การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (16)

เบื้องหลังที่พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายด้วยการแสดงความจริง (II)

พวกเราได้สามัคคีธรรมและชำแหละแก่นแท้ของคำกล่าวต่างๆ ที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม รวมทั้งชำแหละผลกระทบของคำกล่าวนานัปการที่มีต่อผู้คนเป็นหลัก  โดยส่วนใหญ่แล้ว คำกล่าวต่างๆ ที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงผลที่วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมมีต่อผู้คนในระดับที่ต่างกันไป ซึ่งผลทั้งหลายยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน  คำกล่าวที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมคำกล่าวใดที่พวกเราได้สามัคคีธรรมและเปิดโปงไปในการชุมนุมคราวก่อน?  (คราวก่อนพระเจ้าได้ทรงสามัคคีธรรมและเปิดโปงคำกล่าวที่ว่า “คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง”)  เวลาที่พวกเราสามัคคีธรรมคำกล่าวที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม พวกเราเสวนากันถึงประเด็นปัญหาของสภาพแวดล้อมทั่วไปที่ว่า ไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร หรือสภาพแวดล้อมทางสังคมของพวกเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หรือสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศใดเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ความเสื่อมทรามที่ซาตานก่อให้เกิดขึ้นในมวลมนุษย์ ในความคิดและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน และในส่วนลึกสุดของหัวใจโดยผ่านทางความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัตินานาประการที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่พบในวัฒนธรรมดั้งเดิมก็กลายเป็นชัดเจนขึ้นทุกที  ผลกระทบต่อมวลมนุษย์ซึ่งมีเหตุมาจากอันตรายร้ายแรงของวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นไม่ได้ลดน้อยถอยลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาและการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมที่ดำรงชีวิตอยู่ หนำซ้ำผู้คนมากมายก็ยังคงส่งเสริมและอ้างอิงถึงคำกล่าวต่างๆ ที่เกิดจากวัฒนธรรมดั้งเดิม โดยเคารพว่านั่นเป็นการศึกษาแบบจีนดั้งเดิมและเป็นงานเขียนที่เชื่อถือได้  เห็นได้ชัดเจนว่า ซาตานได้ปลูกเพาะคำกล่าวต่างๆ ที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมลึกลงในหัวใจผู้คนและทำให้ผู้คนเสื่อมทรามจนถึงขีดสุด  เหตุใดซาตานจึงทำให้ผู้คนเสื่อมทราม?  อะไรคือเป้าหมายสูงสุดของมันในการทำให้ผู้คนเสื่อมทราม?  มันมุ่งเป้าไปที่มวลมนุษย์หรือที่พระเจ้า?  (พระเจ้า)  นี่คือบางสิ่งที่เจ้าต้องเข้าใจเพื่อที่จะรู้จักแก่นแท้ของซาตาน อีกทั้งรู้จักสาเหตุรากเหง้าและกระบวนการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม  ซาตานทำให้ความคิดของผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร?  เหตุใดผู้คนจึงเก็บงำสิ่งทั้งหลายที่ต่อต้านพระเจ้าเช่นนั้นเอาไว้ในส่วนลึกสุดของหัวใจ?  เหตุใดผู้คนจึงเก็บงำสิ่งที่สวนทางกับความจริงเหล่านี้เอาไว้?  ผู้คนเป็นแบบนี้กันไปได้อย่างไร?  มวลมนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า แล้วเหตุใดผู้คนจึงขัดขืนและกบฏต่อพระเจ้าในทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นเดียวกันกับซาตาน?  สาเหตุรากเหง้าคืออะไร?  สิ่งที่พวกเราเสวนาไปก่อนหน้านี้สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้หรือไม่?  (ได้)  ลองนึกย้อนดูเถิดและคิดถึงสิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปเมื่อครั้งก่อน  (ในตอนแรก พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงภาวะปัจจุบันของพวกเรา  แม้ว่าพวกเรากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า แต่โดยพื้นฐานแล้วพวกเรากลับไม่มีวิจารณญาณแยกแยะเมื่อเป็นเรื่องของความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติ รวมทั้งความคิดและทัศนะทั้งหลายที่ซาตานปลูกฝังในตัวพวกเรา และพวกเราสามารถกลายเป็นกระบอกเสียงและขี้ข้าของซาตานที่ไหนเวลาใดก็ได้  พระเจ้าได้ทรงสามัคคีธรรมถึงเหตุผลที่ซาตานใช้ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติเหล่านี้ชักพาผู้คนให้หลงผิดและทำให้ผู้คนเสื่อมทรามไปแล้วเช่นกัน  ถึงแม้ซาตานทำอันตรายและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม แต่วัตถุประสงค์แท้จริงของมันก็มุ่งเป้าไปที่พระเจ้า  มันต้องการล้มล้างและทำลายแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  เพราะแผนการบริหารจัดการของพระเจ้านั้นมีจุดมุ่งหมายสูงสุดที่จะช่วยผู้คนกลุ่มหนึ่งให้รอดและทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อม เพื่อให้พวกเขาสามารถมีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ซาตานจึงพยายามขัดขวางและเป็นอุปสรรคไม่ให้ผู้คนเหล่านี้ติดตามพระเจ้า ไม่ให้ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์โดยพระเจ้าและไม่ให้พระเจ้าทรงรับพวกเขาไว้  พระเจ้าทรงรู้เท่าทันกลอุบายฉลาดแกมโกงของซาตานแต่ก็ไม่ทรงหยุดยั้งซาตาน  ในทางกลับกันพระเจ้าทรงใช้ซาตานเป็นวัตถุรับใช้และตัวประกอบเสริมความเด่น เพราะพระปัญญาของพระเจ้าถูกสร้างขึ้นบนกลอุบายฉลาดแกมโกงของซาตาน และพระองค์ก็ทรงพระราชกิจแห่งการชำระให้สะอาดและความรอดแก่ผู้คนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม  พระเจ้าทรงเผยและชำแหละคำกล่าวต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิมเพื่อให้พวกเรารู้เท่าทันว่าซาตานใช้ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติเหล่านี้มาชักพาผู้คนให้หลงผิดและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  พระเจ้าทรงทำเช่นนี้เพื่อให้พวกเราสามารถเรียนรู้การใช้วิจารณญาณ และไม่เพียงแค่เข้าใจตามคำสอนว่าความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติเหล่านี้เป็นลบ แต่ทรงให้พวกเราสามารถเข้าใจอย่างชัดเจนว่า อะไรคือกลอุบายฉลาดแกมโกงของซาตานที่อยู่ภายในคำกล่าวเหล่านี้เสียมากกว่า  เมื่อพวกเราเข้าใจสิ่งเหล่านั้นอย่างชัดเจนแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็สามารถเปรียบเทียบตัวเองกับสิ่งเหล่านั้น ทบทวนตัวเองในความสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้า ตรวจสอบว่าอะไรคือความคิดและแนวคิดเยี่ยงซาตานที่พวกเรามี ตรวจสอบว่าอะไรคือกลอุบายฉลาดแกมโกงของซาตานที่มีอยู่ในเจตนาแห่งการกระทำทั้งหลายของพวกเรา และอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันใดที่พวกเราเผยออกมา  นี่คือสิ่งที่เป็นการรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง และไม่ใช่แค่คงอยู่ที่ระดับของความเข้าใจตามคำสอนและวิจารณญาณที่เรียบง่ายเท่านั้น)  หนึ่งในหนทางที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามก็คือการทำให้ความคิดและหัวใจของพวกเขาเสื่อมทรามลง มันใส่ความคิด แนวคิด ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติเยี่ยงซาตานทุกรูปแบบเข้าไปในหัวใจและจิตใจผู้คน  มีคำกล่าวต่างๆ ที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมซึ่งแสดงถึงความสุดยอดของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมในหมู่พวกเขา—คำกล่าวเหล่านั้นเป็นตัวแทนอมตะของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม  โดยพื้นฐานแล้ว ความคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นตัวแทนความคิดของซาตานและแก่นแท้ของซาตาน อีกทั้งความคิดและทัศนะเหล่านี้ก็เป็นตัวแทนสิ่งทั้งหลายในธรรมชาติของซาตานที่ท้าทายพระเจ้า  ผลสืบเนื่องขั้นสุดท้ายของการที่ซาตานใช้สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามคืออะไร?  (ทำให้ผู้คนตั้งตนต่อต้านพระเจ้า)  ผลสืบเนื่องก็คือการทำให้ผู้คนต่อต้านพระเจ้า  แล้วผู้คนกลายเป็นอะไร?  (พวกเขากลายเป็นกระบอกเสียงและขี้ข้าของซาตาน  พวกเขากลายเป็นฝูงซาตานที่มีชีวิต)  ผู้คนกลายเป็นกระบอกเสียงของซาตาน เป็นร่างจำแลงของซาตาน และมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามก็มาเป็นตัวแทนของซาตาน  เจตนา จุดประสงค์ ความคิด และแนวคิดที่อยู่ในคำพูดซึ่งมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามกล่าวออกมา อีกทั้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมานั้น ก็คือสิ่งที่ซาตานแสดงและเผยออกมา  นี่ย่อมพิสูจน์ยืนยันได้โดยสมบูรณ์ว่ากฎแห่งการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์ อีกทั้งความคิดและทัศนะอันหลากหลายของพวกเขาที่พวกเขาใช้ประพฤติปฏิบัติตนและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้น ล้วนตรงมาจากซาตานและเป็นตัวแทนของแก่นแท้ธรรมชาติของซาตาน กล่าวคือ นี่ย่อมพิสูจน์ยืนยันได้อย่างครบถ้วนว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามซึ่งมีชีวิตอยู่นั้นเป็นร่างจำแลงของซาตาน เป็นลูกหลานของซาตาน และเป็นประเภทเดียวกับซาตาน นี่พิสูจน์ยืนยันได้อย่างครบถ้วนว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามซึ่งมีชีวิตอยู่นั้นคือซาตานที่มีชีวิต เป็นปีศาจที่มีชีวิต และพิสูจน์ยืนยันว่ามวลมนุษย์ซึ่งกลายเป็นร่างจำแลงของซาตานไปแล้วก็คือตัวแทนของซาตาน  ไม่ว่ามวลมนุษย์จะเป็นลูกหลานของซาตานหรือร่างจำแลงของซาตาน ไม่ว่าในกรณีใด นั่นก็เป็นประเภทเดียวกับซาตาน และสำหรับพระเจ้าแล้ว มวลมนุษย์เช่นนี้ก็คือมวลมนุษย์ที่ปฏิเสธและทรยศพระเจ้า นั่นก็คือศัตรูของพระเจ้า และเป็นกองกำลังที่ต่อต้านพระเจ้า  มวลมนุษย์เช่นนี้ไม่ใช่มวลมนุษย์ทรงสร้างที่ไม่รู้ความ มีจิตใจดุจกระดานชนวนที่ว่างเปล่าดังเช่นในตอนแรกเริ่ม  มวลมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานและเต็มไปด้วยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน แล้วอะไรเล่าคือสิ่งที่มวลมนุษย์ซึ่งดำรงชีวิตในภาวะและสภาวะประเภทนี้จำเป็นต้องมี?  มวลมนุษย์นี้จำเป็นต้องได้ร้บการช่วยให้รอดของพระเจ้า  บัดนี้เป็นเวลาที่พระเจ้าทรงใช้พระวจนะช่วยผู้คนให้รอด  พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดในบริบทใด?  ในบริบทที่ความเสื่อมทรามในมวลมนุษย์ของซาตานได้มาถึงระดับที่รุนแรงและลุ่มลึกที่สุด กล่าวคือ ความเสื่อมทรามนั้นได้เปลี่ยนผู้คนไปเป็นร่างจำแลงและกระบอกเสียงของซาตานโดยสมบูรณ์ และผู้คนก็กลายเป็นศัตรูของพระเจ้าและมาอยู่ในจุดที่ต่อต้านพระเจ้าไปแล้ว  พระเจ้าทรงเริ่มพระราชกิจในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระองค์ภายในบริบทนี้  นี่คือสถานการณ์จริงเกี่ยวกับการที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทราม และเป็นบริบทที่แท้จริงของการที่พระเจ้าทรงแสดงความจริงและปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดในยุคสุดท้าย  อะไรคือประโยชน์ของการรู้ความเป็นจริงเหล่านี้?  การนี้ทำให้ผู้คนรู้จักแก่นแท้ของตัวเอง รู้จักแก่นแท้ของซาตาน รู้วิถีทางที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทราม และรู้ความเลวของซาตาน การนี้ยังทำให้ผู้คนรู้จุดประสงค์ของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า ตลอดจนรู้จักมหิทธานุภาพ สิทธิอำนาจ พระปัญญา และฤทธานุภาพของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเผยออกมาในพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอีกด้วย  นอกเหนือจากการจำเป็นต้องระลึกรู้ว่าความเลวและแก่นแท้ของซาตานกับแก่นแท้ธรรมชาติของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเป็นแบบไหนแล้ว สิ่งสำคัญก็คือ ผู้คนต้องรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และแก่นแท้ของพระเจ้า  โดยส่วนใหญ่นั้น การรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าเกี่ยวข้องกับการรู้จักมหิทธานุภาพ สิทธิอำนาจ พระปัญญา และฤทธานุภาพของพระเจ้า—โดยหลักแล้ว การนี้เกี่ยวข้องกับการรู้จักแง่มุมเหล่านี้ของแก่นแท้ของพระองค์

จากมุมมองในบริบทที่พระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดนั้น มวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยให้รอดนี้ไม่ใช่มวลมนุษย์ที่พระองค์เพิ่งทรงสร้างขึ้นมา แต่เป็นมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามมาตลอดหลายพันปี  ส่วนลึกสุดของหัวใจมนุษย์รวมทั้งความคิดหรืออุปนิสัยของมนุษย์ไม่ใช่กระดานชนวนที่ว่างเปล่า แต่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่าลึกล้ำมานานแล้ว  บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ถูกซาตานล่อหลอก ควบคุม บงการ เหยียบย่ำและทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ  ตราบที่เป็นเรื่องของผู้คน การที่จะเปลี่ยนแปลงหรือขจัดสิ่งทั้งหลายของซาตานและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานภายในมวลมนุษย์ทรงสร้างนี้ช่างลำบากยากเย็นอย่างเหลือเชื่อหรือถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ  นั่นพูดได้ว่า ตราบที่เป็นเรื่องของผู้คน การที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนะของพวกเขา การที่จะชำระสิ่งทั้งหลายของซาตานที่อยู่ลึกลงไปในหัวใจพวกเขาให้สะอาด และการที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาล้วนเป็นกิจที่เป็นไปไม่ได้ นั่นไม่ผิดจากกับคำกล่าวที่ว่า “เสือดาวเปลี่ยนแปลงลายของมันไม่ได้”  กระนั้นก็ยังแน่ชัดว่า พระเจ้าต้องประสงค์ที่จะปฏิบัติพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดในบริบทนี้และกับมวลมนุษย์ทรงสร้างนี้  ในพระราชกิจของพระเจ้า พระองค์ไม่ทรงจัดแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ใดเลย ทั้งพระองค์ก็ไม่ทรงแสดงให้เห็นสภาวะบุคคลจริงของพระองค์อย่างเปิดเผย ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจใดที่ผู้คนอาจเห็นว่าทรงฤทธานุภาพและทรงสิทธิอำนาจ  ซึ่งก็พูดได้ว่าในยุคสุดท้ายนั้น ระหว่างช่วงเวลาที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงช่วยมนุษย์ให้รอด พระเจ้าไม่ทรงจัดแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ใดเลย พระองค์ไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจใดที่เกินขอบเขตของความสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือความเป็นจริง และพระองค์ไม่ทรงปฏิบัติกิจการใดที่เกินสภาวะความเป็นมนุษย์ทางเนื้อหนัง  พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจอันเหนือธรรมชาติเช่นนั้น แต่พระองค์กลับทรงใช้พระวจนะเพื่อจัดเตรียมชีวิตของผู้คนและเปิดโปงผู้คนรวมทั้งชำระพวกเขาให้สะอาดจากความเสื่อมทราม  เพราะพระองค์ทรงใช้เพียงพระวจนะในการปฏิบัติพระราชกิจนี้ สำหรับมนุษย์แล้ว นั่นอาจดูเหมือนพระราชกิจที่เป็นไปไม่ได้เลย และในสายตาผู้คนส่วนใหญ่ นั่นดูเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ ด้วยซ้ำไป  ผู้คนเชื่อว่าการที่พระเจ้าทรงใช้ถ้อยดำรัสทั้งหลาย ถ้อยดำรัสซึ่งถูกตรัสในหลากหลายหนทาง จากหลากหลายจุดยืน และเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ นานัปการเพื่อจัดเตรียมให้แก่พวกเขาและทำให้พวกเขาบรรลุความรอดนั้น เป็นพระราชกิจที่เป็นไปไม่ได้  โดยเฉพาะซาตานยิ่งแทบไม่เชื่อเลยว่านี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสามารถทำได้โดยบริบูรณ์ ไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพ สิทธิอำนาจ และพระปัญญาที่จะทำให้พระราชกิจนี้สำเร็จลุล่วง  นั่นแสดงให้เห็นว่าในสายตาของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง การที่พระเจ้าตรัสถ้อยดำรัสของพระองค์และปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดนั้นเป็นพระราชกิจที่เป็นไปไม่ได้  อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสิ่งทั้งหลายจะเป็นไปอย่างไรในภายภาคหน้า สิ่งทั้งหลายที่ถูกกล่าวถึงในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “พระเจ้าทรงดีงามเช่นเดียวกับพระวจนะของพระองค์ และพระวจนะของพระองค์จะสำเร็จลุล่วง และสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้สำเร็จลุล่วงนั้นจะคงอยู่ตลอดกาล” ก็ถูกทำให้สำเร็จลุล่วงในบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ไปแล้ว นั่นก็คือ ผู้คนส่วนใหญ่ได้มีการชิมลางการนี้ไปแล้ว  เมื่อพิจารณาจากหนทางที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ จากการที่พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดผ่านทางการจัดเตรียมของพระวจนะ การบำรุงเลี้ยงด้วยพระวจนะ การเผยพระวจนะ การตีสอนและการพิพากษาของพระวจนะ การสั่งสอนของพระวจนะ การเตือนและการกระตุ้นของพระวจนะ และหนทางอื่นๆ ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้มีเพียงความหมายที่เรียบง่ายของพระวจนะซึ่งสามารถเข้าใจได้โดยมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์เท่านั้น  นอกเหนือจากคำกล่าวพื้นฐานที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงแล้ว สิ่งที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้มากขึ้นและประจักษ์ชัดในข้อเท็จจริงก็คือ พระวจนะของพระเจ้าประกอบด้วยชีวิต และพระวจนะของพระเจ้าคือชีวิต ว่าพระวจนะสามารถจัดเตรียมให้กับการดำรงชีพของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามและจัดเตรียมทุกสิ่งที่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องมีเพื่อชีวิต  ในแง่ของฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจนั้น พระวจนะของพระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงภาวะการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์ เปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนะของมวลมนุษย์ เปลี่ยนแปลงหัวใจมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกและยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พระวจนะของพระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางและทิศทางชีวิตที่มวลมนุษย์ได้เลือกสรรแล้ว  และถึงกับเปลี่ยนแปลงค่านิยมและทัศนคติของมวลมนุษย์ที่มีต่อชีวิต  ตราบที่เจ้ายอมรับและนบนอบพระวจนะของพระเจ้า และพวกเราก็สามารถพูดได้ด้วยซ้ำว่า ตราบที่เจ้ารักและไล่ตามเสาะหาพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าเป็นแบบไหน หรือเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของเจ้าคืออะไร หรือความมุ่งมั่นในการไล่ตามเสาะหาของเจ้ายิ่งใหญ่เพียงไหน หรือว่าความเชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด พระวจนะของพระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงเจ้า ทำให้ทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิตและค่านิยมของเจ้าเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ความคิดและทัศนะของเจ้าที่มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไป และท้ายที่สุดย่อมทำให้อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างแน่นอน  แม้ผู้คนส่วนใหญ่มีขีดความสามารถต่ำและไม่มีความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเขาก็ไม่เต็มใจแม้แต่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่สำคัญว่ารูปการณ์แวดล้อมของพวกเขาจะเป็นเช่นไรก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ในจิตใต้สำนึกของพวกเขาย่อมเริ่มมีทัศนะและการรับรู้ที่ถูกต้องขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อยจากหลักคำสอนของพระเจ้าที่เกี่ยวกับซาตาน โลก และมวลมนุษย์  ในจิตใต้สำนึกของพวกเขาย่อมเริ่มมีความโหยหาและความกระหายในระดับที่แตกต่างกันไปเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นบวก เกี่ยวกับหลักธรรมความจริง รวมทั้งทั้งทิศทางและเป้าหมายที่ถูกต้องในชีวิตซึ่งพระเจ้าพึงประสงค์ให้ผู้คนมี  ปรากฏการณ์เหล่านี้ซึ่งเกิดขึ้นในตัวผู้คนและในหมู่ผู้คน—ไม่ว่าปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการหรือไม่ ไม่ว่าปรากฏการณ์เหล่านี้สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คนหรือไม่ ไม่ว่าปรากฏการณ์เหล่านี้ตรงตามข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของพระเจ้าหรือไม่ หรืออื่นใดในทำนองเดียวกัน—ผลทั้งหมดที่มีต่อผู้คนและปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าไม่เพียงสามารถจัดเตรียมเพื่อชีวิตของผู้คนและจัดเตรียมสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมีให้แก่พวกเขา แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พระวจนะของพระเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยกำลังบังคับใดๆ  เหตุใดเราจึงพูดแบบนี้?  เพราะพระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจ และสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้าไม่อาจถูกก้าวล่วงได้โดยทฤษฎี ปรัชญา หรือความรู้ใดทางโลก หรือการโต้แย้ง ความคิด หรือทัศนะใด—นี่คือความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของการที่พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจ และนี่ถูกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าทั้งหมด  พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจและสามารถเปลี่ยนแปลงหัวใจและความคิดของมวลมนุษย์ได้  ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พระวจนะของพระเจ้าสามารถปัดเป่าและชำระอุปนิสัยเสื่อมทรามที่ซาตานปลูกเพาะลงภายในส่วนลึกสุดของหัวใจผู้คน—นี่คืออานุภาพแห่งพระวจนะของพระเจ้า แน่นอนว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ ผู้คนควรรู้จักพระปัญญาของพระเจ้า  พระปัญญาของพระเจ้าพรั่งพรูอยู่ในทุกขั้นตอนของพระราชกิจของพระองค์  ไม่เพียงภายในหรือระหว่างบรรทัดของพระวจนะที่พระเจ้าดำรัสเท่านั้น แต่ยังอยู่ในวิธีที่พระเจ้าตรัส ในสิ่งที่พระองค์ตรัส ในจุดยืนที่พระองค์ทรงแสดงในถ้อยดำรัสของพระองค์ และแม้แต่ในพระกระแสเสียงแห่งพระดำรัสของพระองค์ด้วย พระปัญญาของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้ในทุกขั้นตอน  พระปัญญาของพระเจ้าสำแดงออกมาในแง่มุมใดบ้าง?  แง่มุมหนึ่งคือ พระปัญญาของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้ในทุกพระวจนะที่พระองค์ตรัส และพระปัญญาของพระองค์ก็แสดงออกมาในหลากหลายวิธีที่พระองค์ตรัส อีกแง่มุมหนึ่งก็คือ พระปัญญาของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้ในทุกหนทางที่พระองค์ทรงพระราชกิจในผู้คน และสามารถเห็นได้ในบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าซึ่งพระองค์ทรงนำทางด้วยเช่นกัน  ดังนั้นแน่นอนว่า พวกเราสามารถพูดได้ว่าพระปัญญาของพระเจ้าพรั่งพรูออกมาในพระวจนะของพระองค์ และพูดได้ด้วยว่าพระปัญญาของพระเจ้าพรั่งพรูออกมาในพระราชกิจของพระองค์  นอกจากพระปัญญาของพระเจ้าจะปรากฏแก่สายตาผู้คนในพระวจนะของพระองค์แล้ว ผู้คนก็ยังสามารถมีความซาบซึ้งอย่างลึกซึ้งต่อพระปัญญาของพระเจ้าในสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่ต่างกันของประเด็นปัญหาต่างๆ ที่พวกเขาเผชิญได้อีกด้วย  พระวจนะของพระเจ้าเปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับการจัดเตรียมที่สอดรับกันทุกเวลาและทุกสถานที่  พระเจ้าทรงสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ ทรงเกื้อหนุนและจัดเตรียมเพื่อเจ้าได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ ทำให้เจ้าสามารถทิ้งสภาวะที่เป็นลบของเจ้าไว้เบื้องหลังได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ อีกทั้งทำให้เจ้าเข้มแข็งและไม่อ่อนแออีกต่อไป  ไม่ว่าเวลาไหนและสถานที่ใด พระเจ้าก็ทรงสามารถเปลี่ยนแปลงแนวคิดและวิธีที่เจ้าคิด ทำให้เจ้าสามารถปล่อยมือจากสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเชื่อว่าถูกต้องและสิ่งทั้งหลายที่เป็นของซาตาน ทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของเจ้า กลับใจต่อพระเจ้า กระทำและปฏิบัติโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า  นี่คือแง่มุมหนึ่ง  ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าทรงพระราชกิจในหลายหนทางที่แตกต่างกันในบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ ผู้ที่รักพระวจนะของพระเจ้าและรักความจริงทั้งปวง  บางคราวพระองค์ก็ประทานพระคุณ และบางคราวพระองค์ก็ประทานความสว่างและวิวรณ์  แน่นอนว่าบางคราวพระเจ้าก็จะทรงสั่งสอนและบ่มวินัยผู้คนเพื่อที่จะทำให้พวกเขาปรับแก้หนทางของตน ทำให้พวกเขารู้สึกตำหนิตนเองในส่วนลึกสุดของหัวใจตน รู้สึกติดหนี้พระเจ้าอย่างแท้จริง รู้สึกสำนึกผิด กลับใจ และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงละเลิกความชั่วที่ทำและไม่กบฏต่อพระเจ้าอีกต่อไป ไม่กระทำไปตามที่ตนปรารถนาหรือติดตามซาตาน แต่กลับปฏิบัติตามเส้นทางที่พระเจ้าได้ทรงแสดงต่อพวกเขา  พระราชกิจของพระเจ้าสำเร็จลุล่วงในมนุษย์  พูดให้แน่ชัดก็คือ พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์สำเร็จลุล่วงในมนุษย์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในผู้คนส่วนใหญ่ในหนทางที่ต่างกัน  แน่นอนว่า ไม่สำคัญว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในหนทางใด ทุกคนก็สามารถรับประสบการณ์ได้ไม่มากก็น้อยกับหนทางอันแตกต่างกันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจ  จากการนี้พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่าทั้งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และพระราชกิจของพระเจ้าสามารถทำให้ผู้คนซาบซึ้งว่าพระราชกิจของพระเจ้านั้นเป็นความช่วยเหลือต่อมนุษย์และสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมีในทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าพระราชกิจเหล่านั้นถูกปฏิบัติในหลายหนทางหรือในหนทางเดียว  พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถทรงพระราชกิจและทรงจัดเตรียมเพื่อผู้คนในทุกที่และทุกเวลา  พระองค์ไม่ทรงถูกจำกัดโดยพื้นที่ ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ หรือเวลา และพระองค์ไม่ทรงทำให้กิจวัตรในชีวิตที่เป็นปกติของผู้คนวุ่นวายหรือรบกวนความคิดของผู้คน ยิ่งแล้วใหญ่ที่พระองค์จะทรงทำลายกฎเกณฑ์ใดที่พระเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้สำหรับมวลมนุษย์  พระวิญญาณบริสุทธิ์แค่ทรงพระราชกิจอย่างเงียบๆ ในทุกตัวบุคคล ทรงใช้พระวจนะแจ้งเตือน สอน ให้ความรู้แจ้ง และทรงนำพวกเขาอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันก็ทรงใช้วิธีการที่ต่างกันทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาด้วย ทำให้พวกเขาสามารถมาดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การจัดเตรียมแห่งพระวจนะของพระเจ้าอย่างเป็นธรรมชาติและโดยไม่รู้ตัว  แน่นอนว่า ภายหลังพระราชกิจของพระเจ้าและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อุปนิสัยของผู้คนก็เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งความคิดของพวกเขาก็ถูกแปรเปลี่ยนไปโดยที่พวกเขาไม่ทันตระหนักรู้เลย และความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น  ในผลทั้งหมดที่สัมฤทธิ์ในผู้คน ต้องพูดเลยว่าผลเหล่านี้เกิดขึ้นโดยอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้าและปัญญาแห่งพระราชกิจของพระองค์  ตราบที่เป็นเรื่องของบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้า พระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อทรงพระราชกิจ รวมทั้งเพื่อทรงนำทางและจัดเตรียมสำหรับพวกเขา และทุกคนก็มีสิทธิและโอกาสที่จะชื่นชมยินดีในสิ่งเหล่านี้  หากบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าเพิ่มขึ้นจากจำนวนผู้ที่ติดตามพระเจ้าตอนนี้สักสิบเท่า ยี่สิบเท่า หรือถึงขั้นร้อยเท่า พระเจ้าก็ยังทรงสามารถดูแลใส่ใจพวกเขาไม่ผิดไปจากเดิม และพระองค์ก็จะยังทรงสามารถทำพระราชกิจนี้จนครบบริบูรณ์ได้อยู่ดี  ผลทั้งหลายที่ถูกสัมฤทธิ์นั้นไม่มีวันถูกปรับเปลี่ยน และนี่คือพระปัญญาของพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าแสดงทุกแง่มุมของความจริงและจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวง  พระเจ้าทรงพระราชกิจกับผู้คนโดยใช้วิธีการอันแตกต่างกันทุกรูปแบบจากจุดยืนที่ต่างกัน ณ เวลาที่ต่างกันและในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน เพื่อทรงนำผู้คนโดยไม่ให้พวกเขารู้ตัวและเพื่อสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันในแต่ละตัวบุคคล  ต่อให้ตอนนี้เจ้าคิดว่า “ฉันเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าไม่มากนัก และตอนนี้ฉันก็ยังคงอ่อนแออยู่มาก  ฉันยังคงมีความเชื่อในพระเจ้าน้อยนัก อีกทั้งความรู้ของฉันเกี่ยวกับพระเจ้าก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยเช่นกัน  ท่าทีปัจจุบันของฉันที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ก็ดูไม่กระตือรือร้นเหมือนเมื่อก่อนเลย และฉันก็รู้สึกตัวว่าไม่ได้ก้าวหน้าไปไกลนัก” อย่างหนึ่งที่แน่นอนก็คือ ไม่ว่าเจ้าอ่อนแอเพียงใด หรือเจ้ารู้สึกว่าตัวเองห่างไกลจากการทำได้ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเพียงใด แต่พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าก็ได้เข้ากุมหัวใจของเจ้าแล้ว  ต่อให้เจ้าไม่ค่อยสนใจไล่ตามเสาะหาความจริง ต่อให้เจ้ายังคงไม่คำนึงว่านัยสำคัญของการบรรลุความรอดนั้นสำคัญยิ่ง แต่ความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าและเนื้อหาของพระวจนะที่พระเจ้าดำรัสนั้นมอบความหวังให้เจ้า และในส่วนลึกของหัวใจเจ้านั้น ก็เริ่มมีความคาดหวังเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าและข้อเท็จจริงที่พระเจ้าต้องประสงค์ที่จะทำให้สำเร็จลุล่วง  ไม่สำคัญว่าตอนนี้ความเชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด หรือวุฒิภาวะของเจ้าเป็นอย่างไร เจ้าย่อมมีความหวังอย่างแน่นอน  นี่แสดงให้เห็นถึงอะไร?  พระวจนะของพระเจ้าเป็นสิ่งที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมี พระวจนะจัดเตรียมสิ่งที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมี พระวจนะได้เข้ากุมหัวใจของเจ้าแล้ว และเจ้าก็เริ่มมีการยอมรับบางอย่างต่อพระวจนะของพระเจ้าในส่วนลึกสุดของหัวใจเจ้าโดยไม่รู้ตัว  แน่นอนว่าข้อเท็จจริงเหล่านี้ชี้ตรงไปยังพวกที่ไม่สนใจความจริงมากนัก และพวกที่มีความเข้าใจค่อนข้างคลุมเครือและไม่ชัดเจนเกี่ยวกับพระราชกิจและการช่วยให้รอดของพระเจ้า  สำหรับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้นั้น นี่จึงไม่ใช่เพียงผลลัพธ์เดียวที่สัมฤทธิ์ แต่พวกเขายังสามารถมารู้จักพระเจ้าและเป็นคำพยานให้พระเจ้าได้อีกด้วย  จากข้อเท็จจริงและข้อบ่งชี้เหล่านี้ พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่าถ้อยดำรัสและพระราชกิจของพระเจ้านั้นเต็มไปด้วยฤทธานุภาพ สิทธิอำนาจ และพระปัญญาของพระเจ้า  นี่พิสูจน์ยืนยันสิ่งอื่นบางอย่างด้วยเช่นกัน นั่นคือ มวลมนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และถึงแม้พวกเขาสามารถอยู่ได้โดยปราศจากแสงอาทิตย์ ปราศจากน้ำ และปราศจากอากาศ พวกเขาก็ไม่อาจอยู่ได้โดยปราศจากพระเจ้า พวกเขาไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากการจัดเตรียมของพระเจ้า  การทรงนำ การจัดเตรียม และการทรงเลี้ยงของพระเจ้าและความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงแสดงเท่านั้นที่สามารถให้ความหวังและความสว่างแก่มวลมนุษย์ ตลอดจนเป้าหมายและทิศทางเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์—เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนได้เห็นมาแล้ว  ผู้คนควรสามารถมองเห็นจากการเปิดโปงและการชำแหละสถานการณ์จริงของการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามในแง่ของการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจในบริบทใดเพื่อช่วยผู้คนให้รอด  นอกจากตระหนักรู้ว่าสถานการณ์จริงของบริบทที่พระเจ้าทรงพระราชกิจอยู่นั้นเป็นแบบไหนแล้ว ผู้คนยิ่งควรเข้าใจมากขึ้นว่าพระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นลำบากยากเย็นเพียงไร และจากความเข้าใจว่าการนี้ลำบากยากเย็นเพียงไร พวกเขาก็ควรเริ่มมารู้จักฤทธานุภาพ สิทธิอำนาจ และพระปัญญาของพระเจ้า  ในพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้านั้น พระองค์ไม่ได้ทรงเร่งรีบที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเมื่อซาตานเริ่มทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามในตอนแรก  พระองค์ไม่ได้ทรงเร่งรีบที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเมื่อสี่พันปีที่ผ่านมาหรือหกพันปีที่แล้ว  ในทางกลับกันพระองค์ได้ทรงทำสิ่งทั้งหลายตามที่สิ่งเหล่านั้นควรถูกทำ กล่าวคือ จากการที่มวลมนุษย์ถูกงูล่อลวงและถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มวลมนุษย์กลายเป็นจมอยู่ในบาปและแผ่นดินโลกก็ถูกน้ำท่วมทำลายล้างไป  จากนั้นพระเจ้าก็ทรงใช้ธรรมบัญญัติค่อยๆ นำทางมวลมนุษย์ ขณะที่การทำให้มนุษย์เสื่อมทรามของซาตานค่อยๆ ลงลึกขึ้นทุกที พระเจ้าก็ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์โดยการทรงยอมเข้ารับสภาพเสมือนของเนื้อหนังที่มีบาปและการถูกตรึงกางเขนด้วยพระองค์เอง  บัดนี้ในยุคสุดท้าย เมื่อมวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างมากจนถึงขั้นที่ผู้คนได้รับความเสียหายอย่างย่อยยับและกลายเป็นตัวแทนของซาตานโดยสมบูรณ์ พระเจ้าก็ทรงแสดงพระวจนะของพระองค์ต่อมวลมนุษย์อย่างเป็นทางการและเปิดเผย และพระองค์ก็ทรงแสดงสิ่งที่อยู่ในพระหทัยของพระองค์ ทัศนะและท่าทีของพระองค์ที่เกี่ยวกับผู้คน เหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ทุกประเภท รวมถึงความจริงทั้งมวลที่มนุษย์จำเป็นต้องมีออกมา  ด้วยภูมิหลังประเภทนี้ พระเจ้าจึงทรงเริ่มจัดเตรียมสิ่งที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมีอย่างเป็นทางการ—พระองค์ไม่ทรงจัดเตรียมความจริงทั้งมวลให้กับมวลมนุษย์ในสถานการณ์ที่มวลมนุษย์ไม่รู้ความโดยสิ้นเชิง  เมื่อมวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งไปแล้ว และเมื่อผู้คนเชื่อว่าไม่มีหนทางอื่นที่พวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดแล้วเท่านั้น พระเจ้าจึงเสด็จมา ตรัสพระวจนะของพระองค์ ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ เสด็จไปในหมู่มนุษย์และทรงแสดงพระวจนะที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะแสดง ในขณะเดียวกันก็ทรงใช้เพียงการจัดเตรียมพระวจนะเพื่อลุล่วงข้อเท็จจริงทั้งหลายที่พระองค์ทรงปรารถนาจะให้ลุล่วง  ไม่มีบุคคลที่พอจะมีความสามารถท่ามกลางมวลมนุษย์ทรงสร้างที่กล้ารับความท้าทายในการทำงานนี้ เนื่องจากผู้คนเชื่อว่านั่นเป็นงานที่ลำบากยากเย็นอย่างใหญ่หลวง เป็นงานที่ไม่มีทางสำเร็จลุล่วงได้  กระนั้น นี่คือบริบทที่พระเจ้าทรงเริ่มต้นพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ พระราชกิจที่ใช้พระวจนะเพื่อสำเร็จลุล่วงทุกสรรพสิ่ง  นี่เป็นภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ เป็นพระราชกิจที่ไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นพระราชกิจที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์และเป็นพระราชกิจที่ยืดเยื้อยาวนาน  ไม่ว่าใครบางคนพูดมากเท่าไร หรือสิ่งที่พวกเขาพูดหรือแก่นแท้ของคำพูดพวกเขาคืออะไร แต่ก็ไม่มีใครสามารถสำเร็จลุล่วงการกระทำทั้งหลายตามคำพูดของตนที่ตั้งใจจะสัมฤทธิ์ได้เลย  พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถลุล่วงได้ และพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถสำเร็จลุล่วงได้โดยสอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์และแผนการแห่งพระดำริของพระองค์—นี่ก็เป็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  ผู้คนควรเข้าใจสิ่งเหล่านี้มิใช่หรือ?  (ใช่ พวกเขาควรเข้าใจ)  แล้วอะไรคือนัยสำคัญของการเข้าใจสิ่งเหล่านี้?  ใครจะพูด?  (แง่มุมหนึ่งคือการที่ผู้คนสามารถมามีความเข้าใจพระปรีชาแห่งพระราชกิจของพระเจ้าและเข้าใจว่าพระราชกิจของพระเจ้าไม่ถูกปฏิบัติในผู้คนที่ไม่รู้ความซึ่งไม่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม  ในทางกลับกัน พระเจ้าทรงใช้ซาตานในงานรับใช้พระองค์และทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งความรอดในผู้คนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำไปแล้ว  ผู้คนเชื่อว่าพระราชกิจนี้ลำบากยากเย็นมาก กระนั้นพระวจนะของพระเจ้าก็ส่งผลต่อผู้คนจริงๆ  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ โดยปกติแล้ว ในครรลองของประสบการณ์ของพวกเรานั้น บ่อยครั้งที่พวกเราถูกจำกัดควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราและอดไม่ได้ที่จะเผยความเสื่อมทรามนั้นออกมา พวกเรากลายเป็นไม่สามารถปฏิบัติความจริง รวมถึงบางครั้งพวกเราก็สามารถกลายเป็นคิดลบเสียจนสูญสิ้นความเชื่อของตัวเอง  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเราได้ยินสามัคคีธรรมของพระเจ้า พวกเราก็มามีความเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราเปลี่ยนแปลงได้ตราบที่พวกเรารักและยอมรับความจริง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเรานั้นไม่ใช่ว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้  หากบางคนไม่รักหรือยอมรับความจริงในแก่นแท้ของพวกเขา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้)  สิ่งที่เจ้าพูดนั้นเหมาะควรและถูกต้องแม่นยำทั้งสิ้น

พระวจนะของพระเจ้าสามารถทำให้สรรพสิ่งสำเร็จลุล่วงและเปลี่ยนแปลงสรรพสิ่งได้  ในเวลาเดียวกัน ผู้คนก็ควรสามารถมองเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าส่งผลต่อพวกเขาอีกประการหนึ่ง—สรรพสิ่งล้วนต้องเสื่อมสลาย มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่จะไม่มีวันเสื่อมสลาย และเช่นเดียวกับพระเจ้าพระองค์เอง พระวจนะของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดกาล  พวกเรามองเห็นอะไรจากการนี้?  (พวกเรามองเห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้า)  พวกเรามองเห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้า พระปัญญาของพระเจ้า และพวกเรามองเห็นฤทธานุภาพที่แสดงให้เห็นอยู่ในพระวจนะของพระองค์  เพราะพระวจนะของพระองค์เป็นตัวแทนของชีวิต แก่นแท้ และอุปนิสัยของพระองค์ พระวจนะจะดำรงอยู่ตลอดกาลเช่นเดียวกับพระเจ้า  นี่บอกอะไรกับเจ้า?  นี่บอกเจ้าว่าพระวจนะของพระเจ้าสำคัญต่อมวลมนุษย์ยิ่งนัก  ไม่ว่าเจ้าได้อะไรมา นั่นก็ไม่ใช่ขุมทรัพย์ที่แท้จริง  ไม่ว่าเจ้าจะได้รับทองคำแท่ง หรืออัญมณีที่ล้ำค่าและหายากของโลก สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่ขุมทรัพย์ที่แท้จริง  ต่อให้เจ้าได้น้ำอมฤต นั่นก็ไม่มีค่าแม้แต่สตางค์แดงเดียว  ต่อให้เจ้าประสบความสำเร็จในการปฏิบัติการอบรมบ่มเพาะตนเองและบินสูงถึงสวรรค์ ก็ไม่จำเป็นว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล และนั่นเป็นเพราะเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระเจ้าทรงลิขิตทุกสิ่งไว้ล่วงหน้าแล้วและไม่มีใครสามารถหนีรอดอธิปไตยของพระเจ้าไปได้  สรรพสิ่งล้วนต้องเสื่อมสลาย มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่จะไม่มีวันเสื่อมสลาย และเช่นเดียวกับพระเจ้าพระองค์เอง พระวจนะของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดกาล  การรู้จักพระวจนะเหล่านี้มีประโยชน์อะไร?  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่มีความรักให้กับความจริงหรือให้กับความเป็นธรรมและความชอบธรรมของพระเจ้า เจ้าก็อาจไม่สนใจพระวจนะเหล่านี้หรือข้อเท็จจริงนี้  อย่างไรก็ตาม หากเจ้ารักความเป็นธรรมและความชอบธรรมของพระเจ้า เจ้ารักความจริง และเจ้ารักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก เช่นนั้นเจ้าก็จะเกิดความสนใจอันลึกซึ้งต่อพระวจนะเหล่านี้ และจะฝังจำข้อเท็จจริงนี้รวมทั้งพระวจนะเหล่านี้ลึกลงไปในหัวใจเจ้า  พระวจนะเหล่านี้คืออะไร?  สรรพสิ่งล้วนต้องเสื่อมสลาย มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่จะไม่มีวันเสื่อมสลาย และเช่นเดียวกับพระเจ้าพระองค์เอง พระวจนะของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดกาล  พวกเจ้าต้องเก็บรักษาพระวจนะเหล่านี้ไว้ในหัวใจและใคร่ครวญพระวจนะเหล่านี้ยามมีเวลาว่าง  พระวจนะเหล่านี้สำคัญมากยิ่งนัก  จงบอกเราทีเถิดว่าพวกเจ้าได้รับอะไรจากพระวจนะเหล่านี้?  (ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เข้าใจบางสิ่ง  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “สรรพสิ่งล้วนต้องเสื่อมสลาย มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่จะไม่มีวันเสื่อมสลาย”  บางครั้งสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงในโลกภายนอก และเมื่อพวกเราเผชิญสภาพการณ์เช่นนั้น สภาวะของพวกเราก็จะเปลี่ยนแปลงและความมุ่งมั่นของพวกเราที่จะติดตามพระเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน  นั่นกลายเป็นยากเย็นสำหรับพวกเราที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่เป็นลบและอ่อนแอ แต่เมื่อพวกเราคิดถึงพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า และคิดถึงพระสัญญาที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเราในปฐมกาล และที่พระเจ้าได้ตรัสว่าพระองค์ต้องประสงค์ที่จะได้มาซึ่งผู้คนกลุ่มหนึ่งที่มีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ความเข้มแข็งและความเชื่อก็เอ่อท้นหัวใจของพวกเรา  พวกเราไม่ได้รับผลจากสภาพการณ์ในโลกภายนอกอีกต่อไป และพวกเราก็มีความเชื่อที่จะติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเรา)  พระวจนะเหล่านี้ให้เส้นทางแห่งการปฏิบัติแก่พวกเจ้า—เป็นเส้นทางแห่งการปฏิบัติประเภทใด?  เส้นทางนั้นคือการไม่ไล่ตามไขว่คว้าหรือทะนุถนอมสิ่งใดในโลกวัตถุ สิ่งเหล่านี้ว่างเปล่า  สิ่งทั้งหลายดังกล่าว เช่น ชื่อเสียง ผลตอบแทน ตำแหน่ง ความชื่นชมยินดีทางวัตถุที่อยู่ตรงหน้าเจ้า ความงามของพวกสตรี และอัตลักษณ์กับสถานะของพวกบุรุษนั้นไม่คงทนถาวร สลายไปเพียงในชั่วพริบตา และไม่มีประโยชน์ที่จะทะนุถนอมสิ่งเหล่านี้  ที่พูดว่าไม่มีประโยชน์นั้น เราหมายถึงอะไร?  เราก็หมายความว่าสิ่งเหล่านี้สามารถสนองได้แค่ความจำเป็น ความชื่นชอบและความอยากของเนื้อหนังของเจ้า หรืออารมณ์และความเสน่หาของเจ้า และอื่นๆ ในทำนองเดียวกันเพียงชั่วครู่ชั่วยาม กระนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถสนองความจำเป็นฝ่ายวิญญาณได้  ยามที่จิตวิญญาณของเจ้ารู้สึกหิว กระหายและว่างเปล่า ไม่มีอะไรในโลกวัตถุที่สามารถสนองความจำเป็นฝ่ายวิญญาณของเจ้าหรือเติมเต็มความว่างเปล่าในส่วนลึกสุดของหัวใจเจ้าได้ และนั่นคือเหตุผลที่การไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ย่อมไร้ประโยชน์  แล้วอะไรเล่าที่สามารถทำให้เจ้าพึงพอใจและเติมเต็มความว่างเปล่าในส่วนลึกสุดของหัวใจเจ้าได้?  ยามที่เจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจความจริง เช่นนั้นส่วนลึกสุดของหัวใจเจ้าย่อมถูกเติมเต็มอีกครั้ง และชื่นชมยินดีกับสันติสุขและความชื่นบาน อีกทั้งหัวใจเจ้าย่อมรู้สึกพึงพอใจและผ่อนคลาย  หากเจ้ายังไล่ตามไขว่คว้าต่อไปในหนทางนี้ ถึงตอนนั้นเมื่อพระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นชีวิตของเจ้า ก็ไม่มีใครสามารถเอาชีวิตของเจ้าไปจากเจ้าและไม่มีใครสามารถทำลายชีวิตเจ้าได้  เมื่อไม่มีใครสามารถเอาชีวิตของเจ้าไปจากเจ้าหรือทำลายชีวิตของเจ้าได้ แล้วเจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  เจ้าก็จะไม่รู้สึกว่างเปล่าอีกต่อไป เจ้าจะไม่รู้สึกหลงทาง เกรงกลัวหรืออึดอัดใจอีกต่อไปในการดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพราะเจ้าจะมีพระวจนะของพระเจ้าอยู่ภายในตัวเจ้า คอยนำเจ้า จัดเตรียมให้เจ้า ทำให้เจ้าสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีจุดประสงค์และทิศทาง  เจ้าจะใช้ชีวิตทุกวันด้วยสำนึกแห่งความหมายและคุณค่า  นี่คือสิ่งที่ผู้คนรู้สึกจริงๆ  แล้วผลลัพธ์ที่เป็นบวกที่ผู้คนรู้สึกจริงๆ นี้สัมฤทธิ์ได้อย่างไร?  (ผลลัพธ์นั่นสัมฤทธิ์ในผู้คนโดยพระวจนะของพระเจ้าเมื่อพวกเขานำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติ)  ถูกต้อง ครั้นผู้คนยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขา ผลลัพธ์นี้ก็จะสัมฤทธิ์ในตัวพวกเขา ชีวิตของพวกเขาย่อมเปลี่ยนไป หนทางที่พวกเขาดำเนินชีวิตจะเปลี่ยนแปลง ทัศนะของพวกเขาที่มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลายจะไม่เหมือนเดิม หนทางที่พวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลายก็ไม่เหมือนเดิม และการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาก็จะต่างไปด้วยเช่นกัน  พวกเขาไม่ไล่ตามไขว่คว้าความชื่นชมยินดีทางเนื้อหนัง บำเหน็จรางวัลที่เป็นวัตถุ หรือชื่อเสียง ผลตอบแทน และตำแหน่งอีกต่อไป  การไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทั้งหลายที่เป็นความชื่นชอบทางเนื้อหนังของคนเราก็เพียงทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกซึมเซา ว่างเปล่า อึดอัดใจ และเจ็บปวดมากขึ้นทุกทีได้เท่านั้น  อย่างไรก็ตาม ครั้นพระวจนะของพระเจ้าเข้าครอบครองหัวใจของคนคนหนึ่งแล้ว ความจริงก็จะกลายเป็นชีวิตของพวกเขาอยู่ภายในตัวพวกเขา ชีวิตและแก่นแท้ภายในของพวกเขาย่อมเปลี่ยนไป และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรู้สึกไม่เหมือนเดิม  ความรู้สึกและความชื่นชอบของพวกเขา ภาวะอารมณ์ต่างๆ ของพวกเขา เป้าหมายในชีวิตของพวกเขา ทิศทางการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา และกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตของพวกเขาล้วนแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง  การไล่ตามเสาะหาของพวกเขาเปลี่ยนไป พวกเขาสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและเสาะแสวงที่จะรู้จักพระเจ้า และพวกเขาก็กลายเป็นสามารถดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับหนทางที่พระเจ้าพึงประสงค์ให้พวกเขาดำเนินชีวิต  ผู้คนที่สัมฤทธิ์การนี้ย่อมไม่เผชิญความเสื่อมสลาย ความตาย และการทำลายล้าง แต่พวกเขาจะกลับมามีชีวิตที่แท้จริง เป็นชีวิตที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้ความเสื่อมสลาย  เราหมายความว่าอย่างไรเวลาที่เราพูดว่าชีวิตเจ้าไม่ต้องอยู่ภายใต้ความเสื่อมสลาย?  เราหมายความว่าชีวิตภายในผู้คนเหล่านี้จะไม่หายไป ชีวิตนี้จะไม่ตกต่ำลง เจ้าจะไม่เลือนหาย และจะไม่เสื่อมสภาพ และพวกเขาจะไม่เผชิญกับการทำลายล้างอย่างที่พวกเขาเคยเผชิญมาก่อน  ในหนทางนี้ สภาวะแห่งการดำรงอยู่ในปัจจุบันของพวกเขาและโอกาสความอยู่รอดของพวกเขาไม่เปลี่ยนไปหรอกหรือ?  ชัดเจนว่าโอกาสของความอยู่รอดของพวกเขามีการเปลี่ยนแปลง  อะไรคือเหตุผลที่ชีวิตมนุษย์เลือนหาย ร่วงโรย เสื่อมสลาย มีจุดสิ้นสุด และถูกทำลาย?  นั่นเกิดขึ้นเพราะผู้คนไม่มีพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขา และไม่ว่าใครบางคนจะมีชีวิตอยู่ร้อยปี หรือสองร้อยปี หรือสามร้อยปี หรือหนึ่งพันปี กฎเกณฑ์สำหรับการดำเนินชีวิต ทัศนคติที่มีต่อชีวิต และความหมายของชีวิตของพวกเขาก็จะไม่เปลี่ยนแปลง  ดังนั้นอันที่จริงแล้ว ผู้คนที่ดำเนินชีวิตแบบนี้มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?  พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อจุดประสงค์ในการสนองความพึงพอใจของเนื้อหนังของตนเท่านั้น  เนื้อหนังของมนุษย์ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด?  สิ่งทั้งหลายอาทิความมั่งคั่ง ชื่อเสียง ผลตอบแทน และความชื่นชมยินดีทางวัตถุ และในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้นี่เองเป็นสิ่งที่สวนทางกับความจริงและสิ่งที่พระเจ้าทรงชัง  เพราะฉะนั้นการที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ผู้คนไล่ตามไขว่คว้าและชื่นชมยินดีในสิ่งเหล่านี้จึงมีกำหนดเวลา  ชีวิตของมนุษย์หนึ่งชีวิตสามารถยืนนานได้ถึงหกสิบหรือเจ็ดสิบกว่า แปดสิบ หรือเก้าสิบกว่าแล้วจากนั้นก็ถึงจุดสิ้นสุด และสำหรับทุกจุดสิ้นสุดย่อมมีการถือกำเนิดใหม่อีกครั้ง และอายุขัยของมนุษย์ก็เกิดขึ้นด้วยวิธีนี้  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดขีดจำกัดของเวลานี้ไว้ล่วงหน้า ผู้คนจะไม่เหนื่อยหน่ายกับการใช้ชีวิตหลังจากที่มีชีวิตอยู่เป็นเวลานานหรอกหรือ?  เมื่อผู้คนอยู่ในวัยยี่สิบกว่า พวกเขารู้สึกว่าสิ่งต่างๆ สดชื่น งดงาม และมีความสุขในทุกๆ วัน เมื่อพวกเขาถึงวัยสี่สิบกว่า พวกเขารู้สึกว่าการรับประทานวันละสามมื้อและเข้านอนตอนกลางคืนนั้นเป็นหนทางการดำรงชีวิตที่น่าเบื่อ พอพวกเขาถึงวัยหกสิบ พวกเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขาเข้าใจทุกสิ่ง และพวกเขาได้ชื่นชมยินดีกับพระพรบางประการ ได้ทนทุกข์กับความยากลำบากบางอย่างมาแล้ว และพวกเขาก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจอีกต่อไป  พวกเขาเริ่มงานทุกวันตอนพระอาทิตย์ขึ้นและพักผ่อนตอนพระอาทิตย์ตกดิน และวันนั้นก็ผ่านไปในพริบตา  การทำงานของร่างกายทุกส่วนของพวกเขาเริ่มเสื่อมถอย แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากตอนที่พวกเขาอยู่ในวัยยี่สิบกว่า—นี่คือเมื่อปลายทางใกล้เข้ามา  เมื่อปลายทางของใครบางคนใกล้เข้ามา นั่นไม่ได้หมายความว่าดวงจิตของพวกเขาจะจบลง  นั่นหมายความว่าเนื้อหนังของพวกเขาจะมาถึงปลายทางในไม่ช้า  โดยปรกติแล้ว ผู้คนเสียชีวิตเมื่อพวกเขาย่างเข้าวัยหกสิบกว่า เจ็ดสิบกว่า หรือแปดสิบกว่า และพวกที่มีอายุขัยยาวนานสามารถมีชีวิตอยู่อย่างมากที่สุดก็ร้อยกว่าปี  มีคำกล่าวที่ว่า “คนที่มีชีวิตอยู่นานเกินไปย่อมเหน็ดเหนื่อยต่อการใช้ชีวิต—พวกเขาใช้ชีวิตมาพอแล้ว”  เมื่อใครบางคนมีชีวิตอยู่นานเกินไป พวกเขาก็เหนื่อยหน่ายต่อชีวิต พวกเขาไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไป และชีวิตก็กลายเป็นไร้ความหมายต่อพวกเขา  เหตุใดพวกเขาจึงรู้สึกว่าชีวิตไร้ความหมาย?  มีสถานการณ์จริงอยู่ตรงนี้ และนั่นก็คือผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในเนื้อหนังซึ่งรับประทานวันละสามมื้อและทำงานบ้านประจำวันของตน ทุกวันก็เหมือนกับวันก่อนๆ ทำสิ่งเดิมๆ ดำเนินชีวิตแบบเดิม และเมื่อพวกเขาไปถึงจุดหนึ่ง ผู้คนก็รู้จักสิ่งเหล่านี้อย่างทะลุปรุโปร่ง  พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้เห็นทุกอย่างที่ควรเห็น ได้ลิ้มรสชาติทุกสิ่งที่ควรลิ้มรส และมีประสบการณ์กับทุกสิ่งที่ควรได้รับประสบการณ์  พวกเขารู้สึกว่าชีวิตก็เป็นเช่นนี้เอง และพวกเขาก็ไม่มีอะไรให้หวัง ไม่มีอะไรให้เฝ้ารอ รวมทั้งรู้สึกว่าชีวิตพวกเขาว่างเปล่าและพวกเขาจะพบปลายทางของพวกเขาในไม่ช้า  เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  สิ่งทั้งหลายก็เป็นเช่นนี้เอง

พวกเราเพิ่งพูดคุยกันถึงพระวจนะที่ว่า “สรรพสิ่งล้วนต้องเสื่อมสลาย มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่จะไม่มีวันเสื่อมสลาย และเช่นเดียวกับพระเจ้าพระองค์เอง พระวจนะของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดกาล”  พระวจนะเหล่านี้บอกข้อเท็จจริงกับผู้คนว่า พระวจนะของพระเจ้าสำคัญต่อมวลมนุษย์มากเหลือเกิน และพระวจนะเหล่านี้ยังบอกเป้าหมายและทิศทางแห่งการปฏิบัติให้แก่ผู้คนด้วยเช่นกัน ทั้งยังบอกว่าไม่มีการไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใดสามารถมาแทนการที่มนุษย์ได้รับพระวจนะของพระเจ้าแม้เพียงบรรทัดเดียวด้วยซ้ำ  นี่เป็นเพราะสรรพสิ่งล้วนต้องเสื่อมสลาย และสรรพสิ่งล้วนต้องเลือนหาย ร่วงโรย และอ่อนแอเมื่อเวลาผ่านไป และมีเพียงพระวจนะของเจ้าเท่านั้นที่จะไม่มีวันเสื่อมสลาย  เพราะฉะนั้นหากเจ้าได้รับพระวจนะของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ก็หมายความว่าเจ้าเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เช่นนั้นเจ้าก็เริ่มจะมีคุณค่าเพราะพระวจนะของพระเจ้าและความจริง รวมทั้งแก่นแท้ของเจ้าก็จะแตกต่างไปจากที่เคยเป็นมาก่อน  คนบางคนพูดว่า “จะเป็นอย่างไรถ้าแก่นแท้ของฉันแตกต่างออกไป?”  เราไม่ได้หมายถึงแตกต่างตามความเข้าใจทั่วไป แต่แตกต่างกันอย่างมหาศาล เพราะเจ้ามีพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของเจ้า และเจ้าก็จะไม่เสื่อมสลายเช่นเดียวกันกับพระวจนะ เจ้าจะมีชีวิตนิรันดร์เช่นเดียวกับพระเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต มีอนาคต และมีบั้นปลายที่เป็นนิรันดร์  เอาละทีนี้ ด้วยการมองถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า พระวจนะของพระเจ้าสำคัญต่อมนุษย์ไม่ใช่หรือ?  (ใช่ พระวจนะสำคัญต่อมนุษย์)  พระวจนะสำคัญยิ่ง!  เมื่อเข้าใจแล้วว่าพระวจนะของพระเจ้าสำคัญ เจ้าควรไล่ตามเสาะหาอย่างไร?  อะไรมีคุณค่าและความหมายที่เจ้าควรไล่ตามเสาะหา?  เจ้าควรไล่ตามเสาะหาการมานะพยายามมากขึ้น การทนทุกข์มากขึ้น การจ่ายราคาที่ใหญ่หลวงขึ้น รวมทั้งวิ่งวุ่นในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างนั้นหรือ?  หรือว่าเจ้าควรศึกษาทักษะเชิงวิชาชีพเพิ่มขึ้น เตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยคำสอนและการประกาศมากขึ้น?  (ไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นเลย)  แล้วอะไรคือสิ่งที่มีประโยชน์ต่อเจ้าที่สุดที่จะไล่ตามเสาะหา?  พวกเจ้าทุกคนรู้คำตอบ นั่นชัดเจนราวกระจก  การบรรลุพระวจนะของพระเจ้าเป็นการไล่ตามเสาะหาที่มีคุณค่าและเปี่ยมความหมายที่สุด “สรรพสิ่งล้วนต้องเสื่อมสลาย มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่จะไม่มีวันเสื่อมสลาย และเช่นเดียวกับพระเจ้าพระองค์เอง พระวจนะของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดกาล”  จงจดจำพระวจนะเหล่านี้ไว้ในหัวใจของเจ้าและเจ้าไม่ควรลืมหรือเมินเฉยต่อพระวจนะเหล่านี้ไม่ว่าเวลาใด  เมื่อเจ้ารู้สึกว่าคิดลบและอ่อนแอ เมื่อเจ้ารู้สึกว่าเจ้าหมดหวัง  เมื่อความทุกข์ลำบากมาถึงเจ้า เมื่อเจ้าถูกสับเปลี่ยนหน้าที่ เมื่อเจ้าถูกตัดแต่ง เมื่อเจ้าทนทุกข์กับความติดขัดและความล้มเหลว อีกทั้งเมื่อเจ้าถูกติติงและกล่าวโทษ หรือไม่เช่นนั้นก็เมื่อเจ้าอยู่ในช่วงที่กำลังได้รับความสำเร็จอย่างสูง เมื่อผู้ยกย่องนับถือและสรรเสริญเจ้าทุกแห่งหนที่เจ้าไป และอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดและในสถานการณ์ใด เจ้าต้องคิดถึงพระวจนะเหล่านี้เสมอ และยอมให้พระวจนะเหล่านี้นำพาเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาการจัดเตรียมแห่งพระวจนะของพระเจ้าสำหรับเจ้าในชั่วขณะนี้ ยอมให้พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้เจ้าเป็นอิสระจากความทุกข์ลำบากของเจ้า แก้ไขความยากลำบากของเจ้า แก้ไขความสับสนในส่วนลึกสุดของหัวใจเจ้า หันหลังให้กับเส้นทางผิดๆ ที่เจ้าเดินตาม และแก้ไขการกระทำผิดของเจ้า ความดื้อแพ่งของเจ้า ความเป็นกบฏและอื่นๆ และยอมให้พระวจนะของพระเจ้าแก้ไขทุกปัญหาที่เจ้าเผชิญอยู่  พระวจนะเหล่านี้มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อพวกเจ้า! เมื่อเจ้าลืมว่าอะไรคือความรับผิดชอบและหน้าที่ของตนเอง เมื่อเจ้าลืมว่าอะไรคือหลักธรรมทั้งหลายที่เจ้าควรรักษาไว้ เมื่อเจ้าลืมจุดยืนและมุมมองที่เจ้าควรยึดถือ อีกทั้งลืมอัตลักษณ์และสถานะของตัวเจ้าเอง จงคิดถึงพระวจนะเหล่านี้  พระวจนะเหล่านี้จะนำพาเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระวจนะเหล่านี้จะนำพาเจ้าเข้าไปสู่พระวจนะของพระเจ้า พระวจนะจะนำพาเจ้าให้เข้าใจสิ่งที่เป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้าในขณะนี้ และพระวจนะจะนำพาเจ้าให้มีจุดยืน ทัศนะ และมุมมองที่ถูกต้องต่อตนเอง ต่อผู้อื่น รวมทั้งต่อเหตุการณ์และสภาพแวดล้อมที่เจ้าเผชิญ  ในหนทางนี้ ภายใต้การทรงนำของพระเจ้าและภายใต้การจัดเตรียม ความรู้แจ้ง และความช่วยเหลือจากพระวจนะของพระเจ้า ไม่มีปัญหาใดสามารถทำให้เจ้าสะดุด และไม่มีปัญหาใดที่สามารถเป็นอุปสรรคขัดขวางเจ้าจากการไล่ตามเสาะหาความจริง และหยุดยั้งย่างก้าวต่อไปของเจ้า  นี่คือเส้นทางแห่งการปฏิบัติไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  บทเรียนที่พวกเจ้าควรเรียนรู้ในตอนนี้ไม่ใช่การพร่ำบ่นพึมพำและยึดติดอยู่กับกฎเกณฑ์ หรือมองหาแนวทางจัดการของมนุษย์เมื่อเจ้าเผชิญประเด็นปัญหา แต่ให้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาความจริง แสวงหาความช่วยเหลือของพระเจ้า ยอมให้พระวจนะของพระเจ้าจัดเตรียมเพื่อเจ้า รวมทั้งแก้ไขทุกความลำบากยากเย็นของเจ้าแทน—นี่คือบทเรียนที่พวกเจ้าควรเรียนรู้  พวกเราจะจบการสามัคคีธรรมของพวกเราไว้ตรงนี้ในหัวข้อของการเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเริ่มพระราชกิจที่สำคัญที่สุดแห่งแผนการบริหารจัดการของพระองค์ในบริบทที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพระวจนะของพระเจ้า  ไม่ว่าพวกเราสามัคคีธรรมกันอย่างไร เราก็หวังว่าสุดท้ายแล้วผู้คนจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และไม่ใช่แค่ยอมรู้จักวิธีประกาศพระวจนะและคำสอน หรือศึกษาทฤษฎีทางศาสนศาสตร์ หรือเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาทุกวัน  การเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าเป็นบทเรียนของการเข้าสู่ชีวิตที่เร่งด่วนที่สุดซึ่งผู้คนต้องเรียนรู้

ชำแหละสิ่งที่ผู้คนยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม

II. คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิม

วัฒนธรรมดั้งเดิมของทุกประเทศมีกำเนิดจากซาตาน

ตอนนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันถึงปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอีกปัญหาหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับคำกล่าวต่างๆ ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  โดยส่วนใหญ่แล้ว  คำกล่าวต่างๆ ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันไปก่อนหน้านั้น ถูกเปิดโปงด้วยการใช้วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมเป็นตัวอย่าง โดยเปิดโปงคำกล่าวเยี่ยงซาตานมากมายในส่วนลึกสุดของหัวใจของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม  คนบางคนพูดว่า “เนื่องจากวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมถูกนำมาใช้เพื่อแสดงให้เห็นถึงคำกล่าวที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ พวกเราไม่ใช่ชาวจีน ดังนั้นพวกเราก็แค่ไม่ยอมรับพระวจนะที่พระองค์กำลังทรงสามัคคีธรรมไม่ได้หรือ?  พวกเราจำเป็นต้องรู้จักคำกล่าวต่างๆ ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้จากการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามจริงๆ หรือ?”  การกล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ผิดอย่างชัดเจนมาก  การที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามนั้นไม่แยกแยะเชื้อชาติหรือเวลา แต่ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามโดยปราศจากการแยกแยะเชื้อชาติหรือเวลาหรือภูมิหลังทางศาสนา  เพราะฉะนั้นหากเจ้าเป็นสมาชิกของเชื้อชาติจีน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นจีนฮั่น หรือเป็นสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นชนกลุ่มน้อยอย่างมองโกเลีย ฮุ่ย เหมียวหรือแม้ว อี๋ และอื่นๆ เจ้าก็ได้ตกอยู่ภายใต้การปลูกฝังความเชื่อและการพร่ำสอนของคำกล่าวทุกประเภทที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ได้มาจากซาตานไปแล้วโดยไม่มีข้อยกเว้น  กล่าวคือ เจ้าต่างก็ตกอยู่ภายใต้การที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามในแง่ของการคิดอ่านเหมือนกันอย่างไม่มีข้อยกเว้น  พูดให้ถูกต้องก็คือ การคิดอ่านของเจ้า ส่วนลึกสุดของดวงจิตเจ้า และส่วนลึกสุดของหัวใจเจ้าได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำและถูกจัดการเปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน  ต่อให้เจ้าไม่ใช่ชาวจีน—หากเจ้าเป็นชาวญี่ปุ่น ชาวเกาหลี ชาวเยอรมัน หรือสัญชาติใดก็ตาม—ไม่ว่าเจ้าเป็นคนเอเชีย คนยุโรป คนแอฟริกัน หรือคนอเมริกัน ไม่ว่าสีผิวของเจ้าจะเหลือง ดำ น้ำตาล หรือขาว ไม่ว่าเจ้าจะเป็นชาติพันธุ์ใดและเชื้อชาติใด ตราบที่เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เช่นนั้นเจ้าก็ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำแล้วโดยไม่มีข้อยกเว้น  นอกจากการมีอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน เจ้าก็ยังถูกซาตานใส่ความคิดและทัศนะเยี่ยงซาตานเข้าไปแล้วโดยไม่มีข้อยกเว้น และแน่นอนว่าหัวใจของเจ้าได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำไปแล้วด้วยเช่นกัน  เพียงแต่สำหรับผู้คนในประเทศต่างๆ และเชื้อชาติต่างๆ ซาตานก็ใช้วิธีการที่ต่างกันในการปลูกฝังสิ่งเดียวกันในตัวพวกเขาเท่านั้นเอง  สิ่งเหล่านี้อาจจะต่างกันในเรื่องของวิธีการพูด อาจมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายของการทำให้ผู้คนเสื่อมทรามนั้นเหมือนเดิมเสมอ และเหมือนกันเป็นสวนใหญ่โดยมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย  สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเหตุให้ผู้คนอำพรางรูปลักษณ์ของตนผ่านพฤติกรรมของตัวเองและผ่านคำกล่าวซึ่งลวงโลก ไม่ตรงกับความเป็นจริงและไร้จรรยาบรรณซึ่งสวนทางกับความเป็นมนุษย์หลายประการ สิ่งเหล่านั้นเรียกร้องให้ผู้คนปฏิบัติตนในหนทางเฉพาะและประพฤติตนในหนทางเฉพาะในแง่ของบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมของพวกเขา และเรียกร้องว่าผู้คนควรประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรและทำบางสิ่งอย่างไร  แม้มีความแตกต่างระหว่างคำกล่าวเหล่านี้ และแม้ว่าคำกล่าวเหล่านี้เกิดขึ้น ณ เวลาที่ต่างกัน และมาจากต่างมุม ต่างภูมิภาค และต่างพื้นที่ และคำกล่าวเหล่านี้ก็ก่อกำเนิดมาจากผู้คนที่แตกต่างกัน กระนั้นผลสืบเนื่องสุดท้ายก็คือคำกล่าวเหล่านี้ควบคุมความคิดและหัวใจของผู้คน จำกัดขอบเขตความคิดและหัวใจของผู้คน และคำกล่าวเหล่านี้กระตุ้นความคิดอ่านของผู้คนให้เต็มไปด้วยทัศนะและมโนคติอันหลงผิดซึ่งประกอบด้วยพิษทั้งหลายและแก่นแท้ธรรมชาติของซาตานเสมอ  คำกล่าวเหล่านี้เป็นเหตุให้ส่วนลึกสุดของหัวใจผู้คนเต็มไปด้วยทัศนะของซาตาน แก่นแท้ที่เลวร้าย และมโนคติอันหลงผิดที่เลวร้ายของมัน  ถึงที่สุดแล้วไม่สำคัญว่าเป็นเชื้อชาติใดหรือชนชาติใด และไม่ว่าชนเผ่าใดหรือช่วงเวลาใด มนุษย์ทั้งหมดล้วนถูกซาตานชักพาให้หลงผิดและเหยียบย่ำ รวมทั้งถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามในความคิดและส่วนลึกสุดของหัวใจพวกเขาในระดับที่แตกต่างกันไป  สุดท้ายแล้ว ไม่สำคัญว่าผู้คนที่ถูกซาตานปฏิบัติงานแห่งการทำให้เสื่อมทรามนี้อยู่ในซอกมุมไหนของโลก ไม่ว่าชนชาติใด หรือพวกเขามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาใด ผลสืบเนื่องก็คือเพื่อทำให้มวลมนุษย์เป็นลูกหลาน กระบอกเสียง ร่างจำแลงของซาตานโดยสมบูรณ์เสมอ และทำให้มนุษย์เป็นเหล่าซาตานที่มีชีวิตอย่างแท้จริง ทั้งใหญ่และเล็ก ทั้งมองเห็นได้และจับต้องได้  แน่นอนว่ามวลมนุษย์เช่นนี้ย่อมกลายเป็นศัตรูของพระเจ้าโดยสมบูรณ์และต่อต้านพระเจ้าด้วยเช่นกัน  เพราะฉะนั้นไม่ว่าผู้คนประเภทใดกำลังฟังคำเทศนาอยู่ตอนนี้ หรือมีผู้คนมากเท่าใด ก็มีข้อเท็จจริงหนึ่งซึ่งมิอาจปฏิเสธได้ กล่าวคือ มวลมนุษย์ล้วนอยู่ในอุ้งมือของมารร้าย—นี่คือข้อเท็จจริง  หากพูดในอีกแง่หนึ่ง นั่นหมายความว่าในขณะที่มวลมนุษย์กำลังถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ ความคิดและหัวใจของมวลมนุษย์ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมและจำกัดของซาตานโดยสิ้นเชิงด้วยเช่นกัน—นี่ย่อมปฏิเสธไม่ได้  ดังนั้น ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งใดและผู้คนใดที่มีสัญชาติของประเทศที่ทรงอำนาจล้วนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก และถูกซาตานบงการ ควบคุมและจำกัดขอบเขตอย่างแน่นหนาโดยไม่มีข้อยกเว้น  ตราบที่เจ้าเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์  ตราบที่เจ้าดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ ตราบที่เจ้าเป็นมนุษย์ที่ใช้อากาศหายใจ ดื่มน้ำ และกินข้าว เช่นนั้นการถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ไปแล้ว และเจ้าได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้วทั้งในความคิด ในหัวใจ ในอุปนิสัย และในแก่นแท้ของเจ้าโดยไม่มีข้อยกเว้น  พูดให้ถูกต้องขึ้นก็คือ ตราบที่เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และตราบที่เจ้าได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็คือศัตรูของพระเจ้า  ตราบที่เจ้าได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว ตราบที่เจ้าเคยหรือกำลังถูกซาตานควบคุมและจำกัดขอบเขตไม่ว่าในอดีตหรือในตอนนี้ เช่นนั้นเจ้าก็คือเป้าหมายสำหรับพระเจ้าที่จะช่วยให้รอด และนี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัย  ตราบที่เจ้าเป็นมนุษย์ที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เช่นนั้นเจ้าก็มีอุปนิสัยและการคิดอ่านของซาตาน และมีหัวใจที่ถูกครอบครองและเต็มไปด้วยพิษของซาตานไปแล้วโดยไม่มีข้อยกเว้น  เพราะฉะนั้น การตระหนักรู้และการมีวิจารณญาณแยกแยะความคิด ทัศนะอันหลากหลายที่แตกต่างกัน รวมทั้งคำกล่าวนานัปการที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมซึ่งมาจากซาตานไม่ใช่เป็นเพียงกิจสำหรับประชาชนชาวจีน หรือเป็นบางสิ่งที่ประชาชนชาวจีนผูกขาดเท่านั้น  ในทางตรงข้าม นั่นเป็นบทเรียนที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนซึ่งพระองค์ได้ทรงคัดสรรแล้วควรที่จะเรียนรู้ และเป็นความเป็นจริงที่พวกเขาควรเข้าสู่  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนควรรับรู้และมีวิจารณญาณแยกแยะความคิดกับทัศนะชั่วและคลาดเคลื่อนมากมายเหลือคนานับที่มาจากซาตานโดยไม่มีข้อยกเว้น  จงอย่าคิดว่าเพียงเพราะเจ้าเกิดมาในครอบครัวที่มั่งคั่ง ครอบครัวที่มีฐานะโดดเด่น เจ้าจึงสามารถมีความรู้สึกว่าเหนือกว่าผู้อื่น โดยเชื่อว่าตัวเองไม่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และจงอย่าคิดว่าแค่เพราะเจ้ามีอัตลักษณ์อันทรงเกียรติ ดวงจิตของเจ้าจึงต้องสูงส่งไปด้วย—นี่เป็นความเข้าใจที่บิดเบือน  หรือบางทีเจ้าก็เชื่อว่าเจ้ามีชาติตระกูลอันสูงศักดิ์ และเชื่อว่าสีผิวของเจ้าแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีอัตลักษณ์ ฐานะและคุณค่าอันทรงเกียรติ แล้วเจ้าก็เลยเชื่ออย่างผิดๆ ว่าแก่นแท้ การคิดอ่าน และหัวใจของเจ้านั้นสูงส่งและเหนือชั้นกว่าผู้อื่น  หากเป็นเช่นนั้น เราพูดเลยว่าความเข้าใจที่เจ้ามีนี้ช่างโง่เขลาและไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะมวลมนุษย์ที่พระเจ้ากำลังทรงเสวนาถึงนั้นไม่อาจถูกแบ่งแยกได้โดยสัญชาติ เชื้อชาติหรือศาสนา  ไม่สำคัญว่าเจ้าดำรงชีวิตอยู่ในสภาพการณ์ทางสังคมหรือสถานการณ์ทางศาสนาประเภทใด และไม่สำคัญว่าเจ้าถือกำเนิดมาในเชื้อชาติใด หรือฐานะในสังคมของเจ้าต่ำต้อยหรือสูงส่ง หรือเจ้าชื่นชมยินดีในเกียรติยศชื่อเสียงอันสูงส่งท่ามกลางผู้คนอื่นหรือไม่ เป็นอาทิ เจ้าก็ไม่สามารถใช้สิ่งใดในสิ่งเหล่านี้เป็นข้อแก้ตัวต่อการไม่ยอมรับพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า หรือไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  ตราบที่เจ้าเป็นมนุษย์ เช่นนั้นคำว่า “มนุษย์” ก็ควรมีคำขยายว่า “ถูกทำให้เสื่อมทราม” ต่อท้าย  พูดให้ชัดเจนก็คือตราบที่เจ้าเป็นมนุษย์ เช่นนั้นเจ้าก็จำต้องเป็นมนุษย์ที่ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่ต้องกังขาเลย  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราอาจพูดได้ว่าตราบที่เจ้าเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม เช่นนั้นสิ่งทั้งหลายภายในการคิดอ่านตามธรรมชาติ และสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกสุดของหัวใจเจ้าก็มาจากซาตาน และถูกซาตานจัดการเปลี่ยนแปลงและทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งไปหมดแล้ว—เจ้าควรยอมรับข้อเท็จจริงนี้  โดยเนื้อแท้แล้วเจ้าไม่มีอะไรที่สัมพันธ์กับความจริงเลย ไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้าหรือชีวิตของพระเจ้าเลย แต่ในทางตรงข้าม เจ้ากลับถูกซาตานชักพาให้หลงผิด ทำให้เสื่อมทรามและควบคุม  จิตใจของเจ้าเต็มไปด้วยความคิด ปรัชญา ตรรกะ และกฎเกณฑ์สำหรับการดำรงชีวิตของซาตาน และทุกสิ่งภายในจิตใจของเจ้ามาจากซาตาน  ข้อเท็จจริงนี้บอกอะไรกับผู้คน?  ไม่มีใครควรใช้ข้ออ้างใดเพื่อปฏิเสธการช่วยให้รอดของพระเจ้า หรือเลือกที่จะยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นบางส่วน  ในฐานะของมนุษย์ที่ถูกทำให้เสื่อมทราม เจ้าควรยอมรับพระวจนะของพระเจ้าโดยไม่มีทางเลือก  นี่คือความรับผิดชอบของเจ้าและเป็นสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องมีด้วยเช่นกัน  หากใครบางคนได้เกิดมาในประเทศชาติที่มั่งคั่งและทรงอำนาจ อีกทั้งพวกเขาก็อยู่ในสภาพการณ์ทางสังคมที่เหนือกว่า หรือพวกเขาถือกำเนิดมาในครอบครัวที่มีเกียรติยศชื่อเสียงและได้รับการศึกษาที่สูงกว่า และดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าตัวเองแตกต่างจากคนทุกคน และสูงส่งกว่าคนอื่นซึ่งเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ดังนั้นจึงปรารถนาที่จะวางตัวเองอยู่เหนือคนอื่นซึ่งเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เช่นนั้นนี่ก็เป็นการคิดอ่านที่ไร้สาระ นี่เป็นการคิดอ่านที่โง่เขลา และพูดได้ว่าโง่เขลาถึงขีดสุดเสียด้วยซ้ำ  ไม่ว่าอัตลักษณ์ ฐานะ หรือคุณค่าของเจ้านั้นพิเศษเพียงใด หรือว่าอัตลักษณ์ ฐานะ หรือสภาพการณ์ทางสังคมของเจ้านั้นเลิศเลอกว่าผู้คนธรรมดาสามัญมากเพียงใด เจ้าก็จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอ  พระเจ้าไม่ทอดพระเนตรว่าเจ้ามาจากไหน หรือสภาพการณ์ซึ่งเจ้าถือกำเนิดเป็นอย่างไร พระองค์ไม่ทอดพระเนตรที่สัญชาติหรือเชื้อชาติของเจ้า และพระองค์ไม่ทอดพระเนตรที่คุณค่า เกียรติยศชื่อเสียง หรือความสัมฤทธิ์ผลในสังคมหรือในโลก  พระเจ้าทอดพระเนตรเพียงว่าเจ้ายอมรับพระวจนะของพระองค์หรือไม่ เจ้าถือว่าพระวจนะของพระองค์เป็นความจริงหรือไม่ อีกทั้งเจ้าสามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวางตัวและปฏิบัติตนไปตามพระวจนะของพระองค์ได้หรือไม่เท่านั้นเอง  หากเจ้าคำนึงว่าตัวเองเป็นแค่หนึ่งในหมู่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดาสามัญภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ควรปล่อยมือจากสภาพสังคมของเจ้า ภูมิหลังทางเชื้อชาติของเจ้า ภูมิหลังทางสัญชาติและภูมิหลังทางศาสนาของเจ้า แล้วมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดา ยอมรับพระวจนะของพระองค์โดยปราศจากป้ายเชิดชูหรือภูมิหลังใด แล้วอัตลักษณ์และสถานะของเจ้าก็จะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องโดยการทำเช่นนั้น  หากเจ้าปรารถนาที่จะยอมรับพระวจนะของพระเจ้าด้วยอัตลักษณ์และสถานะที่ถูกต้องนี้ เช่นนั้นสิ่งแรกที่เจ้าควรเข้าใจก็คือว่าแก่นแท้ของมนุษย์คืออะไร และสิ่งแรกที่เจ้าควรยอมรับก็คือแก่นแท้ของมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ และยอมรับว่าสิ่งทั้งหลายที่เติมเต็มและครอบครองความคิดและส่วนลึกสุดของหัวใจพวกเขาล้วนมาจากซาตาน  ในเมื่อผู้คนปรารถนาที่จะยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความจริงเป็นชีวิต ก่อนอื่นพวกเขาก็ควรขุดค้น ทบทวน และมารู้จักสรรพสิ่งที่อยู่ในการคิดอ่านและในส่วนลึกสุดของหัวใจของตนซึ่งไม่สอดคล้องกับความจริงและเป็นปฏิปักษ์กับความจริง  เมื่อรับรู้สิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน เข้าใจอย่างถ่องแท้ และชำแหละอย่างครบถ้วนแล้วเท่านั้นผู้คนจึงสามารถละทิ้งสิ่งเหล่านี้ได้ในเวลาที่เหมาะสมและในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้ส่วนลึกสุดของหัวใจพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงแบบเบ็ดเสร็จได้  เมื่อพวกเขาได้ขับไล่สรรพสิ่งที่เป็นของซาตานและยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความจริงแล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นคนใหม่  เมื่อมุมมอง ทัศนะ และจุดยืนที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างควบถ้วนแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงสามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริงและถูกต้องแม่นยำ  จากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นผู้คนที่ค่อนข้างไร้ราคี ไม่มัวหมอง  ตอนนี้ผู้คนยังไม่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้  แม้ในหัวใจของพวกเขาอาจเข้าใจความจริงบ้างเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ยังคงมัวหมองด้วยทัศนะที่ไร้สาระทุกประเภทและสิ่งที่วิปริตและผิดแผกทั้งหลาย  พวกเขายอมรับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงครึ่งหนึ่งและปฏิเสธอีกครึ่งหนึ่ง พวกเขาเลือกที่จะยอมรับเพียงบางอย่าง ยอมรับเล็กน้อยในระดับที่ต่างกันไป ทว่าหัวใจของพวกเขากลับเหลือที่ว่างสำหรับความคิดและตรรกะของซาตาน รวมถึงสิ่งลวงโลกทั้งหลายที่ซาตานปลูกฝังในตัวพวกเขาเสมอ โดยเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ในหัวใจพวกเขาตลอดเวลา  สิ่งเหล่านี้ภายในตัวผู้คนส่งผลต่อจิตใจ การตัดสิน รวมทั้งมุมมองและทัศนะที่พวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อขอบเขตที่พวกเขายอมรับความจริง

การทำให้เสื่อมทรามและการชักพาให้หลงผิดของมวลมนุษย์ซึ่งมีเหตุมาจากคำกล่าวนานาประการว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ซาตานปลูกฝังลงในผู้คนโดยใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นขยายตัวเป็นวงกว้าง  นี่ไม่ใช่บางสิ่งซึ่งจำกัดอยู่ที่ประชาชนชาวจีนเท่านั้น แต่ยังแผ่ขยายครอบคลุมมวลมนุษย์ทั้งหมดในทุกซอกมุมและทุกห้วงเวลา  การนี้ส่งผลและควบคุมผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า อีกทั้งส่งผลและควบคุมผู้คนต่างเชื้อชาติ สัญชาติและศาสนา  ครั้นผู้คนเข้าใจการนี้แล้ว คำบรรยายคุณลักษณะที่ใช้กับ “วัฒนธรรมดั้งเดิม” ก็ไม่ใช่เพียง “จีน” เท่านั้น แต่สามารถพูดได้ว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาติหรือเผ่าพันธุ์ใดก็ตามล้วนมาจากซาตานและเกิดจากการทำให้เสื่อมทรามของซาตาน  ตัวอย่างเช่น วัฒนธรรมญี่ปุ่นดั้งเดิม วัฒนธรรมเกาหลีดั้งเดิม วัฒนธรรมอินเดียดั้งเดิม วัฒนธรรมฟิลิปปินส์ดั้งเดิม วัฒนธรรมเวียดนามดั้งเดิม วัฒนธรรมแอฟริกันดั้งเดิม วัฒนธรรมดั้งเดิมของพวกคนขาว รวมไปถึงวัฒนธรรมดั้งเดิมของศาสนายิว ศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก และวัฒนธรรมดั้งเดิมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากศาสนาทั้งหลาย  วัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ล้วนสวนทางกับความจริงและมีผลอย่างล้ำลึกต่อทัศนะ จุดยืน และมุมมองของผู้คนเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตัวและปฏิบัติตน  วัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้เปรียบเสมือนเหล็กนาบร้อนฉ่าที่ทิ้งรอยประทับลึกไว้ในส่วนลึกสุดของความคิดและหัวใจของผู้คน  วัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้กุมอำนาจเหนือชีวิตผู้คน กฎเกณฑ์การดำรงชีวิตของผู้คน เส้นทางที่พวกเขาเดินในชีวิต อีกทั้งทิศทางและเป้าหมายแห่งการประพฤติปฏิบัติของพวกเขา วัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ยังกุมอำนาจเหนือเป้าหมายที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาอีกด้วย  สิ่งเหล่านี้รบกวนและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อท่าทีที่ผู้คนมีต่อสิ่งที่เป็นบวก พระวจนะของพระเจ้า ความจริง และพระเจ้า  แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้รบกวนและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อจุดยืนและทัศนะของผู้คนเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวิธีที่พวกเขาวางตัวและปฏิบัติตนด้วยเช่นกัน ซึ่งหมายความว่าสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบรุนแรงต่อการที่ผู้คนจะยอมรับและปฏิบัติความจริง  และสุดท้ายแล้วผลที่ตามมาคืออะไร?  (ผู้คนสูญเสียโอกาสของตนที่จะบรรลุความรอด)  ถูกต้อง สิ่งที่ได้รับผลกระทบในท้ายที่สุดก็คือเรื่องสำคัญยิ่งของการบรรลุความรอด  นี่ไม่ใช่ผลสืบเนื่องที่ร้ายแรงหรอกหรือ?  (ใช่)  เป็นผลสืบเนื่องที่ร้ายแรงมาก!  วิธีที่ใครบางคนมองสิ่งต่างๆ มุมมองที่พวกเขาใช้มองสิ่งต่างๆ ทัศนะที่พวกเขามีและมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขาเก็บไว้ใช้มองสิ่งทั้งหลายล้วนถูกกำหนดขึ้นจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาและสิ่งทั้งหลายที่อยู่ในการคิดอ่านของพวกเขา  หากสิ่งที่ปรากฏอยู่ในการคิดอ่านของพวกเขาเป็นบวก เช่นนั้นพวกเขาก็จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายจากมุมมองที่ถูกต้อง หากสิ่งที่ปรากฏอยู่ในการคิดอ่านของพวกเขาเป็นลบและนิ่งเฉย และมาจากซาตาน เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายจากมุมมอง จุดยืน และทัศนะที่ไม่ถูกต้องและไร้สาระอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แล้วในท้ายที่สุดก็จะมีผลกระทบต่อเส้นทางที่พวกเขาเดินตาม  หากจุดยืน ทัศนะ และมุมมองที่เจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลายไม่ถูกต้อง เช่นนั้นเป้าหมายและทิศทางแห่งการไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็ย่อมผิดไปด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับเส้นทางที่เจ้าเดินตามในการประพฤติปฏิบัติตน  หากเจ้ายังคงทำสิ่งผิดเหล่านี้ต่อไป เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่มีโอกาสบรรลุความรอดโดยสิ้นเชิง เนื่องจากเส้นทางที่เจ้าเดินตามนั้นผิด  หากมุมมอง จุดยืน ความคิดและทัศนะที่เจ้าใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายถูกต้อง เช่นนั้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็จะถูกต้องเช่นกัน ผลลัพธ์เหล่านั้นจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นบวก และจะไม่สวนทางกับความจริง  เมื่อมนุษย์มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายจากมุมมองที่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นเส้นทางที่พวกเขาเลือกย่อมจะถูกต้องไปด้วย เช่นเดียวกับเป้าหมายและทิศทางของพวกเขา และพวกเขาก็จะมีความหวังของการบรรลุความรอดในที่สุด  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตอนนี้ผู้คนถูกซาตานครอบงำและควบคุม มุมมอง จุดยืน และทัศนะที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายจึงผิดพลาด ซึ่งเป็นเหตุให้การไล่ตามเสาะหาและเส้นทางที่พวกเขาเดินตามผิดพลาดไปด้วยเช่นกัน  ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้คนทำงานและจ่ายราคาเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน เพื่อหน้าตา และเพื่อสถานะ เส้นทางนี้ผิดหรือไม่?  (ผิด)  การที่ผู้คนเริ่มเดินตามเส้นทางที่ผิดเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร?  นั่นไม่ใช่เพราะมุมมอง ทัศนะ และจุดเริ่มต้นที่พวกเขามองสิ่งประเภทนี้ผิดพลาดหรอกหรือ?  (ใช่)  นี่เป็นเหตุให้ผู้คนเริ่มเดินไปตามเส้นทางที่ผิด  และหากผู้คนยังคงเดินตามเส้นทางที่ผิดเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถบรรลุความรอดในที่สุดได้หรือ?  ไม่ พวกเขาจะบรรลุไม่ได้  หากเจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวางตัวและปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับความคิดหรือทัศนะบางอย่างที่ซาตานปลูกฝังในตัวเจ้า เช่นนั้นเส้นทางที่เจ้าเดินก็เป็นเส้นทางแห่งความความย่อยยับอย่างแน่นอน  นั่นจะไม่ใช่เส้นทางสู่ความรอดอย่างเด็ดขาด เพราะขัดแย้งและตรงกันข้ามกับเส้นทางสู่ความรอด  หากผู้คนเดินไปตามเส้นทางที่ผิดนี้ พวกเขาย่อมทำลายโอกาสของตัวเองที่จะบรรลุความรอด โอกาสนั้นหมดไปแล้วโดยสิ้นเชิง และพวกเขาไม่มีวันเดินตามเส้นทางสู่ความรอดได้  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไล่ตามเสาะหาด้วยทัศนะที่ถูกต้อง อีกทั้งเจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตัวและปฏิบัติตนไปตามพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วหลักธรรมแห่งการปฏิบัติซึ่งเกิดขึ้นย่อมจะเป็นบวก เส้นทางของเจ้าก็จะเป็นบวก และเพราะเจ้ากำลังเริ่มจากจุดที่ถูกต้อง ในท้ายที่สุดเส้นทางที่เจ้าเดินตามก็จะถูกต้องไปด้วย  หากเจ้าเดินตามเส้นทางเช่นนี้ เมื่อนั้นเจ้าก็จะสามารถบรรลุความรอดได้อย่างแน่นอน  แง่มุมนี้ของความจริงนั้นค่อนข้างลุ่มลึก และเป็นไปได้ว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ  เจ้าไม่มีความซาบซึ้งกับแง่มุมนี้เลย และจนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังไม่มีแง่มุมนี้ของความเป็นจริงความจริง  เจ้าไม่รู้ว่าเจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวางตัวและปฏิบัติตนบนพื้นฐานของทัศนะที่ผิดหรือทัศนะที่ถูกต้อง—เจ้ายังไม่มีประสบการณ์นี้  ขณะนี้พวกเจ้ารู้เพียงลงมือกระทำ ทุ่มเทเรี่ยวแรง ใช้ความพยายาม และจ่ายราคา ในขณะที่เจ้ายังไม่ได้เริ่มตรวจสอบสิ่งที่ส่งผลและควบคุมทัศนะและความคิดทั้งหลายในส่วนลึกสุดของหัวใจเจ้าเลย  เพราะฉะนั้นหัวข้อนี้ค่อนข้างห่างไกลจากพวกเจ้า และพวกเราก็จะหยุดการพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อนี้กันตรงนี้

พวกเราเพิ่งพูดคุยเกี่ยวกับแก่นแท้ของคำกล่าวว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม และขอบเขตที่สัมพันธ์กันก็ไม่จำกัดอยู่แค่จีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น แต่รวมถึงมวลมนุษย์ทั้งปวงด้วย  นี่เป็นเพราะมวลมนุษย์ทั้งปวงอยู่ในเงื้อมมือของมารร้าย อีกทั้งเป็นเพราะมนุษย์ทุกคนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำและอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตานแล้ว  การกล่าวเช่นนี้มีพื้นฐานทางข้อเท็จจริงอยู่  ไม่เพียงประชาชนของจีนแผ่นดินใหญ่ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว แต่มวลมนุษย์ทั้งหมดถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และมนุษย์ทุกคนอยู่ในเงื้อมมือของมารร้าย  ทุกคนสามารถมองเห็นการที่มวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำได้ในระดับหนึ่ง  ตอนนี้พวกเราก็ได้สามัคคีธรรมกันมาเป็นเวลาหนึ่งเกี่ยวกับการที่ซาตานปลูกฝังคำกล่าวนานัปการที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเข้าไปในความคิดของผู้คน โดยใช้วิธีการนี้ควบคุม จำกัดขอบเขต อีกทั้งชักพาผู้คนให้หลงผิด และด้วยการนี้จึงสัมฤทธิ์จุดประสงค์ในการทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  ข้อเท็จจริงนี้ไม่จำกัดเฉพาะประชาชนชาวจีน แต่อยู่ในผู้คนทุกคนที่ต่างเชื้อชาติ สัญชาติ และชาติพันธุ์  มนุษย์ทั้งหมดได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ รวมไปถึงทุกเชื้อชาติและชาติพันธุ์ กล่าวคือ สิ่งลวงโลกมากมายที่ซาตานปลูกฝังในตัวผู้คนโดยการใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นยากต่อการใช้วิจารณญาณแยกแยะ และแม้แต่คำกล่าวทั้งหลายที่ผู้คนมองว่าค่อนข้างเป็นบวกและสอดคล้องกับศีลธรรม การคิดอ่าน รสนิยมของตนนั้น อันที่จริงแล้วล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม  กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามในหนทางนี้ และมนุษย์ทุกคนไม่ว่าชาติพันธุ์ เชื้อชาติ หรือสัญชาติใด ถือกำเนิดที่ใด หรือในภูมิภาคหรือดินแดนใดของดาวเคราะห์โลกก็ตาม ล้วนถูกซาตานชักพาให้หลงผิด ควบคุม และทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำไปแล้วทั้งในจิตใจและหัวใจ  ไม่ว่าเจ้าถือกำเนิดที่ไหนหรือเมื่อไร หรือว่าเจ้าถือกำเนิดมาในชาติพันธุ์หรือประเทศชาติใด เจ้าได้ถูกชักพาให้หลงผิดและทำให้เสื่อมทรามด้วยคำกล่าวของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ซาตานได้ปลูกฝังไว้ในตัวเจ้าโดยไม่มีข้อยกเว้น  เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ควรคิดว่าชาติหรือเผ่าพันธุ์ของเจ้า ปราศจากภูมิหลังทางวัฒนธรรมเยี่ยงซาตาน และเจ้าดีกว่าประชาชนชาวจีน แค่เพราะพวกเราชำแหละวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมอยู่เพียงชาติเดียว และเจ้าก็ไม่ควรมีความรู้สึกเหนือกว่าคนอื่นจนทำให้เจ้ารู้สึกมีเกียรติและสูงส่งกว่าประชาชนชาวจีน  ความรู้สึกเหนือกว่านี้เป็นความเข้าใจผิด เป็นเรื่องผิด ไร้สาระ และพวกเราอาจถึงขนาดพูดได้ว่านั่นโง่เขลาเสียด้วยซ้ำ  ตราบใดที่เอ่ยถึงมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม เจ้าต้องไม่ตัดตัวเองออกไป ตราบใดที่เอ่ยถึงมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม เจ้าเป็นส่วนหนึ่งในนั้น  แน่นอนว่า ตราบใดที่มีการกล่าวว่าเจ้าเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม เช่นนั้นส่วนลึกสุดของหัวใจเจ้าก็เต็มไปด้วยความคิดที่ถูกครอบงำโดยวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ซาตานปลูกฝังในตัวเจ้า และนี่เป็นข้อเท็จจริงที่มิอาจโต้แย้งได้ เป็นข้อเท็จจริงที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล  พวกเจ้าต้องเข้าใจข้อเท็จจริงนี้ให้ชัดเจน—เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ควรมีคำถามและไม่ต้องกังขา  พวกเราจะจบสามัคคีธรรมของพวกเราเกี่ยวกับหัวข้อนี้ไว้ตรงนี้

ถ. ชำแหละคำกล่าวที่ว่า “เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์”

คราวก่อน พวกเราได้สามัคคีธรรมกันไปในหัวข้อ “คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง”  นี่เป็นคำกล่าวที่ซาตานใช้ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามในแง่ของการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  การสนับสนุนคำกล่าวนี้มีผลกระทบซึ่งมีนัยสำคัญต่อการคิดอ่านของผู้คน และเช่นเดียวกับคำกล่าวอื่นๆ ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม นี่เป็นคำกล่าวที่ไร้สาระและไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง  ไม่ว่าใครบางพูดอะไรก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาทำแบบนั้น ผู้คนอื่นก็จะคิดว่าพวกเขามีความมีศีลธรรมอันสูงส่งและมีบุคลิกลักษณะอันทรงเกียรติ และนี่ก็ทั้งวิปริตและน่าหัวเราะ  คำกล่าวนี้ก็แค่เหมือนกับคำกล่าวอื่นๆ ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมตรงที่คำกล่าวเหล่านั้นล้วนเป็นความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติที่วิปริตและน่าหัวเราะ  คำกล่าวทั้งหมดนั้นสามารถอ้างอิงได้แบบนี้ อีกทั้งสามารถให้นิยามได้ว่าไร้สาระอย่างถึงที่สุดและไม่อาจทนต่อการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนได้  วันนี้พวกเรามาดูคำกล่าวเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์” กันเถิด  ก่อนจะสามัคคีธรรมหัวข้อนี้กันอย่างเป็นกิจลักษณะ พวกเจ้าเคยใคร่ครวญถึงวิธีที่จะอธิบายคำกล่าวนี้หรือไม่?  จะชำแหละแก่นแท้ของคำกล่าวนี้ได้อย่างไร?  ในคำกล่าวนี้มีพิษอะไรอยู่บ้าง?  ความคิดใดที่ซาตานปรารถนาจะปลูกฝังในตัวผู้คนโดยผ่านทางคำกล่าวนี้?  อะไรคือเจตนามุ่งร้ายของซาตาน?  ซาตานใช้คำกล่าวนี้ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามในแง่มุมใด?  พวกเจ้าเคยใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  คำกล่าวที่ว่า “เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์” สามารถอธิบายได้อย่างง่ายๆ ว่าเป็นการไม่ไปคลุกคลีกับผู้คนที่ไม่ดีและสามารถปกป้องตัวเองจากอิทธิพลที่ไม่ดีได้  ไม่ว่าใครอื่นประเมินคนบางคนว่า “เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง” หรือใครบางคนต้องการแสดงให้เห็นภาพของคำกล่าวนี้เสียเอง ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว พวกเขาเป็นบุคลประเภทใด?  พวกเขากล่าวอ้างว่าตนไม่เสื่อมทราม ซื่อตรง เปิดเผยและตรงไปตรงมามาก ว่าพวกเขาเป็นสุภาพบุรุษที่มีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมอันสูงส่ง แต่พวกเขามองยุคนี้ โลกนี้ มวลมนุษย์นี้ และแม้แต่ประเทศนี้ ราชสำนักนี้ และวงการข้าราชการว่าไม่เป็นเช่นนี้  โดยปกติแล้วผู้คนเหล่านี้มักจะมองสิ่งทั้งหลายอย่างเย้ยหยันและรู้สึกไม่พึงพอใจความเป็นจริงไม่ใช่หรือ?  บ่อยครั้งที่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขามีความทะเยอทะยานสูงแต่เกิดผิดเวลา รู้สึกว่าพวกเขามีความสามารถพิเศษแต่ไม่สามารถใช้ความสามารถนั้นได้  พวกเขาเชื่อว่าไม่ว่าในแวดวงราชการหรือในสังคม มีคนต่ำช้าคอยขวางทางพวกเขาเสมอ เชื่อว่าพวกเขามีความคิดเชิงกลยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาเป็นบุคคลที่โดดเด่น แต่กลับไม่มีใครยอมรับความสามารถพิเศษของพวกเขา หรือเคยปล่อยให้พวกเขารับมือกับกิจสำคัญ  พวกเขาไม่พึงพอใจความเป็นจริงและกลายเป็นคนเย้ยหยัน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้คำกล่าวที่ว่า—“เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์”—เพื่อบรรยายลักษณะตัวเอง โดยพูดว่าพวกเขาจะปกป้องตัวเองจากอิทธิพลที่ไม่ดีและไม่ด่างพร้อย  พูดตรงๆ ก็คือ ผู้คนแบบนี้มองว่าตัวเองไร้มลทินและเลิศลอย อีกทั้งพวกเขาก็ไม่พึงพอใจในความเป็นจริง  พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีความสามารถพิเศษที่แท้จริงหรือความสามารถจริงอันใด และมุมมองที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย อีกทั้งการวางตัวและปฏิบัติตนก็ไม่จำเป็นต้องถูกต้องหรือสัมพันธ์กับชีวิตจริง และแน่นอนว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องสัมฤทธิ์สิ่งใดได้ด้วยเช่นกัน  แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังเชื่อว่าตัวเองแตกต่างจากผู้คนธรรมดาสามัญ และเอาแต่ทอดถอนใจว่า “ทั้งโลกขุ่นมัว ฉันคนเดียวที่ไร้มลทิน ผู้คนทั้งหมดเมามาย ฉันคนเดียวที่มีสติ” ราวไม่สมหวังกับโลกมนุษย์และมักจะมองเห็นความชั่วและความมืดมิดของโลก  พูดให้ชัดเจนก็คือผู้คนเช่นนี้ชอบเย้ยหยัน  พวกเขาชังภาคการเมืองและการพานิชย์ และพวกเขาก็ชังวงการวรรณกรรม ศิลปะ และการศึกษา  พวกเขาชังมุมมองของพวกปัญญาชนทั้งหลายที่มีต่อการไล่ตามไขว่คว้าของพวกเขา และพวกเขาดูแคลนชาวไร่ชาวนารวมทั้งบรรดาผู้ที่มีความเชื่อทางศาสนา  ผู้คนเหล่านี้เป็นคนประเภทใด?  พวกเขาไม่ใช่ประเภทแปลกแยกหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ผิดปกติอะไรบางอย่างหรอกหรือ?  ผู้คนเหล่านี้ไม่มีความสามารถหรือมีการเรียนรู้ที่แท้จริง  หากเจ้าขอให้พวกเขาทำงานบางอย่างซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริง  ไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะสามารถทำกิจนั้นได้  พวกเขาชอบที่จะพร่ำบ่นและใช้เวลาว่างของตนเผยแพร่กวีนิพนธ์และบทความเพื่อเปิดเผยเรื่องทั้งหลายเกี่ยวกับการเมือง รัฐบาล สังคมและปัจเจกบุคคลบางกลุ่มในช่วงเวลาหนึ่ง  วันนี้พวกเขาวิจารณ์เรื่องนี้และพรุ่งนี้วิจารณ์เรื่องนั้น พวกเขาพูดจาฉะฉาน แต่พอทำสิ่งใดก็ก่อปัญหายุ่งเหยิง  สุดท้ายแล้วพวกเขาเข้ากับใครไม่ได้เลย พวกเขาไม่สามารถสำเร็จลุล่วงสิ่งใดได้ไม่ว่าในที่ใด และพวกเขาไม่สามารถทำงานของตนให้สำเร็จได้  พวกเขาเชื่ออย่างผิดๆ ว่า “ฉันมีความสามารถเหลือเกิน!  ผู้คนธรรมดาไม่อาจบรรลุถึงระดับความคิดของฉัน!”  พวกเขารู้สึกท้อใจ เป็นทุกข์ และหดหู่ในหัวใจของพวกเขา  ในยามว่าง พวกเขาก็เตร็ดเตร่ไปทั่ว และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาไปยังสถานที่น่าสนใจทางประวัติศาสตร์ พวกเขาก็ตะโกนลั่นว่า “ฉันเป็นอัจฉริยะที่ถูกขัดขวาง!  ฉันเป็นคนยอดเยี่ยมแต่น้อยคนนักที่รับรู้ได้ถึงความสามารถพิเศษที่แท้จริง!  ฉันมีความมุ่งมาดปรารถนาอันสูงส่ง แต่น่าเสียดายที่ฉันเกิดผิดเวลาและโชคร้าย!”  พวกเขาเชื่อเสมอว่าตนเองมีความทะเยอทะยานและเต็มไปด้วยความรู้ แต่ไม่เคยโดดเด่นออกจากฝูงชนหรือได้รับตำแหน่งสูงๆ จากผู้มีอำนาจคนใดได้เลย และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงกลายเป็นคนชอบเย้ยหยันและไม่เคยพึงพอใจ พวกเขาดูแคลนทุกคน จนในที่สุดพวกเขาก็จบลงที่ความเดียวดาย  นั่นไม่น่าเวทนาหรอกหรือ?  พูดตรงๆ ก็คือผู้คนเช่นนี้เป็นกลุ่มคนบ้าคลั่งที่ชอบวางท่า ปั้นปึ่งเย็นชาอย่างยิ่ง และไม่พึงพอใจความเป็นจริง พวกเขารู้สึกไม่ประสบความสำเร็จอยู่ตลอดเวลา  อันที่จริงแล้ว ผู้คนเหล่านี้ไม่มีค่าอะไรเลย พวกเขาไม่สามารถลุล่วงสิ่งใดได้เลย พวกเขาทำทุกสิ่งได้ไม่ดี และเมื่อพวกเขาเรียนรู้ความรู้มาเล็กน้อย พวกเขาก็โอ้อวดโดยการพูดคุยเกี่ยวกับความรู้นั้นอย่างไม่รู้จบ  ในสมัยโบราณ ผู้คนแบบนั้นมักท่องบทกวี เขียนเพลงกลอน และโอ้อวดทักษะทางวรรณกรรมของตนอย่างเคร่งครัดทุกกระเบียดนิ้ว  ปัจจุบันนี้ ผู้คนเช่นนี้มีโอกาสโอ้อวดเพิ่มขึ้นมากมาย  พวกเขาสามารถสร้างสื่อเป็นของตัวเอง โพสต์ความเห็นตามบล็อกทั้งหลาย เป็นต้น  ในบางประเทศที่มีระบบสังคมที่ค่อนข้างเป็นอิสระ พวกเขาเปิดโปงด้านมืดของอุตสาหกรรมต่างๆ อยู่เป็นนิจ อาทิ ด้านมืดและด้านชั่วของภาควรรณกรรม ศิลปะ การพานิชย์ การเมือง และวัฒนธรรม  พวกเขาวิพากย์วิจารณ์เรื่องนี้และดูเบาเรื่องนั้นตลอดทั้งวัน โดยเชื่อว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษมากเหลือเกิน  จุดกำเนิดของการที่พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ก็คือความเชื่อของพวกเขาที่ว่าทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตนนั้นดีและถูกต้อง และตนได้บรรลุถึงความยิ่งใหญ่ ความรุ่งโรจน์ และความถูกต้องแล้ว  พูดให้ชัดเจนก็คือพวกเขาปกป้องตัวเองจากอิทธิพลที่ไม่ดี และพวกเขาก็ “เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์”  พวกเขาเชื่อว่าตนมองเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน และพวกเขาสามารถเข้าใจทุกสิ่ง  พวกเขาใช้การวิพากษ์วิจารณ์ทางอ้อมต่อใครก็ตามที่ทำสิ่งใดก็ตาม และพวกเขามองคนเหล่านั้นอย่างเหยียดหยามและรังเกียจ  พวกเขามักมีบางสิ่งที่จะพูดเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้ใดก็ตามทำเสมอ และพวกเขาก็วิพากษ์วิจารณ์และดูเบาคนเหล่านั้น  ในความเป็นจริง พวกเขาไม่มีแนวคิดเลยว่าตัวเองเป็นอะไร พวกเขาไม่เคยรู้ว่ามุมมองและจุดยืนใดที่ถูกต้องและเหมาะสมที่จะใช้เวลากล่าวสิ่งต่างๆ  พวกเขาแค่รู้จักวิธีพูดจาเรื่อยเปื่อยและพูดจากะล่อนเท่านั้น  ในสังคมมีผู้คนแบบนี้อยู่มากมายใช่หรือไม่?  (ใช่)  ผู้คนเหล่านี้เป็นใคร?  พูดให้ชัดเจนก็คือ พวกเขาเป็นกลุ่มคนบ้าคลั่งที่ชอบวางท่า และมองว่าตัวเองไร้มลทินและเลิศลอย  ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีผู้คนแบบนี้อยู่มากมาย ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  เจ้าควรบรรยายและให้นิยามผู้คนเหล่านี้ว่าอย่างไร?  พวกเขาไม่ใช่นักอุดมคติหรอกหรือ?  พูดให้ชัดเจนคือ ผู้คนเหล่านี้เป็นนักอุดมคติ  พวกเขาไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมของดำรงชีวิตที่เป็นจริงในปัจจุบัน และหัวของพวกเขาก็มีแต่เรื่องเพ้อฝันอยู่ตลอดเวลา เต็มไปด้วยสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ว่างเปล่า มองไม่เห็นและไม่มีตัวตน  พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในโลกที่จับต้องไม่ได้และไม่มีอยู่จริง—ผู้คนเหล่านี้จึงถูกเรียกว่านักอุดมคติ  แล้วพวกเขาใช้มุมมองใดในการประเมินผู้อื่น?  พวกเขาใช้ความสูงส่งทางศีลธรรม และจุดเริ่มต้นของพวกเขาในการประเมินค่าผู้อื่นก็คือ “ฉันสามารถมองเห็นด้านชั่วและด้านมืดของพวกคุณอย่างชัดเจน และสามารถเปิดโปงมันออกมา  การสามารถเปิดโปงสิ่งที่ชั่วและไม่ดีที่พวกคุณทำนั้นพิสูจน์ว่าฉันไม่เหมือนพวกคุณ”  ความหมายที่แฝงอยู่ของพวกเขาก็คือ “‘เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์’—คำกล่าวนี้ใช้กับฉัน  พวกคุณทั้งหมดแปดเปื้อนไปด้วยกระแสนิยมชั่วนี้ พวกคุณไม่ใช่คนดี”  นี่ไม่ใช่การที่พวกเขามองว่าตัวเองไร้ไร้มลทินและเลิศลอยหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่การที่พวกเขาประเมินตัวเองสูงเกินไปและหยิ่งยโสหรอกหรือ?  นี่คือความพยายามแฝงที่จะยกระดับตัวเองโดยใช้การวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นจริง การเปิดโปงด้านมืดของสังคม และการไม่พึงพอใจความเป็นจริงมาบังหน้าไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วพวกเราจะให้นิยามผู้คนเช่นนี้ว่าอย่างไร?  มีคำกล่าวพื้นบ้านที่ว่า “ฉันเคยเจอผู้คนที่ไร้ยางอายมาก่อน แต่ไม่เคยพบใครไร้ยางอายเท่าคุณเลย”  นี่บรรยายลักษณะของผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาไร้ยางอาย  พวกเขามีปากพูดแต่เรื่องถูกและผิด และมีตาที่มองเห็นแต่ข้อบกพร่องและข้อตำหนิของผู้อื่น  พวกเขาใช้ฝีปากอันชาญฉลาดเปิดโปงข้อบกพร่องและข้อตำหนิของผู้อื่นในที่สาธารณะ และด้วยการทำเช่นนั้น พวกเขาแสดงทัศนะของตัวเองและแสดงให้ผู้อื่นเห็นวิธีที่พวกเขาปกป้องตัวเองจากอิทธิพลที่ไม่ดี รวมทั้งแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีเอกลักษณ์และสูงส่งเพียงใด  พวกเขาสูงส่งจริงหรือ?  พวกเขามีเอกลักษณ์จริงหรือ?  พวกเขาก็เหมือนคนอื่นๆ  ไม่ว่าผู้คนอื่นใช้วิธีการใดไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลตอบแทน วิธีการของพวกเขาก็เห็นได้ชัดเจน  กระนั้นก็ตาม ผู้คนเหล่านี้วางท่าสง่างาม การเปิดโปงและการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นของพวกเขาเป็นหัวข้อและเป็นจุดเริ่มต้นที่พวกเขาใช้ยกระดับและส่งเสริมตนเอง และพวกเขาก็ใช้วิถีทางเหล่านี้เพื่อที่จะมีชื่อเสียงและอิทธิพล  พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลตอบแทนอยู่ไม่ใช่หรือ?  เป้าหมายของพวกเขาเหมือนกันไม่ใช่หรือ?  ผลลัพธ์ก็เหมือนกันด้วยไม่ใช่หรือ?  พวกเขาแค่ใช้วิถีทางและวิธีการที่ต่างกันก็เท่านั้นเอง  นั่นไม่ผิดจากการเหยียดหยามใครบางคนโดยใช้ภาษาสุภาพกับการเหยียดหยามคนเหล่านั้นโดยใช้ภาษาหยาบคาย ธรรมชาติของการเหยียดหยามยังคงเหมือนเดิม  ผู้คนอื่นมีชื่อเสียงในทางหนึ่ง และผู้คนเหล่านี้กลายมามีชื่อเสียงอีกทางหนึ่ง—ผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายก็เหมือนกัน เช่นเดียวกับเจตนา จุดประสงค์ และแรงจูงใจ ดังนั้นจึงไม่มีความแตกต่างกันเลย

สำหรับผู้คนเหล่านั้นในสังคมที่กล่าวประกาศตนว่า “เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์” พวกเราก็ได้ให้คำจำกัดความพวกเขาไปแล้วว่าเป็นนักอุดมคติ  ลักษณะเฉพาะของผู้คนดังกล่าวก็คือ พวกเขาปั้นปึ่งเย็นชาเป็นพิเศษ พวกเขาคิดว่าตนเองดีกว่าใครอื่น พวกเขาคำนึงว่าคนอื่นทุกคนไม่น่าพึงพอใจ และถึงที่สุดแล้วพวกเขาก็สรุปว่า “พวกคุณทั้งหมดจมปลักอยู่ในตมและจมปลักอยู่ในกระแสนิยมชั่ว  ฉันเหนือกว่าพวกคุณ และฉัน ‘เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์’”  นี่คือการวางท่าของพวกเขา และนี่คือการไม่พึงพอใจต่อความเป็นจริงที่พวกเขาเป็น ราวกับพวกเขาเองนั้นบริสุทธิ์และสะอาดเสียเหลือเกิน  ในข้อเท็จจริงนั้น เป็นเพราะพวกเขาไม่มีความสามารถเท่าคนอื่นและไม่มีวิถีทางที่ผู้อื่นมี เพราะพวกเขาเสาะแสวงที่จะโดดเด่นจากฝูงชนตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยสมความปรารถนา เพราะพวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นอุดมคติ เลื่อนลอย และว่างเปล่าอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยพึงพอใจและไม่เคยสามารถทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงได้ และก็เป็นเพราะเขาไม่มีความปรารถนาที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง หรือปล่อยมือจากอุดมคติของพวกเขา ดังนั้นในแง่ของรูปแบบแล้ว พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากอยู่ห่างจากวงการราชการ การเมือง ศิลปะและวรรณกรรม รวมทั้งทางวัฒนธรรม  เพราะพวกเขาไม่เป็นที่ต้อนรับในวงการทั้งหลายดังกล่าว ไม่สามารถเป็นที่ยอมรับ ไม่สามารถสัมฤทธิ์ความทะเยอทะยานของตน อีกทั้งอุดมคติและความมุ่งมาดปรารถนาของพวกเขาก็ไม่อาจเป็นจริงได้ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็กล่าวประกาศว่าตนเอง “เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์” และบอกว่าตนสวนกระแส ตนมีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมที่ดูสูงส่ง แล้วพวกเขาก็ใช้คำกล่าวเช่นนั้นปลอบใจตนเอง  จากการที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงพวกเขาในหนทางนี้ ตอนนี้พวกเจ้ารู้จักวิธีใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คนเช่นนั้นแล้วใช่หรือไม่?  โดยแก่นแท้แล้วผู้คนเช่นนี้เป็นอย่างไรกันแน่?  พวกเขาไม่มีค่าอะไรเลย กระนั้นพวกเขาก็ยังคงวางท่า  นี่คือการประเมินที่ถูกต้องแม่นยำใช่หรือไม่?  (ใช่)  ผู้คนเช่นนี้มีอุดมคติมากมายเหลือเกิน แต่ไม่มีอุดมคติใดเลยที่สามารถทำให้เป็นจริงได้ และก็ไม่มีอุดมคติใดเลยที่คล้อยตามความเป็นจริง  สิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาคิดล้วนไม่มีสาระและไม่สมจริง  ตลอดทั้งวัน ผู้คนเหล่านี้ไม่ทำงานที่ถูกต้องเหมาะสมเลย รู้เพียงการท่องบทกวีและประพันธ์เพลงกลอน วิพากษ์วิจารณ์สิ่งนี้ ดูเบาสิ่งนั้น—นี่ก็คือการที่พวกเขาไม่ได้กำลังทำหน้าที่ที่ถูกต้องเหมาะสมอันใดใช่หรือไม่?  แก่นแท้ของพวกเขาสามารถมองเห็นได้จากพฤติกรรมของพวกเขา พวกเขาไม่มีความสามารถพิเศษหรือการเรียนรู้ที่แท้จริงเลย ความคิดและทัศนะของพวกเขาที่มีต่อความเป็นจริงและชีวิตล้วนไม่มีสาระ คลุมเครือ และไม่สมจริง และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาจึงสามารถทำตามตรรกะวิบัติที่ว่า “เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์” ได้  พวกเขาเพียรพยายามที่จะเป็นแบบนี้ โดยหวังให้ผู้คนเป็นแบบนี้กันมากขึ้นอีกด้วย—นี่เป็นความคลาดเคลื่อน  หากผู้คนเป็นแบบนี้ แล้วพวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์สิ่งใดได้บ้างเล่า?  พูดให้ชัดเจนก็คือ ผู้คนเช่นนี้ปราศจากเป้าหมายหรือทิศทางอันถ่องแท้ในชีวิต ปราศจากความเชื่อที่แท้จริง ปราศจากทางเลือกที่แท้จริงในชีวิต ทั้งยังปราศจากเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้อง  ความคิดของพวกเขาคึกคะนองและขาดความยับยั้งชั่งใจตลอดทั้งวัน พวกเขาเพลิดเพลินอยู่กับแนวคิดที่แปลกประหลาดทุกประเภท จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยสิ่งที่วุ่นวายยุ่งเหยิง ว่างเปล่า และไม่สมจริง ไม่มีสิ่งใดในนี้ที่สมจริงเลย และในข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนเหล่านี้ก็เป็นอีกประเภทหนึ่งที่ต่างจากมวลมนุษย์  การคิดอ่านของพวกเขาทั้งว่างเปล่าและไร้สาระ อีกทั้งยังสุดโต่งอย่างเหลือเชื่อ  ไม่สำคัญว่าพวกเขาอยู่ในกลุ่มใดของผู้คน หรือไม่ว่าพวกเขาจะเป็นชนชั้นสูง ชั้นกลาง หรือชั้นต่ำในสังคม พวกเขาก็ไม่มีวันเข้ากับผู้อื่นได้ และไม่มีวันสามารถเป็นที่ยอมรับของผู้คนได้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  นั่นเป็นเพราะการคิดอ่านของพวกเขา การไล่ตามไขว่คว้าและมุมมองที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายนั้นสุดโต่งและเป็นแบบที่แตกต่างออกไป  กล่าวอย่างสุภาพคือ ผู้คนเหล่านี้เป็นนักอุดมคติ แต่กล่าวให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาป่วยทางจิตและผิดปกติทางจิต  จงบอกเราเถิดว่า ผู้คนที่ป่วยทางจิตสามารถเข้ากันได้ดีกับผู้คนปกติเช่นนั้นหรือ?  พวกเขาไม่เพียงไม่สามารถเข้ากันได้ดีกับมิตรสหายหรือเพื่อนร่วมงานของตนเท่านั้น แต่พวกเขาถึงขั้นไม่สามารถเข้ากันได้ดีกับครอบครัวตัวเองด้วยซ้ำ  เมื่อผู้คนเหล่านี้นำเสนอทัศนะและคำแถลงต่างๆ ออกมา ผู้คนอื่นย่อมรู้สึกตะขิดตะขวงและรังเกียจ อีกทั้งไม่อยากได้ยินสิ่งเหล่านั้นเลย  คำแถลงเหล่านี้ไม่มีมูลความจริงเลยและใช้การไม่ได้ในชีวิตจริง  ในชีวิตจริงนั้น ความลำบากยากเย็นที่ผู้คนเผชิญสามารถเกิดขึ้นภายในตัวพวกเขา สามารถเกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมตามข้อเท็จจริงของผู้คน หรือสามารถเกี่ยวข้องกับความจำเป็นหลักๆ ในชีวิตประจำวัน—แล้วควรเผชิญหน้า รับมือและแก้ไขสิ่งเหล่านี้อย่างไร?  ในแง่ของความลำบากยากเย็นเล็กน้อยนั้น มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความจำเป็นหลักในชีวิตประจำวัน ในขณะที่ในแง่ของความลำบากยากเย็นใหญ่ๆ มีเรื่องที่สัมพันธ์กับทัศนคติต่อชีวิตของผู้คน กับกฎเกณฑ์ในการดำรงชีวิตของพวกเขา กับเส้นทางที่พวกเขาเดินตาม และกับความเชื่อของพวกเขา และปัญหาเหล่านี้นี่เองที่เป็นจริงมากที่สุด  กระนั้นนักอุดมคติเหล่านี้ก็ต้องการแยกตัวเองออกจากปัญหาเหล่านี้เสมอและไม่มีวันต้องการใช้ชีวิตในสถานการณ์ที่เป็นชีวิตจริง  ทัศนะ มุมมอง และจุดเริ่มต้นที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายล้วนอยู่บนพื้นฐานของปัญหาที่แท้จริงเหล่านี้ แต่ค่อนข้างคึกคะนองและขาดความยับยั้งชั่งใจ  เจ้าไม่มีวันรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ ราวกับว่าพวกเขาคิดเหมือนมนุษย์ต่างดาว เป็นสิ่งที่ผู้คนบนแผ่นดินโลกนี่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นสิ่งซึ่งฟังดูผิดปกติสำหรับผู้คน  ใครอยากได้ยินคนพูดเรื่องผิดปกติกัน?  เมื่อผู้คนพบคนคนนี้เป็นครั้งแรกและได้ยินพวกเขาพูดจา พวกเขาอาจรู้สึกว่าสิ่งที่คนคนนี้กำลังพูดอยู่นั้นช่างสดใหม่จริงๆ มีความเข้าใจที่ลึกซึ้งและฉลาดแยบยลกว่าสิ่งที่ผู้คนธรรมดาพูดกัน  แต่หลังจากผ่านไปสักพัก พวกเขาก็ตระหนักว่าทั้งหมดนั่นก็แค่เรื่องเหลวไหลไร้สาระ ดังนั้นจึงไม่มีใครให้ความสนใจคนคนนั้นอีกต่อไป พวกเขาไม่ใส่ใจบุคคลเหล่านั้น และไม่มีสิ่งใดที่คนเหล่านั้นพูดเข้าไปในหูหรือในหัวใจของพวกเขาเลย  บุคคลผู้นั้นสามารถล่วงรู้ได้หรือไม่ยามที่ผู้คนอื่นใช้ท่าทีเช่นนั้นกับพวกเขา?  พวกเขาเริ่มตระหนักรู้เมื่อเวลาผ่านไป และพวกเขาก็คิดในใจว่า “ไม่มีใครชอบฉันเลย เกิดอะไรขึ้น?  ทำไมพวกเขาไม่ชอบฉันล่ะ?  เฮ้อ ถึงฉันเป็นดาวเด่น แต่น้อยคนนักที่รับรู้ได้ถึงความสามารถพิเศษที่แท้จริง!”  เจ้าดูเถิด พวกเขาหลงตัวเองตลอดเวลา เชื่อเสมอว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษ ฉลาดและเป็นคนเก่ง ทั้งที่ตามข้อเท็จจริงแล้วพวกเขาไม่มีอะไรเลยสักอย่าง  ไม่ว่าพวกเขาเข้าไปอยู่ในผู้คนกลุ่มใด ผลสุดท้ายและตอนจบสำหรับพวกเขาก็คือการถูกปฏิเสธเสมอ  นี่มีเหตุมาจากการที่พวกเขาทำตามคำกล่าวที่ว่า “เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์”  หากเจ้าเคยต้องการเป็นแบบนี้ เช่นนั้นเราขอบอกเจ้าให้หยุดทันที เพราะผู้คนเหล่านี้ไม่ปกติ  หากการคิดอ่านของเจ้าและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ของเจ้านั้นปกติ เช่นนั้นเจ้าก็ควรทำสิ่งที่เจ้าควรทำและสิ่งที่เจ้าทำได้ และไม่เสาะแสวงที่จะเป็นหนึ่งในพวกที่ “เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์”  ผู้คนเหล่านี้เสื่อมและเป็นมนุษย์คนละประเภท อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ปกติ

ครั้นพวกเราชำแหละแก่นแท้ของผู้คนซึ่ง “เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์” กันเสร็จสิ้นแล้ว พวกเรามาเสวนาเกี่ยวกับปัญหาของความไม่พึงพอใจในความเป็นจริงและความเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเห็นแก่ตัวที่พวกเราเอ่ยถึงตอนที่พวกเราเปิดโปงผู้คนเหล่านี้กันเถิด  คนบางคนเชื่อว่า “พวกเราเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพวกเราก็ควรเข้าใจด้านมืดของสังคมและกระแสนิยมชั่วในสังคม และไม่ทำตามสิ่งเหล่านั้น  พวกเรายังต้องเข้าใจการเมือง ความเลวของมวลมนุษย์ และสิ่งที่ปฏิบัติกันทั่วไปต่างๆ นานาของมวลมนุษย์ รวมทั้งสิ่งที่ชั่วและด้านมืดทั้งหมดของมวลมนุษย์ที่ปรากฏให้เห็นต่างเวลา ในซอกมุมต่างๆ ของโลก และท่ามกลางเผ่าพันธุ์และกลุ่มต่างๆ  การทำเช่นนี้จะทำให้พวกเราพัฒนาในเรื่องวิจารณญาณ”  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าประสงค์จากมนุษย์เช่นนั้นหรือ?  ก่อนที่พวกเราจะสามัคคีธรรมหัวข้อนี้กัน พวกเจ้าบางคนอาจได้ทำให้นี่เป็นการไล่ตามไขว่คว้าของเจ้าไปแล้ว แต่เราขอบอกเจ้าให้ชัดเจนตอนนี้เลยว่า นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่เจ้าต้องทำ และนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จากเจ้า  เจ้าไม่ได้ถูกกำหนดให้เข้าใจโลกนี้ สังคมนี้และมวลมนุษย์ หรือภาคส่วนทางการเมือง การพานิชย์ ทางวรรณกรรม หรือทางศาสนานี้ หรือการปฏิบัติทั่วไปอันใดที่มาจากสังคม หรือวิธีปฏิบัติการของกลุ่มหรือกองกำลังใดในสังคม และอื่นๆ--นี่ไม่ใช่บทเรียนที่เจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้  เจ้าไม่จำเป็นต้องไม่พึงพอใจความเป็นจริง และเจ้าไม่จำเป็นต้องปกป้องตัวเองจากอิทธิพลที่ไม่ดี  นี่ไม่ใช่จุดยืนหรือมุมมองที่เจ้าควรใช้ และนี่ไม่ใช่ทัศนะที่เจ้าควรนำมาใช้  พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเจ้าและเปิดโอกาสให้เจ้าได้ติดตามและเชื่อในพระองค์ โดยพระองค์ไม่ทรงขอให้เจ้าต่อต้านมวลมนุษย์ ต่อต้านสังคม ต่อต้านการเมือง หรือต่อต้านรัฐ และพระองค์ก็ไม่ได้ทรงขอให้เจ้าต่อต้านกลุ่ม เชื้อชาติ หรือศาสนาใดด้วย  พระองค์แค่ทรงขออย่างเรียบง่ายให้เจ้าติดตามพระองค์และปฏิเสธซาตาน ให้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ยอมรับและนบนอบพระวจนะของพระองค์ เดินตามทางของพระองค์ รวมทั้งยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว  พระเจ้าไม่เคยทรงขอให้เจ้าต่อต้านมวลมนุษย์ ต่อต้านสังคม หรือต่อต้านรัฐ  พูดให้ชัดเจนก็คือ พระเจ้าไม่เคยทรงขอให้เจ้าต่อต้านรัฐบาลใด ระบบการเมืองและสังคมใด หรือนโยบายทางการเมืองใด—พระเจ้าไม่เคยทรงขอให้เจ้าทำอะไรเช่นนั้น  คนบางคนกล่าวว่า “มวลมนุษย์ทั้งหมดปฏิเสธพวกเรา ต่อต้านพวกเรา และกดขี่พวกเรา  พวกเราผิดปกติหรือที่ลุกขึ้นมาต่อต้านและต่อสู้กับพวกเขา?  พวกเขาทั้งหมดต่อต้านพวกเรา แล้วทำไมพวกเราจะต่อต้านพวกเขาไม่ได้?”  ไม่ว่าเจ้าคิดหรือกระทำโดยส่วนตัวอย่างไร หรือเจ้ามีทัศนะส่วนตัวประเภทใดเกี่ยวกับสังคม โลก และระบบการเมืองระดับชาติ นั่นเป็นเรื่องของเจ้าและไม่เกี่ยวข้องอะไรกับทางที่พระเจ้าทรงขอให้เจ้าเดินตามเลย ทั้งยังไม่เกี่ยวข้องอันใดกับหลักคำสอนหรือข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าด้วย  คนบางคนกล่าวว่า “ในเมื่อพระองค์ตรัสว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับหลักคำสอนของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จากพวกเรา และไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้พวกเราทำ เช่นนั้นแล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงเปิดโปงซาตาน กระแสนิยมทางสังคม และด้านมืดของสังคม และแม้แต่ศาสนาเล่า?”  พระเจ้าทรงเปิดโปงสิ่งเหล่านี้ก็เพียงเพื่อให้เจ้าสามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยนั้นสัมพันธ์กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน อีกทั้งสัมพันธ์กับทัศนะและมโนคติอันหลงผิดเชิงท้าทายพระเจ้าที่ผู้คนมีอยู่  เพราะฉะนั้นในสถานการณ์ประเภทนี้ พวกเราจึงจำเป็นต้องสามัคคีธรรมหัวข้อดังกล่าวและใช้ตัวอย่างทั้งหลายเหล่านี้ จุดประสงค์ก็การเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานซึ่งมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเผยออกมาอย่างถูกต้องแม่นยำและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น อีกทั้งสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะความคิดและทัศนะอันคลาดเคลื่อนต่างๆ ทั้งหมด รวมถึงมโนคติอันหลงผิดเชิงท้าทายพระเจ้าซึ่งซาตานปลูกฝังในตัวพวกเขา และทั้งหมดก็เท่านั้นเอง  นี่ไม่ได้ทำไปเพื่อให้ผู้คนสามารถต่อต้านการเมือง ต่อต้านสังคม และต่อต้านมวลมนุษย์เป็นการส่วนตัว  พระเจ้าไม่เคยทรงขอให้ผู้คนไม่พึงพอใจความเป็นจริง เชื่อว่ามนุษย์คนอื่นล้วนเห็นแก่ตัว หรือปกป้องตัวเองจากอิทธิพลไม่ดี  คนบางคนพูดว่า “แม้พระเจ้าไม่เคยทรงขอให้ฉันเป็นแบบนี้ แต่ที่ฉันเชื่อในพระเจ้าก็เพราะฉันไม่ไว้ใจมนุษย์คนอื่นและไม่พึงพอใจความเป็นจริง เพราะฉันรู้สึกว่ามีความเป็นธรรมและความชอบธรรมอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า และรู้สึกว่าความจริงครองอำนาจอยู่ที่นี่ และเพราะฉันได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมที่นี่”  นั่นเป็นเรื่องของเจ้าและไม่เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์  แน่นอนว่า ทุกคนมาเชื่อในพระเจ้าด้วยเหตุผลที่ต่างกัน คนบางคนเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับพระพร บ้างก็เพื่อให้รอดพ้นความวิบัติ บ้างก็เพื่อให้อาการเจ็บป่วยได้รับการรักษา บ้างก็เพื่อให้มีบั้นปลายที่ดีในอนาคต แล้วก็มีบางคนที่ไม่พึงพอใจความเป็นจริง ไม่พึงพอใจโลก ไม่พึงพอใจสังคม หรือเคยได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมในสังคม ดังนั้นจึงมายังพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อแสวงหาความชูใจและที่กำบัง  ทัศนะของทุกคนที่มีต่อความเชื่อในพระเจ้าและเจตนาหรือแรงจูงใจแรกเริ่มสำหรับความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้นต่างกัน แล้วก็ยังมีพวกที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ในหัวใจ ซึ่งแค่ต้องการเชื่อในพระเจ้าและรู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี  ไม่ว่าในกรณีใด เมื่อผู้คนเหล่านั้นซึ่งไม่ไว้ใจมนุษย์คนอื่นและไม่พึงพอใจความเป็นจริงมาเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงชมเชยพวกเขาหรือปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีเมตตาแค่เพราะพวกเขามีของประทานหรือมีความสามารถพิเศษเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริง พวกเขาโอหัง คิดว่าตนเองถูก และเหยียดหยามผู้อื่นมากเกินไป และผู้คนแบบนี้มักรู้สึกลำบากยากเย็นเหลือเกินที่จะยอมรับความจริง  พวกเจ้าไม่ควรหวังอะไรกับผู้คนแบบนั้น และพวกเจ้าก็ไม่ควรเป็นผู้คนแบบนั้นไปเสียเอง  เราบอกให้พวกเจ้าซื่อสัตย์ ไล่ตามเสาะหาความจริง นบนอบพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  เพราะฉะนั้น จงอย่าเชื่อเป็นอันขาดว่าแค่เพราะเจ้าไม่พอใจสังคมและเข้าใจสังคมอย่างชัดเจน หรือเป็นเพราะเจ้าเคยมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมพิเศษบางอย่างมาก่อนหน้านี้และมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับด้านมืดของอุตสาหกรรมนั้น เจ้าจึงมีต้นทุนและวุฒิภาวะในการเชื่อในพระเจ้าของตน พระเจ้าจึงทรงรักเจ้า เจ้าจึงทำได้ตามมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนด หรือเจ้าจึงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติเพียงพอ  หากเจ้าเชื่อเช่นนั้นจริง เราก็ขอบอกว่าเจ้าคิดผิด ทัศนะที่เจ้ากำลังใช้ประเมินวัดสถานการณ์นั้นผิด มุมมองที่เจ้ากำลังใช้มองสิ่งทั้งหลายนั้นผิด รวมทั้งจุดยืนที่เจ้ากำลังใช้อยู่นั้นก็ผิดด้วย  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  เราพูดก็เพราะจุดยืนที่เจ้ายึดถืออยู่ อีกทั้งมุมมองและทัศนะที่เจ้าใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายนั้นไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนพระวจนะของพระเจ้าและไม่มีความจริงเป็นเกณฑ์  หากเจ้าใช้มุมมองของผู้คนทางโลก อีกทั้งรู้สึกไม่พึงพอใจความเป็นจริงและไม่ไว้ใจมนุษย์คนอื่นเสมอ เช่นนั้นเจ้าก็จะชังพวกเขา เจ้าจะต้องการต่อสู้และดิ้นรนต่อต้านพวกเขา ใช้เหตุผลกับพวกเขาและโต้คารมกับพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งใดผิดและสิ่งใดถูก เจ้าจะต้องการเปลี่ยนแปลงมวลมนุษย์ เปลี่ยนแปลงสังคม และถึงขั้นเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของประเทศ  มีคนบางคนถึงขนาดต้องการเปิดโปงด้านมืดของชนชั้นนำทางการเมืองของชาติตน โดยเชื่อว่าการทำเช่นนั้นคือการที่พวกเขากำลังปฏิเสธซาตานและเป็นการปฏิบัติความจริง  นี่ย่อมผิดทั้งหมด  ไม่ว่ามีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมายเพียงใดในแวดวงของชนชั้นสูงทางการเมือง ในวงการธุรกิจ หรือในวงการศิลปะและวรรณกรรม แต่ก็ไม่มีสิ่งใดในนั้นเลยที่เกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ดังกล่าวมากมายเพียงใด ก็ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น และนั่นไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้ารู้จักแก่นแท้ของซาตาน หรือให้เห็นว่าเจ้าสามารถปฏิเสธซาตานในส่วนลึกสุดของหัวใจ  ไม่ว่าเจ้ารู้จักหรือเข้าใจสิ่งต่างๆ ดังกล่าวมากเพียงใด และไม่ว่าความเข้าใจของเจ้าจะเฉพาะเจาะจง แท้จริง หรือถูกต้องแม่นยำเพียงใด นี่ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริง ว่าเจ้ากำลังทำความรู้จักตัวเอง หรือว่าเจ้ากำลังชำแหละความคิดและทัศนะเยี่ยงซาตานภายในตัวเจ้า และนี่ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้ารักพระวจนะของพระเจ้าและความจริง นับประสาอะไรที่จะสาธิตให้เห็นว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า  จงอย่าคิดว่าการที่เจ้าเข้าใจสังคมนิดหน่อยหรือรู้กฎเกณฑ์ของอุตสาหกรรมหนึ่งอย่างคนในหรือข่าวลือบางเรื่องที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก การที่เจ้าไม่ไว้วางใจและไม่พึงพอใจสังคม รวมทั้งการที่เจ้ามีความกล้าที่จะเปิดโปงด้านมืดของสังคม จะทำให้เจ้าเป็นคนที่สูงส่งและมีเกียรติ อยู่เหนือคนอื่น และเป็นคนที่ “เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์”  พระเจ้าไม่ได้ต้องประสงค์ผู้คนเช่นนั้น

ก่อนที่ผู้คนบางคนจะมาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาทั้งขลาดและลังเล ไม่กล้าที่จะเปิดโปงด้านมืดของสังคม และไม่มีความกล้าหาญที่จะทำเช่นนั้น  ตอนนี้เมื่อพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาจึงรู้สึกว่ามีพระเจ้าทรงเสริมความกล้าให้พวกเขาและทรงหนุนหลังพวกเขา และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่หวาดกลัวอีกต่อไปที่จะเปิดโปงสิ่งต่างๆ ดังกล่าว  ถึงขั้นมีบางคนที่เดินทางไปต่างประเทศซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยและกล้าเปิดโปงการทำชั่วบางอย่างของปีศาจซึ่งก็คือพรรคคอมมิวนิสต์จีน  จากนั้นผู้คนเหล่านี้ก็รู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขามีวุฒิภาวะและมีความเชื่อในพระเจ้า  นี่เป็นความคิดและทัศนะที่ผิดทั้งหมด อีกทั้งยังไร้ประโยชน์ที่จะไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้  ไม่ว่าเจ้าจะไม่พึงพอใจความเป็นจริงและไม่ไว้วางใจมนุษย์คนอื่นหรือไม่ และไม่ว่าเจ้าอยู่เหนือคนอื่นในสังคมหรือไม่ และไม่ว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่ “เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์” หรือไม่ ก็ไม่มีอะไรในนี้ที่สำคัญต่อพระเจ้า พระองค์ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้  พระเจ้าให้ความสำคัญกับสิ่งใดบ้าง?  อันดับแรก พระเจ้าทอดพระเนตรว่าเจ้าตระหนักถึงความคิดและทัศนะที่มาจากซาตานในส่วนลึกสุดของหัวใจเจ้าหรือไม่  และครั้นเจ้าได้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านั้นแล้ว เจ้าเปิดโปงสิ่งเหล่านั้น และเปิดเผยสิ่งเหล่านั้นต่อผู้อื่นหรือไม่ และเมื่อเจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านั้นชัดเจนแล้ว เจ้าปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นหรือไม่  ยิ่งไปกว่านั้นพระเจ้ายังทอดพระเนตรว่าเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงในชีวิตจริงอย่างมีสติหรือไม่ ว่าเจ้ามีสติที่จะแสวงหาหลักธรรมความจริงในวิธีที่เจ้ามองผู้คนและเหตุการณ์ทั้งหลาย รวมทั้งการประพฤติปฏิบัติตนและการกระทำหรือไม่ อีกทั้งทอดพระเนตรว่าเจ้ามีท่าทีต่อความจริงอย่างไรกันแน่  นี่คือบางสิ่งที่เจ้าต้องชัดเจนในหัวใจ  ผู้คนบางคนเพลิดเพลินใจกับการพูดคุยเรื่องอดีตและปัจจุบัน คุยฟุ้งอย่างหนักแน่นเกี่ยวกับแผนโค่นบัลลังก์ในประวัติศาสตร์ แจกแจงรายละเอียดขนานใหญ่ถึงเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในแวดวงการเมืองในแต่ละช่วงเวลา แจกแจงถึงประเด็นปัญหาสำคัญและผู้ที่มีส่วนร่วมในช่วงเวลาสำคัญต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมาย  จากนั้นพวกเขาก็คิดว่าตนมีวุฒิภาวะ คิดว่าตนซื่อตรงและมีสำนึกแห่งความยุติธรรมอันแรงกล้า โดยกล่าวว่า “คุณก็เห็นว่าฉันไม่พอใจสังคมขนาดไหน  สายตาจับจ้องของฉันแทงทะลุเข้าไปในความมืดดำของวงการข้าราชการ และฉันก็เข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งและละเอียดละออมาก!”  ประโยชน์ในการกล่าวเรื่องแบบนี้คืออะไร?  เจ้ากำลังพยายามประจบประแจงใครอยู่?  พระเจ้าหรือ?  เจ้ากำลังโอ้อวดว่าตัวเองมีเชาว์ปัญญาเพียงใดและโอ้อวดว่าเจ้ารู้เรื่องต่างๆ มากมายเหลือเกินใช่หรือไม่?  การพูดสิ่งเหล่านี้ไร้ประโยชน์  เราไม่เคยมองขยะไร้ค่าออนไลน์เลย และเราก็ไม่เคยสนใจข่าวสารหรือข่าวคราวประเภทใดเลย  เหตุใดเราจึงไม่มองสิ่งเหล่านี้?  เพราะชวนให้โมโหและน่าขยะแขยง  ผู้คนบางคนเชื่อว่าเมื่อพวกเขามาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาต้องมีสำนึกของความยุติธรรม และบ่อยครั้งที่พวกเขาออกความเห็นและพูดจาไร้สาระเกี่ยวกับผู้คนที่มีชื่อเสียง คนเด่นคนดัง และนักการเมือง และพวกเขาก็นำชีวิตส่วนตัวของผู้คนเหล่านี้มาเผยในที่แจ้งโดยหวังจะให้ทุกคนตาสว่าง  พวกเขารู้สึกเหมือนตนเป็นผู้ที่มีหลากหลายความสามารถ เป็นคนมีปัญญา และพวกเขารู้ความลับทุกอย่าง พวกเขาฉลาด มีความรู้และซื่อตรงมากเหลือเกิน  การรู้สิ่งเหล่านั้นมีประโยชน์อะไร?  นั่นแสดงว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงอยู่เช่นนั้นหรือ?  นั่นแสดงว่าเจ้าเข้าใจความจริงแล้วใช่หรือไม่?  นั่นแสดงว่าเจ้ามีวุฒิภาวะใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เจ้าไม่สามารถหยุดพูดสิ่งเหล่านั้นในสังคมได้ แต่เจ้าสามารถพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับวิธีที่จะทำสิ่งทั้งหลายตรงหน้าเจ้าและทำหน้าที่ที่เจ้าต้องทำให้สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงได้หรือไม่?  เจ้าทำไม่ได้ เจ้าไม่มีอะไรจะพูด  ไม่ว่าเจ้ารู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นในสังคมมากเพียงใด นั่นก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าเข้าใจความจริงหรือเจ้ามีวุฒิภาวะจริง  จงอย่าคิดว่าแค่เพราะเจ้าสามารถรู้เท่าทันข่าวปลอมและตรรกะวิบัติทั้งหลาย เจ้าจึงมีวุฒิภาวะ เจ้าจึงประกาศตัดขาดจากโลกและปฏิเสธซาตาน เจ้าจึงไม่หลงกลซาตานอีกต่อไป และเจ้าจึงมีความเชื่อในพระเจ้าและจงรักภักดีต่อพระองค์—เหล่านี้ล้วนเป็นทัศนะที่คลาดเคลื่อนและไม่มีทัศนะใดที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตเลย  หากเจ้าคิดว่า “นี่เป็นกรณีที่ว่า ยิ่งฉันไม่พึงพอใจความเป็นจริงมากเท่าไร ยิ่งฉันเปิดโปงพญานาคใหญ่สีแดงมากเท่าไร ยิ่งฉันเกลียดพญานาคใหญ่สีแดงมากเท่าไร ยิ่งฉันเกลียดโลกและไม่ไว้วางใจมนุษย์คนอื่นมากขึ้นเท่าไร พระเจ้าก็ทรงมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น และพระองค์ก็จะยิ่งโปรดฉันมากขึ้นไม่ใช่หรือ?” เช่นนั้นเจ้าก็คิดผิดแล้ว  ยิ่งเจ้าไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านั้นมากขึ้นเท่าใดและยิ่งเจ้าเดินตามเส้นทางนั้นมากขึ้นเท่าไร พระเจ้าก็จะโปรดเจ้าน้อยลงเท่านั้นและพระองค์ก็ทรงรู้สึกรังเกียจเจ้า  เหตุใดยิ่งเจ้าไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทางโลกเหล่านั้นมากขึ้น พระเจ้ายิ่งโปรดเจ้าน้อยลง?  นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่ได้กำลังเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องและไม่ได้กำลังทำงานที่ถูกต้องเหมาะสม  ดังนั้นยามที่เจ้ามีเวลา เจ้าสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม ฟังบทเพลงสรรเสริญ ฟังคำพยานเชิงประสบการณ์ชีวิตของพี่น้องชายหญิง และทุกคนก็สามารถใคร่ครวญและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าร่วมกันได้  จงอย่าถามถึงเรื่องซุบซิบนินทาที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าหรือการไล่ตามเสาะหาความรอดของเจ้า  นั่นเป็นสิ่งที่ผู้คนซึ่งไม่มีอะไรทำที่ดีกว่านั้นจะทำ  สังคมพัฒนาไปในทางใด โลกจะเป็นไปตามครรลองใด มวลมนุษย์ชั่วและโสมมเพียงใด อีกทั้งการเมืองมืดมนเพียงใด—สิ่งเหล่านี้มีอะไรบ้างไหมที่เกี่ยวข้องกับเจ้า?  เจ้าจะบรรลุความรอดหากสังคมและโลกไม่มืดมน ไม่ชั่ว และไม่โสมมเช่นนั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  สิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวกับเจ้าแต่ประการใดเลย  การที่เจ้าจะสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้ายอมรับและเข้าใจความจริงมากเพียงใด เจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงมากเพียงใดเท่านั้น และนั่นก็สัมพันธ์กับการที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ได้ดีเพียงใด—นั่นสัมพันธ์กับสองสามสิ่งนี้เท่านั้น  จงอย่าออกความเห็นเกี่ยวกับผู้คนที่มีชื่อเสียงและคนเด่นคนดังบ่อยๆ โดยการเปิดโปงพฤติกรรมสกปรกและเสื่อมเสียของพวกคนเด่นคนดังเพื่อฆ่าเวลา เพื่อโอ้อวดว่าเจ้าฉลาดเพียงใดและเจ้าเหนือกว่าคนอื่นอย่างไร  เหล่านั้นเป็นสิ่งเบาปัญญาที่จะทำ จงอย่าเป็นใครบางคนที่เป็นแบบนั้น  นั่นคือคนบางคนที่ไม่ได้ทำงานที่ถูกที่ควรและไม่เดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง

สำหรับแก่นแท้ของคำกล่าวว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “เกิดจากเปือกตมแต่ไม่มัวหมอง ชลชำระผุดผ่องแต่กลับไม่ยวนเสน่ห์” ตอนนี้พวกเราก็ได้สามัคคีธรรมและชำแหละคำกล่าวนี้กันมามากพอสมควรแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้พวกเราก็ได้สามัคคีธรรมถึงท่าทีและทัศนะของการที่คนเราประพฤติปฏิบัติตนไปตามสิ่งที่คำกล่าวนี้ทึกทักไว้ รวมถึงสิ่งที่เป็นข้อพึงประสงค์และท่าทีของพระเจ้ากันไปอย่างชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ?  (พวกเราทำแล้ว)  ตอนนี้พวกเจ้าก็เข้าใจเส้นทางที่ผู้คนควรเดินตามแล้วเช่นกันใช่หรือไม่?  (พวกเราเข้าใจแล้ว)  ความไม่ไว้วางใจผู้อื่นที่พวกเรากำลังพูดถึงในที่นี้เป็นสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่?  ความไม่พึงพอใจความเป็นจริงเป็นสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่?  การปกป้องตัวเองจากอิทธิพลที่ไม่ดีเป็นสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่?  (ไม่)  ไม่มีอะไรในสิ่งเหล่านี้ที่เป็นบวกเลย  พวกเราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พื้นฐานสำหรับเจ้าที่จะวางตัวและปฏิบัติตนตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ควรกลายเป็นพื้นฐานสำหรับการวางตัวและปฏิบัติตนของเจ้า นับประสาอะไรที่สิ่งเหล่านี้ควรกลายมาเป็นหลักธรรมที่เจ้าจะวางตัวและปฏิบัติตนตาม  เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งทั้งหลายที่เจ้าควรปล่อยมือและปฏิเสธ  พวกเจ้าควรมีวิจารณญาณแยกแยะให้ชัดเจนและละทิ้งคำกล่าวและทฤษฎีที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้เสีย และเจ้าไม่ควรถือว่าสิ่งลวงโลกเหล่านี้เป็นความจริง หรือสับสนระหว่างสิ่งเหล่านี้กับความจริง  นี่เพราะไม่ว่าสิ่งเหล่านี้หมุนเวียนอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์มานานกี่ปีแล้วก็ตาม หรือรากเหง้าของสิ่งเหล่านี้หยั่งลึกท่ามกลางมวลมนุษย์เพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถยืนหยัดต่อความจริงได้แม้แต่นาทีเดียว  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวกและไม่สมควรที่จะถูกเอ่ยถึงเสมือนเป็นความจริง  สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลเป็นบวกต่อผู้คนเลย สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงไม่สามารถนำทางผู้คนและนำพาพวกเขาไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง แต่ในทางตรงข้ามสิ่งเหล่านี้กลับนำทางผู้คนไปบนเส้นทางที่ผิดครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ผู้คนปั้นปึ่งเย็นชา และไร้ยางอายมากขึ้น ตระหนักรู้ในตนเองและมีเหตุผลน้อยลง อีกทั้งทำให้พระเจ้าทรงชังพวกเขาและขยะแขยงพวกเขา  หากเจ้าปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ ปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ ปล่อยมือจากความคิดและทัศนะเหล่านี้ จากวิธีการและรากฐานเหล่านี้ที่เกี่ยวกับวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตัวและปฏิบัติตนซึ่งมาจากซาตาน แล้วมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวางตัวและปฏิบัติตนไปตามพระวจนะของพระเจ้าโดยทั้งหมดทั้งสิ้น เช่นนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะไม่มีผลต่อเจ้า  สำหรับประเด็นปัญหาของการไม่พึงพอใจความเป็นจริงและความรู้สึกไม่ไว้วางใจมนุษย์คนอื่น พระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องให้เจ้าทุ่มความพยายามในการเข้าใจหรือเรียนรู้ว่าความมืดใดแฝงกายอยู่ในสังคม  เจ้าเพียงจำเป็นต้องรู้อย่างครบถ้วนและรู้ในแก่นแท้ว่าโลกและมวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว อีกทั้งรู้ว่าพวกเขาอยู่ในกำมือของมารร้าย  ไม่ว่าจะเป็นกระแสนิยมทางสังคม ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมดั้งเดิม ความรู้ การศึกษา—ไม่ว่าในระดับใด เกี่ยวข้องกับแง่มุมใด หรือในอุตสาหกรรมใด—ทั้งหมดนั้นล้วนเต็มไปด้วยความคิดและทัศนะของซาตาน และเป็นความเห็นนอกรีตกับตรรกะวิบัติทั้งหลายของมัน  ไม่ว่าจะเป็นประเทศ ชาติพันธุ์ หรือว่ากลุ่มคนหรือองค์กรใดในสังคม ทั้งความจริงและพระวจนะของพระเจ้าก็ไม่ได้ครองอำนาจเหนือพวกเขา แน่นอนว่ายิ่งแทบไม่มีแววเลยที่จะสามารถมองเห็นความเป็นธรรมหรือความชอบธรรมในหมู่พวกเขา  เรื่องนี้มั่นใจได้และตราบที่เจ้ารู้เรื่องนี้ก็เพียงพอแล้ว  นอกจากเรื่องนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการสงบใจและเตรียมตัวเองให้พร้อมยิ่งขึ้นด้วยพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งตระหนักถึงความเห็นนอกรีตกับเหตุผลวิบัติต่างๆ ความคิดกับทัศนะทั้งหลายภายในตัวเจ้าที่มาจากซาตาน  ด้วยความเข้าใจอันถ่องแท้ต่อสิ่งเหล่านี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อเจ้ารู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริงเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถปฏิเสธและปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง และเมื่อเจ้าได้ปฏิเสธและปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถมีการนบนอบและการยอมรับอย่างไม่เสื่อมคลายต่อความจริง  ในหนทางนี้ เส้นทางที่เจ้าเดินตามย่อมจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง และจะเป็นเส้นทางที่ได้รับความกระจ่าง  เป้าหมายของเจ้าก็จะเป็นเป้าหมายที่ถูกต้อง และการบรรลุความรอดของเจ้าในท้ายที่สุดจะเป็นข้อเท็จจริงที่มิอาจปฏิเสธได้  นั่นคือเหตุผลที่เจ้าต้องไม่เปิดโอกาสให้กับความเห็นนอกรีต เหตุผลวิบติ ความคิด และทัศนะทั้งหลายที่ซาตานปลูกฝังในตัวเจ้ามาทำให้ความคิดของเจ้าเลอะเลือนและทำให้ดวงตาของเจ้าฝ้าฟางอย่างเด็ดขาด เจ้าต้องไม่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเห็นแก่ตัวและไม่พึงพอใจความเป็นจริง จนกลายเป็นด้านชาและหลอกลวงทั้งตัวเองและผู้อื่นในหนทางนี้  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ยอมรับความจริงเป็นชีวิตของตน ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนของมนุษย์ที่แท้จริง และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี  นี่คือการงานที่เหมาะสมของเจ้า และเป็นเส้นทางที่เจ้าควรเดินตามในตอนนี้  ในส่วนของสภาวะของสังคม ประเทศ หรืออุตสาหกรรมใดก็ตาม สิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเลย  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า สิ่งเหล่านั้นไม่มีความสัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า ไม่มีความสัมพันธ์กับปลายทางของเจ้า และไม่มีความสัมพันธ์กับการบรรลุความรอดของเจ้า  เข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  ครั้นเจ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้ว เจ้าก็ควรชัดเจนต่อวิธีไล่ตามเสาะหาความจริงและการได้รับชีวิต

14 กรกฎาคม ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (15)

ถัดไป: เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger