ข. ว่าด้วยวิวรณ์ของพระเจ้าเรื่องพระราชกิจของพระองค์ในยุคพระคุณ

28. พระเยซูคือผู้ทำงานทั้งหมดของยุคพระคุณแทนเรา พระองค์ได้จุติมาบังเกิดในเนื้อหนังและถูกตอกตรึงบนกางเขน และพระองค์ยังทรงเป็นผู้เริ่มต้นยุคพระคุณด้วยเช่นกัน พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนก็เพื่อบรรลุพระราชกิจแห่งการไถ่ เพื่อปิดฉากยุคธรรมบัญญัติและเริ่มต้นยุคพระคุณ และด้วยการนั้นพระองค์จึงทรงได้รับการขนานพระนามว่า “จอมทัพ” “เครื่องบูชาไถ่บาป” และ “พระผู้ไถ่” ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ พระราชกิจของพระเยซูจึงมีความแตกต่างทางด้านเนื้อหาจากพระราชกิจของพระยาห์เวห์ แม้จะมีหลักการเดียวกันก็ตาม พระยาห์เวห์ทรงเริ่มต้นยุคธรรมบัญญัติ สร้างรากฐานหรือจุดกำเนิดสำหรับงานของพระเจ้าบนโลก และสำหรับการออกกฎธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ นี่คือพระราชกิจสองอย่างที่พระองค์ได้ทรงดำเนินการ และเป็นพระราชกิจที่เป็นตัวแทนของยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจที่พระเยซูทรงทำในยุคพระคุณนั้นไม่ใช่เป็นการออกกฎธรรมบัญญัติ แต่เพื่อทำให้ธรรมบัญญัติลุล่วง ด้วยการนั้นจึงนำทางเข้าสู่ยุคพระคุณและสรุปปิดตัวยุคธรรมบัญญัติที่ดำเนินมายาวนานร่วมสองพันปี พระองค์ทรงเป็นผู้บุกเบิกที่มาเพื่อเริ่มต้นยุคพระคุณ ทว่าพระราชกิจส่วนหลักของพระองค์อยู่ที่การไถ่ และเมื่อเป็นเช่นนั้น พระราชกิจของพระองค์จึงมีสองด้านเช่นกัน นั่นคือ การเปิดฉากยุคใหม่ และการทำพระราชกิจแห่งการไถ่ให้ครบบริบูรณ์โดยผ่านทางการถูกตรึงกางเขน ซึ่งหลังจากนั้นเป็นเหตุให้พระองค์ต้องจากไป และนับจากนี้ไปยุคธรรมบัญญัติจึงได้สิ้นสุดลง และยุคพระคุณได้เริ่มต้นขึ้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่

29. ในช่วงระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งได้ช่วยมนุษย์ให้รอด สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นคือพระคุณ ความรัก ความสงสารเห็นใจ ความอดกลั้น ความอดทน ความถ่อมพระองค์ ความใส่พระทัย และความยอมผ่อนปรน และพระราชกิจมากมายเหลือเกินที่พระองค์ได้ทรงกระทำนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการไถ่มนุษย์ พระอุปนิสัยของพระองค์คืออุปนิสัยของความสงสารและความรัก และเพราะพระองค์ทรงมีความสงสารเห็นใจและมีความรัก พระองค์จึงได้ต้องทรงถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อมนุษย์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ดังเช่นรักพระองค์เอง รักมากจนถึงขนาดที่พระองค์มอบถวายพระองค์เองในความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ ในระหว่างยุคพระคุณนั้น พระนามของพระเจ้าคือพระเยซู กล่าวคือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งได้ช่วยมนุษย์ให้รอด และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้มีความสงสารเห็นใจและมีความรัก พระเจ้าได้ทรงอยู่กับมนุษย์ ความรักของพระองค์ ความสงสารของพระองค์ และความรอดของพระองค์ได้ไปพร้อมกับแต่ละบุคคลและทุกคน มีเพียงโดยการยอมรับพระนามของพระเยซูและการสถิตของพระองค์เท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดี ได้รับพระพรของพระองค์ พระคุณอันกว้างใหญ่และมากมายของพระองค์ และความรอดของพระองค์ได้ บรรดาผู้ที่ได้ติดตามพระองค์ล้วนได้รับความรอดและได้รับการอภัยบาปของพวกเขา โดยผ่านทางการตรึงกางเขนของพระเยซู ในระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเยซูคือพระนามของพระเจ้า อีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจในยุคพระคุณนั้นได้ดำเนินการภายใต้พระนามของพระเยซูเป็นหลัก ในระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเจ้าทรงได้รับการเรียกขานว่าพระเยซู พระองค์ทรงรับหน้าที่ในช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจใหม่ที่นอกเหนือไปจากพันธสัญญาเดิม และพระราชกิจของพระองค์ได้สิ้นสุดลงด้วยการตรึงกางเขน นี่คือความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

30. พระราชกิจที่พระเยซูทรงกระทำนั้นสอดคล้องกับความจำเป็นของมนุษย์ในยุคนั้น พระราชกิจของพระองค์คือเพื่อไถ่มนุษย์ เพื่ออภัยบาปของพวกเขา และด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของพระองค์จึงเต็มเปี่ยมด้วยความถ่อมใจ ความอดทน ความรัก ความศรัทธา ความอดกลั้น ความกรุณา และความเมตตา พระองค์ทรงนำมาซึ่งพระคุณและพระพรอันล้นเหลือแก่มนุษย์ รวมถึงทุกๆ สิ่งที่ผู้คนจะสามารถชื่นชมได้ พระองค์ทรงมอบสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อความชื่นชมยินดีของพวกเขา อันได้แก่ สันติภาพ ความสุข ความอดกลั้นและความรัก ความกรุณาและความเมตตาของพระองค์ ณ เวลานั้น ความอุดมล้นเหลือของสิ่งบำเรอความสุขต่างๆ ที่มนุษย์กำลังเผชิญหน้าอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกสุขสงบและความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยภายในใจ ความรู้สึกมั่นใจภายในจิตวิญญาณ และความรู้สึกพึ่งพิงในพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอด ล้วนเนื่องมาจากยุคที่พวกเขาอาศัยอยู่นั่นเอง ในยุคพระคุณนี้ มนุษย์ถูกซาตานบ่อนทำลายจนเสื่อมทรามไปแล้ว และฉะนั้นแล้ว การจะสัมฤทธิ์งานแห่งการไถ่มนุษยชาติทั้งมวลจำต้องอาศัยพระคุณอันอุดมล้นเหลือ ความอดกลั้นและความอดทนอันไม่สิ้นสุด และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เพื่อให้เกิดผลแล้ว เครื่องบูชาต้องมีอย่างพอเพียงต่อการไถ่บาปของมนุษยชาติ สิ่งที่มนุษยชาติเห็นในยุคพระคุณนั้นมีเพียงเครื่องบูชาลบมลทินที่เรามอบไว้ให้สำหรับการไถ่บาปของมนุษยชาติเท่านั้น ซึ่งก็คือพระเยซูนั่นเอง ทั้งหมดที่พวกเขารู้ก็คือ พระเจ้าน่าจะทรงเปี่ยมเมตตาและความอดกลั้น และทั้งหมดที่พวกเขาเห็นก็คือความกรุณาและความเมตตาของพระเยซู ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นเพราะว่าพวกเขาเกิดในยุคพระคุณนั่นเอง และดังนั้น ก่อนที่พวกเขาจะสามารถได้รับการไถ่ พวกเขาจึงจำเป็นต้องชื่นชมพระคุณอันหลากหลายรูปแบบที่พระเยซูประทานแก่พวกเขาเสียก่อนเพื่อที่พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์จากมันได้ วิธีนี้นี่เอง ที่พวกเขาจะสามารถได้รับการอภัยบาปโดยผ่านทางความชื่นชมยินดีของพวกเขาที่มีต่อพระคุณ ทั้งยังจะสามารถได้รับโอกาสการไถ่โดยผ่านทางการชื่นชมความอดกลั้นและการอดทนของพระเยซูด้วยเช่นกัน มีเพียงโดยผ่านทางความอดกลั้นและความอดทนของพระเยซูเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีสิทธิ์ได้รับการให้อภัยและชื่นชมพระคุณอันอุดมล้นเหลือที่พระเยซูทรงมอบให้ ดังที่พระเยซูได้ตรัสไว้ว่า เราไม่ได้มาเพื่อช่วยคนชอบธรรมให้รอด แต่เรามาเพื่อช่วยคนบาปให้รอด เพื่อให้คนบาปได้รับการยกโทษบาปของพวกเขา หากครั้งเมื่อพระเยซูได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้น ทรงมาพร้อมด้วยพระอุปนิสัยแห่งการพิพากษาตัดสิน การสาปแช่ง และความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการทำให้ขุ่นเคืองของมนุษย์แล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วมนุษย์ก็คงจะไม่มีโอกาสได้รับการไถ่ และคงจะดำรงอยู่ในสภาพผิดบาปไปตลอดกาล หากเป็นเช่นนั้นแล้ว แผนการจัดการระยะเวลา 6,000 ปีก็คงจะมาหยุดอยู่ตรงยุคธรรมบัญญัตินี่เอง และยุคธรรมบัญญัติก็คงจะยืดเยื้อต่อมาอีก 6,000 ปี บาปทั้งหลายของมนุษย์ก็คงมีแต่จะท่วมท้นมหาศาลและรุนแรงสาหัสมากยิ่งขึ้น และการทรงสร้างมนุษยชาติขึ้นมาก็คงจะเป็นการสูญเปล่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหล่ามนุษย์ก็คงจะสามารถทำได้เพียงรับใช้พระยาห์เวห์ภายใต้พระธรรมบัญญัติ ทว่าบาปทั้งหลายของพวกเขาก็คงจะมากล้นเกินกว่าบาปของพวกมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาในตอนแรกเริ่มเสียอีก ยิ่งพระเยซูทรงรักมวลมนุษย์ ให้อภัยบาปพวกเขา และมอบพระกรุณาและพระเมตตาอย่างพอเพียงแก่พวกเขามากขึ้นเท่าไร มนุษย์ก็ยิ่งมีสิทธิ์ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซูมากขึ้นเท่านั้น มีสิทธิ์ได้รับการเรียกขานว่าเจ้าแกะหลงฝูงที่พระเยซูได้ทรงซื้อคืนมาด้วยราคาที่แพง ซาตานไม่สามารถเข้าแทรกแซงพระราชกิจนี้ได้เลย เนื่องเพราะพระเยซูทรงปฏิบัติต่อสาวกของพระองค์ดุจเดียวกับที่มารดาผู้เปี่ยมรักปฏิบัติต่อทารกน้อยในอ้อมอก พระองค์ไม่ได้กริ้วหรือทรงดูถูกพวกเขามากขึ้น แต่กลับเปี่ยมด้วยการชูใจ พระองค์ไม่เคยทรงบันดาลโทสะระบายอารมณ์ใส่พวกเขา แต่กลับทรงอดกลั้นกับความบาปของพวกเขา และทรงมองข้ามความโง่เขลาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกเขาเสีย จนถึงจุดที่ตรัสด้วยว่า “จงให้อภัยผู้อื่นเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง” ด้วยเหตุนี้หัวใจของผู้อื่นจึงได้ถูกแปลงสภาพไปโดยหัวใจของพระองค์ และเพียงเพราะด้วยเหตุนี้เองผู้คนจึงได้รับการอภัยบาปของตนโดยผ่านทางความอดกลั้นของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่

31. แม้ในการจุติเป็นมนุษย์ของพระเยซูจะปราศจากสภาวะอารมณ์เยี่ยงมนุษย์โดยสิ้นเชิง พระองค์ก็ทรงชูใจสาวก จัดเตรียมให้พวกเขา ช่วยเหลือพวกเขา และสนับสนุนพวกเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจหนักมากแค่ไหนก็ตาม หรือไม่ว่าพระองค์จะทรงสู้ทนความทุกข์มากเพียงใดก็ตาม พระองค์ไม่เคยทรงเรียกร้องอะไรที่มากเกินไปจากผู้คน แต่ทรงอดทนและอดกลั้นต่อความบาปของพวกเขาเสมอ จนถึงระดับที่ว่าผู้คนในยุคพระคุณเรียกขานพระองค์อย่างเปี่ยมล้นรักใคร่ว่า “พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดอันเป็นที่รัก” สำหรับผู้คนในยุคนั้น หรือสำหรับหมู่ชนทั้งผอง สิ่งที่พระเยซูทรงเป็นและทรงมี ก็คือพระกรุณาและพระเมตตา พระองค์ไม่เคยทรงจดจำการล่วงละเมิดของผู้คน การปฏิบัติของพระองค์ที่มีต่อพวกเขาไม่เคยยึดเอาพื้นฐานการล่วงละเมิดของพวกเขาเป็นหลัก เนื่องเพราะนั่นเป็นอีกยุคหนึ่งซึ่งต่างออกไป บ่อยครั้งที่พระองค์ได้ประทานอาหารแก่ผู้คนอย่างเหลือเฟือ เพื่อพวกเขาจะได้กินจนอิ่มหนำ พระองค์ทรงปฏิบัติต่อสาวกทั้งปวงของพระองค์ด้วยพระคุณ โดยทรงรักษาคนป่วย ขับไล่ปีศาจ ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เพื่อที่ผู้คนอาจเชื่อในพระองค์ และเห็นว่าทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำนั้นเป็นไปอย่างจริงจังและจริงใจ พระองค์ทรงดำเนินไปไกลถึงขั้นทำการฟื้นคืนชีวิตให้กับซากศพที่กำลังเน่าเปื่อย โดยทรงสำแดงให้พวกเขาเห็นว่าในพระหัตถ์ของพระองค์นั้น กระทั่งคนตายก็ยังคืนชีวิตกลับมาได้ ในหนทางนี้ พระองค์ได้ทรงสู้ทนอย่างเงียบๆ และดำเนินพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์ไปท่ามกลางพวกเขา แม้กระทั่งก่อนที่พระองค์จะทรงถูกตรึงกางเขน พระเยซูก็ได้ทรงรับเอาบาปของมนุษยชาติเข้าไว้ในพระองค์ และได้กลายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ไปแล้ว กระทั่งก่อนจะทรงถูกตอกตรึงบนกางเขน พระองค์ก็ได้ทรงเปิดเส้นทางสู่กางเขนเพื่อไถ่มวลมนุษย์แล้ว สุดท้ายแล้ว พระองค์ก็ทรงถูกตอกตรึงบนกางเขน สละพระองค์เองเพื่อประโยชน์ของกางเขน และประทานพระกรุณา ความเมตตา และความบริสุทธิ์ทั้งมวลของพระองค์แก่มวลมนุษย์ สำหรับมนุษยชาติแล้ว พระองค์ทรงยอมผ่อนปรนเสมอ ไม่เคยทรงแค้นเคือง ทรงให้อภัยบาปพวกเขา ทรงเตือนสติพวกเขาให้กลับใจ และทรงสอนให้พวกเขามีความอดทน ความอดกลั้น และความรัก เพื่อดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ และอุทิศตัวพวกเขาเองเพื่อประโยชน์ของกางเขน ความรักของพระองค์ที่มีต่อพี่น้องชายหญิงนั้นเหนือกว่าความรักของพระองค์ที่มีต่อนางมารีย์ พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำคือการรักษาคนป่วยและการขับไล่ปีศาจร้ายเป็นหลัก ทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการทรงไถ่ของพระองค์ทั้งสิ้น ไม่สำคัญว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกคนที่ติดตามพระองค์ด้วยพระคุณ พระองค์ทรงทำให้คนยากจนกลายเป็นมั่งมี คนง่อยกลับเดินได้ คนตาบอดกลับมองเห็น และคนหูหนวกกลับได้ยิน พระองค์กระทั่งทรงเชื้อเชิญผู้คนที่ต้อยต่ำข้นแค้นอนาถา คนบาปหนา ให้นั่งร่วมโต๊ะกับพระองค์ ไม่เคยทรงหลบเลี่ยงพวกเขา แต่ทรงอดทนเสมอ กระทั่งถึงกับตรัสไว้ว่า ยามที่ผู้เลี้ยงแกะทำแกะหายไปหนึ่งตัวจากจำนวนร้อยตัว เขาย่อมจะละจากแกะเก้าสิบเก้าตัวเพื่อออกไปตามหาแกะตัวเดียวที่หายไปนั้น ครั้นเมื่อหาพบแล้ว เขาจะชื่นบานยิ่งนัก พระองค์ทรงรักสาวกของพระองค์เช่นเดียวกับที่แม่แกะรักลูกแกะทั้งหลายของนาง แม้ว่าพวกเขาจะโง่เขลาและไม่รู้เท่าทันการณ์ และเป็นคนบาปในสายพระเนตรของพระองค์ และยิ่งกว่านั้นคือ เป็นผู้ต่ำศักดิ์ที่สุดในสังคม แต่พระองค์ก็ทรงถือว่าคนบาปเหล่านี้ซึ่งเป็นหมู่มนุษย์ที่คนอื่นๆ พากันรังเกียจนั้น คือแก้วตาของพระองค์ เนื่องจากพระองค์ทรงโปรดปรานพวกเขา พระองค์จึงทรงละวางพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อพวกเขา ประหนึ่งลูกแกะตัวหนึ่งซึ่งถูกมอบถวายขึ้นแท่นบูชา พระองค์ทรงดำเนินไปกลางหมู่พวกเขาราวกับเป็นผู้รับใช้ของพวกเขา ทรงยอมให้พวกเขาใช้พระองค์และประหัตประหารพระองค์ ทรงยอมจำนนแก่พวกเขาอย่างปราศจากเงื่อนไข สำหรับสาวกของพระองค์แล้ว พระองค์คือพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดอันเป็นที่รัก แต่สำหรับพวกฟาริสีที่อบรมสั่งสอนผู้คนจากบนแท่นสูงแล้วไซร้ ที่พระองค์แสดงออกไปหาใช่ความกรุณาและความเมตตาไม่ แต่กลับเป็นความเกลียดชังและความขุ่นเคือง พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจมากนักในหมู่พวกฟาริสี มีบ้างก็เพียงบางคราวที่ได้ทรงอบรมสั่งสอนและต่อว่าพวกเขาไปตามวาระ พระองค์ไม่ได้ทรงดำเนินไปท่ามกลางหมู่พวกเขาเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ อีกทั้งไม่ได้ทรงแสดงการอัศจรรย์และหมายสำคัญแต่อย่างใด พระองค์ได้ประทานพระกรุณาและความเมตตาทั้งมวลของพระองค์ให้ก็แต่เหล่าสาวกของพระองค์ โดยทรงสู้ทนต่อเพื่อประโยชน์ของคนบาปเหล่านี้จนถึงที่สุด เมื่อคราที่พระองค์ทรงถูกตอกตรึงบนกางเขนและทรงทุกข์กับทุกการดูหมิ่นเหยียดหยามจนกระทั่งพระองค์ได้ทรงไถ่มนุษยชาติทั้งมวลจนครบถ้วนนั่นเอง นี่เองคือ ผลรวมทั้งสิ้นของพระราชกิจของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่

32. หากปราศจากการไถ่ของพระเยซู มวลมนุษย์คงจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในบาปและกลายเป็นลูกหลานแห่งบาป เป็นพงค์พันธุ์ของมารตลอดไปแล้ว หากเป็นเช่นนั้นต่อเนื่องมา โลกทั้งโลกคงจะได้กลายเป็นดินแดนที่ซาตานอยู่อาศัย เป็นที่สิงสถิตอาศัยของมันไปแล้ว อย่างไรก็ดี พระราชกิจแห่งการไถ่บาปต้องพึงอาศัยการแสดงออกถึงความกรุณาและความเมตตาต่อมวลมนุษย์ โดยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะสามารถได้รับการอภัย และท้ายที่สุดก็จะได้รับสิทธิ์ที่จะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์และได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ หากปราศจากงานช่วงระยะนี้ แผนการจัดการระยะ 6,000 ปีคงจะก้าวหน้าไม่ได้เลย หากพระเยซูไม่ได้ทรงถูกตรึงกางเขน หากพระองค์เพียงทรงรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจเท่านั้น เช่นนั้นแล้วผู้คนก็จะไม่สามารถได้รับการอภัยบาปของพวกเขาโดยสมบูรณ์ ในระยะเวลาสามปีครึ่งที่พระเยซูทรงใช้ไปในการทรงพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงทำให้พระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แต่หลังจากนั้น โดยการทรงถูกตอกตรึงบนกางเขนและกลายเป็นสภาพเหมือนของมนุษย์คนบาป โดยการทรงถูกมอบไว้กับมารร้าย พระองค์ได้ทรงทำให้พระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนเสร็จสมบูรณ์และได้ทรงเรียนรู้ลิขิตชีวิตของมวลมนุษย์จนเชี่ยวชาญ เพียงภายหลังจากที่พระองค์ทรงถูกนำส่งถึงมือของซาตานแล้วเท่านั้น พระองค์จึงได้ทรงไถ่มวลมนุษย์ เป็นเวลาถึงสามสิบสามปีครึ่งที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์บนแผ่นดินโลก ถูกเยาะเย้ยถากถาง ถูกให้ร้ายป้ายสี และถูกทอดทิ้ง จนถึงจุดที่พระองค์ไม่ทรงมีแม้ที่จะให้วางพระเศียร ไม่มีที่ให้หยุดพัก และพระองค์ได้ทรงถูกตรึงกางเขนในเวลาต่อมา ด้วยทั้งองค์รวมของพระองค์ พระกายซึ่งบริสุทธิ์และไร้มลทินได้ถูกตอกตรึงกับกางเขน พระองค์ได้ทรงสู้ทนต่อความทุกข์ทุกชนิดที่พึงมี พวกผู้มีอำนาจต่างพากันเย้ยหยันและโบยตีพระองค์ กระทั่งพวกทหารก็ยังถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ของพระองค์ แต่พระองค์ยังทรงเงียบเฉยและสู้ทนจนกระทั่งวาระสุดท้าย ทรงยอมจำนนโดยปราศจากเงื่อนไขจนถึงจุดแห่งความตายอันเป็นจุดที่พระองค์ได้ทรงไถ่มนุษยชาติทั้งมวล มีเพียงยามนั้นเองที่พระองค์ได้รับอนุญาตให้หยุดพัก พระราชกิจที่พระเยซูได้ทรงกระทำลงไปเป็นตัวแทนของยุคพระคุณเท่านั้น มิได้เป็นตัวแทนของยุคธรรมบัญญัติ อีกทั้งยังหาได้เป็นการทดแทนพระราชกิจของยุคสุดท้ายแต่อย่างใดไม่ นี่คือสาระสำคัญของพระราชกิจของพระเยซูในยุคพระคุณ ยุคที่สองที่มวลมนุษย์ได้ผ่านมาแล้ว—ซึ่งก็คือยุคแห่งการไถ่

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่

ก่อนหน้า: ก. ว่าด้วยวิวรณ์ของพระเจ้าเรื่องพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติ

ถัดไป: ค. ว่าด้วยยุคแห่งราชอาณาจักร—ยุคสุดท้าย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger