การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (15)

เบื้องหลังที่พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายด้วยการแสดงความจริง (I)

ณ ปัจจุบัน ความวิบัติกำลังเลวร้ายขึ้นทุกที  ไม่เพียงภัยพิบัติที่กำลังแพร่กระจายไปอย่างต่อเนื่อง แต่การกันดารอาหารก็กำลังเกิดกับผู้คนด้วย  สงครามปะทุขึ้นในบางพื้นที่และมีความโกลาหลในหลายประเทศทั่วโลก  มีความแตกแยกที่แผ่กระจายเป็นวงกว้างแล้ว  เคยมีการกล่าวไว้ในอดีตว่า “เปลวไฟแห่งสงครามหมุนวนไปรอบๆ ควันปืนใหญ่คลุ้งอยู่เต็มอากาศ สภาพอากาศอุ่นขึ้น ภูมิอากาศแปรเปลี่ยน ภัยพิบัติจะแพร่กระจาย” และคำทำนายนี้ก็กำลังกลายเป็นจริงแล้ว  ภัยพิบัติกำลังแพร่กระจายและไม่ได้กำลังทุเลาลงเลย อีกทั้งผู้ไม่มีความเชื่อก็กำลังดำรงชีวิตอยู่อย่างตกระกำลำบาก  แต่ละวันและปีย่ำแย่ลงกว่าที่ผ่านมา และพวกเขาก็ได้ตกลงไปอยู่ในความวิบัติเรียบร้อยแล้ว  พวกเขาล้วนต้องการฝ่าพ้นไปจากความทุกข์นี้และรอดพ้นไปจากวันเวลาแห่งความวิบัติ  พวกเขาล้วนหวังว่ารัฐบาลจะช่วยกู้ชีวิตพวกเขาและช่วยพวกเขาให้พ้นจากความวิบัติ แต่รัฐบาลก็เป็นเหมือนปราสาททรายที่ถูกคลื่นซัดสลาย—ไร้พลังอำนาจและไม่อาจช่วยตัวเองให้รอดได้ นับประสาอะไรกับใครอื่น  รัฐบาลอาจล่มสลายและถูกทำลายล้างลงไป ณ วันใดวันหนึ่งก็ได้ในตอนนี้ นั่นมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย  พวกเจ้าก็ได้เห็นกันถ้วนหน้าแล้วว่าพวกผู้ไม่มีความเชื่อกำลังก้าวผ่านอะไร—พวกเขากำลังทนทุกข์อยู่จริงๆ!  ชีวิตของพวกเจ้า ณ ขณะนี้เป็นอย่างไร?  เจ้าดีกว่าพวกเขาอย่างมากมายมิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าดีกว่าอย่างไรหรือ?  (พวกเรายังคงสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยกันและสามัคคีธรรมความจริง  พวกเรายังคงสามารถทำหน้าที่ของพวกเราในพระนิเวศของพระเจ้าและแสวงหาการเข้าสู่ชีวิต  หัวใจของพวกเรามีสันติสุขและปราศจากความวิตกกังวล  พวกเราดีกว่าพวกผู้ไม่มีความเชื่ออย่างมากมาย)  อย่างน้อยที่สุด ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าก็ดีกว่าพวกไม่มีความเชื่อเพราะพวกเขามีบางสิ่งให้พึ่งพา  พวกเขาเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า และพวกเขาเชื่อในการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  เพราะพวกเขามีความเชื่อและมีการเชื่อจริงในพระเจ้า พวกเขาจึงมีบางสิ่งซึ่งเป็นจริงให้พึ่งพา อีกทั้งมีสำนึกของความมั่นคงปลอดภัย  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจมีความรู้สึกถึงการเกื้อหนุนที่เป็นจริงในหัวใจของพวกเขา ตลอดจนสำนึกของความมั่นคงปลอดภัย สันติสุขและความชื่นบานยินดี ไม่ว่าสภาพแวดล้อมภายนอกอันกว้างใหญ่กว่าจะโกลาหลและมีอันตรายเพียงใด  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์กับสถานการณ์ใด ไม่ว่าสภาพแวดล้อมภายนอกเปลี่ยนแปลงอย่างไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะมีความวิบัติ สงครามหรือภัยพิบัติหรือไม่ และไม่สำคัญว่าเป็นเหตุการณ์ใหญ่ หรือประเด็นปัญหาเล็กๆ บุคคลที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจก็สามารถอุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้า การกินและการดื่มพระวจนะของพระเจ้า การรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และการเสาะแสวงที่จะได้มาซึ่งความจริงได้ เพราะพวกเขาติดตามพระเจ้าและหลบเลี่ยงกระแสนิยมแบบปุถุชน  ประเด็นนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  สิ่งสำคัญที่สุดและเป้าหมายสำคัญที่สุดที่เจ้าต้องแสวงหาในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และนั่นก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริง การปฏิบัติหน้าที่ของคนเราให้ดี และเป็นพยานอันงดงามแด่พระเจ้า  นี่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างสิ้นเชิง

ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ไม่ว่ากำลังบังคับของซาตานจะต่อสู้และทะเลาะวิวาทกันอย่างไร และไม่ว่าสังคมนี้จะโกลาหลอย่างไรและโลกกลายเป็นแบบใด ปัญหาที่มีสาระสำคัญ อาทิ การชักพาให้หลงผิด การทำให้เสื่อมทราม พันธนาการและการควบคุมของซาตานที่มีต่อมวลมนุษย์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  นั่นพูดได้ว่า ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติสารพัดที่ซาตานปลูกฝังลงในผู้คน อีกทั้งความคิดและคำกล่าวทั้งหลายที่ต้านทานพระเจ้าและย้อนแย้งธรรมบัญญัติและกฎระเบียบแห่งการทรงสร้างหมู่มนุษย์รวมถึงทุกสรรพสิ่งของพระเจ้านั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  สิ่งหนึ่งก็คือ สิ่งเยี่ยงซาตานเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  อีกสิ่งหนึ่งก็คือ ไม่ว่าสภาวะและโครงสร้างของโลกนี้เปลี่ยนแปลงอย่างไร ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติที่ซาตานได้ปลูกเพาะลึกลงในหัวใจของผู้คนก็ยังไม่ถูกขจัดออกไป  นั่นไม่ใช่เป็นเพราะโลกอยู่ในสภาวะแห่งความโกลาหล หรือเป็นเพราะตอนนี้ซาตานอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่และไร้พลังอำนาจที่จะควบคุมโลกซึ่งความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติที่ซาตานใช้ชักพาผู้คนให้หลงผิดและทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้จืดจางไปจากหัวใจผู้คนแล้ว  นั่นไม่ใช่กรณีนั้น ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติของซาตานยังคงมีอยู่ในหัวใจผู้คน และไม่มีใครเลยสามารถปัดเป่าสิ่งเหล่านี้ออกไปได้  นับจากจุดเริ่มต้นของการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติของซาตานก็ค่อยๆ ถูกปลูกเพาะลงลึกในหัวใจและจิตใจของทุกสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  สิ่งเหล่านี้ยังคงไม่ถูกเปลี่ยนแปลงเลยทั้งสิ้นในหัวใจและจิตใจของผู้คนจนทุกวันนี้  แม้หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจมาหลายปีและจัดเตรียมความจริงมหาศาลให้กับผู้คนแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงไม่สามารถระบุชี้ถึงความคิด ทัศนะ และคำกล่าวสารพัดที่ซาตานได้ปลูกฝังไว้ในตัวพวกเขาได้ ไม่ต้องพูดเลยว่าจะพยายามอย่างแข็งขันที่จะระบุสิ่งเหล่านี้โดยปลอดจากอิทธิพลของปัจจัยทางสภาพแวดล้อม หรือเอาสิ่งเหล่านี้ออกไปจากหัวใจพวกเขา  ทั้งพวกเขาก็ยังไม่สามารถที่จะปฏิเสธความคิดและคำกล่าวสารพันที่ซาตานได้ปลูกฝังไว้ในตัวพวกเขาได้ในเชิงรุก แม้จะมีการจัดเตรียมและการทรงนำแห่งพระวจนะของพระเจ้าก็ตาม  แม้ว่าในตอนแรกนั้น ผู้คนได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างนิ่งเฉย แต่ตลอดกระบวนการของการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามนั้น ผู้คนก็ได้เริ่มดำรงชีวิตอยู่โดยสอดคล้องกับอุปนิสัยของซาตานและมีทัศนะต่อสิ่งทั้งหลายไปตามความคิดและมุมมองของซาตาน  ผู้คนได้เริ่มค่อยๆ ให้ความร่วมมือกับซาตานอย่างแข็งขันมากขึ้นทุกที และได้กลายเป็นแข็งขันมากขึ้นทุกทีในการกบฏต่อพระเจ้า หันหนีไปจากพระเจ้าและทอดทิ้งพระเจ้า จนกระทั่งสุดท้ายแล้ว ซาตานก็เข้าควบคุมพวกเขาจนถ้วนทั่ว  เมื่อความคิดและทัศนะที่ชั่วและไร้สาระน่าขันของซาตานได้ถูกปลูกฝังลงในตัวผู้คนจนเต็มที่ พวกเขาก็ถูกซาตานจองจำและกลายเป็นทาสมันอย่างสมบูรณ์ หรือให้ชัดกว่านั้นก็คือ พวกเขากลายเป็นร่างจำแลงของซาตาน  เมื่อเกิดขึ้นแบบนี้ ผู้คนจึงกำลังดำเนินชีวิตตามอุปนิสัยของซาตานโดยสมบูรณ์  พวกเขาไม่เพียงกำลังดำเนินชีวิตโดยสอดคล้องกับปรัชญาและความคิดทั้งหลายของซาตาน แต่มโนคติอันหลงผิดและทัศนะสารพัดที่ซาตานได้ปลูกฝังไว้ในตัวพวกเขายังได้รวมตัวเข้ากับธรรมชาติของพวกเขาอีกด้วย  พูดให้ชัดขึ้นก็คือ ผู้คนไม่ใช่แค่กำลังดำเนินชีวิตตามภาพลักษณ์ของซาตานเท่านั้น แต่พวกเขากำลังดำรงชีวิตเฉกเช่นพวกซาตาน เฉกเช่นพวกปีศาจ  เมื่อเกิดขึ้นแบบนี้ ผู้คนก็ไม่ได้กำลังถูกซาตานส่งอิทธิพล ควบคุม ทำให้เสื่อมทราม หรือชักพาให้หลงผิดอย่างนิ่งเฉยอีกต่อไป แต่กลับกันพวกเขากำลังยืนอยู่ฝั่งซาตานซึ่งต่อต้านพระเจ้าอย่างเต็มตัว  เมื่อผู้คนถูกทำให้เสื่อมทรามไปถึงขอบข่ายนี้ เจ้าอาจพูดได้ว่าพวกเขาได้กลายเป็นแหล่งระบายสินค้าของซาตาน และเป็นร่างจำแลงของมัน  เพื่อที่จะให้พระเจ้าทรงช่วยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งเป็นช่องระบายและเป็นร่างจำแลงของซาตานให้รอด นอกเหนือจากการจัดเตรียมความจริงและการเปิดเผยอุปนิสัยและการกระทำอันเสื่อมทรามสารพัดของผู้คนซึ่งเป็นกบฏต่อพระเจ้าแล้ว การเปิดเผยและชำแหละความคิด ทัศนะและคำกล่าวที่ผู้คนยึดถืออยู่ลึกๆ ในหัวใจซึ่งเป็นเหมือนของซาตานนั้นสำคัญกว่า  ผู้คนและซาตานมีความคิด ทัศนะและคำกล่าวที่เหมือนกัน  ซาตานดำรงชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ และในทำนองเดียวกัน เพราะผู้คนได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึก พวกเขาจึงดำรงชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ไปตามธรรมชาติอีกด้วย  แน่ชัดว่าเป็นเพราะผู้คนดำรงชีวิตไปตามสิ่งเหล่านี้อีกทั้งได้รับอิทธิพล ถูกทำให้หวั่นไหวและถูกควบคุมโดยทัศนะเหล่านี้นั่นเอง พวกเขาจึงยังคงไม่สามารถน้อมคำนับเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้บนพื้นฐานของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา หรือสามารถนบนอบพระองค์ได้อย่างเต็มที่ ทั้งพวกเขายังไม่สามารถนมัสการพระองค์ด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ได้แม้หลังจากที่พวกเขาเข้าใจความจริงส่วนหนึ่งและรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างแล้ว  เหตุผลที่ผู้คนไม่สามารถมานมัสการพระเจ้าด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ก็คือ ลึกลงไปในหัวใจและจิตใจของพวกเขาแล้ว พวกเขายังคงถูกเข้าครองและควบคุมโดยความคิดและทัศนะสารพัดของซาตาน  นี่คือเหตุผลที่ เมื่อผู้คนยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าและได้รับการพิชิตแล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถล้มเลิกความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติสารพัดของซาตานได้อย่างหมดสิ้น กล่าวคือ พวกเขายังคงไม่สามารถฝ่าพ้นจากอิทธิพลแห่งความมืดได้อย่างสมบูรณ์และมานบนอบพระเจ้าหรือนมัสการพระองค์ได้อย่างแท้จริงแม้ว่าพวกเขาสามารถที่จะยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิต  เพราะฉะนั้น หากพระเจ้าจะทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด สิ่งหนึ่งก็คือพระองค์ต้องทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระอุปนิสัยเสื่อมทรามของผู้คนให้สะอาด ทำให้ผู้คนเข้าใจความจริง อีกทั้งมารู้จักพระเจ้าและนบนอบพระองค์ กล่าวคือ ทรงสอนผู้คนถึงวิธีที่พวกเขาควรประพฤติปฏิบัติตน และวิธีที่พวกเขาสามารถเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง และทรงบอกผู้คนถึงวิธีที่ควรปฏิบัติความจริง วิธีที่พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีและวิธีที่พวกเขาสามารถเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงทั้งหลาย  อีกสิ่งหนึ่งก็คือ พระองค์ต้องทรงเปิดโปงความคิดและทัศนะทั้งหลายของซาตาน  พระองค์ต้องทรงเปิดโปงและชำแหละความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติสารพัดที่ซาตานใช้ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม เพื่อให้ผู้คนสามารถระบุชี้สิ่งเหล่านั้นได้  จากนั้นผู้คนก็สามารถชำระสิ่งเยี่ยงซาตานเหล่านี้ออกจากหัวใจตน กลายเป็นถูกชำระให้สะอาดและไปถึงความรอดได้  ในหนทางนี้ ผู้คนจะเข้าใจว่าความเป็นจริงคืออะไร และพวกเขาจะสามารถระบุชี้อุปนิสัยของซาตาน ธรรมชาติของซาตานและความเห็นนอกรีตกับเหตุผลวิบัติของมันได้อีกด้วย  เมื่อผู้คนยอมรับรู้ว่าพระเจ้าคือพระผู้สร้างและมีความเชื่อที่จะติดตามพระเจ้า ลึกๆ ภายในหัวใจของพวกเขาก็จะสามารถมองเห็นความอัปลักษณ์ของซาตานและปฏิเสธซาตานได้อย่างแท้จริง  จากนั้นหัวใจของผู้คนเหล่านี้ก็สามารถหวนคืนสู่พระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์  อย่างน้อยที่สุด เมื่อหัวใจของบุคคลหนึ่งกำลังเริ่มต้นที่จะหวนคืนสู่พระเจ้า แต่ยังหวนคืนไม่ครบบริบูรณ์ นั่นก็คือ เมื่อหัวใจของพวกเขายังไม่มีความจริงเข้าครองและยังไม่ถูกรับไว้โดยพระเจ้า ในครรลองชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็จะใช้พระวจนะของพระเจ้าระบุชี้ ชำแหละและรู้เท่าทันคำกล่าวทั้งหมดที่ซาตานปลูกฝังในผู้คน และเริ่มทอดทิ้งซาตานในท้ายที่สุด  ในหนทางนี้ ที่ทางของซาตานในหัวใจของผู้คนก็จะกลายเป็นเล็กลงทุกที จนกระทั่งถูกขจัดถอนออกไปจนสิ้นซาก  ที่ตรงนั้นจะถูกแทนที่ด้วยพระวจนะของพระเจ้า หลักคำสอนที่พระเจ้าทรงให้แก่ผู้คน หลักธรรมความจริงที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมและอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  ชีวิตแห่งความคิดบวกนี้และความจริงจะค่อยๆ หยั่งรากลงภายในผู้คนและจับจองที่ทางส่วนหน้าสุดในหัวใจของพวกเขา และผลที่ได้ก็คือ พระเจ้าจะทรงมีอำนาจครอบครองเหนือหัวใจผู้คน  นั่นก็คือ เมื่อความคิด ทัศนะ ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติสารพัดที่ซาตานใช้ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามถูกระบุชี้ และถูกรู้เท่าทันเพื่อให้ผู้คนดูหมิ่นและทอดทิ้งสิ่งเหล่านั้น ความจริงก็จะค่อยๆ เข้าจับจองหัวใจผู้คน  ความจริงจะค่อยๆ กลายเป็นชีวิตของผู้คน แล้วพวกเขาก็จะติดตามและนบนอบพระเจ้าอย่างแข็งขัน  ไม่ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจและทรงนำทางอย่างไร ผู้คนก็จะสามารถยอมรับความจริงและพระวจนะของพระเจ้า อีกทั้งนบนอบพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแข็งขัน  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะพากเพียรเพื่อความจริงอย่างแข็งขันและได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงโดยผ่านทางประสบการณ์นี้  นี่คือวิธีที่ผู้คนพัฒนาความเชื่ออันเที่ยงแท้ในพระเจ้าขึ้นมา และเมื่อความจริงเริ่มชัดเจนขึ้นทุกทีสำหรับพวกเขา ความเชื่อของพวกเขาก็จะเติบโตขึ้นทุกที  เมื่อผู้คนมีความเชื่ออันเที่ยงแท้ในพระเจ้า นั่นก็สร้างความยำเกรงพระเจ้าขึ้นในตัวพวกเขาเช่นกัน  เมื่อผู้คนยำเกรงพระเจ้า พวกเขามีความพึงปรารถนาลึกอยู่ภายในหัวใจที่จะได้รับพระเจ้าและเต็มใจนบนอบอำนาจครอบครองของพระองค์  พวกเขานบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า อีกทั้งนบนอบแผนการที่พระเจ้าทรงมีสำหรับโชคชะตาของพวกเขา  พวกเขานบนอบแต่ละวันและทุกรูปการณ์แวดล้อมพิเศษที่พระเจ้าทรงจัดตั้งให้พวกเขา  เมื่อผู้คนมีความเต็มใจและความกระหายประเภทนี้ พวกเขาก็จะยอมรับและนบนอบอย่างแข็งขันต่อข้อเรียกร้องที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขา  เมื่อผลลัพธ์ของเรื่องนี้เริ่มชัดเจนต่อผู้คนมากขึ้นทุกที และเป็นจริงขึ้นทุกที คำกล่าว ความคิด และทัศนะของซาตานก็จะหมดสิ้นผลกระทบในหัวใจผู้คน  พูดอีกอย่างก็คือ คำกล่าว ความคิด และทัศนะของซาตานจะมีอิทธิพลและการควบคุมเหนือผู้คนน้อยลงทุกที  หลังจากดิ้นรนอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง และหลังจากช่วงเวลาหนึ่งของการให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันและความแน่วแน่ที่จะนบนอบพระเจ้า พวกเขาก็จะสามารถฝ่าพ้นพันธนาการและการควบคุมของซาตาน  เมื่อผู้คนมาถึงจุดนี้ พวกเขาก็จะหลุดพ้นจากอำนาจของซาตานแล้ว  พวกเขาจะทิ้งคำกล่าว ความคิด และทัศนะทั้งหลายที่ซาตานใช้ชักพาพวกเขาให้หลงผิดไปจนหมดสิ้น และความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็จะกลายเป็นยิ่งใหญ่มากขึ้นทุกที  แน่นอนว่า ผลเช่นนี้ขึ้นอยู่กับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ การไล่ตามเสาะหาและการให้ความร่วมมือของผู้คน  หากบุคคลหนึ่งฟังความจริงและคำเทศนาไปอย่างมากมาย แต่ยังไม่มีความตระหนักรู้ถึงความคิดและทัศนะของซาตาน และยังไม่เริ่มดูหมิ่นสิ่งเหล่านี้ และหากบุคคลนั้นไม่ต้องการระบุชี้ชัด ไม่ต้องการรู้เท่าทัน และไม่ต้องการทอดทิ้งสิ่งเยี่ยงซาตานเหล่านี้อย่างแข็งขัน แต่กลับเข้าจัดการรับมือกับสิ่งเหล่านั้นอย่างนิ่งเฉยหรือเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านั้นแทน เช่นนั้นแล้ว ความคิดและทัศนะสารพัดของซาตานก็จะยังคงฝังลึกเข้าเนื้ออยู่ในบุคคลนั้น  ในชีวิตประจำวันของพวกเขาและในช่วงระหว่างเส้นทางของทั้งชีวิตของพวกเขา พวกเขาจะยังคงถูกควบคุมและได้รับอิทธิพลจากความคิดและมุมมองสารพัดของซาตานโดยไม่รู้ตัว และทัศนะของพวกเขาที่มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย อีกทั้งการวางตัวและการกระทำของพวกเขาก็จะยังคงมีจุดกำเนิดมาจากซาตาน  หากทั้งหมดนี้มีจุดกำเนิดมาจากซาตาน เช่นนั้นแล้วการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าก็เป็นเพียงการยอมรับรู้การดำรงอยู่ของพระเจ้ามากกว่าที่จะเป็นความเชื่อที่แท้จริง และเจ้าก็จะไม่มีวันยอมรับรู้พระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้าอย่างแท้จริง  แน่นอนว่า หัวใจของเจ้าก็จะไม่หันหาพระเจ้าโดยสมัครใจ และเจ้าก็จะไม่สามารถคืนหัวใจของเจ้าให้กับพระเจ้า  พูดได้ว่าเจ้าไม่มีความสามารถแม้ในปริมาณน้อยนิดในการอุทิศที่แท้จริงต่อหน้าที่และภาระผูกพันที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้า และไม่สามารถยำเกรงพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ไม่ต้องพูดเลยว่าจะนบนอบพระองค์อย่างแท้จริง  อะไรหรือคือผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด หากเจ้าล้มเหลวที่จะทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จลุล่วง?  เจ้าจะไม่ได้รับการช่วยให้รอด  นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น  ชัดเจนว่าความคิด ทัศนะและมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายที่ซาตานปลูกฝังลงลึกในหัวใจผู้คนและใช้ทำให้พวกเขาเสื่อมทรามนั้นคือสิ่งที่ปิดกั้นผู้คนไม่ให้ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ไม่ให้เชื่อพระวจนะพระเจ้า ไม่ให้ยอมรับสิ่งที่เป็นบวก และไม่ให้ยอมรับความจริงและเข้าสู่ความจริงอย่างแน่นอน  โดยผิวเผินแล้ว สิ่งเหล่านี้แตกต่างจากอุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษย์  ถึงกระนั้น แก่นแท้ของสิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติซาตานและเป็นสิ่งที่ซาตานใช้ทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  จากภายนอกดูมีความแตกต่างอันเด่นชัดระหว่างการกระทำชั่วของซาตานซึ่งทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามกับการแสร้งทำความดีของซาตาน ความแตกต่างอันเด่นชัดซึ่งยากเย็นสำหรับผู้คนธรรมดาที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะ  อย่างไรก็ตาม ผลสืบเนื่องของการที่ซาตานชักพาให้หลงผิดและทำให้ผู้คนเสื่อมทรามนั้นเห็นได้ชัดอย่างถึงที่สุด  นั่นเป็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่า นี่ได้เป็นสาเหตุให้เกิดกระแสสังคมหลักทั้งมวลที่ปฏิเสธ ขัดขืนและต่อต้านพระเจ้า

อุปนิสัยเยี่ยงซาตานภายในผู้คนนั้นเป็นผลลัพธ์ของการที่ซาตานชักพาพวกเขาให้หลงผิดและทำให้พวกเขาเสื่อมทรามทั้งสิ้น  ยิ่งไปกว่านั้นความเห็นนอกรีต เหตุผลวิบัติ ปรัชญาและกฎสารพัดของซาตานที่ผู้คนยึดมั่น ตลอดจนทรรศนะและค่านิยมที่มีต่อชีวิตของพวกเขาล้วนเป็นการสำแดงซึ่งเป็นรูปธรรมของการที่ซาตานชักพาพวกเขาให้หลงผิดและทำให้พวกเขาเสื่อมทราม  พูดอีกอย่างก็คือ หลังจากที่ซาตานได้ชักพาผู้คนให้หลงผิด อีกทั้งทำให้พวกเขาปฏิเสธและหันไปจากพระเจ้า มันก็ปลูกฝังความคิด ทัศนะ ความเห็นนอกรีต และเหตุผลวิบัติทุกประเภทในตัวพวกเขาอย่างเต็มที่  ยิ่งไปกว่านั้น ซาตานยังแพร่กระจายโฆษณาชวนเชื่อมหาศาลอย่างเปิดเผย รวมไปถึงมโนคติอันหลงผิด ทัศนะ และคำกล่าวทุกประเภทที่ออกคำสั่งและยั่วยุผู้คนเกี่ยวกับวิธีที่จะจัดการทุกสิ่ง เป็นเหตุให้พวกเขายอมรับทั้งหมดนี้เข้าไปในหัวใจของพวกเขา  ผลลัพธ์ก็คืออุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานสารพัดได้ถูกบ่มเพาะไว้ในตัวพวกเขา  นี่คือวิธีการที่ซาตานใช้ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  นั่นก็คือ เมื่อมีความว่างเปล่าอยู่ลึกๆ ภายในดวงจิตของผู้คน เมื่อพวกเขาไม่ได้กำลังคิดในสิ่งที่ถูกและเมื่อพวกเขาเป็นภาชนะที่ว่างเปล่า คำกล่าวสารพัดของซาตานก็เข้าไปสู่หัวใจของพวกเขาและปักหลักอาศัยอยู่ตรงนั้น  ตัวอย่างเช่น เมื่อคำกล่าวอย่าง “ไม่เคยมีผู้ช่วยให้รอด” “ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งมวลล้วนถูกสร้างขึ้นโดยธรรมชาติ” “ฉันยอมรับกระสุนแทนเพื่อน” “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” “ผู้ชายควรเป็นเช่นชายชาตรี” และอื่นๆ ในทำนองเดียวกันได้ถูกสร้างขึ้น ผู้คนก็ได้รับอิทธิพลจากคำกล่าวเหล่านั้นโดยไม่รู้สึกตัว  ผู้คนยอมรับความคิดและทัศนะทุกประเภทจากซาตานโดยมิได้ตระหนักรู้ถึงกำลังบังคับชั่ว ความเห็นนอกรีต และเหตุผลวิบัติเหล่านี้ รวมทั้งไม่มีความสามารถใดที่จะระบุชี้ถึงสิ่งเหล่านี้ หรือมีพลังอำนาจใดที่จะต้านทานสิ่งเหล่านี้เลย  กระบวนการที่ผู้คนใช้ในการยอมรับความคิดหรือทัศนะเยี่ยงซาตานเหล่านี้ก็คือกระบวนการเดียวกันกับที่ผู้คนถูกชักพาให้หลงผิด ถูกยั่วยุ และถูกทำให้เสื่อมทรามไม่มีผิด  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าเป็นผู้หญิงซึ่งไม่รู้หนทางอันถูกต้องที่ผู้หญิงคนหนึ่งควรดำเนินชีวิต และไม่รู้ว่าไรคือสิ่งที่เธอควรกำลังทำ เช่นนั้นแล้ว ซาตานก็จะเสนอแนะเหตุผลนอกรีตและเหตุผลวิบัติทั้งหลายของมัน อาทิ “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน” “คุณธรรมในสตรีคือการไม่ต้องมีทักษะ” เป็นต้น  เจ้าคิดว่าคำกล่าวพวกนี้ฟังดูดีและเฉียบคมทีเดียว ดังนั้นเจ้าจึงยอมรับคำกล่าวเหล่านั้น  เมื่อความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติเหล่านี้กำลังแพร่สะพัดอยู่ในสังคมและบนแผ่นดินโลก ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง เจ้าก็จะรับสิ่งเหล่านั้นไว้โดยไม่รู้สึกตัวและเรียกร้องให้ตัวเองดำเนินชีวิตไปตามคำกล่าวเหล่านี้อย่างเคร่งครัด  อันดับแรก เจ้าจะเปรียบเทียบตัวเองกับคำกล่าวเหล่านั้น โดยเชื่อว่าในเมื่อเจ้าเป็นผู้หญิง เจ้าก็ต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน และเป็นผู้หญิงไร้ทักษะที่มีคุณธรรม เป็นต้น  ในครรลองแห่งกระบวนการนี้ คำกล่าว ความคิด และทัศนะทั้งหลายที่แพร่สะพัดอยู่ในสังคมจะค่อยๆ ส่งอิทธิพล ยั่วยุ และฝังคำสอนให้กับเจ้า และในที่สุดก็ไปถึงจุดที่ถูกสิ่งเหล่านี้หลอมรวมเข้าไป  พูดให้เจาะจงก็คือ หลังจากที่ถูกชักพาให้หลงผิดโดยความคิดและทัศนะทั้งหลายของซาตาน เจ้าก็จะถูกความคิดและทัศนะเหล่านั้นพันธนาการและควบคุม และจากนั้น ลึกลงไปในหัวใจของเจ้า เจ้าจะสร้างข้อเรียกร้องกับตัวเองและมองผู้อื่นไปตามความคิดและทัศนะเหล่านั้นของซาตานโดยไม่รู้ตัว  ดังนั้นในชีวิตประจำวันของเจ้า ความคิดและคำกล่าวเหล่านี้จะสร้างรูปแบบความคิดและทัศนะลึกลงไปในหัวใจเจ้า แล้วจากนั้นเจ้าก็จะนำสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็นเกณฑ์และเป็นพื้นฐานสำหรับพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติของเจ้า  นี่คือวิธีที่ความคิดและทัศนะสารพัดของซาตานค่อยๆ กลายมาเป็นการปฏิบัติปกติทั่วไปในสังคมและในประชาชนทั่วไป  เมื่อการปฏิบัตินี้กลายเป็นแพร่หลายอยู่ในสังคมมากขึ้นทุกที และจำนวนประชากรที่การปฏิบัตินี้ยั่วยุและซึมซับเข้าไปกลายเป็นใหญ่โตขึ้นทุกที การปฏิบัตินี้ก็กลายเป็นกำลังบังคับอย่างหนึ่ง  เมื่อกำลังบังคับนี้ถูกสร้างขึ้น มวลมนุษย์ก็ถูกจองจำและควบคุมโดยความคิดและทัศนะเหล่านี้โดยสมบูรณ์ หรือพูดอีกอย่างก็คือ มวลมนุษย์มีความคิดและทัศนะเหล่านี้  พูดให้ชัดขึ้นไปอีกก็คือ ผู้คนได้ถูกซาตานจับเป็นเชลยแล้ว  ตัวอย่างเช่น ในโลกของซาตาน “ผู้ชายควรเป็นเช่นชายชาตรี ทรหด ทะเยอทะยาน” “เหล่าบุรุษควรมีความทะเยอทะยานอันกว้างไกล มีความฝันและมีจิตวิญญาณอันไม่ย่อท้อ” “เหล่าบุรุษควรบ่มเพราะตนเอง จัดระเบียบครอบครัว ปกครองดูแลชาติ และนำพาสันติสุขมาสู่ทุกคน” “เหล่าบุรุษควรเรียนรู้ที่จะใช้อำนาจ เข้าควบคุมสถานการณ์และครองโลก” “ผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ” และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  ผู้ชายทุกคนถูกพันธนาการโดยข้อพึงประสงค์ ความคิด ทัศนะเหล่านี้มาแต่ต้น  ทั้งพวกผู้ชายและพวกผู้หญิงถูกจำกัดยับยั้งและพันธนาการโดยคำกล่าวสารพัดของวัฒนธรรมดั้งเดิม  หากพวกผู้ชายไม่รู้วิธีที่ผู้ชายควรปฏิบัติตน หรือวิธีที่จะสร้างตัวเองขึ้นในชุมชน สังคม หรือประเทศของตน เมื่อพวกเขาได้ยินความคิดและทัศนะเหล่านี้ พวกเขาก็จะยอมรับไปโดยไม่รู้ตัว  พวกเขาจะค่อยๆ กลายเป็นคุ้นชินกับความคิดและทัศนะเหล่านี้จนถึงกับรับเอาไปเป็นเกณฑ์และพื้นฐานที่จะสร้างข้อเรียกร้องอันเคร่งครัดต่อตัวเอง  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็จะนำความคิดและทัศนะเหล่านี้ไปปฏิบัติ มีประสบการณ์กับการเป็นบุคคลเช่นนั้นในชีวิตจริง แล้วจากนั้นก็ทำตัวเป็นแบบอย่างโดยการพยายามไปให้ถึงเป้าหมายเหล่านี้  ตัวอย่างเช่น ผู้ชายต้องมีความทะเยอทะยานอันกว้างไกล ทำสิ่งใหญ่โตทั้งหลายและมีอาชีพการงานที่ใหญ่โต  พวกเขาไม่ควรมีสัมพันธภาพอันเปี่ยมด้วยความรัก และไม่ทำให้การเกื้อหนุนพ่อแม่หรือการฟูมฟักบุตรหลานเป็นเป้าหมายหรือความรับผิดชอบชั่วชีวิตของพวกเขา  ในทางกลับกัน พวกเขาต้องเปิดโลกทัศน์ ทำตามความทะยานอยากของตน เรียนรู้ที่จะเข้าควบคุมสถานการณ์ ทั้งยังถึงกับยึดกุมอำนาจที่จะควบคุมมวลมนุษย์และพวกผู้หญิงด้วยซ้ำ  ผู้คนได้ยอมรับความคิดและทัศนะเหล่านี้ไปแล้ว พวกเขาได้ปฏิบัติและดำเนินชีวิตตามความคิดและทัศนะเหล่านี้ อีกทั้งไล่ตามไขว่าคว้าเป้าหมายทั้งหลายที่ความคิดและทัศนะเหล่านี้พ่วงมาด้วยตลอดมา  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อความคิดและทัศนะเหล่านี้ได้เป็นรูปเป็นร่างและหยั่งรากลึกในหัวใจผู้คนแล้ว ผู้คนก็จะมองความเป็นมนุษย์ มองสังคมและโลกทั้งโลกผ่านความคิดและทัศนะเหล่านี้  เมื่อความคิดและทัศนะเหล่านี้หยั่งรากในหัวใจผู้ชายคนหนึ่งอย่างลึกซึ้งจนไม่อาจถูกถอนรากถอนโคนได้ เขาก็จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและปฏิบัติตนไปความคิดและทัศนะอย่างเช่น “ผู้ชายควรเป็นชายชาตรีและทรหดอดทน” เป็นต้น  นี่เป็นจุดกำเนิดและสาเหตุรากเหง้าของโลกทัศน์และทัศนะที่มีต่อชีวิตของพวกผู้ชาย เมื่อพวกผู้ชายมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและปฏิบัติตนไปความคิดและทัศนะที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวพวกเขา ความคิดและทัศนะเหล่านี้แพร่กระจายไปท่ามกลางผู้คนและในสังคมโดยไม่ทันล่วงรู้ ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของทุกบุคคลอย่างลึกซึ้ง—ไม่เพียงในพวกผู้ชาย แต่ในพวกผู้หญิงด้วย  เมื่อสิ่งเหล่านี้แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของทุกบุคคล และถึงกับได้ถูกปลูกฝังในหัวใจของเด็กน้อยที่เพิ่งกำลังเรียนรู้ที่จะพูด ความคิดและทัศนะเหล่านี้ได้กลายเป็นการปฏิบัติทั่วไปในชุมชนและในสังคม  การปฏิบัตินี้จะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วขึ้น และเริ่มกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นทุกที จนกระทั่งทุกคนรู้จักกันดี และพวกเขาก็ระลึกรู้และยอมรับไปเต็มร้อย  เมื่อสิ่งทั้งหลายได้ก้าวหน้ามาถึงช่วงระยะนี้ พวกนักสังคมวิทยา นักการเมือง และผู้นำของรัฐ หรือพูดให้ตรงชัดกว่านั้นก็คือ พวกกษัตริย์มารผู้ซึ่งติดตามซาตานจะเดินหน้าต่อไปจนถึงขั้นทำให้ความคิดและคำกล่าวเหล่านี้ครองสถานะเป็นปึกแผ่นอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์ พวกเขาจะนำสิ่งเหล่านี้ไปทำเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วแพร่กระจายและส่งเสริมคำกล่าวเหล่านี้เป็นวงกว้างอย่างเป็นระบบโดยการใช้หลักฐานเชิงรูปการณ์แวดล้อม สภาพเงื่อนไขที่เอื้ออำนวย ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกประเภท เพื่อให้คำกล่าวเหล่านี้แพร่หลายไปท่ามกลางมนุษยชนและสร้างรูปแบบของบรรยากาศทางสังคมและหลักศีลธรรมที่ตายตัวในสังคม  พวกเขาจะควบคุมและพันธนาการผู้คนด้วยหลักศีลธรรมนี้ ซึ่ง ณ จุดนั้น เป้าหมายของซาตานก็จะสัมฤทธิ์ผล  เมื่อซาตานได้สัมฤทธิ์เป้าหมายนี้ มนุษยชนทั้งผองประกอบด้วยทั้งพวกผู้ชายและพวกผู้หญิงก็จะถูกความคิดและทัศนะเหล่านี้ครอบงำ ชักพาให้หลงผิด และทำให้เสื่อมทราม  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า เมื่อมนุษยชนได้ถูกความคิดและทัศนะของซาตานครอบงำ ชักพาให้หลงผิด และทำให้เสื่อมทรามแล้ว ผลสืบเนื่องที่ตามมาจะเป็นอะไร?  พวกเจ้าคิดว่าซาตานกำลังนำเสนอความคิด คำกล่าว ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติเหล่านี้เพราะเหตุใด?  แค่เพียงเพื่อที่จะทำให้มนุษยชนเสื่อมทรามอย่างนั้นหรือ?  นั่นเพียงเพื่อฉวยคว้าผู้คนไปอย่างนั้นหรือ?  ใครคือเป้าของทั้งหมดนี้?  (พระเจ้า)  ถูกต้อง พวกเจ้าต้องชัดเจนในเรื่องนี้  ในบรรดาสิ่งชั่วทั้งหมดที่ซาตานทำ โดยเฉพาะทุกสิ่งที่ซาตานทำเพื่อควบคุม ก่อกวน ชักพาให้หลงผิดและทำให้มนุษยชนเสื่อมทรามนั้น ผู้คนเป็นแค่เครื่องมือและข้าวของเครื่องใช้  พวกเขาเป็นแค่พาหนะให้ซาตานใช้ทุ่มแรงความสามารถและทักษะทั้งหมดของมัน  ทุกสิ่งที่ซาตานทำล้วนชี้ตรงไปที่พระเจ้ามากกว่าผู้คน  มันต้องการต่อต้านพระเจ้าและผู้คนก็เป็นแค่พาหนะหรือเครื่องมือที่มันใช้ทำการนี้  แล้วเหตุใดเล่าซาตานจึงต้องการต่อสู้กับพระเจ้า?  เหตุใดมันจึงต้องการทำให้มนุษยชนเสื่อมทรามแบบนี้?  นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษยชนขึ้นมาและทรงต้องประสงค์ที่จะช่วยมนุษยชนให้รอด  เหตุใดซาตานจึงไม่ทำให้สรรพสัตว์ พืชพรรณ หรือสิ่งทรงสร้างต่างด้าวเสื่อมทราม?  เพราะพระเจ้าไม่ได้กำลังทรงพยายามช่วยสรรพสัตว์ พืชพรรณ หรือสิ่งทรงสร้างต่างด้าว หรือสิ่งทรงสร้างอื่นใดนอกเหนือจากเหล่ามนุษย์  พระเจ้ากำลังทรงพยายามที่จะช่วยเหล่ามนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างไว้บนแผ่นดินโลกนี้ให้รอด  พระองค์กำลังทรงพยายามได้รับเหล่ามนุษย์กลุ่มนี้บนแผ่นดินโลก  เหล่ามนุษย์ประเภทใดหรือ?  กลุ่มของเหล่ามนุษย์ที่ติดตามพระเจ้าและสัตย์ซื่อไปจนตาย ผู้ซึ่งมีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  เหล่านี้คือผู้คนที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับ  ก่อนที่พระเจ้าจะได้ทรงทำพระราชกิจของพระองค์เพื่อที่จะช่วยผู้คนเหล่านี้ให้รอดและได้รับพวกเขา ซาตานก็พยายามเข้ามาและทำให้พวกเขาเสื่อมทรามไปเสียก่อน  ซาตานพูดว่า “พระเจ้า พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะช่วยมนุษยชนให้รอดหรือ?  ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะทำให้พวกเขาเสื่อมทรามเสียก่อน  เมื่อผู้คนถูกทำให้เสื่อมทรามจนถึงจุดที่พวกเขาเป็นเยี่ยงปีศาจโดยสมบูรณ์แทนที่จะเป็นมนุษย์ พระองค์ก็จะไม่สามารถทรงช่วยพวกเขาให้รอด  พระองค์จะไม่ประสบความสำเร็จ และจะทรงล้มเหลวในที่สุด  นี่คือเป้าหมายของซาตาน  พวกเรากลับไปที่คำถามซึ่งเราได้ถามไปก่อนหน้านี้กันเถิด  เมื่อซาตานทำให้อุปนิสัยมนุษย์เสื่อมทราม ทั้งยังนำเสนอความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติสารพัด รวมถึงความคิดและทัศนะทุกประเภทที่ควบคุม ทำให้อ่อนกำลัง และชักพาหัวใจและจิตใจมนุษย์ให้หลงผิดอีกด้วยนั้น จุดประสงค์ของมันคืออะไรหรือ?  พวกเจ้าตอบคำถามนั้นไม่ได้ พวกเจ้าไม่เข้าใจมัน  ตอนที่ซาตานทำทุกอย่างนี้ มันไม่ได้กำลังตั้งเป้าไปที่ผู้คน แม้ว่าจะเป็นผู้คนนั่นเองที่มันควบคุมและทำให้เสื่อมทราม  ในทางกลับกัน ทั้งหมดนั้นล้วนชี้ตรงไปที่พระเจ้า  อะไรคือผลลัพธ์หรือเป้าหมายสุดท้ายของการที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทราม?  นั่นก็คือการวางผู้คนไว้ในการต่อต้านพระเจ้า  เมื่อผู้คนกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามของพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระองค์โดยบริบูรณ์ ซาตานเชื่อว่าแผนร้ายและการคำนวณแบบเอื้อประโยชน์ส่วนตนก็จะได้ประสบความสำเร็จ และเชื่อว่ามันจะได้รับการเคารพบูชาและติดตามโดยผู้คนบนแผ่นดินโลก  เพราะฉะนั้น เมื่อความคิด คำกล่าว ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติสารพัดของซาตานถูกหยั่งรากลึกลงในหัวใจผู้คน พวกเขาก็จะไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง หรือยอมรับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์หรืออธิปไตยของพระองค์อีกต่อไป  ผู้คนก็จะปฏิเสธพระเจ้าและทรยศพระองค์โดยสิ้นเชิง  ซาตานคิดว่านั่นเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนเสื่อมทรามไปจนถึงระดับที่สามารถปฏิเสธพระเจ้า  ทำไมนะหรือ?  ก็เพราะว่า ณ จุดนั้น ผู้คนที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะช่วยให้รอดจะได้ถูกซาตานครอบงำและจับเป็นเชลยไปแล้วอย่างสิ้นเชิงและอย่างถึงที่สุด อีกทั้งจะได้กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพระเจ้าไปแล้วอย่างสิ้นเชิงและอย่างถึงที่สุด  นี่คือจุดประสงค์ขอซาตาน  จริงหรือไม่ที่พวกเจ้าไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเลย?  (จริง)  พวกเจ้าไม่เข้าใจ  ผู้คนคิดว่า “ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามเพื่อที่จะจับพวกเราเป็นเชลย วางกับดักพวกเรา ทำอันตรายพวกเรา ปล่อยให้พวกเราตาย ส่งพวกเราไปนรกและกันไม่ให้พวกเราได้รับการช่วยให้รอดของพระเจ้าและไม่ให้ได้รับเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต  ซาตานทำให้พวกเราทนทุกข์”  นี่เป็นส่วนหนึ่ง แต่นั่นเป็นผลตามข้อเท็จจริงแวดล้อมเพียงอย่างเดียวที่ถูกเหนี่ยวนำโดยทุกสิ่งที่ซาตานทำ และในข้อเท็จจริงแล้วนั่นไม่ใช่เป้าหมายสำคัญที่แฝงอยู่  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจหรือยังว่าอะไรคือเป้าหมายสำคัญที่แฝงอยู่?  จงบอกเราทีว่าเหตุใดซาตานจึงควบคุม คุมขัง และชักพาจิตใจของผู้คนให้หลงผิด?  (ทุกสิ่งที่ซาตานทำถูกมุ่งหมายไปที่พระเจ้า และเป้าหมายสำคัญที่แฝงอยู่ก็คือทำให้ผู้คนทั้งหมดหันมาต่อต้านพระเจ้า)  แล้วอะไรอีก?  (เนื่องจากพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะช่วยมนุษยชนให้รอด ซาตานจึงต้องการทำให้พวกเขาเสื่อมทราม และทำให้พวกเขาหันมาต่อต้านพระเจ้า เพื่อให้พวกเขาไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดของพระเจ้า  ซาตานต้องการทำลายแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษยชนให้รอด)  ซาตานปลูกฝังความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติทุกประเภทในตัวผู้คน และเมื่อความคิดและทัศนะที่ถูกชักพาไปในทางที่ผิด ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติเหล่านี้ถูกหยั่งรากลึกในหัวใจผู้คน สิ่งเหล่านี้ก็ควบคุมและคุมขังจิตใจของพวกเขา  นี่ทำให้เกิดสถานการณ์เฉพาะอย่างหนึ่ง  สถานการณ์ประเภทใดหรือ?  สถานการณ์ที่ฝ่ายตรงข้ามของพระเจ้าถูกสร้างขึ้นในนั้นอย่างเต็มรูปแบบ มนุษยชนได้กลายเป็นกองกำลังปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า และซาตานก็มีความสุข  นี่คือเป้าหมายที่ซาตานกำลังพยายามที่จะสัมฤทธิ์  อะไรคือจุดประสงค์ของการที่ซาตานทำทุกอย่างนี้?  จงสรุปออกมาเป็นประโยคเดียว  (ซาตานปลูกฝังความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติทุกประเภทในตัวผู้คน และเมื่อความคิดและทัศนะที่ถูกชักพาไปในทางที่ผิด ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติเหล่านี้ก็ถูกหยั่งรากลึกในหัวใจผู้คน สถานการณ์หนึ่งก็ถูกสร้างขึ้นโดยมีฝ่ายตรงข้ามของพระเจ้าเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างเต็มรูปแบบในสถานการณ์นั้น และเหล่ามนุษย์ก็ได้กลายเป็นผู้คนที่ขัดขืนพระเจ้า  พวกเขากลายเป็นศัตรูของพระเจ้า และซาตานก็ได้สัมฤทธิ์เป้าหมายของมัน)  นี่คือคำตอบ—นี่เรียบง่ายหรือไม่?  (ใช่ นี่เรียบง่าย)  นี่คือเป้าหมายและผลลัพธ์ที่ซาตานต้องการสัมฤทธิ์โดยการทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม

พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงทราบเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ที่ซาตานทำเพื่อให้มนุษยชนเสื่อมทรามหรือไม่?  (ทรงทราบ)  เช่นนั้นแล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้ซาตานทำการนี้?  จงใช้สิ่งที่พวกเจ้าเข้าใจเกี่ยวกับความจริงมาอธิบายการนี้  มีคำกล่าวหนึ่งเกี่ยวกับการนี้อยู่ไม่ใช่หรือ?  “พระปัญญาของพระเจ้าถูกนำออกมาใช้บนพื้นฐานของเล่ห์เพทุบายของซาตาน”  นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการที่คำกล่าวกลายมาเป็นจริง ใช่หรือไม่?  (ใช่)  แล้ววลีที่ว่า “ซาตานคือข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นในพระราชกิจของพระเจ้า” ก็ใช้ได้กับตรงนี้ด้วยใช่หรือไม่?  (ได้)  คำกล่าวทั้งสองเกี่ยวเนื่องกันและสามารถนำมาใช้อธิบายคำถามด้านบนได้  นั่นไม่ถูกหรือ?  (ถูก)  นั่นคือหนทางที่เป็นอยู่  หากใครบางคนยกคำถามนี้ขึ้นมา พวกเจ้าจะอธิบายคำถามนี้กับพวกเขาอย่างไร?  หากเจ้าแค่พูดอย่างคลุมเครือว่า “พระปัญญาของพระเจ้าถูกนำออกมาใช้บนพื้นฐานของเล่ห์เพทุบายของซาตาน” พวกเขาก็จะสับสนและจะไม่เข้าใจ  พวกเจ้ารู้วิธีที่จะอธิบายเรื่องนี้ในรายละเอียดที่มากกว่านี้ใช่หรือไม่?  นั่นอธิบายง่ายเลยใช่หรือไม่?  พระเจ้าทรงอนุญาตให้ซาตานทำสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม ไม่ใช่เป็นเพราะพระเจ้าทรงไร้ความสามารถที่จะหยุดยั้งหรือจัดการกับพวกเขา แต่เป็นเพราะเหตุผลหนึ่ง  เหตุผลนั้นก็คือ “พระปัญญาของพระเจ้าถูกนำออกมาใช้บนพื้นฐานของเล่ห์เพทุบายของซาตาน” ดังที่เราได้พูดไปก่อนหน้า  นี่ไม่ใช่คำกล่าวหรือทฤษฎี แต่เป็นความจริงอันไม่อาจโต้แย้งได้ ซึ่งสามารถถูกพิสูจน์ยืนยันโดยข้อเท็จจริงที่พระเจ้าทรงสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้หลังจากที่เขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว  อะไรคือจุดประสงค์ของซาตานในการทำให้อุปนิสัยมนุษย์เสื่อมทรามและการปลูกฝังความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติทุกประเภทในตัวผู้คนเพื่อควบคุมและจองจำจิตใจของพวกเขา?  เป้าหมายสูงสุดก็เพื่อปราบปรามพระราชกิจของพระเจ้าและเป็นเหตุให้การบริหารจัดการของพระองค์ต้องอันตรธานไปในอากาศใช่หรือไม่?  นี่คือเล่ห์เพทุบายของซาตานใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือเล่ห์เพทุบายของซาตาน  พระเจ้าทรงกำลังดำริสิ่งใดตอนที่ซาตานกำลังปฏิบัติเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้?  พระเจ้าทรงทำสิ่งใด?  อะไรอยู่ในพระหทัยของพระองค์?  พระปัญญาของพระองค์สำแดงอย่างไรในการทั้งหมดนี้?  พระเจ้ากำลังทรงใช้เล่ห์เพทุบายของซาตาน  ซาตานมีเล่ห์เหลี่ยม  มันพูดว่า “ข้าจะยั่วยุและทำให้ผู้คนเสื่อมทรามจนกว่าพวกเขาจะเป็นเหมือนข้า”  พวกเขากลายเป็นเหล่าซาตานน้อยที่มีความคิดและทัศนะเดียวกันกับของข้า มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัว และปฏิบัติตัวไปตามจุดยืนเยี่ยงซาตานของข้าและก็ต่อต้านพระเจ้า  ข้าต้องการเอาผู้คนทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นและทำให้พวกเขาเป็นของข้าซาตาน เพื่อที่พระราชกิจของพระเจ้าในตัวผู้คนจะเปล่าประโยชน์และไม่เป็นผล  นี่จะทำให้แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าต้องอันตรธานไปในอากาศเป็นแน่”  นี่คือเล่ห์เหลี่ยมของซาตานใช่หรือไม่?  (ใช่)  แล้วพระเจ้าทรงดำริเช่นไร?  และพระองค์ทรงทำสิ่งใด?  พระองค์ก็ตรัสว่า “ซาตาน เจ้าแพร่กระจายความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติที่ก่อกวนและชักพาให้ผู้คนหลงผิด และทำหลายสิ่งที่ก่อกวนและทำลายพระราชกิจของพระเจ้า  นี่จะปลูกฝังความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติลงในผู้คนเพื่อให้พวกเขาดำเนินชีวิตโดยสิ่งเหล่านั้นและต่อต้านพระเจ้าเท่านั้นเอง  เช่นนั้นแล้วเราก็จะยึดวจนะของเราเป็นพื้นฐานและทำงานในเรื่องการทำให้มนุษยชนเสื่อมทราม เปิดโปงความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติที่เจ้าใช้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม พิพากษาอุปนิสัยเสื่อมทรามสารพัดของผู้คน และเปิดโอกาสให้ผู้คนระบุชี้ความคิดและคำแถลงสารพัดที่เจ้าได้ปลูกฝังไว้ในตัวพวกเขา  ในหนทางนี้ ผู้คนไม่เพียงจะเข้าใจความจริงและเข้าใจพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขาจะสามารถจับได้ไล่ทันในคำแถลง ความคิดและทัศนะสารพันของซาตาน รวมทั้งรู้เท่าทันอุปนิสัย แก่นแท้ และความประพฤติชั่วสารพัดของซาตานอีกด้วย  เมื่อผู้คนใช้ความเข้าใจความจริงเป็นรากฐาน พวกเขาก็จะสามารถระบุชี้และปฏิเสธซาตานได้อย่างแม่นยำขึ้นและด้วยความเข้มแข็งมากขึ้น  ในด้านลบนั้น ผู้คนจะไม่ถูกซาตานชักพาให้หลงผิด หรือถูกซาตานจับเป็นเชลยและถูกกลืนกินต่อไปอีกเป็นครั้งที่สอง  ในด้านบวกนั้น พวกเขาจะสามารถยืนยันและเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าและพระอัตลักษณ์ของพระองค์ อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงปกครองอธิปไตยเหนือสิ่งทรงสร้างและสรรพสิ่งทั้งมวลได้มากขึ้น  หลังจากที่สองสิ่งนี้ถูกทำให้สัมฤทธิ์ หัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าก็จะเกิดขึ้นในตัวพวกเขา และพวกเขาก็จะนบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง  พระเจ้าจะทรงชนะหัวใจพวกเขา หรือพูดให้แม่นยำขึ้นก็คือ พระเจ้าจะได้รับพวกเขา  เมื่อผู้คนไปถึงช่วงระยะนี้ พวกเขาจะไม่ถูกซาตานใช้และชักพาให้หลงผิดอีกต่อไป  ในทางกลับกัน พวกเขาจะสามารถจับได้ไล่ทันซาตานอย่างถ้วนทั่ว รู้เท่าทันมันและปฏิเสธมันจากส่วนลึกของหัวใจตน  พวกเขาจะสารภาพว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า เต็มใจที่จะยอมรับอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้าง และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะได้หวนคืนสู่พระเจ้าโดยครบบริบูรณ์แล้ว”  นี่คือการจัดการเตรียมการและแผนการอันเฉพาะเจาะจงของพระเจ้า  แน่นอนว่า นี่อาจพูดได้เช่นกันว่า นี่คือความคิดและแนวคิดที่พระเจ้าทรงมีอยู่ลึกๆ ในพระทัยของพระองค์  นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงดำริ วิธีที่แนวคิดของพระองค์ทำงาน และวิธีที่พระองค์ได้ทรงจัดวางเรียบเรียงการนั้น  ในขณะที่ซาตานกำลังชักพาผู้คนให้หลงผิดและทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอยู่ตลอดเวลา พระเจ้าก็กำลังทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่งสร้างและสรรพสิ่งอย่างมีวิธีการ อีกทั้งขับเคลื่อนแผนการและการบริหารจัดการของพระองค์ไปข้างหน้าอย่างเป็นขั้นตอนตลอดมาในรูปแบบที่มีระเบียบแบบแผนอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน  มนุษยชนได้ถูกซาตานเข้าครองและทำให้เสื่อมทรามไปแล้วอย่างสิ้นเชิง  อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นข้อเท็จจริงซึ่งมิอาจโต้แย้งได้ว่า เมื่อมวลมนุษย์นี้ที่ถูกเติมเต็มและทำให้อิ่มชุ่มไปด้วยพิษของซาตานทุกชนิดได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าและได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ พวกเขาก็ยังคงสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ยอมรับการทรงเรียกของพระองค์ได้ และเต็มใจที่จะรับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์  ต่อให้พระเจ้าทรงกล่าวโทษและสาปแช่งมวลมนุษย์เช่นนั้นเพราะการเป็นจำพวกเดียวกับซาตานและเป็นศัตรูของพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่มีวันผละไปจากพระองค์  แม้ว่าความคิดและทัศนะของผู้คนนั้นเต็มไปด้วยสิ่งทั้งหลายซึ่งถูกซาตานปลูกฝังไว้ในตัวพวกเขา เป็นเหตุให้พวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตน และปฏิบัติตนในหนทางที่ยังคงถูกควบคุมและได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากความคิดและทัศนะของซาตาน แต่หัวใจของพวกเขาก็กำลังหันหาพระเจ้าอย่างถ่องแท้และเร่งด่วนมากขึ้นทุกที  นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงอันมิอาจโต้แย้งได้หรอกหรือ?  (ใช่)  ยิ่งไปกว่านั้น ในอนาคตอันใกล้ หลังจากที่พระเจ้าทรงเปิดโปงความประพฤติชั่วทั้งหมดของซาตานแล้ว มวลมนุษย์นี้ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกก็จะสามารถประกาศตัดสัมพันธ์กับซาตาน พูดว่า “ไม่” กับมัน และคืนหัวใจพวกเขาให้กับพระเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์  พวกเขาทั้งหมดจะเต็มใจติดตามพระเจ้าไปตามอธิปไตย การจัดวางเรียบเรียง และการจัดการเตรียมการของพระองค์อย่างแน่วแน่มั่นคง  การปิดตัวแบบประสบความสำเร็จของพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นไปในทิศทางนี้ ใช่หรือไม่?  (ใช่)  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งที่หมายถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้คนจำนวนมากขึ้นจะมีความแน่วแน่ที่จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัว และปฏิบัติตนไปตามพระวจนะของพระเจ้าโดยมีความจริงเป็นเกณฑ์ประเมินของตน  ไม่สำคัญว่าความแน่วแน่ของผู้คนนั้นแรงกล้าหรืออ่อนกำลัง หรือว่าพวกเขาได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงนี้หรือยัง—ไม่ว่ายังไง ข้อเท็จจริงที่ว่ามวลมนุษย์เช่นนั้นซึ่งถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกมีความพึงปรารถนาและมีความแน่วแน่ที่จะประกาศตัดสัมพันธ์กับมัน อีกทั้งมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัว และปฏิบัติตนไปตามพระวจนะของพระเจ้าโดยมีความจริงเป็นเกณฑ์ประเมินของตน แทนที่จะเป็นความคิดและทัศนะสารพัดที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวพวกเขานั้น ก็เป็นสัญญาณอยู่ในตัวเองว่า พระเจ้าได้ทรงชนะไปเรียบร้อยแล้ว  ดังนั้นซาตานจึงได้ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามไปแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น คำกล่าวที่ว่า “พระปัญญาของพระเจ้าถูกนำออกมาใช้บนพื้นฐานของเล่ห์เพทุบายของซาตาน” นั้นไม่ใช่คำพูดอันว่างเปล่า แต่เป็นข้อเท็จจริงซึ่งสัมพันธ์กับความจริง ตามรูปการณ์แวดล้อมจริง และมิอาจโต้แย้งได้  ทุกอย่างที่ซาตานชั่วกำลังทำอยู่ได้มาถึงจุดที่มันกำลังควบคุมและชักพามนุษยชาติให้หลงผิด  มันเชื่อว่ามันได้ก่อกวนและทำลายพระราชกิจของพระเจ้าไปแล้ว อีกทั้งเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะสานต่อแผนการบริหารจัดการของพระองค์  เพราะฉะนั้น ซาตานก็เลยคิดว่าตัวมันชนะแล้ว  ไม่ว่ายังไง ซาตานก็ไม่สามารถทำให้จังหวะของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าในการที่จะช่วยมนุษยชนให้รอดนั้นช้าไปได้ ไม่ว่ามันจะบุ่มบ่ามสักเท่าใด ทั้งมันยังไม่สามารถสกัดกั้นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของแผนการบริหารจัดการและชัยชนะที่มีเหนือซาตานของพระเจ้า  ตอนนี้พระราชกิจของพระเจ้าได้แผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรวาล และพระราชกิจของพระเจ้าก็ได้แพร่กระจายไปยังหลายล้านบ้านเรือนแล้ว  นี่คือหลักฐานแห่งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

หากใครบางคนถามพวกเจ้าอีกว่า “ทำไมซาตานถึงควบคุม จองจำและชักพาจิตใจของผู้คนให้หลงผิด?  ทำไมพระเจ้าจึงอนุญาตให้ซาตานทำแบบนี้?”  พวกเจ้าจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ไหม?  ต่อให้เจ้าไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างครบถ้วน แต่อย่างน้อยเจ้าก็สามารถแบ่งปันความเข้าใจของเจ้าได้บ้าง  เหตุใดซาตานจึงกำลังทำสิ่งเหล่านี้?  อะไรคือนัยสำคัญของการที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้มันทำทั้งหมดนี้?  เจ้าควรคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้และก็ควรมีคำตอบที่แม่นยำในหัวใจของเจ้า  พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดมาตลอดหกพันปี  คนบางคนไม่เข้าใจเรื่องนี้และพูดว่า “พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดมาตลอดหกพันปีเลยหรือ?  นั่นไม่นานเกินไปหรือ?”  ไม่ว่าพระราชกิจของพระเจ้าใช้เวลานานเท่าไร การกระทำของพระองค์ล้วนเป็นนัยสำคัญยิ่งใหญ่ที่สุด  ไม่ใช่เพียงช่วงระยะเวลาแห่งพระราชกิจเท่านั้นที่มีนัยสำคัญ ผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายที่พระราชกิจของพระองค์สัมฤทธิ์นั้นสำคัญยิ่งกว่าเสียอีก  หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดมาตลอดหกพันปี ความด้านชาและความเบาปัญญาก็คงกันไม่ให้มนุษยชนได้รู้จักพระเจ้าหรือได้รับการช่วยให้รอดอย่างเต็มที่โดยพระองค์  ผู้คนจะสามารถระบุชี้พวกศัตรูของพระคริสต์และระลึกรู้แก่นแท้ธรรมชาติของพวกนั้นได้หรือ หากพวกเขาได้รับประสบการณ์การก่อกวนและการชักพาให้หลงผิดที่มีสาเหตุมาจากพวกศัตรูของพระคริสต์เพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น?  สามถึงห้าครั้งน่าจะพอหรือไม่?  เราเกรงว่าจะไม่พอ  ผู้คนต้องได้รับประสบการณ์กับเรื่องนี้หลายๆ ครั้งจนกระทั่งพวกเขาได้รู้เท่าทันของพวกศัตรูของพระคริสต์อย่างถ้วนทั่ว  เมื่อถึงตอนนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถระบุชี้พวกศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างแท้จริงและประกาศตัดสัมพันธ์กับพวกนั้นได้อย่างครบบริบูรณ์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้คนต้องตกไปอยู่ในสถานการณ์ที่ผจญการกดขี่อันบ้าคลั่งและการข่มเหงอันโหดร้ายจากพญานาคใหญ่สีแดงเป็นเวลาสั้นเกินไป พวกเขาก็จะไม่ได้รับประสบการณ์กับสถานการณ์นั้นอย่างทั่วถึง และจะลืมเลือนสถานการณ์นั้นไปในไม่ช้า  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาจะไม่เกลียดชังและปฏิเสธพญานาคใหญ่สีแดงอย่างแท้จริง  การข่มเหงอันโหดร้ายของซาตานต้องนาบแผดเผาเข้าไปในหัวใจผู้คนเหมือนเครื่องตีตรา เพื่อให้พวกเขาสามารถเกลียดชังมันจากส่วนลึกของหัวใจและมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมันอย่างชัดเจน  หากบุคคลหนึ่งถูกข่มเหงเพียงสั้นๆ ครั้งสองครั้ง ก็ย่อมจะยากเย็นที่พวกเขาจะเกลียดชังซาตานและกบฏต่อมัน  เมื่อมีโอกาส พวกเขาก็จะยังคงพูดดีเกี่ยวกับซาตานและขับร้องคำสรรเสริญให้มัน  บุคคลหนึ่งต้องถูกส่งมอบให้กับซาตานหลายครั้งเพื่อให้พวกเขาทนทุกข์จากการทรมานและความโหดร้ายของมัน จนพวกเขาสามารถมองเห็นความชั่ว ความอัปลักษณ์ ความใจร้ายและความหน้าไม่อายของมันอย่างชัดเจน และทอดทิ้งมันโดยสิ้นเชิง  แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ต้องถูกรับประสบการณ์เป็นช่วงเวลานาน  ตัวอย่างเช่น ในการทำเหล็กกล้า เหล็กกล้าที่ดีไม่สามารถถูกผลิตออกมาได้จากการอยู่ในไฟเป็นเวลาสั้นๆ เหล็กกล้าจะต้องถูกทำให้อ่อนตัวลงอย่างทั่วถึงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด  กล่าวก็คือ ทุกช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเจ้าพึงต้องใช้เวลายาวนาน ทุกช่วงระยะพึงต้องการช่วงเวลาที่ยาวนาน  การนั้นต้องถูกทำในหนทางนี้ หาไม่แล้วก็จะไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีได้เลย  ภายในอุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษยชนและภายในหัวใจมนุษย์ลึกๆ นั้นมีการเปลี่ยนแปลงในระดับที่ต่างกันเนื่องมาจากอิทธิพลของรูปการณ์แวดล้อมที่ใหญ่ขึ้นในแต่ละยุคสมัย และการเปลี่ยนแปลงแต่ละอย่างก็จะสัมพันธ์กับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำในผู้คนในช่วงระหว่างแต่ละช่วงระยะ  เหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์อีกครั้งในยุคสุดท้ายเพื่อทรงพระราชกิจขนาดใหญ่และตรัสอย่างมากมายเหลือเกินก็เพราะการที่ในระยะสุดท้ายนี้ อุปนิสัยเสื่อมทราม ความคิด และทัศนะทั้งหลายของมนุษยชน รวมทั้งสภาพแวดล้อมและภูมิหลังของสังคมที่กว้างขึ้นนั้น ล้วนเข้ากันพอดีกับภูมิหลังของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำในยุคสุดท้าย  กระแสนิยม ขนบธรรมเนียม แบบแผน หรือสถานการณ์ในสังคม สถานการณ์ทางการเมือง หรือแม้แต่อำนาจทางการเมืองของประชาชาติเยี่ยงซาตานล้วนเป็นปัจจัยของสภาพแวดล้อมที่ใหญ่ขึ้น  ณ เวลาที่ปัจจัยเหล่านี้อยู่ในภูมิหลัง ภูมิทัศน์ภายในและอุปนิสัยเสื่อมทรามของผู้คน ซึ่งก็คือสภาวะภายในของมนุษยชนทั้งปวง ก็เป็นดั่งที่พระเจ้าทรงจำเป็นต้องมีสำหรับพระราชกิจของพระองค์พอดี  นี่เป็นเวลาที่เหมาะควรที่สุดสำหรับพระเจ้าที่จะคลี่คลายการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ออกมาเพื่อเผยให้เห็นพระบารมี ความชอบธรรม พระกรุณาและความเมตตาของพระองค์  เมื่อปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมดสุกงอมและพร้อมอย่างเต็มที่ พระเจ้าก็ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์  นี่เป็นพระราชกิจที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะดำเนินการภายใต้อิทธิพลของภูมิหลังที่ใหญ่โตขึ้น  พวกเจ้าเข้าใจตรงนี้ก็พอแล้ว  คนบางคนที่มีขีดความสามารถดีจะเข้าใจ ในขณะที่คนอื่นซึ่งไม่มีประสบการณ์ก็อาจไม่เข้าใจ  โดยเฉพาะเจาะจงแล้ว พวกที่ไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองและแก่นแท้ของกระแสนิยมในสังคมและพวกที่มีการคิดอ่านซึ่งไม่เป็นผู้ใหญ่พอนั้นพึงพอใจกับประสบการณ์เล็กน้อยทางฝ่ายวิญญาณกับคำพยานที่ไม่สลักสำคัญ และอาจไม่เข้าใจมากนักเกี่ยวกับภูมิหลังทางการเมืองและทางสังคมที่กว้างกว่าซึ่งเกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่สำคัญเลยว่าพวกเจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้มากเพียงใด เมื่อเจ้าค่อยๆ ได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้มากขึ้น สิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งเป็นนิมิตอันยิ่งใหญ่  พวกเราจะไม่สามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อนี้มากไปกว่านี้เพราะพวกเจ้าไม่พร้อมที่จะลงลึกไปกว่านี้

ชำแหละสิ่งที่ผู้คนยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม

II. คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิม

ต. ชำแหละคำกล่าวที่ว่า “คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง”

คราวก่อน พวกเราจบการสามัคคีธรรมกันตรงคำกล่าวเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “จงทำให้ดีที่สุดเพื่อรับมืออย่างสัตย์ซื่อกับสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้เจ้า”  ลำดับถัดไปพวกเราจะสามัคคีธรรมกันถึงคำกล่าวที่ว่า “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ”  ก่อนอื่นเลย พวกเราควรพยายามคิดให้ออกถึงวิธีที่จะชำแหละความคิดและทัศนะอันคลาดเคลื่อนทั้งหลายในคำกล่าวเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ และเจตนารมณ์ของซาตานในการสร้างคำกล่าวนี้ขึ้นมา  มีสำนวนจีนสำนวนหนึ่งที่กล่าวว่า “ยากจะรู้เจตนาที่แท้จริงของคนคนหนึ่ง” แล้วเจตนารมณ์จริงของซาตานอยู่ตรงไหนเล่า?  นี่คือสิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องเปิดเผยออกมาและชำแหละ  “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ” เป็นอีกความคิดและคำแถลงที่ซาตานสร้างขึ้นท่ามกลางผู้คน และดูจากภายนอกแล้ว นั่นสูงศักดิ์ทีเดียว นั่นเร้าใจและทรงพลัง  แล้วอะไรเล่าที่ช่างน่าประทับใจเกี่ยวกับคำกล่าวนี้?  คุ้มค่าหรือไม่ที่จะรับคำกล่าวนี้ไว้ในหัวใจและถนอมไว้ราวสมบัติล้ำค่า?  คุ้มค่าหรือไม่ที่จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัว และปฏิบัติตนไปตามความคิดและทัศนะนี้?  คำกล่าวนี้มีคุณงามความดีอันใดหรือไม่?  นี่เป็นคำกล่าวที่เป็นบวกหรือไม่?  หากนี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวกหรือความคิดและทัศนะที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว อะไรคือผลลบของคำกล่าวนี้ที่มีต่อผู้คน?  อะไรคือเจตนารมณ์ของซาตานในตอนที่มันสร้างคำกล่าวเช่นนี้ขึ้นมาและปลูกฝังความคิดและทัศนะนี้ในตัวผู้คน?  พวกเราควรใช้วิจารณญาณแยกแยะคำกล่าวนี้อย่างไร?  หากเจ้าสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะคำกล่าวนี้ได้ วลีนี้ก็จะถูกปฏิเสธและไม่ยอมรับจากส่วนลึกของหัวใจเจ้า และเจ้าก็จะไม่ได้รับอิทธิพลจากวลีนี้อีกต่อไป  แม้ว่าวลีนี้จะแวบผ่านจิตใจเจ้าและก่อกวนเจ้าอยู่ลึกๆ ภายในเป็นระยะๆ แต่หากเจ้าสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะวลีนี้ได้ เจ้าก็จะไม่ถูกวลีนี้พันธนาการหรือผูกมัด  พวกเจ้าคิดว่ามีคุณงามความดีใดอยู่ในคำกล่าว “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ” หรือไม่?  นี่เป็นคำกล่าวซึ่งมีผลบวกต่อผู้คนใช่หรือไม่?  (ไม่)  พวกเจ้าประสงค์จะเป็นสุภาพบุรุษหรือไม่?  การเป็นสุภาพบุรุษเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี?  เป็นสุภาพบุรุษหรือเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมจึงจะดีกว่า?  เป็นสุภาพบุรุษหรือเป็นวายร้ายจึงจะดีกว่า?  พวกเจ้าไม่เคยคิดเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเหล่านี้เลยหรือ?  (ไม่)  ถึงแม้พวกเจ้าไม่เคยคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แต่สิ่งหนึ่งก็แน่นอน กล่าวคือ บ่อยครั้งที่พวกเจ้าใช้คำว่า “สุภาพบุรุษ” โดยพูดสิ่งต่างๆ เช่น “เป็นวายร้ายตัวจริงยังดีกว่าเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม” และ “สุภาพบุรุษตัวจริงใจกว้างถึงขั้นที่ถ้ามีใครบางคนล่วงเกินเขา เขาก็ไม่ผูกใจเจ็บและสามารถยกโทษให้คนเหล่านั้นได้  นั่นคือสิ่งที่คุณเรียกว่าสุภาพบุรุษ!”  ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าสามารถพูดสิ่งเหล่านี้ได้พิสูจน์อะไรเกี่ยวกับตัวเจ้า?  นั่นพิสูจน์ว่าสุภาพบุรุษมีสถานะบางอย่างอยู่ในความคิดและทัศนะของเจ้า และพิสูจน์ว่าความคิดและคำกล่าวเกี่ยวกับสุภาพบุรุษทั้งหลายมีอยู่จริงในจิตใจของเจ้าใช่หรือไม่?  พวกเราสามารถพูดแบบนี้ได้หรือไม่?  (ได้)  เจ้าเลื่อมใสและเห็นชอบในตัวผู้คนในสังคมเหล่านั้นที่ประพฤติตนเสมือนเป็นสุภาพบุรุษหรือที่ถูกเรียกว่าสุภาพบุรุษ และเจ้าก็ทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะกลายเป็นสุภาพบุรุษ รวมถึงถูกมองเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าที่จะเป็นวายร้าย  หากใครบางคนพูดว่า “คุณเป็นวายร้ายตัวจริง” เจ้าก็จะเศร้ามาก  อย่างไรก็ตาม หากใครบางคนพูดว่า “คุณเป็นสุภาพบุรุษตัวจริง” เจ้าก็จะปลาบปลื้ม  นี่เป็นเพราะเจ้ารู้สึกว่าหากบางคนได้ชมเชยเจ้าโดยการเรียกเจ้าว่าสุภาพบุรุษ บุคลิกลักษณะของเจ้าได้ถูกยกระดับ รวมทั้งหนทางและวิธีการที่เจ้าประพฤติปฏิบัติตนและรับมือกับเรื่องทั้งหลายก็ได้รับการยืนยันรับรอง  แน่นอนว่าหลังจากที่เจ้าได้การยืนยันรับรองประเภทนี้ในสังคม เจ้าก็รู้สึกว่าเจ้ามีสถานะอันสูงศักดิ์ และไม่ใช่บุคคลชั้นต่ำหรือมีปมด้อย  ไม่ว่าเขาจะเป็นตำนานหรือมีตัวตนอยู่จริง สุภาพบุรุษผู้เที่ยงธรรมก็จับจองที่ทางอันมั่นคงลึกลงไปในหัวใจผู้คน  ดังนั้นพอเราถามพวกเจ้าว่า สุภาพบุรุษหรือวายร้ายดีกว่ากัน ไม่มีพวกเจ้าสักคนที่กล้าตอบ  ทำไมนะหรือ?  ก็เพราะเจ้าคิดว่า “พระองค์ทรงถามเช่นนั้นได้อย่างไร?  เป็นสุภาพบุรุษย่อมดีกว่าวายร้ายแน่นอนอยู่แล้ว  สุภาพบุรุษไม่ดี ไม่เที่ยงธรรม และไม่มีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมอันสูงส่งหรือไง?  การที่จะพูดว่าเป็นสุภาพบุรุษไม่ดีนั้นย้อนแย้งกับสามัญสำนึกไม่ใช่หรือ?  นั่นคงสวนทางกับความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่ใช่หรือ?  ถ้าสุภาพบุรุษไม่ดี แล้วผู้คนประเภทไหนถึงดี?”  ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่กล้าตอบ นั่นไม่จริงหรอกหรือ?  (จริง)  นี่ยืนยันว่าในหัวใจพวกเจ้ามีตัวเลือกที่ชัดเจนระหว่างสุภาพบุรุษกับวายร้ายใช่หรือไม่?  พวกเจ้าเลือกชอบอย่างไหนหรือ?  (สุภาพบุรุษ)  เช่นนั้นวัตถุประสงค์ของพวกเราก็ชัดเจน  พวกเรามามุ่งเน้นไปที่การระบุชี้และการชำแหละสุภาพบุรุษกันเถิด  ไม่มีใครชอบวายร้าย นี่ไม่ต้องพูดเลย  แล้วสุภาพบุรุษคืออะไรกันแน่?  หากเจ้าถามว่า “เป็นสุภาพบุรุษหรือเป็นผู้ร้ายดีกว่า?”  สำหรับเรา คำตอบนั้นชัดเจนว่าไม่ดีทั้งคู่ เพราะทั้งสุภาพบุรุษและวายร้ายต่างไม่ใช่บุคลิกลักษณะที่เป็นบวก  นั่นก็แค่การที่ผู้คนตัดสินพฤติกรรม การกระทำ บุคลิกลักษณะ และความมีศีลธรรมของวายร้ายว่าค่อนข้างแย่ ดังนั้นจึงไม่ชอบเขา  เมื่อบุคลิกลักษณะและความมีศีลธรรมขั้นต่ำของวายร้ายถูกนำมาแสดงอย่างเปิดเผย ผู้คนยิ่งมองเขาเป็นวายร้ายมากขึ้นไปอีก  อย่างไรก็ดี สุภาพบุรุษมักเผยแสดงลักษณะอันสง่างามในการพูดและการกระทำของเขา ศีลธรรมอันดีและบุคลิกลักษณะอันได้รับการขัดเกลาของเขาบ่อยครั้งกว่า และเขาก็ทำให้ผู้คนรู้สึกอุดมสมบูรณ์และเคารพเขา  ผลลัพธ์ก็คือ ผู้คนเรียกเขาว่าสุภาพบุรุษ  เมื่อสุภาพบุรุษคนหนึ่งนำเสนอตัวเองในหนทางนี้ เขาก็ได้รับการสรรเสริญ เลื่อมใสและยกย่องเชิดชู  เพราะฉะนั้น ผู้คนจึงรักสุภาพบุรุษและไม่ชอบวายร้าย  อย่างไรก็ตาม ผู้คนกำหนดว่าใครบางคนเป็นสุภาพบุรุษหรือเป็นวายร้ายบนพื้นฐานของอะไรหรือ?  (บนพื้นฐานของพฤติกรรมภายนอกของคนเหล่านั้น)  ผู้คนตัดสินบุคคลหนึ่งว่าสูงศักดิ์หรือต้อยต่ำบนพื้นฐานของพฤติกรรมของบุคคลนั้น ว่าแต่เหตุใดเล่าผู้คนจึงตัดสินผู้อื่นบนพื้นฐานของพฤติกรรมของพวกเขา?  คำตอบก็คือว่า ขีดความสามารถที่ผู้คนส่วนใหญ่มีนั้นไปได้ถึงระดับนี้เท่านั้นเอง  พวกเขาเพียงสามารถมองเห็นว่าพฤติกรรมของบุคคลหนึ่งดีหรือไม่ดี พวกเขาไม่สามารถมองเห็นแก่นแท้ของบุคคลนั้นได้อย่างชัดเจน  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาเพียงสามารถกำหนดได้ว่าบุคคลนั้นเป็นสุภาพบุรุษหรือวายร้ายบนพื้นฐานของพฤติกรรมของคนเหล่านั้นเท่านั้นเอง  ดังนั้นวิธีการของการใช้วิจารณญาณแยกแยะแบบนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  นี่ไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง  ถ้าอย่างนั้น นี่ถูกต้องหรือไม่ที่จะมองสุภาพบุรุษว่ามีศีลธรรมอันดีและมีบุคลิกลักษณะที่ได้รับการขัดเกลา?  (ไม่)  ใช่แล้ว นี่ไม่ถูกต้องแม่นยำ  การตีความว่าสุภาพบุรุษได้รับการขัดเกลาในบุคลิกลักษณะ มีศีลธรรม มีศักดิ์ศรีและมีคุณธรรมนั้นไม่ถูกต้องแม่นยำ  เพราะฉะนั้นเมื่อมองในตอนนี้ คำศัพท์ “สุภาพบุรุษ” เป็นบวกหรือไม่?  (ไม่)  นั่นไม่เป็นบวก  สุภาพบุรุษไม่สูงศักดิ์ไปกว่าวายร้าย  ดังนั้นหากใครบางคนถามว่า “เป็นสุภาพบุรุษหรือเป็นวายร้ายดีกว่ากัน?”  คำตอบคืออะไร?  (ไม่ดีทั้งสอง)  นี่ถูกต้องแม่นยำ  หากใครบางคนถามว่าทำไมพวกเขาทั้งสองจึงไม่ดี คำตอบก็เรียบง่าย  ทั้งสุภาพบุรุษและวายร้ายไม่ใช่บุคลิกลักษณะที่เป็นบวก พวกเขาต่างก็ไม่ใช่คนดีอย่างแท้จริง  พวกเขาเต็มไปด้วยพิษสงและอุปนิสัยเสื่อมทรามของซาตาน  พวกเขาถูกซาตานควบคุมและวางยาพิษ และดำรงชีวิตไปตามตรรกะและกฎทั้งหลายของมัน  เพราะฉะนั้นจึงพูดได้อย่างแน่นอนว่า ขณะที่วายร้ายไม่ใช่บุคคลที่ดี สุภาพบุรุษก็ไม่สามารถเป็นบุคคลที่เป็นบวกได้เช่นกัน  ต่อให้ผู้อื่นมองว่าสุภาพบุรุษเป็นบุคคลที่ดี แต่เขาก็แค่กำลังแสร้งทำเป็นดีเท่านั้นเอง  เขาไม่ใช่บุคคลซื่อสัตย์ที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ นับประสาอะไรที่จะเป็นบุคคลซึ่งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  นั่นก็แค่ว่า สุภาพบุรุษประพฤติตนดีบ่อยกว่าเล็กน้อยและประพฤติตนแย่น้อยครั้งกว่า ในขณะที่วายร้ายประพฤติตนแย่บ่อยกว่าและประพฤติตนดีน้อยครั้งกว่า  สุภาพบุรุษได้รับความเคารพมากกว่าเล็กน้อย ในขณะที่วายร้ายถูกดูหมิ่นมากกว่าเล็กน้อย  ความแตกต่างระหว่างสุภาพบุรุษและวายร้ายก็เพียงแบบนี้เท่านั้นเอง  หากผู้คนตัดสินคนเหล่านั้นไปตามพฤติกรรมของพวกเขา นี่ก็เป็นเพียงผลลัพธ์เดียวเท่านั้นที่ผู้คนจะได้มา

ผู้คนกำหนดว่าใครบางคนเป็นสุภาพบุรุษหรือวายร้ายบนพื้นฐานของพฤติกรรมของพวกเขา  พวกเขาอาจพูดว่า “บุคคลนี้เป็นสุภาพบุรุษเพราะเขาทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อคุณประโยชน์ของทุกคน  ทุกคนคิดแบบนั้น  เพราะฉะนั้นเขาก็คือสุภาพบุรุษและบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมสูงส่ง”  หากทุกคนพูดว่าบุคคลหนึ่งเป็นสุภาพบุรุษ นั่นทำให้บุคคลนั้นเป็นคนดีและมีบุคลิกลักษณะซึ่งเป็นบวกใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ทำไมจึงไม่นะหรือ?  ก็เพราะผู้คนล้วนเสื่อมทราม มีอุปนิสัยเสื่อมทราม และไม่มีหลักธรรมความจริง  ดังนั้นไม่ว่าใครจะพูดว่าบุคคลหนึ่งเป็นสุภาพบุรุษ คำแถลงนั้นก็มาจากซาตาน และจากบุคคลที่เสื่อมทราม  มาตรฐานในการประเมินค่าของผู้คนนั้นไม่ถูกต้อง และดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้ออกมาจึงไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน  พระเจ้าไม่เคยตรัสในแง่ของพวกสุภาพบุรุษหรือพวกวายร้าย  พระองค์ไม่ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริงมากกว่าที่จะเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม ทั้งพระองค์ก็ไม่เคยตรัสว่า “พวกเจ้าล้วนเป็นวายร้าย  เราไม่ต้องการวายร้าย เราต้องการสุภาพบุรุษ” พระเจ้าตรัสเช่นนี้หรือ?  (ไม่ได้ตรัส)  พระองค์ไม่ได้ตรัส  พระเจ้าไม่มีวันทรงประเมินหรือกำหนดว่าบุคคลหนึ่งดีหรือไม่ดีจากคำพูดและการกระทำของพวกเขา  ในทางกลับกัน พระองค์ทรงประเมินค่าและกำหนดเรื่องนั้นไปตามแก่นแท้ของพวกเขา  นี่หมายความว่าอย่างไร?  ประการแรก นี่หมายความว่าผู้คนถูกพิพากษาไปตามคุณภาพความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และการที่พวกเขามีมโนธรรมและสำนึกหรือไม่  ประการที่สอง พวกเขาถูกพิพากษาไปตามท่าที ที่มีต่อความจริงและต่อพระเจ้า  นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงประเมินค่าและกำหนดว่าบุคคลหนึ่งเหนือกว่าหรือด้อยกว่า  เพราะฉะนั้นจึงไม่มีสิ่งอย่างเช่นสุภาพบุรุษหรือวายร้ายอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า  ท่ามกลางผู้คนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดในคริสตจักร พระองค์ไม่ทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาเป็นสุภาพบุรุษหรือทรงส่งเสริมแนวคิดของการเป็นสุภาพบุรุษ อีกทั้งพระองค์ก็ไม่ทรงขอให้ผู้คนวิจารณ์พวกวายร้าย  แน่นอนที่สุดว่า พระนิเวศของพระเจ้าไม่ตัดสินว่าใครมีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมที่สูงส่งไปตามคำกล่าวทางวัฒนธรรมดั้งเดิมเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  พระนิเวศไม่ส่งเสริมและอุปถัมภ์ผู้ใดที่เป็นสุภาพบุรุษ และเอาตัวผู้ใดที่เป็นวายร้ายออกและกำจัดไป  พระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริม อุปถัมภ์ เอาตัวผู้คนออกหรือกำจัดผู้คนไปตามหลักธรรมของพระนิเวศเอง  พระนิเวศไม่มองผู้คนไปตามมาตรฐานและคำกล่าวเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม โดยส่งเสริมผู้ใดที่เป็นสุภาพบุรุษและปฏิเสธผู้ใดที่เป็นวายร้าย  ในทางกลับกัน พระนิเวศรับมือกับผู้คนทั้งหมดไปตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับคนบางคนในคริสตจักรที่พยายามจะเป็นสุภาพบุรุษอยู่ตลอดเวลา?  (พวกเขาไม่ดี)  ผู้เชื่อใหม่บางคนตัดสินผู้คนไปตามมาตรฐานของสุภาพบุรุษและวายร้ายอยู่เสมอ  เมื่อพวกเขาเห็นผู้นำคริสตจักรตัดแต่งผู้คนที่กำลังเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน พวกเขาพูดว่า “ผู้นำคนนี้ไม่ใช่สุภาพบุรุษ!  พอพี่น้องชายหญิงทำความผิดพลาดเล็กน้อย เขาก็ฝังใจและจะไม่ปล่อยมือจากเรื่องนั้น  สุภาพบุรุษย่อมจะไม่ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้  สุภาพบุรุษย่อมจะยอมผ่อนปรน ยกโทษและถึงกับปลอบประโลมด้วยซ้ำ—สุภาพบุรุษคงยอมรับกว่านี้อย่างมาก!  ผู้นำคนนี้ช่างแข็งกระด้างกับผู้คนนัก  เขาเป็นวายร้ายอย่างเห็นได้ชัด!”  ผู้คนเหล่านี้พูดว่าบรรดาผู้ที่ปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่สุภาพบุรุษ  พวกเขาพูดว่าบรรดาผู้ที่ทำงานอย่างจริงจัง พิถีพิถันและรับผิดชอบเป็นพวกวายร้าย  เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับผู้คนที่มองผู้อื่นในหนทางนี้?  พวกเขากำลังมองผู้คนไปตามความจริงหรือตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่มองผู้คนไปตามความจริงและตามพระวจนะของพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังใช้ความคิด ทัศนะ วิธีการและวิถีทางที่ซาตานใช้ประเมินค่าผู้คน อีกทั้งแพร่กระจายและปล่อยสิ่งเหล่านั้นไว้ในคริสตจักร  ชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้คือความคิดและทัศนะของผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ไม่เชื่อทั้งหลาย  หากเจ้าไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ และคิดว่าสุภาพบุรุษคนหนึ่งเป็นบุคคลที่ดีซึ่งมีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมสูงส่งและเป็นใครบางคนที่เป็นเสาหลักในคริสตจักร เจ้าก็อาจถูกเขาชักพาให้หลงผิด  เพราะเจ้ามีความคิดและทัศนะเหมือนกับที่เขามี เมื่อใครบางคนสร้างคำแถลงหรือคำกล่าวเกี่ยวกับสุภาพบุรุษ แน่นอนว่าเจ้าก็จะถูกดึงความสนใจและชักพาให้หลงเชื่อโดยไม่รู้ตัว  อย่างไรก็ดี หากเจ้ามีวิจารณญาณแยกแยะเกี่ยวกับสิ่งเช่นนั้น เจ้าก็จะปฏิเสธคำกล่าวเช่นนั้นและไม่ถูกคำกล่าวเหล่านั้นชักพาให้หลงเชื่อ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าจะยืนกรานที่จะประเมินค่าผู้คนและสิ่งทั้งหลาย อีกทั้งตัดสินถูกผิดไปตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง  เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องแม่นยำ และปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกผู้ไม่เชื่อซึ่งไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและพวกที่ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะและไม่เต็มใจที่จะยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์แห่งพระนิเวศของพระเจ้านั้น มักหยิบยกเอาความคิดและคำแถลงทั้งหลายที่มาจากซาตานและเป็นปกติทั่วไปในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อขึ้นมาพูดอยู่บ่อยๆ เพื่อชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิดและก่อกวนการทำความเข้าใจความจริงของพวกเขา  หากผู้คนไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ ในขณะที่พวกเขาอาจไม่ถูกผู้คนเหล่านั้นรบกวนหรือชักพาให้หลงผิด แต่พวกเขาก็จะถูกคนเหล่านั้นจำกัดอยู่บ่อยครั้ง และถดถอยไม่ยอมกระทำหรือพูดออกมา  พวกเขาจะไม่กล้าค้ำจุนหลักธรรมความจริง และจะไม่กล้าที่จะยืนกรานในการปฏิบัติตนไปตามข้อพึงประสงค์แห่งพระวจนะของพระเจ้า ไม่ต้องพูดเลยว่าจะกล้าปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  นี่เป็นเหตุมาจากการขาดวิจารณญาณเกี่ยวกับความคิดและคำแถลงทั้งหลายของซาตานใช่หรือไม่?  (ใช่)  เห็นชัดเลยว่านี่คือเหตุผล  คำศัพท์ “สุภาพบุรุษ” กับ “วายร้าย” นั้นใช้ไม่ได้ในคริสตจักร  พวกผู้ไม่มีความเชื่อเก่งเรื่องการเสแสร้งและการใช้ชีวิตอยู่หลังหน้ากาก  พวกเขาสนับสนุนการเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าวายร้าย และพวกเขาก็นำการพรางตนเหล่านี้มาใช้ในชีวิตของพวกเขา  พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้ตั้งตัวขึ้นมาท่ามกลางผู้คน ใช้เล่ห์เหลี่ยมให้ผู้อื่นมาให้เกียรติยกย่องและให้ความมีหน้ามีตาในด้านดีแก่ตน รวมทั้งให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงและโชคลาภ  ในพระนิเวศของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ล้วนถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎและต้องถูกกำจัดออกไป  สิ่งเหล่านี้ต้องไม่ได้รับอนุญาตให้แพร่สะพัดไปในพระนิเวศของพระเจ้าหรือท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ควรได้มีโอกาสก่อกวนหรือชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิด  นี่เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากซาตาน ไม่มีพื้นฐานอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าเลย และไม่ใช่หลักธรรมความจริงที่ผู้คนควรยึดปฏิบัติตามโดยถือเป็นวิธีที่พวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตน และปฏิบัติตนโดยสิ้นเชิง  เพราะฉะนั้น “สุภาพบุรุษ” “สุภาพบุรุษจอมปลอม” และ “วายร้าย” ไม่ใช้คำศัพท์ที่ถูกต้องที่จะให้นิยามแก่นแท้ของผู้คน  เราได้อธิบายคำศัพท์ “สุภาพบุรุษ” ไปอย่างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)

พวกเรามาดูที่คำกล่าว “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ” กันอีกครั้งเพื่อดูว่าจริงๆ แล้วนั่นหมายความว่าอะไร  ความหมายตามตัวอักษรของวลีนี้ก็คือ สุภาพบุรุษต้องจริงจังกับคำพูดของตน  ตามคำกล่าวนี้ บุคคลหนึ่งเป็นคนดีตราบที่พวกรักษาคำพูด กล่าวคือ สุภาพบุรุษต้องหมายความตามสิ่งที่เขาพูดและทำตามที่เขาสัญญาจนตลอดรอดฝั่ง  เพราะฉะนั้น เพื่อที่จะกลายเป็นสุภาพบุรุษที่มีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมอันสูงส่ง ผู้ซึ่งได้รับการชื่นชอบและยกย่องเชิดชูเป็นอย่างดี เป็นบุคคลที่ต้องปฏิบัติตนไปตามคำกล่าว “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ”  นั่นก็คือสุภาพบุรุษต้องเชื่อใจได้  เขาต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาพูดและสัญญา และต้องมั่นใจว่าจะทำตามได้ตลอดรอดฝั่ง  เขาไม่สามารถคืนคำหรือล้มเหลวในการรักษาสัญญาที่ให้กับผู้อื่น  บุคคลซึ่งล้มเหลวในการรักษาสัญญาที่ให้กับผู้อื่นบ่อยครั้งนั้นไม่ใช่สุภาพบุรุษหรือบุคคลที่ดี แต่กลับเป็นวายร้าย  วลี “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ” สามารถถูกตีความได้ในอย่างนี้  โดยหลักแล้ววลีนี้เน้นย้ำคำพูดและการกระทำของสุภาพบุรุษในแง่ของความมีศีลธรรมและความเชื่อใจได้  ก่อนอื่น เราขอถามว่า คำว่า “คำพูด” ใน “คำพูดของสุภาพบุรุษ” หมายถึงอะไร?  นั่นหมายถึงสองสิ่ง ซึ่งก็คือ คำสัญญาที่เขาให้หรือคำปฏิญาณที่จะทำบางสิ่ง  ตามที่เราพูดไปตอนต้น พวกสุภาพบุรุษไม่ใช่ผู้คนที่ดี แต่เป็นผู้คนธรรมดาสามัญที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามดิ่งลึก  ดังนั้นในแง่ของแก่นแท้ของผู้คนแล้ว หนทางหลักๆ ที่ผู้คนสำแดงตัวตนในสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาสัญญาคืออะไร?  การพูดจาอย่างโอหัง การพูดเกินจริง การพูดจาเชิดชูตนเอง การพูดบางสิ่งที่ไม่จริงเกี่ยวกับตัวเอง การพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง การโกหก การพูดจาเผ็ดร้อนและการระบายความรู้สึก  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดสามารถพบได้ในสิ่งที่ผู้คนพูดและสัญญา  ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาพูดสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็ขอให้พวกเขารักษาสัญญา ให้เกียรติสิ่งที่พวกเขาพูด และไม่กลับคำพูดของพวกเขา และหากพวกเขาทำได้ตลอดรอดฝั่ง เจ้าก็คิดว่าพวกเขาเป็นสุภาพบุรุษและเป็นบุคคลที่ดี  นั่นไม่ไร้สาระน่าขันหรือ?  หากสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนซึ่งเสื่อมทรามพูดอยู่ทุกวันได้รับการสืบค้นและตรวจดูอย่างรอบคอบ เจ้าก็จะพบว่าสิ่งเหล่านั้นร้อยทั้งร้อยคือคำโกหก คำพูดที่ว่างเปล่า หรือไม่ก็เป็นความจริงแค่ครึ่งเดียว  ไม่มีสักคำที่ถูกต้องแม่นยำ แท้จริง หรือเป็นข้อเท็จจริง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น คำแถลงของพวกเขากลับบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้สับสนระหว่างขาวกับดำ และบางคำแถลงถึงกับเก็บงำเจตนารมณ์ชั่วและเล่ห์เหลี่ยมเยี่ยงซาตานไว้  หากคำพูดเหล่านี้ได้รับการให้เกียรติ นั่นจะเป็นเหตุแห่งความโกลาหลมากมาย  พวกเราไม่ต้องพูดไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในผู้คนกลุ่มใหญ่หรอก แค่พวกเราพูดเกี่ยวกับการที่ว่า หากในครอบครัวมีสิ่งที่เรียกว่าสุภาพบุรุษซึ่งคอยสร้างข้อคิดอันขาดการพิจารณา รวมถึงพูดพ่นทฤษฎีที่ไร้ความหมายกับคำพูดที่โอหัง ผิดพลาด ร้ายกาจ และชั่วร้ายอย่างสม่ำเสมอ  หากเขาจริงจังกับคำพูดและคำพูดของเขาคือพันธะสัญญาของเขา ผลที่ตามมาจะเป็นอะไร?  ครอบครัวนี้จะเกิดโกลาหลขึ้นมาเพียงใด?  นี่ก็แค่เหมือนกับกษัตริย์มารของประเทศแห่งพญานาคใหญ่สีแดง  ไม่ว่านโยบายของมันจะชั่วหรือไร้สาระน่าขันเพียงใด มันก็ยังคงเอานโยบายเหล่านั้นออกมานำเสนอ และพวกที่อยู่ภายใต้มันก็นำนโยบายมาดำเนินการและทำให้เป็นผลอย่างอย่างครบถ้วนแม่นยำ—ไม่มีใครเลยที่กล้าต่อต้านหรือหยุดยั้งนโยบายเหล่านั้นซึ่งนำทางไปสู่ความโกลาหลระดับชาติ  ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศกำลังเผชิญกับความวิบัติสารพัน และการเตรียมการเพื่อสงครามก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว ผลักทั้งประเทศให้ตกไปสู่ความสับสนอย่างถึงที่สุด  หากผู้นำเยี่ยงปีศาจครองอำนาจในประเทศหรือชาติหนึ่งเป็นเวลานาน เช่นนั้นแล้ว ประชาชนของประเทศนั้นก็จะอยู่ในความเดือดร้อนสาหัส  สิ่งทั้งหลายจะโกลาหลเพียงใดเล่า?  หากผู้คนนำคำโกหก เหตุผลวิบัติ และคำพูดเหลวไหลไม่สมเหตุผลที่กษัตริย์มารบัญญัติมาดำเนินการและทำให้เป็นผล จะมีสิ่งใดที่ดีต่อมนุษยชนออกมาจากการนั้นหรือ?  มนุษยชนก็จะกลายเป็นโกลาหล มืดมนและชั่วมากขึ้นทุกทีเท่านั้นเอง  โชคดีที่ “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ” ไม่ใช่อะไรนอกจากคำพูดที่ว่างเปล่า นั่นเป็นแค่วาทศิลป์หนึ่งเท่านั้นเอง ซาตานไม่อาจทำให้คำพูดนี้เป็นจริงได้ และไม่อาจสัมฤทธิ์สิ่งที่มันพูดได้  ดังนั้นในโลกนี้ก็ยังคงมีระเบียบอยู่เล็กน้อยและผู้คนก็ยังค่อนข้างมีความมั่นคง  หากไม่ใช่กรณีนี้ ทุกมุมของโลกมนุษย์ ทุกหนแห่งที่มี “สุภาพบุรุษ” ก็คงอยู่ในความโกลาหล  นี่คือหนึ่งในสิ่งทั้งหลายที่คลาดเคลื่อนด้วยคำกล่าว “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ”  จากมุมมองของแก่นแท้ของผู้คนแล้ว พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่า คำแถลงของพวกเขา สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาพูด และคำสัญญาของพวกเขานั้นเชื่อถือไม่ได้  อีกสิ่งหนึ่งซึ่งผิดปกติเกี่ยวกับคำกล่าวนี้ก็คือ มนุษยชนถูกจำกัดโดยความคิดและทัศนะที่ว่า “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ”  พวกเขาคิดว่า “พวกเราต้องให้เกียรติคำพูดของพวกเราและทำสิ่งที่พวกเราพูดว่าพวกเราจะทำ เพราะว่านี่คือวิธีที่จะเป็นสุภาพบุรุษ”  ความคิดและทัศนะนี้ครอบงำการคิดอ่านของผู้คนและกลายเป็นมาตรฐานที่พวกเขาใช้มอง ตัดสิน และบ่งบุคลิกลักษณะของบุคคล  นี่เป็นการเหมาะควรและถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  (ไม่ นี่ไม่ถูกต้องแม่นยำ)  เหตุใดนี่จึงไม่ถูกต้องแม่นยำ?  อย่างแรก เป็นเพราะสิ่งที่ผู้คนพูดนั้นมีคุณค่าน้อยนิดและเป็นแค่คำโกหก คำพูดที่เกินจริง และคำพูดที่ว่างเปล่า  อย่างที่สอง การใช้ความคิดและทัศนะนี้ควบคุมผู้คนและกำหนดให้พวกเขาพึงต้องให้เกียรติคำพูดของพวกตนนั้นไม่เป็นธรรม  บ่อยครั้งที่ผู้คนใช้ “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ” มาประเมินวัดความเหนือกว่าหรือความด้อยกว่าของบุคคล  บ่อยครั้งที่ผู้คนเป็นกังวลโดยไม่รู้ตัวเกี่ยวกับวิธีที่จะให้เกียรติคำสัญญาของตน และก็ถูกจำกัดโดยการนี้  หากพวกเขาไม่สามารถให้เกียรติคำสัญญาของตน พวกเขาก็จะตกอยู่ภายใต้การเลือกปฏิบัติและการว่ากล่าวจากผู้อื่น และก็ยากลำบากที่พวกเขาจะตั้งตนขึ้นมาในชุมชนนั้นหากพวกเขาไม่สามารถทำตามบางสิ่งที่ยิบย่อยได้ตลอดรอดฝั่ง  นี่ไม่เป็นธรรมและไร้มนุษยธรรมต่อผู้คนเหล่านี้  เนื่องจากอุปนิสัยเสื่อมทรามของผู้คน พวกเขาจึงพูดจาไปตามใจชอบของตน พูดอะไรไปตามแต่ที่ตนต้องการจะพูด  พวกเขาไม่สนว่าคำแถลงของพวกเขาไร้สาระน่าขันหรือสวนทางกับข้อเท็จจริงเพียงใด  ผู้คนที่เสื่อมทรามก็เป็นกันแบบนี้นี่เอง  เป็นธรรมดาที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะปฏิบัติตนไปตามอุปนิสัยของตน ไก่ต้องเรียนรู้วิธีขัน สุนัขต้องเรียนรู้วิธีเห่า และหมาป่าต้องเรียนรู้วิธีหอน  หากบางสิ่งไม่ใช่มนุษย์ กระนั้นก็ยังถูกกำหนดให้พึงต้องพูดหรือทำสิ่งต่างๆ แบบมนุษย์ มันก็จะรู้สึกว่านั่นช่างลำบากยากเย็น  ผู้คนมีอุปนิสัยเสื่อมทรามของซาตาน อุปนิสัยที่โอหังและหลอกลวง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะโกหก พูดเกินจริง และกล่าวคำพูดที่ว่างเปล่า  หากเจ้าเข้าใจความจริงและสามารถรู้เท่าทันผู้คน เจ้าก็ควรมองทั้งหมดนี่เป็นปกติและธรรมดา  เจ้าไม่ควรใช้ความคิดอันคลาดเคลื่อนกับมุมมองที่ว่า “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ” มามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมถึงตัดสินและบ่งบุคลิกลักษณะว่าผู้คนดีหรือเชื่อใจได้หรือไม่  วิธีการประเมินนี้ไม่ถูกต้องและไม่ควรถูกนำมาใช้  วิธีการที่ถูกต้องคืออะไร?  ผู้คนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ดังนั้นจึงเป็นปกติที่พวกเขาจะพูดเกินจริงและพูดสิ่งทั้งหลายที่ไม่สะท้อนสถานการณ์ตามจริงของพวกเขา  เจ้าต้องรับมือกับการนี้อย่างถูกต้อง  เจ้าไม่ควรขอให้บุคคลหนึ่งให้เกียรติคำสัญญาของตนไปตามมาตรฐานของสุภาพบุรุษ และแน่นอนว่าเจ้าไม่ควรพันธนาการผู้อื่นหรือตัวเจ้าเองด้วยความคิดและทัศนะที่ว่า “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ”  นี่ไม่ถูก  ที่มากกว่านั้นคือ การตัดสินความเป็นมนุษย์และบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมของบุคคลหนึ่งโดยการที่พวกเขาเป็นสุภาพบุรุษหรือไม่นั้นเป็นความผิดพลาดขั้นพื้นฐานเลยและไม่ใช่การเข้ารับมือที่ถูก  พื้นฐานของการทำเช่นนั้นมันผิดและไม่สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง  เพราะฉะนั้นไม่ว่าโลกของพวกผู้ไม่มีความเชื่อใช้ความคิดและทัศนะประเภทไหนตัดสินบุคคลหนึ่ง และไม่ว่าโลกของพวกผู้ไม่มีความเชื่อสนับสนุนการเป็นสุภาพบุรุษหรือเป็นวายร้าย คำกล่าว “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ” ก็ไม่ได้รับการส่งเสริมในพระนิเวศของพระเจ้า  ไม่มีการแนะนำให้ใครก็ตามเป็นสุภาพบุรุษ และแน่นอนว่าเจ้าไม่ถูกกำหนดให้พึงต้องปฏิบัติตนตามคำกล่าว “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ”  ต่อให้เจ้ากำหนดตัวเองอย่างเคร่งครัดให้เป็นสุภาพบุรุษและเป็นร่างจำแลงของคำกล่าว “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ” แล้วยังไงหรือ?  เจ้าก็อาจทำสิ่งนี้ได้ดีและกลายเป็นสุภาพบุรุษผู้ถ่อมใจซึ่งรักษาสัญญาของเขา และไม่เคยล้มเหลวที่จะทำตามคำพูดของเขาให้ดี  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่เคยมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและปฏิบัติตนไปตามพระวจนะของพระเจ้า หรือทำตามหลักธรรมความจริง เช่นนั้นเจ้าก็เป็นผู้ไม่เชื่อแบบสมบูรณ์  ต่อให้ผู้คนมากมายเห็นด้วยกับเจ้าและเกื้อหนุนเจ้า พูดว่าเจ้าเป็นสุภาพบุรุษ ว่าเจ้าไม่เคยล้มเหลวที่จะทำตามคำพูดของเจ้าให้ดี และว่าเจ้าจริงจังต่อคำสัญญาของตน แล้วยังไงหรือ?  นี่หมายความว่าเจ้าเข้าใจความจริงหรือ?  นี่หมายความว่าเจ้าเดินตามทางของพระเจ้าหรือ?  ไม่ว่าเจ้าทำตามคำกล่าวเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ” อย่างดีและอย่างเหมาะควรเพียงใด หากเจ้าไม่เข้าพระวจนะของพระเจ้า และไม่ยึดปฏิบัติตามและปฏิบัติตนไปตามหลักธรรมความจริง เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่ได้รับการเห็นชอบของพระเจ้า

เมื่อได้ระบุชี้และชำแหละข้อผิดพลาดทั้งหลายด้วยความคิดและทัศนะที่ว่า “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ” แล้ว พวกเรามาดูสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากผู้คนในแง่ของคำพูดและการกระทำของพวกเขากันเถิด  พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนเป็นบุคคลประเภทใดหรือ?  (บุคคลที่ซื่อสัตย์)  นั่นถูกแล้ว  ซื่อสัตย์ ไม่โกหก ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง และไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยม  จงแสวงหาพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงในยามที่เจ้าปฏิบัติตน  ก็แค่ไม่กี่อย่างนี้เท่านั้นเอง นั่นเรียบง่ายมาก  หากเจ้าพูดจาอย่างไม่ซื่อสัตย์ ก็จงแก้ไขตัวเองเสีย  หากเจ้าพูดจาเกินจริง โกหก หรือพูดจาเกินฐานะของเจ้า ก็จงทบทวนและตระหนักรู้ในเรื่องนั้นเสีย แล้วแสวงหาความจริงเพื่อที่จะแก้ไขเรื่องนั้น  เจ้าต้องพูดสิ่งทั้งหลายที่สะท้อนสถานการณ์ตามจริงของเจ้า ความเข้าใจในหัวใจของเจ้าและข้อเท็จจริง  ยิ่งกว่านั้นก็คือ หากเจ้าสามารถทำสิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้สัญญาไว้กับผู้อื่น เช่นนั้นเจ้าก็ทำสิ่งเหล่านั้น  หากเจ้าทำไม่ได้ เช่นนั้นก็จงบอกพวกเขาไปทันที  พูดไปเลยว่า “ฉันขอโทษ ฉันทำไม่ได้  ฉันไม่มีความสามารถ และก็จะไม่สามารถทำออกมาได้ดี  ฉันไม่อยากถ่วงเวลาคุณ ดังนั้นคุณไปขอให้คนอื่นช่วยเถิด”  เจ้าไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับคำพูดของเจ้าเสมอไป เจ้าสามารถถอนตัวจากคำสัญญาของเจ้า  แค่เป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์  จงซื่อสัตย์ในสิ่งที่เจ้าพูดและทำ แทนที่จะพยายามปลอมแปลงหรือหลอกลวง และแสวงหาหลักธรรมความจริงในทุกสถานการณ์  นั่นเรียบง่ายเช่นนั้นเอง ง่ายดายมาก  มีส่วนใดของสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนทำแล้วทำให้พวกเขาต้องเสแสร้งหรือไม่?  พระองค์เคยทรงขอจากผู้คนมากเกินไป ทรงขอให้พวกเขาทำเกินกว่าที่พวกเขาสามารถแบกรับหรือสามารถทำได้หรือไม่?  (ไม่เคย)  ถ้าผู้คนไม่มีสิ่งซึ่งจำเป็นต้องมีในแง่ของขีดความสามารถ ความสามารถในการจับใจความ พลังงานหรือเรี่ยวแรงทางกาย  พระเจ้าก็ทรงบอกพวกเขาให้ทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ ทำให้ดีที่สุดและทุ่มเททั้งหมดที่พวกเขามีก็พอแล้ว  เจ้าก็พูดว่า “ข้าพระองค์ได้ให้ไปทั้งหมดที่ข้าพระองค์มีแล้ว แต่ข้าพระองค์ก็ยังคงไม่สามารถทำได้ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  นั่นคือทั้งหมดที่ข้าพระองค์ทำได้ แต่ข้าพระองค์ก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงพึงพอใจหรือไม่”  อันที่จริงนั้น เจ้านั้นได้ลุล่วงข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเรียบร้อยแล้วโดยการทำเช่นนี้  พระเจ้าไม่ทรงให้ภาระงานที่หนักเกินกว่าที่พวกเขาจะแบก  หากเจ้าสามารถแบกหามได้หนึ่งร้อยปอนด์ พระเจ้าก็จะไม่ทรงให้ภาระงานซึ่งหนักกว่าหนึ่งร้อยปอนด์แก่เจ้าอย่างแน่นอน  พระองค์จะไม่ทรงกดดันเจ้า  นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงเป็นกับทุกคน  และเจ้าก็จะไม่ถูกสิ่งใดจำกัดโดยสิ่งใด—บุคคลใด หรือความคิดและทัศนะใดเลย  เจ้าเป็นอิสระ  เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้น เจ้ามีสิทธิ์เลือก  เจ้าสามารถเลือกปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าสามารถเลือกปฏิบัติตามความอยากส่วนบุคคล หรือแน่นอนว่า เจ้าก็สามารถเลือกที่จะเกาะเกี่ยวอยู่กับความคิดและทัศนะที่ซาตานได้ปลูกฝังลงในตัวเจ้า  เจ้ามีอิสระที่จะเลือกอันใดก็ได้ในทางเลือกเหล่านี้ แต่เจ้าต้องรับผิดชอบต่อตัวเลือกใดก็ตามที่เจ้าเลือก  พระเจ้าเพียงทรงแสดงหนทางให้แก่เจ้า พระองค์ไม่ทรงบังคับเจ้าให้ทำหรือไม่ทำบางสิ่ง  หลังจากที่พระเจ้าได้แสดงหนทางแก่เจ้าแล้ว ตัวเลือกนั้นก็เป็นของเจ้า  เจ้ามีสิทธิมนุษยชนแบบเต็มขั้น รวมไปถึงสิทธิเด็ดขาดที่จะเลือก  เจ้าสามารถเลือกความจริง ความอยากแบบมนุษย์ของเจ้า หรือความคิดและทัศนะของซาตานได้อย่างแน่นอน  ไม่สำคัญว่าเจ้าเลือกสิ่งใด ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นของเจ้าที่ต้องแบก ไม่มีใครอื่นที่จะแบกมันไว้บนบ่าเพื่อเจ้า  ยามที่เจ้าเลือก พระเจ้าจะไม่ทรงแทรกแซงในหนทางใดเลย และพระองค์ก็จะไม่ทรงทำสิ่งใดที่บังคับเจ้า  เจ้าอาจเลือกตามที่เจ้าปรารถนา ไม่ว่าตัวเลือกนั้นจะเป็นอะไร  สุดท้ายแล้วพระเจ้าก็จะไม่ทรงพอกพูนการสรรเสริญให้เจ้า ไม่ทรงให้ผลประโยชน์ใหญ่แก่เจ้า ไม่ทรงใส่ความรู้สึกที่น่ายินดีเข้าไปในหัวใจเจ้า หรือทรงทำให้เจ้ารู้สึกสูงศักดิ์ถึงขีดสุดแค่เพียงเพราะเจ้าเลือกความจริงและเส้นทางที่ถูก  พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น  พระเจ้าจะไม่ทรงบ่มวินัยหรือสาปแช่งเจ้าในทันทีหากเจ้าเลือกความอยากแบบมนุษย์ หรือทรงโปรยห่าฝนแห่งความวิบัติลงมาบนเจ้าเป็นการลงโทษต่อให้เจ้าปฏิบัติตนอย่างบุ่มบ่ามไปตามความคิดและทัศนะที่ซาตานได้ทรงปลูกฝังไว้ในตัวเจ้า  ในขณะที่เจ้ากำลังเลือก ทุกสิ่งก็ดำเนินไปอย่างปกติ และหลังจากที่เจ้าเลือกแล้ว ทุกสิ่งก็ดำเนินต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติ  พระเจ้าเพียงทรงสังเกตการณ์ ทรงเฝ้าดูทั้งหมดนั้นแสดงบทบาทออกมา และทรงดูที่ต้นเหตุ กระบวนการและผลลัพธ์  แน่นอนว่าสุดท้ายแล้ว เมื่อผู้คนถูกพิพากษาและปลายทางของพวกเขาถูกกำหนดพิจารณา พระเจ้าจะทรงจัดหมวดหมู่เส้นทางที่เจ้าได้ใช้เดินไปบนพื้นฐานของตัวเลือกส่วนบุคคลทั้งหมดของเจ้า ทอดพระเนตรเส้นทางนี้เป็นภาพรวมที่จะมองว่า จริงๆ แล้วเจ้าเป็นบุคคลประเภทใด และจากการนี้ ก็ทรงกำหนดพิจารณาว่าเจ้าควรมีปลายทางประเภทใด  นั่นคือวิธีการของพระเจ้า  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  ยามที่พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่เคยทรงยอมให้คำแถลง คำกล่าว ความคิดหรือทัศนะหนึ่งกลายมาเป็นกระแสนิยมท่ามกลางผู้คนซึ่งจะควบคุมและจำกัดขอบเขตความของพวกเขา เพื่อที่จะให้พวกเขาไม่รู้ตัวทำสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้พวกเขาทำ  นี่ไม่ใช่หนทางที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ  พระเจ้าทรงให้อิสรภาพอันครบบริบูรณ์แก่ผู้คน และทรงให้สิทธิที่จะเลือก และพวกเขาก็ชื่นชมยินดีกับสิทธิมนุษยชนอันเต็มขั้นและสิทธิเด็ดขาดในการเลือก  ในทุกสถานการณ์ที่ผู้คนเผชิญ พวกเขาสามารถเลือกที่จะยอมรับ รวมทั้งใช้ความคิดและทัศนะของซาตานมาใช้วิจารณญาณแยกแยะและตัดสินองค์ประกอบของบางสิ่งซึ่งเฉพาะเจาะจง หรือไม่พวกเขาก็สามารถเลือกที่จะทำเช่นนั้นไปตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง  นี่คือข้อเท็จจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  พระเจ้าไม่ทรงบังคับผู้คน สิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นเป็นธรรมต่อทุกคน  บรรดาผู้ที่รักความจริงและสิ่งที่เป็นบวกซึ่งสุดท้ายแล้วก็เดินไปตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง ได้รับความจริง มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้านั้นสามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริงและจะได้รับการช่วยให้รอดเพราะพวกเขารักความจริงและสิ่งที่เป็นบวก  สำหรับพวกที่ไม่รักความจริง และพวกที่ปฏิบัติตนอย่างบุ่มบ่ามไปตามเจตจำนงส่วนตน พวกเขารังเกียจความจริงและไม่ยอมรับความจริงเลยไม่ว่าในหนทางใด  กลัวการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า และกลัวว่าเขาจะถูกลงโทษ ดังนั้นพวกเขาจึงทำงานในพระนิเวศของพระเจ้าไปนิดหน่อยอย่างอิดออดไม่เต็มใจเพื่อเป็นการแสดง ลงแรงไปนิดหน่อยและแสดงพฤติกรรมดีออกมาให้เห็น  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยยอมรับความจริงหรือเดินตามทางของพระเจ้า และไม่อยู่บนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและการปฏิบัติความจริง  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจความจริงหรือเข้าไปสู่ความจริงความเป็นจริง และเพราะฉะนั้นก็จะพลาดโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ผู้คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพวกคนลงแรง  ต่อให้พวกเขาไม่ทำความชั่ว ไม่เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน หรือไม่ถูกกำจัดหรือเอาออกไปจากพระนิเวศของพระเจ้าเหมือนพวกศัตรูของพระคริสต์และผู้คนที่ชั่ว แต่ถึงที่สุดแล้ว พวกเขาก็จะแค่แทบไม่สามารถบริหารจัดการให้ได้ฉายานามว่า “คนลงแรง” และก็ไม่ชัดเจนว่าพวกเขาจะได้รับการละเว้นหรือไม่  มีผู้คนอีกกลุ่มที่เป็นของซาตานและดื้อดึงยึดมั่นต่อความคิดและทัศนะทั้งหมดของมัน  ผู้คนเหล่านี้จะยอมตายเสียดีกว่าที่จะยอมรับความจริงหรืออยู่ร่วมเคียงไปกับความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาถึงกับขัดแย้งกับทุกสิ่งที่เป็นบวกและกับพระเจ้า  เพราะพวกเขาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ทำสิ่งที่ชั่วมากมาย รวมทั้งเล่นบทซาตานเต็มขั้น ผู้คนเหล่านี้บางคนถูกเอาออกไปจากพระนิเวศในท้ายที่สุด และบางคนก็ถูกขับไล่ หรือถูกขีดฆ่าชื่อของพวกเขาออกจากทะเบียน  ต่อให้มีใครบางคนที่หลบพ้นการถูกขับไล่หรือการถูกขีดฆ่าชื่ออกจากทะเบียน แต่สุดท้ายแล้วพระเจ้าก็ต้องทรงกำจัดพวกเขา  พวกเขาสูญเสียโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอดก็เพราะพวกเขาแค่ไม่ยอมรับความจริงและไม่ยอมรับการช่วยให้รอดของพระเจ้าเสียอย่างนั้น และพวกเขาก็จะถูกทำลายไปกับซาตานในที่สุดเมื่อตอนที่โลกถูกทำลาย  เจ้าดูเถิด พระเจ้าทรงพระราชกิจในหนทางที่ช่างเป็นอิสระและเสรีเสียจนทุกสิ่งเป็นไปตามครรลองของมันอย่างเป็นธรรมชาติ  พระเจ้าทรงพระราชกิจในผู้คนเพื่อทรงนำ ทรงให้ความรู้แจ้งและช่วยเหลือพวกเขา รวมทั้งบางคราวก็ทรงย้ำเตือน ชูใจและเตือนสติพวกเขา  นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้าด้านที่แสดงให้เห็นพระกรุณาอันอุดม  ในขณะที่พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นพระกรุณาของพระองค์ ผู้คนก็ชื่นชมยินดีกับความอุดมแห่งพระคุณและพระพรของพระเจ้า รวมทั้งชื่นชมยินดีกับอิสรภาพและเสรีภาพอันเต็มเปี่ยมโดยปราศจากความรู้สึกถูกจำกัดหรือพันธนาการแต่อย่างใด และแน่นอนว่าไม่มีความรู้สึกใดของการถูกจำกัดขอบเขตโดยคำแถลง ความคิด หรือทัศนะใด  ณ เวลาเดียวกับที่พระเจ้าทรงทำพระราชกิจนี้ พระองค์ก็ทรงเหนี่ยวรั้งผู้คนด้วยข้อบังคับทางการปกครองและระบบสารพัดของคริสตจักร อีกทั้งทรงพิพากษา ตีสอน และตัดแต่งความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏของพวกเขาไปด้วยเช่นกัน  พระองค์ถึงกับบ่มวินัยและสั่งสอนพวกเขาบางคน หรือเปิดโปงและว่ากล่าวพวกเขาด้วยพระวจนะของพระองค์ รวมไปถึงทรงทำพระราชกิจอื่นอีกด้วย  อย่างไรก็ตาม ขณะที่ผู้คนชื่นชมยินดีกับทั้งหมดนี้ พวกเขาก็ชื่นชมยินดีกับพระกรุณอันอุดมและพระโทสะอันลึกซึ้งของพระเจ้า  เมื่ออุปนิสัยอันชอบธรรมอีกด้านหนึ่งของพระเจ้า—พระโทสะอันลึกซึ้ง—ถูกเปิดเผยต่อผู้คน พวกเขาก็ยังคงรู้สึกเป็นอิสระและมีเสรีภาพ ไม่ถูกจำกัด พันธนาการและจำกัดขอบเขต  ยามที่ผู้คนได้รับประสบการณ์กับแง่มุมใดก็ตามของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และแง่มุมนั้นทำงานในตัวพวกเขา ในข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขาก็จะรู้สึกถึงความรักของพระเจ้า  ผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์ในตัวพวกเขาก็จะเป็นบวก พวกเขาจะได้รับจากการนี้และแน่นอนว่าจะเป็นผู้รับผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  พระเจ้าทรงพระราชกิจในหนทางนี้ ไม่เคยทรงบังคับ บีบคั้น ข่มปราม หรือพันธนาการผู้คน แต่ทำให้พวกเขารู้สึกมีเสรีภาพ เป็นอิสระ ผ่อนคลายและมีความสุข  ไม่ว่าผู้คนชื่นชมยินดีกับพระกรุณาและความรักมั่นคง หรือความชอบธรรมและพระบารมีของพระองค์หรือไม่ ในที่สุดแล้วพวกเขาก็ได้รับความจริงจากพระเจ้า เข้าใจความหมายและคุณค่าของชีวิต เข้าใจเส้นทางที่พวกเขาควรเหยียบย่างไป รวมทั้งทิศทางและเป้าหมายของการเป็นมนุษย์  พวกเขาช่างได้รับมากมายเหลือเกิน!  ผู้คนดำรงชีวิตภายใต้อำนาจของซาตาน และถูกพันธนาการ ถูกจำกัดขอบเขต และถูกทำให้ง่อยเปลี้ยโดยความคิดและทัศนะอันคลาดเคลื่อนสารพัดซึ่งมันปลูกฝังในตัวพวกเขา  นี่เกินจะทานทน แต่พวกเขาก็ไร้พลังที่จะฝ่าพ้น  เมื่อผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาก็จะยังเป็นเหมือนเดิมเสมอ ไม่ว่าพวกเขามีท่าทีประเภทใดต่อพระองค์  นี่เป็นเพราะแก่นแท้และอุปนิสัยของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง  พระองค์ทรงแสดงความจริง และทรงเปิดเผยอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์ในการทำดังนั้น  นี่คือวิธีที่พระองค์ทรงพระราชกิจในผู้คน  พวกเขาชื่นชมยินดีกับความรักมั่นคงและพระกรุณาของพระเจ้าอย่างเต็มที่ ตลอดจนความชอบธรรมและพระบารมีของพระองค์ และผู้คนซึ่งดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้รับการอวยพร  หากในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ผู้คนไม่สามารถไล่ตามเสาะหา รักและได้รับความจริงในท้ายที่สุด พลาดโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด รวมทั้งใครบางคนถึงกับถูกลงโทษและถูกทำลายเหมือนซาตาน ก็มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นสำหรับการนี้และนั่นก็คือข้อเท็จจริง  พวกเจ้าคิดว่าเหตุผลนั้นคืออะไรหรือ?  ผู้คนจะเดินไปตามเส้นทางเฉพาะเส้นทางหนึ่งและมีจุดจบเฉพาะจุดจบหนึ่งไปตามธรรมชาติของตน  เวลาที่จุดจบของแต่ละบุคคลถูกกำหนดพิจารณาในที่สุด จะเป็นเวลาที่พวกเขาถูกจัดกลุ่มไปตามประเภทของพวกเขา  หากบุคคลหนึ่งรักความจริงและสิ่งที่เป็นบวก ในท้ายที่สุดเมื่อพระเจ้าตรัสและทรงพระราชกิจ พวกเขาก็จะหวนคืนสู่พระเจ้าและเดินตามเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ว่าซาตานได้ปลูกฝังสิ่งที่เป็นลบไว้ในตัวพวกเขามากมายเพียงใด  อย่างไรก็ตาม หากบุคคลหนึ่งไม่รักความจริงและรังเกียจความจริง อุปนิสัยนี้ของพวกเขาก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและจะชี้นำพวกเขา ไม่ว่าพระเจ้าตรัสมากเท่าใด พระวจนะของพระองค์จริงใจแค่ไหน พระองค์ทรงพระราชกิจมากเพียงใด อีกทั้งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ทั้งหลายของพระองค์นั้นน่าอัศจรรย์ใจเพียงใด  ผู้คนที่ชั่วก็ยิ่งสุดโต่งกว่าเดิม  พวกเขาไม่ใช่แค่รังเกียจความจริง แต่พวกเขามีแก่นแท้ที่เลวและเกลียดชังความจริง  พวกเขาต่อต้านพระเจ้าและเป็นของค่ายซาตาน  ต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้า สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะหันไปหาซาตาน  ผู้คนสามชนิดนี้ล้วนได้มีประสบการณ์กับการทำให้เสื่อมทรามของซาตาน รวมทั้งถูกชักพาให้หลงผิดและถูกจองจำโดยคำแถลง ความคิดและทัศนะสารพัดของซาตาน  ดังนั้นเหตุใดผู้คนบางคนจึงได้รับการช่วยให้รอดในที่สุดในขณะที่ผู้อื่นไม่ได้รับ?  โดยหลักแล้วนั่นขึ้นอยู่กับเส้นทางที่ผู้คนเดินตามและการที่พวกเขารักความจริงหรือไม่  นั่นสัมพันธ์กับสองสิ่งนี้  แล้วเหตุใดคนบางคนจึงสามารถรักความจริงได้และผู้อื่นไม่สามารถ?  เหตุใดคนบางคนจึงสามารถเดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง ในขณะที่ผู้อื่นไม่สามารถ และบางคนถึงกับทะเลาะกับพระเจ้าและหยามหมิ่นความจริงอย่างเปิดเผยด้วยซ้ำ?  กำลังเกิดอะไรขึ้นตรงนี้?  นี่ถูกกำหนดพิจารณาโดยแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเขาทุกคนล้วนได้รับประสบการณ์กับการทำให้เสื่อมทรามของซาตาน แต่แก่นแท้ของทุกตัวบุคคลนั้นแตกต่างกัน  จงบอกเราที พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ด้วยพระปัญญาหรือไม่?  พระเจ้าทรงสามารถรู้เท่าทันมวลมนุษย์ใช่หรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงให้สิทธิผู้คนในการที่จะเลือกอย่างมีอิสระ?  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงบังคับฝังคำสอนให้กับทุกคน?  นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะจำแนกชั้นแต่ละบุคคลไปตามชนิดของพวกเขา และพระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะเปิดโปงพวกเขาทั้งหมด  พระเจ้าไม่ทรงทำพระราชกิจอันไร้ประโยชน์ มีหลักธรรมอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ และพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในตัวบุคคลนั้นอยู่บนพื้นฐานของการที่ว่าพวกเขาเป็นบุคคลชนิดใด  หมวดหมู่ของบุคคลถูกเปิดเผยอย่างไรหรือ?  พวกเขาถูกแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ที่ต่างกันบนพื้นฐานของอะไรหรือ?  การนี้อยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ผู้คนชอบและเส้นทางที่พวกเขาเดินตาม  นั่นถูกหรือไม่?  (ถูก)  พระเจ้าทรงจำแนกชั้นผู้คนไปตามสิ่งที่พวกเขาชอบและเส้นทางที่พวกเขาใช้ ทรงกำหนดพิจารณาว่าพวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่บนพื้นฐานของหมวดหมู่ของพวกเขา และทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาไปตามการที่พวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่  นั่นก็เหมือนกับวิธีที่คนบางคนชอบรับประทานอาหารรสหวาน บ้างก็ชอบเผ็ดร้อน บ้างก็ชอบเค็มและบ้างก็ชอบเปรี้ยว  หากอาหารต่างชนิดเหล่านี้แผ่เรียงบนโต๊ะ ไม่จำเป็นต้องบอกผู้คนว่าต้องรับประทานอะไรและไม่รับประทานอะไร  บรรดาผู้ที่ชอบรับประทานอาหารเผ็ดร้อนก็จะรับประทานบางสิ่งที่เผ็ดร้อน บรรดาผู้ที่ชอบรับประทานอาหารหวานก็จะรับประทานบางสิ่งที่หวาน และบรรดาผู้ที่ชอบรับประทานอาหารรสเค็มก็จะรับประทานบางสิ่งที่เค็ม  พวกเขาได้รับอนุญาตให้เลือกอย่างอิสระได้  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ามีสิทธิ์เลือกเส้นทางที่พวกเขาจะเดินและมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าพวกเขาจะรักความจริงหรือไม่ แต่นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาที่จะตัดสินว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ และอะไรคือปลายทางของพวกเขาในท้ายที่สุด  เจ้าเห็นหรือไม่ว่ามีหลักธรรมอยู่เบื้องหลังพระราชกิจของพระเจ้า?  (เห็น)  มีหลักธรรมอยู่เบื้องหลังพระราชกิจของพระองค์ และหนึ่งในหลักธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการปล่อยให้ผู้คนได้รับการจัดหมวดหมู่ไปตามการไล่ตามเสาะหาและเส้นทางของของพวกเขา รวมทั้งปล่อยให้ทุกสิ่งแสดงบทบาทไปตามธรรมชาติ  ผู้คนล้มเหลวที่จะเข้าใจการนี้ได้และถามเสมอว่า “พูดกันมาตลอดว่า พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจ ว่าแต่สิทธิอำนาจนั่นอยู่ที่ไหนหรือ?  ทำไมพระเจ้าไม่ทรงบังคับฝังคำสอนสักหน่อยเพื่อแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของพระองค์?  นั่นไม่ใช่วิธีที่สิทธิอำนาจของพระเจ้าถูกสำแดง นั่นไม่ใช่วิธีที่พระเจ้าทรงทำให้สิทธิอำนาจของพระองค์เป็นที่ปรากฏแก่ตาผู้คน

ตอนนี้พวกเจ้าสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะคำกล่าวเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ” ใช่หรือไม่?  พวกเจ้าเข้าใจด้วยใช่หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงพึงประสงค์สิ่งใดจากผู้คน?  (ใช่)  เจ้าเข้าใจว่าอะไร?  (พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนซื่อสัตย์)  ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อผู้คนนั้นเรียบง่ายอย่างมาก  พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนซื่อสัตย์ รับมือกับเรื่องทั้งหลายที่เข้ามาไปตามหลักธรรมความจริง ไม่เสแสร้ง ไม่ใช่แค่มุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมผิวเผิน แต่มุ่งเน้นที่การทำสิ่งทั้งหลายไปตามหลักธรรมเสียมากกว่า  หากเส้นทางที่เจ้าเลือกนั้นถูกต้องและหลักธรรมที่เจ้าใช้ไล่ตามเสาะหาวิธีวางตัวของเจ้านั้นถูกต้องและคล้อยตามความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า นั่นก็มากพอแล้ว  นั่นเรียบง่ายไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ซาตานไม่มีหรือไม่ยอมรับความจริง ดังนั้นมันจึงชักพาผู้คนให้หลงเชื่อด้วยคำกล่าวที่ผู้คนคิดว่าดีงามและถูกต้อง รวมทั้งทำให้พวกเขาพยายามเป็นสุภาพบุรุษผู้ประพฤติดี แทนที่จะเป็นวายร้ายผู้ทำสิ่งไม่ดี  ผู้คนถูกซาตานชักพาให้หลงผิดอย่างรวดเร็วเพราะสิ่งเหล่านี้ตรงตามมโนคติอันหลงผิดและการเลือกชอบของผู้คน และพวกเขาก็สามารถยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย  ซาตานทำให้ผู้คนทำสิ่งที่ดูว่าดีเท่านั้นเอง  ไม่สำคัญว่าหลังฉากนั้น เจ้าได้ทำสิ่งที่ไม่ดีเพียงใด อุปนิสัยของเจ้าเสื่อมทรามเพียงใด หรือเจ้าเป็นบุคคลที่ชั่วหรือไม่ กล่าวคือ ตราบที่เจ้าได้อำพรางรูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าไปตามคำกล่าวและข้อพึงประสงค์ที่ซาตานตั้งขึ้น และผู้อื่นเรียกเจ้าว่าคนดี เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนดี  ชัดเจนว่าข้อพึงประสงค์และมาตรฐานเหล่านี้หนุนใจผู้คนให้ไม่ดีและหลอกลวง สวมหน้ากากและกันไม่ให้พวกเขาเดินไปบนเส้นทางที่ถูก  เพราะฉะนั้นพวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่า ทุกความคิดและทัศนะที่ซาตานปลูกฝังในผู้คนกำลังนำทางพวกเขาล่องไปตามเส้นทางที่ผิดเส้นทางแล้วเส้นทางเล่า?  (พูดได้)  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำในวันนี้ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนใช้วิจารณญาณแยกแยะความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติสารพัดของซาตาน รู้เท่าทันและปฏิเสธซาตาน แล้วจากนั้นก็ดึงผู้คนกลับจากเส้นทางอันสะเปะสะปะสารพัดมาสู้เส้นทางที่ถูก เพื่อที่พวกเขาอาจจะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัว และปฏิบัติตนไปตามหลักธรรม  ไม่มีอันใดในหลักธรรมเหล่านี้เลยที่มาจากผู้คน แต่เป็นหลักธรรมความจริง  เมื่อผู้คนเข้าใจหลักธรรมความจริงเหล่านี้ และสามารถที่จะปฏิบัติหลักธรรมความจริงเหล่านี้ รวมทั้งเข้าไปสู่ความเป็นจริงของหลักธรรมความจริงเหล่านี้ พระวจนะและชีวิตของพระเจ้าก็จะค่อยๆ ถูกกอปรกันเข้าไปในผู้คนเหล่านี้  หากผู้คนถือพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ถูกซาตานชักพาให้หลงผิดและเดินตามเส้นทางที่ผิด เส้นทางของซาตาน และเส้นทางที่ไม่อาจหวนคืนอีกต่อไป  ผู้คนเหล่านี้จะไม่ทรยศพระเจ้าไม่ว่าซาตานจะชักพาพวกเขาให้หลงผิดและทำให้พวกเขาเสื่อมทรามเพียงใด  ไม่ว่าโลกเปลี่ยนแปลงอย่างไร และไม่ว่าเวลานั้นมาถึงเมื่อไร ชีวิตของผู้คนเหล่านี้ก็จะไม่เสื่อมสลายหรือพินาศ เพราะพวกเขามีพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของตน และเพราะชีวิตของพวกเขาจะไม่เสื่อมสลายหรือพินาศ พวกเขาจึงจะดำรงอยู่คู่กับชีวิตประเภทนี้และมีชีวิตสืบไปชั่วกาล  นี่เป็นสิ่งที่ดีใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อผู้คนได้รับการช่วยให้รอด พวกเขาก็ได้รับการอวยพรอย่างมั่งคั่ง

สิ่งสำคัญที่สุดเพียงสิ่งเดียวสำหรับพวกเจ้าตอนนี้คืออะไรหรือ?  นั่นก็คือการได้รับการเตรียมพร้อมไปด้วยความจริง  เมื่อเจ้าได้รับการเตรียมพร้อมไปด้วยความจริงมากขึ้น อีกทั้งได้ยิน ได้รับประสบการณ์ และได้เข้าใจมากขึ้นแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัว และปฏิบัติตนไปตามพระวจนะของพระเจ้า และรู้อย่างแน่ชัดว่าอะไรคือหลักธรรมความจริง  ถึงตอนนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะไม่ออกนอกลู่นอกทางไป อีกทั้งไม่แทนที่พระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงด้วยเจตจำนงมนุษย์รวมทั้งความคิดกับทัศนะทั้งหลายที่ซาตานได้ปลูกฝังในตัวเจ้า  นี่ใช่กรณีนั้นหรือไม่?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น หนึ่งในสิ่งที่สำคัญและเร่งด่วนที่สุดซึ่งพวกเจ้าควรทำตอนนี้ก็คือ การได้รับการเตรียมพร้อมไปด้วยความจริงและเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น  เจ้าต้องประยุกต์ตัวเองเข้ากับพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าประกอบไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย และมีความจริงอยู่มากมายหลายประการ  เจ้าต้องเตรียมตนเองให้พร้อมไปด้วยความจริงเหล่านี้โดยไม่ล่าช้า  หากเจ้าไม่เตรียมตนเองให้พร้อม เจ้าก็จะไม่สามารถใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้น และแค่จะจัดการกับเรื่องนั้นไปตามเจตจำนงของเจ้าเอง  ผลลัพธ์ก็คือ เจ้าจะละเมิดหลักธรรม และการกระทำผิดของเจ้าก็จะยังคงอยู่กับเจ้าดั่งเป็นรอยมลทิน  หากเจ้าไม่รู้วิธีแสวงหาความจริงเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้น อีกทั้งรับมือกับความจริงไปตามเจตจำนงของตัวเจ้าเองและเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตัวเจ้าเองเท่านั้น อีกทั้งหากเจ้าพึ่งพาเจตจำนงของเจ้าเองและมีราคีแต่ไม่รู้วิธีที่จะทบทวนตนเองแล้วเริ่มรู้สึกตัว ทั้งยังไม่รู้วิธีที่จะเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่รู้จักตัวเอง และจะไม่สามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง  หากเจ้าไม่สามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง พระเจ้าจะทอดพระเนตรเจ้าอย่างไร?  นี่หมายความว่าเจ้ามีอุปนิสัยที่ดื้อแพ่งและรังเกียจความจริงซึ่งจะทิ้งอีกรอยมลทินไว้ และเป็นอีกหนึ่งการกระทำผิดที่ร้ายแรง  การสะสมรอยมลทินและการกระทำผิดไว้มากมายนั้นเป็นคุณประโยชน์ต่อเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  ไม่ นั่นไม่เป็นคุณประโยชน์  แล้วการกระทำผิดสามารถได้รับแก้ไขอย่างไร?  ก่อนหน้านี้ เราได้แสดงบทที่ชื่อ “การกระทำผิดจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก” ไป  นี่หมายความว่าการกระทำผิดทั้งหลายสัมพันธ์โดยตรงกับปลายทางของบุคคล  กำลังเกิดอะไรขึ้นหรือกับผู้คนที่กระทำการกระทำผิดอยู่เสมอ?  พวกเขาบางคนพูดว่า “นั่นไม่ได้ตั้งใจ  ตอนนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจทำอะไรที่ชั่วเลย”  นี่เป็นข้อแก้ตัวที่ดีอย่างนั้นหรือ?  หากเจ้าไม่ได้ตั้งใจ นั่นก็ไม่ใช่การกระทำผิดอย่างนั้นหรือ?  เจ้าไม่จำเป็นต้องทบทวนและกลับใจหรือ?  นั่นไม่ได้เป็นการตั้งใจ แต่นั่นก็ยังคงเป็นการกระทำผิดอยู่ไม่ใช่หรือ?  เจ้าไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะกระทำผิดแบบนั้น แต่เจ้าก็ล่วงเกินอุปนิสัยและกฎการปกครองของพระเจ้าไปแล้ว นั่นไม่จริงหรือ?  (จริง)  นี่คือข้อเท็จจริง ดังนั้นแล้ว นั่นก็คือการกระทำผิด  ไม่มีประโยชน์ที่จะให้ข้อแก้ตัว  เจ้าพูดว่า “ฉันยังอายุน้อย  ฉันไม่ได้มีการศึกษามาก และฉันไม่มีประสบการณ์มากในสังคม  ฉันไม่รู้ว่านั่นเป็นสิ่งผิด—ไม่มีใครบอกฉันเลย”  หรือไม่เจ้าก็พูดว่า “สถานการณ์นั้นอันตรายเหลือเกิน  ฉันทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ”  เหล่านี้เป็นเหตุผลที่ดีหรือไม่?  ในเหตุผลเหล่านี้ ไม่มีเหตุผลใดที่ดีเลย  หากเจ้ามีโอกาสกระทำไปตามเจตจำนงเสรีของเจ้า เจ้าก็มีโอกาสแสวงหาความจริงด้วยเช่นกัน และควรใช้ความจริงเป็นหลักธรรมสำหรับการกระทำทั้งหลายของเจ้า  แล้วเหตุใดเล่าเจ้าจึงได้เลือกกระทำไปตามเจตจำนงของเจ้าเมื่อเจ้าได้มีโอกาสแสวงหาความจริง?  เหตุผลหนึ่งก็คือว่าความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับความจริงนั้นตื้นเขินมาก และโดยปกติแล้ว เจ้าไม่ให้ความสำคัญต่อการไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่เตรียมพร้อมไปด้วยพระวจนะของพระเจ้า  มีอีกเหตุผลและสถานการณ์ที่จริงด้วยเช่นกัน กล่าวคือ โดยปกติแล้ว เจ้าทำสิ่งทั้งหลายโดยปราศจากพระเจ้าหรือพระวจนะของพระเจ้าในหัวใจเจ้า  พระวจนะของพระเจ้าไม่เคยครองอำนาจเหนือหัวใจเจ้า  เจ้าเคยชินกับการเอาแต่ใจ และเจ้าก็ติดนิสัยคิดว่าตัวเจ้านั้นถูก ติดนิสัยครองอำนาจเหนือทุกเรื่อง และติดนิสัยทำสิ่งทั้งหลายไปตามการเลือกชอบของตัวเอง  เจ้าเพียงก้าวผ่านกระบวนการและพิธีการของการอธิษฐานถึงพระเจ้าเท่านั้นเอง  พระวจนะของพระเจ้าไม่มีที่ทางในหัวใจเจ้าและไม่สามารถปกครองอยู่เหนือหัวใจเจ้าได้ อีกทั้งพระเจ้าก็ไม่ทรงมีที่ทางในหัวใจเจ้าและไม่สามารถปกครองอยู่เหนือหัวใจเจ้า  เป็นธรรมดาที่เจ้าควบคุมดูแลทุกสิ่งที่เจ้าทำ และผลลัพธ์ก็คือ เจ้าละเมิดหลักธรรมความจริง  นี่ใช่การกระทำผิดหรือไม่?  นั่นแน่นอนอยู่แล้ว—นี่คือการกระทำผิด  เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงกำลังสร้างข้อแก้ตัว?  ไม่มีข้อแก้ตัวใดที่ใช้ได้  การกระทำผิดก็คือการกระทำผิด  หากเจ้าก่อการกระทำผิดมากมาย ทำความเสียหายให้กับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและงานของคริสตจักร และสุดท้ายก็ทำให้อุปนิสัยของพระเจ้าเดือดดาล แล้วโอกาสแห่งความรอดของเจ้าก็จะถูกตัดขาดลง  นี่คือการตีความอันถูกต้องแม่นยำของ “การกระทำผิดจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก” นี่คือข้อเท็จจริง  นี่มีเหตุมาจากอุปนิสัยเสื่อมทรามของผู้คนที่ผลิตพฤติกรรมทุกประเภทออกมา ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นเส้นทางที่ผู้คนใช้เดินตามลำดับ  เส้นทางที่ไม่ถูกต้องนี้เป็นเหตุให้ผู้คนก่อการกระทำผิดทุกประเภท ณ ชั่วอึดใจอันสำคัญและวิกฤติขณะที่พวกเขากำลังทำหน้าที่ของตน  หากเจ้าได้ก่อการกระทำผิดไว้มากเกินไปจนเกิดการสะสม เช่นนั้นโอกาสแห่งความรอดของเจ้าก็หมดไปแล้ว  เหตุใดผู้คนจึงก่อการกระทำผิดอยู่เสมอ?  เหตุผลเบื้องต้นเลยก็คือการที่พวกเขาไม่เคยหรือแทบจะไม่เตรียมพร้อมไปด้วยพระวจนะของพระเจ้า และนานๆ ครั้งที่พวกเขาจะทำสิ่งใดบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าหรือหลักธรรมความจริง—สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ก่อการกระทำผิดเสมอ  เมื่อผู้คนกระทำผิด พวกเขายกโทษให้ตัวเองตลอด อีกทั้งให้เหตุผลและข้อแก้ตัว เช่น “ฉันไม่ได้ตั้งใจทำ  ฉันมีความตั้งใจที่ดี  นั่นเป็นเพราะสถานการณ์เร่งด่วน  นั่นเป็นเพราะบุคคลนี้  นั่นเป็นเพราะเหตุผลตามข้อเท็จจริงแวดล้อมทุกอย่าง...”  ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไร หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ปฏิบัติตนไปตามพระวจนะของพระเจ้าโดยมีความจริงเป็นเกณฑ์ประเมินของเจ้า เจ้าก็จะหมิ่นเหม่ที่จะกระทำผิดและขัดขืนพระเจ้า  นี่คือข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้  ตามข้อเท็จจริงนี้ ปลายทางของเจ้าจะออกมาเป็นแบบที่เราเอ่ยไปก่อนหน้านี้แล้วว่า “การกระทำผิดจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก”  นี่จะเป็นบทอวสานของเจ้า  เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่?  (ใช่ ข้าพระองค์เข้าใจ)

อุปนิสัยของคนบางคนนั้นดื้อแพ่งเหลือเกิน และพวกเขาก็ไร้ศีลธรรมเสียจนพวกเขาคิดอย่างมุ่งมาดปรารถนาอยู่เสมอว่า “การกระทำผิดเล็กน้อยไม่เป็นไรหรอก  พระเจ้าไม่ทรงลงโทษผู้คน  พระองค์ทรงเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรัก อีกทั้งทรงให้อภัยและอดทนต่อผู้คน  วันแห่งพระเจ้ายังห่างไกล  ฉันจะไล่ตามเสาะหาความจริงเหล่านี้ที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้วันหลังเมื่อฉันมีโอกาส  ถึงแม้พระเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้ในพระกระแสเสียงที่จริงใจและเร่งด่วน แต่ก็ยังจะมีโอกาสอีกเหลือเฟือสำหรับพวกเราที่จะเชื่อในพระเจ้าและได้รับการช่วยให้รอด”  พวกเขาเมินผ่านเสมอ ไม่เคยมีสำนึกของความเร่งด่วน ไม่มีความพึงปรารถนาอันเหลือล้นต่อพระเจ้าหรือกระหายต่อความจริง  พวกเขามีหัวใจที่ดื้อแพ่งเสมอ รวมทั้งเพิกเฉยโดยสิ้นเชิงต่อความจริงและข้อร้องขอแห่งพระวจนะของพระเจ้าเสมอ  หากพวกเขาทำหน้าที่ของตนด้วยท่าทีประเภทนี้และในสภาวะนี้ ในท้ายที่สุดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?  พวกเขาจะก่อการกระทำผิดและได้มาซึ่งรอยมลทินอยู่เป็นนิจ!  การที่บุคคลหนึ่งก่อการกระทำผิดและได้มาซึ่งรอยมลทินอยู่เป็นนิจนั้นเป็นอันตราย กระนั้นก็ยังไม่ปฏิบัติต่อการนี้อย่างจริงจัง และไม่กังวลใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาเสียเลย  เพียงเพราะพระเจ้าไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าตอนนี้ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าในภายภาคหน้า  กล่าวสั้นๆ ก็คือ บุคคลหนึ่งซึ่งดำรงชีวิตในสภาวะเช่นนั้นอยู่ในอันตราย  พวกเขาไม่หวงแหนพระวจนะของพระเจ้า ไม่หวงแหนโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด หรือโอกาสที่จะทำหน้าที่ของตน และนับประสาอะไรที่จะหวงแหนทุกสภาพการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงให้พวกเขา  พวกเขาหย่อนยานและไม่ใส่ใจ อีกทั้งทำทุกสิ่งในลักษณะที่สะเพร่า หย่อนยานและเหม่อลอยเสมอ  บุคคลประเภทนี้อยู่ในอันตราย  คนบางคนยังคงรู้สึกดีกับตัวเองโดยคิดว่า “เวลาที่ฉันทำสิ่งต่างๆ พระเจ้าทรงอยู่กับฉัน ฉันมีความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้า บางครั้งฉันก็มีการบ่มวินัยของพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงอยู่กับฉันในคำอธิษฐานทั้งหลายของฉัน!”  พระคุณของพระเจ้านั้นอุดม—แน่นอนว่ามากพอสำหรับเจ้าที่จะชื่นชมยินดี—เจ้าสามารถรับไปได้ทั้งหมดตามที่เจ้าต้องการและไม่มีวันใช้หมด แต่ว่าแล้วอย่างไรหรือ?  พระคุณของพระเจ้าไม่ได้เป็นตัวแทนของความจริง และความชื่นชมยินดีของเจ้าที่มีต่อพระคุณของพระเจ้าก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้ามีความจริง  พระเจ้าทรงมีความสงสารสำหรับทุกตัวบุคคล แต่ความสงสารของพระเจ้าไม่ปรานีจนเกินขอบเขต  พระเจ้าทรงมีความสงสารสำหรับชีวิตมนุษย์และสำหรับทุกสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่ทรงมีหลักธรรมในพระราชกิจของพระองค์ ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่ทรงมีอุปนิสัยอันชอบธรรม และไม่ได้หมายความว่ามาตรฐานที่พระองค์ทรงพึงประสงค์จากผู้คน และมาตรฐานที่พระองค์ทรงใช้ประเมินค่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลง  พวกเจ้าเข้าใจใช่หรือไม่?  (ใช่)  เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าไม่เคยกริ้วเจ้า พระเจ้าทรงอ่อนโยนและคำนึงถึงเจ้าเสมอ และพระองค์ทรงใส่ใจ รัก และทะนุถนอมเจ้าอย่างมหาศาล  เจ้ารู้สึกถึงความอบอุ่นของพระเจ้า การจัดเตรียมของพระเจ้า ความช่วยเหลือของพระเจ้า และแม้แต่ความโปรดปรานและความเปี่ยมพระคุณของพระเจ้า  เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าทรงรักเจ้าที่สุด และต่อให้พระองค์ทรงทอดทิ้งผู้อื่น พระองค์ก็จะไม่มีวันทรงทอดทิ้งเจ้า  ดังนั้นเจ้าจึงเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง และรู้สึกราวกับว่าเจ้ามีเหตุผลสมควรในการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ทนทุกข์และไม่จ่ายราคาในขณะที่กำลังทำหน้าที่ของเจ้า อีกทั้งไม่แสวงหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  แน่นอนว่าพระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งเจ้า  ความมั่นใจอันแรงกล้าของเจ้านี้มีพื้นฐานอยู่บนพระวจนะของพระเจ้าใช่หรือไม่?  หากวันหนึ่งเจ้าไม่สามารถรู้สึกได้ถึงการสถิตของพระเจ้าจริงๆ ในหัวใจเจ้าก็จะมีความตื่นตระหนกและคิดว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงทิ้งฉันไปแล้ว?”  นั่นควรชัดเจนสำหรับเจ้าว่าปลายทางของเจ้าจะเป็นอะไร  ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมองตัวเองถูกมากเกินไปจะจบลงไม่ดีอย่างแน่นอน  เป้าหมายของพระเจ้าในการรักและการทะนุถนอมผู้คน การมีความสงสารต่อผู้คน การประทานพระคุณแก่ผู้คน หรือแม้แต่การปฏิบัติต่อผู้คนบางส่วนอย่างโปรดปรานและอย่างเปี่ยมพระคุณ ตลอดจนเนื้อแท้ของการกระทำเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อประคบประหงมและปรนเปรอเจ้า หรือนำทางเจ้าล่องไปตามเส้นทางที่ผิด หรือชักพาเจ้าให้ออกนอกลู่นอกทาง หรือทำให้เจ้าหันหลังให้กับความจริงหรือหนทางที่แท้จริงอย่างแน่นอน  พระประสงค์ของพระเจ้าในการทรงทำทั้งหมดนี้ก็คือเพื่อเกื้อหนุนเจ้าในการเดินไปตามเส้นทางที่ถูก เพื่อทำให้เจ้ามีหัวใจที่มีความพึงปรารถนาต่อพระองค์อย่างล้นเหลือ เพื่อเพิ่มความเชื่อของเจ้าในพระองค์ แล้วจากนั้นก็พัฒนาหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอย่างถ่องแท้  หากเจ้าต้องการชื่นชมยินดีกับการประคบประหงมของพระเจ้าและเป็นสัตว์เลี้ยงของพระองค์อยู่เสมอ เช่นนั้นเราก็พูดได้เลยว่าเจ้าคิดผิด  เจ้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของพระเจ้า อีกทั้งความเปี่ยมพระคุณหรือความโปรดปรานของพระองค์ที่มีให้เจ้านั้นไม่ใช่การประคบประหงมและการปรนเปรออย่างแน่นอน  พระประสงค์ของพระเจ้าในการทรงทำทั้งหมดนี้ก็คือเพื่อทำให้เจ้าสามารถที่จะหวงแหนพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับความจริง และได้รับการเสริมกำลังจากความเปี่ยมพระคุณและพรของพระองค์ เพื่อที่เจ้าจะมีเจตจำนงและความพากเพียรบากบั่นที่จะเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง และเดินไปบนเส้นทางที่ถูกในชีวิต  แน่นอนว่าสามารถพูดอย่างแน่ใจได้ว่า เมื่อพระเจ้าทรงบัญญัติความจริงเหล่านี้ เจ้าได้รับการจัดเตรียมไว้ให้ เจ้าได้รับชีวิต และเจ้าได้ชื่นชมยินดีกับความรักของพระองค์แล้ว  หากเจ้าสามารถขอบคุณพระเจ้าสำหรับความเปี่ยมพระคุณของพระองค์ ยืนหยัดอย่างมั่นคงในที่ซึ่งถูกควร เตรียมพร้อมด้วยพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น หวงแหนพระวจนะของพระองค์มากขึ้น แสวงหาหลักธรรมความจริงในยามที่ทำหน้าที่ของตน และเพียรพยายามที่จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัว และปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้ทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง  อย่างไรก็ตามหากเจ้าฉวยประโยชน์จากความเปี่ยมพระคุณและความโปรดปรานของพระเจ้าที่มีต่อเจ้า ไม่นำพาต่อความสงสารที่พระองค์ทรงมีต่อเจ้า ยืนกรานที่จะทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของเจ้าเอง ปฏิบัติตนอย่างเอาแต่ใจและบุ่มบ่าม ไม่เคยเตรียมตนเองให้พร้อมไปด้วยพระวจนะของพระเจ้า ไม่มีเจตจำนงที่จะพากเพียรเพื่อความจริง หรือไม่มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ไม่วางตัว และไม่ปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าโดยมีความจริงเป็นเกณฑ์ประเมินของเจ้า นอกเสียจากชื่นชมยินดีในพระคุณของพระเจ้าและรู้สึกดีกับตัวเอง เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าทำไม่ได้ตามที่พระเจ้าทรงคาดหวัง—นั่นก็คือเมื่อเจ้าทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังซ้ำๆ ไม่ช้าก็เร็ว พระคุณ ความสงสาร และความรักมั่นคงของพระเจ้าที่มีให้เจ้าก็จะมลายสิ้น  วันที่สิ่งเหล่านั้นมลายไปก็คือวันที่พระเจ้าทรงนำพระคุณของพระองค์ออกไป  เมื่อเจ้าไม่แม้แต่จะรู้สึกถึงการทรงสถิตของพระเจ้า เจ้าก็จะรู้ว่า จริงๆ แล้วเจ้ารู้สึกอะไรข้างใน  ภายในตัวเจ้าจะมีความมืดมิด  เจ้าจะรู้สึกใจหายและไม่สบายใจ วิตกกังวลและว่างเปล่า  เจ้าจะรู้สึกว่าอนาคตนั้นไม่แน่นอน  เจ้าจะเสียขวัญและอยู่ในสภาวะแห่งความวิตกกังวลอย่างสม่ำเสมอ  นี่เป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก  เพราะฉะนั้นผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะทะนุถนอมสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าได้ทรงประทานแก่พวกเขา ทะนุถนอมหน้าที่ซึ่งพวกเขาควรปฏิบัติ และในเวลาเดียวกันก็รู้วิธีที่จะตอบแทน  ในข้อเท็จจริงแล้ว ข้อร้องขอของพระเจ้าที่ให้เจ้าตอบแทนนั้นไม่เกี่ยวกับการร่วมแบ่งปันที่เจ้าทำในนามของพระองค์ หรือคำพยานของเจ้าดังกึกก้องไปถึงพระองค์มากเพียงใด  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการก็คือการที่ให้เจ้าได้เดินบนเส้นทางที่ถูก เส้นทางที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้เจ้าเดิน  พระคุณของพระเจ้านั้นเพียงพอสำหรับผู้คนที่จะชื่นชมยินดี  พระองค์ไม่ทรงเขม็ดแขม่ในการประทานพระคุณนี้ให้แก่ผู้คน และพระองค์จะไม่ทรงเสียดายการประทานพระคุณนี้ให้กับผู้คน  หากพระเจ้าทรงอวยพรและทรงเปี่ยมพระคุณต่อบุคคลหนึ่ง ย่อมเป็นการทรงทำอย่างเต็มพระทัยเสมอ  นั่นเป็นส่วนหนึ่งของแก่นแท้ อุปนิสัยและอัตลักษณ์ของพระองค์ที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้  พระองค์ไม่เคยทรงเสียดายหรือเต็มไปด้วยความสำนึกผิดเกี่ยวกับการประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่ผู้คน  อย่างไรก็ตาม กล่าวได้ว่าผู้คนไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี หรือไม่รู้ว่าจะซาบซึ้งในความเอื้อเฟื้ออย่างไร  พวกเขาทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังและไม่สมหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกเสมอ  ไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาไปสูงเพียงใดและพระองค์ทรงรอคอยมานานเท่าไรแล้ว ผู้คนก็ยังคงเพิกเฉยต่อพระองค์และไม่เข้าใจเจตนารมณ์อันดีของพระองค์  ผู้คนเพียงเสาะแสวงที่จะชื่นชมยินดีในพระคุณของพระเจ้า—ยิ่งมากยิ่งดี  ไม่ว่าพวกเขาจะชื่นชมยินดีในพระคุณและพรจากพระเจ้ามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่รู้จักที่จะตอบแทนความรักของพระเจ้า หรือให้หัวใจคืนแด่พระเจ้าและติดตามพระองค์  พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าจะพึงพอพระทัยหรือ หากผู้คนปฏิบัติต่อพระองค์ในหนทางนี้?  (ไม่)  ท่าทีแท้จริงประเภทใดที่บุคคลหนึ่งควรมีเพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย?  ผู้คนต้องกลับใจ มีการสำแดงซึ่งสัมพันธ์กับความจริงและปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี  พวกเขาต้องไม่ยึดติดอยู่กับข้อแก้ตัวและการอ้างเหตุผลสารพัด  พระคุณ การยกโทษ และความสงสารของพระเจ้าที่มีต่อมนุษยชนนั้นไม่ใช่ต้นทุนที่ใช้ปรนเปรอตัวเจ้าเองหรือเป็นข้อแก้ตัวที่จะปรนเปรอตัวเจ้าเอง  ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด หรือพระองค์ทรงใช้ความพากเพียรหรือความคิดประเภทใดในผู้คน พระองค์ก็ทรงมีพระประสงค์สูงสุดหนึ่งเดียวเท่านั้น  นั่นก็คือพระองค์ทรงหวังว่าผู้คนจะหันหาและเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง  อะไรคือเส้นทางที่ถูกต้อง?  นั่นก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริงและกลายเป็นเตรียมพร้อมไปด้วยความจริงมากขึ้น  หากเส้นทางที่ผู้คนเดินนั้นสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าโดยมีความจริงเป็นเกณฑ์ประเมินของเส้นทางนั้น เช่นนั้นแล้ว ราคาที่พระเจ้าทรงลงทุนในผู้คนและความคาดหวังทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาก็จะได้รับการตอบแทน  พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงวางข้อร้องขอที่สูงต่อผู้คนใช่หรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าไม่ทรงวางข้อร้องขอที่สูงต่อผู้คน และพระองค์ทรงมีความอดทนและความรักมากพอที่จะรอคอยให้ผู้คนหวนคืน  เมื่อเจ้าหวนคืนสู่พระเจ้า พระองค์จะไม่เพียงแค่ประทานพระคุณและพรแก่เจ้าบ้างเท่านั้น แต่จะทรงจัดเตรียมให้เจ้า เกื้อหนุนและทรงนำเจ้าในความจริง ในชีวิต และบนเส้นทางที่เจ้ากำลังเดิน  พระเจ้าจะทรงทำพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในตัวเจ้าด้วยซ้ำ  นั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงเฝ้ารอ  ก่อนทำพระราชกิจนี้ พระเจ้าทรงนำผู้คนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทรงเกื้อหนุน รวมทั้งประทานพระคุณและพรแก่พวกเขา  ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้า และไม่ใช่บางสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำเป็นพิเศษ  อย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ทรงมีทางเลือกนอกจากทรงสร้างภาระผูกพันให้พระองค์เองในการที่จะจ่ายราคาใดก็ได้เพื่อผู้คน และที่จะทรงพระราชกิจนี้ในทุกวิถีทาง  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ในท้ายที่สุดแล้วหลังจากที่ทรงพระราชกิจนี้ทั้งหมดก็คือเพื่อที่จะทอดพระเนตรเห็นว่าผู้คนสามารถกลับตัวได้  หากผู้คนเข้าใจเจตนารมณ์และพระดำริของพระองค์ และเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้ ผู้คนก็จะตระหนักรู้ความน่ารักของพระองค์ มีวุฒิภาวะและได้เติบโตแล้ว  เมื่อผู้คนเริ่มพิถีพิถันและทำงานหนักขึ้นในแต่ละความจริงที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้กับพวกเขา และเริ่มเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงแต่ละประการ พระเจ้าก็ทรงยินดี  จากนั้นพระองค์ก็จะไม่ทรงจำเป็นต้องทรงพระราชกิจที่เรียบง่ายในการทรงอยู่กับผู้คน คอยชูใจ กระตุ้นเตือน และเตือนสติพวกเขาอีกต่อไป  ในทางกลับกัน พระองค์สามารถทรงจัดเตรียมให้พวกเขาได้มากขึ้นในแง่ของความจริง ในชีวิต และบนเส้นทางที่พวกเขากำลังเดิน  พระองค์สามารถทรงทำพระราชกิจซึ่งเป็นรูปธรรมในผู้คนมากขึ้นทุกที  เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงทรงเลือกที่จะทำพระราชกิจประเภทนี้มากกว่า?  นั่นก็เป็นเพราะขณะที่ทรงทำพระราชกิจดังกล่าว พระองค์ทอดพระเนตรเห็นความหวังในตัวผู้คน เห็นอนาคตของพวกเขา และเห็นว่าผู้คนมีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ นี่คือสิ่งซึ่งยิ่งใหญ่อย่างมิอาจประเมินวัดได้สำหรับทั้งผู้คนและพระเจ้า อีกทั้งบางสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเฝ้ารอตลอดมาเป็นเวลานาน  เมื่อบุคคลหนึ่งใช้เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็จะค่อยๆ มีความเข้มแข็งและวุฒิภาวะจริงๆ ที่จะใช้ต่อสู้กับซาตาน และตั้งมั่นในคำพยานของตนที่มีต่อพระเจ้า และมีความหวังมากขึ้นว่าพระเจ้าจะทรงมองเห็นมนุษย์ทรงสร้างมากขึ้นอีกคนหนึ่งลุกขึ้นมาต่อสู้กับซาตานเพื่อพระองค์  นี่คือพระสิริของพระเจ้า  เมื่อผู้คนเติบโตในวุฒิภาวะ กลายเป็นเข้มแข็งมากขึ้นทุกที เป็นพยานมากขึ้นทุกที อีกทั้งเริ่มยำเกรงและนบนอบพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็หมายความว่ามีความหวังที่พระเจ้าจะได้รับกลุ่มผู้ชนะจากหมู่คนและจะได้รับการถวายพระสิริผ่านทางผู้คนและในท่ามกลางผู้คน  นี่ใช่สิ่งที่ดีหรือไม่?  (ใช่)  นี่คือสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงเฝ้ารอ อีกทั้งคือความหวังและความมุ่งหวังของพระองค์ที่มีต่อพวกเจ้า  พระองค์ทรงรอคอยสิ่งนี้ตลอดมาเป็นเวลานาน  หากผู้คนเข้าใจและสามารถที่จะคำนึงถึงพระหทัยของพระเจ้า พวกเขาย่อมจะทำงานที่พระองค์ทรงขอให้พวกเขาทำ และจ่ายราคาในสิ่งที่พระองค์ทรงขอให้พวกเขาจ่าย  พวกเขาจะพยายามทุกอย่างที่จะให้ความร่วมมือกับสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้ทำ ทำให้ความปรารถนาของพระองค์ลุล่วง และชูพระทัยพระองค์  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่ต้องการทำสิ่งนี้ เช่นนั้นพระเจ้าก็จะไม่ทรงบังคับเจ้า  เจ้าพูดว่า “ทำไมฉันถึงไม่ต้องการสิ่งนี้?  ทำไมฉันถึงไม่อยากทำสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์?  ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ชูใจ และไม่เต็มใจที่จะนบนอบเมื่อฉันคิดเกี่ยวกับการทำให้ได้ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า?”  เจ้าไม่จำเป็นต้องทำได้ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า นั่นเป็นแบบสมัครใจ  เจ้ามีสิทธิ์เลือกและเจ้ามีอิสระ  พระเจ้าไม่ทรงบังคับผู้คน  เราแค่กำลังบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจเข้าใจอย่างครบถ้วนถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำให้สำเร็จลุล่วง ความรับผิดชอบที่พวกเจ้าแบกและสิ่งที่พระเจ้าทรงตั้งความหวังในตัวพวกเจ้า  นี่ชัดเจนหรือไม่?  (ชัดเจน)  ดีแล้วที่ชัดเจน  หากนี่ชัดเจน เช่นนั้นหัวใจของผู้คนก็จะตระหนักรู้  พวกเขาจะรู้อยู่ข้างในว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องทำงานด้วยในลำดับถัดไป สิ่งที่ต้องทำ และราคาที่พวกเขาต้องจ่าย กล่าวคือ พวกเขาจะมีทิศทาง

วันนี้ เราได้สามัคคีธรรมคำกล่าวเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ”  เมื่อได้สามัคคีธรรมกันไปก่อนหน้านี้ถึงหลายคำกล่าวอื่นๆ เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติที่ซาตานส่งเสริม นั่นทำให้ง่ายขึ้นเล็กน้อยที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะ  ไม่ว่านั่นเป็นคำกล่าวใดเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติ โดยพื้นฐานแล้ว ซาตานต้องการใช้คำแถลงประเภทนี้มาพันธนาการและจำกัดหวงห้ามพฤติกรรมมนุษย์ และจากนั้นก็สร้างรูปแบบกระแสนิยมหนึ่งขึ้นมาในสังคม  มันต้องการควบคุม จองจำ และชักพาจิตใจของมนุษยชาติทั้งมวลให้หลงผิดโดยการสร้างกระแสนิยมนี้ และผลจากตรงนั้นก็เปลี่ยนมนุษยชาติทั้งมวลให้ต่อต้านพระเจ้า หลังจากที่ผู้คนต่อต้านพระเจ้า ซาตานก็ต้องการเห็นว่าพระเจ้าไม่ทรงมีหนทางที่จะลงมือกระทำกับผู้คนหรือทรงพระราชกิจ  นี่คือเป้าหมายที่ซาตานต้องการสัมฤทธิ์ และนี่คือแก่นแท้ของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่ซาตานทำ  ไม่สำคัญว่าสิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนของพฤติกรรมแง่มุมใด หรือว่า คำกล่าวเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ที่ซาตานส่งเสริมนั้นเป็นความคิดและทัศนะใด ไม่ว่าในกรณีใดก็ไม่เกี่ยวกับความจริงและคำกล่าวเหล่านั้นยังสวนทางกับความจริงอีกด้วย  ผู้คนควรจัดการอย่างไรกับคำกล่าวเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ที่ซาตานส่งเสริม?  หลักธรรมพื้นฐานและเรียบง่ายมากก็คือว่า คำแถลงใดก็ตามที่มาจากซาตานก็คือบางสิ่งที่พวกเราควรเปิดโปง ชำแหละ รู้เท่าทัน และปฏิเสธ  ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นมาจากซาตาน หากหัวใจพวกเรารู้เท่าทันสิ่งเหล่านั้น พวกเราก็สามารถกล่าวโทษและปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น  พวกเราไม่สามารถอนุญาตให้สิ่งทั้งหลายของซาตานดำรงอยู่ในคริสตจักรและก่อกวน ชักพาให้หลงผิด อีกทั้งทำให้ประชากรที่ประเจ้าทรงเลือกสรรเสื่อมทราม  เป้าหมายนั้นต้องได้รับการทำให้สัมฤทธิ์ อันจะทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรปฏิเสธซาตานด้วยเหตุนั้น รวมถึงไม่อาจเห็นความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติของซาตานในตัวพวกเขาได้แม้แต่นัยเดียว  พระวจนะของพระเจ้าและความจริงควรครองอำนาจเหนือหัวใจของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและกลายเป็นชีวิตของพวกเขาแทนความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติเหล่านี้  มนุษยชนจำพวกนี้เป็นจำพวกที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับ  พวกเรามาจบสามัคคีธรรมของวันนี้ลงตรงนี้กันเถิด

9 กรกฎาคม ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (14)

ถัดไป: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (16)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger