศัตรูของพระคริสต์เหมือนตัวผมนี้ยังคงอยู่ในคริสตจักรต่อไป ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก  แต่ที่จริงแล้วทุกสิ่งที่ผมสำแดงออกมาเป็นเรื่องปกติในสายพระเนตรของพระเจ้า  ผมสำแดงให้เห็นอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ก็จริง แต่ผมยังไม่ได้กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์  พระเจ้าทรงกำจัดและลงโทษคนที่มีแก่นแท้แห่งศัตรูของพระคริสต์  คนพวกนั้นไม่สามารถกลับใจได้เพราะแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขานั้นชั่ว ทั้งพวกเขาก็เกลียดและรังเกียจความจริง  ไม่ว่าจะทำอะไรผิด พวกเขาก็ไม่เคยยอมรับข้อผิดพลาดของตน และยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาเกียรติยศและสถานะของตนเอาไว้จวบจนตัวตาย  ผมตระหนักได้ด้วยซ้ำไปว่าผมถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างหนักและผมก็รู้ความผิดของตัวเอง ดังนั้นผมจึงยังมีโอกาสที่จะกลับใจ  ผมเพียงแต่มีอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ ผมไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ที่ไม่สามารถยอมรับความจริงแม้แต่น้อยหรือแม้กระทั่งรังเกียจความจริง  พระเจ้าไม่ได้ทรงกล่าวโทษผมตามความเสื่อมทรามที่ถูกเปิดโปงของผม แต่ทรงพยายามที่จะช่วยผมให้รอดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทรงรอคอยให้ผมกลับใจ  แต่ผมมีชีวิตอยู่กับมโนคติอันหลงผิดที่ต่อต้านพระเจ้ามานานและเข้าใจพระองค์ผิดมาตลอด เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงกำจัดผมออกไป  ดังนั้นผมจึงลาออกและผละจากคริสตจักร กังวลไปว่าถ้าผมยังอยู่ในคริสตจักร ผมจะทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักต่อไป และผมเองจะทนทุกข์กับบทลงโทษที่สาหัสยิ่งขึ้น  ผมไม่ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่รู้จักความรักของพระเจ้าหรือพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ผมคิดไปว่าในเมื่อพระเจ้าไม่ทรงต้องการผมแล้ว จะพยายามอะไรไปก็ไร้ประโยชน์  แล้วถ้าผมไม่ได้เพลิดเพลินกับความสุขทางเนื้อหนังของโลกนี้ ผมก็จะไม่ได้อะไร  ตอนนี้พอย้อนมองสิ่งที่ผมทำ ผมรู้สึกละอายใจมาก  ผมสาบานอยู่หลายครั้งว่าผมจะติดตามพระเจ้าไปตลอดชีวิต แต่ทันทีที่ผมเผชิญการพิพากษาและการเปิดโปง ผมก็กลายเป็นคนนิ่งเฉย ไม่ยอมรับความรอดจากพระเจ้า หมดเชื่อในพระเจ้า และไม่ลังเลที่จะเลือกผลประโยชน์ของตนเอง เลือกที่จะกลับสู่ทางโลกและเพลิดเพลินกับความพอใจทางเนื้อหนัง  มโนธรรมของผมไปอยู่เสียที่ไหน!  ผมรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด  ตอนนี้พอเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ก็ดูเหมือนว่าผมมีความหวังในชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง และผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย  ผมปล่อยมือจากแผนการส่วนตัว รวมถึงการศึกษาและการงานด้วย แล้วเริ่มใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าอย่างละเอียด ขับร้องเพลงสรรเสริญ ฟังการอ่านพระวจนะของพระเจ้า และแสวงหาน้ำพระทัยในพระวจนะของพระองค์ ซึ่งเหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่บนเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้า  ทีละเล็กทีละน้อยผมได้รับความกรุณาจากพระเจ้าและรู้สึกถึงความชื่นบานแห่งการสถิตของพระเจ้าอีกครั้ง  ผมพบสันติสุขและความเบิกบานภายใน ทั้งยังรู้สึกถึงความปรารถนาครั้งใหม่ในหัวใจของตนที่จะกลับสู่คริสตจักรด้วย  แต่ผมไม่รู้ว่าคริสตจักรจะยอมรับผมไหม  ผมจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอพระองค์ทรงกรุณาผมและช่วยผมให้รอด

ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งและเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์เพิ่มขึ้นอีกนิด  พระเจ้าตรัสว่า “หลายปีหลังจากที่พระราชกิจช่วงระยะนี้เริ่มขึ้น มีชายผู้หนึ่งซึ่งเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง ทั้งหมดที่เขาต้องการคือหาเงินและหาคู่ชีวิต ดำเนินชีวิตแบบคนรวย และดังนั้นเขาจึงไปจากคริสตจักร  หลังจากท่องตระเวนไปทั่วเป็นเวลาสองสามปี ตอนนี้เขากลับมาโดยไม่คาดคิด  เขาสำนึกเสียใจอย่างยิ่งภายในหัวใจของเขา และร้องไห้โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้  นี่พิสูจน์แล้วว่าหัวใจของเขาไม่ได้ผละจากพระเจ้าไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเรื่องดี เขายังคงมีโอกาสและความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  หากเขาเลิกเชื่อ เป็นเช่นเดียวกับผู้ไม่มีความเชื่อ เช่นนั้นแล้ว เขาก็คงจบสิ้นแล้วอย่างสิ้นเชิง  หากเขาสามารถกลับใจได้จริง เช่นนั้นแล้ว ก็ยังมีความหวังสำหรับเขา การนี้หายากและล้ำค่า  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงกระทำการอย่างไร และไม่ว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร—ต่อให้พระองค์ทรงเกลียดชัง รังเกียจ หรือสาปแช่งผู้คน—หากมีสักวันหนึ่งที่พวกเขากลับตัวได้ เช่นนั้นแล้ว เราย่อมจะได้รับความชูใจอันใหญ่หลวง ด้วยเหตุที่การนี้ย่อมจะหมายความว่า พวกเขายังคงมีห้องว่างเล็กๆ นั้นในหัวใจของพวกเขาให้กับพระเจ้า ว่าพวกเขายังไม่ได้สูญเสียเหตุผลแบบมนุษย์ของพวกเขาหรือสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง ว่าพวกเขายังคงต้องการเชื่อในพระเจ้า และอย่างน้อยพวกเขาก็มีเจตนาอยู่บ้างที่จะยอมรับรู้และหวนคืนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์  สำหรับผู้คนที่มีพระเจ้าในหัวใจของตนอย่างแท้จริง ไม่ว่าพวกเขาเคยผละจากพระนิเวศของพระเจ้าไปเมื่อใด หากพวกเขาหวนกลับมาและยังคงรักผูกพันต่อครอบครัวนี้ เช่นนั้นแล้ว เราก็ย่อมจะกลายมาเป็นรักผูกพันขึ้นมาบ้างในระดับหนึ่งด้วยอารมณ์อ่อนไหว และจะได้รับความชูใจอยู่บ้างกับการนี้  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่หวนกลับมาเลย เราจะคิดว่านั่นเป็นเรื่องน่าเสียดาย  หากพวกเขาสามารถหวนกลับมาได้และกลับใจอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว หัวใจของเราย่อมจะเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มใจและความชูใจ  การที่ชายผู้นี้ยังคงสามารถหวนกลับมาได้แสดงความนัยว่าเขาไม่ได้ลืมพระเจ้า เขาหวนกลับมาเพราะเขายังคงถวิลหาพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเขา  ตอนที่พวกเราพบกันนั้นน่าซึ้งใจมาก  ตอนที่เขาเดินจากไป แน่นอนว่าเขากำลังคิดลบมากทีเดียว และเขาก็อยู่ในสภาวะที่แย่ แต่หากเขาสามารถหวนกลับมาได้ในตอนนี้ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขายังคงมีความเชื่อในพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม เขาจะสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้หรือไม่นั้น เป็นปัจจัยที่ไม่มีใครรู้ เพราะผู้คนเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเหลือเกิน  ในยุคพระคุณ พระเยซูทรงมีความกรุณาและมีพระคุณให้กับเหล่ามนุษย์  หากแกะตัวหนึ่งหายออกไปจากหนึ่งร้อยตัว พระองค์จะทรงทิ้งเก้าสิบเก้าตัวเพื่อมองหาหนึ่งตัวนั้น  ประโยคนี้มิได้แสดงให้เห็นถึงการกระทำอย่างเครื่องจักรประเภทหนึ่ง และไม่ได้แสดงถึงข้อบังคับ ตรงกันข้าม นี่แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์เร่งด่วนของพระเจ้าในการที่จะนำพาความรอดมาสู่ผู้คน ตลอดจนความรักอันลึกซึ้งของพระองค์สำหรับพวกเขา  นี่ไม่ใช่หนทางของการทำสิ่งทั้งหลาย นี่เป็นอุปนิสัยประเภทหนึ่ง ความรู้สึกนึกคิดจำพวกหนึ่ง  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนบางคนจึงไปจากคริสตจักรเป็นเวลาหกเดือนหรือหนึ่งปี หรือมีความอ่อนแอไม่ว่าจะมากมายอย่างไรหรือทนทุกข์จากมโนคติที่ผิดไม่ว่าจะมากมายอย่างไร แต่กระนั้นความสามารถของพวกเขาที่จะตื่นขึ้นมาสู่ความเป็นจริง ได้รับความรู้และทำการกลับตัว และกลับไปอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องในภายหลัง ก็ทำให้เรารู้สึกได้รับการชูใจเป็นพิเศษ และนำพาความชื่นชมยินดีส่วนเล็กๆ มาให้เรา  ในโลกแห่งความสนุกสนานและความงดงามตระการตาใบนี้ และในยุคชั่วนี้ การที่สามารถยอมรับรู้พระเจ้าและกลับมาอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องได้คือสิ่งที่นำความชูใจและความตื่นเต้นมาให้อย่างมากเลยทีเดียว  ลองดูตัวอย่างของการฟูมฟักเลี้ยงดูลูกหลาน นั่นคือ ไม่ว่าพวกเขากตัญญูหรือไม่ เจ้าจะรู้สึกอย่างไรหากพวกเขาไม่ได้ยอมรับรู้เกี่ยวกับตัวเจ้า และได้ทิ้งบ้านไป ไม่เคยกลับมาอีกเลย?  ลึกลงไปนั้น เจ้าก็คงจะยังรู้สึกกังวลเกี่ยวกับพวกเขาต่อไป และเจ้าก็คงจะฉงนฉงายอยู่เสมอว่า ‘เมื่อไหร่ลูกชายของฉันจะกลับมา?  ฉันอยากจะเจอเขา  จะว่าไปแล้ว เขาก็คือลูกชายของฉัน และการที่ฉันได้ฟูมฟักเลี้ยงดูเขาและรักเขาก็เป็นสิ่งที่ดีมีเหตุผล’  เจ้าได้คิดในหนทางนี้เสมอมา เจ้าได้ถวิลหาให้วันนั้นมาถึงเสมอมา  ทุกคนรู้สึกอย่างเดียวกันในด้านนี้ ไม่พักต้องพูดถึงพระเจ้า—ความหวังของพระองค์ว่ามนุษย์จะพบหนทางคืนกลับมาหลังจากที่หลงผิดไป ว่าบุตรที่หลงหายจะกลับมาหานั้น ไม่ยิ่งใหญ่กว่าอีกหรือ?  ผู้คนทุกวันนี้มีวุฒิภาวะน้อย แต่จะมีสักวันที่พวกเขาเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า—เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาไม่อยากครองความเชื่อที่แท้จริง เว้นเสียแต่ว่าพวกเขานั้นเป็นผู้ไม่เชื่อ ซึ่งในกรณีนั้นพวกเขาย่อมไม่มีค่าคู่ควรให้พระเจ้ากังวลสนพระทัย(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมตื้นตันใจและน้ำตาไหลอาบแก้ม  ผมรู้สึกเหมือนพระเจ้ากำลังตรัสกับผมต่อหน้า เหมือนแม่พูดอยู่กับลูก  พระเจ้าทรงช่วยให้ผมรอดในยามที่สิ้นหวังที่สุด และทรงทำให้ผมตระหนักว่าความรักของพระองค์นั้นจริงแท้เพียงใด  ผมเข้าใจแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงกล่าวโทษหรือโบยตีผู้คนง่ายๆ  พระองค์เสด็จมาประสูติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งผมจริงๆ อย่างที่ผมเคยนึกไปเอง  แต่เป็นเพราะอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและเส้นทางผิดๆ ที่ผมเลือกเดิน พระองค์จึงได้ซ่อนพระพักตร์ไม่ให้ผมเห็น  นี่คือความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่จะบ่มวินัยและเปลี่ยนแปลงผม  พระเจ้าทรงรอคอยให้ผมกลับใจ แต่ผมมีมโนคติที่หลงผิดและความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับพระองค์อยู่มาก  ผมยึดจุดยืนส่วนตัวเสมอและถือเอามโนคติที่หลงผิดของตัวเองแทนดน้ำพระทัยของพระเจ้าราวกับว่าตัวผมเข้าใจความจริง  ถึงแม้ผมจะกบฏมาก แต่พระเจ้าก็ทรงรู้ความอ่อนแอของผมและรู้ว่าผมจะล้มและพลาดตรงจุดไหนบ้าง  ความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่เกินกว่าที่ผมจะจินตนาการได้เสียอีก  พระองค์ทรงนำผมไปทีละก้าวจนกระทั่งผมตื่นขึ้นมา  ผมตระหนักว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะช่วยผู้คนให้รอดนั้นจริงใจ  ตราบใดที่ผู้คนยึดถือพระนามและหนทางของพระองค์เอาไว้ พระเจ้าก็จะยื่นพระหัตถ์แห่งความรอดมาให้เสมอ  พระองค์ทรงรับผิดชอบชีวิตของทุกคน แต่ผู้คนต้องแข็งขันในการลุล่วงความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  พระเจ้าไม่โปรดพวกคนขลาดอย่างผม พระองค์โปรดผู้คนที่มีความตั้งใจแน่วแน่  ตราบใดที่ผมกลับใจอย่างจริงใจและพยายามแสวงหาความจริง พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็ยังไม่สายเกินไป  ผมยังคงมีโอกาสเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเองและได้รับความรอด  เมื่อผมเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว สภาวะคิดลบและความเข้าใจผิดของผมก็เปลี่ยนแปลง

ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ที่ทำให้ผมมีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับพระราชกิจพิพากษาของพระเจ้า  พระเจ้าตรัสว่า “วันนี้ พระเจ้าทรงพิพากษาพวกเจ้า ตีสอนพวกเจ้า และกล่าวโทษพวกเจ้า แต่เจ้าต้องรู้ว่าประเด็นของการกล่าวโทษพวกเจ้าคือ เพื่อให้เจ้ารู้จักตัวเอง พระองค์ทรงกล่าวโทษ สาปแช่ง พิพากษา และตีสอน ก็เพื่อที่เจ้าอาจจะรู้จักตัวเจ้าเอง เพื่อที่อุปนิสัยของเจ้าอาจจะเปลี่ยนแปลง และที่ยิ่งไปมากกว่านั้นก็คือ เพื่อที่เจ้าอาจจะรู้คุณค่าของเจ้าเอง และมองเห็นว่าการกระทำทั้งหมดของพระเจ้านั้นชอบธรรมและเป็นไปโดยสอดคล้องกับพระอุปนิสัยของพระองค์และข้อพึงประสงค์ทั้งหลายแห่งพระราชกิจของพระองค์ มองเห็นว่าพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจโดยสอดคล้องกับแผนการของพระองค์เพื่อความรอดของมนุษย์ และมองเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ชอบธรรม ผู้ซึ่งทรงรัก ทรงช่วยให้รอด ทรงพิพากษา และทรงตีสอนมนุษย์  หากเจ้ารู้เพียงว่าเจ้ามีสถานะอันต่ำต้อย รู้เพียงว่าตัวเองเสื่อมทรามและเป็นกบฏ แต่ไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะเผยชัดถึงความรอดของพระองค์โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนที่พระองค์ทรงกระทำในตัวเจ้าในวันนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่มีหนทางใดเลยที่จะได้รับประสบการณ์ นับประสาอะไรที่เจ้าจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้  พระเจ้าไม่ได้เสด็จมาเพื่อประหัตประหารหรือทำลายล้าง แต่เพื่อพิพากษา สาปแช่ง ตีสอน และช่วยให้รอด  จนกว่าแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระองค์จะมาถึงจุดปิดตัว—ก่อนที่พระองค์จะทรงเปิดเผยบทอวสานของมนุษย์แต่ละหมวดหมู่—พระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของความรอด จุดประสงค์ทั้งมวลของพระราชกิจก็คือการทำให้ผู้ที่รักพระองค์มีความครบบริบูรณ์—อย่างถ้วนทั่วเช่นนั้น—และเพื่อให้พวกเขายอมสยบอยู่ใต้อำนาจครอบครองของพระองค์  ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นทรงกระทำโดยการทำให้พวกเขาหลุดรอดจากธรรมชาติเยี่ยงซาตานแบบเดิมของพวกเขา นั่นคือ พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รอดโดยการทำให้พวกเขาแสวงหาชีวิต  หากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาจะไม่มีหนทางที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้าเลย ความรอดคือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง และการแสวงหาชีวิตคือสิ่งที่มนุษย์ต้องลงมือกระทำเพื่อที่จะยอมรับความรอด  ในสายตาของมนุษย์ ความรอดคือความรักของพระเจ้า และความรักของพระเจ้าไม่อาจเป็นการตีสอน การพิพากษา และการสาปแช่งไปได้ ความรอดต้องบรรจุไปด้วยความรัก ความเมตตาสงสาร และที่มากกว่านั้นก็คือ คำปลอบใจทั้งหลาย รวมทั้งพรอันไร้ขอบเขตที่พระเจ้าประทานให้  ผู้คนเชื่อว่าตอนที่พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดนั้น  พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นโดยการขับเคลื่อนพวกเขาด้วยพรทั้งหลายและพระคุณของพระองค์ เพื่อให้พวกเขาสามารถมอบหัวใจของพวกเขาให้กับพระเจ้าได้ ดังจะกล่าวได้ว่า การที่พระองค์ทรงสัมผัสมนุษย์คือการที่พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  ความรอดชนิดนี้กระทำโดยการตั้งข้อตกลงประการหนึ่งขึ้นมา  มนุษย์จะยอมสยบให้กับพระนามของพระเจ้าและเพียรพยายามที่จะทำให้ดีเพื่อพระองค์และนำพระสิริมาสู่พระองค์ ก็ต่อเมื่อพระเจ้าประทานให้พวกเขาเป็นร้อยเท่าเท่านั้น  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์ต่อมวลมนุษย์  พระเจ้าได้เสด็จมาทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลกก็เพื่อช่วยมวลมนุษย์ซึ่งเสื่อมทรามให้รอด ไม่มีการโป้ปดมดเท็จอยู่ในการนี้เลย  หากมี พระองค์ก็คงไม่ได้เสด็จมาทรงพระราชกิจด้วยพระองค์เองอย่างแน่นอน  ในอดีตนั้น วิถีทางแห่งความรอดของพระองค์เกี่ยวข้องกับการแสดงความรักและความเมตตาสงสารอย่างถึงที่สุด จนถึงขั้นที่พระองค์ประทานทั้งหมดของพระองค์ให้แก่ซาตานเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับมวลมนุษย์ทั้งหมดทั้งมวล  ปัจจุบันนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นเหมือนอดีต กล่าวคือ ความรอดที่ประทานให้แก่พวกเจ้าในวันนี้เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาแห่งยุคสุดท้าย ในช่วงระหว่างที่มีการจำแนกชั้นแต่ละบุคคลไปตามประเภท วิถีทางแห่งความรอดของพวกเจ้าไม่ใช่ความรักหรือความเมตตาสงสาร แต่เป็นการตีสอนและการพิพากษา เพื่อที่มนุษย์อาจสามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนั้น ทั้งหมดที่พวกเจ้าได้รับคือการตีสอน การพิพากษา และการเฆี่ยนตีอย่างไร้กรุณา แต่จงรู้สิ่งนี้ไว้ว่า ในการเฆี่ยนตีอันไร้หัวใจนี้ไม่มีการลงโทษเลยแม้แต่น้อย  โดยไม่ต้องคำนึงว่าคำพูดของเราอาจจะกร้าวกระด้างเพียงใด สิ่งที่ตกมาถึงพวกเจ้าเป็นเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำที่อาจจะดูเหมือนไร้หัวใจอย่างถึงที่สุดสำหรับพวกเจ้า และไม่สำคัญว่าเราอาจจะมีความโมโหมากเพียงใด สิ่งที่พรั่งพรูลงมาบนพวกเจ้าก็ยังคงเป็นคำตำหนิ และเราไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำร้ายพวกเจ้าหรือทำให้พวกเจ้าถึงแก่ความตาย  ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  จงรู้ไว้ว่าทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพิพากษาอันชอบธรรม หรือการถลุงและการตีสอนอันไร้หัวใจ ทุกอย่างเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความรอด  โดยไม่ต้องคำนึงว่า วันนี้ แต่ละคนได้รับการจำแนกชั้นไปตามประเภทหรือไม่ หรือหมวดหมู่ของมนุษย์ได้รับการตีแผ่หรือไม่ จุดประสงค์ของพระวจนะทั้งปวงและพระราชกิจของพระเจ้าคือเพื่อช่วยบรรดาผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงให้รอด  การพิพากษาอันชอบธรรมถูกนำมาใช้ชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ และการถลุงอันไร้หัวใจกระทำขึ้นเพื่อชำระพวกเขาให้สะอาด ทั้งพระวจนะหรือการสั่งสอนอันกร้าวกระด้างต่างกระทำเพื่อการชำระให้บริสุทธิ์และเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความรอด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละมือจากพรเกี่ยวกับสถานะและทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเรื่องการนำความรอดมาสู่มนุษย์)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ผมก็มองเห็นว่าผมไม่ได้เข้าใจพระราชกิจพิพากษาของพระเจ้า  ตอนแรกที่ยอมรับพระราชกิจของพระองค์ ผมทำเช่นนั้นเพื่อที่จะได้ชื่นชมความรักและความกรุณาของพระเจ้ามากกว่า รวมทั้งความกระจ่างและความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย  ผมพอใจอยู่แค่การได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น  ผมนึกว่าตัวเองเป็นทารกน้อยในพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นคนที่พระเจ้าทรงทะนุถนอม คิดว่าตัวเองพิเศษและเพียบพร้อม และไม่ควรถูกพระเจ้าพิพากษาอย่างรุนแรงแบบนี้  ดังนั้นเมื่อพระวจนะที่รุนแรงของพระเจ้าเปิดโปงความเสื่อมทรามและอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูพระคริสต์ของผม ผมจึงนึกว่าพระเจ้าจะทรงกำจัดผมออกไป  ที่จริงแล้วผมไม่ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า  มนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำเกินไป และมีเพียงการพิพากษาและตีสอนอย่างรุนแรงของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและช่วยพวกเราให้รอดจากพลังอำนาจของซาตานได้อย่างสมบูรณ์  ผมถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำเหลือเกิน ผมโอหังและคิดว่าตนเองชอบธรรมอย่างมากจนผมจำเป็นต้องได้รับการพิพากษาและตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้าเพื่อปลุกผมให้ตื่น  มีเพียงพระราชกิจเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้ผมมองเห็นการปรากฏตัวที่อัปลักษณ์ของความเสื่อมทรามในตัวผมซึ่งเกิดจากซาตาน และตอนนั้นเองที่ผมนึกเกลียดตัวเองและละทิ้งซาตาน  ถ้าไม่มีพระราชกิจนี้ ผมก็จะยังคงคิดว่าตัวผมนั้นเพียบพร้อมและเป็นที่รักของพระเจ้า และแล้วผมก็จะไม่มีวันหันกลับมาแสวงหาความจริงหรือทบทวนตัวเอง  ผมคงจะเดินต่อไปบนเส้นทางผิดๆ ของพวกศัตรูของพระคริสต์จนตัวตาย  ผมเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่อยากทนทุกข์เลย อยากเป็นคนที่พระเจ้าคอยตามใจ อยากชื่นชมพระคุณและความกรุณาของพระเจ้าไปตลอดกาลเหมือนเป็นเด็กอ่อน  แล้วแบบนี้ผมจะมีวันที่พระเจ้าจะทรงชำระผมให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร?  ความไม่รู้เท่าทันและเห็นแก่ตัวของผมทำให้ผมเข้าใจพระเจ้าผิด หันเหจากพระองค์ และทรยศพระองค์  ผมมองไม่ออกว่าเบื้องหลังพระราชกิจพิพากษาของพระองค์นั้นคือความรักและความรอดของพระองค์  ผมสูญเสียอะไรไปมากเพราะความไม่รู้และความเห็นแก่ตัวของตนเอง  พอตระหนักได้ถึงนัยสำคัญของพระราชกิจแห่งการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้า ผมก็เกิดความมั่นใจขึ้นมาอีกครั้งที่จะติดตามพระเจ้าและผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์  ผมเข้าใจแล้วว่า ไม่ว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะเป็นไปตามมโนคติที่หลงผิดของผมหรือไม่ ก็ล้วนทำไปเพื่อชำระผมให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผมทั้งสิ้น และเพื่อช่วยผมให้รอดจากพลังอำนาจของซาตานโดยสมบูรณ์  การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าคือวิธีที่ดีที่สุดของพระองค์ในการช่วยมนุษย์ให้รอด

หลังจากนั้นผมก็อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นและเข้าใจข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  พระเจ้าทรงต้องการให้ผมเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง ยอมรับอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระองค์ ทำหน้าที่ของตนเองให้ลุล่วง ทำความรู้จักพระองค์ และเป็นพยานยืนยันให้พระองค์  อันที่จริง ผมมีสถานะเท่ากับพี่น้องชายหญิง  พระเจ้าประทานพรสวรรค์และความสามารถพิเศษบางอย่าง หรือโอกาสที่จะทำหน้าที่ผู้นำให้แก่ผม แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าสถานะของผมสูงส่งกว่าของพี่น้องชายหญิง  ผมยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและยังคงเป็นคนเสื่อมทรามที่จำเป็นต้องได้รับความรอดจากพระเจ้า พระเจ้าคือผู้ประทานพรสวรรค์และความสามารถเหล่านี้ ผมจึงไม่ควรอวดตน  ผมควรมุ่งพยายามทำหน้าที่ของตนให้ดีเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย  พอตระหนักได้ในสิ่งเหล่านี้ ผมก็มีเส้นทางปฏิบัติและรู้สึกโล่งใจ  ตอนนี้ผมอยากรีบกลับไปที่คริสตจักรเพื่อทำหน้าที่ของผมต่อไป  คราวนี้ความมุ่งมั่นของผมที่จะติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนเองมีความหนักแน่นขึ้น  ผมลบทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้าทิ้ง ทั้งในคอมพิวเตอร์และในโทรศัพท์ อยากจะวางทุกอย่างและติดตามพระเจ้า  ไม่กี่วันต่อมา ผมก็กลับไปที่คริสตจักรและประกาศข่าวประเสริฐต่อ  ผมสำนึกขอบคุณพระเจ้าอย่างมาก  ในหน้าที่ของผม ผมร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงอย่างมีสติ  แต่ละครั้งที่พบเจอปัญหา ผมก็ขอมุมมองและข้อเสนอแนะจากเหล่าพี่น้อง และขอให้พวกเขามีส่วนร่วม  ผมไม่จำเป็นต้องมีอำนาจชี้ขาดอีกต่อไป และไม่ยัดเยียดมุมมองของตัวเองให้กับพี่น้องชายหญิงอีกแล้ว  ผมพูดคุยถึงสิ่งต่างๆ และหารือกับทุกคนแทน  ผมไม่นึกอยากอวดตัวเพื่อให้พวกเขายกย่องนับถืออีก และไม่ได้พยายามควบคุมพวกเขาเช่นกัน  ผมไม่อยากได้อำนาจอีกต่อไป  กลับกัน ผมเรียนรู้ที่จะแสวงหาหลักธรรมความจริงร่วมกับเหล่าพี่น้อง  การปฏิบัติแบบนี้ให้ความรู้สึกสบายใจกว่ากันมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน

นับแต่นั้นมา ผมก็มีความเข้าใจบางอย่างในอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนเอง  ผมยังมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในพระราชกิจของพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์ที่จะทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด รวมทั้งมีความเชื่อมากขึ้นด้วย  ผมรู้สึกจริงๆ ว่าการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของการกล่าวโทษและทำลาย แต่เป็นความรักและความรอดจากพระองค์ เหมือนอย่างที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่าง และแสงสว่างแห่งความรอดของมนุษย์ และไม่มีการได้รับพรใด พระคุณใด หรือการคุ้มครองปกป้องใดที่ดีกว่านี้อีกแล้วสำหรับมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  ขอคำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้า!

ก่อนหน้า: 2. ความเชื่อ: แหล่งกำเนิดของความเข้มแข็ง

ถัดไป: 4. ผู้นำคริสตจักรไม่ใช่เจ้าหน้าที่

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger