เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง

ระยะนี้พวกเราสามัคคีธรรมถึงถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมบางข้อเป็นหลัก  พวกเราวิเคราะห์ ชำแหละ และเปิดโปงถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมทุกแง่มุมที่วัฒนธรรมดั้งเดิมนำเสนอไปทีละข้อ  นี่ทำให้ผู้คนมีวิจารณญาณเกี่ยวกับถ้อยแถลงต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่มองกันว่าเป็นบวกในวัฒนธรรมดั้งเดิม และรู้เท่าทันแก่นแท้ของถ้อยแถลงเหล่านี้  เมื่อคนคนหนึ่งเข้าใจถ้อยแถลงเหล่านี้อย่างถ่องแท้ พวกเขาก็จะเริ่มรู้สึกรังเกียจและสามารถปฏิเสธถ้อยแถลงเหล่านี้ได้  หลังจากนั้นพวกเขาก็จะค่อยๆ ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ในชีวิตจริงได้  เมื่อละมือจากความเห็นชอบ ความเชื่อที่มืดบอด และการยึดมั่นในวัฒนธรรมดั้งเดิม พวกเขาก็จะสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับเอาข้อกำหนดของพระองค์และหลักธรรมความจริงที่คนคนหนึ่งควรมีเข้าไปไว้ในหัวใจของพวกเขา เพื่อให้สิ่งเหล่านี้แทนที่วัฒนธรรมดั้งเดิมในหัวใจของพวกเขา  เมื่อเป็นเช่นนี้ คนคนนั้นก็จะสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ และได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  สรุปแล้ว จุดหมายของการชำแหละถ้อยแถลงต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่วัฒนธรรมดั้งเดิมของมวลมนุษย์ให้การสนับสนุนก็คือ การมอบวิจารณญาณและความรู้อันถ่องแท้แก่ผู้คนเกี่ยวกับแก่นแท้ที่อยู่เบื้องหลังถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ และให้รู้ว่าซาตานใช้ถ้อยแถลงเหล่านี้มาทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม ชักพาให้หลงผิด และควบคุมพวกเขาไว้อย่างไร  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนย่อมจะสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะได้โดยแท้ว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือสิ่งที่เป็นบวก  กล่าวให้แน่ชัดก็คือ หลังจากที่มองเห็นถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้จนถึงแก่นแท้และธรรมชาติที่แท้จริงของถ้อยแถลง รวมทั้งเล่ห์กลของซาตานอย่างชัดเจนแล้ว ผู้คนก็ควรที่จะรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วอะไรคือความจริง  จงอย่าเอาวัฒนธรรมดั้งเดิมและถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่วัฒนธรรมดั้งเดิมปลูกฝังไว้ในตัวผู้คนไปสับสนกับความจริง  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง ไม่สามารถแทนที่ความจริง และแน่นอนว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง  ไม่ว่าเจ้าจะมองวัฒนธรรมดั้งเดิมจากมุมใด และไม่ว่ามันจะมีถ้อยแถลงหรือข้อกำหนดจำเพาะอันใด วัฒนธรรมดั้งเดิมก็เพียงแต่แสดงถึงการสอน การปลูกฝัง การชักพาให้หลงผิด และการที่ซาตานล้างสมองมวลมนุษย์เท่านั้น  แสดงถึงเล่ห์กลของซาตานและแก่นแท้ธรรมชาติของซาตาน  ไม่เชื่อมโยงกับความจริงและข้อกำหนดของพระเจ้าแต่อย่างใด  ดังนั้น ในแง่ของการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติ นำไปใช้ หรือจับความเข้าใจได้ดีเพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าปฏิบัติความจริงอยู่ หรือเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์และสำนึก และไม่ได้หมายความเป็นแน่ว่าเจ้าสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้  ไม่มีถ้อยแถลงหรือข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อใด—ไม่ว่าจะเจาะจงไปที่คนหรือพฤติกรรมแบบใด—มีความเกี่ยวข้องกับข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์  ถ้อยแถลงและข้อกำหนดเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความจริงที่พระเจ้าพึงประสงค์ให้มนุษย์ปฏิบัติ หรือหลักธรรมที่มนุษย์ควรยึดถือ  พวกเจ้าใคร่ครวญเรื่องนี้กันบ้างหรือไม่?  ตอนนี้พวกเจ้ามองเห็นเรื่องนี้ชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)

หากไม่มีการสามัคคีธรรมอย่างละเอียดและไม่ได้ชำแหละถ้อยแถลงต่างๆ เหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมไปทีละข้อ ผู้คนก็จะมองไม่ออกว่าถ้อยแถลงที่วัฒนธรรมดั้งเดิมนำเสนอนั้นเทียมเท็จ หลอกลวง และฟังไม่ขึ้น  ผลก็คือในหัวใจส่วนลึกของพวกเขา ผู้คนยังคงมองว่าถ้อยแถลงต่างๆ นานาของวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของหลักข้อเชื่อหรือกฎเกณฑ์ที่พวกเขาควรยึดถือในเรื่องที่ว่าพวกเขาควรกระทำการและวางตนเช่นไร  พวกเขายังคงทำเหมือนว่าพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่มองกันว่าดีงามในวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นความจริง และยึดปฏิบัติตามนั้นในฐานะดังกล่าว ถึงกับเอาสิ่งเหล่านั้นไปสับสนกับความจริง  ที่แย่กว่านั้นก็คือ ผู้คนประกาศและส่งเสริมสิ่งเหล่านั้นราวกับว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นบวก และราวกับว่าเป็นความจริงด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านั้นชักพาให้ผู้คนหลงผิด รบกวน และหยุดยั้งไม่ให้พวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับความจริง  นี่คือปัญหาที่เป็นจริงที่สุดซึ่งทุกคนสามารถมองเห็นได้  ผู้คนมักจะถือว่าถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่มนุษย์รับรู้กันว่าดีงามและเป็นบวกนั้นคือความจริง  เวลาชุมนุมและสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจะถึงกับยกถ้อยแถลงและวาทะในวัฒนธรรมดั้งเดิมมาสามัคคีธรรมและประกาศ  นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก  ประเด็นปัญหาหรือเหตุการณ์แบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในพระนิเวศของพระเจ้า แต่ก็มักจะเกิดขึ้น—เป็นปัญหาที่พบเจอบ่อยมาก  นี่แสดงให้เห็นปัญหาอีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อผู้คนไม่เข้าใจแก่นแท้จริงๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิมและถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม พวกเขาก็มักจะทำเหมือนว่าถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมคือสิ่งที่เป็นบวก ใช้แทนที่หรือเข้าแทนที่ความจริง  นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไปใช่หรือไม่?  (ใช่)  ตัวอย่างเช่น ถ้อยแถลงในวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่าง “จงเมตตาผู้อื่น” “ความปรองดองคือขุมทรัพย์ ความอดกลั้นคือความปราดเปรื่อง” “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา”  “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้”  “น้ำใจหนึ่งหยดควรได้รับการตอบแทนด้วยน้ำพุอันพวยพุ่ง” และถ้อยแถลงที่ยิ่งเป็นที่นิยมมากกว่า เช่น “ฉันจะรับกระสุนแทนเพื่อน” และ “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” ได้กลายเป็นหลักข้อเชื่อที่ผู้คนใช้วางตน เป็นหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่ใช้ตัดสินความประเสริฐของคนคนหนึ่งไปแล้ว  ดังนั้น แม้จะฟังพระวจนะของพระเจ้าและความจริงไปมาก แต่ผู้คนก็ยังคงใช้ถ้อยแถลงและทฤษฎีของวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นมาตรฐานในการประเมินผู้อื่นและมองสิ่งทั้งหลาย  ประเด็นปัญหาในที่นี้คืออะไร?  นี่แสดงให้เห็นปัญหาที่ร้ายแรงยิ่ง ซึ่งก็คือวัฒนธรรมดั้งเดิมยึดครองที่ทางซึ่งมีความสำคัญมากในหัวใจส่วนลึกของมนุษย์  นี่แสดงให้เห็นเรื่องนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  แนวคิดต่างๆ นานาที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวผู้คนล้วนฝังรากลึกอยู่ในหัวใจของพวกเขาไปแล้ว  แนวคิดเหล่านี้แพร่หลายและกลายเป็นกระแสหลักในชีวิต สภาพแวดล้อม และสังคมของมนุษย์ทั้งมวลไปแล้ว  ดังนั้น วัฒนธรรมดั้งเดิมจึงไม่เพียงมีฐานะอันสำคัญในหัวใจส่วนลึกของผู้คนเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลอย่างยิ่งและเข้าควบคุมหลักธรรมและท่าที ทัศนคติและวิธีการที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการอีกด้วย  แม้แต่หลังจากที่ผู้คนยอมรับการพิชิตจากพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งการเปิดโปง พิพากษา และตีสอนจากพระวจนะ แต่แนวคิดเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมก็ยังคงยึดครองพื้นที่สำคัญๆ ในโลกวิญญาณของพวกเขาและในส่วนลึกของหัวใจ  นี่หมายความว่าแนวคิดเหล่านี้ควบคุมทิศทาง จุดหมาย หลักธรรม ท่าที และมุมมองเบื้องหลังวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายของพวกเขา วิธีวางตัวและกระทำการของพวกเขา  นี่ย่อมหมายความว่าผู้คนถูกซาตานจับเป็นเชลยหมดแล้วมิใช่หรือ?  นี่คือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือข้อเท็จจริง  ลักษณะการใช้ชีวิตของผู้คนและจุดหมายในชีวิตของพวกเขา ทัศนะและท่าทีที่พวกเขามีต่อทุกสิ่ง ล้วนอิงตามวัฒนธรรมดั้งเดิมทั้งสิ้น ซึ่งซาตานก็คอยสนับสนุนและปลูกฝังไว้ในตัวผู้คน  วัฒนธรรมดั้งเดิมมีฐานะที่เป็นใหญ่ในชีวิตของผู้คน  อาจกล่าวได้ว่าหลังจากที่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและฟังพระวจนะของพระองค์แล้ว และแม้จะยอมรับถ้อยแถลงและทัศนะที่ถูกต้องบางประการจากพระองค์แล้ว แต่ความคิดนานัปการจากวัฒนธรรมดั้งเดิมก็ยังครองที่ทางส่วนใหญ่ซึ่งมีความสำคัญในโลกวิญญาณของพวกเขาและในหัวใจส่วนลึกของพวกเขา  เป็นเพราะความคิดเหล่านี้ ผู้คนจึงอดไม่ได้ที่จะใช้วิธีการ ทัศนะ และท่าทีของวัฒนธรรมดั้งเดิมมามองพระเจ้า รวมทั้งพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์  พวกเขาถึงกับตัดสิน วิเคราะห์ และศึกษาพระวจนะ พระราชกิจ อัตลักษณ์ และแก่นแท้ของพระเจ้าโดยใช้สิ่งดังกล่าวเป็นหลัก  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจโต้แย้งได้  แม้ในยามที่พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า การกระทำ แก่นแท้ ฤทธานุภาพ และพระปัญญาของพระองค์ได้พิชิตผู้คนไปแล้ว แต่ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา วัฒนธรรมดั้งเดิมก็ยังคงมีฐานะอันสำคัญ ถึงขนาดที่ไม่มีสิ่งใดสามารถแทนที่ได้  แน่นอนว่าพระวจนะของพระเจ้าและความจริงก็เป็นเช่นนั้นด้วย  แม้ในยามที่พระเจ้าทรงพิชิตผู้คนไปแล้ว แต่พระวจนะของพระองค์และความจริงก็ไม่สามารถแทนที่วัฒนธรรมดั้งเดิมในหัวใจของพวกเขาได้  นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่ากลัวมาก  ผู้คนยึดติดกับวัฒนธรรมดั้งเดิมพลางติดตามพระเจ้า ฟังพระวจนะของพระองค์ ยอมรับความจริงและแนวคิดต่างๆ จากพระองค์ไปด้วย  ดูภายนอก ผู้คนเหล่านี้เหมือนกำลังติดตามพระเจ้า แต่แนวคิด ทัศนะ และมุมมองต่างๆ ที่วัฒนธรรมดั้งเดิมและซาตานปลูกฝังเอาไว้ในตัวพวกเขากลับมีฐานะที่มิอาจสั่นคลอนและมิอาจแทนที่ได้อยู่ในหัวใจของพวกเขา  แม้ผู้คนจะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน อ่านอธิษฐานและตรึกตรองพระวจนะอยู่บ่อยๆ แต่ทัศนะ หลักธรรม และวิธีการทั่วไปเบื้องหลังวิธีที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมถึงที่ใช้วางตนและกระทำการก็ยังคงยึดตามวัฒนธรรมดั้งเดิม  เพราะฉะนั้น วัฒนธรรมดั้งเดิมจึงส่งผลต่อผู้คนโดยทำให้พวกเขาตกอยู่ภายใต้การบงการ ดำเนินการ และการควบคุมของมันในชีวิตประจำวัน  สลัดไม่หลุดและหนีไม่พ้นประหนึ่งเงาของพวกเขาเอง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะผู้คนไม่สามารถค้นพบ ชำแหละ หรือเปิดโปงแนวคิดและทัศนะต่างๆ ที่วัฒนธรรมดั้งเดิมและซาตานปลูกฝังเอาไว้ในตัวพวกเขาออกมาจากหัวใจส่วนลึกของตน พวกเขาไม่สามารถตระหนักรู้ เท่าทัน ขัดขืน หรือละทิ้งสิ่งเหล่านี้ได้ พวกเขาไม่สามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนหรือกระทำการในหนทางที่พระเจ้าตรัสบอกพวกเขาได้ หรือในหนทางที่พระองค์ทรงสอนและชี้ให้ทำ  เพราะเหตุนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงยังคงมีชีวิตอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากแบบใด?  ก็คือสภาวะที่พวกเขามีความประสงค์อยู่ลึกๆ ในหัวใจที่จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า ไม่ทำสิ่งที่ขัดกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือความจริง แต่พวกเขาก็ยังคงมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน วางตน และรับมือเรื่องต่างๆ ตามวิธีการที่ซาตานสอนไว้โดยไม่มีทางป้องกันและโดยไม่รู้ตัว  หัวใจของผู้คนถวิลหาความจริงและอยากมีความประสงค์อย่างล้นเหลือในพระเจ้า อยากมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่ละเมิดหลักธรรมความจริง ถึงกระนั้น สิ่งต่างๆ ก็ลงเอยในทางตรงข้ามกับความปรารถนาของพวกเขาอยู่เสมอ  แม้แต่หลังจากที่พวกเขาทุ่มเทพยายามมากขึ้น แต่ผลที่ได้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาประสงค์อยู่ดี  ไม่ว่าผู้คนจะดิ้นรนอย่างไร ไม่ว่าพวกเขาจะทุ่มเทพยายามมากเท่าใด ไม่ว่าพวกเขาจะแน่วแน่และประสงค์ที่จะรักสิ่งที่เป็นบวกมากเท่าใด ท้ายที่สุดแล้ว ความจริงที่พวกเขาสามารถปฏิบัติได้และหลักเกณฑ์ของความจริงที่พวกเขาสามารถยึดมั่นในชีวิตจริงได้กลับมีน้อย  นี่คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนเป็นทุกข์อย่างที่สุดอยู่ในหัวใจส่วนลึก  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  สาเหตุหนึ่งย่อมไม่พ้นเรื่องที่ว่าแนวคิดและทัศนะต่างๆ ที่วัฒนธรรมดั้งเดิมสอนผู้คนนั้นยังคงครอบงำหัวใจของพวกเขา ควบคุมวาจา การกระทำ แนวคิด ตลอดจนวิธีและลักษณะการวางตนและกระทำการของพวกเขา  ฉะนั้น ผู้คนจึงต้องก้าวผ่านกระบวนการอย่างหนึ่งเพื่อที่จะตระหนักรู้ ชำแหละ และเปิดโปงวัฒนธรรมดั้งเดิม มีวิจารณญาณและรู้ทันวัฒนธรรมดังกล่าว และในที่สุดก็ทิ้งมันไปตลอดกาล  การทำเช่นนี้มีความสำคัญมาก ไม่ใช่เรื่องที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้  นี่เป็นเพราะวัฒนธรรมดั้งเดิมครอบงำหัวใจส่วนลึกของผู้คนไปแล้ว—มันครอบงำตัวตนทั้งหมดของพวกเขาด้วยซ้ำ  นี่หมายความว่าในการวางตนและในการรับมือเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของพวกเขา ผู้คนไม่สามารถหยุดยั้งตัวเองไม่ให้ละเมิดความจริงได้ และไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้ตัวเองถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมควบคุมและครอบงำเอาไว้ได้ ดังที่เป็นมาจนถึงทุกวันนี้

ในการเชื่อในพระเจ้า ถ้าคนเราปรารถนาที่จะยอมรับความจริงอย่างสุดใจ อยากปฏิบัติความจริงให้รอบด้านและได้รับความจริง พวกเขาก็ต้องเริ่มด้วยการลงลึกและเจาะจงขุด ชำแหละ และทำความรู้จักแนวคิดและทัศนะต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิม  เห็นได้ชัดว่าแนวคิดเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมยึดครองที่ทางอันสำคัญในหัวใจของทุกคนเอาไว้ แต่ผู้คนต่างก็ยึดมั่นในสิ่งที่วัฒนธรรมดั้งเดิมปลูกฝังให้ในแง่มุมที่ต่างกันไป แต่ละคนมุ่งสนใจคนละส่วน  บางคนสนับสนุนถ้อยแถลงที่ว่า “ฉันจะรับกระสุนแทนเพื่อน” เป็นพิเศษ  พวกเขาจงรักภักดีต่อเพื่อนฝูงมาก และความจงรักภักดีก็สำคัญต่อพวกเขาเหนือสิ่งอื่นใด  ความจงรักภักดีคือชีวิตของพวกเขา  นับแต่วันที่พวกเขาเกิดมา พวกเขาก็มีชีวิตอยู่เพื่อความจงรักภักดี  บางคนให้ค่ากับความเมตตาอย่างมาก  ถ้าพวกเขาได้รับความเมตตาจากใครสักคน ไม่ว่าจะมากหรือน้อย พวกเขาก็รับรู้ด้วยหัวใจ และการตอบแทนความเมตตานั้นก็กลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขา—กลายเป็นภารกิจในชีวิตของพวกเขา  บางคนให้ค่ากับการทำให้ผู้อื่นมีภาพจำอันดีงาม พวกเขามุ่งเน้นที่จะเป็นคนชนิดที่มีเกียรติ ประเสริฐ และดีพอ มุ่งทำให้ผู้อื่นเคารพและยกย่องตน  พวกเขาอยากให้ผู้อื่นพูดถึงตนในทางที่ดี อยากเป็นที่เชิดหน้าชูตา อยากได้รับการสรรเสริญ อยากให้ทุกคนยกนิ้วหัวแม่มือให้ตน  แต่ละคนมีจุดสนใจต่างกันในการไล่ตามถ้อยแถลงนานาของวัฒนธรรมดั้งเดิมและไล่ตามการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  บ้างก็ให้ค่ากับชื่อเสียงและความมั่งคั่ง ส่วนผู้อื่นก็ให้ค่ากับความสุจริต บ้างก็ให้ค่ากับความบริสุทธิ์ ส่วนผู้อื่นก็ให้ค่ากับการตอบแทนความใจดีทั้งหลาย  บางคนให้ค่ากับความจงรักภักดี และผู้อื่นก็ให้ค่ากับความเมตตากรุณา และบ้างก็ให้ค่ากับความเหมาะควร—พวกเขาให้เกียรติและมีมารยาทกับทุกคน หลีกทางและให้ความสำคัญกับผู้อื่นก่อนเสมอ—เป็นต้น  ทุกคนมีจุดสนใจที่แตกต่างกันไป  ดังนั้น ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมส่งผลต่อเจ้าและคอยควบคุมเจ้าอย่างไร ถ้าเจ้าอยากรู้ว่ามันมีน้ำหนักอยู่ในหัวใจส่วนลึกของเจ้าเท่าใด เจ้าก็ต้องชำแหละออกมาว่าเจ้าเป็นคนแบบใด และเจ้าให้ค่ากับอะไร  เจ้าสนใจเรื่อง “ความเหมาะควร” หรือ “ความเมตตากรุณา” หรือไม่?  เจ้าให้ค่ากับ “ความน่าเชื่อถือ” หรือ “ความอดกลั้น” หรือไม่?  เจ้าต้องชำแหละจากมุมมองที่ต่างกันและตามพฤติกรรมที่แท้จริงของเจ้าว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมมีอิทธิพลต่อเจ้าอย่างลึกล้ำที่สุดในแง่มุมใดบ้าง และเหตุใดเจ้าจึงไล่ตามวัฒนธรรมดั้งเดิม  ไม่ว่าเจ้าจะไล่ตามแก่นแท้อันใดของวัฒนธรรมดั้งเดิมก็ตาม เจ้าย่อมเป็นคนแบบนั้น  ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนแบบใด นั่นก็คือสิ่งที่ครอบงำชีวิตของเจ้าอยู่—และสิ่งใดก็ตามที่ครอบงำชีวิตของเจ้าอยู่ นั่นก็คือสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องตระหนักรู้ ชำแหละ เท่าทัน ต่อต้าน และละทิ้ง  หลังจากที่เจ้าค้นพบและเกิดความเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว เจ้าก็จะสามารถตัดขาดจากวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทิ้งมันไปได้อย่างแท้จริง และหลุดจากวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างสิ้นเชิงในที่สุด ถอนรากถอนโคนวัฒนธรรมดังกล่าวออกจากหัวใจส่วนลึกของเจ้าได้  และแล้วเจ้าก็จะสามารถต่อต้านมันได้ทุกด้านและขจัดมันออกไป  เมื่อเจ้าทำได้ดังนี้แล้ว วัฒนธรรมดั้งเดิมก็จะไม่ใช่สิ่งที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในชีวิตของเจ้าอีกต่อไป แต่พระวจนะของพระเจ้าและความจริงจะมีบทบาทในการชี้นำเจ้าอยู่ในส่วนลึกของหัวใจและกลายเป็นชีวิตของเจ้าอย่างช้าๆ  พระวจนะของพระเจ้าและความจริงจะมีที่ทางอันสำคัญอยู่ในหัวใจส่วนลึกของเจ้าอย่างช้าๆ พระวจนะของพระเจ้าและพระเจ้าจะนั่งบัลลังก์อยู่ในหัวใจของเจ้าและครองหัวใจในฐานะองค์กษัตริย์ของเจ้า  ทั้งสองจะครอบครองทุกส่วนของเจ้า  ถึงตอนนั้นก็ย่อมจะรู้สึกว่าความทุกข์ใจในการใช้ชีวิตลดน้อยลงไปมิใช่หรือ?  ชีวิตของเจ้าจะมีความทุกข์ใจน้อยลงเรื่อยๆ มิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าย่อมจะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้าได้ง่ายขึ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่ย่อมจะง่ายขึ้นมาก  เรามองออกว่าพวกเจ้าทุกคนยุ่งกับหน้าที่กันมากทุกวัน  นอกจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พวกเจ้ายังต้องสามัคคีธรรมความจริงกันทุกวัน อ่าน ฟัง จำ และจดอีกด้วย  พวกเจ้าใช้เวลาและพลังงานกันมาก จ่ายราคากันมาก ทนทุกข์กันมาก และบางทีพวกเจ้าก็อาจจะเข้าใจคำสอนกันมาก  อย่างไรก็ดี พอเป็นเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ก็น่าเสียดายที่เจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้และไม่สามารถทำความเข้าใจหลักธรรม  เจ้าฟังและสามัคคีธรรมความจริงในแง่มุมต่างๆ ไปมากมายหลายครั้งแล้ว แต่พอเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้ากลับไม่รู้ว่าจะมีประสบการณ์ ปฏิบัติ หรือใช้พระวจนะของพระเจ้าอย่างไร  เจ้าไม่รู้ว่าจะปฏิบัติความจริงอย่างไร เจ้ายังคงต้องแสวงหาและหารือกับผู้อื่นในเรื่องของความจริง  ทำไมถึงใช้เวลานานนักกว่าพระวจนะของพระเจ้าจะหยั่งรากลงไปในหัวใจของคนคนหนึ่ง?  ทำไมการเข้าใจความจริงและกระทำการตามหลักธรรมในพระวจนะของพระองค์ถึงยากนัก?  คนเราไม่สามารถตัดอิทธิพลที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อผู้คนอย่างมากออกจากการเป็นสาเหตุหลักของเรื่องนี้ได้  วัฒนธรรมดั้งเดิมมีฐานะสำคัญในหัวใจของผู้คนมาเนิ่นนานแล้ว ควบคุมความคิดอ่านและจิตใจของผู้คน  วัฒนธรรมดั้งเดิมปล่อยให้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์โลดแล่นไปตามใจชอบ พวกเขารู้สึกสบายใจกับการเผยอุปนิสัยเหล่านี้ออกมา เหมือนคนขายเนื้อได้มีด เหมือนปลาได้น้ำ  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  วัฒนธรรมดั้งเดิมเชื่อมโยงกับอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์อย่างแน่นแฟ้น  สองสิ่งนี้ร่วมมือกันและสร้างเสริมกัน  เมื่ออุปนิสัยที่เสื่อมทรามพบกับวัฒนธรรมดั้งเดิม เหมือนปลาได้น้ำ ทั้งสองก็สามารถอวดความสามารถของตนออกมาได้อย่างเต็มที่  อุปนิสัยที่เสื่อมทรามรักและต้องการวัฒนธรรมดั้งเดิม  ดังนั้น ภายใต้การสร้างพฤติกรรมอันยาวนานหลายพันปีของวัฒนธรรมดั้งเดิม มนุษย์จึงถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามหนักขึ้นทุกที และอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์ก็ยิ่งร้ายแรงและขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ  อุปนิสัยเหล่านี้ไม่เพียงร้ายแรงยิ่งขึ้นทุกทีภายใต้เปลือกปลอมและการนำเสนอของวัฒนธรรมดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังถูกอำพรางเอาไว้มากขึ้นทุกทีอีกด้วย  อุปนิสัย เช่น ความโอหัง ความหลอกลวง ความเลว การดื้อแพ่ง และการรังเกียจความจริงถูกปกคลุมและปิดบังไว้อย่างมิดชิดขึ้นเรื่อยๆ—อุปนิสัยเหล่านี้เผยตัวในลักษณะที่แยบยลยิ่งขึ้นทุกที ทำให้ผู้คนมองเห็นได้ยาก  ดังนั้น ภายใต้การฝึกพฤติกรรม การสอน การชักพาให้หลงผิด และการควบคุมของวัฒนธรรมดั้งเดิม โลกของมวลมนุษย์จึงค่อยๆ กลายเป็นอะไรไปแล้ว?  กลายเป็นโลกของพวกปีศาจ  ผู้คนไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ พวกเขาไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์หรือความเป็นมนุษย์  กระนั้น ผู้คนที่ยึดถือวัฒนธรรมดั้งเดิม ผู้คนที่ถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมล้างสมอง แทรกซึม และครอบงำมานาน กลับปักใจเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าตนนั้นยิ่งใหญ่ ประเสริฐ และเหนือโลก  ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ไม่มีพวกเขาคนใดคิดว่าตนไม่สำคัญ ไร้ค่า และเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตัวกระจิริดเท่านั้น  ไม่มีพวกเขาคนใดเต็มใจที่จะเป็นคนธรรมดา ทุกคนอยากมีชื่อเสียง อยากยิ่งใหญ่ อยากเป็นปราชญ์  ภายใต้การสร้างพฤติกรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิม ผู้คนไม่เพียงอยากก้าวข้ามตนเองเท่านั้น—แต่อยากก้าวข้ามโลกทั้งใบและมนุษยชาติทั้งมวลอีกด้วย  เจ้าย่อมเคยฟังเพลงที่พวกผู้ไม่มีความเชื่อร้องกันว่า “ฉันอยากบินให้สูงขึ้น บินให้สูงขึ้น” และเพลงที่ร้องว่า “ฉันเป็นเพียงนกน้อย ฉันอยากบิน แต่ก็บินได้ไม่สูง”  ถ้อยคำเหล่านี้ไร้เหตุผล ไม่มีความเป็นมนุษย์และสำนึกเลยมิใช่หรือ?  เนื้อเพลงเหล่านี้เป็นเพียงการเห่าหอนอย่างดิบเถื่อนของซาตานเท่านั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือเสียงเห่าหอนอย่างบ้าคลั่งของซาตาน  ดังนั้น ไม่ว่าคนเราจะมองเรื่องนี้กันอย่างไร พิษของวัฒนธรรมดั้งเดิมก็ซึมซาบเข้าสู่หัวใจของมนุษย์มานานแล้ว และไม่ใช่สิ่งที่สามารถกำจัดออกไปได้ในชั่วข้ามคืน  ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนการเอาชนะข้อบกพร่องส่วนตัวหรือนิสัยที่ไม่ดี—เจ้าต้องค้นหาความคิด ทัศนะ และอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าให้เจอ และขจัดรากพิษของวัฒนธรรมดั้งเดิมออกไปจากชีวิตของเจ้าอย่างสอดคล้องกับความจริง  จากนั้น เจ้าก็ต้องมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้า และทำให้ความจริงในพระวจนะของพระองค์กลายเป็นชีวิตของเจ้า  เมื่อทำดังนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องอย่างแท้จริงในการติดตามพระเจ้าและเชื่อในพระองค์

นัยและความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง

พวกเราชำแหละและเปิดโปงเรื่องของวัฒนธรรมดั้งเดิมกันไปมากมายแล้ว และสามัคคีธรรมเรื่องนี้กันมานาน  ไม่ว่าพวกเราจะสามัคคีธรรมเรื่องนี้กันมากเพียงใด หรือยาวนานเพียงใด จุดหมายก็ยังคงเป็นการแก้ไขเรื่องยุ่งยากต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริง หรือเรื่องยุ่งยากและปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่ในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา  จุดมุ่งหมายคือการขจัดกำแพง สิ่งกีดขวาง และความยุ่งยากทั้งปวง—ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือถ้อยแถลง แนวคิด และทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม—ที่คอยขวางทางผู้คนที่กำลังไล่ตามเสาะหาความจริง  สำหรับวันนี้ ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ พวกเราได้สามัคคีธรรมหัวข้อเรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิมจบแล้ว  เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมหัวข้อต่างๆ เกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริงแล้วหรือยัง?  (ยัง)  สามัคคีธรรมและการชำแหละวัฒนธรรมดั้งเดิมของพวกเราเชื่อมโยงกับการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (เชื่อมโยง)  ย่อมเชื่อมโยงกับการไล่ตามเสาะหาความจริง  วัฒนธรรมดั้งเดิมคืออุปสรรคใหญ่ที่สุดที่ผู้คนเผชิญบนเส้นทางไปสู่การไล่ตามเสาะหาความจริง  คราวนี้เมื่อพวกเราสามัคคีธรรมเรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิม—ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของการไล่ตามเสาะหาความจริงของมนุษย์—จบแล้ว วันนี้พวกเราก็จะสามัคคีธรรมถึงคำถามที่ว่า “เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง?”  เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง?  พวกเราเคยสามัคคีธรรมเรื่องนี้กันมาก่อนหรือไม่?  ทำไมพวกเราถึงต้องสามัคคีธรรมเรื่องนี้?  คำถามนี้สำคัญหรือไม่?  (สำคัญ)  ทำไมถึงสำคัญ?  จงบอกสิ่งที่พวกเจ้าคิดมาเถิด  (ข้าพระองค์เข้าใจว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงเชื่อมโยงกับความรอดของมนุษย์โดยตรง  ด้วยเหตุที่พวกเราทุกคนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอย่างร้ายแรง และถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมล้างสมองและวางยาพิษอยู่ลึกๆ มาตั้งแต่อายุยังน้อย พวกเราจึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง มิฉะนั้นพวกเราก็จะไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นลบซึ่งมาจากซาตานได้  แล้วพวกเราก็จะไม่สามารถปฏิบัติความจริงและจะไม่รู้ว่าควรกระทำการอย่างไรจึงจะเป็นบวกและตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเราจะไม่มีทางเลือก นอกจากกระทำการและวางตนตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนเอง  ถ้าคนคนหนึ่งเชื่อในพระเจ้ากันแบบนี้ ในที่สุดพวกเขาก็จะยังคงเป็นซาตานที่มีลมหายใจ ไม่ใช่คนที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด  เพราะฉะนั้น การไล่ตามเสาะหาความจริงจึงสำคัญมาก  นอกจากนี้ อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเราก็สามารถชำระให้สะอาดได้ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น และยังเป็นทางเดียวที่จะแก้ไขแนวคิดผิดๆ ที่พวกเรามีในเรื่องที่ว่าพวกเราควรมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการอย่างไรอีกด้วย  เฉพาะเมื่อคนคนหนึ่งเข้าใจและได้รับความจริงแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถทำหน้าที่ของตนได้ดีพอและกลายเป็นคนที่นบนอบพระเจ้า  หาไม่แล้ว พวกเขาก็จะทำตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนเวลาทำสิ่งต่างๆ ในหน้าที่ของตนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร)  เจ้าพูดมาสองประเด็น  เราถามไว้ว่าอย่างไร?  (เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง?)  คำถามนี้ง่ายหรือไม่?  นี่เป็นคำถามเรื่องเหตุและผลที่ฟังดูง่าย  พวกเจ้ามีทัศนะเหมือนกันใช่หรือไม่ว่าทางหนึ่งการไล่ตามเสาะหาความจริงเชื่อมโยงกับความรอดของคน และอีกทางหนึ่งก็เชื่อมโยงกับการไม่ก่อให้เกิดการขัดขวางหรือก่อกวน?  (ใช่)  เมื่อเจ้ากล่าวมาอย่างนี้ คำถามก็ย่อมฟังดูง่ายทีเดียว  แท้จริงแล้วมันง่ายเช่นนั้นหรือไม่?  จงบอกความคิดของพวกเจ้ามาเถิด  (ข้าพระองค์คิดว่าคำถามว่า “เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง?” เมื่อมองในแง่ทฤษฎีย่อมตอบได้ง่ายกว่า แต่แท้จริงแล้วพอเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติและการเข้าสู่ความเป็นจริง ก็เป็นคำถามที่ไม่ธรรมดา)  “เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง?”—นี่ครอบคลุมคำถามกี่ข้อ?  นี่ครอบคลุมคำถามอย่างเช่น การไล่ตามเสาะหาความจริงมีนัยสำคัญว่าอย่างไร สาเหตุของการไล่ตามเสาะหาความจริงได้แก่อะไรบ้าง—มีอะไรอีก?  (ความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง)  ถูกต้อง คำถามนี้ยังครอบคลุมความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย รวมคำถามเหล่านี้เอาไว้  เมื่อคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ “เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง?” เป็นคำถามที่ธรรมดาหรือไม่?  (ไม่ธรรมดา)  จงใคร่ครวญคำถามว่า “เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง?” อีกครั้งโดยดูจากเรื่องเหล่านี้เถิด  ก่อนอื่นจงย้อนดูว่า—การไล่ตามเสาะหาความจริงหมายถึงอะไร?  นี่มีการนิยามไว้ว่าอย่างไร?  (การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา)  นั่นถูกต้องหรือไม่?  เจ้าตกคำว่า “ทุกประการ” ไป  จงอ่านอีกครั้งเถิด  (“การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา”)  คำถามที่ว่า “เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง?” เชื่อมโยงกับทัศนะที่ผู้คนมีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ต่อการวางตนและการกระทำของพวกเขา  นี่คือเรื่องที่ว่าผู้คนควรมองสิ่งทั้งหลายและผู้คนอย่างไร ควรวางตนและกระทำการอย่างไร และทำไมพวกเขาถึงควรมองสิ่งทั้งหลายและผู้คน รวมทั้งวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  เหตุใดพวกเขาจึงควรไล่ตามเสาะหาการทำสิ่งต่างๆ แบบนี้—นี่คือรากของคำถามนี้มิใช่หรือ?  นี่เป็นคำถามที่สำคัญมิใช่หรือ?  (ใช่)  ทีนี้พวกเจ้าก็เข้าใจสาระสำคัญของคำถามนี้แล้ว  พวกเรากลับมาที่ตัวคำถามกันเถิด “เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง?”  นี่ไม่ใช่คำถามธรรมดา  เป็นคำถามที่ครอบคลุมนัยสำคัญและคุณค่าของการไล่ตามเสาะหาความจริง และยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญที่สุดคือ ตามแก่นแท้และสัญชาตญาณของมวลมนุษย์แล้ว พวกเขาจำเป็นต้องมีความจริงเป็นชีวิตของตน ดังนั้น พวกเขาจึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง  แน่นอนว่านี่ยังเชื่อมโยงกับอนาคตและการอยู่รอดของมวลมนุษย์อีกด้วย  กล่าวง่ายๆ ก็คือ การไล่ตามเสาะหาความจริงเชื่อมโยงกับความรอดของผู้คนและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขา  แน่นอนว่านี่ยังเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต สิ่งที่พวกเขาพรั่งพรูออกมา และพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของพวกเขา  ถ้าผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ก็อาจกล่าวได้อย่างเที่ยงตรงว่าโอกาสที่พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดนั้นเป็นศูนย์  ถ้าผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ก็มีโอกาสเต็มร้อยที่พวกเขาจะต้านทาน ทรยศ และปฏิเสธพระเจ้า  พวกเขาอาจต้านทานและทรยศพระเจ้าได้ทุกเมื่อและทุกหนแห่ง และแน่นอนว่าอาจรบกวนงานของคริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้า หรือทำสิ่งที่ก่อให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางได้ทุกเวลาและทุกที่เช่นกัน  เหล่านี้คือเหตุผลบางประการที่ธรรมดาที่สุดและพื้นฐานที่สุดว่าทำไมผู้คนถึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งสามารถมองเห็นและเข้าใจได้ในชีวิตประจำวันของพวกเขา  แต่วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมเฉพาะบางส่วนที่สำคัญยิ่งในคำถามที่ว่า “เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง?”  พวกเราสามัคคีธรรมถึงแง่มุมที่สำคัญที่สุดของคำถามนี้ไปแล้ว ซึ่งผู้คนก็เข้าใจและตระหนักรู้มาตลอดในฐานะคำสอน ดังนั้น วันนี้พวกเราจะไม่สามัคคีธรรมถึงเรื่องพื้นฐานง่ายๆ เหล่านั้น  การสามัคคีธรรมถึงองค์ประกอบสำคัญหลายๆ อย่างย่อมจะเพียงพอแล้ว  เหตุใดพวกเราจึงสามัคคีธรรมเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริง?  เห็นได้ชัดว่ามีคำถามบางอย่างที่สำคัญกว่าอยู่ในหัวข้อนี้ คำถามที่ผู้คนไม่สามารถมองได้ทะลุ ไม่รู้ และไม่เข้าใจ แต่ก็เป็นคำถามที่พวกเขาจำต้องหยั่งรู้และทำความเข้าใจ

I. เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ในมุมมองของพระเจ้า

เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง?  พวกเราจะไม่เริ่มจากแง่มุมพื้นฐานของเรื่องนี้ที่ผู้คนรู้ซึ้งและเข้าใจกันอยู่แล้ว และไม่เริ่มจากคำสอนที่ผู้คนรู้กันอยู่แล้ว  แล้วพวกเราจะเริ่มตรงไหน?  พวกเราต้องเริ่มตรงรากของคำถามนี้ ตรงแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและเจตนารมณ์ของพระเจ้า  การเริ่มที่รากของคำถามหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพวกเราจะเริ่มจากแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและการสร้างมวลมนุษย์ของพระเจ้า  ตั้งแต่มีผู้คนขึ้นมา ตั้งแต่สิ่งมีชีวิต—ซึ่งก็คือมวลมนุษย์ทรงสร้าง—ได้รับลมหายใจจากพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงวางแผนที่จะได้พวกเขาไว้กลุ่มหนึ่ง  คนกลุ่มนี้จะสามารถหยั่งรู้ เข้าใจ และยึดปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ได้  พวกเขาจะสามารถกระทำการในฐานะผู้ดูแลสรรพสิ่ง ดูแลสิ่งทรงสร้างมากมายนับไม่ถ้วนของพระเจ้า ทั้งพืช สัตว์ ป่าไม้ มหาสมุทร แม่น้ำ ทะเลสาบ ภูเขา ลำธาร ที่ราบ และอื่นๆ ตามพระวจนะของพระองค์  หลังจากที่พระเจ้าทรงวางแผนดังนี้แล้ว พระองค์ก็เริ่มฝากความหวังไว้กับมวลมนุษย์ตามแผนนั้น  พระองค์ทรงหวังว่าสักวันหนึ่งผู้คนจะสามารถกระทำการในฐานะผู้ดูแลมวลมนุษย์เหล่านี้ได้ ดูแลสรรพสิ่งที่มีอยู่ในโลก และสัตว์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่ง ตลอดจนสามารถทำเช่นนั้นอย่างมีแบบแผน ตามวิธีการ หลักเกณฑ์ และธรรมบัญญัติที่พระองค์ทรงวางไว้  แม้พระเจ้าจะทรงวางแผนการนี้และมีความมุ่งหวังเหล่านี้อยู่แล้ว แต่จุดหมายท้ายสุดของพระองค์ย่อมจะใช้เวลาเนิ่นนานมากกว่าจะสัมฤทธิ์ได้  นี่ไม่ใช่เรื่องที่สามารถสำเร็จลุล่วงได้ภายในเวลาสิบหรือยี่สิบปี หรือร้อยสองร้อยปี และแน่นอนว่าไม่ใช่ภายในเวลาหนึ่งหรือสองพันปี  นี่จะใช้เวลานานถึงหกพันปี  ในระหว่างนี้ มวลมนุษย์จำเป็นต้องมีประสบการณ์กับช่วงเวลาต่างๆ ยุค สมัย และพระราชกิจระยะต่างๆ ของพระเจ้า  พวกเขาต้องผ่านประสบการณ์กับดวงดาวที่เคลื่อนไปในชั้นฟ้า ทะเลที่กำลังเหือดแห้งและหินผาที่กำลังถล่มทลาย พวกเขาจำเป็นต้องมีประสบการณ์กับความเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน  จากมนุษย์กลุ่มแรกเพียงไม่กี่คน มวลมนุษย์ได้ผ่านประสบการณ์กับเรื่องใหญ่ๆ ทั้งดีและร้าย รวมทั้งความผันผวนและความเปลี่ยนแปลงของโลกนี้ จากนั้นผู้คนก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนและมีประสบการณ์ไปเรื่อยๆ การเกษตร เศรษฐกิจ วิถีชีวิต และวิถีการอยู่รอดของมวลมนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและก่อให้เกิดวิธีการใหม่ๆ  เฉพาะเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งและยุคหนึ่งแล้วเท่านั้น ผู้คนจึงจะสัมฤทธิ์ได้ถึงระดับที่พระเจ้าจะทรงพิพากษา ตีสอน และพิชิตพวกเขา ซึ่งเป็นระดับที่พระเจ้าจะทรงแสดงความจริง พระวจนะ และเจตนารมณ์ของพระองค์แก่พวกเขา  กว่าจะมาถึงขั้นนี้ มวลมนุษย์ย่อมผ่านประสบการณ์กับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับสรรพสิ่งในโลกนี้  แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้เกิดขึ้นแล้วทั้งบนชั้นฟ้าและในจักรวาลอีกด้วย  ความเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่องนี้เกิดและปรากฏขึ้นควบคู่กับการบริหารจัดการของพระเจ้าไปเรื่อยๆ  ใช้เวลายาวนานกว่าผู้คนจะมาถึงจุดที่พวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับการพิชิต การพิพากษา และการตีสอนจากพระองค์ รวมทั้งเสบียงจากพระวจนะของพระองค์  แต่นั่นก็ไม่เป็นไร พระเจ้าทรงรอได้ เพราะนั่นคือแผนการของพระเจ้า และเป็นความปรารถนาของพระองค์  พระเจ้าต้องรออยู่นานมากเพราะเป็นแผนการและความปรารถนาของพระองค์  จนถึงตอนนี้พระองค์ทรงรอคอยมาเนิ่นนานมากแล้วจริงๆ

หลังจากที่มวลมนุษย์ก้าวผ่านช่วงระยะต้นๆ ที่พวกเขาไม่รู้ความ หลงผิด และสับสนมาแล้ว พระเจ้าก็ทรงนำพวกเขาเข้าสู่ยุคธรรมบัญญัติ  แม้มวลมนุษย์จะเข้าสู่ยุคใหม่ ซึ่งเป็นยุคหนึ่งในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าแล้วก็ตาม แม้ผู้คนจะไม่ได้ใช้ชีวิตกันอย่างไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ได้มีชีวิตที่ไร้วินัยเหมือนฝูงแกะอีกต่อไปแล้วก็ตาม แม้พวกเขาจะเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่ชีวิตของพวกเขามีคำชี้แนะ คำสอน และบทบัญญัติของธรรมบัญญัติแล้วก็ตาม แต่ผู้คนก็รู้เพียงเรื่องง่ายๆ ไม่กี่อย่างตามที่ธรรมบัญญัติได้สอน บอกกล่าว หรือแจ้งพวกเขาเอาไว้ หรือเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วภายในขอบเขตที่เป็นชีวิตของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น การลักขโมยคืออะไร หรือการผิดประเวณีคืออะไร การฆาตกรรมคืออะไร ผู้คนจะต้องรับผิดชอบอย่างไรสำหรับการฆาตกรรม ควรมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านอย่างไร ผู้คนจะต้องรับผิดชอบอย่างไรเมื่อทำเช่นนี้หรือเช่นนั้น  มวลมนุษย์ออกจากรูปการณ์แรกเริ่มที่พวกเขาไม่รู้และไม่เข้าใจสิ่งใดเลย มาสู่การเรียนรู้ธรรมบัญญัติง่ายๆ บางข้อที่เป็นสาระสำคัญของการประพฤติปฏิบัติอย่างมนุษย์ที่พระเจ้าตรัสบอกพวกเขา  หลังจากที่พระเจ้าทรงประกาศธรรมบัญญัติเหล่านี้แล้ว ผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติก็รู้จักทำตามกฎเกณฑ์และยึดปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ ในความรู้สึกนึกคิดและในโลกภายในตัวพวกเขานั้น ธรรมบัญญัติทำหน้าที่เป็นเครื่องยับยั้งและชี้แนะการประพฤติปฏิบัติของพวกเขา มวลมนุษย์จึงมีสภาพเสมือนมนุษย์ขั้นต้น  ผู้คนเหล่านี้เข้าใจว่าพวกเขาควรทำตามกฎเกณฑ์บางอย่างและยึดปฏิบัติตามธรรมบัญญัติบางข้อ  ไม่ว่าพวกเขาจะทำตามกฎเกณฑ์ได้ดีเพียงใดและยึดปฏิบัติตามธรรมบัญญัติได้เคร่งครัดเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ผู้คนเหล่านี้ก็มีสภาพเสมือนมนุษย์มากกว่าคนที่มาก่อนหน้าธรรมบัญญัติ  ส่วนในแง่ของพฤติกรรมและชีวิตของพวกเขานั้น พวกเขาปฏิบัติตนและใช้ชีวิตตามมาตรฐานบางอย่าง และมีความยับยั้งชั่งใจอยู่บ้าง  พวกเขาไม่หลงทางและไม่ใช่ไม่รู้ความเหมือนที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว ไม่ไร้ซึ่งจุดหมายในชีวิตขนาดนั้นอีกต่อไป  ธรรมบัญญัติของพระเจ้าและถ้อยแถลงทั้งปวงที่พระเจ้าทรงประกาศแก่พวกเขา ได้หยั่งรากและมีฐานะบางอย่างในหัวใจของพวกเขา  มวลมนุษย์ไม่ได้จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าควรจะทำเช่นใดอีกต่อไป พวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง หรือไร้ความยับยั้งชั่งใจอีกต่อไป  แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ยังคงห่างไกลจากการเป็นประชากรตามแผนการและความปรารถนาของพระเจ้า  พวกเขายังคงไม่สามารถกระทำการในฐานะเจ้านายของสรรพสิ่ง  พระเจ้าจำเป็นต้องทรงรอคอยและอดทนอยู่ดี  แม้ผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติจะรู้จักนมัสการพระเจ้า แต่พวกเขาก็นมัสการไปตามรูปแบบเท่านั้น  ฐานะและภาพลักษณ์ของพระเจ้าในหัวใจส่วนลึกของพวกเขาต่างไปจากอัตลักษณ์และแก่นแท้จริงๆ ของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใช่มนุษย์ทรงสร้างที่พระเจ้าทรงต้องการอยู่ดี และยังไม่ใช่ประชากรตามนิมิตของพระเจ้าที่สามารถกระทำการในฐานะผู้ดูแลสรรพสิ่งได้  ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขานั้น แก่นแท้ อัตลักษณ์ และสถานะของพระเจ้าเป็นเพียงแก่นแท้ อัตลักษณ์ และสถานะขององค์ปกครองเหนือมวลมนุษย์เท่านั้น และผู้คนก็เป็นเพียงข้าแผ่นดินหรือผู้ที่ได้ประโยชน์จากองค์ปกครองนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น  ดังนั้น พระเจ้าจึงต้องทรงนำผู้คนเหล่านี้ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติและรู้จักแต่ธรรมบัญญัติ ให้เดินหน้าไปเรื่อยๆ อยู่ดี  ผู้คนเหล่านี้ไม่เข้าใจอะไรเลยนอกจากธรรมบัญญัติ พวกเขาไม่รู้ว่าควรปฏิบัติตนเช่นไรในฐานะผู้ดูแลสรรพสิ่ง ไม่รู้ว่าพระเจ้าคือใคร และไม่รู้จักวิธีดำรงชีวิตที่ถูกต้อง  พวกเขาไม่รู้วิธีวางตนและใช้ชีวิตตามข้อกำหนดของพระเจ้า และไม่รู้วิธีดำเนินชีวิตอย่างมีนัยสำคัญมากกว่าที่ทำอยู่ หรือรู้ว่าผู้คนควรไล่ตามเสาะหาสิ่งใดในชีวิต เป็นต้น  ผู้คนที่ดำรงชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติไม่รู้เรื่องเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง  นอกจากธรรมบัญญัติแล้ว ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับข้อกำหนดของพระเจ้า ความจริง หรือพระวจนะของพระเจ้าเลย  และเพราะเป็นเช่นนี้ พระเจ้าจึงต้องทรงยอมผ่อนปรนให้มวลมนุษย์ต่อไประหว่างที่พวกเขาดำรงอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ  ผู้คนเหล่านี้ก้าวหน้ากว่าคนที่มาก่อนหน้าพวกเขามาก—อย่างน้อยพวกเขาก็เข้าใจว่าบาปคืออะไร ว่าตนเองควรยึดปฏิบัติและเดินตามธรรมบัญญัติ และใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของธรรมบัญญัติ—แต่พวกเขาก็ยังคงห่างไกลจากข้อกำหนดของพระเจ้า  แม้กระนั้น พระเจ้าก็ยังคงหวังและรอคอยอย่างกระตือรือร้น

ด้วยพัฒนาการของยุคสมัยและพัฒนาการของมวลมนุษย์ ด้วยการทำงานของสรรพสิ่งและการจัดการเตรียมการแห่งพระหัตถ์ของพระเจ้า รวมทั้งอธิปไตย การชี้แนะ และการนำของพระองค์ มวลมนุษย์ สรรพสิ่ง และตัวจักรวาลเองจึงก้าวหน้าไปเรื่อยๆ  มวลมนุษย์ที่อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ หลังจากถูกธรรมบัญญัติควบคุมไว้หลายพันปี ก็ไม่สามารถค้ำชูธรรมบัญญัติได้อีกต่อไป และติดตามพระราชกิจของพระเจ้าเข้าสู่ยุคใหม่ที่พระเจ้าทรงริเริ่มไว้—ซึ่งก็คือยุคพระคุณ  เมื่อถึงยุคพระคุณ พระเจ้าก็เริ่มพระราชกิจของพระองค์โดยอิงตามข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ได้ส่งผู้เผยพระวจนะมาแจ้งเรื่องนี้ไว้แล้วล่วงหน้า  พระราชกิจระยะนี้ไม่ได้อ่อนโยนหรือเป็นที่ต้องการดังที่มนุษย์จินตนาการไว้ในมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา และไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าดีงามตามที่พวกเขาคิด เมื่อดูจากภายนอก ทุกสิ่งกลับเหมือนตรงข้ามกับคำเผยพระวจนะ  ท่ามกลางภาวะเหล่านี้ก็ได้ปรากฏข้อเท็จจริงที่มนุษย์ไม่มีวันนึกฝัน นั่นคือการที่เนื้อหนังซึ่งพระเจ้าทรงใช้ปรากฏในรูปมนุษย์—ซึ่งก็คือองค์พระเยซูเจ้า—ถูกตรึงกางเขน  ทั้งหมดนี้พ้นวิสัยที่มนุษย์จะคาดเดาได้  ดูจากภายนอก ทั้งหมดนี้เหมือนเป็นเหตุการณ์นองเลือดที่โหดร้าย เห็นแล้วสยดสยอง แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการที่พระเจ้าทรงสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติและเริ่มต้นยุคใหม่  ยุคใหม่นี้ก็คือยุคพระคุณที่พวกเจ้าทุกคนรู้จักกันอยู่ในตอนนี้  ดูเหมือนว่ายุคพระคุณจะเกิดขึ้นเพื่อท้าทายคำเผยพระวจนะของพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติ  แน่นอนว่ายุคนี้มาในรูปของการที่เนื้อหนังที่ปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าถูกตรึงกางเขนอีกด้วย  เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากและเป็นธรรมชาติอย่างยิ่งตามเงื่อนไขที่พร้อมจะให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น  นั่นคือวิถีทางที่พระเจ้าทรงใช้สิ้นสุดยุคเก่าและพาเข้าสู่ยุคใหม่—เพื่อนำมาซึ่งยุคใหม่  แม้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อแรกเริ่มยุคนี้จะโหดร้ายและนองเลือดอย่างยิ่ง เกินที่จะคาดคิดได้ อยู่ๆ ก็มาด้วยซ้ำ และไม่มีอะไรวิเศษหรืออ่อนโยนอย่างที่มนุษย์นึกฝันเอาไว้—แม้ฉากเปิดตัวยุคพระคุณจะมองแล้วสยดสยองและบีบหัวใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ควรยินดีในฉากนั้นคืออะไร?  การสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติย่อมหมายความว่าพระเจ้าไม่ต้องทรงรักษาพฤติกรรมต่างๆ ของมวลมนุษย์ไว้ภายใต้ธรรมบัญญัติอีกต่อไป หมายความว่ามวลมนุษย์ก้าวหน้าไปมากแล้ว อย่างสอดคล้องกับพระราชกิจของพระเจ้าและแผนการของพระองค์ และเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว  แน่นอนว่านี่ย่อมหมายความด้วยว่าวันเวลาแห่งการรอคอยของพระเจ้านั้นสั้นลงอีก  มวลมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่ เข้าสู่สมัยใหม่แล้ว ซึ่งหมายความว่าพระราชกิจของพระเจ้าได้ก้าวหน้าไปมาก และพระประสงค์ของพระองค์ก็จะค่อยๆ กลายเป็นจริงพร้อมกับการที่พระราชกิจของพระองค์ก้าวไปข้างหน้า  การมาถึงของยุคพระคุณไม่ได้น่ารักเท่าใดนักในช่วงแรก แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า มวลมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ซึ่งเป็นมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงต้องการ กำลังเข้าใกล้ข้อกำหนดและจุดหมายของพระองค์มากขึ้นทุกที  นี่เป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มและน่ายกย่อง เป็นสิ่งที่ควรยินดี  แม้มวลมนุษย์จะตอกตรึงพระเจ้าเข้ากับกางเขน ซึ่งเป็นภาพที่เห็นแล้วน่าเศร้าสำหรับมนุษย์ แต่ทันทีที่พระคริสต์ถูกตอกตรึงกับกางเขนก็หมายความว่ายุคถัดไปของพระเจ้า—ซึ่งก็คือยุคพระคุณ—มาถึงแล้ว และแน่นอนว่าพระราชกิจของพระเจ้าในยุคนั้นกำลังจะเริ่มต้น  ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังหมายความว่าพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ในตอนนั้นซึ่งก็คือการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วงแล้ว  พระเจ้าจะทรงเผชิญหน้าผู้คนของโลกอย่างผู้ชนะ ด้วยพระนามและรูปลักษณ์ใหม่ และจะมีการเปิดตัวและเผยเนื้อหาในพระราชกิจของพระองค์แก่มวลมนุษย์  พร้อมกันนั้น ในส่วนของมวลมนุษย์ พวกเขาก็จะไม่กังวลกับการละเมิดธรรมบัญญัติอยู่บ่อยๆ อีกต่อไป และจะไม่ถูกธรรมบัญญัติลงโทษเพราะละเมิดธรรมบัญญัติอีกต่อไป  การมาถึงของยุคพระคุณเปิดโอกาสให้มวลมนุษย์ออกจากพระราชกิจก่อนหน้านั้นของพระเจ้าและเข้าสู่สภาพแวดล้อมใหม่ล่าสุดของพระราชกิจ พร้อมขั้นตอนใหม่ในพระราชกิจและวิธีทรงงานแบบใหม่  นี่เปิดโอกาสให้มวลมนุษย์มีการเข้าสู่แบบใหม่และมีชีวิตใหม่ และแน่นอนว่าเปิดโอกาสให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง  เป็นเพราะการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า มนุษย์จึงสามารถมาเผชิญพระพักตร์พระเจ้าได้  มนุษย์ได้ยินพระสุรเสียงและพระวจนะที่แท้จริงและตามจริงของพระเจ้า มนุษย์มองเห็นวิธีการทรงพระราชกิจของพระองค์ รวมทั้งพระอุปนิสัยของพระองค์ เป็นต้น  มนุษย์ได้ยินได้ฟังทั้งหมดนี้ด้วยหูของตนและมองเห็นด้วยตาของตนเองครบทุกด้าน พวกเขามีประสบการณ์อย่างแจ่มชัดว่าพระเจ้าเสด็จมาในหมู่มนุษย์อย่างแท้จริง พระเจ้าทรงพบหน้ามนุษย์โดยตรงและโดยแท้ พระเจ้าเสด็จมาดำรงพระชนม์ท่ามกลางมวลมนุษย์จริงๆ  แม้พระราชกิจของพระเจ้าในการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งนั้นจะมีระยะเวลาไม่นาน แต่ก็มอบประสบการณ์ที่หนักแน่นและจับต้องได้ให้แก่มวลมนุษย์ในสมัยนั้นว่าแท้จริงแล้วการที่มนุษย์ดำรงชีวิตร่วมกับพระเจ้านั้นให้ความรู้สึกเช่นไร  และแม้คนที่มีประสบการณ์กับเรื่องดังกล่าวจะไม่ได้มีประสบการณ์เช่นนั้นนานนัก แต่พระเจ้าก็ตรัสพระวจนะไว้มากมายในการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งนั้น และพระวจนะเหล่านั้นก็มีความเฉพาะตัวมากทีเดียว  พระองค์ทรงพระราชกิจไว้มากมายเช่นกัน และมีผู้คนมากมายคอยติดตามพระองค์  แน่นอนว่ามวลมนุษย์ได้สิ้นสุดชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติของยุคเก่าไปแล้ว และมาสู่ยุคที่ใหม่หมดทุกอย่าง ซึ่งก็คือยุคพระคุณ

เมื่อเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว มวลมนุษย์ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตภายใต้การควบคุมของธรรมบัญญัติอีกต่อไป แต่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดใหม่และพระวจนะใหม่ๆ ของพระเจ้า  เป็นเพราะพระวจนะใหม่และข้อกำหนดใหม่ของพระเจ้า มวลมนุษย์จึงพัฒนาชีวิตใหม่ในรูปแบบที่ต่างออกไป เป็นชีวิตของการเชื่อในพระเจ้าซึ่งมีรูปแบบและเนื้อหาที่ต่างออกไป  ชีวิตนี้เข้าใกล้การทำได้ตามมาตรฐานของข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์มากกว่าชีวิตก่อนหน้าที่อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ  พระเจ้าทรงออกพระบัญญัติใหม่ให้แก่มวลมนุษย์ และพระองค์ทรงวางมาตรฐานใหม่ทางด้านพฤติกรรมให้แก่มวลมนุษย์ ซึ่งถูกต้องกว่าและเข้ากับมวลมนุษย์มากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนั้น รวมทั้งหลักเกณฑ์และหลักธรรมสำหรับทัศนะที่มนุษย์มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย สำหรับการวางตนและการกระทำของพวกเขา  พระวจนะที่พระองค์ตรัสในตอนนั้นไม่ได้เจาะจงเหมือนพระวจนะในตอนนี้ และไม่ได้มีจำนวนมากมายนักเหมือนที่มีอยู่ในตอนนี้ กระนั้น สำหรับมนุษย์ในสมัยนั้นที่เพิ่งออกมาจากการอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ พระวจนะและข้อกำหนดเหล่านั้นย่อมเพียงพอแล้ว  เมื่อพิจารณาวุฒิภาวะของผู้คนในเวลานั้นและสิ่งที่พวกเขามีอยู่กับตัว สิ่งที่พวกเขาอาจสัมฤทธิ์และเข้าถึงได้มีเพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้น  ตัวอย่างเช่น พระเจ้าตรัสบอกให้ผู้คนถ่อมใจ อดทน ยอมผ่อนปรน แบกกางเขน และอื่นๆ ทั้งหมดนี้คือข้อกำหนดที่เจาะจงกว่าเดิมซึ่งพระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ภายหลังธรรมบัญญัติ เป็นข้อกำหนดที่ระบุว่าควรใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์อย่างไร  นอกจากนั้น มนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติมาโดยตลอด ก็ยังได้ชื่นชมกระแสอันอุดมแห่งพระคุณ พร และสิ่งอื่นๆ ในทำนองเดียวกันที่หลั่งไหลมาจากพระเจ้าอย่างเสมอต้นเสมอปลายเพราะการมาถึงของยุคพระคุณ  แท้จริงแล้วมวลมนุษย์ในยุคนั้นมีชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ  ทุกคนมีความสุข และทุกคนก็เป็นแก้วตาดวงใจของพระเจ้า เป็นทารกในฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์  พวกเขาต้องรักษาพระบัญญัติ และนอกจากนี้ก็ต้องมีพฤติกรรมอันดีงามบางอย่าง ซึ่งสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและสิ่งที่มนุษย์คิดฝันเอาไว้ แต่สำหรับมวลมนุษย์แล้ว มีการสุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้ามากขึ้น  ตัวอย่างเช่น ผู้คนได้รับการรักษาให้หายจากโรคที่เกิดจากการครอบงำของปีศาจ และพวกปีศาจเลวทรามและวิญญาณชั่วในตัวพวกเขาก็ถูกขับไล่  เมื่อผู้คนเดือดร้อนหรือต้องการความช่วยเหลือ พระเจ้าก็จะทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์แก่พวกเขาเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้พวกเขาหายจากโรคต่างๆ เนื้อหนังของพวกเขาก็อิ่มหนำสำราญ พวกเขาได้รับอาหารและเสื้อผ้า  มีพระคุณและพรให้มนุษย์ได้ชื่นชมมากมายนักในยุคนั้น  นอกจากการยึดปฏิบัติตามพระบัญญัติโดยแท้แล้ว อย่างมากที่สุด มวลมนุษย์ก็ต้องอดทน อดกลั้น เปี่ยมรัก เป็นต้น  มนุษย์ไม่ได้ระแคะระคายเรื่องอื่นใดที่เกี่ยวพันกับความจริงหรือข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์  เป็นเพราะมนุษย์ตั้งใจอย่างเต็มที่ที่จะสุขสำราญกับพระคุณและพรจากพระเจ้า และเพราะสัญญาที่องค์พระเยซูเจ้าประทานแก่มนุษย์ในสมัยนั้น มนุษย์จึงเริ่มติดนิสัยสุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้าอย่างไม่รู้จบ  มวลมนุษย์คิดไปว่าถ้าพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ควรได้ชื่นชมพระคุณจากพระเจ้า และนั่นก็เป็นส่วนที่ตนพึงมีอย่างถูกต้องชอบธรรม  แต่พวกเขาไม่รู้จักนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง หรือดำรงสถานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดี  และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะนบนอบพระเจ้าอย่างไร จะจงรักภักดีต่อพระองค์อย่างไร หรือยอมรับพระวจนะของพระองค์มาใช้เป็นหลักการของทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ของการวางตนและการกระทำของพวกเขาอย่างไร  มนุษย์ไม่รู้เรื่องดังกล่าวเท่าใดนัก  และนอกเหนือจากการสุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้าเป็นปกติแล้ว มนุษย์ก็อยากเข้าสู่สวรรค์เป็นปกติหลังการตาย และสุขสำราญกับพรอันดีงามอยู่ในที่นั้นร่วมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น มวลมนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคพระคุณ ซึ่งมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพระคุณและพรต่างๆ กลับเชื่ออย่างผิดๆ ว่าพระเจ้าเป็นเพียงพระเจ้าผู้ทรงกรุณาและเปี่ยมรัก แก่นแท้ของพระองค์คือความกรุณาและความใจดีมีเมตตา ไม่มีสิ่งอื่น  สำหรับพวกเขาแล้ว ความกรุณาและความใจดีมีเมตตาเป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์ สถานะ และแก่นแท้ของพระเจ้า สำหรับพวกเขาแล้วความจริง หนทาง และชีวิตหมายถึงพระคุณและพรจากพระเจ้า หรือบางทีก็อาจจะเป็นเพียงวิธีแบกกางเขนและเดินไปบนเส้นทางแห่งกางเขนเท่านั้น  ความรู้และความสนใจที่ผู้คนมีในพระเจ้า รวมทั้งความสนใจและความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับมวลมนุษย์และตนเองมีอยู่เพียงเท่านี้ในยุคพระคุณ  ดังนั้น เมื่อหันกลับมาดูสาเหตุและรากเหง้า แท้จริงแล้วอะไรทำให้เกิดรูปการณ์เหล่านี้?  ไม่มีใครผิด  เจ้าไม่สามารถโทษพระเจ้าว่าไม่ทรงพระราชกิจหรือไม่ตรัสให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นหรือถ้วนถี่ขึ้น และเจ้าก็ไม่สามารถผลักความรับผิดชอบไปให้มนุษย์เช่นกัน  เพราะเหตุใด?  มนุษย์คือมวลมนุษย์ทรงสร้าง เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  พวกเขาพ้นจากธรรมบัญญัติเข้าสู่ยุคพระคุณ  ไม่ว่ามนุษย์จะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามากี่ปีตลอดเวลาที่พระราชกิจคืบหน้าไป สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ สิ่งที่พระองค์ทรงทำ ก็คือสิ่งที่มนุษย์สามารถได้ไว้และเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถรู้ได้  แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว สิ่งที่พระเจ้าไม่ได้ทรงทำ สิ่งที่พระองค์ไม่ได้ตรัส และสิ่งที่พระองค์ไม่ได้ทรงเผยให้เห็น มวลมนุษย์ย่อมไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจหรือรู้เรื่องนั้นๆ ได้  แต่เมื่อดูรูปการณ์ตามจริงและมองภาพรวมแล้ว เมื่อมวลมนุษย์ที่ก้าวหน้ามาหลายพันปีเข้าสู่ยุคพระคุณ ความเข้าใจของพวกเขาก็มีได้อย่างมากเพียงเท่านั้น และพระเจ้าก็ทรงพระราชกิจดังกล่าวได้เท่าที่พระองค์ทรงทำอยู่เท่านั้น  นี่เป็นเพราะสิ่งที่มวลมนุษย์ซึ่งเพิ่งพ้นจากธรรมบัญญัติต้องการ ไม่ใช่การตีสอนหรือพิพากษา ไม่ใช่การพิชิต และยิ่งไม่ใช่การทำให้เพียบพร้อม  มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่มวลมนุษย์ต้องการในเวลานั้น  นั่นคืออะไร?  เครื่องบูชาลบล้างบาป ซึ่งเป็นพระโลหิตอันล้ำค่าของพระเจ้า  พระโลหิตอันล้ำค่าของพระเจ้า—เครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นคือสิ่งเดียวที่มวลมนุษย์ต้องการในยามที่พวกเขาพ้นจากยุคธรรมบัญญัติ  ดังนั้น ในยุคนั้น เป็นเพราะความต้องการและรูปการณ์ตามจริงของมวลมนุษย์ พระราชกิจที่พระเจ้าต้องทำในตอนนั้นจึงเป็นการประทานพระโลหิตอันล้ำค่าจากการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์เองในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาป  นั่นเป็นทางเดียวที่จะไถ่มวลมนุษย์ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติได้  ด้วยการใช้พระโลหิตอันล้ำค่าของพระองค์จ่ายราคาและเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป พระเจ้าจึงได้ทรงลบล้างบาปของมวลมนุษย์  และหลังจากที่บาปของพวกเขาถูกลบล้างแล้วเท่านั้น มนุษย์จึงมีสถานะที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยไม่มีบาป ยอมรับพระคุณและการชี้นำอย่างต่อเนื่องจากพระองค์  พระเจ้าประทานพระโลหิตอันล้ำค่าแก่มวลมนุษย์ และเมื่อได้ประทานพระโลหิตแก่มวลมนุษย์แล้ว มวลมนุษย์จึงสามารถได้รับการไถ่  แล้วมวลมนุษย์ที่เพิ่งได้รับการไถ่สามารถเข้าใจอะไรได้บ้าง?  มวลมนุษย์ที่เพิ่งได้รับการไถ่ต้องการอะไร?  มวลมนุษย์ย่อมจะไม่มีความสามารถที่จะยอมรับสิ่งนั้นได้ถ้าพวกเขาไม่ถูกพิชิต พิพากษา และตีสอนทันที  พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะยอมรับได้เช่นนั้น และพวกเขาก็ไม่อยู่ในภาวะที่จะสามารถเข้าใจทั้งหมดนี้ได้  ดังนั้น นอกจากเครื่องบูชาลบล้างบาปของพระเจ้า รวมทั้งพระคุณ พร ความอดทนอดกลั้น ความกรุณา และความใจดีมีเมตตาของพระองค์แล้ว มวลมนุษย์ตามที่พวกเขาเป็นในตอนนั้นสามารถยอมรับได้เพียงข้อกำหนดง่ายๆ ไม่กี่ข้อที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์เท่านั้น  ไม่มากไปกว่านั้น  ส่วนความจริงทั้งปวงที่เกี่ยวพันกับความรอดของมนุษย์ในระดับที่ลึกกว่า—ว่ามวลมนุษย์มีแนวคิดและทัศนะใดบ้างที่ผิด พวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามใดบ้าง มีแก่นแท้อะไรบ้างที่เป็นกบฏต่อพระเจ้า อะไรคือแก่นแท้ที่เป็นของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มวลมนุษย์ค้ำชูดังที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปในระยะนี้ ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างไร เป็นต้น—มวลมนุษย์ในสมัยนั้นไม่อาจเข้าใจได้เลย  ในรูปการณ์เช่นนั้น พระเจ้าได้แต่เตือนสอนและวางข้อกำหนดให้แก่มวลมนุษย์ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด ด้วยวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด พร้อมข้อกำหนดในระดับพื้นฐานที่สุดสำหรับการวางตนเท่านั้น  เพราะฉะนั้น มวลมนุษย์ในยุคพระคุณจึงสามารถชื่นชมแต่พระคุณเท่านั้นและชื่นชมพระโลหิตอันล้ำค่าของพระเจ้าได้อย่างไร้ขีดจำกัดในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาป  อย่างไรก็ดี ในยุคพระคุณได้มีการทำให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำเร็จลุล่วงไปแล้ว  สิ่งนั้นคืออะไร?  คือการที่มวลมนุษย์ซึ่งพระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด ได้รับการอภัยบาปด้วยพระโลหิตอันล้ำค่าของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่ควรค่าแก่การฉลอง เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าทรงดำเนินการในยุคพระคุณ  แม้บาปของมนุษย์จะได้รับการอภัย และมนุษย์จะไม่มาเบื้องหน้าพระเจ้าในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่มีบาปหรือในฐานะคนบาปอีกต่อไป แต่กลับได้รับการอภัยบาปด้วยเครื่องบูชาลบล้างบาปและมีคุณสมบัติที่จะมาเฉพาะพระพัตกร์พระเจ้าแล้วในตอนนี้ ทว่าสัมพันธภาพที่มนุษย์มีกับพระเจ้ายังไปไม่ถึงระดับสัมพันธภาพที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างมีกับพระผู้สร้าง  ยังไม่ใช่สัมพันธภาพที่มวลมนุษย์ทรงสร้างมีกับพระผู้สร้าง  มวลมนุษย์ที่อยู่ภายใต้พระคุณยังคงห่างไกลจากบทบาทที่พระเจ้าทรงกำหนดให้พวกเขามีมากนัก ซึ่งก็คือบทบาทของการเป็นเจ้านายและผู้ดูแลสรรพสิ่ง  ดังนั้นพระเจ้าจึงต้องรอ พระองค์ต้องทรงอดทน  ที่ว่าพระเจ้าต้องทรงรอนี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่ามวลมนุษย์ในตอนนั้นต้องดำเนินชีวิตท่ามกลางพระคุณของพระเจ้าต่อไป ท่ามกลางวิธีทรงพระราชกิจในแบบต่างๆ ของพระเจ้าในยุคพระคุณ  พระเจ้าทรงต้องการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเกินหยิบมือหนึ่งหรือมากกว่าเผ่าพันธุ์หนึ่งมากนัก ความรอดของพระองค์ห่างไกลจากการจำกัดอยู่เพียงเผ่าพันธุ์เดียวหรือคนในนิกายเดียว  ดังนั้น ยุคพระคุณจึงต้องใช้เวลาหลายพันปีเหมือนกับยุคธรรมบัญญัติ  มวลมนุษย์จำเป็นต้องดำรงชีวิตต่อไปในยุคใหม่ที่นำโดยพระเจ้า ปีแล้วปีเล่า รุ่นแล้วรุ่นเล่า  มนุษย์ต้องเป็นแบบนี้อยู่กี่ยุค—ดวงดาวต้องเปลี่ยนตำแหน่งไปกี่ครั้ง ทะเลต้องเหือดแห้งและหินผาต้องทลายไปกี่แห่ง มหาสมุทรต้องกลายเป็นแผ่นดินอันอุดมไปกี่แห่ง พวกเขาต้องก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงนานัปการของมวลมนุษย์ในยุคต่างๆ พร้อมความเปลี่ยนแปลงนานาที่เกิดขึ้นกับสรรพสิ่งนับไม่ถ้วนบนแผ่นดินโลก  ระหว่างที่พวกเขาผ่านประสบการณ์กับทั้งหมดนี้ พระวจนะของพระเจ้า พระราชกิจของพระองค์ และข้อเท็จจริงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงไถ่มวลมนุษย์ในยุคพระคุณ ก็เผยแผ่ไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก ทั่วถนนและตรอกซอยทุกเส้น สู่ทุกมุมโลก จนเป็นที่รู้จักของทุกครัวเรือน  นั่นคือตอนที่ยุคนั้น—ยุคพระคุณซึ่งมาหลังยุคธรรมบัญญัติ—ถึงเวลาปิดตัว  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงดำเนินไว้ในช่วงนั้นไม่ใช่การรอคอยอยู่เงียบๆ เท่านั้น ระหว่างที่ทรงรอ พระองค์ก็ทรงพระราชกิจในตัวมวลมนุษย์ของยุคพระคุณในหนทางต่างๆ กัน  พระองค์ยังคงทรงพระราชกิจของพระองค์ที่มีพระคุณเป็นฐานต่อไป ประทานพระคุณและพรแก่มวลมนุษย์ของยุคนั้น เพื่อให้การกระทำ พระราชกิจ และพระวจนะของพระองค์ ข้อเท็จจริงเรื่องที่พระองค์ทรงพระราชกิจ ตลอดจนเจตนารมณ์ของพระองค์ในยุคพระคุณ ไปถึงหูทุกคนที่พระองค์จะทรงเลือก  พระองค์ทรงทำให้ทุกคนที่พระองค์จะทรงเลือกสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องบูชาลบล้างบาปของพระองค์ พวกเขาจะได้ไม่มาเฉพาะพระพัตกร์พระองค์ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่มีบาป เสมือนคนบาปอีกต่อไป  และแม้สัมพันธภาพที่มนุษย์มีกับพระเจ้าจะไม่ใช่สัมพันธภาพของการไม่เคยมองเห็นพระองค์อย่างในยุคธรรมบัญญัติอีกต่อไป แต่พ้นสภาพนั้นมาอีกขั้นหนึ่ง เป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้เชื่อกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ระหว่างคริสตชนกับพระคริสต์ แต่สัมพันธภาพเช่นนั้นก็ไม่ใช่สัมพันธภาพที่พระเจ้าทรงต้องการในท้ายที่สุดระหว่างมวลมนุษย์กับพระเจ้า ระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้างอยู่ดี  เห็นได้ชัดว่าในเวลานั้นสัมพันธภาพของทั้งสองฝ่ายยังคงห่างไกลจากสัมพันธภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้างอยู่มากทีเดียว แต่เมื่อเทียบกับสัมพันธภาพระหว่างมวลมนุษย์กับพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติแล้ว กลับแสดงให้เห็นความก้าวหน้าอย่างมาก  นี่เป็นเรื่องที่ควรเบิกบานและควรฉลอง  แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น พระเจ้าก็ต้องทรงนำมวลมนุษย์อยู่ดี พระองค์ต้องทรงนำมวลมนุษย์ที่หัวใจส่วนลึกเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า รวมทั้งเรื่องคิดฝัน คำร้องขอ ข้อเรียกร้อง ความเป็นกบฏ และการต้านทาน ให้ก้าวไปข้างหน้า  เพราะเหตุใด?  เพราะมวลมนุษย์ที่เป็นเช่นนั้นอาจรู้จักชื่นชมพระคุณของพระเจ้า และอาจรู้ว่าพระเจ้าทรงกรุณาและเปี่ยมรัก แต่นอกเหนือจากนั้น พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอัตลักษณ์ สถานะ และแก่นแท้จริงๆ ของพระเจ้าเลย  เป็นเพราะมวลมนุษย์ดังกล่าวถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว แม้พวกเขาจะได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้า แต่แก่นแท้ของพวกเขา มโนคติอันหลงผิดและความคิดต่างๆ ที่ก้นบึ้งของหัวใจของพวกเขา ยังคงสวนทางกับพระเจ้าและต่อต้านพระองค์  มนุษย์ไม่รู้ว่าจะนบนอบพระเจ้าอย่างไรหรือลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างไร และยิ่งไม่รู้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่น่าพอใจได้อย่างไร  และยิ่งไปกว่านั้น แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าจะนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างอย่างไร  ถ้าส่งมอบสรรพสิ่งในโลกให้แก่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม ซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามถึงขนาดนั้น ก็จะเหมือนการส่งมอบทั้งหมดนั้นให้แก่ซาตาน  ผลที่ตามมาย่อมจะเหมือนกันทุกอย่าง ไม่มีอะไรให้ใช้แยกแยะทั้งสองออกจากกันได้  ดังนั้น พระเจ้าจึงต้องทรงพระราชกิจของพระองค์ต่อไปอยู่ดี ต้องทรงนำมวลมนุษย์ต่อไปให้เข้าสู่พระราชกิจระยะถัดไปที่พระองค์จะทรงทำ  พระราชกิจระยะนั้นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงรอคอยมานาน เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงมุ่งหวังมานาน และเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงจ่ายราคาเป็นความอดทนของพระองค์เมื่อก่อนหน้านั้นอยู่นาน

คราวนี้เมื่อมวลมนุษย์ได้ชื่นชมพระคุณอันอุดมและมากพอของพระเจ้ากันแล้ว ในที่สุดไม่ว่าจะมองจากมุมไหน โลกนี้และมวลมนุษย์นี้ก็มาถึงระดับที่พระเจ้าจะทรงพระราชกิจที่แท้จริงของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดแล้ว  พวกเขามาถึงยุคที่พระเจ้าจะทรงพิชิต ตีสอน และพิพากษามวลมนุษย์ ยุคที่พระองค์จะทรงแสดงความจริงมากมายเพื่อทำให้มวลมนุษย์เพียบพร้อม และได้มวลมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่สามารถเป็นผู้ดูแลสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นได้  เมื่อยุคนี้มาถึง พระเจ้าก็ไม่ต้องทรงอดทนอีกต่อไป และไม่ต้องนำมวลมนุษย์ของยุคพระคุณให้ใช้ชีวิตอยู่ในพระคุณอีกแล้ว  พระองค์ไม่ต้องทรงจัดหาให้แก่มวลมนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในพระคุณ หรือเลี้ยงดูพวกเขา หรือเฝ้าสอดส่องดูแล หรือปกปักรักษาพวกเขาอีกต่อไป พระองค์ไม่ต้องทรงจัดหาพระคุณและพรให้แก่มวลมนุษย์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและไร้เงื่อนไขอีกต่อไป พระองค์ไม่ต้องทรงอดทนอย่างไร้เงื่อนไขกับมวลมนุษย์ที่อยู่ด้วยพระคุณอีกต่อไปในยามที่พวกเขาร้องขอพระคุณจากพระองค์อย่างละโมบ ไร้ความละอายแก่ใจ และไม่นมัสการพระองค์แต่อย่างใด  สิ่งที่พระเจ้าจะทำแทนที่การนี้ก็คือแสดงเจตนารมณ์ของพระองค์ พระอุปนิสัย เสียงที่แท้จริงแห่งพระทัยของพระองค์ และแก่นแท้ของพระองค์  ในช่วงนี้พระเจ้าทรงพรั่งพรูและแสดงพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระองค์—ซึ่งเป็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรม พลางประทานความจริงและพระวจนะนานาประการที่มวลมนุษย์ต้องการให้แก่พวกเขาไปด้วย  และในการแสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์นั้น ไม่ใช่ว่าพระองค์จะตรัสคำพิพากษาและคำกล่าวโทษไม่กี่ประโยคอย่างไร้ความรู้สึกแล้วก็จบไป แต่พระองค์กลับใช้ข้อเท็จจริงมาเปิดโปงความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ แก่นแท้ และความน่าเกลียดน่ากลัวเยี่ยงซาตานของพวกเขา  พระองค์ทรงเปิดโปงความเป็นกบฏ การต้านทาน และการปฏิเสธที่มวลมนุษย์มีต่อพระองค์ รวมทั้งมโนคติอันหลงผิดต่างๆ ที่พวกเขามีต่อพระองค์และการทรยศพระองค์  ในช่วงนี้ สิ่งที่พระองค์แสดงออกยิ่งอยู่นอกเหนือความกรุณาและความใจดีมีเมตตาที่พระองค์ทรงหยิบยื่นให้แก่มวลมนุษย์ กล่าวคือ เป็นความเกลียดชัง ความขยะแขยง ความรังเกียจ และการกล่าวโทษที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์  การพลิกหรือเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมืออย่างฉับพลันในพระอุปนิสัยและฐานะของพระเจ้านี้ทำให้มวลมนุษย์ตั้งตัวไม่ทันและไม่อาจยอมรับได้  พระเจ้าแสดงพระอุปนิสัยและพระวจนะของพระองค์ด้วยแรงพลังทั้งมวลอันฉับพลันของอสุนีบาต  แน่นอนว่าพระองค์ยังประทานทุกสิ่งที่มวลมนุษย์ต้องการด้วยความอดทนและอดกลั้นอย่างยิ่งอีกด้วย  พระเจ้าตรัสและแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์แก่มวลมนุษย์ในหนทางต่างๆ และจากแง่มุมต่างๆ โดยใช้วิธีปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่เหมาะสม ถูกควร เป็นรูปธรรม และตรงไปตรงมาที่สุด จากจุดยืนของพระองค์ที่เป็นพระผู้สร้าง  นั่นคือวิถีของทั้งการตรัสและการทรงพระราชกิจที่พระเจ้าทรงถวิลหารอคอยมาตลอดหกพันปี  หกพันปีแห่งการถวิลหา หกพันปีแห่งการรอคอย—เดือนปีเหล่านี้บอกเล่าความอดทนนานหกพันปีของพระเจ้า บรรจุความมุ่งหวังนานหกพันปีของพระองค์เอาไว้  มวลมนุษย์ยังคงเป็นมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง แต่เมื่อก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงนานหกพันปีที่กลืนกินท้องทะเลและเคลื่อนย้ายดวงดาวอย่างไม่หยุดหย่อนมาแล้ว พวกเขาก็ไม่ใช่มวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาเมื่อปฐมกาล พร้อมแก่นแท้แบบเดียวกันนั้นอีกต่อไป  เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าเริ่มทรงพระราชกิจในวันนี้ มวลมนุษย์ที่พระองค์ทอดพระเนตรในตอนนี้ แม้จะเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงคาดหวังไว้ แต่ก็เป็นที่ชิงชังของพระองค์เช่นกัน และแน่นอนว่าน่าสลดใจเกินกว่าที่พระเจ้าจะทรงมอง  ตรงนี้เรากล่าวไว้สามข้อ พวกเจ้าจำได้หรือไม่?  มวลมนุษย์ที่เป็นเช่นนี้ แม้พวกเขาจะเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงคาดหวังไว้ แต่ก็เป็นที่ชิงชังของพระองค์ด้วย  อีกข้อคืออะไร?  (พวกเขาน่าสลดใจเกินกว่าที่พระเจ้าจะทรงมอง)  พวกเขาน่าสลดใจเกินกว่าที่พระเจ้าจะทรงมองอีกด้วย  สามข้อนี้ล้วนมีอยู่ในตัวมนุษย์ในเวลาเดียวกัน  แล้วพระเจ้าทรงคาดหวังอะไร?  ทรงคาดหวังว่าหลังจากที่มีประสบการณ์กับธรรมบัญญัติแล้วก็การไถ่แล้ว ในที่สุดมวลมนุษย์ดังกล่าวย่อมจะเดินมาจนถึงทุกวันนี้บนรากฐานที่เป็นการเข้าใจธรรมบัญญัติและพระบัญญัติสำคัญๆ บางข้อที่มนุษย์ควรค้ำชู และไม่ใช่มวลมนุษย์ซื่อๆ ที่หัวใจส่วนลึกว่างเปล่าเหมือนที่อาดัมและเอวาเป็นอีกต่อไป  แต่พวกเขาพอจะมีสิ่งใหม่อยู่ในหัวใจของตนบ้าง  สิ่งเหล่านั้นก็คือสิ่งที่พระเจ้าทรงคาดหวังให้มวลมนุษย์มี  ทว่าพร้อมกันนั้น มวลมนุษย์ก็เป็นมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงชิงชังอีกด้วย  แล้วพระเจ้าทรงชิงชังอะไร?  พวกเจ้าทุกคนรู้มิใช่หรือ?  (ความเป็นกบฏและการต้านทานของมนุษย์)  มวลมนุษย์เต็มไปด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของซาตาน มีชีวิตที่ชวนให้เกลียดกลัว มนุษย์ก็ไม่ใช่ ปีศาจก็ไม่เชิง  มวลมนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงคนซื่อที่ไม่สามารถทนการล่อใจของงูได้อีกต่อไปแล้ว  แม้มวลมนุษย์จะมีความคิดและทัศนะของตนเอง มีความเห็นที่แน่ชัด และวิธีมองเหตุการณ์และสิ่งต่างๆ นานาเป็นของตนเอง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเลยในทัศนะที่มวลมนุษย์มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย หรือในการวางตนและการกระทำของพวกเขา ที่เป็นดังที่พระเจ้าทรงต้องการ  มวลมนุษย์สามารถคิดและมีทัศนะ พวกเขามีเหตุผล วิธีการ และท่าทีสำหรับการกระทำของตนเอง แต่ทุกสิ่งที่พวกเขามีนี้ล้วนมีต้นกำเนิดเป็นความเสื่อมทรามของซาตาน  ยึดตามทัศนะและปรัชญาของซาตานทั้งสิ้น  เมื่อมนุษย์มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หัวใจของพวกเขาไร้ซึ่งร่องรอยของการนบนอบพระเจ้า และไม่มีความจริงใจแต่อย่างใด  มนุษย์เต็มไปด้วยพิษของซาตาน มีการศึกษา ความคิดอ่าน และอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมันอยู่เต็มตัว  นี่บ่งชี้สิ่งใด?  พระเจ้าต้องตรัสพระวจนะมากมายและทรงพระราชกิจเพื่อมนุษย์เป็นอันมากเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงวีถีความเป็นอยู่และท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า—และแน่นอนว่าที่ยิ่งชัดแจ้งก็คือ เพื่อเปลี่ยนแปลงหนทางและหลักเกณฑ์ที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ใช้วางตนและกระทำการอีกด้วย  ก่อนที่ทั้งหมดนี้จะส่งผล มวลมนุษย์ก็คือสิ่งที่น่าชิงชังในสายพระเนตรของพระเจ้า  เวลาที่พระองค์ทรงช่วยสิ่งที่พระองค์ทรงชิงชังให้รอด พระเจ้าต้องทรงใช้อะไร?  มีความเบิกบานในพระทัยของพระองค์หรือไม่?  มีความสุขบ้างหรือไม่?  มีการปลอบประโลมบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่มีการปลอบประโลมเลย และไม่มีความสุขใดๆ  พระทัยของพระองค์เต็มไปด้วยความเกลียดชัง  สิ่งเดียวที่พระเจ้าจะทรงทำในรูปการณ์เช่นนั้น นอกเหนือจากการตรัสซึ่งเป็นการตรัสอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแล้ว ก็คือการใช้ความอดทน  นี่คือข้อที่สองซึ่งก็คือความรู้สึกที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์เช่นที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็น—ความชิงชัง  ข้อที่สามก็คือพวกเขาน่าสลดใจเกินจะมองได้  เมื่อคำนึงถึงเจตนาดั้งเดิมของพระเจ้าในการสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา สัมพันธภาพที่พระเจ้าทรงมีกับมนุษย์ก็คือสัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่กับลูก เป็นสัมพันธภาพของครอบครัว  สัมพันธภาพในมิตินี้อาจไม่เหมือนความสัมพันธ์ทางสายเลือดของมวลมนุษย์ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว นี่เป็นยิ่งกว่าความสัมพันธ์ทางเนื้อหนังและสายโลหิตของมวลมนุษย์  มวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาในตอนแรกเริ่มนั้นมีสภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากมวลมนุษย์ที่พระองค์ทอดพระเนตรมองในยุคสุดท้าย  ในปฐมกาล มนุษย์มีสภาพเสมือนเด็กซื่อๆ และแม้พวกเขาจะไม่รู้ความ แต่หัวใจของพวกเขาก็บริสุทธิ์และสะอาด  คนเราสามารถมองเห็นความใสกระจ่างในดวงตาของพวกเขาและความใสสะอาดในหัวใจส่วนลึกของพวกเขา  ไม่มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามนานาชนิดที่มนุษย์มีในปัจจุบัน พวกเขาไม่มีการดื้อแพ่ง ความโอหัง ความเลว หรือการหลอกลวง และแน่นอนว่าไม่มีอุปนิสัยที่รังเกียจความจริง  จากวาจาและการกระทำของมนุษย์ จากดวงตาและใบหน้าของพวกเขา คนเราสามารถมองเห็นว่ามวลมนุษย์เหล่านั้นคือมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาในปฐมกาล และเป็นมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงโปรดปราน  แต่ท้ายที่สุด เมื่อพระเจ้าทรงมองมวลมนุษย์อีกครั้ง หัวใจส่วนลึกของมนุษย์ก็ไม่ได้ใสสะอาดเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ดวงตาของพวกเขาไม่ได้ใสกระจ่างอีกต่อไป  หัวใจของมนุษย์เต็มไปด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของซาตาน และเมื่อพวกเขาเข้าเฝ้าพระเจ้า ใบหน้า วาจา และการกระทำของพวกเขาก็เป็นที่รังเกียจของพระองค์  อย่างไรก็ดี มีข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ และเป็นเพราะข้อเท็จจริงนี้ พระเจ้าจึงตรัสว่ามวลมนุษย์ดังกล่าวน่าสลดใจเกินกว่าที่พระองค์จะทรงมอง  ข้อเท็จจริงนี้มีว่าอย่างไร?  สิ่งที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้มีดังนี้ พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง พวกเขามาเฉพาะพระพัตกร์พระองค์อีกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่มวลมนุษย์ที่เคยเป็นเมื่อครั้งปฐมกาลอีกต่อไป  ตั้งแต่ดวงตาไปจนถึงความนึกคิดของมนุษย์ เรื่อยลงไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ พวกเขาเต็มไปด้วยการต้านทานและการทรยศพระเจ้า จากดวงตาไปจนถึงความนึกคิดของมนุษย์ เรื่อยลงไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ มีแต่อุปนิสัยของซาตานเท่านั้นที่พรั่งพรูออกมา  อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของมนุษย์ที่เป็นการดื้อแพ่ง ความโอหัง การหลอกลวง ความเลว และการรังเกียจความจริง พรั่งพรูออกมาจากทั้งสายตาและสีหน้าของพวกเขาโดยปราศจากการอำพรางไปเอง  แม้ในยามที่อยู่เบื้องหน้าพระวจนะของพระเจ้าหรืออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยตรง อุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของมนุษย์ และแก่นแท้ของพวกเขาที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ก็พรั่งพรูออกมาโดยไร้การอำพรางเช่นนี้  มีเพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่สามารถบรรยายได้ว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนี้ทำให้พระเจ้ารู้สึกอย่างไร นั่นก็คือ “น่าสลดใจเกินจะมอง”  มวลมนุษย์ที่เดินมาจนถึงทุกวันนี้และยุคนี้ ได้มาถึงระดับที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้สำหรับพระราชกิจระยะที่สามของพระองค์ซึ่งเป็นระยะสุดท้าย คือพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์ ทั้งในด้านสภาพแวดล้อมโดยรวมของมนุษย์และในด้านสถานการณ์และภาวะในแต่ละแง่มุมที่เฉพาะตัวซึ่งผู้คนพบตนเองอยู่ในนั้น—ทว่าแม้พระเจ้าจะเต็มไปด้วยความคาดหวังในตัวมวลมนุษย์เหล่านี้ แต่พระองค์ก็ทรงเต็มไปด้วยความเกลียดชังในตัวพวกเขาเช่นกัน  แน่นอนว่าพระเจ้ายังคงทรงรู้สึกว่าพวกเขาน่าสลดใจเกินจะมองได้เพราะพระองค์ทรงมองเห็นความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า  กระนั้นสิ่งที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองก็คือว่าพระเจ้าไม่จำเป็นต้องทรงอดทนและรอคอยอย่างไร้ผลแทนมนุษย์อีกต่อไป  สิ่งที่พระองค์ต้องทรงทำก็คือพระราชกิจที่ทรงรอคอยมาตลอดหกพันปี พระราชกิจที่พระองค์ทรงตระเตรียมมาตลอดหกพันปี และมุ่งหวังมานานหกพันปี นั่นคือพระราชกิจแห่งการแสดงพระวจนะของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์ และความจริงทุกประการ  แน่นอนว่านี่หมายความอีกด้วยว่าในหมู่มวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรนี้ จะมีกลุ่มคนที่พระเจ้าทรงรอคอยมานานแสนนาน กลุ่มคนที่จะเป็นผู้ดูแลสรรพสิ่งและกลายเป็นเจ้านายของสรรพสิ่ง  เมื่อดูสถานการณ์โดยรวม ทุกสิ่งทุกอย่างออกห่างจากสิ่งที่เคยคาดหวังเอาไว้มากนัก ทุกสิ่งล้วนเจ็บปวดและน่าเศร้าใจยิ่ง  แต่สิ่งที่คู่ควรกับความสุขของพระเจ้ามากที่สุดก็คือว่า วันเวลาที่มวลมนุษย์ตกอยู่ภายใต้การถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามได้สิ้นสุดลงแล้วด้วยกาลเวลาที่ล่วงเลยไปและด้วยยุคที่แตกต่างออกไป  มวลมนุษย์ได้ก้าวผ่านบัพติศมาจากธรรมบัญญัติและการไถ่ของพระเจ้า และในที่สุดพวกเขาก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายของพระราชกิจที่พระเจ้าจะทรงทำ กล่าวคือ ขั้นตอนที่มวลมนุษย์ได้รับการช่วยให้รอดอันเป็นผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายของการที่พวกเขายอมรับการตีสอน การพิพากษา และการพิชิตจากพระเจ้า  สำหรับมวลมนุษย์แล้ว นี่เป็นข่าวอันยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย และสำหรับพระเจ้า แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ทรงรอมานาน  ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน นี่ก็คือการมาถึงของยุคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ทั้งมวล  ไม่ว่าจะมองมุมไหน จะมองจากความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ หรือกระแสนิยมของโลก หรือโครงสร้างทางสังคม หรือการเมืองของมวลมนุษย์ หรือทรัพยากรของทั้งโลก หรือความวิบัติในปัจจุบัน จุดจบของมวลมนุษย์ก็ใกล้เข้ามาแล้ว—มวลมนุษย์นี้มาถึงปลายทางแล้ว  กระนั้น นี่ก็เป็นห้วงเวลาที่สำคัญที่สุดในพระราชกิจของพระเจ้า เป็นห้วงเวลาที่คู่ควรแก่การจดจำและการเฉลิมฉลองของมนุษย์ และแน่นอนว่าเป็นการมาถึงของห้วงเวลาที่วิกฤติและสำคัญที่สุด ห้วงเวลาที่ตัดสินชะตากรรมของมวลมนุษย์ในพระราชกิจนานหกพันปีของพระเจ้าตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรไปแล้วกับมวลมนุษย์ และไม่ว่าพระเจ้าจะทรงรอคอยและใช้ความอดทนมานานเพียงใดก็ตาม ทั้งหมดนั้นย่อมคุ้มค่าแล้ว

กลับมาที่หัวข้อ “เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง” ที่พวกเราตั้งต้นว่าจะเสวนากันเถิด  แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าแบ่งออกเป็นพระราชกิจสามระยะที่จะทำในหมู่มวลมนุษย์  พระองค์ทรงพระราชกิจสองระยะแรกเสร็จสิ้นไปแล้ว  เมื่อมองดูสองระยะนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นธรรมบัญญัติหรือพระบัญญัติ ประโยชน์ที่บัญญัติเหล่านั้นมีต่อมนุษย์เป็นเพียงการให้พวกเขาค้ำชูธรรมบัญญัติ พระบัญญัติ พระนามของพระเจ้า ความเชื่อในหัวใจส่วนลึกของพวกเขา พฤติกรรมอันดีงามบางอย่างและหลักการอันดีงามบางข้อเท่านั้น  โดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์ไม่สามารถใช้ชีวิตตามมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ ซึ่งก็คือมาตรฐานของการเป็นผู้ดูแลสรรพสิ่งและกลายเป็นเจ้านายของสรรพสิ่ง  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตตามนั้นได้  ถ้าให้มนุษย์ที่ก้าวผ่านธรรมบัญญัติและยุคพระคุณมาแล้วถูกบังคับให้ทำสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดให้พวกเขาทำ พวกเขาก็จะทำได้เพียงเข้าไปเกี่ยวข้องกับสรรพสิ่งโดยใช้ธรรมบัญญัติหรือใช้พระคุณและพรที่พวกเขาได้รับในยุคพระคุณเท่านั้น  นี่ห่างไกลจากข้อกำหนดของพระเจ้าที่ว่ามนุษย์ควรเป็นผู้ดูแลสรรพสิ่งมากนัก และมวลมนุษย์ก็ห่างไกลจากการสัมฤทธิ์สิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดให้พวกเขาทำ รวมทั้งความรับผิดชอบและหน้าที่ที่พระองค์ทรงกำหนดให้พวกเขาทำให้ลุล่วง  มนุษย์ไม่สามารถทำตามหรือใช้ชีวิตตามมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดว่าพวกเขาควรเป็นเจ้านายของสรรพสิ่งและเจ้านายของยุคต่อไป  เพราะฉะนั้น ในพระราชกิจระยะสุดท้าย พระเจ้าจึงทรงแสดงและตรัสบอกความจริงทั้งปวงที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องรู้ รวมทั้งหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้แก่พวกเขาอย่างครบถ้วนทุกแง่มุม เพื่อให้มนุษย์รู้ว่ามาตรฐานตามข้อกำหนดของพระเจ้ามีอะไรบ้าง พวกเขาควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับสรรพสิ่งอย่างไร ควรมองสรรพสิ่งอย่างไร ควรเป็นผู้ดูแลสรรพสิ่งอย่างไร วิถีความเป็นอยู่ของพวกเขาควรเป็นเช่นใด และพวกเขาควรใช้ชีวิตเบื้องหน้าพระเจ้าในลักษณะใดในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง  เมื่อมนุษย์เข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็จะรู้ด้วยว่าข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขามีอะไรบ้าง เมื่อพวกเขาลุลวงสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเขาย่อมจะทำได้ตามมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่พวกเขาแล้วเช่นกัน  ด้วยเหตุที่ธรรมบัญญัติ พระบัญญัติ และหลักเกณฑ์ง่ายๆ ทางด้านพฤติกรรมไม่อาจแทนที่ความจริงได้ พระเจ้าจึงทรงแสดงพระวจนะและความจริงมากมายในยุคสุดท้าย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติของมนุษย์ การวางตนและการกระทำ รวมทั้งทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย  พระเจ้าตรัสบอกมนุษย์ว่าควรมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างไร และควรวางตนและกระทำการอย่างไร  การที่พระเจ้าตรัสบอกทั้งหมดนี้แก่มนุษย์หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพระเจ้าทรงกำหนดให้เจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามความจริงทั้งหมดนี้ และดำเนินชีวิตในโลกตามนี้  ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่จำพวกใดและไม่ว่าเจ้าจะยอมรับพระบัญชาเรื่องใดจากพระเจ้า ข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีต่อเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง  เมื่อเจ้าเข้าใจข้อกำหนดของพระเจ้าแล้ว เจ้าก็ต้องปฏิบัติตาม ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และทำให้พระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าสำเร็จลุล่วงอย่างสอดคล้องกับข้อกำหนดของพระองค์ตามที่เจ้าเข้าใจไม่ว่าพระองค์จะประทับอยู่ข้างเจ้าหรือพินิจพิเคราะห์เจ้าอยู่ก็ตาม  เฉพาะในหนทางนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะกลายเป็นเจ้านายของสรรพสิ่งโดยแท้ ได้รับความมั่นใจจากพระเจ้า มีคุณสมบัติเหมาะสม และคู่ควรแก่พระบัญชาของพระองค์  นี่เกี่ยวพันกับหัวข้อที่ว่าเหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  คราวนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่?  เหล่านี้คือข้อเท็จจริงที่พระเจ้าจะทรงทำให้เกิดขึ้น  ดังนั้น การไล่ตามเสาะหาความจริงจึงไม่ได้เป็นเพียงการละทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนและไม่ต้านทานพระเจ้าเท่านั้น  มีนัยสำคัญยิ่งกว่านั้นและมีคุณค่ามากกว่านั้นในการไล่ตามเสาะหาความจริงที่พวกเรากำลังพูดถึง  แท้จริงแล้วนี่เกี่ยวพันกับบั้นปลายและชะตากรรมของมนุษย์  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง?  เหตุผลในระดับเล็ก มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ในคำสอนพื้นฐานที่สุดที่มนุษย์เข้าใจ  ในระดับใหญ่ เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อมองเรื่องนี้จากมุมมองของพระเจ้าแล้ว การไล่ตามเสาะหาความจริงสัมพันธ์กับการบริหารจัดการของพระองค์ ความคาดหวังที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์ และความหวังที่พระองค์ทรงฝากไว้กับมวลมนุษย์  นี่คือส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  เมื่อพิจารณาจากเรื่องนี้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครและไม่ว่าเจ้าจะเชื่อในพระเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือรักความจริง สุดท้ายเจ้าย่อมจะเป็นเป้าหมายของการถูกกำจัดออกไปโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้—เรื่องนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง  พระเจ้าทรงพระราชกิจสามระยะ พระองค์ได้ทรงวางแผนการบริหารจัดการมาตั้งแต่ตอนที่ทรงสร้างมวลมนุษย์ แล้วพระองค์ก็ได้ทรงดำเนินการแต่ละระยะเหล่านั้นต่อมวลมนุษย์  และทรงนำมวลมนุษย์ทีละขั้นจนมาถึงปัจจุบันนี้  พระเจ้าทรงเสียสละโลหิตจากพระหทัยของพระองค์ไปมากมาย และพระองค์ทรงสู้ทนเป็นเวลา เนิ่นนานเพื่อไปสู่เป้าหมายสูงสุด ที่จะสอดแทรกความจริงที่พระองค์ทรงแสดงเข้าไปในตัวมนุษย์ รวมถึงหลักเกณฑ์ทุกแง่มุมที่พระองค์ทรงกำหนดและตรัสบอกแก่มวลมนุษย์ด้วย และทำให้สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นชีวิตและความเป็นจริงของมนุษย์  ในสายพระเนตรของพระเจ้า นี่คือเรื่องที่สำคัญยิ่งเรื่องหนึ่ง  และพระเจ้าทรงให้น้ำหนักแก่เรื่องนี้เป็นอย่างมาก  พระเจ้าได้ทรงแสดงพระวจนะไว้มากมายนัก และก่อนที่จะทรงทำเช่นนั้น พระองค์ก็ได้ดำเนินพระราชกิจเตรียมการเอาไว้อย่างมากมาย  ถ้าในท้ายที่สุด เจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาหรือเข้าสู่พระวจนะเหล่านี้หลังจากที่พระองค์ได้ทรงแสดงพระวจนะดังกล่าว พระเจ้าจะทรงมองเจ้าเช่นไร?  พระเจ้าจะทรงมีคำพิพากษาต่อเจ้าอย่างไร?  เรื่องนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง  ดังนั้นสำหรับแต่ละคนแล้ว ไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้า หรืออายุ หรือจำนวนปีที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าจะเป็นเช่นใด เจ้าก็ควรทุ่มเทความพยายามไปในเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง  เจ้าไม่ควรเน้นที่การหาข้ออ้างทางข้อเท็จจริง เจ้าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร้เงื่อนไข  จงอย่าทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย  สมมุติว่าเจ้ามองการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตเจ้า อีกทั้งอุตสาหะและใช้ความพยายามไปในการนี้ ก็อาจเป็นไปได้ว่าความจริงที่เจ้าได้รับและสามารถไปถึงในการไล่ตามเสาะหาของเจ้านั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าปรารถนาไว้  แต่พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะประทานบั้นปลายที่เหมาะสมแก่เจ้าด้วยเหตุของท่าทีในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าและตามความจริงใจของเจ้า—นั่นย่อมจะวิเศษนัก!  ในตอนนี้ จงอย่ามุ่งเน้นว่าบั้นปลายหรือจุดจบของเจ้าจะเป็นเช่นใด หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นและอนาคตจะเป็นเช่นใด หรือไม่ว่าเจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงความวิบัติและจะไม่ตายได้หรือไม่—จงอย่าคิดหรือร้องขอเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้  จงเพียงแค่มุ่งเน้นไปที่พระวจนะและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และมาไล่ตามเสาะหาความจริง ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า และหลีกเลี่ยงการทำให้การรอคอยนานหกพันปีของพระเจ้า และความคาดหวังนานหกพันปีของพระองค์เป็นที่น่าผิดหวัง  จงถวายความชูใจแด่พระเจ้าบ้าง จงให้พระองค์ทรงมองเห็นความหวังในตัวเจ้า และจงให้ความปรารถนาของพระองค์กลายเป็นจริงในตัวเจ้า  บอกเราเถิดว่าถ้าเจ้าทำเช่นนั้น พระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่!  และต่อให้ผลลัพธ์สุดท้ายไม่เป็นไปตามที่ผู้คนอยากให้เป็น ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแล้ว พวกเขาควรปฏิบัติกับข้อเท็จจริงนั้นเช่นไร?  พวกเขาควรนบนอบในทุกสิ่งต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าโดยไม่มีแผนการส่วนตัวใดๆ  นี่คือมุมมองที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีมิใช่หรือ?  (ใช่)  การมีวิธีคิดเช่นนี้นั้นถูกต้อง  พวกเราจะสรุปสามัคคีธรรมของพวกเราถึงจุดประสงค์หลักว่าเหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริงไว้ตามนั้น

II. เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ในมุมมองของมนุษย์

สามัคคีธรรมของพวกเราเมื่อครู่นี้มองเรื่องเหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ในแง่ที่เป็นแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า จากมุมมองของพระเจ้าเป็นหลัก  เมื่อมองจากอีกฝั่งหนึ่งกลับค่อนข้างเรียบง่ายกว่า  ในแง่ของมนุษย์เอง จากมุมมองของมนุษย์ เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง?  กล่าวให้ง่ายที่สุดก็คือ ถ้ามนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติและไม่เข้าใจความจริง ถ้าการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาเป็นเพียงการค้ำชูธรรมบัญญัติ ท้ายที่สุดย่อมจะเกิดอะไรขึ้น?  สิ่งเดียวที่สามารถเกิดขึ้นได้ในท้ายที่สุดย่อมจะเป็นการที่มนุษย์ถูกธรรมบัญญัติกล่าวโทษ ฐานที่พวกเขาไม่สามารถค้ำชูธรรมบัญญัติได้  และสืบเนื่องจากตรงนั้นมาถึงยุคพระคุณก็คือ ในยุคนั้น มนุษย์เกิดความเข้าใจมากมายและได้รับข้อมูลใหม่ๆ มากมายจากพระเจ้าในเรื่องของมนุษย์—เป็นแนวทางปฏิบัติและพระบัญญัติสำหรับการวางตัวของมนุษย์  มนุษย์จึงได้ประโยชน์เป็นอย่างดีในแง่ของคำสอน  อย่างไรก็ตาม มนุษย์ยังหวังว่าตนจะได้รับประโยชน์จากการคุ้มครอง ความโปรดปราน พร และพระคุณจากพระเจ้ามากขึ้นทั้งที่ตนไม่ได้เข้าใจความจริง มุมมองของมนุษย์ยังคงเป็นมุมมองของการร้องขอจากพระเจ้า และขณะที่พวกเขาทำการร้องขอเหล่านั้น การไล่ตามเสาะหาของพวกเขาก็ยังคงมุ่งตรงไปที่ชีวิตในเนื้อหนัง ความสุขสบายของเนื้อหนัง และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของเนื้อหนัง  จุดมุ่งหมายของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขายังคงตรงข้ามและสวนทางกับความจริง  มนุษย์ยังคงไม่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่สามารถเข้าสู่ชีวิตที่แท้จริงซึ่งมีความจริงเป็นพื้นฐานแห่งการดำรงอยู่ของตน  เหล่านี้คือความเป็นจริงในชีวิตของมนุษย์ ตามที่มีการใช้ชีวิตกันบนรากฐานของการเข้าใจธรรมบัญญัติ หรือพระบัญญัติและกฎข้อบังคับทั้งปวงในยุคพระคุณ บนรากฐานของการที่ยังไม่เข้าใจความจริง  เมื่อความเป็นจริงในชีวิตของมนุษย์เป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงมักจะสูญเสียทิศทางโดยไม่รู้ตัว  นี่เป็นดังที่ผู้คนกล่าวกันนั่นเองว่า “ฉันสับสนและหลงทาง”  ในภาวะที่สับสนอย่างต่อเนื่องเช่นนั้น มนุษย์มักจะจมดิ่งอยู่ในความว่างเปล่า ทางข้างหน้าเลือนลาง ไม่รู้ว่าเหตุใดมนุษย์จึงมีชีวิตอยู่ หรืออนาคตจะเป็นเช่นไร และยิ่งไม่รู้ว่าพวกเขาควรเผชิญผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ชีวิตจริงพามาให้อย่างไร หรือว่าอะไรคือวิธีการที่ถูกต้องที่พวกเขาควรใช้เผชิญหน้าสิ่งเหล่านั้น  ถึงกับมีผู้ติดตามพระเจ้าและผู้เชื่อมากมายที่แม้จะค้ำชูพระบัญญัติและสุขสำราญกับพระคุณและพรจากพระเจ้าเป็นอันมาก แต่กลับไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ความมั่งคั่ง อนาคตที่ดูสดใส ความโดดเด่นในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกัน ชีวิตสมรสที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ความสุขสมหวังและโชคลาภในครอบครัว—และในสังคมทุกวันนี้ พวกเขาก็ไล่ตามไขว่คว้าความสุขสำราญทางเนื้อหนัง ชีวิต และความสุขสบาย พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าคฤหาสน์และรถหรู พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าการเดินทางรอบโลก สำรวจความพิศวงและอนาคตของมวลมนุษย์  ระหว่างที่ยอมรับข้อบังคับและข้อห้ามในธรรมบัญญัติและหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมมากมาย มวลมนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถทิ้งความโน้มเอียงที่จะสำรวจอนาคต ความพิศวงของมวลมนุษย์ และทุกเรื่องที่อยู่นอกเหนือความรู้ความเข้าใจของมวลมนุษย์  แล้วระหว่างที่ผู้คนทำเช่นนั้น พวกเขาก็มักจะรู้สึกว่างเปล่า หดหู่ เสียใจ หงุดหงิด ว้าวุ่น และหวาดกลัวมากเสียจนด้วยเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นกับพวกเขา ทำให้เป็นการยากที่พวกเขาจะควบคุมความหัวร้อนและอารมณ์ของตนได้  มีบางคนที่เข้าสู่สภาวะหม่นหมอง หดหู่ เก็บกด และอื่นๆ เมื่อพวกเขาเผชิญภาวะใดๆ ที่ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ เช่น สภาพการทำงานที่ยากลำบาก หรือรอยร้าวในครอบครัว ความไม่สบายใจในครอบครัว เรื่องกลัดกลุ้มในชีวิตแต่งงาน หรือการเลือกปฏิบัติของสังคม  ถึงกับมีบางคนที่จมอยู่ในความรู้สึกที่สุดโต่ง บ้างก็ถึงกับเลือกที่จะจบชีวิตตนเองด้วยวิธีการอันสุดโต่ง  แน่นอนว่ามีผู้อื่นที่เลือกปลีกตัวอยู่โดดเดี่ยว  แล้วนี่ทำให้เกิดอะไรขึ้นในสังคม?  ชายและหญิงที่เก็บตัว โรคซึมเศร้า เป็นต้น  ในชีวิตของคริสตชนก็มีปรากฏการณ์เหล่านี้เช่นกัน และเกิดขึ้นบ่อย  เมื่อพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว มูลเหตุของเรื่องนี้ก็คือ มวลมนุษย์ไม่เข้าใจว่าอะไรคือความจริง อีกทั้งไม่เข้าใจว่ามนุษย์มาจากไหน และจะไปที่ใด หรือทำไมมนุษย์ถึงมีชีวิตอยู่ และพวกเขาพึงใช้ชีวิตอย่างไร  เมื่อเผชิญผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาพบเจอซึ่งมีอยู่นานาชนิด พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะรับมือ แก้ไข ละทิ้ง หรือรู้เท่าทันและเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร เพื่อให้ตนเองสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและสบายใจภายใต้อธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างได้  มวลมนุษย์ไม่มีความสามารถเช่นนี้  เมื่อพระเจ้าไม่ได้แสดงความจริง และพระองค์ก็ไม่ได้ตรัสบอกมนุษย์ว่าพวกเขาควรมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการอย่างไร มนุษย์ก็พึ่งพาความพยายามของตนเอง ความรู้ที่พวกเขาศึกษาหามา ทักษะชีวิตที่พวกเขาไขว่คว้ามาได้ กฎเกณฑ์ทั้งหลายในเกมที่พวกเขาเข้าใจ ตลอดจนกฎเกณฑ์ของการวางตนหรือปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก  พวกเขาพึ่งพาประสบการณ์ในชีวิตมนุษย์ของตนและการที่พวกเขาก้าวผ่านประสบการณ์นั้นๆ มา และถึงกับพึ่งพาสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้จากหนังสือ—กระนั้น เมื่อเผชิญอุปสรรคทั้งปวงที่ชีวิตจริงนำมาให้ พวกเขากลับอับจนหนทาง  สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในภาวะดังกล่าว การอ่านพระคัมภีร์ไม่มีประโยชน์อันใด  แม้กระทั่งการอธิษฐานถึงองค์พระเยซูเจ้าก็ไม่ช่วยอะไร และการอธิษฐานถึงพระยาห์เวห์ก็ยิ่งไม่ช่วย  การอ่านสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะแต่เก่าก่อนเผยไว้ล่วงหน้าไม่อาจแก้ปัญหาอันใดให้พวกเขาได้เช่นกัน  ดังนั้น บางคนจึงออกเดินทางรอบโลก พวกเขาไปสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคาร หรือตามหานักพยากรณ์ที่สามารถทำนายอนาคตและสนทนากับพวกเขาได้ แต่เมื่อทำเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว หัวใจของผู้คนก็ยังคงว้าวุ่น ไร้ความเบิกบาน และไม่รู้สึกชูใจ  สำหรับพวกเขาแล้ว ทิศทางและจุดหมายที่จะมุ่งไปข้างหน้ายังคงให้ความรู้สึกว่าหายากมากและว่างเปล่าอย่างยิ่ง  โดยรวมแล้ว ชีวิตของมวลมนุษย์ยังคงกลวงเปล่าอยู่มาก  ด้วยเหตุที่สภาพการณ์ในชีวิตของมวลมนุษย์เป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงคิดประดิษฐ์วิธีการมากมายมาให้ความบันเทิงแก่ตัวเอง ตัวอย่างเช่น วิดีโอเกมสมัยใหม่ บันจีจัมป์ การโต้คลื่น ปีนเขา และการกระโดดร่มที่ชาวตะวันตกชอบกัน ละครโทรทัศน์ เพลง และการเต้นรำต่างๆ ที่ชาวจีนชอบ รวมทั้งการแสดงของสาวประเภทสองในเอเชียอาคเนย์  ผู้คนถึงกับดูสิ่งที่สร้างความพอใจให้แก่โลกฝ่ายวิญญาณของตนและตอบสนองความกำหนัดทางเนื้อหนังของตน  กระนั้น ไม่ว่าความสนุกสนานของพวกเขาจะเป็นอะไร ไม่ว่าพวกเขาจะดูอะไร หัวใจส่วนลึกสุดของผู้คนก็ยังคงงุนงงกับอนาคต  ไม่ว่าใครสักคนจะเดินทางรอบโลกมากี่รอบ หรือต่อให้พวกเขาไปท่องดวงจันทร์และดาวอังคารมาแล้ว แต่พอพวกเขากลับมาและได้พักสักนิด พวกเขาก็ไร้เรี่ยวแรงเหมือนที่เคยเป็นนั่นเอง  จะว่าไป การได้ออกไปกลับทำให้พวกเขาเศร้าและว้าวุ่นยิ่งกว่าการไม่ไปเสียอีก มวลมนุษย์คิดไปว่าสาเหตุที่พวกเขากลวงเปล่าอย่างนั้น อับจนหนทางขนาดนั้น งุนงงและหวาดกลัวอย่างนั้น ตลอดจนอยากสำรวจสิ่งที่จะเกิดขึ้นและไม่มีใครรู้ ก็เพราะผู้คนไม่รู้ว่าจะหาความบันเทิงให้ตนเองอย่างไร ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร  พวกเขานึกว่าเป็นเพราะผู้คนไม่รู้ว่าจะสนุกกับชีวิตหรือสุขสำราญกับชั่วขณะนั้นๆ อย่างไร พวกเขาคิดไปว่าความสนใจและงานอดิเรกของตนนั้นธรรมดาเกินไป—ขยับขยายไม่มากพอ  แต่ไม่ว่าผู้คนจะปลุกปั้นความสนใจขึ้นมากี่อย่าง เข้าไปหาความบันเทิงสักกี่อย่าง ไปตามสถานที่ต่างๆ รอบโลกมาแล้วกี่แห่ง มวลมนุษย์ก็ยังคงรู้สึกว่าวิธีใช้ชีวิต ทิศทางและจุดหมายในการดำรงอยู่ของตนไม่ใช่อย่างที่พวกเขาปรารถนา  สรุปว่าสิ่งที่ผู้คนรู้สึกกันทั่วไปก็คือความกลวงเปล่าและความเบื่อหน่าย  บางคนอยากเอร็ดอร่อยกับอาหารเลิศรสชั้นเยี่ยมจากทั่วโลกก็เพราะความกลวงเปล่าและความเบื่อหน่ายนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด พวกเขาก็มุ่งมั่นที่จะกิน  ผู้อื่นไม่ว่าจะไปที่ใดก็ตั้งใจหาความสนุก แล้วพวกเขาก็สนุกสนาน กิน และหาอะไรทำอย่างเพลิดเพลินจนจุใจ—กระนั้น พอพวกเขากิน ดื่ม และรื่นเริงเสร็จแล้ว พวกเขากลับว่างเปล่ากว่าเคย  ควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้?  เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสลัดความรู้สึกนี้ทิ้งไป?  เมื่อผู้คนถึงทางตัน บางคนก็เริ่มใช้ยาเสพติด เสพฝิ่น กินยาอี และใช้สิ่งต่างๆ ทางวัตถุสารพัดชนิดมากระตุ้นผัสสะของตนเอง  ผลย่อมเป็นเช่นใด?  วิธีการเหล่านี้มีอย่างไหนให้ผลในการแก้ไขความกลวงเปล่าในตัวมนุษย์หรือไม่?  มีอย่างไหนสามารถแก้ปัญหาได้ที่มูลเหตุหรือไม่?  (ไม่มี)  ทำไมถึงแก้ไม่ได้?  เพราะมนุษย์ดำรงชีวิตตามความรู้สึกของตนเอง  พวกเขาไม่เข้าใจความจริงหรือรู้ว่าสิ่งใดก่อให้เกิดปัญหาที่เป็นความกลวงเปล่า ความไม่สบายใจ ความงุนงง และอื่นๆ ในตัวมวลมนุษย์ และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะใช้วิธีใดแก้ไขสิ่งเหล่านั้น  พวกเขาคิดว่าถ้าดูแลให้เนื้อหนังสุขสำราญ ทำให้โลกของความรู้สึกทางเนื้อหนังของพวกเขาอิ่มเอมและได้รับการเติมเต็ม ความรู้สึกกลวงเปล่าในวิญญาณของพวกเขาก็จะหายไป  เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  ข้อเท็จจริงก็คือไม่ได้เป็นเช่นนั้น  ถ้าเจ้าฟังคำเทศนาเหล่านี้จบโดยยอมรับไว้เป็นคำสอน แต่ไม่ไล่ตามเสาะหาหรือปฏิบัติตามคำเทศนาเลย และถ้าเจ้าไม่รับพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าไว้เป็นหลักการและหลักเกณฑ์ของทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ของการวางตนและการกระทำของเจ้า วิถีความเป็นอยู่และทัศนะที่เจ้ามีต่อชีวิตย่อมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  และถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่เปลี่ยนแปลง ก็หมายความว่าชีวิตของเจ้า รูปแบบชีวิต และคุณค่าแห่งการดำรงอยู่ของชีวิตของเจ้าก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  แล้วถ้ารูปแบบและคุณค่าของชีวิตของเจ้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นั่นหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าสักวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว คำสอนที่เจ้าเข้าใจจะดูเหมือนเสาหลักค้ำจุนวิญญาณในสายตาของเจ้า ไม่ช้าก็เร็วคำสอนเหล่านั้นจะกลายเป็นวลีเด็ดและทฤษฎีสำหรับเจ้า เป็นสิ่งที่เจ้าจะใช้อุดความรู้สึกกลวงเปล่าของโลกภายในตัวเจ้าเอาไว้เมื่อมีสถานการณ์ให้ทำเช่นนั้น  ถ้าทิศทางและเป้าหมายในการไล่ตามเสาะหาของเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง เจ้าก็จะเป็นเหมือนผู้คนเหล่านั้นที่ไม่เคยฟังพระวจนะของพระเจ้าเลย  ทิศทางและเป้าหมายในการไล่ตามเสาะหาของเจ้าจะยังคงเป็นการค้นหาความบันเทิง ค้นหาการปลอบประโลมทางเนื้อหนัง  เจ้าจะยังคงพยายามแก้ไขความกลวงเปล่าและความงุนงงของเจ้าด้วยการท่องโลกและสำรวจความพิศวง  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อถึงตอนนั้น เจ้าย่อมจะเดินไปบนเส้นทางเดียวกับผู้คนเหล่านั้น  พวกเขารู้สึกกลวงเปล่าหลังจากที่ลิ้มรสอาหารชั้นดีของโลกและสุขสำราญกับความหรูหราอันโอ่อ่าของโลกไปแล้ว และเจ้าก็จะเป็นเช่นเดียวกัน  เจ้าอาจยึดมั่นในหนทางที่แท้จริงและพระวจนะของพระเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาหรือปฏิบัติตามนั้น เจ้าก็จะลงเอยอย่างพวกเขา มักจะรู้สึกกลวงเปล่า หวาดกลัว ขุ่นเคือง และเก็บกด ไร้ซึ่งความสุขที่แท้จริง ไม่มีความเบิกบานที่แท้จริง ไม่มีอิสรภาพที่แท้จริง และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือไร้ซึ่งสันติสุขที่แท้จริง  และเมื่อถึงตอนนั้น ท้ายที่สุดแล้วจุดจบของเจ้าก็จะเป็นเหมือนพวกเขา

เมื่อเป็นเรื่องจุดจบของมนุษย์ พระเจ้าทรงมองไปที่สิ่งใด?  พระองค์ไม่ได้ทรงมองว่าเจ้าอ่านพระวจนะของพระองค์ไปมากเท่าใด หรือเจ้าฟังคำเทศนาไปเท่าใดแล้ว  พระเจ้าไม่ได้ทรงมองสิ่งเหล่านี้  พระองค์ทรงมองว่าเจ้าได้รับความจริงไปมากเท่าใดในการไล่ตามเสาะหาของเจ้า เจ้าสามารถปฏิบัติความจริงไปกี่ข้อแล้ว พระองค์ทรงมองว่าในชีวิตของเจ้านั้น เจ้าใช้พระวจนะของพระองค์เป็นหลักการและใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ของการวางตนและการกระทำของเจ้าหรือไม่—เจ้ามีประสบการณ์และคำพยานเช่นนั้นหรือไม่  ถ้าไม่มีคำพยานดังกล่าวในชีวิตประจำวันของเจ้าและในระหว่างที่เจ้าติดตามพระเจ้าอยู่ และไม่มีการพิสูจน์สิ่งเหล่านี้แต่อย่างใด เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงมองเจ้าแบบเดียวกับที่ทรงมองผู้ไม่มีความเชื่อ  เรื่องจบลงตรงที่พระองค์ทรงมองแบบนั้นหรือไม่?  ไม่ การที่พระเจ้าจะทรงมองเจ้าแบบนั้นแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้เช่นนั้นเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความจริง  พระองค์กลับจะทรงตัดสินจุดจบของเจ้าเพราะเหตุนั้น  พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของเจ้าตามเหตุของเส้นทางที่เจ้าเดิน พระองค์ทรงกำหนดจุดจบของเจ้าโดยทรงดูว่าเจ้าปฏิบัติอย่างไรท่ามกลางการไล่ตามเสาะหาและเป้าหมายของเจ้า ดูท่าทีที่เจ้ามีต่อความจริง และดูว่าเจ้านั้นออกเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือยัง  เหตุใดพระองค์จึงทรงกำหนดไว้เช่นนั้น?  เมื่อคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่อย่างใดได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าและได้ฟังพระวจนะไปมากมาย แต่ยังคงไม่สามารถใช้พระวจนะของพระองค์เป็นหลักเกณฑ์ของทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและการกระทำของพวกเขา คนคนนั้นย่อมจะไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดในท้ายที่สุดโดยแท้  ตรงนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด กล่าวคือ ถ้าให้คนแบบนั้นคงอยู่ พวกเขาจะเป็นอะไรได้?  พวกเขาจะเป็นเจ้านายของสรรพสิ่งได้หรือไม่?  พวกเขาจะเป็นผู้ดูแลสรรพสิ่งแทนพระเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขาคู่ควรที่จะได้รับพระบัญชาหรือไม่?  ความไว้วางพระทัยล่ะ?  ถ้าพระเจ้าส่งมอบสรรพสิ่งให้แก่เจ้า เจ้าจะทำอย่างที่มวลมนุษย์ทำอยู่ในตอนนี้ ฆ่าสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างเอาไว้อย่างไม่แยกแยะ ผลาญสิ่งต่างๆ มากมายที่พระเจ้าทรงสร้างโดยไม่แยกแยะ ทำให้สิ่งต่างๆ มากมายที่พระเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์ด่างพร้อยโดยไม่แยกแยะหรือไม่?  แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะทำ!  ดังนั้น ถ้าพระเจ้าส่งมอบโลกนี้และสรรพสิ่งให้แก่เจ้า ทุกสิ่งย่อมจะเผชิญอะไรในท้ายที่สุด?  ทุกสิ่งจะไม่มีผู้ดูแลที่แท้จริง ถูกมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเพราะซาตานพากันทำให้แปดเปื้อนและผลาญทิ้ง  ท้ายที่สุดแล้ว สรรพสิ่ง สิ่งมีชีวิตท่ามกลางสรรพสิ่ง และมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามย่อมจะเผชิญชะตากรรมเดียวกัน คือถูกพระเจ้าทำลายล้าง  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้หวังที่จะเห็น  ดังนั้น ถ้าคนแบบนั้นได้ฟังพระวจนะมากมายของพระเจ้าและเข้าใจเพียงคำสอนมากมายในพระวจนะของพระองค์ แต่ยังคงไม่สามารถรับหน้าที่เป็นเจ้านายของสรรพสิ่งหรือมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าได้ ก็แน่นอนว่าพระเจ้าจะไม่ไว้วางพระทัยมอบหมายกิจการใดๆ แก่พวกเขาเพราะพวกเขาไม่เหมาะสม  พระเจ้าไม่ปรารถนาที่จะเห็นสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงอุตสาหะสร้างขึ้นมามีอันต้องแปดเปื้อนและถูกผลาญจนไม่เหลืออะไรเป็นครั้งที่สองเพราะมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เฟสื่อมทราม และพระองค์ก็ไม่ทรงปรารถนาที่จะเห็นมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงบริหารจัดการมาตลอดหกพันปีถูกทำลายด้วยน้ำมือของพวกมนุษย์ดังกล่าว  สิ่งเดียวที่พระองค์ทรงต้องการเห็นก็คือการที่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงอุตสาหะสร้างขึ้นมานี้ดำรงอยู่ต่อไปภายใต้การดูแลของกลุ่มคนที่ได้รับความรอดจากพระองค์ ภายใต้การเอาใจใส่ การคุ้มครอง และการนำของพระเจ้า ดำเนินชีวิตต่อไปตามระเบียบแบบแผนของสรรพสิ่งและตามกฎที่พระเจ้าทรงบัญญัติ  แล้วผู้คนที่สามารถแบกรับความรับผิดชอบอันหนักหน่วงเช่นนั้นย่อมเป็นคนแบบใด?  มีอยู่เพียงจำพวกเดียว และคนจำพวกนั้นก็คือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงที่เราพูดถึง เป็นผู้คนประเภทที่สามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างเคร่งครัด โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของพวกเขา  ผู้คนดังกล่าวย่อมคู่ควรกับความไว้วางใจ  วิถีความเป็นอยู่ของพวกเขาหลุดออกจากวิถีของมวลมนุษย์ที่ซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างสิ้นเชิง ในด้านเป้าหมายและวิธีการไล่ตามเสาะหา ในทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ในการวางตนและการกระทำของพวกเขา พวกเขาสามารถทำตามพระวจนะของพระเจ้าได้ทุกประการ และสามารถใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตนได้อย่างสมบูรณ์  ผู้คนดังกล่าวคือคนที่เหมาะสมโดยแท้ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป และเหมาะสมที่พระเจ้าจะส่งมอบสรรพสิ่งไว้ในมือของพวกเขา  ผู้คนเหล่านี้นี่เองที่สามารถแบกรับความรับผิดชอบอันหนักหน่วงอย่างยิ่งในฐานะพระบัญชาของพระเจ้า  พระเจ้าจะไม่ส่งมอบสรรพสิ่งให้แก่คนจำพวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแน่นอน  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระองค์จะไม่ส่งมอบสรรพสิ่งให้แก่ผู้คนที่ไม่ฟังพระวจนะของพระองค์เลย และจะไม่ไว้วางพระทัยมอบหมายกิจใดๆ ให้แก่ผู้คนเช่นนั้นเป็นแน่  พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่จะปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้าได้ดี  ถ้าพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายสรรพสิ่งให้แก่พวกเขา พวกเขาก็จะไม่มีความจงรักภักดีแต่อย่างใด และจะไม่กระทำการตามพระวจนะของพระองค์  เวลามีความสุข พวกเขาก็จะทำงานบ้าง และเวลาไม่มีความสุข พวกเขาก็จะออกไปกิน ดื่ม และรื่นเริงกัน  หัวใจของพวกเขามักจะกลวงเปล่า อึดอัด ไม่รู้จะทำอย่างไร และไร้ซึ่งความจงรักภักดีต่อพระบัญชาของพระเจ้า  แน่นอนว่าผู้คนแบบนี้ไม่ใช่คนที่พระเจ้าทรงต้องการ  ดังนั้น ถ้าเจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า รู้จักข้อบกพร่องของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม และรู้ว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามควรเดินบนเส้นทางแบบใด เจ้าก็ควรเริ่มด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง  จงฟังพระวจนะของพระเจ้า และเริ่มออกเดินไปในทิศทางที่เป็นการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  จงหันเข้าหาเป้าหมายนี้ ทิศทางนี้ และไม่ช้าก็เร็วย่อมจะถึงวันที่พระเจ้าจะทรงจดจำและยอมรับการสละและการจ่ายราคาของเจ้า  เมื่อนั้นการที่เจ้ามีชีวิตอยู่ย่อมจะมีคุณค่า พระเจ้าจะทรงเห็นชอบในตัวเจ้า และเจ้าจะไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป  ไม่มีการร้องขอให้เจ้ายืนหยัดยาวนานอย่างที่โนอาห์สร้างเรือใหญ่ แต่อย่างน้อยเจ้าก็ต้องยืนหยัดให้ตลอดชีวิตนี้  เจ้าจะมีชีวิตถึงอายุร้อยยี่สิบปีหรือไม่?  ไม่มีใครรู้ แต่เอาเป็นว่านั่นไม่ใช่อายุขัยของมวลมนุษย์สมัยใหม่  การไล่ตามเสาะหาความจริงในตอนนี้ง่ายกว่าการสร้างเรือใหญ่มากนัก  การสร้างเรือใหญ่นั้นยากมาก และยุคนั้นก็ไม่มีเครื่องมือสมัยใหม่—เรือนั้นใช้เรี่ยวแรงของมนุษย์สร้างขึ้นมาทั้งหมด ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นใจอีกด้วย  ใช้เวลานานมาก มีคนช่วยน้อย  พวกเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงในตอนนี้ง่ายกว่าการสร้างเรือลำนั้นมาก  สภาพแวดล้อมอันกว้างใหญ่ของเจ้ากับสภาพชีวิตในวงแคบลงมาทำให้พวกเจ้ามีความได้เปรียบมากและมีความสะดวกสบายอย่างยิ่งในแง่ของการไล่ตามเสาะหาความจริง

สามัคคีธรรมวันนี้เรื่อง “เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง” ครอบคลุมหัวข้อดังกล่าวอยู่สองแง่มุมเป็นหลัก  หนึ่งคือการสามัคคีธรรมง่ายๆ จากมุมมองของพระเจ้าเกี่ยวกับแผนการบริหารจัดการของพระองค์ ความปรารถนา และการโหยหาของพระองค์ อีกหนึ่งคือการชำแหละปัญหาในตัวผู้คนเอง จากมุมมองของพวกเขาเอง ซึ่งทำหน้าที่อธิบายความจำเป็นและความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง  ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมใด การไล่ตามเสาะหาความจริงก็มีความสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์และเป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่ง  การไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ก็เป็นเส้นทางและเป้าหมายในชีวิตที่ผู้ติดตามพระเจ้าทุกคน ทุกคนที่ได้ฟังพระวจนะของพระองค์ ควรเลือก  ไม่ควรยึดถือว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออุดมคติหรือความปรารถนาจำพวกหนึ่ง และไม่ควรถือว่าถ้อยแถลงเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริงคือความชูใจทางฝ่ายวิญญาณอย่างหนึ่ง แต่คนเราต้องนำพระวจนะที่พระเจ้าตรัสและข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ไปทำให้กลายเป็นหลักธรรมและหลักการสำหรับการปฏิบัติของพวกเขาในชีวิตจริงตามความเป็นจริงให้มาก เพื่อให้จุดหมายในชีวิตของพวกเขาและวิถีความเป็นอยู่ของพวกเขามีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมทำให้ชีวิตของคนเรามีคุณค่ามากขึ้น  ในหนทางนี้ ขณะที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง ทางที่เจ้าเดินและตัวเลือกของเจ้าย่อมจะถูกต้องเมื่อมองในวงแคบลงมา—ส่วนในวงกว้างนั้น เจ้าย่อมจะปลดเปลื้องอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าทิ้งไปในที่สุดเพราะเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าก็จะได้รับการช่วยให้รอด  ผู้ที่จะได้รับการช่วยให้รอด ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้นไม่ได้เป็นเพียงแก้วตาดวงใจของพระองค์หรือสมบัติอันล้ำค่าในพระหัตถ์ของพระองค์เท่านั้น และยิ่งไม่ได้เป็นเพียงประชากรหลักโดยทั่วไปในราชอาณาจักรของพระองค์  พรที่จะเกิดขึ้นกับเจ้าที่เป็นสมาชิกของมนุษยชาติในอนาคตนั้นยิ่งใหญ่นัก ชนิดที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อนและจะไม่มีวันได้เห็นกันอีก สิ่งที่ดีงามทั้งหลายย่อมจะเกิดขึ้นกับเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ในลักษณะที่ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าไม่อาจนึกฝันได้  ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร สิ่งที่ต้องทำเสียก่อนในตอนนี้ก็คือการวางเป้าหมายไว้ที่การไล่ตามเสาะหาความจริง  การวางเป้าหมายไว้เช่นนี้ไม่ได้หมายถึงการแก้ไขความกลวงเปล่าในโลกทางฝ่ายวิญญาณของเจ้า และไม่ได้หมายถึงการแก้ไขความเก็บกดและความขุ่นเคือง หรือความไม่แน่ใจและความงุนงงในหัวใจส่วนลึกของเจ้า  การนี้ไม่ได้มีไว้เพื่ออะไรแบบนั้น  แต่มีไว้เพื่อใช้เป็นเป้าหมายที่เป็นจริงและแท้จริงสำหรับการวางตนและกระทำการของคนเรา  ง่ายเช่นนั้นเอง  พวกเจ้าว่าง่ายหรือไม่?  พวกเจ้าไม่กล้าพูดเช่นนั้น แต่ข้อเท็จจริงก็คือเป็นเรื่องง่ายทีเดียว—ขึ้นอยู่กับว่าคนคนหนึ่งมีความแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  ถ้าเจ้ามีความแน่วแน่เช่นนั้นจริง ความจริงใดบ้างที่ไม่มีเส้นทางปฏิบัติเฉพาะตัว?  ความจริงล้วนมีเส้นทางทั้งสิ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  การมีหลักการจำเพาะสำหรับการปฏิบัติความจริงไม่ว่าจะในมิติใด และการมีหลักปฏิบัติจำเพาะสำหรับงานไม่ว่าจะเป็นโครงการใด—นี่เป็นจุดหมายที่สัมฤทธิ์ได้โดยผู้ที่มีความแนวแน่อย่างแท้จริง  บางคนอาจกล่าวว่า “ฉันไม่รู้อยู่ดีว่าควรปฏิบัติอย่างไรเวลาเจอปัญหา”  นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่แสวงหา  ถ้าเจ้าแสวงหา เจ้าก็จะมีเส้นทาง  มีคำกล่าวอยู่ข้อหนึ่งมิใช่หรือ? ว่า “จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน” (มัทธิว 7:7)  เจ้าแสวงหาหรือยัง?  เจ้าเคาะประตูหรือยัง?  เจ้าเคยใคร่ครวญความจริงระหว่างที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าบ้างหรือไม่?  ถ้าเจ้าพยายามใคร่ครวญ เจ้าก็จะสามารถเข้าใจทุกอย่าง  ความจริงทั้งมวลอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า เพียงแต่เจ้าจำเป็นต้องอ่านและใคร่ครวญความจริงเท่านั้น  จงอย่าอยู่เฉย จงให้ความสนใจอย่างจริงจัง เมื่อประสบปัญหาที่เจ้าไม่อาจแก้ได้ด้วยตนเอง เจ้าก็ต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า และจำเป็นที่จะต้องแสวงหาความจริงสักระยะหนึ่ง บางครั้งเจ้าก็จำเป็นต้องอดทนและรอคอยพระเจ้า ตามเวลาของพระองค์  ถ้าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมไว้ให้เจ้า และในสภาพแวดล้อมนั้น พระองค์ทรงเผยทุกสิ่งทุกอย่าง ประทานความรู้แจ้งแก่เจ้าเกี่ยวกับบทตอนหนึ่งๆ ในพระวจนะของพระองค์ นำความกระจ่างชัดมาสู่หัวใจของเจ้า และเจ้ามีหลักธรรมจำเพาะสำหรับการปฏิบัติ เช่นนั้นเจ้าก็ย่อมจะเกิดความเข้าใจขึ้นมาแล้วมิใช่หรือ?  ดังนั้น การไล่ตามเสาะหาความจริงจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นนามธรรมขนาดนั้น และไม่ได้ยากเท่าใดนัก  ไม่ว่าจะมองในแง่ใด จะเป็นในแง่ชีวิตประจำวันของเจ้า หน้าที่ของเจ้า งานของคริสตจักร หรือปฏิสัมพันธ์ที่เจ้ามีกับผู้อื่น เจ้าก็อาจแสวงหาความจริงเพื่อระบุทิศทางและหลักเกณฑ์ของการปฏิบัติ  ไม่ใช่เรื่องยากเลย  การเชื่อในพระเจ้าของมนุษย์สมัยนี้ง่ายกว่าสมัยก่อนมาก เพราะมีพระวจนะของพระเจ้าอยู่มากมายนั่นเอง และพวกเจ้าก็ได้ฟังคำเทศนาไปมาก มีสามัคคีธรรมมากมายถึงความจริงครบทุกแง่มุม  ถ้าใครมีความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณและมีขีดความสามารถ พวกเขาย่อมจะเข้าใจไปแล้ว  มีแต่คนที่ไม่มีความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณและขีดความสามารถก็แย่เท่านั้นที่พูดอยู่เสมอว่าตนไม่เข้าใจเรื่องนี้หรือเรื่องนั้น และจะไม่มีวันรู้เท่าทันสิ่งต่างๆ ได้  ทันทีที่มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาย่อมงุนงง การสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงย่อมทำให้เรื่องนั้นๆ กระจ่าง แต่สักพักต่อมาพวกเขาก็งงอีก  ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพวกเขาปล่อยให้วันเวลาผ่านไปโดยไม่สนใจโลก  พวกเขาเพียงแต่เกียจคร้านเกินไป และไม่แสวงหา  สิ่งทั้งหลายย่อมจะเข้าใจง่ายถ้าเจ้าแสวงหาและอ่านพระวจนะของพระเจ้าในส่วนที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้น เพราะพระวจนะทั้งหมดนั้นใช้ภาษาทั่วไปที่เข้าใจง่าย  คนที่ปกติไม่ว่าใครก็สามารถเข้าใจได้ เว้นแต่คนที่บกพร่องทางสติปัญญา  พระวจนะเหล่านี้ระบุเรื่องราวมากมายไว้อย่างชัดเจนและบอกทุกสิ่งแก่เจ้า  เว้นแต่เจ้าจะไม่ได้มองว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเจ้าถวิลหาด้วยหัวใจที่จะได้รับความจริงโดยแท้และถือว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรสามารถขัดขวางเจ้าหรือรั้งเจ้าไว้ไม่ให้ทำความเข้าใจและปฏิบัติความจริงได้

หลักการที่ง่ายที่สุดของการไล่ตามเสาะหาความจริงก็คือ เจ้าต้องยอมรับทุกสิ่งจากพระเจ้าและนบนอบในทุกเรื่อง  นั่นคือส่วนหนึ่ง  อีกส่วนหนึ่งก็คือ ในเรื่องหน้าที่ของเจ้าและสิ่งที่เจ้าต้องทำ และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในเรื่องพระบัญชาที่พระเจ้าประทานมาและภาระผูกพันของเจ้า รวมทั้งงานสำคัญนอกเหนือจากหน้าที่ของเจ้า แต่จำเป็นต้องให้เจ้าทำ งานที่จัดเตรียมไว้ให้เจ้าและขานชื่อเจ้าให้มาทำ—เจ้าควรยอมจ่ายราคาไม่ว่านั่นจะยากเย็นเพียงใดก็ตาม  ต่อให้เจ้าจำต้องเอาตัวเข้าแลกอย่างถึงที่สุด ต่อให้การข่มเหงเฉียดกรายเข้ามาใกล้ และต่อให้เจ้าต้องเสี่ยงชีวิต เจ้าก็ต้องไม่อิดออดกับราคาที่ต้องจ่าย แต่ต้องมอบความจงรักภักดีและนบนอบจนตัวตาย  นี่คือการสำแดงให้เห็นการไล่ตามเสาะหาความจริงในความเป็นจริง เป็นการสละที่แท้จริงและเป็นการปฏิบัติโดยแท้  การนี้ยากหรือไม่?  (ไม่ยาก)  เราชอบผู้คนที่บอกว่าไม่ยาก เพราะพวกเขามีหัวใจที่ถวิลหาการไล่ตามเสาะหาความจริง หัวใจที่มุ่งมั่นและสัตย์ซื่อ—หัวใจของพวกเขามีความเข้มแข็ง ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาจึงไม่มีอะไรยาก  แต่ถ้าผู้คนไม่มีความมั่นใจ ถ้าพวกเขาสงสัยตัวเองอย่างที่ผู้คนมักจะกล่าวกัน เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งย่อมจบสิ้นสำหรับพวกเขา  ถ้าคนคนหนึ่งไร้ประโยชน์เหมือนกองโคลนตม ไม่มีแรงจูงใจที่จะทำสิ่งใดให้เป็นผล แต่พอเป็นเรื่องกิน ดื่ม และรื่นเริง พวกเขากลับครื้นเครง และถ้าพวกเขาคิดลบเวลาเผชิญความยากลำบาก ขาดความกระตือรือร้น ไร้ซึ่งแรงจูงใจแม้แต่น้อยเมื่อเป็นเรื่องของการสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาย่อมเป็นคนเช่นใด?  พวกเขาย่อมเป็นคนที่ไม่รักความจริง  ถ้ามนุษย์ต้องไล่ตามเสาะหาความจริงในยุคพระคุณหรือยุคธรรมบัญญัติ นั่นคงกลายเป็นความท้าทายสำหรับพวกเขา  คงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะภาวะของมวลมนุษย์ในเวลานั้นแตกต่างออกไป และมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้พวกเขาก็ต่างออกไปเช่นกัน  ดังนั้น ในยุคอดีตจึงไม่ค่อยมีผู้คนที่สามารถใส่ใจฟังพระวจนะของพระเจ้าและนบนอบพระองค์ ยกเว้นผู้คนที่โดดเด่นอย่างโนอาห์ อับราฮัม โยบ และเปโตร  แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงตำหนิผู้คนสองยุคนั้นเพราะพระองค์ไม่ได้ตรัสบอกวิธีเข้าถึงมาตรฐานของความรอดแก่ผู้คน  ส่วนพระราชกิจระยะนี้ในยุคสุดท้าย พระเจ้าตรัสบอกผู้คนอย่างชัดแจ้งถึงทุกแง่ทุกมุมของความจริงที่พวกเขาต้องปฏิบัติ  ถ้าผู้คนยังคงไม่ปฏิบัติความจริงและยังคงทำตามข้อกำหนดของพระเจ้าไม่ได้ นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของพระเจ้า เป็นปัญหาของการที่มนุษย์ไม่รักความจริงและรังเกียจความจริง  ดังนั้น การให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงในยุคของการไล่ตามเสาะหาความจริงนี้ จึงไม่ใช่ความท้าทายสำหรับพวกเขา—แท้จริงแล้วนี่คือสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้  ในด้านหนึ่ง นี่เป็นเพราะทุกสิ่งเอื้อต่อการทำเช่นนั้น ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะภาวะและรากฐานของผู้คนดีพอที่พวกเขาจะไล่ตามเสาะหาความจริง  หากในที่สุดใครบางคนไม่สามารถได้รับความจริง ก็เป็นเพราะปัญหาของพวกเขาร้ายแรงเกินไปนั่นเอง  คนแบบนั้นสมควรได้รับการลงโทษอันใดก็ตามที่พวกเขาทนทุกข์อยู่ จุดจบใดๆ ก็ตามที่พวกเขาได้รับ ความตายใดๆ ก็ตามที่พวกเขาประสบ  พวกเขาไม่คู่ควรที่จะได้รับความสงสาร  สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีถ้อยคำอย่างความสงสารหรือความเวทนาให้แก่ผู้คน  พระองค์ทรงกำหนดจุดจบที่ใครบางคนควรได้รับตามข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ ตามพระอุปนิสัยของพระองค์ รวมทั้งระเบียบและกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้ และเมื่อการปฏิบัติหนึ่งๆ ให้ผลเป็นจุดจบนั้นๆ ชีวิตในปัจจุบันและชีวิตที่จะมาถึงของคนคนหนึ่งก็ย่อมถูกตัดสินตามนั้น  เรื่องก็ง่ายเช่นนั้นเอง  การที่จะมีคนอยู่รอดในท้ายที่สุดกี่คน หรือจะถูกลงโทษกันกี่คนไม่ใช่เรื่องสำคัญ  พระเจ้าไม่ใส่พระทัยเรื่องนั้น  พวกเจ้าเข้าใจอะไรบ้างจากวจนะเหล่านี้?  วจนะเหล่านี้ถ่ายทอดข้อมูลอันใดให้แก่พวกเจ้าบ้าง?  พวกเจ้ารู้หรือไม่?  ขอเราดูหน่อยว่าพวกเจ้าหลักแหลมและมีไหวพริบพอที่จะตอบหรือไม่  ถ้าพวกเจ้าตอบไม่ได้ เราก็จะใช้คำคำเดียวมาประเมินพวกเจ้าคือ—โง่เขลา  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเจ้าโง่เขลา?  เราจะบอกให้พวกเจ้ารู้ไว้  เรากล่าวว่าพระเจ้าไม่สนพระทัยว่าจะมีผู้คนอยู่รอดกี่คน หรือถูกทำลายและลงโทษในท้ายที่สุดกี่คน  นี่บอกพวกเจ้าว่าอะไร?  นี่บอกพวกเจ้าว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงลิขิตจำนวนผู้คนที่แน่นอนเอาไว้  เจ้าสามารถดิ้นรนได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ใครก็ตามที่อยู่รอดหรือถูกลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นเจ้า อีกคนหนึ่ง หรือกลุ่มใด ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจำนวนคนที่พระเจ้าทรงตั้งเอาไว้อยู่แล้ว  พระเจ้าทรงพระราชกิจและตรัสตามที่พระองค์ทรงทำอยู่ในตอนนี้  พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเป็นธรรมและประทานโอกาสให้ทุกคนอย่างเหลือเฟือ  พระองค์ประทานโอกาส พระคุณ พระวจนะของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์ ตลอดจนความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระองค์ให้แก่เจ้าอย่างเหลือเฟือ  พระองค์ทรงยุติธรรมกับทุกคน  ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญความยากลำบากเท่าใดหรือพบเจอความท้าทายมากเพียงใด ถ้าเจ้าสามารถไล่ตามเสาะหาความจริง อยู่บนเส้นทางของการติดตามพระเจ้า และสามารถยอมรับความจริง และถ้าอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ เจ้าก็จะได้รับการช่วยให้รอด  ถ้าเจ้าสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่คู่ควร เป็นเจ้านายที่คู่ควรของสรรพสิ่ง เจ้าก็จะอยู่รอด  ถ้าเจ้าจะอยู่รอด นั่นก็ไม่ใช่เพราะเจ้ามีชะตาที่ดี แต่เป็นเพราะการสละและความพยายามของเจ้าเอง และการไล่ตามเสาะหาของเจ้าเอง  นั่นย่อมจะเป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับและมีสิทธิ์ที่จะได้รับ  เจ้าไม่จำเป็นต้องให้พระเจ้าประทานสิ่งใดเพิ่มเติมแก่เจ้า  พระเจ้าไม่ประทานการทรงนำและการอบรมเพิ่มเติมแก่เจ้า พระองค์ไม่ตรัสพระวจนะเพิ่มเติมแก่เจ้าหรืออำนวยประโยชน์แก่เจ้าเป็นพิเศษ  พระองค์ไม่ทรงทำสิ่งเหล่านี้  นี่คือการอยู่รอดของผู้ที่แข็งแรงที่สุด เหมือนในธรรมชาติโดยแท้  สัตว์แต่ละตัวย่อมให้กำเนิดลูกตามจำนวนที่เกิดและตาย ตามระเบียบและกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงวางเอาไว้  ตัวที่สามารถอยู่รอดย่อมอยู่รอด และตัวที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ย่อมตายจาก แล้วจากนั้นก็มีการให้กำเนิดกันใหม่  อย่างไรก็ดี เมื่อกำเนิดออกมาแล้วก็มีมากมายที่สามารถอยู่รอด นั่นคือจำนวนที่มีอยู่  ในปีที่ไม่ดีย่อมไม่มีเหลือรอดสักตัว ในปีที่ดีก็มีเหลือรอดมากขึ้น  สรรพสิ่งย่อมดำรงสมดุลในที่สุด  แล้วพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาอย่างไร?  ท่าทีของพระเจ้านั้นเหมือนกัน  ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงประทานโอกาสแก่ทุกคนอย่างเป็นธรรม และด้วยเหตุดังกล่าวจึงตรัสกับทุกคนอย่างเปิดเผยและไม่ทรงได้อะไรตอบแทน  พระองค์ทรงกรุณาทุกคน และยกชูทุกคนขึ้นมา พระองค์ทรงนำ ดูแล และระวังรักษาทุกคน  ถ้าในที่สุดเจ้ามีชีวิตรอดเพราะไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าทำได้ตามมาตรฐานที่เป็นข้อกำหนดของพระเจ้า เจ้าย่อมจะประสบความสำเร็จแล้ว  แต่ถ้าเจ้าผ่านแต่ละวันไปอย่างเลอะเลือนอยู่เสมอ คิดไปว่าตัวเองมีชะตากรรมที่ไม่ดี มักจะทำอะไรเกินตัวอยู่เรื่อย ไม่รู้ว่าควรทำอะไร ใช้ชีวิตตามความรู้สึกของตนร่ำไป ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง ท้ายที่สุดเจ้าก็จะไม่ได้อะไรไว้  ถ้าเจ้าอยากผ่านไปวันๆ อย่างขอไปทีอยู่ตลอดเวลา ไม่รับรู้พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในตัวเจ้า ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าพระองค์ทรงนำเจ้า หรือประทานโอกาส การบ่มวินัย ความรู้แจ้ง และการเกื้อหนุนแก่เจ้า พระองค์ก็จะทรงมองว่าเจ้าเป็นคนเขลาที่ด้านชา และพระองค์ก็จะทรงเมินเจ้า  พระเจ้าจะทรงพระราชกิจในตัวเจ้าในวันที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง  พระองค์ไม่ทรงจดจำการกระทำผิดของเจ้า  ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พระเจ้าก็จะไม่บังคับหรือฉุดลากเจ้าไปด้วย  ถ้าเจ้าไล่ตามเสาะหา เจ้าก็จะได้รับ ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าก็จะไม่ได้รับ  ผู้คนสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ทำก็ได้ตามชอบ  เป็นเรื่องของพวกเขาที่จะตัดสินใจเอาเอง  เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าถึงเวลาสิ้นสุด พระองค์จะทรงถามหากระดาษคำตอบจากเจ้า และประเมินเจ้าตามมาตรฐานแห่งความจริง  ถ้าเจ้าไม่มีคำพยานเลย เจ้าก็ต้องถูกกำจัดออกไป เจ้าจะไม่สามารถมีชีวิตรอด  เจ้าจะกล่าวว่า “ฉันปฏิบัติหน้าที่ไปมากมายและลงแรงไปมากนัก  ฉันสละไปมากและจ่ายราคาไปมาก!”  แล้วพระเจ้าก็จะตรัสว่า “แต่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?”  เจ้าก็จะนึกทบทวน และจะดูเหมือนว่าตลอดการเชื่อในพระเจ้ามายี่สิบ สามสิบ สี่สิบ หรือห้าสิบปี เจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงเลย  พระเจ้าย่อมจะตรัสว่า “เจ้ากล่าวเองว่าเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง  เช่นนั้นก็ไปเถิด  ไปยังที่ที่เจ้าอยากไป”  เจ้าก็จะกล่าวว่า “พระเจ้าไม่คิดหรือว่าน่าเสียดายที่ช่วยคนที่พระองค์ควรช่วยให้รอดน้อยลงไปหนึ่งคน น่าเสียดายที่ขาดเจ้านายของสรรพสิ่งไปหนึ่งคน?”  ถึงจุดนี้ พระเจ้าจะยังทรงดำริว่าน่าเสียดายหรือไม่?  พระเจ้าทรงอดทนมานานพอแล้ว พระองค์ทรงรอคอยมานานพอแล้ว  ความคาดหวังที่พระองค์ทรงมีต่อเจ้าย่อมจะหมดวาระไปแล้ว พระองค์ย่อมจะสิ้นหวังในตัวเจ้าแล้ว และจะไม่สนพระทัยเจ้าอีกต่อไป  พระองค์จะไม่หลั่งน้ำพระเนตรเพื่อเจ้าสักหยด หรือเจ็บปวดและทนทุกข์เพราะเจ้าอีกแล้ว  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะจุดจบของทุกสิ่งย่อมจะมาถึงแล้ว พระราชกิจของพระเจ้าก็จะถึงกาลสิ้นสุด แผนการบริหารจัดการของพระองค์ย่อมถึงเวลาปิดตัว และพระองค์ก็จะทรงหยุดพัก  พระเจ้าจะไม่ทรงเป็นสุขเพื่อใคร และจะไม่ทรงเจ็บปวด หลั่งน้ำพระเนตร หรือกันแสงเพื่อใคร  แน่นอนว่าพระองค์จะไม่ทรงปีติและเปรมปรีดิ์ที่มีใครอยู่รอด หรือมีใครสามารถกลายเป็นเจ้านายของสรรพสิ่งได้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  พระเจ้าทรงทุ่มเทให้กับมนุษยชาตินี้มากมายเกินไป ยาวนานเกินไป และพระองค์จำต้องทรงหยุดพัก  พระองค์จำเป็นต้องทรงปิดจบแผนการบริหารจัดการนานหกพันปีของพระองค์และจะไม่สนพระทัยแผนการดังกล่าวหรือวางแผนอื่นใด หรือตรัสพระวจนะหรือทรงพระราชกิจในตัวมนุษย์อีกต่อไป  พระองค์จะส่งมอบงานในอนาคตและยุคที่จะมาถึงให้แก่เจ้านายแห่งยุคถัดไป  เมื่อเป็นดังนี้ เรากำลังบอกอะไรแก่พวกเจ้า?  เราบอกดังนี้ว่า ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้ารู้กันแล้วว่าในที่สุดจะมีผู้คนเหลืออยู่กี่คน และใครบ้างที่จะทำเช่นนั้นได้ พวกเจ้าแต่ละคนย่อมจะสามารถพากเพียรไปให้ถึงจุดนั้นได้—และเส้นทางเดียวที่จะทำเช่นนั้นก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริง  จงอย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆ และไม่ควรทำตัวเลอะเลือน  ถ้าถึงวันที่พระเจ้าไม่ทรงจดจำราคาที่เจ้าจ่ายอีกต่อไปและไม่สนพระทัยอีกแล้วว่าเจ้าเดินอยู่บนเส้นทางใด และจุดจบของเจ้าจะเป็นเช่นใด เมื่อถึงวันนั้น จุดจบของเจ้าย่อมจะถูกกำหนดไว้แล้วโดยแท้  ตอนนี้พวกเจ้าต้องทำอย่างไร?  พวกเจ้าต้องฉวยโอกาสในตอนนี้เอาไว้ ระหว่างที่พระทัยของพระเจ้ายังคงตรากตรำเพื่อมวลมนุษย์ ระหว่างที่พระองค์ยังคงวางแผนเพื่อมวลมนุษย์ ยังคงโศกเศร้าและกลัดกลุ้มกับทุกความเคลื่อนไหวและทุกอิริยาบถของมนุษย์  ผู้คนต้องเลือกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้  จงวางเป้าหมายและทิศทางสำหรับการไล่ตามเสาะหาของเจ้า อย่ารอจนวันที่พระเจ้าทรงหยุดพักมาถึง แล้วค่อยวางแผน  ถ้าเจ้าไม่รู้สึกเสียใจ สำนึกผิด เศร้าใจ และไม่ได้โอดครวญอย่างแท้จริงจนกระทั่งถึงตอนนั้น ทั้งหมดก็เกิดขึ้นช้าเกินไป  ไม่มีใครจะสามารถช่วยเจ้าให้รอดได้ พระเจ้าก็ไม่สามารถ  นี่เป็นเพราะเมื่อถึงเวลานั้น เวลาที่แผนการของพระเจ้าสิ้นสุดลงอย่างแท้จริง และพระองค์ทรงทำเครื่องหมายเป็นครั้งสุดท้ายไปแล้วและกำลังจะสรุปจบแผนการของพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงพระราชกิจอีกต่อไป  พระเจ้าจำเป็นต้องทรงหยุดพัก พระองค์จำเป็นต้องลิ้มรสดอกผลที่เกิดจากแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์และชื่นชมการดูแลสรรพสิ่งให้พระองค์โดยมนุษย์ที่เหลืออยู่  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการที่จะชื่นชมก็คือภาพที่มนุษย์ที่เหลืออยู่คอยบริหารจัดการสรรพสิ่งตามกฎเกณฑ์และข้อบังคับที่พระองค์ทรงวางไว้ ตามระเบียบแบบแผนที่พระองค์ทรงสร้างสรรค์ขึ้นมาสำหรับฤดูกาล สรรพสิ่ง และมวลมนุษย์ โดยทำอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่มีการละเมิดน้ำพระทัยหรือพระประสงค์ของพระองค์แต่อย่างใด  พระเจ้าทรงต้องการที่จะสุขสำราญกับการพักผ่อนของพระองค์ เกษมสำราญกับความสุขสบาย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องมวลมนุษย์หรือทรงพระราชกิจเพื่อพวกเขาอีกต่อไป  พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่?  (เข้าใจ)  วันนั้นจะมาถึงในไม่ช้า  ถ้าพวกเราคุยกันเรื่องอายุขัยของมนุษย์ในสมัยของอาดัมและเอวา ผู้คนก็อาจจะยังมีอายุขัยเหลืออีกหลายร้อยปี และเวลาที่เหลืออยู่ก็จะยาวนานมาก  จงดูเถิดว่าโนอาห์ใช้เวลานานเพียงใดในการสร้างเรือใหญ่  เราคิดว่าทุกวันนี้มีผู้คนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะดำรงชีวิตเกินหนึ่งร้อยปี และต่อให้เจ้ามีชีวิตถึงเก้าสิบหรือร้อยปี เจ้าจะเหลือเวลาอีกกี่สิบปี?  ไม่มากแล้ว  ต่อให้เจ้าอายุยี่สิบปีในวันนี้และอาจดำรงชีวิตไปจนอายุเก้าสิบปี ฉะนั้นเจ้าก็จะมีชีวิตไปอีกเจ็ดสิบปี นั่นก็น้อยกว่าที่โนอาห์ใช้สร้างเรือใหญ่อยู่ดี  สำหรับพระเจ้าแล้ว หกพันปีคือชั่วพริบตาเดียว และหกสิบปี แปดสิบปี หรือหนึ่งร้อยปีของมนุษย์ก็คือไม่กี่วินาทีสำหรับพระเจ้า—ไม่กี่นาทีเป็นอย่างมาก ชั่วพริบตาเดียว  แม้กระทั่งผู้คนที่ไม่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องหรือไล่ตามเสาะหาความจริงก็มักจะกล่าวว่า “ชีวิตนี้สั้น กล่าวคือ ชั่วพริบตาเดียวพวกเราก็แก่แล้ว ชั่วพริบตาเดียวบ้านก็เต็มไปด้วยลูกหลาน ชั่วพริบตาเดียวชีวิตของพวกเราก็หมดวาระ”  แล้วถ้าเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง จะเป็นเช่นใด?  สำหรับเจ้าแล้ว เวลาจะยิ่งเร่งรัดเข้ามาอีก  ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่กลวงเปล่าย่อมปล่อยให้วันเวลาหมดไปเปล่าๆ และทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเร็ว  แล้วถ้าเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงจะเป็นเช่นใด?  สภาพแวดล้อม บุคคล เหตุการณ์ หรือเรื่องราวใดๆ ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้ย่อมเป็นสิ่งที่ดีพอที่จะให้เจ้ามีประสบการณ์ด้วยสักระยะหนึ่ง—หลังจากล่วงเลยไปนานแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะมีความรู้ ความเข้าใจเชิงลึก และประสบการณ์ขึ้นมาบ้าง  นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย  เมื่อเจ้ามีความรู้และประสบการณ์นั้นๆ อย่างแท้จริงแล้ว เจ้าจึงจะฉุกคิดขึ้นมาว่า “แย่ละ!  มนุษย์ไม่ได้อะไรไว้มากนักจากการไล่ตามเสาะหาความจริงมาทั้งชีวิต!”  ตอนนี้มีผู้คนมากมายที่เขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ของตน และเราก็เห็นว่าบางคนที่เชื่อในพระเจ้ามานานยี่สิบหรือสามสิบปี เอาแต่เขียนเล่าความล้มเหลวและการสะดุดล้มของตนเมื่อสิบหรือยี่สิบปีที่แล้ว  พวกเขาอยากเขียนเล่าเรื่องในระยะนี้และการเข้าสู่ชีวิตของตนในปัจจุบัน แต่ก็ไม่มีอะไรให้เล่า  ประสบการณ์ของพวกเขามีน้อยจนน่าสมเพช  ในการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ บางคนต้องย้อนมองความล้มเหลวและการสะดุดล้มของตนในอดีต และคนที่ความจำไม่ดีก็ต้องให้ผู้อื่นช่วยให้ตนนึกออก  เศษเสี้ยวอันเล็กน้อยนั้นคือทั้งหมดที่พวกเขาได้รับในการเชื่อในพระเจ้ามาสิบ ยี่สิบ และแม้กระทั่งสามสิบปี และการเขียนออกมาก็เป็นงานยาก  บางบทความถึงกับเขียนไม่ปะติดปะต่อกัน โดยท่อนที่ไม่ต่อเนื่องกันก็ใช้จินตนาการบีบให้อยู่ด้วยกัน  อันที่จริง บทความเหล่านี้ไม่นับเป็นประสบการณ์ชีวิตด้วยซ้ำ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชีวิตเลย  เวลาที่มนุษย์ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เขาย่อมน่าสมเพชแบบนั้น  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ย่อมเป็นเช่นนั้น  เราหวังว่าพอถึงวันที่พระราชกิจของพระเจ้าแล้วเสร็จ พวกเจ้าจะไม่มีใครคุกเข่าสำนึกผิดต่อพระองค์และกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าพระองค์รู้ตัวแล้ว!  คราวนี้ข้าพระองค์รู้แล้วว่าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร!”  สายเกินไปแล้ว!  พระเจ้าจะไม่สนพระทัยเจ้า พระองค์จะไม่ใส่พระทัยอีกต่อไปว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ เจ้ามีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามชนิดใดบ้าง หรือเจ้ามีท่าทีเช่นใดต่อพระองค์ และพระองค์ก็จะไม่ใส่พระทัยว่าเจ้าถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามมากเพียงใดหรือเจ้าเป็นคนเช่นใด  เมื่อการนั้นเกิดขึ้น เจ้าย่อมจะหนาวเยือกจนถึงแก่นมิใช่หรือ?  (ใช่)  คราวนี้จงนึกภาพเถิดว่า ถ้าเวลานั้นมาถึงจริง เจ้าจะเศร้าหรือไม่?  (เศร้า)  ทำไมเจ้าถึงเศร้า?  ความนัยที่แฝงอยู่ก็คือเจ้าจะไม่มีวันได้โอกาสอีก  เจ้าจะไม่มีวันได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าอีก และพระเจ้าก็จะไม่มีวันกลัดกลุ้มในเรื่องของเจ้าอีก เจ้าจะไม่มีวันเป็นคนที่พระองค์ทรงห่วงใยหรือเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์อีกแล้ว  เจ้าจะไม่มีสัมพันธภาพใดๆ กับพระองค์  คิดแล้วน่ากลัวนัก  แม้เจ้าจะนึกภาพนั้นออกในตอนนี้ แต่พอถึงวันที่เจ้าไปถึงจุดนั้นเข้าจริงๆ เจ้าย่อมจะอึ้งไปมิใช่หรือ?  นั่นจะเป็นอย่างที่พระคัมภีร์ว่าไว้นั่นเองว่า เมื่อเวลานั้นมาถึง ผู้คนจะทุบอกและแผ่นหลังของตน กรีดร้อง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พลางร่ำไห้เหมือนถึงเวลาตายของตน  และถึงจะร้องไห้ให้ตายก็ไม่มีประโยชน์—สายไปหมดแล้ว!  พระเจ้าจะไม่ใช่พระเจ้าของเจ้าอีกต่อไป และเจ้าก็จะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้าอีกต่อไป  เจ้าจะไม่มีสัมพันธภาพใดๆ กับพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงต้องการเจ้า  เจ้าจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระเจ้าอีกแล้ว  เจ้าจะไม่อยู่ในพระทัยของพระองค์อีกต่อไป และพระองค์ก็จะไม่ทรงวิตกกังวลในเรื่องของเจ้าอีกต่อไป  ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมจะเดินไปสุดทางของการเชื่อในพระเจ้าแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  นั่นคือสาเหตุที่ถ้าเจ้าสามารถนึกภาพออกว่าอาจมีช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์เจ้า เจ้าก็ควรชื่นชูคุณค่าของช่วงเวลานี้เอาไว้  พระเจ้าอาจตีสอนเจ้า พิพากษา หรือตัดแต่งเจ้า พระองค์อาจถึงกับสาปแช่งและดุว่าเจ้าตรงๆ  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ควรชื่นชูว่า อย่างน้อยพระเจ้าก็ยังคงรับรู้ว่าเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ อย่างน้อยพระองค์ก็ยังคงมีความคาดหวังในตัวเจ้า และอย่างน้อยเจ้าก็ยังคงอยู่ในพระทัยของพระองค์ พระองค์ยังคงเต็มพระทัยที่จะว่ากล่าวเจ้าและสาปแช่งเจ้า นี่หมายความว่าในพระทัยนั้น พระองค์ยังทรงเป็นห่วงเจ้า  ความเป็นห่วงนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถเอาชีวิตของตนมาแลกได้  ทีนี้ก็จงอย่าทำตัวโง่เขลา!  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  ถ้าพวกเจ้าเข้าใจ พวกเจ้าก็ไม่ได้โง่จริง พวกเจ้าแกล้งโง่กันมิใช่หรือ?  เราหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ได้โง่จริง  ถ้าเจ้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ก็จงอย่าปล่อยให้วันเวลาของเจ้าผ่านไปเปล่าๆ  การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตมนุษย์  ไม่มีเรื่องอื่นใดสำคัญเท่าการไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่มีเรื่องอื่นใดมีคุณค่าเหนือกว่าการได้มาซึ่งความจริง  การติดตามพระเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้เป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  จงเร่งมือเถิด และทำให้การไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ!  ในแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ พระราชกิจในยุคสุดท้ายในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงดำเนินการในตัวผู้คน  การไล่ตามเสาะหาความจริงคือความคาดหวังสูงสุดที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร  พระองค์ทรงหวังให้ผู้คนเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง ซึ่งก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริง  จงอย่าทำให้พระเจ้าเสียพระทัย อย่าทำให้พระองค์ผิดหวัง และอย่าทำให้พระองค์ลบเจ้าออกไปจากพระทัยเมื่อห้วงเวลาสุดท้ายมาถึง และไม่ทรงกังวลถึงเจ้าอีกต่อไป หรือไม่ทรงมีแม้แต่ความเกลียดชังเหลือไว้ให้เจ้า  จงอย่าปล่อยให้เลยเถิดไปถึงขั้นนั้น  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)

หัวข้อที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมไปในวันนี้คืออะไร?  (เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง)  เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง—เป็นหัวข้อที่หนักอยู่สักหน่อยใช่หรือไม่?  ทำไมถึงหนัก?  เพราะเป็นเรื่องสำคัญ  สำหรับอนาคตของทุกคน ชีวิตของทุกคน และสำหรับหนทางดำรงอยู่ของทุกคนในยุคต่อไป นี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างที่สุด  ดังนั้นเราจึงหวังว่าพวกเจ้าจะฟังหัวข้อเสวนาของวันนี้กันอีกสักสองรอบ เพื่อย้ำให้พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นอีกนิด  ไม่ว่าเมื่อก่อนเจ้าจะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ นับจากสามัคคีธรรมเรื่อง “เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง” ในวันนี้เป็นต้นไป จงพากเพียรตั้งปณิธานและแน่วแน่ในเจตจำนงของเจ้าที่จะเลือกไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด  พวกเจ้าทำได้หรือไม่?  (ทำได้)  เยี่ยมมาก  วันนี้พวกเราเสามัคคีธรรมเรื่อง  “เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง” กันจบแล้ว  หัวข้อต่อไปสำหรับสามัคคีธรรมของพวกเราก็คือ ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร  ในเมื่อเราบอกพวกเจ้าไปแล้วว่าเป็นเรื่องอะไร ก็จงใคร่ครวญเรื่องนี้และดูว่าพวกเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในหัวใจบ้าง  จงตรองดูเสียก่อน  ส่วนสามัคคีธรรมวันนี้ก็จบลงเท่านี้

3 กันยายน ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (16)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (1)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger