การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (14)

พวกเราได้ใช้เวลากันไปบ้างแล้ว ในการสามัคคีธรรมและชำแหละประเด็นปัญหาของการกล่าวอ้างเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมตามประเพณี—พวกเจ้ามีประสบการณ์จริงกันบ้างหรือไม่เกี่ยวกับการนี้?  (ก่อนหน้านี้ ข้าพระองค์เพียงระลึกรู้ว่า ถ้อยแถลงว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง แต่ข้าพระองค์ก็ไม่ได้ตระหนักว่าถ้อยแถลงเหล่านั้นได้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกแค่ไหน  โดยผ่านทางการสามัคคีธรรมและการชำแหละของพระองค์เท่านั้น ข้าพระองค์จึงได้ตระหนักว่าถ้อยแถลงสารพัดว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ซาตานปลูกฝังในตัวผู้คนนั้นดูเหมือนถูกและดีในสายตาผู้คน แต่ถ้อยแถลงเหล่านั้นได้ทำให้ความคิดของผู้คนเสื่อมทราม ตีบตันและถูกจองจำ เป็นเหตุให้ผู้คนปฏิเสธและขัดขืนพระเจ้า และนำทางพวกเขาห่างจากพระองค์ไกลออกไปทุกที  นี่คือวิธีที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามไปทีละน้อยจนถึงทุกวันนี้)  หากเราไม่ได้สามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้ในรายละเอียด ผู้คนจะสามารถระลึกรู้ถึงการนี้ด้วยตนเองหรือไม่?  พวกเขาจะสามารถชำแหละแก่นแท้ของถ้อยแถลงว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ได้หรือไม่?  (ผู้คนจะไม่อาจชำแหละหรือรู้เท่าทันแก่นแท้ของถ้อยแถลงว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ได้)  แล้วหากเป็นภายหลังจากการได้รับประสบการณ์อันยาวนานเล่า?  (ผู้คนก็จะสามารถระลึกรู้ประเด็นปัญหานี้ที่มีอยู่ในบางถ้อยแถลงที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม แต่พวกเขาคงไม่สามารถชำแหละแก่นแท้ของถ้อยแถลงเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน)  บ่อยครั้งที่ผู้คนชอบปฏิบัติต่อคำกล่าวที่มีชื่อเสียงจากวัฒนธรรมตามประเพณีและต่อความจริงอย่างเท่าเทียมกัน และนำคำกล่าวเหล่านั้นกับความจริงมาผสมปนเปกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งที่ดูภายนอกคล้ายเป็นความจริง หรือที่ดูคล้องจองกับศีลธรรมมนุษย์ มาตรฐานของมโนธรรมของพวกเขา และความรู้สึกแบบมนุษย์  ทุกคนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นบวกและอยู่ในแนวเดียวกับความจริง แต่ไม่มีใครมองเห็นได้ว่า สิ่งเหล่านั้นมีต้นกำเนิดอยู่ในซาตาน และว่าอันที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่เป็นลบ  ทีนี้มีสิ่งใดบ้างไหมที่ซาตานปลูกฝังในมนุษย์แล้วเป็นบวก?  (ไม่มี)  ไม่มีสิ่งใดเป็นบวกเลยสักอย่างในบรรดาสิ่งเหล่านั้น  ในทางกลับกัน สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งซึ่งเป็นลบและเป็นพิษเยี่ยงซาตาน  นี่ไม่มีข้อกังขาเลย  แล้วพวกเจ้าเริ่มรู้และขุดถอนสิ่งซึ่งเป็นลบและพิษเยี่ยงซาตานเหล่านี้ออกไปหรือยัง?  มีสิ่งใดซึ่งตกค้างอยู่ในจิตใจของพวกเจ้าที่คล้ายคลึงกับสิ่งเหล่านี้จากวัฒนธรรมตามประเพณี ซึ่งพวกเจ้าพิจารณาว่าถูกต้องบ้างหรือไม่?  หากว่ามี นั่นก็คือตัวปัญหา มะเร็ง!  พวกเจ้าควรตริตรองเรื่องนี้ให้มากขึ้นเสียตอนนี้ และเจ้าก็ควรสังเกตการณ์ให้รอบคอบและใส่ใจต่อเรื่องนี้ในชีวิตประจำวันของพวกเจ้า  จงดูว่ามีสิ่งใดในสิ่งที่ผู้อื่นพูดและสิ่งที่เจ้าได้ยิน หรือในสิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับเจ้าหรือที่เจ้าจำได้ หรือในบรรดาสิ่งที่เจ้ายอมรับเข้ามาในหัวใจและถือว่ามีค่า ที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่วัฒนธรรมตามประเพณีให้การสนับสนุน  หากว่ามี เจ้าก็ต้องแยกแยะและชำแหละมัน แล้วจากนั้นก็ทิ้งไปเสียให้สิ้น  นี่จะเป็นประโยชน์ต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเจ้า

ส่วนเสริม: ชำแหละคำกล่าวที่ว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน”

คนบางคนหยิบยกวลี “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” ขึ้นมาขณะเขียนบทความคำพยานเชิงประสบการณ์—พวกเจ้าควรแยกแยะว่าถ้อยแถลงนี้ถูกหรือผิด ว่านี่เป็นสิ่งที่เป็นบวกหรือลบ และว่านี่สัมพันธ์กับความจริง กับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และกับหลักธรรมที่ผู้คนควรมีในขณะที่รับมือกับเรื่องทั้งหลาย  ถ้อยแถลงที่ว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” นั้นยังคงเป็นจริงหรือไม่?  นี่อยู่ในแนวเดียวกับความจริงหรือไม่?  นี่เป็นบางสิ่งที่เกิดมาจากกฎและข้อบังคับที่พระเจ้าทรงตั้งขึ้นหรือไม่?  นี่มีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งหรือไม่?  จงว่ามาเถิดและแบ่งปันความรู้กับความเข้าใจของพวกเจ้าที่มีต่อถ้อยแถลงนี้  (ข้าพระองค์ก็เคยพูดแบบนี้มาก่อนเช่นกัน โดยเฉพาะเวลาที่กำลังจัดระบบระเบียบงานคริสตจักร  หากบุคลากรไม่ถูกมอบหมายอย่างเหมาะควรไปตามหลักธรรม บางครั้งนี่ก็ทำให้งานมีปัญหายุ่งเหยิง  หากบุคลากรถูกมอบหมายอย่างสอดคล้องกับหลักธรรม งานก็จะถูกทำได้ดี  ในตอนนั้นข้าพระองค์มองบทบาทของผู้คนว่าสำคัญและมีนัยสำคัญมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าพระองค์ยกวลีที่ว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” มาอ้าง  ตอนนี้ข้าพระองค์ตระหนักว่าข้าพระองค์ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับพระอธิปไตยและมหิทธานุภาพของพระเจ้า  ข้าพระองค์มุ่งเน้นที่บทบาทของผู้คนเสมอ และไม่มีที่ทางสำหรับพระเจ้าในหัวใจข้าพระองค์เลย)  มีใครอื่นอีกไหมที่ต้องการจะแบ่งปันความคิดของตัวเอง?  (ถ้อยแถลงที่ว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” ไม่ใช่คำพยานต่อพระเจ้า แต่เป็นคำพยานต่อพวกมนุษย์ ราวกับว่าความสำเร็จขึ้นอยู่กับความพยายามแบบมนุษย์  นั่นเป็นการปฏิเสธอธิปไตยของพระเจ้า และมีค่าเทียบเท่ากับการเป็นพยานยืนยันให้ซาตาน  หากถ้อยแถลงนี้ถูกปลูกเพาะลงในหัวใจผู้คน เช่นนั้นแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป ยามผู้คนเผชิญปัญหา พวกเขาก็จะคิดว่า พวกเขาก็แค่จำเป็นต้องหาผู้คนที่ถูกคนเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ และพวกเขาก็จะไม่มีความเชื่อในพระเจ้าและไม่พึ่งพาพระองค์  เพราะฉะนั้นนี่คือถ้อยแถลงที่บิดเบือนเป็นพิเศษอย่างยิ่ง)  ความเข้าใจถ้อยแถลงนี้ของพวกเจ้านั้นมีแก่นสารอย่างยิ่งตรงที่ว่านี่ไม่ถูกต้องหรือเป็นสิ่งที่เป็นบวก และนี่ไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอน  แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงใช้ถ้อยแถลงนี้?  หากพวกเจ้าใช้ถ้อยแถลงนี้ นั่นเผยให้เห็นปัญหาอะไร?  (เห็นว่าพวกเราขาดวิจารณญาณเกี่ยวกับถ้อยแถลงนี้)  อะไรคือเหตุผลสำหรับการขาดวิจารณญาณของเจ้า?  นั่นเป็นเพราะเจ้ายังคงเชื่อว่าถ้อยแถลงนี้มีแง่มุมที่ถูกต้องและใช้การได้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  แล้วถ้อยแถลงนี้มีอะไรผิดเล่า?  เหตุใดเจ้าจึงพูดว่านี่ไม่ถูกต้องหรือใช่สิ่งที่เป็นบวก?  ก่อนอื่นพวกเรามาดูกันเถิดว่าถ้อยแถลงนี้คล้องจองกับกฎภววิสัยของสิ่งทั้งหลายหรือไม่  โดยผิวเผินนั้น ดูเหมือนเป็นผู้คนที่ปฏิบัติกิจซึ่งถูกมอบให้มา  พวกเขาจัดการเตรียมงาน พวกเขาปฏิบัติงาน และพวกเขาก็ติดตามผลการดำเนินงาน  พวกเขาเล่นบทที่สำคัญยิ่งยวดในแต่ละขั้นตอน และในท้ายที่สุดพวกเขาก็กำหนดพิจารณาผลลัพธ์รวบยอดกับความคืบหน้าของรายการงานนั้น  ดูภายนอกเหมือนว่า ต้นเหตุ กระบวนการของสิ่งทั้งหลายที่กำลังพัฒนาไป และผลลัพธ์ของสิ่งนั้นล้วนถูกกำหนดพิจารณาโดยผู้คน  แต่ในความเป็นจริง ใครหรือคือผู้ที่กำลังปกครองดูแล จัดวางเรียบเรียง และจัดการเตรียมการทั้งหมดนี้?  มีอะไรที่เกี่ยวกับผู้คนหรือไม่?  ผู้คนกำลังยอมรับการจัดวางเรียบเรียงของชะตากรรมและขององค์อธิปัตย์อย่างตั้งรับ หรือพวกเขากำลังควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างแข็งขัน?  (พวกเขากำลังยอมรับอย่างตั้งรับ)  ผู้คนกำลังยอมรับอธิปไตย การจัดวางเรียบเรียง และการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอย่างตั้งรับ  ผู้คนเล่นบทอะไรตรงนี้?  พวกเขาไม่ใช่หุ่นเชิดในพระหัตถ์พระเจ้าหรอกหรือ  (ใช่)  ผู้คนก็เหมือนหุ่นเชิดที่ถูกเชือกชักใย  เชือกที่คอยดึงอยู่นั้นกำหนดสิ่งที่พวกเขากระทำและสิ่งที่พวกเขาแสดงออก  ผู้คนไปที่ใด พวกเขาพูดอะไร และพวกเขาทำอะไรในทุกวัน—ทั้งหมดนี้อยู่ในมือใครหรือ?  (ในพระหัตถ์พระเจ้า)  นั่นล้วนอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า  ผู้คนยอมรับอธิปไตยของพระเจ้าอย่างตั้งรับ  ตลอดทั้งกระบวนการนี้ พระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาสิ่งที่พระองค์จะทรงทำ ว่าพระองค์จะทรงเปิดโปงใครบางคนหรือไม่ การเปลี่ยนแปลงหรือความคืบหน้าใดและเมื่อใดที่พระองค์จะทรงทำให้เกิดในเรื่องนี้ ผลลัพธ์รวบยอดในท้ายที่สุดจะเป็นอะไร และใครที่พระองค์จะทรงเปิดโปงหรือขับออก พระองค์ทรงกำหนดพิจารณาว่าบทเรียนใดที่ผู้คนจะเรียนรู้ผ่านเรื่องนี้ ความจริงใดที่พวกเขาจะเข้าใจและความรู้ประเภทใดที่พวกเขาจะได้รับเกี่ยวกับพระเจ้าในเรื่องนี้ ทัศนะใดบ้างที่พระองค์จะทรงทำให้ผู้คนย้อนคิด และมโนคติอันหลงผิดใดบ้างที่พระองค์จะทรงทำให้พวกเขาปล่อยวาง  ผู้คนสามารถสำเร็จลุล่วงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำหรือไม่?  พวกเขาสามารถไหม?  (ไม่ พวกเขาไม่สามารถ)  ผู้คนไม่สามารถ  พวกเขาไม่สามารถสำเร็จลุล่วงสิ่งเหล่านี้  ในช่วงระหว่างพัฒนาการทั้งหมดทั้งสิ้นของเรื่องใดก็ตาม  ผู้คนก็แค่กำลังทำสิ่งทั้งหลายในแบบตั้งรับและโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว แต่ไม่มีบุคคลใดที่สามารถมองการณ์ไกลถึงต้นเหตุ กระบวนการ ผลลัพธ์สุดท้าย และสัมฤทธิ์ผลลัพธ์รวบยอดของทั้งเรื่องได้ และไม่มีใครคนใดที่ควบคุมอันใดในสิ่งเหล่านี้ได้  ใครเล่าคือผู้ที่ทอดพระเนตรการณ์ไกลและควบคุมทั้งหมดนี้?  พระเจ้าเท่านั้น!  ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ซึ่งมีนัยสำคัญที่กำลังบังเกิดอยู่ในจักรวาลหรืออุบัติการณ์เล็กน้อยในมุมใดของดาวเคราะห์ใดก็ตาม นั่นไม่ขึ้นอยู่กับผู้คน  ไม่มีบุคคลใดสามารถควบคุมกฎทั้งหลายที่ปกครองดูแลทุกสิ่ง หรือกระบวนการแห่งความก้าวหน้าของทุกสรรพสิ่งและและผลลัพธ์ในท้ายที่สุดของสรรพสิ่ง  ไม่มีบุคคลใดสามารถมองการณ์ไกลถึงอนาคตของทุกสิ่ง หรือคาดคะเนสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้  พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นผู้มีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง ควบคุมและปกครองทั้งหมดนี้  ผลเดียวที่ผู้คนสามารถมีได้ก็คือการเล่นบทที่แตกต่างกันไปที่สามารถเป็นได้ทั้งบวกและลบภายในสภาพแวดล้อม ทั้งใหญ่และเล็ก และควบคู่ไปกับสารพัดประเภทของผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายที่ถูกปกครอง จัดวางเรียบเรียง และจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า  นี่คือผลที่ผู้คนมีและบทที่พวกเขาเล่น  เมื่อบางสิ่งไม่ประสบสำเร็จ หรือเมื่อผลลัพธ์ไม่ดูดีดังที่คาดหวังไว้ และจุดจบก็ไม่ใช่ที่ผู้คนอยากจะเห็น เมื่อจุดจบนั้นนำพาความเสียใจและความเศร้าอันใหญ่หลวงมาสู่พวกเขาด้วยซ้ำ ผู้คนไม่มีอธิปไตยเหนือสิ่งเหล่านี้เช่นกัน ผู้คนไม่สามารถมองการณ์ไกลถึงสิ่งเหล่านี้ได้ และแน่นอนว่าผู้คนควบคุมสิ่งเหล่านี้ไม่ได้  หากผลลัพธ์รวบยอดขั้นสุดท้ายของบางสิ่งนั้นดีมาก หากนั่นให้ผลกระทบที่ใช้การได้และเป็นบวกอย่างมาก หากนั่นให้ความจำเริญแก่ผู้คนได้อย่างใหญ่หลวง และมีอิทธิพลลุ่มลึกต่อพวกเขา เช่นนั้นนั่นก็มาจากพระเจ้า  หากบางสิ่งไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์รวบยอดตามที่มันถูกพึงปรารถนาให้เป็น  หากผลลัพธ์รวบยอดไม่ดีหรือเป็นไปในทางดีนัก และหากนั่นดูเหมือนมีผลที่เป็นลบต่อผู้คนแทนที่จะเป็นผลบวกและใช้การได้ ทั้งกระบวนการของเรื่องนั้นก็ถูกจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้าเช่นกัน  นั่นไม่ได้ถูกควบคุมโดยบุคคลใด  พวกเราอย่าพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่ห่างไกลออกไปเลย พวกเรามาพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่สามารถถูกสังเกตการณ์ได้ในคริสตจักร อาทิ การปรากฏตัวของพวกศัตรูของพระคริสต์  นับจากชั่วขณะที่ศัตรูของพระคริสต์เสนอตัวอาสาและเริ่มลงมือกระทำ และได้รับการเลื่อนขั้นไปสู่ตำแหน่งหัวหน้าหรือคนทำงาน และรับทำงานสำคัญในคริสตจักร จนกระทั่งถึงจุดที่พวกเขาถูกเปิดเผยว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ ถูกแยกแยะ และถูกเปิดโปงโดยเหล่าพี่น้องชายหญิง และถูกปฏิเสธแล้วขับออกในท้ายที่สุด—ตลอดทั้งกระบวนการนี้ ผู้คนมากมายถูกชี้นำไปในทางที่ผิด บางคนถึงขั้นติดตามศัตรูของพระคริสต์ และการสูญเสียประสบการณ์บางอย่างในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาเนื่องมาจากอิทธิพลของศัตรูของพระคริสต์ เป็นต้น  แม้ว่าทั้งหมดนี้มีต้นกำเนิดมาจากการการก่อกวนของซาตานและเป็นงานของข้ารับใช้ซาตาน นั่นหมายความว่า พระเจ้าไม่ทอดพระเนตรเห็นปรากฏการณ์นั้นหรือพัฒนาการของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดกระนั้นหรือ?  พระเจ้าไม่ทรงรู้หรอกหรือว่า ผลสืบเนื่องของการปรากฏตัวของศัตรูของพระคริสต์จะเป็นอะไร?  พระเจ้าไม่ทรงรู้ผลกระทบที่ศัตรูของพระคริสต์จะมีต่อคริสตจักรและต่อเหล่าพี่น้องชายหญิงหรือ?  ทั้งหมดนี้แค่เป็นผลลัพธ์แห่งความล้มเหลวที่มีต้นเหตุมาจากผู้คนเท่านั้นหรือ?  เมื่อเผชิญหน้ากับอุบัติการณ์ของสิ่งที่เป็นลบเช่นสิ่งเหล่านี้ บ่อยครั้งที่ผู้คนคิดว่า “ไม่นะ ซาตานฉวยประโยชน์จากจุดบอดตรงนั้น นี่เป็นการก่อกวนสิ่งต่างๆ ของซาตาน”  นัยแฝงก็คือ “ทำไมพระเจ้าถึงไม่ทรงจับตามองสิ่งต่างๆ นะ?  พระเจ้าไม่ทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสรรพสิ่งหรอกหรือ?  พระเจ้าไม่ทรงปรากฏพร้อมทุกแห่งหนหรอกหรือ?  พระเจ้าไม่ทรงมหิทธานุภาพหรอกหรือ?  สิทธิอำนาจกับฤทธานุภาพของพระเจ้าอยู่ตรงไหนกัน?”  เกิดข้อกังขาขึ้นในหัวใจผู้คน  อะไรคือแหล่งที่มาของข้อกังขาเหล่านี้?  เพราะจุดจบของเหตุการณ์นั้นเป็นลบ ไม่เป็นที่พึงปรารถนา และไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนต้องการเห็น และยิ่งไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเลยแม้แต่น้อย นี่ส่งผลกระทบอย่างแรงต่อความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ในพระเจ้าของพวกเขา  ผู้คนไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ และพวกเขาก็คิดว่า “ถ้าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งและควบคุมทุกสิ่ง แล้วทำไมบางสิ่งอย่างเช่นการที่ศัตรูของพระคริสต์ชี้นำผู้คนไปในทางที่ผิดจึงจะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเรา?  ทำไมสิ่งที่ไม่น่าพึงปรารถนาแบบนั้นจึงเกิดขึ้นในคริสตจักรและท่ามกลางเหล่าพี่น้องชายหญิง?”  เกิดข้อกังขาขึ้นในหัวใจผู้คน และความเชื่อของพวกเขาที่ว่า “พระเจ้าทรงฤทธานุภาพพร้อมสรรพและทรงปรากฏพร้อมทุกแห่งหน” ก็ถูกท้าทาย  เมื่อความเชื่อในพระเจ้าของผู้คนถูกท้าทาย หากเจ้าถามพวกเขา “จะติเตียนใครดีสำหรับการที่คุณเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นมา?”  พวกเขาก็จะตอบว่า “จะต้องติเตียนซาตาน”  แต่เนื่องจากมนุษย์ไม่อาจมองเห็นซาตาน แล้วใครเล่าที่ความรับผิดชอบนี้ควรตกไปถึงในท้ายที่สุด?  ความรับผิดชอบนี้ควรตกแก่ศัตรูของพระคริสต์หรือไม่ก็กลุ่มศัตรูของพระคริสต์  ผู้คนจะพูดว่า พวกที่ถูกศัตรูของพระคริสต์ชี้นำไปในทางที่ผิดและพวกที่ทนทุกข์กับการสูญเสียของชีวิตพวกเขานั้นสมควรแล้วที่ถูกชี้นำไปในทางที่ผิดโดยศัตรูของพระคริสต์  สุดท้ายแล้วความเข้าใจของผู้คนที่มีต่อเรื่องทั้งหมดจบลงตรงถ้อยแถลงใด?  “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน”  นั่นคือบทสรุปที่พวกเขาไปถึง  พวกเขาวางพระเจ้าไว้ตรงไหนในเรื่องนี้?  พวกเขาไม่เข้าใจว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงอ้างทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับทฤษฎีอันกลวงเปล่าที่ว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” แทน

ยามผู้คนมองเห็นบางสิ่งที่เป็นบวกและค่อนข้างดีเกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา อาทิ ยามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอันเปี่ยมฤทธานุภาพ และทุกคนมีความเชื่ออย่างใหญ่หลวง ยามที่ผู้คนตั้งมั่นแม้ในท่ามกลางการกดขี่และความทุกข์ยาก โดยไม่มีใครกลายเป็นยูดาส และเมื่อสมบัติแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและชีวิตของเหล่าพี่น้องชายหญิงไม่ได้รับความสูญเสียอันใด ผู้คนพูดว่า “นี่คือการคุ้มครองของพระเจ้า  ความสำเร็จนี้ไม่ได้มีเหตุมาจากผู้คน ไม่ต้องกังขาเลยว่า นี่เป็นพระราชกิจของพระเจ้า”  สมมุติว่าสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนมองเห็นว่ากำลังเกิดขึ้นรอบตัวพวกเขานั้นไม่เป็นที่พึงปรารถนา ตัวอย่างเช่น คริสตจักรเผชิญหน้ากับการปราบปรามและการจับกุมโดยพญานาคใหญ่สีแดง และสมบัติของคริสตจักรก็ถูกซาตานยึดไป  สมมุติว่าชีวิตของเหล่าพี่น้องชายหญิงทนทุกข์กับความสูญเสีย และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรถูกทำให้แตกกระเจิงทั่วทุกแห่งหน ผิดที่ผิดทางและไม่อาจคืนสู่เหย้า  สมมุติว่าชีวิตคริสตจักรถูกทำลาย และสมาชิกคริสตจักรไม่สามารถดำรงชีวิตคริสตจักรแบบเดิมดังแต่ก่อนได้อีกต่อไป  ลองจินตนาการว่าพวกเขาไม่อาจดำรงชีวิตอันผาสุกชื่นบานในการอยู่ร่วมกันโดยสันติสุขกับเหล่าพี่น้องชายหญิง ร่วมชุมนุมกันเพื่อกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและทำหน้าที่ของพวกเขาได้อีกต่อไป หนำซ้ำพวกคนชั่วกับผู้ปราศจากความเชื่อบางคนก็เริ่มแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิดเพื่อชักนำผู้อื่นไปในทางที่ผิด เป็นเหตุให้ผู้คนเหล่านั้นสูญสิ้นความเชื่อในพระเจ้าและตกไปอยู่ในความคิดลบและความอ่อนแอ  ณ เวลาเช่นนั้น ผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะพร่ำบ่น  พวกเขาไม่กล้าพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงพร่ำบ่นเช่นนี้ว่า “ไอ้นั่นมันคนชั่ว ไอ้นั่นมันซาตาน ไอ้นั่นมันมาร  ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาประมาทในการชุมนุมและถูกจับกุม พวกเราก็จะไม่จบลงในสถานการณ์ที่กลับไปบ้านไม่ได้แบบนี้  หากไม่ใช่เพราะพวกเขา พวกเราก็คงยังดำรงชีวิตคริสตจักรอย่างมีความสุข กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและทำหน้าที่ของพวกเราไปตามปกติ  ทั้งหมดนี้ก็เนื่องมาจากคนบางคน มารบางคน ซาตานบางตน หรือระบอบเยี่ยงซาตานบางระบอบ”  แม้ผู้คนไม่กล้าดีที่จะเก็บงำข้อข้องใจอันใดที่มีต่อพระเจ้า หรือเอ่ยอ้างให้พระเจ้าทรงเป็นผู้รับผิดชอบต่อสถานการณ์ทั้งสิ้น แต่ ณ ชั่วขณะนั้น พวกเขาก็ได้เกิดความแคลงใจที่แม้ไม่มากแต่ก็ไม่น้อยแบบบอกไม่ถูกต่อพระเจ้า  สิ่งใดหรือที่จะผุดออกมาจากความคิดที่แคลงใจเหล่านี้?  ผู้คนจะพูดว่า “ฉันได้เรียนรู้บทเรียนหนึ่งจากประสบการณ์นี้  นับจากนี้ไป ฉันจะพิจารณาทุกสิ่งที่ฉันเผชิญและคิดทบทวนอย่างรอบคอบก่อนลงมือทำ  ฉันจะไม่วู่วามและจะไม่ไว้วางใจใครง่ายๆ  ฉันจะรอบคอบเป็นพิเศษในทุกสถานการณ์ และฉันจะเรียนรู้ที่จะคุ้มครองตัวเอง”  พวกเขายังคงมีพระเจ้าอยู่ในหัวใจตนหรือไม่?  พวกเขายังคงพึ่งพาพระเจ้าและมีความเชื่อในพระองค์หรือไม่?  คนบางคนพูดว่า “ฉันจะไม่มีได้ยังไง?  ในหัวใจฉันยังคงเชื่อในพระเจ้า และฉันยังคงมีการพึ่งพาอย่างแน่แท้ต่อพระองค์”  แต่พวกเขาก็แอบบอกกับตัวเองว่า “อย่าไปเชื่อพระวจนะของพระเจ้าง่ายนัก  พระเจ้าทรงทดสอบและถลุงผู้คนเสมอ  พระเจ้านั้นพึ่งพาไม่ได้!  ดูแค่สิ่งที่เกิดขึ้นไปต่อหน้าต่อตาพวกเราสิ  เหล่าสมาชิกคริสตจักรของพวกเราถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมไป  ทำไมพระเจ้าถึงไม่ได้ทรงคุ้มครองพวกเรา?  พระเจ้าทรงต้องการทอดพระเนตรเห็นผลประโยชน์แห่งพระนิเวศเป็นอันตรายหรือไง?  พระเจ้าทรงไม่รู้สึกยินดียินร้ายหรือไงเวลาที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพวกผู้ปราศจากความเชื่อชักนำผู้คนไปในทางที่ผิด?  หากพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเรื่องนี้จริง ทำไมพระเจ้าถึงไม่ทรงสนใจไยดี?  ทำไมพระองค์ถึงไม่ทรงป้องกันหรือปิดกั้นมัน?  ทำไมพระองค์ถึงไม่ทรงให้ความรู้แจ้งแก่พวกเราให้พวกเราหยั่งรู้ได้ว่าบุคคลที่ชักนำพวกเราไปในทางที่ผิดนั้นเป็นคนชั่วและผู้ปราศจากความเชื่อ ให้พวกเราเอาตัวออกห่างจากพวกเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นได้ และหลีกเลี่ยงผลที่ตามมาพวกนี้ทั้งหมด?  ตอนที่ผู้ปราศจากความเชื่อกำลังชักนำผู้คนไปในทางที่ผิด ทำไมพระเจ้าถึงไม่ทรงคุ้มครองพวกเรา?  แม้แค่คำเตือนแบบรีบร้อนก็น่าจะพอ!”  พวกเขาไม่ได้คำตอบให้กับคำว่า “ทำไม” ทั้งหมดนี้และพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะได้มาซึ่งคำตอบเหล่านั้นด้วยเช่นกัน  ในท้ายที่สุดหลังการได้รับประสบการณ์นี้ ข้อสรุปที่มาถึงพวกเขาก็คือ “ฉันจะพึ่งพาพระเจ้าในเรื่องที่ฉันควรพึ่งพาพระองค์ และฉันจะพึ่งพาตัวเองในเรื่องที่ฉันไม่ควรพึ่งพาพระเจ้า  ฉันโง่ไม่ได้  พวกเราพี่น้องชายหญิงต้องเรียนรู้ที่จะรวมตัวกันเพื่อความอบอุ่น และช่วยเหลือกันและกัน  สำหรับสิ่งอื่นทั้งหมด ก็ปล่อยให้พระเจ้าทรงทำตามที่พระองค์ทรงยินดี  พวกเราไม่อาจควบคุมการนั้นได้”  หากพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร งานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักรย่อมจะมีอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของพี่น้องชายหญิงก็จะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง  ในเวลาเหล่านี้ พวกผู้ปราศจากความเชื่อและพวกศัตรูของพระคริสต์จะปรากฏตัวขึ้นเพื่อขัดขวางและชักนำไปในทางที่ผิด โดยแพร่กระจายความเห็นนอกรีตและตรรกะวิบัติ กล่าวอ้างว่าการจับกุมได้เกิดขึ้นเพราะเหล่าผู้นำและคนทำงานนั้นสวนต้านน้ำพระทัยของพระเจ้า และผู้คนก็จะถูกพวกศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วเหล่านี้ชักนำไปในทางที่ผิด  เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้ที่เกิดขึ้นไม่คล้องจองกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน รวมทั้งความรู้สึกแบบมนุษย์ ผู้คนไม่เคยเรียนรู้บทเรียนจากเหตุการณ์เหล่านั้น  ผู้คนไม่เคยมาเข้าใจพระอธิปไตย การจัดวางเรียบเรียง และพระอุปนิสัยของพระเจ้าจากเหตุการณ์เหล่านี้  ผู้คนไม่เคยจับความเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้าหรือเข้าใจว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้พวกเขาเรียนรู้บทเรียนใด พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้พวกเขาได้มาซึ่งความจำเริญใด และพระองค์ทรงต้องประสงค์ให้พวกเขาได้รับวิจารณญาณใดจากเหตุการณ์เหล่านี้  ผู้คนไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับัสิ่งเหล่านี้ และไม่รู้วิธีที่จะรับประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้  เพราะฉะนั้นเมื่อคำนึงถึงทุกสรรพสิ่งที่ผู้คนเห็นว่ากำลังเกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา ผู้คนก็เชื่ออย่างแท้จริงว่าวลี “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” นั้นถูกต้อง และว่านั่นพึ่งพาได้และเป็นจริงกว่าข้อเท็จจริงที่ว่า “พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าทรงปรากฏพร้อมทุกแห่งหน และพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่ง”  ในข้อเท็จจริงลึกลงไปนั้น พวกเจ้ายังคงเชื่อว่าวลี “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” นั้นเป็นจริงกว่า ยังคงเชื่อว่าเหล่ามนุษย์กำหนดทุกสิ่ง และการที่จะพูดว่าพระเจ้าทรงตัดสินทุกสิ่งนั้นดูคลุมเครือไปหน่อย  เหตุใดผู้คนจึงคิดว่านี่คลุมเครือ?  เหตุใดผู้คนจึงคิดว่าถ้อยแถลง “พระเจ้าทรงตัดสินทุกสิ่ง” นั้นพึ่งพาไม่ได้?  ในทางทฤษฎี นั่นเพราะผู้คนไม่เข้าใจความจริงและไม่รู้จักพระเจ้า แต่ในความเป็นจริง เหตุผลคืออะไรเล่า?  (ในความเป็นจริง ผู้คนไม่ยอมรับรู้หรือเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง)  การพูดว่าผู้คนไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่ยอมรับรู้ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่งนั้นถูกแล้ว แต่ก็มีเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงกว่าอยู่ประการหนึ่งที่ว่าวลี “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” เปิดเผยมุมมองที่มีตำหนิซึ่งผู้คนมี เมื่อคำนึงถึงวิธีที่พวกเขามีทัศนะต่อสิ่งที่ดีและไม่ดี  ผู้คนเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายที่นำพาสันติสุข ความชื่นบานยินดี ความชูใจ และความสุขมาสู่พวกเขานั้นดี และเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นมาจากพระเจ้า  มีบางสิ่งที่ทำให้ผู้คนไม่สบายใจหรือขวัญผวา ที่ทำให้ผู้คนร่ำไห้ ทุกข์ทน หรือเต็มไปด้วยความระทมใจจนพวกเขาถึงกับปรารถนาที่จะตายไปเสีย—บางสิ่งซึ่งถึงกับทำให้เป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะรักษาความปลอดภัยให้กับชีวิตคริสตจักรที่เป็นปกติและสภาพแวดล้อมที่เป็นปกติสำหรับการทำหน้าที่ของพวกเขา  สิ่งชนิดเหล่านี้ถูกผู้คนถือว่าเป็น “สิ่งไม่ดี”  คำศัพท์ที่ว่า “สิ่งไม่ดี” จำเป็นต้องถูกวางในเครื่องหมายคำถาม  “สิ่งไม่ดี” สามารถมีผลที่ดีต่อผู้คนหรือไม่?  ผู้คนไม่อาจมองเห็นหรือรู้สึกถึงผลที่ดีเหล่านี้ ดังนั้นในจิตใจของพวกเขา “ทุกสิ่ง” ที่พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือนั้นประกอบไปด้วยสิ่งทั้งหลายที่นำพาสันติสุข ความชื่นบานยินดี ความอิ่มใจ ประโยชน์ ความจำเริญ ผลตอบแทนและสิ่งทั้งหลายที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขามาสู่พวกเขาเท่านั้น  เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นของอธิปไตยของพระเจ้าที่มีอยู่เหนือทุกสิ่ง  ในทางกลับกัน หากโดยผิวเผินแล้ว บางสิ่งเกิดขึ้นเพื่อเป็นเหตุให้ชีวิตของผู้คนทนทุกข์ เป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อผลประโยชน์ของคริสตจักร และหากผู้คนไม่กี่คนถูกชักนำไปในทางที่ผิด และบ้างก็ถึงกับถูกขับออก และหากไม่กี่คนพบเจอกับเหตุการณ์ที่โชคร้ายบางอย่างและสู้ทนกับความเจ็บปวดอยู่บ้าง ผู้คนก็เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอธิปไตยของพระเจ้าเลย และว่าสิ่งเหล่านี้เป็นงานของซาตาน  ผู้คนเชื่อว่า หากนั่นเป็นพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่เป็นลบเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้นหรือดำรงอยู่ นี่คือสิ่งที่ผู้คนได้กำหนดพิจารณาไว้  เพราะฉะนั้น ความเข้าใจของผู้คนที่มีต่อวลี “พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง” นั้นช่างตื้นเขินและเป็นการมองด้านเดียวอย่างมาก  นั่นถูกจำกัดอยู่กับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ นั่นถูกถ่วงไว้ด้วยภาวะอารมณ์แบบมนุษย์ และนั่นไม่เข้ากันกับข้อเท็จจริง  เราขอยกตัวอย่างหนึ่งให้กับพวกเจ้า  พระเจ้าได้ทรงสร้างแมลงและนกทุกชนิด  คนบางคนพูดว่า “ฉันเชื่อว่าสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นมีนัยสำคัญ ว่าพวกมันทั้งหมดเป็นแมลงที่มีประโยชน์ และว่าพวกมันทั้งหมดนั้นดี  ผึ้งถูกสร้างโดยพระเจ้า และนกที่ดีทุกชนิดก็ถูกสร้างโดยพระเจ้า  พวกยุงกัดผู้คนอยู่เสมอและแพร่กระจายโรค ดังนั้นยุงจึงไม่ดี  บางทียุงอาจไม่ได้ถูกสร้างโดยพระเจ้า”  นี่ไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกบิดเบือนหรอกหรือ?  ในความเป็นจริงนั้น ทุกสรรพสิ่งถูกสร้างโดยพระเจ้า  มีพระเจ้าพระผู้สร้างเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และทุกสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตมาจากพระเจ้า  ในมโนคติอันหลงผิดของผู้คน พวกเขาเพียงเชื่อว่าพวกแมลง พวกนกสารพัดที่มีประโยชน์ และสรรพสิ่งที่ทรงสร้างอื่นๆ มาจากพระเจ้า—ส่วนพวกแมลงวัน ยุง ตัวเรือด และสัตว์กินเนื้อบางประเภทที่มนุษย์ถือว่าดุร้ายเป็นพิเศษ สิ่งทรงสร้างเหล่านั้นดูเหมือนไม่ได้มาจากพระเจ้า และต่อให้พวกมันมาจากพระเจ้า พวกมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี  นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์หรอกหรือ?  ในแนวคิดและมโนคติอันหลงผิดของผู้คนนั้น สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ ถูกจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระบบโดยที่ สิ่งใดที่เหล่ามนุษย์ชอบหรือที่มีประโยชน์ต่อพวกเขาถูกพิจารณาว่าเป็นบวกและถูกสร้างโดยพระเจ้า ในขณะที่สิ่งใดก็ตามที่เหล่ามนุษย์ไม่ชอบหรือเป็นอันตรายต่อพวกเขาถูกพิจารณาว่าเป็นลบและไม่ได้ถูกสร้างโดยพระเจ้า และอาจจะถูกสร้างโดยซาตานหรือถูกทำให้เกิดโดยธรรมชาติ  ในจิตใจของผู้คนนั้น บ่อยครั้งที่พวกเขาเชื่ออย่างขาดสติว่า “แมลงวัน ยุง และตัวเรือดไม่ใช่สิ่งดี พวกมันไม่ได้ถูกสร้างโดยพระเจ้า  พระเจ้าจะไม่ทรงสร้างสิ่งแบบนั้นแน่นอน”  หรือพวกเขาก็คิดว่า “สิงโตกับเสือกินแกะและม้าลายเสมอเลย พวกมันโหดร้ายเกินไป  พวกมันไม่ใช่สิ่งดี  พวกหมาป่าก็มีเลศนัย ฉลาดแกมโกง เกรี้ยวกราด ดุร้าย และโหดร้าย  พวกหมาป่าไม่ดี แต่วัวกับแกะนั้นดี และพวกสุนัขก็ยิ่งดีกว่า”  การที่บางสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างดีหรือไม่นั้นไม่ได้ประเมินวัดบนพื้นฐานของความต้องการที่จำเป็นทางอารมณ์หรือรสนิยมแบบมนุษย์—นั่นไม่ใช่วิธีที่สิ่งเหล่านี้ถูกประเมินวัด  พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทุกชนิดรวมถึงม้าลาย กวาง และสัตว์กินพืชสารพัดชนิด ตลอดจนสัตว์กินเนื้อที่เกรี้ยวกราดอย่างสิงโต เสือโคร่ง เสือดาว และจระเข้ ซึ่งดุร้ายเป็นพิเศษ รวมไปถึงสัตว์ผู้ล่าที่สามารถฆ่าเหยื่อของพวกมันได้ด้วยการกัดครั้งเดียว  ไม่สำคัญว่าสัตว์เหล่านี้ดีหรือไม่ดีในสายตาของเหล่ามนุษย์ พวกมันล้วนถูกสร้างโดยพระเจ้า  คนบางคนเห็นสิงโตกินม้าลายและคิดว่า “โอ ไม่นะ ม้าลายที่น่าสงสาร  พวกสิงโตเกรี้ยวกราดเหลือเกินที่กินพวกม้าลาย”  เมื่อพวกเขาเห็นหมาป่าเขมือบแกะ พวกเขาก็ตริตรองว่า “พวกหมาป่าโหดร้ายและกลับกลอก  ทำไมพระเจ้าทรงสร้างหมาป่าขึ้นมา?  แกะน่ารักน่าเอ็นดู ใจดีและอ่อนโยน  ทำไมพระเจ้าไม่ทรงสร้างแค่สัตว์ที่อ่อนโยน?  หมาป่าเป็นศัตรูตามธรรมชาติกับแกะ แล้วทำไมพระเจ้าจึงทรงสร้างทั้งหมาป่าและแกะขึ้นมา?”  พวกเขาไม่เข้าใจความล้ำลึกเบื้องหลังการนี้ และพวกเขาก็เก็บงำมโนคติอันหลงผิดและการคิดฝันแบบมนุษย์ไว้เสมอ  เมื่อมีอุบัติการณ์ของการที่พวกศัตรูของพระคริสต์ชักนำผู้คนในคริสตจักรไปในทางที่ผิด คนบางคนพูดว่า “ถ้าพระเจ้าทรงเวทนามวลมนุษย์นี้ ทำไมพระองค์ทรงสร้างซาตาน?  ทำไมพระองค์ทรงอนุญาตให้ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม?  ในเมื่อพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกเรา ทำไมพระองค์ทรงอนุญาตให้ศัตรูของพระคริสต์ปรากฏขึ้นในคริสตจักร?”  เจ้าไม่เข้าใจ ใช่หรือไม่?  นี่คือพระอธิปไตยของพระเจ้า  นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงปกครองอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง และเฉพาะเมื่อพระองค์ทรงปกครองสิ่งเหล่านั้นในหนทางนี้เท่านั้น ทุกสรรพสิ่งจึงสามารถดำรงอยู่อย่างเป็นปกติภายในกฎเกณฑ์และธรรมบัญญัติทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้  หากพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองเจ้าและได้ทรงป้องกันไม่ให้ศัตรูของพระคริสต์ปรากฏขึ้นในคริสตจักร เจ้าจะรู้หรือว่าอะไรคือศัตรูของพระคริสต์?  เจ้าจะรู้หรือว่าอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์เป็นแบบไหน?  หากเจ้าเพียงถูกบอกด้วยบางคำพูดและคำสอนเกี่ยวกับการหยั่งรู้ศัตรูของพระคริสต์โดยไม่เคยพบเจอจริงเลยสักคน เจ้าจะสามารถหยั่งรู้ศัตรูของพระคริสต์หรือ?  (ไม่สามารถ)  ไม่อย่างแน่นอน  หากพวกศัตรูของพระคริสต์กับคนชั่วไม่ได้รับอนุญาตให้ปรากฏขึ้น เจ้าก็คงเป็นเหมือนดอกไม้ในเรือนเพาะชำเสมอ กล่าวคือ ทันทีที่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบกระทันหัน เจ้าก็คงโรยราไปภายใต้ความเหน็บหนาวแบบฉับพลัน ไม่สามารถทนฝ่าไปได้  เพราะฉะนั้นหากผู้คนต้องการเข้าใจความจริง พวกเขาต้องยอมรับและนบนอบต่อทุกสภาพแวดล้อม รวมทั้งผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงปกครองและจัดวางเรียบเรียง  “ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทั้งหมด” นั้นประกอบด้วยสิ่งที่เป็นบวกและสิ่งที่เป็นลบ นั่นรวมทั้งสิ่งที่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้าและสิ่งที่ไม่อยู่  นั่นรวมทั้งสิ่งที่เจ้าถือว่าเป็นบวกและสิ่งซึ่งเป็นลบที่เจ้าไม่ชอบ นั่นรวมถึงสิ่งที่สอดคล้องกับความรู้สึกของเจ้า และรวมถึงสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความรู้สึกของเจ้า หรือกับรสนิยมของเจ้า  เจ้าต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  อะไรคือจุดประสงค์ของการยอมรับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด?  นั่นไม่ใช่แค่เพื่อสร้างความรู้ของเจ้าและเพิ่มประสบการณ์ของเจ้า แต่นั่นก็เพื่อที่จะทำให้เจ้าสามารถมารู้จักพระวจนะของพระเจ้าอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นรูปธรรมมากขึ้น มาเข้าใจความจริง และรับประสบการณ์กับความถูกต้องแม่นยำและความสัตย์ตรงแห่งพระวจนะของพระเจ้าโดยผ่านทางข้อเท็จจริงเหล่านี้  ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็จะยืนยันว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง เจ้าจะเรียนรู้บทเรียนจากผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายที่แตกต่างกัน ทำให้ตัวเจ้าสามารถเข้าใจความจริงได้มากขึ้น รู้เท่าทันสิ่งต่างๆ มากมาย และสร้างความอุดมให้กับตนเองต่อไป  ผลลัพธ์ในขั้นสุดท้ายที่สัมฤทธิ์ได้จากการนี้ก็คือว่า เจ้าจะสามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับพระผู้สร้างโดยผ่านทางพัฒนาการและการอุบัติขึ้นของผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายที่แตกต่างกันไป เจ้าจะเริ่มเข้าใจพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์ อีกทั้งเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงปกครองดูแลและจัดวางเรียบเรียงทุกสรรพสิ่ง

ไม่สำคัญว่าเหตุการณ์ที่เจ้าเห็นว่ากำลังเกิดขึ้นอยู่รอบตัวเจ้านั้นถูกมนุษย์สัมผัสรู้ว่าดีหรือไม่ดี ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการหรือไม่ ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นนำพาความชื่นบานยินดีและความสุข หรือความโศกเศร้าและความเจ็บปวดมาสู่เจ้า เจ้าก็ควรคำนึงว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายที่บรรจุไปด้วยบทเรียนให้เรียนรู้และเป็นความจริงให้แสวงหา อีกทั้งเจ้าก็ควรคำนึงว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า  สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้สืบเนื่องมาจากพวกมนุษย์ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีเหตุมาจากบุคคลใด และสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่บางสิ่งซึ่งบุคคลใดสามารถควบคุมได้  ในทางกลับกัน เป็นพระเจ้าที่ทรงปกครองเหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  การอุบัติขึ้นของเหตุการณ์ใดก็ตามไม่ได้อาศัยเจตจำนงมนุษย์ นั่นไม่ใช่ราวกับว่าบุคคลใดก็ตามสามารถควบคุมเหตุการณ์หนึ่งได้เพียงเพราะพวกเขาปรารถนา  พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและทรงปกครองอยู่เหนือทั้งกระบวนการแห่งการปรากฏ พัฒนาการ และการแปลงสภาพของผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจนกว่าจะถึงจุดจบขั้นสุดท้ายของสิ่งเหล่านั้น  หากเจ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วก็จงพยายามรับประสบการณ์และสังเกตุสังกาสิ่งต่างๆ ไปตามวจนะและหลักธรรมทั้งหลายที่เราได้พูดถึง  จงดูเถิดว่าที่เรากล่าวนั้นแท้จริงหรือไม่  จงดูเถิดว่าถ้อยแถลง “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” ที่พวกเจ้าเชื่อว่าถูกต้อง หรือถ้อยแถลง “พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและทรงปกครองอยู่เหนือการปรากฏและพัฒนาการของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจนกว่าจะถึงจุดจบขั้นสุดท้ายของสิ่งเหล่านั้น” นั้นถูกต้องหรือไม่  จงดูว่าในถ้อยแถลงสองข้อนี้ ข้อใดที่ถูกต้อง ข้อใดตรงต้องกันกับข้อเท็จจริงทั้งหลาย ข้อใดเปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับความจำเริญและเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา และข้อใดที่ทำให้ผู้คนสามารถรู้จักพระเจ้าและมีความเชื่ออันถ่องแท้ในพระองค์  เมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเจ้าด้วยทัศนคติและท่าทีที่ว่าพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและปกครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ทัศนะและมุมมองของเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายก็จะแตกต่างไปโดยบริบูรณ์  หากเจ้าติดอยู่กับการมีทัศนะต่อทุกสรรพสิ่งและทุกเรื่องจากมุมมองของคำกล่าวที่ว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” เช่นนั้นแล้ว หากพูดแบบกลางๆ ก็คือ เมื่อบางสิ่งเกิดแก่เจ้า เจ้าก็จะพันพัวไปด้วยแนวคิดที่ว่าสิ่งใดถูกและสิ่งใดผิดเป็นธรรมดาและโดยไม่รู้ตัว เจ้าจะพยายามหาตัวผู้คนมารับผิดชอบ และเจ้าจะวิเคราะห์สาเหตุของอุบัติการณ์สารพัด วิเคราะห์ปัจจัยที่นำไปสู่ผลสืบเนื่องซึ่งเป็นผลร้ายในเรื่องต่างๆ เป็นต้น แทนการแสวงหาหลักธรรมความจริงและน้ำพระทัยของพระเจ้าบนพื้นฐานของพระวจนะของพระองค์  ยิ่งเจ้าเชื่อในคำกล่าวที่ว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” มากขึ้น ทัศนะของพวกผู้ปราศจากความเชื่อก็ยิ่งเข้าครอบงำเจ้ามากขึ้น  เช่นนั้นผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายของทุกสิ่งที่เจ้าได้รับประสบการณ์ก็จะย้อนแย้งกับความจริงมากขึ้นทุกที และความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าก็จะกลายเป็นแค่คำสอนหรือคำขวัญหนึ่งเท่านั้น  ณ จุดนั้น เจ้าก็จะเปลี่ยนไปเป็นผู้ปราศจากความเชื่อโดยสมบูรณ์  กล่าวอีกอย่างว่า ยิ่งเจ้าเชื่อในถ้อยแถลงที่ว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” มากขึ้น เจ้าก็จะยิ่งพิสูจน์ให้เห็นมากขึ้นว่าเป็นผู้ปราศจากความเชื่อคนหนึ่ง  หากเจ้าไม่มีพระเจ้าหรือพระวจนะของพระเจ้าในหัวใจเจ้า หากเจ้าไม่ยอมรับรู้หรือยอมรับพระวจนะของพระเจ้า ความจริง หรือสิ่งที่เป็นบวกอันใดโดยสิ้นเชิง หากสิ่งเหล่านี้ไม่มีที่ทางเอาเสียเลยในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นห้วงลึกทั้งหลายของดวงจิตเจ้าก็ได้ถูกซาตานเข้าจับจองไปจนหมดสิ้นแล้ว ห้วงลึกเหล่านั้นเต็มไปด้วยความคิดและแนวคิดแห่งการปฏิวัติและวัตถุนิยมซึ่งล้วนเป็นคำโกหกของพวกมารและซาตาน  เจ้าเชื่อในข้อเท็จจริงทั้งมวลที่เจ้ามองเห็นด้วยตาเจ้า แต่เจ้าไม่เชื่อว่าองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงปกครองอยู่เหนือทุกสิ่งในจักรวาล องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงดำรงอยู่อย่างแท้จริง ผู้ซึ่งบุคคลใดก็ไม่อาจมองเห็นได้  หากเจ้ามีทัศนะต่อทุกสิ่งจากมุมมองของ “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับซาตานและพวกวัตถุนิยม  แต่หากเจ้ามีทัศนะต่อทุกสิ่งจากมุมมองของ “ทุกสิ่งในโลกถูกปกครองและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า” เช่นนั้นแล้วถึงแม้เจ้าจะไม่สามารถมองเห็นบางสิ่งได้ชัดเจน เจ้าก็จะสามารถมองหาคำตอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจงทั้งหลายซึ่งเจ้าเห็นว่ากำลังเกิดขึ้นอยู่รอบตัวเจ้า เสาะพบรากเหง้าของเรื่องนั้น อีกทั้งมองหาแก่นแท้และความจริงของปัญหานั้นภายในพระวจนะของพระเจ้าได้  เจ้าจะไม่เอาแต่สืบค้นว่าใครถูกและใครผิด เจ้าจะไม่เพียงแต่พยายามให้ใครบางคนมารับผิดชอบ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าจะสามารถยกเรื่องนั้นขึ้นมาเปรียบเทียบกับพระวจนะของพระเจ้า แสวงหารากเหง้าของปัญหานั้น ระบุบ่งชี้ปมของประเด็นปัญหานั้น และเจ้าก็จะสืบรู้ว่าผู้คนล้มเหลวตรงไหน พวกเขาขาดพร่องตรงไหน พวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามใดออกมา พวกเขาเป็นกบฏอย่างไร และพวกเขาเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้าแง่มุมใดตลอดครรลองของทั้งเรื่องนั้น  เจ้าจะสามารถเสาะพบว่าพระเจตนารมณ์และเป้าหมายของพระเจ้าในการทำสิ่งเหล่านั้นคืออะไร พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะสัมฤทธิ์สิ่งใดในตัวผู้คน พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะบรรลุผลลัพธ์ประเภทใด พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนได้รับประโยชน์ใด และผู้คนควรยึดติดอยู่กับหลักธรรมใด  เมื่อเจ้ามีวิจารณญาณและมีทัศนะต่อเหตุการณ์ซึ่งเฉพาะเจาะจงจากมุมมองเหล่านี้ สภาวะภายในของเจ้าจะเปลี่ยนแปลง  ทัศนคติของเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายก็จะถูกนำและชี้ทางโดยพระวจนะของพระเจ้าไปโดยไม่รู้ตัว  เจ้าจะได้รับความรู้แจ้งและการชี้ทางโดยพระวจนะของพระเจ้าอย่างไม่ทันรู้สึกตัว รวมถึงได้รับหลักธรรมความจริงที่เจ้าควรยึดถือและปฏิบัติตามเมื่อเรื่องทั้งหลายเช่นนั้นเกิดแก่เจ้า  เมื่อเจ้าเข้าสู่หลักธรรมความจริงเหล่านี้อย่างแท้จริง เจ้าก็จะมีความเชื่อและการพึ่งพาพระเจ้าแบบถ่องแท้ เจ้าจะอธิษฐานและวิงวอนอย่างจริงใจ เจ้าจะมีการนบนอบอย่างถ่องแท้ และเจ้าจะสามารถปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงทั้งหลาย—ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดของเรื่องนี้จะเป็นอะไร?  ตลอดทั้งเหตุการณ์นั้น เจ้าจะมองเห็นความจริงของเรื่องนี้อย่างชัดเจน เจ้าจะเรียนรู้บทเรียน เจ้าจะสามารถเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดแก่เจ้าอย่างถูกต้อง และเจ้าจะสามารถมองเห็นว่านั่นมาจากการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และว่านั่นบรรจุไปด้วยน้ำพระทัยอันดีงามของพระเจ้า  และในหนทางนี้ เจ้าก็จะ “พลิกร้ายกลายเป็นดี” ไม่ผิดจากที่ผู้คนพูดกันบ่อยๆ  เจ้าจะสามารถปฏิบัติต่อทุกเหตุการณ์ที่ผู้คนกล่าวโทษ เกลียดชัง และเกลียด ว่าเป็นสิ่งซึ่งเป็นบวกไปเอง และเจ้าจะสามารถยอมรับรู้ว่า พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและปกครองอยู่เหนือการนั้น และว่าพระเจ้าควรทรงยอมรับการนั้น  เจ้าจะมองเห็นการนั้นเป็นบางสิ่งที่บรรจุไปด้วยความพยายามอันอุตสาหะของพระเจ้า น้ำพระทัยของพระองค์ และความมุ่งหวังของพระองค์  ในกระบวนการแห่งการรับประสบการณ์นี้ เจ้าจะมาเข้าใจโดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าอะไรคือเจตนารมณ์ของพระเจ้าในการจัดวางเรียบเรียงทั้งเรื่องนั้น  เจ้าจะมาเข้าใจและจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ได้โดยไม่ทันตระหนักรู้ และทันทีที่เกิดขึ้นอย่างนั้น เจ้าก็จะเข้าใจความจริงภายในการนี้ไปโดยไม่รู้ตัว และเจ้าก็จะสามารถใช้ปัญญาแยกแยะผู้คนและเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในทั้งเหตุการณ์นั้นได้  หากตลอดทั้งเหตุการณ์นั้น เจ้ามีทัศนะต่อปัญหานั้นจากมุมมองของ “ทุกสิ่งในโลกถูกปกครองและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า” เจ้าย่อมจะได้รับจากการนั้นอย่างมากมายมหาศาล  เจ้าจะได้รับความจริง การเชื่ออันถ่องแท้ในพระเจ้า และความเข้าใจเกี่ยวกับพระอธิปไตยของพระเจ้าที่มีอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง  เจ้าจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและพระเจตนารมณ์อันดีของพระองค์ในเรื่องนี้  แน่นอนว่าเจ้าจะได้รับความเข้าใจและประสบการณ์เกี่ยวกับวลีที่ว่า “พระเจ้าทรงปรากฏพร้อมทุกแห่งหน” ซึ่งก่อนหน้านี้เพียงมีอยู่ในสติสัมปชัญญะของเจ้าเท่านั้นด้วยเช่นกัน  หากตลอดสิ้นทั้งเหตุการณ์นั้น เจ้ามองที่ปัญหาจากมุมมองของ “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” เจ้าจะพร่ำบ่น เจ้าจะเพิกเฉยต่อพระเจ้า และเจ้าจะรู้สึกว่าพระเจ้าทรงห่างไกลและคลุมเครืออย่างมาก  คำว่า “พระเจ้า” พระอัตลักษณ์ของพระเจ้า แก่นแท้ของพระเจ้า และทุกสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้าจะดูห่างไกลและไม่มีแก่นสาร  เจ้าจะเชื่อว่า การปรากฏขึ้นมา พัฒนาการและผลลัพธ์สุดท้ายของทั้งเหตุการณ์ล้วนขึ้นอยู่กับการบงการของมนุษย์ และเชื่อว่าปัจจัยทางมนุษย์แทรกซึมอยู่ทั่วทั้งเรื่องนั้น  เพราะฉะนั้นเจ้าจะตริตรองเรื่องเหล่านี้อยู่เป็นนิจ โดยคิดว่า “ใครล่ะที่ทำผิดพลาดในช่วงระยะนี้?  ใครล่ะที่ประมาทจนเป็นต้นเหตุของความสูญเสียที่เกิดขึ้นในช่วงระยะนั้น?  ใครล่ะที่ขัดขวาง ก่อกวน และทำให้ช่วงระยะนี้พังลง?  ฉันจะทำให้มั่นใจว่าพวกเขาต้องชดใช้ให้กับเรื่องนี้”  เจ้าจะจับจ้องอยู่กับปัจเจกบุคคลและเรื่องทั้งหลาย ดำรงชีวิตอยู่ในอาณาจักรของถูกกับผิดตลอดเวลา พลางก็เพิกเฉยอย่างสิ้นเชิงต่อพระวจนะของพระเจ้า ความจริง ความรับผิดชอบ หน้าที่ และภาระผูกพันทั้งหลายที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายควรทำให้ลุล่วง รวมถึงทัศนคติและตำแหน่งที่เจ้าควรค้ำจุน  พระเจ้าจะไม่มีที่ทางอันใดอีกต่อไปในหัวใจเจ้า  ตลอดทั้งกระบวนการของเหตุการณ์นั้น จะไม่มีสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้า และระหว่างเจ้ากับพระวจนะของพระเจ้า  กล่าวได้ว่า เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์หนึ่ง เจ้าก็จะจับจ้องอยู่ที่ผู้คนและสิ่งทั้งหลายเท่านั้น  เจ้าจะไม่สามารถนึกคำพูดที่อยู่ในแนวเดียวกับความจริงออกแม้สักคำเดียว หรือสักถ้อยแถลงของความจริงที่มาจากพระเจ้าเพื่อที่จะยกมาเปรียบเทียบกับเรื่องนั้น เจ้าจะไม่มีความสามารถใช้คำพูดหรือถ้อยแถลงนั้นเป็นพื้นฐานสำหรับการชำแหละสถานการณ์นั้น เจ้าจะไม่เรียนรู้บทเรียนจากสถานการณ์นั้นหรือได้รับวิจารณญาณ เจ้าจะไม่ได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับความเชื่อของเจ้าและมารู้จักพระเจ้า เจ้าจะไม่ทำสิ่งใดในนี้เลย  ตลอดสิ้นทั้งเหตุการณ์นั้น เจ้าจะเกาะติดอยู่กับคำกล่าวยอดนิยมที่ว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” ซึ่งถ้าพูดให้ชัดขึ้นก็คือ การโต้แย้งและทัศนคติของผู้ปราศจากความเชื่อ  ในทางกลับกัน สมมุติว่านับจากจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ เจ้าสามารถยอมรับเหตุการณ์นั้นจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างโดยไม่มีการตรวจสอบว่าปัจเจกบุคคลใดถูกหรือผิด ไม่มีการวิเคราะห์ที่เกินเลยในตัวบุคคลใดหรือสิ่งใด และไม่มีการจับจ้องที่ตัวผู้คนหรือสิ่งทั้งหลาย  สมมุติว่าเจ้าแสวงหาคำตอบทั้งหลายในพระวจนะของพระเจ้าอย่างแข็งขัน มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและพึ่งพาพระองค์ในเชิงรุก รวมทั้งแสวงหาความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้า เปิดโอกาสให้พระเจ้าทรงงานและจัดวางเรียบเรียงแทน  สมมุติว่าท่าทีของเจ้าเป็นท่าทีที่มีความยำเกรงและการนบนอบต่อพระเจ้า มีความกระหายต่อความจริง และมีการให้ความร่วมมืออันแข็งขันกับพระเจ้า—ว่าท่าทีนั้นไม่ใช่ทัศนคติหรือท่าทีของผู้ปราศจากความเชื่อแต่กลับเป็นทัศนคติและจุดยืนซึ่งผู้เชื่อที่แท้จริงของพระเจ้าควรมี  ด้วยทัศนคติและจุดยืนเช่นนั้น เจ้าย่อมจะได้รับสิ่งที่เจ้าไม่เคยได้รับประสบการณ์มาก่อน ซึ่งก็คือความเป็นจริงความจริงที่เจ้าไม่เคยมีมาก่อนโดยไม่รู้ตัว  ตามที่จริงนั้น ความเป็นจริงความจริงเหล่านี้เป็นผลทั้งหลายที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะสัมฤทธิ์และบรรลุในตัวเจ้าโดยผ่านทางพระอธิปไตยของพระองค์เหนือทั้งเหตุการณ์นั้น  หากพระเจ้าทรงสำเร็จลุล่วงสิ่งที่พระองค์ทรงมีเจตนารมณ์ที่จะสัมฤทธิ์ เช่นนั้นพระองค์จึงจะไม่ได้ทรงกระทำไปโดยสูญเปล่าเพราะพระองค์จะได้ทรงสัมฤทธิ์ผลที่พระองค์ทรงพึงปรารถนาในตัวเจ้า  อะไรคือผลเหล่านี้?  พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะให้เจ้าเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ให้เห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือมีเหตุมาจากผู้คน แต่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมอยู่  พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้เจ้ารับประสบการณ์กับการดำรงอยู่ที่เป็นจริงของพระองค์และเข้าใจข้อเท็จจริงแห่งพระอธิปไตยของพระองค์และการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ในชะตากรรมของทุกสรรพสิ่ง และว่านี่คือข้อเท็จจริง และไม่ใช่ถ้อยแถลงอันว่างเปล่า

หากว่าโดยผ่านประสบการณ์ของเจ้า เจ้าเริ่มตระหนักอย่างแท้จริงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสิ่ง และว่าพระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียงข้อเท็จจริงของทุกสรรพสิ่ง เจ้าจะสามารถกล่าวถ้อยแถลงเหมือนที่โยบกล่าวไว้ว่า “ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู แต่บัดนี้ดวงตาข้าพระองค์เห็นพระองค์ ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง และกลับใจอยู่ในผงคลีดินและขี้เถ้า” (โยบ 42:5-6)  นี่ใช่ถ้อยแถลงที่ดีหรือไม่?  (ใช่)  การได้ยินถ้อยแถลงนี้ให้ความรู้สึกที่ดีมากและเป็นการดลใจ  พวกเจ้าต้องการที่จะรับประสบการณ์กับความสัตย์ตรงของถ้อยแถลงนี้หรือไม่?  เจ้าต้องการเข้าใจหรือไม่ว่าโยบรู้สึกอย่างไรตอนที่เขากล่าวคำพูดเหล่านี้?  (ต้องการ)  นั่นเป็นแค่ความพึงปรารถนาปกติหรือเป็นความพึงปรารถนาอันแรงกล้า?  (อันแรงกล้า)  กล่าวสั้นๆ ก็คือเจ้ามีความแน่วแน่และความพึงปรารถนาประเภทนี้จริง  แล้วความพึงปรารถนานี้สามารถถูกทำให้ลุล่วงได้อย่างไรเล่า?  นั่นก็เหมือนที่เราพูดมาก่อนหน้านี้  เจ้าจำเป็นต้องตั้งมั่นจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเข้าหาผู้คน เหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เกิดแก่เจ้าจากมุมมองของการระลึกรู้ว่าพระเจ้าคือองค์ผู้ปกครองแห่งทุกสรรพสิ่ง และว่าทุกสิ่งถูกควบคุมและจัดวางเรียบเรียงโดยพระองค์  เจ้าต้องเรียนรู้บทเรียนจากการนั้น เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ และระลึกรู้สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะสัมฤทธิ์และสำเร็จลุล่วงในตัวเจ้า  โดยการทำเช่นนั้น ในเร็ววันและไม่นานนับจากนี้ เจ้าจะรู้สึกแบบเดียวกับที่โยบเป็นตอนที่เขาเปล่งคำเหล่านั้นออกมา  เมื่อเราได้ยินพวกเจ้าพูดว่า เจ้าต้องการรับประสบการณ์จริงๆ ว่าโยบรู้สึกอย่างไรตอนที่เขากล่าวคำเหล่านั้น เรารู้ว่าผู้คนเกินร้อยละเก้าสิบเก้าไม่เคยรับประสบการณ์กับความรู้สึกเช่นนั้นมาก่อนเลย  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไม่เคยตั้งมั่นจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและไม่เคยได้รับประสบการณ์กับข้อเท็จจริงเหมือนที่โยบได้รับ ว่าพระผู้สร้างทรงปกครองอยู่เหนือทุกสรรพสิ่งและทรงปกครองดูแลทุกสิ่ง  ทั้งหมดนี้ก็เนื่องมาจากการไม่รู้ความ ความโง่เขลา และความเป็นกบฏแบบมนุษย์ รวมถึงการชักนำไปในทางที่ผิดและการทำให้เสื่อมทรามซึ่งมีเหตุมาจากซาตาน อันนำทางผู้คนไปสู่การประเมินวัดและการเข้าหาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาจากมุมมองของผู้ปราศจากความเชื่อโดยไม่ตั้งใจ และจนถึงกับระบุบ่งชี้และเข้าหาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเองโดยใช้บางวิธีการและพื้นฐานทางทฤษฎีที่พวกผู้ไม่เชื่อใช้กันอยู่ทั่วไป  ข้อสรุปทั้งหลายที่พวกเขาไปถึงในท้ายที่สุดนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวกับความจริงเลย บางข้อสรุปถึงกับตรงข้ามกับความจริงด้วยซ้ำ  ในระยะยาวนั้น การนี้กีดกันไม่ให้ผู้คนได้รับประสบการณ์กับข้อเท็จจริงที่ว่า พระผู้สร้างทรงควบคุมและทรงปกครองอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง อีกทั้งความรู้สึกที่โยบมีตอนที่เขาเปล่งคำเหล่านั้นออกมา  หากเจ้าได้ก้าวผ่านบททดสอบที่คล้ายกันกับของโยบ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก และเจ้าได้รู้สึกแล้วถึงพระหัตถ์ของพระเจ้าที่กำลังทรงพระราชกิจกับข้อเท็จจริงแห่งพระอธิปไตยของพระเจ้า โดยผ่านทางบททดสอบเหล่านั้น หากเจ้าระลึกรู้เช่นกันถึงพระเจตนารมณ์อันเฉพาะเจาะจงของพระเจ้าในการจัดวางเรียบเรียงและปกครองเหนือเรื่องเหล่านี้ รวมไปถึงทางที่ผู้คนควรติดตาม เช่นนั้นในตอนท้าย เจ้าก็จะสามารถรับประสบการณ์กับผลซึ่งเป็นบวกที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะสัมฤทธิ์ในตัวเจ้าตลอดจนสิ้นทั้งเหตุการณ์นั้น พระเจตนารมณ์อันดีและความมุ่งหวังของพระเจ้าที่มีต่อเจ้า ท่ามกลางสิ่งอื่นๆ  เจ้าจะได้รับประสบการณ์ทั้งหมดนี้  เมื่อเจ้ารับประสบการณ์ทั้งหมดนี้ เจ้าจะไม่ใช่แค่เชื่ออีกต่อไปว่าพระเจ้าสามารถตรัสความจริงและจัดหาชีวิตให้เจ้าได้ แต่เจ้าจะตระหนักในหนทางที่จับต้องได้ ว่าพระผู้สร้างทรงมีอยู่จริง และเจ้าจะตระหนักเช่นกันถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้สร้างได้ทรงสร้างและทรงปกครองอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง  ในขณะที่เจ้ากำลังรับประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าและความเชื่อในพระผู้สร้างของเจ้าจะเพิ่มขึ้น  ณ เวลาเดียวกัน นี่จะทำให้เจ้าตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าได้มีปฏิสัมพันธ์กับพระผู้สร้างในหนทางที่เป็นจริง และนี่จะยืนยันอย่างเต็มที่และอย่างจับต้องได้ถึงการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า ความไว้วางใจในพระเจ้าของเจ้า วิธีที่เจ้าติดตามพระเจ้า ตลอดจนข้อเท็จจริงที่พระเจ้าทรงปกครองอยู่เหนือทุกสิ่งและทรงปรากฏพร้อมทุกแห่งหน  เมื่อเจ้าได้รับการยืนยันและการตระหนักนี้ พวกเจ้าคิดว่าหัวใจของตัวเองจะถูกเติมเต็มด้วยความชื่นบานยินดีและความสุข หรือด้วยความเจ็บปวดและความโศกเศร้า?  (ความชื่นบานยินดีและความสุข)  นั่นจะเป็นความชื่นบานยินดีและความสุขอย่างแน่นอน!  ไม่ว่าเจ้าได้รับประสบการณ์กับความเจ็บปวดและความโศกเศร้ามามากเพียงใดก่อนหน้านั้น นั่นก็จะฟุ้งสลายดั่งพวยควัน และหัวใจของเจ้าก็จะคึกคักไปด้วยความชื่นบานยินดี  เมื่อเจ้าเห็นว่าข้อเท็จจริงของพระอธิปไตยของพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งได้รับการยืนยันและได้เกิดประสบการณ์ในตัวเจ้าอย่างแท้จริง นี่ก็เทียบเท่ากับการที่เจ้าพบปะ พบเจอ และมีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้าแบบอยู่เฉพาะพระพักตร์โดยตรง  ณ เวลานั้น เจ้าจะรู้สึกแบบเดียวกับที่โยบรู้สึก  ณ เวลานั้น โยบพูดอะไรหรือ?  (“ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู แต่บัดนี้ดวงตาข้าพระองค์เห็นพระองค์ ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง และกลับใจอยู่ในผงคลีดินและขี้เถ้า”)  ภายนอกนั้น โยบใช้พฤติกรรมและการกระทำของการชิงชังตัวเอง และการกลับใจเพื่อแสดงความเกลียดของเขาที่มีต่ออดีตที่ผ่านมา แต่อันที่จริงแล้วลึกลงไปในหัวใจของเขา เขาชื่นบานและมีความสุข  เหตุใดเล่า?  เพราะเขาได้เห็นพระพักตร์ของพระผู้สร้างโดยไม่คาดฝัน เขาได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์โดยตรง และเขาได้เผชิญกับพระเจ้าในเหตุการณ์หนึ่ง ในเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่มีอะไรน่าสนใจ  จงบอกเราที สิ่งมีชีวิตทรงสร้างใด ผู้ติดตามคนใดของพระเจ้าที่ไม่ถวิลที่จะได้เห็นพระเจ้า?  เมื่อสถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น เมื่อเกิดสิ่งนั้นขึ้น ใครเล่าจะไม่เป็นสุข ใครเล่าจะไม่ตื่นเต้น?  ไม่ว่าใครก็จะตื่นเต้นทั้งนั้น พวกเขาจะรู้สึกตื่นเต้นและชื่นบาน  นั่นจะเป็นบางสิ่งที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม ตราบที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ และนั่นเป็นสิ่งที่มีค่าควรจำ  จงคิดดูเกี่ยวกับเรื่องนี้ การนี้ไม่มีประโยชน์อย่างมากมายหรอกหรือ?  เราหวังว่าในภายภาคหน้า พวกเจ้าจะได้รับประสบการณ์กับความรู้สึกนี้ มีประสบการณ์ประเภทนี้และมีการพบพานเช่นนี้อย่างแท้จริง  เมื่อบุคคลหนึ่งมองเห็นพระพักตร์ของพระเจ้าอย่างแท้จริงและสามารถรับประสบการณ์อย่างถ่องแท้กับความรู้สึกเดียวกันกับที่โยบรู้สึกตอนที่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้า นั่นก็กลายเป็นหลักปักหมุดเหตุการณ์สำคัญของความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา  เป็นสิ่งซึ่งช่างมหัศจรรย์อะไรเช่นนี้!  ทุกบุคคลต่างตั้งตารอผลลัพธ์เช่นนั้นและสถานการณ์เช่นนั้น อีกทั้งทุกคนก็หวังที่จะได้รับประสบการณ์กับการนั้น และมีการพบพานประเภทนั้น  ในเมื่อเจ้ามีความหวังทั้งหลายเช่นนั้น เจ้าก็ควรมีทัศนคติและจุดยืนที่ถูกต้องขณะกำลังรับประสบการณ์กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเจ้า รับประสบการณ์และจับใจความทุกสิ่งในหนทางที่พระเจ้าทรงสอนและให้การแนะนำอบรม เรียนรู้ที่จะยอมรับทุกสิ่งจากพระเจ้า และมีทัศนะต่อทุกสิ่งไปตามพระวจนะของพระเจ้าด้วยการมีความจริงเป็นเกณฑ์  ในหนทางนี้ ความเชื่อของเจ้าจะเติบโตยิ่งใหญ่ขึ้นทุกทีโดยที่เจ้าไม่ทันตระหนัก และข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งและทรงปกครองอยู่เหนือทุกสิ่งก็จะค่อยๆ ได้รับการยืนยันและการพิสูจน์ชี้ชัดในหัวใจเจ้า  เมื่อทั้งหมดนี้ได้รับการยืนยันในตัวเจ้า เจ้าจะยังคงกังวลเกี่ยวกับการที่วุฒิภาวะของเจ้าไม่เติบโตหรือไม่?  (ไม่กังวล)  แต่นั่นก็เป็นปกติที่เจ้าจะรู้สึกกังวลเล็กน้อยในตอนนี้ เพราะวุฒิภาวะของเจ้ายังน้อยนัก และมีสิ่งต่างๆ มากมายที่เจ้าไม่อาจรู้เท่าทัน—คงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่กังวล นั่นเป็นบางสิ่งที่เจ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  นี่เป็นเพราะมีสิ่งต่างๆ มากมายภายในตัวผู้คนที่มาจากความรู้ จากมนุษย์ จากซาตาน จากสังคม เป็นต้น  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมีอิทธิพลล้ำลึกต่อทัศนคติที่ผู้คนใช้เข้าหาพระเจ้า อีกทั้งมุมมองกับจุดยืนที่ที่พวกเขาควรใช้ในยามที่กำลังรับประสบการณ์กับสิ่งนานาสารพัน  เพราะฉะนั้นการที่จะสามารถใช้จุดยืนกับมุมมองที่ถูกต้องเมื่อสิ่งทั้งหลายตกแก่เจ้านั้นไม่ใช่กิจที่ง่ายเลย  เจ้าไม่เพียงพึงต้องมีสิ่งที่เป็นบวกเท่านั้นแต่สิ่งที่เป็นลบก็ต้องมีด้วยเช่นกัน  โดยการหยั่งรู้และการทำความเข้าใจแก่นแท้ของสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้ เจ้าจะเรียนรู้บทเรียนเพิ่มขึ้นและมาเข้าใจการกระทำของพระเจ้าและฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์ อีกทั้งพระปัญญาในการปกครองอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง

บัดนี้พวกเจ้าเข้าใจหมดทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่ว่าถ้อยแถลงที่ว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” นั้นไม่ถูกต้อง?  (ใช่ พวกเราเข้าใจหมดแล้ว)  มีแง่มุมใดที่ถูกต้องอยู่ในถ้อยแถลงนี้หรือไม่?  มีองค์ประกอบใดที่ใช้การได้บ้างหรือไม่?  (ไม่ ไม่มี)  ไม่มีเลยหรือ?  (ไม่มีเลย)  ถูกแล้วที่เข้าใจว่าไม่มีเลย  นี่เป็นความเข้าใจเชิงทฤษฎี  เช่นนั้นแล้วในชีวิตจริง โดยผ่านทางการสังเกตการณ์และประสบการณ์ เจ้าย่อมจะพบว่าถ้อยแถลงที่ว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” นั้นผิดพลาด ไร้เหตุผล และเป็นมุมมองของผู้ปราศจากความเชื่อ  เมื่อเจ้าค้นพบข้อเท็จจริงนี้ และสามารถใช้ข้อเท็จจริงนี้สาธิตให้เห็นข้อผิดพลาดในถ้อยแถลงนี้ เช่นนั้นเจ้าก็จะละทิ้งและไม่ให้ความสำคัญกับถ้อยแถลงนี้อย่างสิ้นเชิง และจะไม่ใช้ถ้อยแถลงนี้อีกต่อไป  เจ้ายังไปไม่ถึงจุดนี้  ถึงแม้เจ้ายอมรับสิ่งที่เราพูดแล้ว แต่ภายหลัง พอเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย เจ้าก็จะตริตรองว่า “ตอนนั้น ฉันคิดว่าไม่มีอะไรถูกต้องเกี่ยวกับถ้อยแถลงที่ว่า ‘ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน’ แล้วทำไมตอนนี้ฉันถึงคิดว่ามันถูกอยู่บ้างนิดหน่อย?”  เจ้าเริ่มต่อสู้ดิ้นรนอยู่ภายในและรับประสบการณ์กับความย้อนแย้งอีก  ดังนั้นเจ้าควรทำสิ่งใดต่อจากนั้น?  ก่อนอื่น เจ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเจ้า  จงละวางความคิดและทัศนคติทั้งหมดที่มีต้นตอมาจากการยึดมั่นถือมั่นอยู่กับถ้อยแถลงนี้  จงละวางการกระทำทั้งมวลที่เกิดขึ้นจากถ้อยแถลงนี้  จงอย่าจับจ้องที่ตัวผู้คนและเรื่องทั้งหลาย  อันดับแรกจงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า จากนั้นก็ค้นคว้าหาพื้นฐานและหลักธรรมภายในพระวจนะของพระเจ้า  ในกระบวนการของการค้นคว้า เจ้าจะได้รับความรู้แจ้งและมาเข้าใจความจริงโดยไม่ทันรู้ตัว  นั่นอาจเป็นการท้าทายสำหรับเจ้าที่จะค้นคว้าหลักธรรมตามลำพัง ดังนั้นจงเรียกทุกคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นมารวมตัวกัน แล้วค้นคว้าพื้นฐานและหลักธรรมความจริงภายในพระวจนะของพระเจ้าไปด้วยกัน  จากนั้นก็จงอ่านอธิษฐาน สามัคคีธรรมถึงพระวจนะที่สอดคล้องของพระเจ้า และตรวจดูพระวจนะเหล่านั้นเพื่อการเปรียบเทียบ  หลังการเปรียบเทียบกับพระวจนะของพระเจ้า จงยอมรับมุมมองที่ถูกต้อง และมุมมองที่ผิดก็จะถูกละวางไปเอง  จากนั้นเป็นต้นไป ก็จงแก้ไขและรับมือกับประเด็นปัญหาไปตามหลักธรรมเหล่านี้  วิธีการนี้ฟังดูเป็นอย่างไร?  (ดี)  ในกระบวนการแห่งการแสวงหาความจริง สิ่งที่เจ้าควรละวางก็คือการกระทำทั้งหลายที่ผุดขึ้นจากทัศนคติที่ว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน”  จงหาพระวจนะของพระเจ้าที่สอดรับกัน แล้วแก้ไขและรับมือกับปัญหาไปบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า  โดยการค้นคว้าความจริงและการแก้ไขปัญหาในหนทางนี้ ทัศนคติที่ผิดพลาดของเจ้าก็จะได้รับการแก้ไข  หากเจ้ารับมือสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง เช่นนั้นทิศทางและการเข้าหาของเจ้าในการรับมือกับเรื่องทั้งหลายก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยสอดคล้องกัน  ผลลัพธ์ก็คือ จุดจบของเรื่องนั้นจะพัฒนาไปในทิศทางที่ละมุนละม่อม  ไม่ว่าอย่างไร การใช้มุมมองและทัศนคติที่ว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” เพื่อแก้ปัญหาและรับมือกับเรื่องทั้งหลายจะเป็นเหตุให้เรื่องเหล่านั้นพัฒนาไปในทิศทางร้าย  ตัวอย่างเช่นเมื่อศัตรูของพระคริสต์ชักนำผู้คนในคริสตจักรไปในทางที่ผิด หากผู้คนไม่แสวงหาความจริงแต่แค่จับจ้องอยู่กับผู้คนและเรื่องทั้งหลาย หารือกันว่าอะไรถูกและผิด อีกทั้งหาตัวผู้คนมารับผิดชอบ ผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายก็จะเป็นการรับมือกับปัจเจกบุคคลไม่กี่คน และการพิจารณาว่าเรื่องนั้นได้รับการแก้ไขแล้ว  บางคนอาจพูดว่า “พระองค์ตรัสว่า นั่นกำลังพัฒนาไปในทิศทางร้าย แต่ข้าพระองค์ไม่เคยเห็นผลลัพธ์ที่ร้ายแรงอันใดเลย  ศัตรูของพระคริสต์ก็ถูกขับไล่ไปแล้ว ดังนั้น ปัญหานั้นก็แก้ไขแล้วมิใช่หรือ?  ไหนล่ะจุดจบในทางร้ายนี้?”  ทุกคนได้เรียนรู้บทเรียนหนึ่งจากประสบการณ์นี้หรือไม่?  พวกเขาได้เข้าใจความจริงจากเรื่องนี้หรือไม่?  พวกเขาสามารถใช้ปัญญาแยกแยะพวกศัตรูของพระคริสต์หรือไม่?  พวกเขาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาได้ตระหนักถึงพระอธิปไตยของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่มีอันใดในผลที่เป็นบวกเหล่านี้เกิดขึ้นเลย  ในทางตรงข้าม ผู้คนยังคงดำเนินชีวิตโดยปรัชญาเยี่ยงซาตาน แคลงใจ และคุมเชิงใส่กัน และปัดความรับผิดชอบให้กัน  เมื่อเผชิญกับสถานการณ์หนึ่ง พวกเขารีบปกป้องตัวเอง แสวงหาเพียงการรักษาตัวรอดเท่านั้น  พวกเขาเกรงกลัวการที่ต้องรับผิดชอบและการถูกรับมือ  พวกเขาไม่เรียนรู้บทเรียนใดและไม่ยอมรับสิ่งใดจากพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า  ผู้คนสามารถเติบโตในชีวิตได้ในหนทางนี้หรือไม่?  ในท้ายที่สุด ผู้คนก็รู้เพียงสิ่งที่พวกเขาสามารถหรือไม่สามารถทำได้ต่อหน้าผู้นำของตน สิ่งที่พูดหรือทำแล้วทำให้ผู้นำของตนมีความสุข และสิ่งที่พูดหรือทำแล้วทำให้ผู้นำของตนขุ่นเคืองและไม่ชอบพวกเขาก็เท่านั้นเอง  ผลลัพธ์ก็คือผู้คนกลายเป็นคุมเชิงใส่กัน อาศัยการปิดกั้นตัวเอง ปลอมแปลงห่อหุ้มตัวเอง และไม่มีใครที่จริงใจเปิดเผย  ในการห่อหุ้ม คุมเชิง และปลอมแปลงแบบนี้ ผู้คนได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้วหรือ?  ไม่ พวกเขายังไม่มา  หลังได้รับประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มากมาย ผู้คนเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ และพวกเขาเกรงกลัวการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและการเผชิญกับประเด็นปัญหาทั้งหลาย  สุดท้ายพวกเขาก็จะปิดตัวเองโดยสมบูรณ์ ไม่เปิดใจให้กับใครเลย และในหัวใจของพวกเขาก็ปราศจากพระเจ้า  การที่เชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้นั้นอยู่บนพื้นฐานของปรัชญาเยี่ยงซาตานโดยทั้งหมดทั้งสิ้น  ไม่ว่าพวกเขาก้าวผ่านประสบการณ์มากมายเท่าไร พวกเขาก็ไม่สามารถเรียนรู้บทเรียนใด ไม่อาจรู้จักตัวเองได้ นับประสาอะไรที่จะสามารถปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  พวกเขาสามารถมาเข้าใจความจริงและรู้จักพระเจ้าในหนทางนี้ได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถรู้สึกถึงการกลับใจใหม่อย่างแท้จริงหรือไม่?  ไม่ พวกเขาไม่สามารถ  แต่พวกเขากลับเรียนรู้ที่จะคุมเชิงกับผู้อื่น ปกป้องตัวเอง สังเกตสังกาสีหน้าและวาจาของผู้อื่นอย่างระมัดระวัง และหันเหไปตามลมแทน  พวกเขาเรียนรู้ที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมและกลายเป็นมีชั้นเชิงมากขึ้น อีกทั้งมีความสามารถมากขึ้นในการรับมือกับการต่อสู้และการทะเลาะวิวาท  เมื่อเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหา พวกเขาก็หลีกเลี่ยงการรับผิดชอบและปัดไปให้ผู้อื่นแทน  พวกเขาไม่มีสัมพันธภาพอันใดกับพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ หรือความจริงอีกต่อไป  หัวใจของพวกเขาล่องลอยห่างไกลจากพระเจ้าออกไปทุกที  นี่ไม่ใช่พัฒนาการในทางร้ายหรอกหรือ?  (ใช่)  ทิศทางนี้ของพัฒนาการในทางร้ายเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  หากผู้คนมีทัศนะต่อผู้อื่นและสิ่งทั้งหลาย อีกทั้งวางตัวและกระทำไปตามพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงนำความจริงมาเป็นหลักธรรมของตน หากพวกเขาแสวงหาพระวจนะของพระเจ้าเป็นรากฐานยามที่เผชิญปัญหา ค้นคว้าคำตอบทั้งหลายภายในพระวจนะของพระองค์  ระบุบ่งชี้ถึงรากเหง้าของปัญหาจากพระวจนะของพระเจ้า และตรวจดูเพื่อเปรียบเทียบ รวมทั้งใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาและความลำบากยากเย็นทั้งหมด เช่นนั้นแล้วพระวจนะของพระเจ้าย่อมจะจัดเตรียมเส้นทางข้างหน้าเพื่อให้ผู้คนไม่ถูกกีดขวาง สะดุดล้มหรือติดกับอยู่ในเรื่องเหล่านี้  สุดท้ายแล้วพวกเขาย่อมจะเข้าใจหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ในเรื่องเช่นนั้น อีกทั้งมีเส้นทางให้เดินตาม  หากทุกคนได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้ายามที่เผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆ ยอมรับทุกสิ่งจากพระเจ้า เรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้า และมองหลักธรรมความจริงเป็นพื้นฐานในกระบวนการแห่งการแสวงหา ผู้คนจะยังคงคุมเชิงใส่กันหรือไม่?  ผู้ใดจะยังคงไล่ตามเสาะหาว่าอะไรถูกและผิดโดยไม่มีการจัดการแก้ไขรากเหง้าของประเด็นปัญหานั้นหรือไม่?  (ไม่ พวกเขาจะไม่ทำ)  ต่อให้มีใครบางคนไม่ปฏิบัติความจริงและยังคงไล่ตามเสาะหาเรื่องเช่นนั้น พวกเขาก็เป็นพวกนอกกรอบ ถูกทุกคนปฏิเสธ  หากผู้คนสามารถยอมรับสิ่งทั้งหลายจากพระเจ้ายามที่พวกเขาเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น สถานการณ์นั้นก็จะพัฒนาไปในทิศทางที่ละมุนละม่อม  ในที่สุดแล้วผู้คนก็จะมาเข้าใจและรู้จักพระวจนะของพระเจ้าและได้รับความจริง  สิ่งที่ผู้คนปฏิบัติคือความจริง และสิ่งที่พวกเขาสัมฤทธิ์คือเป้าหมายที่ถูกต้องของการได้รับความจริงและการสามารถเป็นพยานให้กับพระเจ้าได้  ความเชื่อของพวกเขาจะเพิ่มขึ้น ความเข้าใจของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าจะเติบโต และพวกเขาจะพัฒนาหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าขึ้นมา  นี่ไม่ใช่ทิศทางที่ละมุนละม่อมของพัฒนาการหรอกหรือ?  (ใช่)  อะไรทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนั้น?  นั่นเป็นเพราะมุมมองและตำแหน่งที่ผู้คนใช้ในทุกเรื่องนั้นถูกต้องและอยู่ในแนวเดียวกับความจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  พูดอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมาได้ว่า มุมมองและตำแหน่งนี้หมายถึง การยอมรับสิ่งทั้งหลายจากพระเจ้าซึ่งนำไปสู่ทิศทางที่ละมุนละม่อมของพัฒนาการและขั้นตอนที่ละมุนละม่อมของพัฒนาการอย่างเป็นธรรมชาติ และสัมฤทธิ์ผลลัพธ์แห่งการเข้าใจความจริงและการรู้จักพระเจ้าไปเอง  อย่างไรก็ตาม หากผู้คนไม่ยอมรับสิ่งทั้งหลายจากพระเจ้า แต่กลับเข้าหาสิ่งทั้งหลายจากมุมมองแบบมนุษย์และปรัชญาเยี่ยงซาตานแทน โดยยังคงพึ่งพาปรัชญาเยี่ยงซาตานในการมีทัศนะต่อสิ่งทั้งหลาย อีกทั้งการจับจ้องอยู่กับผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ทุกสิ่งที่ถูกทำให้เกิดขึ้นจะร้ายแรง  ผลสุดท้ายที่ตามมาก็คือไม่มีใครเข้าใจความจริงและได้รับประโยชน์เลย  นี่คือผลลัพธ์ของการไม่รู้วิธีรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  เพราะฉะนั้นในบางคริสตจักรจึงมีบรรยากาศที่ไม่กลมเกลียวอยู่ท่ามกลางคนบางคนที่ปฏิบัติหน้าที่  พวกเขาสงสัยในตัวกันและกันเสมอ คุมเชิงใส่กัน ติเตียนกันและกัน แข่งขันกัน และโต้เถียงกัน  พวกเขาแอบต่อสู้กันอยู่ในห้วงลึกของหัวใจ  นี่ยืนยันสิ่งหนึ่งที่ว่า ไม่มีใครเลยในกลุ่มนี้ที่แสวงหาความจริง ไม่มีใครเลยที่ยอมรับเรื่องทั้งหลายที่มาจากพระเจ้ายามเผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านั้น  พวกเขาล้วนเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ และไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ในทางกลับกัน ในบางคริสตจักร มีคนบางคนซึ่งทั้งที่มีวุฒิภาวะน้อยและไม่เข้าใจความจริงมากนัก แต่ก็ยังสามารถยอมรับเรื่องทั้งหลายจากพระเจ้าในทุกสถานการณ์ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก และจากนั้นก็ปฏิบัติและรับประสบการณ์ไปตามพระวจนะของพระเจ้าและเข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า  ถึงแม้บางคราวผู้คนเหล่านี้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอยู่ด้วยกันจะถกเถียง โต้แย้งและทะเลาะวิวาทกัน แต่ก็มีบรรยากาศบางอย่างท่ามกลางพวกเขา บรรยากาศที่ไม่พบเจอท่ามกลางพวกผู้ไม่เชื่อ  ยามที่พวกเขามาอยู่รวมกันเพื่อทำสิ่งใดก็ตาม นั่นมีความกลมเกลียวกันเป็นพิเศษ เหมือนครอบครัวหรือญาติพี่น้อง ไม่มีช่องว่างระหว่างหัวใจของพวกเขา และพวกเขาก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการทำงาน  การปรากฏอยู่ของบรรยากาศกลมเกลียวแสดงให้เห็นว่า อย่างน้อยบรรดาผู้ตรวจการณ์หรือบุคคลหลักสองสามคนก็แสวงหาความจริงและรับมือกับเรื่องทั้งหลายในหนทางที่ถูกยามที่เผชิญกับปัญหา และได้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์อย่างแท้จริงในการนำหลักธรรมแห่ง “การยอมรับทุกสิ่งจากพระเจ้า” มาทำให้เป็นผล  มีผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้า แต่เพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือรับพระวจนะของพระเจ้าไว้อย่างจริงจัง พวกเขาจึงได้เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีโดยไม่มีการเข้าสู่ชีวิต  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่ยอมรับว่านั่นมาจากพระเจ้า และพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันแบบมนุษย์ในการสัมผัสรู้สิ่งทั้งหลายแทนอยู่เสมอ  พวกเขาไม่สามารถรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าได้  ในคริสตจักรหนึ่ง หากมีปัจเจกบุคคลสองสามคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและสามารถมองเห็นว่าสิ่งต่างๆ มากมายถูกจัดการเตรียมการและลิขิตโดยพระเจ้า พวกเขาก็สามารถพึ่งพาพระเจ้า แสวงหาความจริงอย่างแข็งขัน ปฏิบัติความจริง และรับมือกับสิ่งทั้งหลายไปตามหลักธรรมความจริง  ในคริสตจักรเช่นนั้น บรรยากาศแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เกิดขึ้น  แน่นอนว่าผู้คนสามารถรู้สึกถึงบรรยากาศอันกลมเกลียวน่าชื่นชมเป็นพิเศษนี้ และกรอบความคิดของพวกเขาก็อยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดเป็นธรรมดา  ที่เฉพาะเจาะจงกว่านั้นคือ มีความเข้าใจซึ่งกันและกันท่ามกลางผู้คน มีความทะเยอทะยาน เป้าหมาย และแรงจูงใจร่วมกันเพื่อการไล่ตามเสาะหาลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา  เพราะการนี้พวกเขาจึงสามารถรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้  ในคริสตจักรเช่นนั้น เจ้าสามารถรับประสบการณ์กับบรรยากาศอันกลมเกลียวเป็นพิเศษ  บรรยากาศนี้เติมความมั่นใจให้กับผู้คนและจูงใจให้พวกเขาไล่ตามเสาะหาความก้าวหน้า  พวกเขารู้สึกมีพลังในหัวใจและราวกับว่าพวกเขาเรี่ยวแรงอันไม่รู้หมดสิ้นที่จะสละเพื่อพระเจ้า  ความรู้สึกนี้น่าชื่นชมอย่างเหลือเชื่อ  ผู้ใดก็ตามที่เข้าร่วมการชุมนุมในคริสตจักรนี้สามารถชื่นชมบรรยากาศนี้และชื่นชมสำนึกของความมั่นใจ  ณ เวลาเช่นนั้น พวกเขารู้สึกราวกับตัวเองกำลังดำรงชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า ราวกับว่าพวกเขาอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้าในทุกๆ วัน  นั่นเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างไปอย่างแท้จริง  ในคริสตจักรเหล่านั้นที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้กำลังทรงพระราชกิจ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาไม่สามารถยอมรับสิ่งทั้งหลายจากพระเจ้าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ และพวกเขาก็พึ่งพาหนทางและวิถีทางแบบมนุษย์ในการควบควบทุกสิ่ง  ในชุมนุมชนเช่นนั้น ความรู้สึกระหว่างผู้คนแตกต่างกัน และสัมพันธภาพระหว่างผู้คน อีกทั้งบรรยากาศที่ถูกสร้างขึ้นก็แตกต่างไปด้วยเช่นกัน  เจ้าไม่รู้สึกถึงบรรยากาศแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือบรรยากาศของการรักกันเลย  เจ้าเพียงสามารถรู้สึกถึงความเย็นชาแทนเท่านั้น  นั่นกล่าวได้ว่า ผู้คนเย็นชาใส่กัน  พวกเขาทั้งหมดคุมเชิงใส่กัน โต้เถียงกัน แอบแข่งขันกัน และเพียรพยายามที่จะอยู่แซงหน้ากันและกัน  ไม่มีใครนบนอบต่ออีกฝ่ายเลย และพวกเขาถึงกับกดขี่กัน กีดกันออกจากกลุ่ม และลงโทษกัน  พวกเขาเป็นเหมือนพวกผู้ไม่เชื่อในที่ทำงาน โลกธุรกิจและการเมือง และทำให้เจ้ารู้สึกขยะแขยง เกลียด และเกรงกลัว ทำให้เจ้าไม่มีสำนึกของความมั่นคงปลอดภัย  หากเจ้าได้รับประสบการณ์เช่นนั้นในผู้คนกลุ่มใด เจ้าก็จะเห็นความถูกต้องไม่มีผิดของถ้อยแถลงที่ว่า “มวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ” และนั่นจะทำให้เจ้ายิ่งรักพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้นไปอีก  หากปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นก็คือเมื่อมนุษย์ ซาตาน ความรู้ หรือผู้ปราศจากความเชื่อครองอำนาจ บรรยากาศก็แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง  นั่นจะทำให้เจ้ารู้สึกไม่ชูใจและไร้ความชื่นบาน และไม่นานเจ้าก็จะรู้สึกอึดอัดและกดดัน  ความรู้สึกนี้มาจากซาตานและจากมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม นั่นถูกต้องไม่มีผิด  การสามัคคีธรรมสรุปปิดลงตรงหัวข้อนี้นี่เอง

ชำแหละสิ่งที่ผู้คนยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม

II. คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิม

ด. ชำแหละคำกล่าวที่ว่า “ไม่ว่าผู้อื่นจะวางใจมอบอะไรให้ทำ ก็จงพยายามอย่างที่สุดที่จะทำอย่างสัตย์ซื่อ”

เมื่อพูดถึงคำกล่าวเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เราสามัคคีธรรมไปเมื่อคราวที่ผ่านมาว่า “ทุกคนมีส่วนแบ่งปันความรับผิดชอบต่อชะตากรรมของประเทศตน”  วันนี้เราจะสามัคคีธรรมต่อเกี่ยวกับ “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า”  วลีนี้ก็เป็นทัศนคติของผู้ไม่มีความเชื่ออย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน เหมือนกันไม่มีผิดกับวลีก่อนหน้าที่ว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลวของสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้คน” ที่เราสามัคคีธรรมไป  ทัศนคติของผู้ไม่มีความเชื่อแพร่สะพัดอยู่ท่ามกลางผู้คนและสามารถได้ยินได้ในทุกแห่งหน  นับจากอึดใจที่ผู้คนเริ่มพูด พวกเขาเรียนรู้คำกล่าวทุกประเภทจากผู้คน จากผู้ที่ไม่มีความเชื่อ จากซาตาน และจากโลก  นั่นเริ่มด้วยการศึกษาเบื้องต้นที่ผู้คนถูกสอนโดยพ่อแม่และครอบครัวของตนเกี่ยวกับวิธีวางตัว สิ่งที่จะพูด ศีลธรรมที่ต้องมี ประเภทของความคิดและบุคลิกภาพที่ต้องมี เป็นต้น  แม้กระทั่งหลังจากเข้าสู่สังคม ปัจเจกบุคคลทั้งหลายก็ยังคงยอมรับการปลูกฝังของคำสอนและทฤษฎีสารพัดจากซาตานโดยไม่รู้ตัว  “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” ถูกปลูกฝังในทุกตัวบุคคลโดยครอบครัวหรือสังคมว่าเป็นหนึ่งในการประพฤติปฏิบัติติทางศีลธรรมที่ผู้คนต้องมี  หากเจ้ามีการประพฤติปฏิบัติติทางศีลธรรมนี้ ผู้คนก็พูดว่าเจ้านั้นสูงศักดิ์ มีเกียรติ มีความสัตย์สุจริต และว่าเจ้าได้รับความเคารพนับถือและการคำนึงถึงอย่างสูงส่งจากสังคม  เนื่องจากวลี “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” มาจากผู้คนและจากซาตาน นั่นจึงกลายเป็นวัตถุที่พวกเราชำแหละและใช้ปัญญาแยกแยะ และยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ เป็นวัตถุที่พวกเราละทิ้ง  เหตุใดพวกเราจึงใช้ปัญญาแยกแยะและละทิ้งวลีนี้เล่า?  อันดับแรกพวกเรามาตรวจสอบกันว่าวลีนี้ถูกต้องหรือไม่ และว่าบุคคลที่ทำตามวลีนี้นั้นถูกหรือ  การที่บุคคลหนึ่งซึ่งมีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมจะ “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” นั้นเป็นการสูงศักดิ์อย่างแท้จริงหรือ?  บุคคลเช่นนั้นมีความเป็นจริงความจริงหรือ?  พวกเขามีความเป็นมนุษย์และหลักธรรมในการประพฤติปฏิบัติที่พระเจ้าตรัสว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีหรือ?  พวกเจ้าทุกคนเข้าใจวลีที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” หรือไม่?  ก่อนอื่นจงอธิบายเป็นคำพูดของตัวพวกเจ้าเองว่าวลีนี้หมายความว่าอะไร  (วลีนี้หมายความว่า เมื่อใครบางคนไว้วางใจมอบหมายกิจหนึ่งให้คุณ คุณก็ควรทุ่มเทความพยายามทั้งสิ้นในการทำกิจนั้นให้เสร็จ)  นี่ควรเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  หากใครบางคนไว้วางใจมอบหมายกิจหนึ่งให้เจ้า พวกเขาไม่คิดกับเจ้าอย่างสูงส่งหรอกหรือ?  พวกเขาคิดกับเจ้าอย่างสูงส่ง เชื่อในตัวเจ้า และคิดว่าเจ้าเชื่อใจได้  ดังนั้นไม่ว่าผู้อื่นขอให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็ควรตกลงและทำสิ่งนั้นให้ดีและครบถ้วนตามข้อพึงประสงค์ของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงมีความสุขและพึงพอใจ  เจ้าเป็นคนดีในการทำเช่นนั้น  นัยแฝงก็คือ การที่เจ้าได้รับพิจารณาว่าเป็นบุคคลที่ดีหรือไม่นั้น ถูกกำหนดโดยการที่บุคคลซึ่งไว้วางใจมอบหมายกิจนั้นให้เจ้ามีความพึงพอใจหรือไม่  เรื่องนี้สามารถอธิบายในหนทางนี้ได้หรือไม่?  (ได้)  แล้วนั่นไม่ง่ายหรอกหรือที่จะถูกมองว่าเป็นบุคคลที่ดีในสายตาของผู้อื่นและได้รับการระลึกถึงจากสังคม?  (ง่าย)  ที่ว่า “ง่าย” หมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายความว่ามาตรฐานนั้นต่ำมากและไม่สูงศักดิ์เลย  หากเจ้าทำได้ตามมาตรฐานทางศีลธรรมของ “การทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” เจ้าย่อมถูกพิจารณาว่าเป็นบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมในเรื่องต่างๆ เช่นนั้น  โดยนัยแฝงแล้ว นั่นหมายความว่า เจ้ากำลังคู่ควรกับความมั่นใจของผู้คนในการไว้วางใจให้จัดการกิจทั้งหลายของพวกเขา ว่าเจ้าเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตา และว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ดี  นั่นคือความหมายของคำกล่าวนี้  พวกเจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรือ?  พวกเจ้ามีข้อคัดค้านใดหรือไม่ต่อมาตรฐานของการตัดสินและการประเมินวลีที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า”?  หากพวกเจ้าสามารถยกตัวอย่างที่หักล้างคำกล่าวนี้และเปิดโปงความเป็นเหตุผลวิบัติของวลีนี้ นั่นก็คือ เจ้าสามารถใช้ตัวอย่างตามจริงมาพิสูจน์ความไม่ถูกต้องของคำกล่าวนี้ เช่นนั้นแล้วคำกล่าวนี้ย่อมจะไม่ได้รับการยอมรับ  ทีนี้ในทางทฤษฎี พวกเจ้าอาจเชื่อแล้วว่าคำกล่าวนี้ไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิงเพราะนั่นไม่ใช่ความจริงและไม่ได้มาจากพระเจ้า  เจ้าสามารถใช้ข้อเท็จจริงมาล้มล้างคำกล่าวนี้ได้อย่างไร?  ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีธุระยุ่งเกินกว่าจะไปจับจ่ายของชำได้ในวันนี้ เจ้าก็สามารถไว้วางใจมอบหมายให้เพื่อนบ้านทำแทนเจ้าได้  เจ้าสามารถบอกพวกเขาอย่างแน่ชัดว่าจะซื้ออาหารอะไร จะซื้อมากแค่ไหน และจะซื้อเมื่อไร  หลังจากนั้นเพื่อนบ้านก็ซื้อพวกของชำไปตามคำร้องขอของเจ้าและนำของชำเหล่านั้นมาส่งตรงเวลา  นี่ถือว่าเป็น “การทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับพวกเขา” หรือไม่?  นี่ถือว่าเป็นการมีหน้ามีตาหรือไม่?  นี่แทบไม่ใช่แม้แต่การกระดิกนิ้วด้วยซ้ำ  การสามารถช่วยใครบางคนซื้อบางสิ่งถูกมองว่าเป็นการมีบุคลิกลักษณะในทางศีลธรรมที่สูงใช่หรือไม่?  (นั่นไม่ใช่)  ในส่วนของการที่พวกเขาทำสิ่งไม่ดีหรือไม่ และอะไรคือบุคลิกลักษณะของพวกเขา สิ่งเหล่านี้มีอะไรเกี่ยวข้องแม้สักนิดกับความสามารถของพวกเขาที่จะ “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับพวกเขา” หรือไม่?  หากบุคคลหนึ่งสามารถทำดีที่สุดให้สำเร็จลุล่วงในสิ่งเล็กน้อยที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้พวกเขา  พวกเขามีมาตรฐานของบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมหรือไม่?  การที่สามารถทำกิจเล็กน้อยเช่นนั้นให้สำเร็จลุล่วงเป็นการพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมสูงอย่างแท้จริงหรือ?  บางคนพูดว่า “บุคคลผู้นี้เชื่อใจได้อย่างมาก  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาถูกขอให้นำส่งบางสิ่ง ไม่ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรหรือราคาเท่าไร พวกเขาจะกลับมาพร้อมสิ่งนั้นเสมอ  พวกเขาพึ่งพาได้และมีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมที่ดี”  นี่คือวิธีที่ผู้อื่นมองเห็นและประเมินค่าของพวกเขา การประเมินค่าเช่นนั้นเหมาะควรหรือไม่?  (ไม่ นั่นไม่เหมาะควร)  เจ้าทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกัน  โดยทั่วไปแล้วเพื่อนบ้านย่อมไม่หันหลังให้กันหรือทำอันตรายกันเพราะพวกเขาพบเจอกันเป็นประจำอยู่แล้ว  หากมีความขัดแย้ง นั่นย่อมกลายเป็นเรื่องยากที่จะมีปฏิสัมพันธ์กันในภายหลัง  บางทีเพื่อนบ้านคนนั้นก็ช่วยเหลือเจ้าเพราะการคำนึงถึงเรื่องนี้  นั่นอาจเป็นได้ด้วยว่าการทำความเอื้อเฟื้อเล็กน้อยนี้สะดวกสำหรับพวกเขา ไม่ใช่กิจที่ลำบากยากเย็น และพวกเขาไม่ได้ทนทุกข์กับการสูญเสียใด  ยิ่งไปกว่านั้น นั่นได้ช่วยให้พวกเขาฝากความประทับใจที่ดีไว้และได้รับความมีหน้ามีตาอันดีซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา  นอกจากนั้นการช่วยเหลือเจ้าด้วยความเอื้อเฟื้อเล็กน้อยทั้งหลายย่อมจะทำให้พวกเขาขอความเอื้อเฟื้อจากเจ้าในภายหลังได้สะดวกง่ายดายไม่ใช่หรือ?  บางทีพวกเขาอาจจะขอความเอื้อเฟื้อใหญ่โตจากเจ้าในภายภาคหน้าและเจ้าก็จะมีภาระผูกพันที่ต้องทำสิ่งนั้น  บุคคลนี้เปิดทางเลือกไว้ให้ตัวพวกเขาใช่หรือไม่?  ยามที่ผู้คนช่วยเหลือกัน  มีปฏิสัมพันธ์กัน และรับมือกันนั้น มีจุดประสงค์อยู่หนึ่งอย่าง  หากพวกเขามองว่าเจ้าไม่มีประโยชน์ และพวกเขาจะไม่ขอความช่วยเหลือจากเจ้าในภายหลัง พวกเขาก็อาจจะไม่ช่วยเอื้อเฟื้อเรื่องนี้ให้เจ้า  เป็นไปได้ว่าเจ้ามีแพทย์ ทนายความ เจ้าหน้าที่รัฐ หรือปัจเจกบุคคลที่มีสถานภาพทางสังคมอยู่ในครอบครัวของเจ้าซึ่งมีประโยชน์ต่อบุคคลนี้ในบางหนทาง  พวกเขาอาจจะช่วยเจ้าเพื่อที่จะเปิดทางเลือกไว้ให้ตนเอง  บางทีพวกเขาจะใช้เจ้าณ เวลาหนึ่งในภายหน้า หรืออย่างน้อยที่สุด ก็คือพบว่านั่นเป็นการสะดวกที่จะหยิบยืมเครื่องมือเครื่องใช้จากบ้านเจ้า  บางคราวเจ้าก็ไว้วางใจมอบหมายให้พวกเขาทำสิ่งเล็กน้อยที่เอื้อเฟื้อแก่เจ้า และหลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกเขาก็มาที่บ้านเจ้าเพื่อยืมสิ่งของ  ผู้คนจะไม่กระดิกนิ้วเลยเว้นเสียแต่ว่ามีบางสิ่งเพื่อตัวพวกเขาเองอยู่ในนั้น!  จงมองดูสิว่ายามที่เจ้าขอความเอื้อเฟื้อจากพวกเขา พวกเขาตกปากรับคำอย่างรวดเร็วอย่างไร โดยมีรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขา และดูเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่อันที่จริงพวกเขาได้คำนวณอย่างรอบคอบในใจของตน เพราะไม่มีความคิดของผู้ใดเลยที่เรียบง่าย  มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราได้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อซ่อมเสื้อผ้าของเรา  หญิงชราผู้ที่ซ่อมเสื้อผ้ามีลูกสาวที่กำลังจะกลับมายังประเทศบ้านเกิด  เพื่อนบ้านของเธอมีรถยนต์ ดังนั้นหญิงชราจึงไว้วางใจมอบหมายให้เพื่อนบ้านรายนี้ไปรับลูกสาวของเธอที่สนามบิน เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าแท็กซี่  เพื่อนบ้านตกลงและหญิงชราก็ปีติยินดี  อย่างไรก็ตาม เพื่อนบ้านคนนี้ก็ไม่ได้เรียบง่ายอะไรขนาดนั้น  เขาไม่ได้ต้องการทำสิ่งนั้นโดยไม่คิดค่าตอบแทน  ทันทีที่เขาตกลง เขาก็นิ่งอยู่ตรงนั้นพลางค่อยๆ ดึงเสื้อผ้าออกมาชิ้นหนึ่งและพูดว่า “คุณคิดว่าเสื้อผ้าของผมนี่พอจะแก้ได้ไหม?”  หญิงชราผงะไปและสีหน้าของนางดูเหมือนพูดว่า “ทำไมบุคคลนี้ถึงฉวยโอกาสในสิ่งเล็กน้อยเช่นนี้?  เขาตกลงอย่างเต็มใจเหลือเกิน แต่กลับกลายเป็นว่าเขาไม่ได้ต้องการทำฟรี”  หญิงชราตอบกลับอย่างเร็วหลังผ่านไปไม่ชั่วอึดใจ “ได้เลย วางไว้ตรงนั้นเลย แล้วฉันจะแก้ให้คุณ”  ไม่มีการเอ่ยถึงเงินเลย  จงดูเถิดว่าการส่งใครบางคนไปทำธุระเรียบง่ายอย่างหนึ่งนั้นทีค่าเทียบเท่าการปรับแก้เสื้อผ้าหนึ่งชิ้น  นี่ก็หมายความว่าไม่มีใครขาดทุนไม่ใช่หรือ?  ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั้นเรียบง่ายหรือไม่?  (ไม่ ไม่เรียบง่าย)  ไม่มีอะไรเรียบง่ายเลย  ในสังคมมนุษย์ ทุกปัจเจกบุคคลมีกรอบความคิดในเชิงธุรกรรมและทุกคนทำธุรกรรม  ทุกคนสร้างข้อเรียกร้องกับผู้อื่นและพวกเขาทุกคนต้องการได้กำไรจากค่าใช้จ่ายของผู้อื่นโดยไม่ยอมให้ตนทนทุกข์กับการขาดทุนใดๆ  คนบางคนพูดว่า “ท่ามกลางพวกที่ ‘ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจ’ ก็มีคนมากมายเช่นกันที่ไม่พยายามแสวงกำไรจากการใช้จ่ายของผู้อื่น  พวกเขาเพียงมีจุดมุ่งหมายที่จะทำดีที่สุดที่จะรับมือกับสิ่งทั้งหลายให้ดี ผู้คนเหล่านี้มีคุณธรรมอย่างแท้จริง”  คำกล่าวนี้ไม่ถูกต้อง  ต่อให้พวกเขาไม่แสวงหาความมั่งคั่ง สมบัติพัสถานที่เป็นวัตถุหรือประโยชน์ประเภทใดก็ตาม แต่พวกเขาก็แสวงหาความมีชื่อเสียงจริงๆ  อะไรคือ “ความมีชื่อเสียง” นี้?  นั่นหมายถึง “ฉันได้ยอมรับความไว้วางใจของผู้คนให้รับมือกับกิจของพวกเขา  ไม่สำคัญว่าบุคคลซึ่งไว้วางใจมอบหมายให้ฉันจะอยู่ตรงนั้นหรือไม่ ตราบที่ฉันทำดีที่สุดเพื่อรับมือกิจนั้นให้ออกมาดี ฉันก็จะมีหน้ามีตาไปในทางที่ดี  อย่างน้อยที่สุดคนบางคนก็จะรู้ว่าฉันเป็นคนดี เป็นคนที่มีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมที่สูงส่ง เป็นใครบางคนที่ควรค่าแก่การเอาเป็นแบบอย่าง  ฉันสามมารถจับจองที่ทางท่ามกลางผู้คนและฝากความมีหน้ามีตาในทางที่ดีไว้เบื้องหลังในผู้คนกลุ่มหนึ่ง  นั่นก็คุ้มค่าด้วยเหมือนกัน!”  ส่วนคนอื่นๆ ก็พูดว่า “‘ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า’ และในเมื่อผู้คนได้ไว้วางใจมอบหมายให้เรา ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ตรงนั้นหรือไม่ พวกเราควรรับมือกับกิจของพวกเขาและติดอยู่กับกิจนั้นจนจบ  ต่อให้พวกเราไม่สามารถทิ้งมรดกอันยั่งยืนไว้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่สามารถวิจารณ์ตามหลังว่าพวกเราไม่มีความน่าเชื่อถือ  พวกเราไม่อาจปล่อยให้ชนรุ่นหลังถูกแบ่งแยกและทนทุกข์กับความไม่ยุติธรรมประเภทนี้”  พวกเขากำลังแสวงหาอะไรหรือ?  พวกเขายังคงแสวงหาความมีชื่อเสียง  คนบางคนให้ความสำคัญใหญ่หลวงกับความมั่งคั่งและสมบัติพัสถาน ในขณะที่คนอื่นให้ค่ากับความมีชื่อเสียง  “ความมีชื่อเสียง” หมายถึงอะไร?  อะไรคือการแสดงออกที่เฉพาะเจาะจงสำหรับ “ความมีชื่อเสียง” ท่ามกลางผู้คน?  นั่นคือการถูกเรียกว่าคนดีและใครบางคนที่มีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมสูง บุคคลตัวอย่างของความเป็นเลิศ ผู้ทรงคุณธรรม หรือธรรมิกชน  เป็นเพราะเรื่องเดียวที่คนบางคนประสบความสำเร็จใน “การทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับพวกเขา” และมีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมประเภทนี้ พวกเขาถึงกับได้รับการสรรเสริญอย่างถาวร และเชื้อสายของพวกเขาก็ได้ประโยชน์จากความมีชื่อเสียงของพวกเขา  เจ้าก็เห็นว่านี่มีค่ามากมายกว่าประโยชน์อันน้อยนิดที่พวกเขาสามารถได้รับอยู่ในปัจจุบัน  เพราะฉะนั้นจุดเริ่มต้นสำหรับใครก็ตามที่ยึดปฏิบัติตามสิ่งที่เรียกกันว่ามาตรฐานทางศีลธรรมต่อ “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” ย่อมไม่ง่ายดายนัก  พวกเขาไม่เพียงกำลังเสาะแสวงที่จะลุล่วงภาระผูกพันและความรับผิดชอบของตนในฐานะปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่พวกเขากลับยึดปฏิบัติตามสิ่งนั้นทั้งเพื่อผลตอบแทนและเพื่อความมีหน้ามีตาส่วนบุคคล ทั้งสำหรับชีวิตนี้และชีวิตหลังความตาย  แน่นอนว่าพวกเขาเป็นพวกที่ปรารถนาจะหลีกเลี่ยงการถูกวิจารณ์ลับหลังและหลีกเลี่ยงการเสียชื่อเสียง  พูดสั้นๆ ก็คือ จุดเริ่มต้นที่ผู้คนทำสิ่งประเภทนี้นั้นไม่เรียบง่าย นั่นไม่ใช่จุดเริ่มต้นจากมุมมองของความเป็นมนุษย์จริงๆ และไม่ใช่จากความรับผิดชอบทางสังคมของมวลมนุษย์  เมื่อมองเรื่องนี้จากเจตนารมณ์และจุดเริ่มต้นของผู้คนในการทำสิ่งทั้งหลายเช่นนั้น ผู้คนซึ่งยึดมั่นถือมั่นอยู่กับวลี “การทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” นั้นไม่มีสักจุดประสงค์เลยที่ไม่ซับซ้อน

ตอนนี้เองที่พวกเราเพิ่งชำแหละคำกล่าวเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม “การทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” จากเจตนารมณ์และจุดประสงค์ของผู้คนในการทำสิ่งทั้งหลาย อีกทั้งจากความมักใหญ่ใฝ่สูงและจากความอยากได้อยากมีของผู้คน  นี่ก็เป็นแง่มุมหนึ่ง  จากอีกแง่มุม “การทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” ก็มีอีกข้อผิดพลาด  ข้อผิดพลาดนั้นคืออะไร?  ผู้คนถือว่าพฤติกรรม “การทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” นั้นสูงศักดิ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่พวกเขาไม่รู้ว่าตนเองไม่อาจมีปัญญาแยกแยะได้ว่าสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้นั้นยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม  หากกิจนั้นที่ใครบางคนไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้านั้นเป็นกิจที่ธรรมดาทั่วไปอย่างมาก เป็นบางสิ่งที่สำเร็จลุล่วงโดยง่าย บางสิ่งที่ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง เช่นนั้นแล้วความสัตย์ซื่อก็จะไม่เข้ามามีบทบาทในกิจนั้นเลย เพราะเมื่อผู้คนมาร่วมงานกันและเคียงข้างไปด้วยกัน ก็เป็นปกติที่พวกเขาจะไว้วางใจมอบหมายกิจทั้งหลายให้กัน  นั่นง่ายราวกับการกระดิกนิ้ว  ไม่ต้องถามเลยว่าบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมของใครบางคนนั้นสูงศักดิ์หรือว่าต่ำต้อยกว่า  นั่นมาไม่ถึงระดับนี้  กระนั้นก็ตาม หากกิจที่ใครบางคนไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้ามีความสำคัญใหญ่หลวง เป็นกิจใหญ่ดังเช่นกิจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตาย ชะตากรรม หรืออนาคต และเจ้ายังคงปฏิบัติต่อกิจนั้นเหมือนเป็นเรื่องทั่วไป ทำให้ดีที่สุดที่จะรับมือกับกิจนั้นโดยปราศจากวิจารณญาณ ปัญหาทั้งหลายอาจเกิดขึ้นได้ตรงนี้เอง  ปัญหาอะไรหรือ?  หากกิจที่ถูกไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้านั้นถูกควร สมเหตุผล ยุติธรรม เป็นบวก และจะไม่เป็นเหตุให้เกิดอันตรายหรือความสูญเสียใดต่อผู้อื่น หรือมีผลกระทบที่เป็นลบอันใดต่อมวลมนุษย์ เช่นนั้นแล้ว การยอมรับกิจนั้นและทำให้ดีที่สุดที่จะรับมือกับกิจนั้นอย่างสัตย์ซื่อก็ย่อมไม่เป็นไร  นี่คือความรับผิดชอบที่เจ้าควรลุล่วงและหลักธรรมที่เจ้าควรยึดปฏิบัติตาม  กระนั้นก็ตาม หากกิจที่เจ้ายอมรับนั้นไม่ยุติธรรมและจะก่อให้เกิดอันตราย การรบกวน การทำลาย หรือถึงกับสูญเสียชีวิตต่อผู้อื่นหรือต่อมวลมนุษย์ และเจ้ายังคงทำให้ดีที่สุดที่จะรับมือกับกับกิจนั้นอย่างสัตย์ซื่อ เช่นนั้นแล้วจะพูดเกี่ยวกับบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมของเจ้าว่าอย่างไรดีเล่า?  นั่นดีหรือไม่ดี?  (นั่นไม่ดี)  นั่นไม่ดีแบบไหน?  คนบางคนติดตามบุคคลที่ไม่เที่ยงธรรมหรือกลายเป็นเพื่อนกับพวกเขา และทั้งคู่คำนึงถึงกันและกันว่าเป็นเพื่อนสนิท  พวกเขาไม่สนใจว่าเพื่อนคนนี้ดีหรือไม่ดี ตราบที่เป็นกิจซึ่งเพื่อนของพวกเขาไว้วางใจมอบหมายให้ พวกเขาจะทำดีที่สุดที่จะรับมือกับกิจนั้นให้ดี  หากเพื่อนคนนั้นขอให้พวกเขาฆ่าใครบางคน พวกเขาก็จะฆ่าคนเหล่านั้น หากผองเพื่อนขอให้พวกเขาทำอันตรายใครก็ตาม พวกเขาจะทำอันตรายคนเหล่านั้น และหากผองเพื่อนขอให้พวกเขาทำลายบางสิ่ง พวกเขาก็จะทำ  ตราบที่เป็นกิจซึ่งเพื่อนของพวกเขาไว้วางใจมอบหมายให้ พวกเขาจะทำกิจนั้นโดยปราศจากการใช้ปัญญาแยกแยะและปราศจากความสุขุมรอบคอบ  พวกเขาเชื่อว่าพวกเขากำลังดำเนินการตามคำกล่าวอ้าง “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า”  นี่บอกอะไรเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์และบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมของพวกเขาหรือ?  นี่ดีหรือไม่ดี?  (นี่ไม่ดี)  แม้แต่ผู้คนที่ไม่ดีก็สามารถ “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับพวกเขา” แต่ประเภทของกิจทั้งหลายที่ผู้คนอื่นได้ไว้วางใจมอบหมายให้กับพวกเขาและที่พวกเขาทำดีที่สุดในการรับมือให้ดีนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ชั่วและเป็นลบ  หากสิ่งที่ผู้คนอื่นได้ไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้าคือการทำอันตรายผู้คน ฆ่าผู้คน ขโมยทรัพย์สมบัติของผู้อื่น แก้แค้น หรือทำผิดกฎหมาย นั่นถูกหรือไม่?  (ไม่ นั่นไม่ถูก)  เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งที่ทำอันตรายผู้คน สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความประพฤติชั่วและอาชญากรรม  หากใครบางคนไว้วางใจมอบหมายกิจที่ชั่วให้กับเจ้า และเจ้าก็ยังคงยึดติดอยู่กับหลักธรรมทางวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” โดยพูดว่า “ในเมื่อคุณได้ไว้วางใจมอบหมายให้กับฉัน นั่นก็หมายความว่าคุณเชื่อใจฉัน คิดกับฉันอย่างสูงส่ง และปฏิบัติกับฉันเหมือนเป็นคนของคุณ  เป็นเพื่อนของคุณ และไม่เหมือนเป็นคนนอก  เพราะฉะนั้น ฉันจะทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อกับสิ่งใดก็ตามที่คุณได้ไว้วางใจมอบหมายให้ฉัน  ฉันสาบานด้วยชีวิตที่จะรับมือให้ดีกับสิ่งที่คุณไว้วางใจมอบหมายให้กับฉัน และฉันจะไม่มีวันคืนคำ” เช่นนั้นแล้วนี่เป็นบุคคลประเภทใดเล่า?  นี่ไม่ใช่วายร้ายตัวจริงหรอกหรือ?  (ใช่)  นี่คือวายร้ายตัวใหญ่  ดังนั้นเจ้าควรปฏิบัติอย่างไรต่อสิ่งประเภทที่ “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า”?  หากใครบางคนไว้วางใจมอบหมายกิจอันเรียบง่ายอย่างหนึ่งให้กับเจ้า บางสิ่งซึ่งธรรมดาทั่วไปอย่างมากในการจัดการกับผู้คน เช่นนั้นแล้วต่อให้เจ้าทำกิจนั้น นั่นก็พูดไม่ได้ว่าบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมของเจ้านั้นสูงศักดิ์หรือไม่  หากใครบางคนไว้วางใจมอบหมายกิจซึ่งใหญ่โตและสำคัญมากแก่เจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ต้องใช้ปัญญาแยกแยะว่ากิจนั่นเป็นบวกหรือเป็นลบ และว่านั่นเป็นบางสิ่งที่คุณสมบัติภายในของเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้หรือไม่  หากไม่ใช่บางสิ่งที่เจ้าสัมฤทธิ์ได้ เจ้าก็ทำสิ่งที่เจ้าทำได้  หากนั่นไม่ใช่กิจที่เป็นลบ กิจที่ผิดกฎหมาย ทำอันตรายผลประโยชน์หรือชีวิตของผู้อื่น หรือถึงกับทำลายความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้และอนาคตของผู้อื่น และเจ้าก็ยังคงยึดติดอยู่กับมาตรฐานทางศีลธรรมที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” เช่นนั้นเจ้าก็คือวายร้ายคนหนึ่ง  บนพื้นฐานของมุมมองเหล่านี้ หลักธรรมที่ผู้คนควรปฏิบัติตามเมื่อยอมรับกิจทั้งหลายที่ได้รับการไว้วางใจมอบหมายให้มาก็ไม่ควรเป็น “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า”  คำกล่าวนี้ไม่แม่นยำ นี่มีช่องโหว่และปัญหาซึ่งมีนัยสำคัญและชักพาให้ผู้คนหลงผิดอย่างใหญ่หลวง  หลังจากที่ยอมรับคำกล่าวนี้ แน่นอนว่าผู้คนมากมายจะใช้คำกล่าวนี้ประเมินค่าการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้อื่น ใช้ประเมินวัดตัวเองและบังคับควบคุมศีลธรรมของตนโดยปราศจากคำถาม  กระนั้นพวกเขาก็ไม่รู้ว่าใครในโลกที่มีค่าคู่ควรแก่การไว้วางใจมอบหมายกิจที่ยุติธรรม เป็นบวก เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น มีคุณค่า และนำพาความรุ่งเรืองมาสู่มนุษยชาติ  ไม่มีเลย  เพราะฉะนั้นหากเจ้าใช้มาตรฐานที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” มาประเมินวัดคุณสมบัติทางศีลธรรมของบุคคลหนึ่ง ไม่เพียงมีข้อกังขาและปัญหามากมายเกินกว่าที่จะผ่านการทดสอบของการการพินิจพิเคราะห์ แต่นั่นยังปลูกฝังมโนทัศน์ที่ผิดในตัวผู้คน อีกทั้งหลักธรรมที่ผิดและทิศทางที่ผิดสำหรับการจัดการเรื่องทั้งหลายดังกล่าว โดยชักพาให้หลงผิด ทำให้หมดสิ้นเรี่ยวแรงและนำให้ผู้คนคิดไปในทางที่ผิด  เพราะฉะนั้นไม่ว่าเจ้าวิเคราะห์หรือชำแหละคำกล่าวนี้อย่างไรในการดำรงอยู่ของคำกล่าวนี้ก็ไม่มีคุณค่าอยู่เลย คำกล่าวนี้ไม่ใช่บางสิ่งที่ผู้คนควรปฏิบัติและไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้คนในหนทางใดเลย

วลี “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” มีอีกข้อผิดพลาดหนึ่งเช่นกัน  จากอีกมุมมองหนึ่งนั้น สำหรับปัจเจกบุคคลซึ่งชั่วที่ต้องการใช้ บงการ และควบคุมผู้อื่น สำหรับพวกที่มีส่วนได้ส่วนเสียและสำหรับพวกที่มีสถานะและอำนาจในสังคม คำกล่าวนี้ให้โอกาสพวกเขาแสวงประโยชน์และเป็นข้อแก้ตัวที่ใช้ บงการ และควบคุมผู้อื่น  คำกล่าวนี้ทำให้พวกเขาสามารถใช้ผู้คนอย่างมีกลยุทธ์ให้รับมือกับกิจต่างๆ เพื่อพวกเขา  บรรดาผู้ที่ไม่ทำกิจทั้งหลายให้พวกเขาหรือไม่ทำดีที่สุดเพื่อพวกเขานั้นถูกกำหนดพิจารณาให้เป็นผู้คนที่ผู้อื่นไม่อาจไว้วางใจมอบหมายและไม่สามารถทำดีที่สุดในการรับมือกับกิจทั้งหลายอย่างสัตย์ซื่อ  พวกเขาถูกแปะป้ายให้เป็นปัจเจกบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมด้อยกว่า ซึ่งไม่มีค่าพอที่จะเชื่อใจ ไม่คู่ควรที่จะได้รับการเคารพหรือให้คุณค่าอย่างสูงส่ง และต่ำต้อยในสังคม  ผู้คนดังกล่าวนั้นถูกตัดออกไป  ตัวอย่างเช่น หากเจ้านายของเจ้าไว้วางใจมอบหมายกิจหนึ่งให้กับเจ้าและเจ้าก็พิจารณาว่า “ในเมื่อเจ้านายของฉันยกเรื่องนี้ขึ้นมา ฉันก็จำต้องตกลงทำไม่ว่านั่นเป็นอะไร  ไม่ว่ากิจนั้นลำบากยากเย็นเพียงใด ต่อให้นั่นหมายถึงการลุยน้ำลุยไฟ ฉันก็จำต้องทำ” ดังนั้นเจ้าจึงตกลง  เพราะประการหนึ่งก็คือเขาเป็นเจ้านายเจ้าและเจ้าก็ไม่กล้าปฏิเสธ  อีกประการก็คือเขากดดันเจ้าอยู่บ่อยๆ โดยพูดว่า “บรรดาคนที่ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับพวกเขาเท่านั้นเองที่เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี”  เขาได้ปลูกฝังความคิดนี้ในตัวเจ้าก่อนหน้านี้แล้ว ปลูกฝีคุ้มกันให้เจ้าล่วงหน้าเพื่อให้เจ้าได้รับการตระเตรียมทางจิตใจ  ทันทีที่เขาสร้างคำขอใดขึ้นมา เจ้าก็ถูกผูกพันด้วยเกียรติให้ปฏิบัติตามและไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่เช่นนั้นเจ้าก็จะจบไม่สวย  เพราะฉะนั้นเจ้าจึงจำต้องทุ่มเทพลังงานทั้งหมดให้กับการทำสิ่งทั้งหลายสำหรับเขา  ต่อให้นั่นรับมือไม่ง่าย เจ้าก็ต้องหาหนทางที่จะทำมันให้เสร็จลงจนได้  เจ้าจำต้องใช้เส้นสาย ผ่านเข้าทางประตูหลังบ้าน และใช้เงินซื้อของขวัญ  ในตอนท้ายเมื่อกิจนั้นเสร็จบริบูรณ์ เจ้าก็ไม่สามารถเอ่ยถึงเงินที่ใช้ไปหรือสร้างข้อเรียกร้องใดได้  และเจ้าจำต้องพูดว่า “‘ผู้คนควรทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับพวกเขา’  คุณคิดกับฉันอย่างสูงส่งและให้คุณค่าฉันอย่างสูง ฉันก็ต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อรับมือกับกิจนั้นให้ดี”  ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองได้สู้ทนความยากลำบากและความเดือดร้อนไปมากเท่าใด  หากเจ้าทำสิ่งนี้สำเร็จ ผู้คนก็จะพูดว่าเจ้ามีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมที่สูงส่ง  แต่หากเจ้าล้มเหลว ผู้คนก็จะดูแคลนเจ้า ดูหมิ่นเจ้าและเจ้าจะทุกข์ทนกับการดูถูดูหมิ่นของพวกเขา  ไม่ว่าเจ้าเป็นของกลุ่มชาติพันธ์ใดหรือชนชั้นใดทางสังคม ตราบที่ใครบางคนไว้วางใจมอบหมายกิจหนึ่งให้กับเจ้า เจ้าก็ต้องทำให้ดีที่สุดและทุ่มเทความพยายามและเจ้าไม่อาจปฏิเสธได้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ดังที่คำกล่าวนี้ว่าไว้ “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า”  ในเมื่อเจ้ายอมรับการไว้วางใจมอบหมายของใครบางคน เจ้าก็ต้องรับมือกับการนั้นอย่างสัตย์ซื่อจนถึงปลายทางและทำให้มั่นใจว่ากิจนั้นถูกทำจนเสร็จสิ้นอย่างประสบความสำเร็จ คือโดยครบถ้วนของกิจนั้นและต่อความเห็นชอบของบุคคลอื่น แล้วจากนั้นก็รายงานกลับไปที่ผู้ซึ่งมอบหมาย  ต่อให้พวกเขาไม่สอบถามเกี่ยวกับเรื่องนั้น เจ้าก็ต้องทุ่มเทความพยายามในการรับมือกับเรื่องนั้น  โดยทั่วไปแล้ว คนบางคนไม่มีสัมพันธภาพจริงกับเจ้า อาทิ บรรดาญาติห่างๆ ในครอบครัวใหญ่ของเจ้า  พวกเขาเห็นว่าเจ้ามีการงานที่ดีในสังคม หรือมีสถานะและเกียรติยศ หรือมีความสามารถพิเศษอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงไว้วางใจมอบหมายสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้กับเจ้า  นั่นปฏิเสธได้หรือไม่?  ในข้อเท็จจริง นั่นย่อมได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว แต่เนื่องจากสัมพันธภาพทางสังคมอันซับซ้อนท่ามกลางเหล่ามนุษย์และแรงกดดันของมติมหาชนซึ่งได้รับอิทธิพลจากแนวคิดที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” เมื่อบุคคลประเภทนี้ซึ่งโดยปกตินั้นเจ้าก็ไม่มีสัมพันธภาพกับพวกเขา ขอให้เจ้าทำสิ่งต่างๆ เพื่อพวกเขา เจ้าก็จำต้องทำทั้งนั้น  แน่นอนว่าเจ้าสามารถเลือกที่จะไม่ทำ  ในหนทางนี้เจ้าก็เพียงทำให้บุคคลเดียวขุ่นเคืองหรือไม่เจ้าก็สูญเสียสัมพันธภาพที่มีกับญาติคนสองคน หรือเจ้าอาจจะถูกญาติคนสองคนเลิกคบ  แต่ก็อีกนั่นแหละ แล้วนั่นสำคัญอะไรหรือ?  ในข้อเท็จจริงแล้ว นั่นไม่สำคัญเลย  เจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขา และโชคชะตาของเจ้าก็ไม่อยู่ในมือของพวกเขา  ดังนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถปฏิเสธพวกเขาไปเฉยๆ เล่า?  หนึ่งในเหตุผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือว่า มติมหาชนที่มีต่อ “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” นั้นกำลังพันธนาการและกดขี่เจ้าอยู่  นั่นก็คือ ในชุมชนสังคมใหญ่ บ่อยครั้งที่เจ้าถูกจองจำโดยมาตรฐานทางศีลธรรมและมติมหาชนที่มีต่อ “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า”  การที่เจ้าทำดีที่สุดที่จะรับมือกับกิจทั้งหลายอย่างสัตย์ซื่อนั้นไม่เกี่ยวกับการลุล่วงความรับผิดชอบทางสังคมหรือลุล่วงหน้าที่หรือความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ากลับถูกจองจำโดยคำกล่าวของมาตรฐานทางศีลธรรมและห่วงโซ่ที่มองไม่เห็นของมติทางสังคม  เหตุใดเล่าเจ้าจึงสุ่มเสี่ยงต่อการถูกจองจำโดยสิ่งนั้น?  แง่มุมหนึ่งนั้นก็เป็นเพราะเจ้าไม่สามารถแยกแยะได้ว่า คำกล่าวทางศีลธรรมเหล่านี้ที่ถูกส่งต่อมาจากบรรพบุรุษของเจ้านั้นถูกต้อง หรือว่าผู้คนควรยึดปฏิบัติตามหรือไม่  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือเจ้าขาดความเข้มแข็งและกล้าหาญที่จะฝ่าพ้นแรงกดดันทางสังคมและมติมหาชนที่เกิดมาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมนี้  ผลลัพธ์ก็คือ เจ้าไม่สามารถฝ่าพ้นห่วงโซ่ของวัฒนธรรมดั้งเดิมและอิทธิพลของมันที่มีต่อเจ้า  อีกเหตุผลก็คือว่า ในชุมชนหรือกลุ่มใดในสังคมใหญ่ ผู้คนต้องการให้ผู้อื่นคำนึงถึงพวกเขาว่ามีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมที่สูงส่ง เป็นคนดี เป็นคนที่พึ่งพาได้ เชื่อใจได้ และเป็นใครบางคนที่คู่ควรแก่การได้รับความไว้วางใจมอบหมายกิจทั้งหลายให้  พวกเขาล้วนต้องการสร้างภาพลักษณ์เช่นนั้นที่ได้มาซึ่งความเคารพและทำให้ผู้อื่นเชื่อว่าพวกเขาเป็นปัจเจกบุคคลที่มีเลือดเนื้อซึ่งมีศักดิ์ศรีพร้อมด้วยความรู้สึกและความจงรักภักดี อีกทั้งไม่ใช่เลือดเย็นหรือแปลกแยก  หากเจ้าต้องการที่จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสังคมใหญ่และได้รับการยอมรับและการเห็นชอบจากพวกเขา ก่อนอื่นเจ้าต้องทำให้พวกเขาระลึกถึงเจ้าในฐานะบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมสูงส่ง เป็นใครบางคนที่มีความสัตย์สุจริตและความน่าเชื่อถือ  ดังนั้นไม่สำคัญว่าพวกเขาสร้างคำขอประเภทใดกับเจ้า เจ้าก็พยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำให้พวกเขาพึงพอใจ ทำให้พวกเขาเป็นสุข แล้วจากนั้นก็รับคำสรรเสริญจากพวกเขาซึ่งพูดว่าเจ้าเป็นบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมสูงส่งซึ่งเชื่อใจได้ และว่าผู้คนเต็มใจที่จะสมาคมกับเจ้า  ในหนทางนี้เจ้ารู้สึกถึงสำนึกของการดำรงอยู่ในชีวิตของเจ้า  หากเจ้าสามารถได้รับความเห็นชอบจากสังคมใหญ่ จากมวลชน รวมทั้งจากเพื่อนร่วมงานและเพื่อนฝูง เจ้าจะดำรงชีวิตที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงและน่าพึงพอใจ  ถึงอย่างนั้น หากเจ้าดำเนินชีวิตโดยแตกต่างจากพวกเขา หากความคิดและทัศนคติของเจ้าต่างจากของพวกเขา หากเส้นทางของเจ้าในชีวิตนั้นแตกต่างจากของพวกเขา หากไม่มีใครพูดว่าเจ้ามีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมที่สูงส่ง เป็นคนที่เชื่อใจได้ คู่ควรที่จะได้รับความไว้วางใจมอบหมายในเรื่องต่างๆ หรือมีศักดิ์ศรี และหากพวกเขาทั้งหมดทอดทิ้งและโดดเดี่ยวเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็จะดำรงชีวิตที่หดหู่และเศร้าหมอง  เหตุใดเจ้าจึงรู้สึกหดหู่และเศร้าหมอง?  นั่นเป็นเพราะการเห็นคุณค่าในตนเองของเจ้าถูกกระทบอย่างรุนแรง  การเห็นคุณค่าในตนเองของเจ้ามาจากไหนหรือ?  นั่นมาจากการเห็นชอบและการยอมรับของสังคมใหญ่และมวลชน หากพวกเขามีการยอมรับที่เป็นศูนย์ให้กับเจ้า หากพวกเขาไม่เห็นชอบในตัวเจ้า หากพวกเขาไม่สรรเสริญหรือซึ้งคุณค่าของเจ้า และหากพวกเขาไม่มองตรงมาที่เจ้าแบบเลื่อมใส เอ็นดูหรือนับถือ เช่นนั้นเจ้าก็รู้สึกว่าเจ้าไม่มีศักดิ์ศรีในชีวิต  เจ้ารู้สึกไร้ค่าอย่างมาก ไม่มีสำนึกของการดำรงอยู่เลย  เจ้าไม่รู้ว่าคุณค่าของตนอยู่ตรงไหน และในตอนท้าย เจ้าก็ไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร  เจ้ากลายเป็นหดหู่และทรมาน  เจ้าพยายามเสมอที่จะทำให้ผู้คนยอมรับเจ้า พยายามที่จะรวมตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกับมวลชน กับสังคมใหญ่  เพราะฉะนั้น การยึดติดอยู่กับมาตรฐานทางศีลธรรมที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับทุกคนที่ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น  นั่นเป็นข้อบ่งชี้ที่สำคัญสำหรับการประเมินวัดบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมของบุคคล และเป็นข้อบ่งชี้ว่าพวกเขาได้รับการยอมรับจากผู้อื่นหรือไม่  ว่าแต่ มาตรฐานของการประเมินวัดนี้ถูกต้องหรือ?  ไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง  ในข้อเท็จจริงนั้น มาตรฐานนี้เรียกได้ว่าไร้สาระเสียด้วยซ้ำ

มีอีกแง่มุมของคำกล่าวทางศีลธรรมที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” ที่จำเป็นต้องถูกใช้วิจารณญาณแยกแยะ  หากกิจที่ถูกไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้าไม่กินเวลาและพลังงานของเจ้ามากเกินไป และอยู่ภายในช่วงขีดความสามารถของเจ้า หรือหากเจ้ามีสภาพแวดล้อมและภาวะที่เหมาะเจาะพอดี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถทำบางสิ่งสำหรับผู้อื่นอย่างสุดความสามารถออกมาจากมโนธรรมและเหตุผลแบบมนุษย์ และทำได้ตามข้อเรียกร้องที่เหมาะควรและสมเหตุผลของพวกเขา  อย่างไรก็ดี หากกิจที่ถูกไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้ากินเวลาและพลังงานของเจ้าในปริมาณที่มีนัยสำคัญ และเอาเวลาเจ้าไปมากมายจนถึงขอบเขตที่ทำให้เจ้าต้องพลีอุทิศชีวิต อีกทั้งความรับผิดชอบและภาระผูกพันทั้งหลายของเจ้าในชีวิตนี้และหน้าที่ของเจ้าในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างจะถูกลดลงจนไม่เหลืออะไรเลย และจะถูกแทนที่ เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร?  เจ้าควรปฏิเสธเพราะนั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า  นอกเหนือจากการดูแลพ่อแม่และเลี้ยงดูบุตร รวมถึงลุล่วงความรับผิดชอบทางสังคมในสังคมและภายใต้กรอบของกฎหมาย ในส่วนของความรับผิดชอบและภาระผูกพันของชีวิตบุคคลหนึ่งนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือว่า พลังงานและเวลารวมถึงชีวิตของบุคคลหนึ่งควรถูกใช้ไปในการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แทนที่จะถูกใครอื่นไว้วางใจมอบหมายด้วยกิจหนึ่งซึ่งเอาเวลาและพลังงานของพวกเขาไปจนหมด  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงสร้างบุคคลหนึ่งขึ้นมา ทรงให้ชีวิตพวกเขา และนำพาพวกเขาเข้ามาในโลกนี้ และไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายและลุล่วงความรับผิดชอบสำหรับผู้อื่น  สิ่งที่ผู้คนควรยอมรับที่สุดก็คือการไว้วางใจมอบหมายของพระเจ้า  การไว้วางใจมอบหมายของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นการไว้วางใจมอบหมายที่ถ่องแท้ และการยอมรับการไว้วางใจมอบหมายของของมนุษย์คือการที่ไม่ใส่ใจทำหน้าที่อันถูกควร  ไม่มีใครมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะขอให้เจ้าอุทิศความจงรักภักดี พลังงาน เวลาและแม้แต่วัยเยาว์ของเจ้าและทั้งชีวิตของเจ้าให้กับกิจทั้งหลายที่พวกเขาไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า  พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะขอให้ผู้คนทำหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?  หากกิจใดที่ถูกไว้วางใจมอบหมายแก่เจ้าพึงต้องการเวลาและพลังงานของเจ้าในปริมาณที่มีนัยสำคัญ กิจนั่นก็จะขวางไม่ให้เจ้าได้ทำหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและแม้แต่ขวางไม่ให้เจ้าได้เดินตามเส้นทางที่ถูกในชีวิตด้วยซ้ำ  กิจนั่นจะปรับเปลี่ยนทิศทางและเป้าหมายของชีวิตเจ้า  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี นี่เป็นความอัปมงคลอย่างหนึ่ง  หากกิจนั่นกินเวลาและพลังงานของเจ้าในปริมาณที่มีนัยสำคัญและถึงกับปล้นเอาวัยเยาว์ของเจ้าไป ลิดรอนโอกาสที่เจ้าจะได้รับความจริงและชีวิต เช่นนั้นแล้วการไว้วางใจมอบหมายใดก็ตามที่มีธรรมชาติแบบนี้ก็มาจากซาตาน และไม่ใช่แค่มาจากปัจเจกบุคคลใด  นี่เป็นอีกหนทางที่จะเข้าใจเรื่องนี้  หากใครบางคนไว้วางใจมอบหมายกิจอย่างหนึ่งให้กับเจ้า ซึ่งกินเวลาและพลังงานของเจ้าให้สิ้นเปลืองไปมากมาย และถึงกับเป็นเหตุให้เจ้าต้องพลีอุทิศวัยเยาว์และทั้งชีวิตของเจ้า เอาเวลาที่เจ้าควรทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไป เช่นนั้นแล้วบุคคลนั้นก็ไม่เพียงไม่ใช่เพื่อนของเจ้าเท่านั้น พวกเขาสามารถถูกพิจารณาว่าเป็นศัตรูและคู่อริของเจ้าได้ด้วยซ้ำ  ในชีวิตของเจ้า นอกเหนือจากการลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้าที่มีต่อพ่อแม่ ลูกหลานและครอบครัวที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเจ้า เวลาและพลังงานทั้งหมดของเจ้าควรถูกอุทิศและสละให้กับการทำหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ไม่มีใครที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะจับจองหรือเอาเวลาและพลังงานของเจ้าไปภายใต้ข้ออ้างของการไว้วางใจมอบหมายให้เจ้าทำสิ่งใดก็ตาม  หากเจ้าไม่ใส่ใจคำแนะนำและยอมรับการไว้วางใจมอบหมายของใครบางคน จับจองเวลาและพลังงานของเจ้าในปริมาณที่มีนัยสำคัญ เช่นนั้นแล้ว เวลาที่เจ้าจำเป็นต้องทำหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างก็จะลดลงโดยเปรียบเทียบได้เลย อีกทั้งถึงขั้นที่จะถูกลิดรอนและจับจอง  นั่นหมายความว่าอะไรหากเจ้าถูกลิดรอนเวลาและพลังงานที่จะทำหน้าที่ของเจ้า?  นั่นหมายความว่าโอกาสของเจ้าในการไล่ตามเสาะหาความจริงก็ถูกลดลง  เมื่อโอกาสที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงถูกลดลง นั่นหมายความเช่นกันว่าโอกาสโอกาสของเจ้าในการได้กับการช่วยให้รอดนั้นย่อมน้อยลงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เป็นคำอวยพรหรือคำสาปแช่งสำหรับเจ้า?  (คำสาปแช่ง)  นี่คือคำสาปแช่งอย่างไม่ต้องสงสัยเลย  นี่ก็เหมือนเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งมีชายคนรัก และชายคนรักก็บอกเธอว่า “เธอเชื่อในพระเจ้าก็ได้นะ แต่เธอต้องรอให้ฉันประสบความสำเร็จ ร่ำรวยแล้วก็มีอิทธิพลเสียก่อน แล้วก็จนกว่าฉันจะซื้อรถได้สักคัน และแหวนเพชรเม็ดโตสักวง แล้วฉันจะแต่งงานกับเธอ”  หญิงสาวก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นช่วงสองสามปีนี้ ฉันจะไม่เชื่อในพระเจ้าหรือปฏิบัติหน้าที่ของฉัน  อันดับแรกฉันจะทำงานหนักไปกับเธอ และรอให้เธอรวย กลายเป็นผู้บริหาร ลุล่วงความปรารถนาของเธอ แล้วถึงตอนนั้นฉันค่อยทำหน้าที่”  หญิงสาวคนนี้ฉลาดหลักแหลมหรือโง่เขลา?  (โง่เขลา)  เธอโง่เขลามาก!  เธอช่วยเขาสัมฤทธิ์ความสำเร็จ กลายเป็นร่ำรวยและมีอำนาจ รวมถึงมีชื่อเสียงและโชควาสนา แต่ใครจะชดเชยให้กับเวลาที่เจ้าเสียไป?  เจ้าไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แล้วใครจะชดเชยให้กับความสูญเสียนี้ ใครจะจ่ายคืนให้กับการนี้?  ในช่วงเวลาสองสามปีของการเชื่อในพระเจ้า เจ้าไม่ได้รับความจริงที่เจ้าควรได้ และเจ้าไม่ได้รับชีวิตที่เจ้าควรได้  ใครจะชดเชยให้กับความจริงนี้และชีวิตนี้?  คนบางคนเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาใช้เวลาหลายปีที่จะลุล่วงกิจที่ถูกไว้วางใจมอบหมาย ความปรารถนา หรือข้อเรียกร้องจากผู้อื่น  สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่เพียงไม่ได้รับอะไรเลย แต่ยังพลาดโอกาสที่จะทำหน้าที่ของตนเพื่อให้ได้มาซึ่งความจริง  พวกเขาไม่ได้รับความเห็นชอบของพระเจ้า การสูญเสียนี้ใหญ่หลวงเกินไป และค่าใช้จ่ายก็สูงเกินไป!  ไม่เป็นการโง่เขลาอย่างมากหรือที่ละทิ้งการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแค่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการทำลายความไว้วางใจของผู้อื่น เพื่อให้ผู้อื่นพูดถึงตนในด้านดี เพื่อที่จะถูกถือว่าเป็นบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมสูงส่ง เชื่อใจได้และมีชื่อเสียงในทางที่ดี และเพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการ “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า”?  มีด้วยเช่นกันที่เป็นพวกซึ่งพยายามมีทั้งสองทาง ด้านหนึ่งคือทำให้ผู้คนพึงพอใจพลางก็จัดสรรพลังงานบางส่วนไปปฏิบัติหน้าที่บางอย่างและทำให้ผู้อื่นยินดี แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องการทำให้พระเจ้าทรงยินดี  สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้น?  เจ้าอาจทำให้ผู้คนยินดี แต่หน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่ได้ถูกทำให้ลุล่วง เจ้าไม่เข้าใจความจริงแต่อย่างใดเลย และเจ้าก็สูญเสียมากเหลือเกิน!  แม้เจ้าได้ทำดีที่สุดที่จะรับมือกับสิ่งทั้งหลายอย่างสัตย์ซื่อเพื่อผู้คน ได้รับการสรรเสริญจากพวกเขาซึ่งพูดว่าเจ้ารักษาคำพูดและเป็นบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมสูงส่ง เจ้ายังไม่ได้รับความจริงจากพระเจ้า ทั้งยังไม่ได้รับการเห็นชอบหรือการยอมรับจากพระเจ้า  นี่เป็นเพราะการที่เจ้าทำดีที่สุดที่จะรับมือสิ่งทั้งหลายอย่างสัตย์ซื่อเพื่อผู้คนนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์สำหรับมนุษยชาติ และไม่ใช่กิจที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้า  การที่เจ้าทำให้ดีที่สุดในการรับมือกับสิ่งทั้งหลายอย่างสัตย์ซื่อเพื่อผู้คนนั้นออกนอกลู่นอกทาง นั่นไม่ใช่การจัดการดูแลหน้าที่อันถูกควรของเจ้า และนั่นไม่มีคุณค่าหรือนัยสำคัญอันใดทั้งสิ้น  นั่นไม่ใช่ความประพฤติดีซึ่งควรค่าที่จะรำลึกถึงเอาเสียเลย  เจ้าได้ลงทุนเวลาและพลังงานให้กับผู้อื่นไปอย่างมหาศาล และการทำเช่นนี้ไม่เพียงทำให้พระเจ้าไม่ทรงจดจำเจ้าเท่านั้น เจ้าได้สูญเสียโอกาสดีที่สุดที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง รวมถึงเวลาอันล้ำค่าที่สุดที่จะทำหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เมื่อเจ้ากลับตัวและต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตนให้ดี เจ้าก็แก่ชรา ขาดพลังงาน ความแข็งแรงทางกาย และได้รับภัยพิบัติจากความเจ็บป่วยทั้งหลายไปเสียแล้ว  นั่นคุ้มค่าหรือ?  เจ้าสามารถสละตนเพื่อพระเจ้าได้อย่างไรเล่า?  การใช้เวลาที่เหลืออยู่เพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้นช่างน่าเหนื่อยล้า  เจ้ารักษาความแข็งแรงทางกายของเจ้าไว้ไม่ได้ ความจำของเจ้าก็เสื่อมถอย และพลังงานของเจ้าก็ไม่ดี  บ่อยครั้งที่เจ้าสัปหงกระหว่างการชุมนุม และร่างกายของเจ้ามีความลำบากยากเย็นและความเจ็บไข้ได้ป่วยเสมอยามที่เจ้าพยายามทำหน้าที่ของตน  ถึงตอนนั้น เจ้าจะเสียดาย  โดย “การทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” เจ้าได้รับอะไรไปบ้าง?  อย่างมากที่สุดเจ้าก็สามารถติดสินบนผู้อื่นและได้รับคำชมจากพวกเขา  ว่าแต่การสรรเสริญของผู้คนมีประโยชน์อะไรเล่า?  นั่นสามารถเป็นตัวแทนการเห็นชอบของพระเจ้าได้หรือ?  นั่นไม่ใช่ตัวแทนการเห็นชอบของพระเจ้าแม้สักนิด?  ในกรณีนั้น ประโยคสรรเสริญนั้นจากบุคคลหนึ่งย่อมไร้ค่า  นั่นคุ้มค่าหรือที่จะสู้ทนความเจ็บปวดอันใหญ่หลวงเช่นนั้นเพื่อเห็นแก่การได้รับการสรรเสริญในขณะที่เสียโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด?  ดังนั้นตอนนี้อะไรคือสิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องเข้าใจ?  หากผู้ใดไว้วางใจมอบหมายกิจหนึ่งให้แก่เจ้า ไม่ว่านั่นเป็นอะไร ตราบที่นั่นไม่เกี่ยวกับการทำหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือเป็นบางสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้กับเจ้า เจ้ามีสิทธิ์ที่จะไม่ยอมรับเพราะนั่นไม่ใช่ภาระผูกพันของเจ้า ไม่ต้องพูดเลยว่าเป็นความรับผิดชอบของเจ้า  คนบางคนอาจพูดว่า “ถ้าฉันไม่ยอมรับ คนอื่นก็จะพูดว่าฉันมีศีลธรรมต่ำ หรือไม่พวกเขาก็จะพูดว่าฉันไม่ใช่เพื่อนที่ดีพอหรือจงรักภักดีมากพอ”  หากเจ้าห่วงกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่นนั้นก็ไปทำเลย แล้วหลังจากนั้นก็จงดูว่าอะไรคือผลที่ตามมา  มีด้วยเช่นกันที่ผู้ซึ่งไม่ได้ทำสิ่งต่างๆ ให้ผู้อื่นจนเสร็จสิ้นและไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ เพื่อผู้อื่นต่อไปเพราะพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง  พวกเขาตริตรอง “นั่นไม่ดีหรอกที่ฉันทิ้งให้กิจนั้นเสร็จไปเพียงครึ่งทาง  ในฐานะบุคคลหนึ่ง ฉันควรมีความน่าเชื่อถือ  คนเราต้องทำสิ่งต่างๆ จากจุดเริ่มต้นจนเสร็จ และไม่เริ่มอย่างเข้มแข็งแต่จบลงแบบอ่อนแอ  หากกิจต่างๆ ที่ฉันสัญญาว่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นทำเสร็จไปครึ่งทางและฉันไม่ทำส่วนที่เหลือ เช่นนั้นฉันก็ไม่สามารถใช้สิ่งนี้แสดงความชอบธรรมต่อผู้อื่นได้!”  หากเจ้ามีความคิดเช่นนั้นในจิตใจของเจ้าและไม่สามารถละวางความหยิ่งทะนงของเจ้าได้ เจ้าย่อมไม่สามารถเดินหน้าและทำกิจทั้งหลายเพื่อผู้อื่นได้ และเมื่อทำเสร็จแล้ว เจ้าก็จงดูเถิดว่าเจ้าได้รับอะไรมาบ้าง และดูว่าการรักษาคำพูดของเจ้ากับการมีความสัตย์สุจริตประเภทนี้มีคุณค่าอันใดอยู่จริงหรือไม่  นั่นไม่เป็นการทำให้สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งล่าช้าไปหรอกหรือ?  หากนั่นสามารถทำให้เจ้าล่าช้าไปจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและส่งผลต่อเจ้าในการได้รับความจริง เช่นนั้นนั่นก็เทียบเท่ากับการเสี่ยงชีวิตของเจ้าไม่ใช่หรือ?  หากเจ้าพิจารณาว่าคำกล่าวและข้อพึงประสงค์เหล่านี้เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมสำคัญกว่าการทำหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและการไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่สามารถปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากการถูกจองจำและพันธนาการโดยคำกล่าวเหล่านี้  หากเจ้าสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะและมองเห็นแก่นแท้ของคำกล่าวเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง ตัดสินใจละทิ้งคำกล่าวเหล่านี้และไม่ดำเนินชีวิตโดยสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าก็มีความหวังของการฝ่าพ้นจากการถูกจองจำและพันธนาการโดยคำกล่าวที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้  ทั้งเจ้ายังมีความหวังในการลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและการได้รับความจริงอีกด้วย

หลังจากการสามัคคีธรรมไปมากมายเหลือเกิน ตอนนี้พวกเจ้ามีวิจารณญาณสักเล็กน้อยเกี่ยวกับคำกล่าวและมาตรฐานของการตัดสินความมีศีลธรรมของบุคคลหนึ่งที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้นสรุปก็คือ พวกเราควรใช้วิจารณญาณแยกแยะว่าประโยคนี้ถูกหรือผิดจากกี่แง่มุมกัน?  แง่มุมแรกนั้น ชัดเจนว่าคำกล่าวนี้ไม่คล้อยตามความจริงหรือตามพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่หลักธรรมความจริงที่ผู้คนควรยึดปฏิบัติตาม  เช่นนั้นเจ้าควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?  ไม่ว่าใครไว้วางใจมอบหมายกิจหนึ่งให้แก่เจ้า เจ้าก็มีสิทธิ์ไม่ยอมรับและพูดว่า “ฉันไม่ต้องการช่วยคุณ ฉันไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องสัตย์ซื่อต่อคุณ”  หากเจ้ายอมรับการไว้วางใจมอบหมายของพวกเขา ณ ตอนนั้น แต่บัดนี้ที่เจ้าเข้าใจเรื่องที่เจ้าไม่ต้องการที่จะช่วยและรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นหรือมีภาระผูกพัน เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จบลงตรงนั้นเอง  นี่ใช่หลักธรรมแห่งการปฏิบัติหรือไม่?  (ใช่)  เจ้าสามารถพูดว่า “ไม่” และปฏิเสธ  แง่มุมที่สอง อะไรเล่าที่ผิดปกติในคำกล่าวที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า”?  หากใครบางคนไว้วางใจมอบหมายกิจอันเรียบง่ายซึ่งทำได้โดยสะดวกให้กับเจ้า นั่นก็แค่สิ่งปกติในการมีปฏิสัมพันธ์และจัดการระหว่างผู้คน  นั่นพูดไม่ได้ว่าเจ้าสัตย์ซื่อหรือว่าเจ้ามีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมที่สูงส่ง นั่นไม่สามารถใช้เป็นมาตรฐานเพื่อประเมินวัดความมีศีลธรรมของบุคคลหนึ่งได้  การช่วยเหลือใครบางคนด้วยกิจที่พึงใช้ความพยายามน้อยนิดที่สุดบ่งชี้ว่าบุคคลหนึ่งมีศีลธรรมและมีความน่าเชื่อถือหรือ?  ไม่จำเป็นเลย เนื่องจากบุคคลนั้นอาจทำสิ่งไม่ดีไปมากมายข้างหลังฉาก  หากพวกเขาทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มากมาย แต่พวกเขาทำบางสิ่งที่ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความพยายามที่น้อยนิดที่สุด นี่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมที่สูงส่งใช่หรือไม่?  (ไม่ นี่ไม่ใช่)  เพราะฉะนั้น ตัวอย่างนี้ล้มล้างคำกล่าว “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า”  นี่ไม่ถูกต้องและไม่สามารถใช้เป็นมาตรฐานเพื่อประเมินวัดบุคลิกลักษณะทางศีลกรรมของบุคคล  นี่เป็นหนทางที่จะจัดการกับสิ่งธรรมดาสามัญบางอย่าง  นี่ใช่หนทางที่จะจัดการกับเรื่องพิเศษบางเรื่อง  ดังนั้นเจ้าควรจัดการกับเรื่องพิเศษบางเรื่องอย่างไร?  หากใครบางคนไว้วางใจมอบหมายกิจที่สำคัญเป็นพิเศษซึ่งเกินความสามารถของเจ้าให้แก่เจ้า และเจ้าก็พบว่ากิจนั้นน่าอ่อนล้าและหนักหนาสาหัส และพบว่าเจ้าทำไม่ได้ เจ้าก็สามารถปฏิเสธได้โดยไม่รู้สึกแย่  ยิ่งไปกว่านั้น หากใครบางคนไว้วางใจมอบหมายให้เจ้าทำบางสิ่งที่ไม่มีเหตุผล ผิดกฎหมายและเป็นอันตรายต่อผลประโยขชน์ของผู้อื่น เจ้ายิ่งไม่ควรทำเพื่อพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง  ดังนั้นเมื่อใครบางคนไว้วางใจมอบหมายกิจหนึ่งให้กับเจ้า อะไรคือสิ่งหลักที่เจ้าต้องใช้วิจารณญาณแยกแยะ?  สิ่งหนึ่งนั้นก็คือ เจ้าจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณแยกแยะว่ากิจที่ถูกมอบหมายนั้นเป็นความรับผิดชอบหรือภาระผูกพันของเจ้าหรือไม่ และเจ้าควรยอมรับกิจนั้นหรือไม่  อีกสิ่งหนึ่งก็คือ หลังจากที่ยอมรับกิจนั้น ไม่ว่าเจ้าทำหรือไม่ทำกิจนั้น และไม่ว่าเจ้ารับมือกับสิ่งนั้นได้ดีหรือแย่ นั่นเกี่ยวข้องกับความสัตย์ซื่อและความมีศีลธรรมของบุคคลหรือ?  อีกแง่มุมที่ต้องใช่วิจารณญาณแยกแยะก็คือธรรมชาติของกิจที่ถูกไว้วางใจมอบหมายมา ว่ากิจนั่นมีเหตุผล ถูกกฎหมาย เป็นบวกหรือเป็นลบ  เจ้าหยั่งรู้กิจนั้นได้โดยผ่านทางแง่มุมทั้งสามนี้  ตอนนี้จงพิจารณาและสรุปสิ่งที่เพิ่งถูกสามัคคีธรรมไปเถิด และจงนำความคิดเห็นและทัศนะของพวกเจ้ามาหารือกัน  (เมื่อคำนึงถึงคำกล่าวทางศีลธรรม “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” ประการแรกคือ ผู้คนไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องทำสิ่งทั้งหลายเพื่อผู้อื่น พวกเขาสามารถปฏิเสธ นี่เป็นสิทธิของทุกคน  ประการที่สอง ต่อให้พวกเขายอมรับกิจที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมาย ไม่ว่าพวกเขาทำกิจนั้นหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาทำกิจนั้นได้ดีหรือแย่ก็ไม่เกี่ยวกับความมีศีลธรรมของพวกเขา นี่ก็ไม่อาจถูกใช้เป็นมาตรฐานสำหรับการประเมินวัดบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมของบุคคลหนึ่ง  ยิ่งไปกว่านั้น หากกิจที่ถูกไว้วางใจมอบหมายให้ใครบางคนนั้นผิดกฎหมายและเป็นอาชญากรรม พวกเขาก็ไม่ควรดำเนินกิจนั้นเลยจริงๆ  หากพวกเขาทำ นั่นเป็นการทำความชั่วและพวกเขาจะเผชิญกับการลงโทษ  โดยอาศัยประเด็นเหล่านี้ คุณสามารถล้มล้างทัศนคติที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” ได้เลย)  ประเด็นที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดก็คือว่า คำกล่าวนี้ผิด  ผิดตรงไหนหรือ?  อย่างแรก หลักธรรมที่คำกล่าวนี้นำมาบังคับใช้สำหรับรับมือและปฏิบัติต่อเรื่องทั้งหลายนั้นผิด  ที่เพิ่มเติมก็คือการใช้คำกล่าวนี้ตัดสินบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมของบุคคลหนึ่งก็ผิดด้วยเช่นกัน  ยิ่งไปกว่านั้น การใช้คำกล่าวนี้เพื่อประเมินวัดบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมของบุคคลหนึ่ง เพื่อพันธนาการและควบคุมพวกเขา เพื่อใช้ให้พวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย และเพื่อให้พวกเขาจ่ายเวลา พลังงาน และราคาในการปฏิบัติความรับผิดชอบที่พวกเขาไม่ควรจำเป็นต้องแบกหรือหรือไม่เต็มใจที่จะแบกนั้นเป็นการดักปล้นระหว่างทางประเภทหนึ่งและผิดด้วยเช่นกัน  ความผิดไม่กี่อย่างนี้มากพอแล้วที่จะล้มล้างคุณค่าและความถูกต้องของของคำกล่าวที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า”  พวกเรามาสรุปกันสั้นๆ เถิด  ก่อนอื่นเลย คำกล่าว “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” บอกผู้คนถึงวิธีที่จะรับมือกับกิจที่ถูกไว้วางใจมอบหมายให้กับพวกเขา  นั่นแสดงนัยว่าเมื่อใครบางคนไว้วางใจมอบหมายกิจอย่างหนึ่งให้แก่เจ้า ไม่ว่ากิจนั่นมีเหตุผลหรือไม่ ดีหรือไม่ดี หรือว่าเป็นบวกหรือลบ ตราบที่เป็นกิจซึ่งถูกไว้วางใจมอบหมายให้แก่เจ้า เจ้าก็ต้องรักษาคำพูด  เจ้ามีภาระผูกพันที่จะดำเนินกิจนั้นให้ดีและเสร็จสมบูรณ์เพื่อที่จะทำให้พวกเขาพึงพอใจ  บุคคลประเภทนี้เท่านั้นที่มีความน่าเชื่อถือ  นี่ทำให้ผู้คนดำเนินกิจนั้นโดยปราศจากวิจารณญาณ ซึ่งเป็นความผิดที่สุดในบรรดาทั้งหมด ความผิดที่ขัดต่อหลักธรรม  อันตับที่สอง มาตรฐานของการที่ว่าผู้คนสามารถ “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” หรือไม่นั้นได้ถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานที่จะประเมินวัดบุคลิกลักษณะทางศีลธรรม  ไม่ใช่ว่ามาตรฐานการประเมินวัดนี้กำลังก่อความผิดอีกประการหรอกหรือ?  หากทุกคนทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อกิจซึ่งไม่ดีหรือชั่วที่ถูกไว้วางใจมอบหมายให้แก่พวกเขา สังคมนี้จะไม่กลับตาลปัตรหรอกหรือ?  ที่เพิ่มเติมก็คือ หากคำกล่าวนี้ถูกใช้มาตรฐานที่จะประเมินวัดบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมของผู้คนอยู่เสมอ นั่นจะสร้างบรรยากาศทางสังคม ประชามติ และแรงกดดันทางสังคมที่พันธนาการและจำกัดห้ามความคิดของผู้คนไปโดยธรรมชาติ  นี่จะนำพาผลสืบเนื่องใดมาหรือ?  เพราะการดำรงอยู่ของคำกล่าวที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” และการปรากฏอยู่ของประชามติเช่นนั้นในสังคม เจ้าจึงอยู่ภายใต้แรงกดดันของสังคม และเจ้าก็ถูกบีบให้กระทำในหนทางนี้ในสถานการณ์เช่นนั้น  หนทางที่เจ้ากระทำนั้นไม่ใช่โดยตั้งใจ นี่ไม่อยู่ในขอบข่ายความสามารถของตัวเจ้าเอง และนั่นไม่ใช่การลุล่วงภาระผูกพันของเจ้า  เจ้าถูกใช้กำลังบังคับให้ทำและนั่นไม่ใช่ข้อเรียกร้องจากห้วงลึกในหัวใจเจ้า และก็ไม่ใช่ข้อเรียกร้องจากความเป็นมนุษย์ปกติ และนี่ก็ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่จะธำรงสัมพันธภาพทางอารมณ์ของเจ้า  นั่นเป็นเหตุมาจากแรงกดดันทางสังคมซึ่งเทียบได้กับการดักปล้นทางศีลธรรม  หากเจ้าไม่ได้ทำกิจที่เจ้ารับปากที่จะทำเพื่อผู้อื่น พ่อแม่ ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และเพื่อนฝูงก็วิจารณ์เจ้าโดยพูดว่า “คุณคิดว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่?  ตามคำกล่าว ‘ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า’  ในเมื่อคุณตกลงแล้ว ทำไมคุณไม่ทำตามให้ตลอด?  ถ้าคุณตกลงแล้ว คุณก็ควรทำไปให้ดี!”  หลังจากที่ได้ยินแบบนี้ เจ้าก็รู้สึกว่าตัวเองทำผิด ดังนั้นเจ้าจึงดำเนินกิจนั้นไปอย่างเชื่อฟัง  ขณะที่ทำกิจนั้น เจ้าก็ยังคงไม่ต้องการทำอยู่ดี เจ้าไม่มีความสามารถ และเจ้าก็บริหารจัดการกิจนั้นไม่ได้ แต่เจ้าก็ยังต้องกัดฟันทนทำไป  สุดท้ายแล้วทั้งครอบครัวเจ้าก็มาช่วยเจ้าทำ และกิจนั่นก็ใช้เงิน พลังงาน และความทุกข์ไปมากมายและก็แค่ทำเสร็จไปเฉยๆ  บุคคลที่ไว้วางใจมอบหมายให้เจ้าก็มีความสุข แต่เจ้าได้ทนทุกข์มากมายในหัวใจและเจ้าก็อ่อนล้าสิ้นแรง  แม้เจ้าทำสิ่งนี้ด้วยหัวใจที่ไม่ปรองดองและความรู้สึกที่ไม่เต็มใจ เจ้าจะไม่ล้มเลิกและคราวต่อไปเจ้าเผชิญกับสถานการณ์ประเภทนี้ เจ้าก็จะทำสิ่งเดิมอีก  เหตุใดจึงเป็นแบบนั้น?  เพราะเจ้าต้องการการเคารพตนเอง เจ้ารักความถือดีและในเวลาเดียวกัน เจ้าก็ไม่สามารถทนแรงกดดันของประชามติได้ ต่อให้ไม่มีใครเจอข้อเสียในตัวเจ้า เจ้าก็จะวิจารณ์ตัวเองโดยพูดว่า “ฉันไม่ทำสิ่งที่ฉันรับปากว่าจะทำสำหรับผู้อื่น  ฉันกำลังทำอะไรอยู่?  ฉันถึงกับดูหมิ่นตัวเองด้วยซ้ำ  นี่ไม่ใช่ผิดศีลธรรมหรือ?”  แม้แต่เจ้าก็กำลังดักปล้นตัวเอง จิตใจของเจ้าถูกจองจำไปแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในข้อเท็จจริง กิจนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าแม้แต่น้อยนิด  โดยการทำกิจนั้น เจ้าไม่ได้รับประโยชน์หรือความจำเริญใดเลย  ไม่เป็นไรเลยสักนิดถ้าเจ้าไม่ทำ และมีปัจเจกบุคคลไม่กี่คนที่จะวิจารณ์เจ้า  ว่าแต่นั่นต่างกันตรงไหน?  นั่นจะไม่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาเจ้าเลยแม้แต่น้อยนิด  ไม่ว่าผู้คนขออะไรจากเจ้า ตราบที่นั่นไม่คล้อยตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เจ้าสามารถปฏิเสธได้  โดยการชำแหละคำกล่าว “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” บนพื้นฐานของสามประเด็นนี้ เจ้าเข้าใจแก่นแท้ของคำกล่าวนี้หรือไม่?  (เข้าใจ)

เมื่อใครบางคนไว้วางใจมอบหมายกิจหนึ่งให้แก่เจ้า หลักธรรมใดที่เจ้าควรทำตาม?  ควรมีหลักธรรมสำหรับการดำเนินกิจนั้นใช่หรือไม่?  อะไรคือพื้นฐานสำหรับเรื่องนี้ในแง่ของความจริง?  เราเพิ่งเอ่ยไปตอนนี้ถึงประเด็นที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือในชั่วชีวิตหนึ่งของคนเรา นอกเหนือการจุนเจือพ่อแม่ การฟูมฟักบุตรหลาน และการลุล่วงความรับผิดชอบพิเศษของคนเราภายในกรอบกฎหมาย ไม่มีภาระผูกพันใดเลยที่จะต้องยอมรับการไว้วางใจมอบหมายของผู้ใด หรืองานสำหรับใครก็ตาม อีกทั้งไม่จำเป็นต้องดำเนินชีวิตเพื่อกิจธุระหรือการไว้วางใจมอบหมายของผู้ใด  คุณค่าและความหมายของชีวิตมนุษย์สามารถพบได้ในการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  นอกจากนั้น การทำสิ่งเหล่านี้เพื่อผู้ใดก็ไม่มีความหมายเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดเป็นงานที่เปล่าประโยชน์  เพราะฉะนั้นคำกล่าว “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” เป็นบางสิ่งที่ผู้คนบังคับใช้กับผู้คน และไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับพระเจ้าเลย  คำกล่าวนี้ไม่ใช่ข้อพึงประสงค์จากพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์โดยสิ้นเชิง  คำกล่าวนี้มีต้นกำเนิดจากการที่ผู้อื่นแสวงประโยชน์จากเจ้า ดักปล้นเจ้าในทางศีลธรรม ควบคุมและพันธนาการเจ้า  คำกล่าวนี้ไม่มีความเชื่อมโยงแม้แต่น้อยนิดกับการไว้วางพระทัยมอบหมายของพระเจ้า หรือการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  ในโลกนี้ ในทั้งจักรวาล ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นอกเหนือจากการสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและต่อการไว้วางพระทัยมอบหมายของพระเจ้า และการสัตย์ซื่อต่อหน้าที่ของคนเราในฐานะมนุษย์แล้วก็ไม่มีอะไรเลยและใครเลยที่คู่ควรกับความสัตย์ซื่อของเจ้า  ชัดเจนว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” ไม่ใช่หลักธรรมสำหรับการประพฤติปฏิบัติ  เป็นบางสิ่งที่ผิดพลาดและละเมิดหลักธรรม  หากใครบางคนไว้วางใจมอบหมายกิจหนึ่งให้แก่เจ้า อะไรที่เจ้าควรทำ?  หากกิจที่ถูกวางใจมอบหมายให้แก่เจ้าเป็นบางสิ่งที่พึงต้องมีความพยายามเพียงน้อยนิดอย่างยิ่งที่เจ้าเพียงจำเป็นต้องพูดหรือปฏิบัติการกระทำเล็กน้อยอย่างหนึ่ง และเจ้าก็มีคุณสมบัติเพียงพอ เจ้าสามารถช่วยออกมาจากมนุษยธรรมและความสงสารของเจ้า นี่ไม่ถูกพิจารณาว่าผิด  นี่เป็นหลักธรรมประการหนึ่ง  ถึงอย่างนั้น หากกิจที่ถูกไว้วางใจมอบหมายให้แก่เจ้าจะกินเวลาและพลังงานของเจ้าในปริมาณที่มีนัยสำคัญ หรือถึงกับสิ้นเปลืองเวลาของเจ้าในสัดส่วนที่มากนัก เจ้าก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธ  ต่อให้นั่นเป็นพ่อแม่ของเจ้า เจ้าก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่รับ  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสัตย์ซื่อต่อพวกเขาหรือยอมรับการไว้วางใจมอบหมายของเขา นี่คือสิทธิของเจ้า  สิทธินี้มาจากไหนหรือ?  พระเจ้าทรงประทานให้เจ้า  นี่คือหลักธรรมข้อที่สอง  หลักธรรมข้อที่สามก็คือ หากใครบางคนไว้วางใจมอบหมายกิจบางอย่างให้แก่เจ้า ต่อให้นั่นไม่กินเวลาและพลังงานของเจ้าในปริมาณที่มีนัยสำคัญ แต่สามารถรบกวนหรือส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หรือทำลายเจตจำนงของเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าตลอดจนทำลายความสัตย์ซื่อของเจ้าที่มีต่อพระเจ้า เจ้าควรปฏิเสธกิจนั้นเช่นกัน  หากใครบางคนไว้วางใจมอบหมายบางสิ่งให้เจ้าซึ่งสามารถส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริง ขัดขวางและรบกวนเจตจำนงของเจ้าที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและฝีก้าวในการไล่ตามเสาะหาความจริง และทำให้เจ้าล้มเลิกไปกลางทาง เช่นนั้นเจ้าก็ยิ่งควรปฏิเสธเข้าไปใหญ่  เจ้าควรปฏิเสธสิ่งใดก็ตามที่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า  นี่เป็นสิทธิของเจ้า เจ้ามีสิทธิที่จะพูด “ไม่” ไม่มีความจำเป็นสำหรับเจ้าที่จะเอาเวลาและพลังงานของเจ้ามาลงทุน  เจ้าสามารถปฏิเสธทุกสรรพสิ่งที่ไม่มีความหมาย คุณค่า ความจำเริญ การช่วยเหลือ หรือประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า การไล่ตามเสาะหาความจริง หรือความรอดของเจ้า  นี่สามารถถูกพิจารณาว่าเป็นหลักธรรมได้หรือไม่?  ได้  นี่คือหลักธรรม  ดังนั้น หากพวกเจ้าประเมินวัดไปตามหลักธรรมเหล่านี้ กิจซึ่งถูกไว้วางใจมอบหมายทั้งหลายที่ผู้คนควรยอมรับในชีวิตพวกเขานั้นสามารถมาจากที่ใดได้เล่า?  (จากพระเจ้า)  นั่นถูกแล้ว กิจเหล่านั้นสามารถมาจากพระเจ้าได้เท่านั้น  คำว่า “จากพระเจ้า” นั้นกลวงเปล่าและไกลตัว ดังนั้นอันที่จริงแล้วการไว้วางใจมอบหมายนี้ควรเป็นสิ่งใด?  (การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเรา)  นั่นถูกแล้ว นั่นหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในคริสตจักร  เป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะตรัสกับเจ้าเป็นการส่วนตัว “เจ้าจงไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐ” “เจ้าจงไปนำคริสตจักร” หรือ “เจ้าจงไปปฏิบัติงานด้านเอกสาร”  เป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะตรัสบอกเจ้าเป็นการส่วนตัว แต่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายหน้าที่ให้กับเจ้าโดยผ่านทางการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  การจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้าทั้งหมดมีต้นกำเนิดจากพระเจ้าและมาจากพระเจ้า ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องให้พระเจ้าตรัสบอกเจ้าเป็นการส่วนตัวหรือ?  เจ้าได้รับประสบการณ์กับผู้คน เหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดแห่งอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และเจ้าก็มีความรู้สึกจริง  สิ่งที่เจ้าได้รับประสบการณ์นั้นสัมพันธ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ความจริง และแผนบริหารจัดการของพระองค์  นี่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือไม่?  นี่มาจากแง่มุมของการยอมรับการไว้วางใจมอบหมาย  อีกอย่าง นอกจากสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมาย ไม่มีสิ่งอื่นที่ผู้คนควรให้ความสัตย์ซื่อ  พระเจ้าเท่านั้นทรงคู่ควรกับความสัตย์ซื่ออันไม่หวั่นไหว ผู้คนนั้นไม่คู่ควร  ไม่มีใครรวมถึงบรรพบุรุษ พ่อแม่ หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าที่คู่ควร  เหตุใดเล่า?  ความจริงสูงสุดก็คือ นั่นเป็นสิ่งที่ธรรมชาติและชอบด้วยเหตุผลอย่างสมบูรณ์แบบที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างสัตย์ชื่อต่อพระผู้สร้าง  เจ้าจำเป็นต้องวิเคราะห์ความจริงนี้หรือไม่?  ไม่ เพราะทุกสิ่งที่เกี่ยวกับผู้คนมาจากพระเจ้า นั่นเป็นธรรมชาติและชอบด้วยเหตุผลอย่างครบบริบูรณ์ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างสัตย์ชื่อต่อพระผู้สร้าง  นี่คือความจริงสูงสุดที่ผู้คนควรมีไว้ในจิตใจ  ความจริงข้อที่สองที่ผู้คนควรเข้าใจก็คือว่า โดยการสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ทุกสิ่งที่ผู้คนได้รับจากพระเจ้านั้นเป็นความจริง ชีวิต และหนทาง  ผลตอบแทนของพวกเขานั้นอุดม ล้นเหลือ เหลือเฟือและท่วมท้นเป็นพิเศษ  เมื่อมนุษย์ได้รับความจริง ชีวิตและหนทาง ชีวิตของพวกเขาจะกลายเป็นมีคุณค่า  เพราะฉะนั้นเมื่อเจ้าสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เวลา พลังงาน และค่าใช้จ่ายที่เจ้าสละอุทิศให้ก็จะได้รับบำเหน็จรางวัลที่เป็นบวก และเจ้าจะไม่มีวันที่มีความรู้สึกเสียดาย  จนถึงตอนนี้ผู้คนบางคนได้ติดตามพระเจ้ามายี่สิบหรือสามสิบปีแล้ว และบางคนก็ติดตามพระเจ้ามาสามถึงห้าปีหรือสิบปี  เราเชื่อว่าพวกเขาส่วนมากไม่มีความรู้สึกเสียดาย และได้รับผลตอบแทนไปแล้วไม่มากก็น้อย  สำหรับบรรดาผู้ที่รักความจริง ยิ่งพวกเขาติดตามพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองขาดพร่องมากเหลือเกินและรู้สึกว่าความจริงนั้นล้ำค่า  ความพึงปรารถนาของพวกเขาในการไล่ตามเสาะหาความจริงก็เริ่มเติบโต และพวกเขารู้สึกว่าพวกเขายอมรับพระเจ้าช้าเกินไป และรู้สึกว่าหากพวกเขายอมรับพระองค์เร็วกว่านี้สักห้าปีหรือสิบปี พวกเขาจะได้เข้าใจความจริงสักมากมายเท่าใด!  ตอนนี้คนบางคนรู้สึกเสียใจที่ยอมรับพระเจ้าช้าเกินไป เสียใจที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีโดยไม่มีการไล่ตามเสาะหาความจริงและสิ้นเปลืองเวลาไปและเสียใจที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีโดยไม่มีการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี  พูดสั้นๆ ก็คือ ไม่สำคัญว่าบุคคลหนึ่งเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลายาวนานเท่าไร พวกเขาล้วนได้รับบางสิ่งและรู้สึกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงมีความสำคัญอย่างเหลือเชื่อ  นี่คือความจริงข้อที่สองที่ว่า โดยการมีความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ทุกสิ่งที่ผู้คนได้รับจากพระเจ้าก็คือความจริง หนทาง และชีวิต อีกทั้งพวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอด ไม่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานอีกต่อไป  ความจริงข้อที่สามก็คือว่า หากผู้คนสามารถสัมฤทธิ์ความสัตย์ซื่อนิรันดร์ต่อพระเจ้า บั้นปลายสุดท้ายของพวกเขาจะเป็นอะไร?  (ได้รับการช่วยให้รอดและคงอยู่เพื่อเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า)  เมื่อผู้คนติดตามพระเจ้าและได้รับการช่วยให้รอดในท้ายที่สุด บั้นปลายที่พวกเขาไปถึงนั้นไม่ใช่การถูกโยนเข้าไปสู่ความพินาศและถูกทำลาย แค่คงอยู่ในฐานะมนุษย์คนใหม่ ที่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้  หากผู้คนยังดำรงชีวิตต่อไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีความหวังที่จะได้เห็นพระเจ้า  ช่างเป็นพระพรอะไรเช่นนี้!  ในเรื่องของการมีความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า นี่มากพอสำหรับผู้คนแล้วใช่หรือไม่ที่จะเข้าใจความจริงทั้งสามประการนี้?  (ใช่)  มีประโยชน์อะไรเล่าหากผู้คนติดตามคนอื่นและสัตย์ซื่อต่อคนเหล่านั้น?  หากเจ้าสัตย์ซื่อต่อผู้อื่น ผู้คนพูดว่าเจ้ามีศีลธรรมอันดี  เจ้ามีหน้ามีตาในทางที่ดี และเจ้าได้รับประโยชน์เล็กน้อยนี้เท่านั้น  เจ้าได้รับความจริงและชีวิตแล้วหรือยัง?  เจ้าไม่ได้รับเลย  บุคคลอื่นสามารถให้อะไรแก่เจ้าได้เมื่อเจ้าสัตย์ซื่อต่อพวกเขา?  อย่างมากที่สุดเจ้าก็สามารถได้ประโยชน์จากการคบค้าสมาคมกับพวกเขาในช่วงระหว่างที่พวกเขามีความสำเร็จอันรวดเร็วในอาชีพการงาน ทั้งหมดก็เท่านั้นเอง  อะไรคือคุณค่าของการนั้น?  นั่นไม่กลวงเปล่าหรอกหรือ?  สิ่งทั้งหลายที่ไม่สัมพันธ์กับความจริงนั้นไร้ประโยชน์ไม่ว่าเจ้าจะหามาได้มากมายเพียงใดก็ตาม  ยิ่งไปกว่านั้น หากเจ้าติดตามผู้คนและสัตย์ซื่อกับพวกเขา ก็อาจมีผลสืบเนื่องอย่างหนึ่ง  เจ้าอาจกลายเป็นเหยื่อ เป็นเครื่องบูชา  หากบุคคลที่เจ้าให้ความสัตย์ซื่อไม่เดินบนเส้นทางที่ถูก จะเกิดอะไรขึ้นหากเจ้าติดตามพวกเขา?  เจ้าจะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  หากเจ้าติดตามพวกเขา เจ้าก็จะไม่เดินบนเส้นทางที่ถูกเช่นกัน เจ้าจะถึงกับคล้อยตามพวกเขาในการทำความชั่วและเจ้าจะไปถูกลงโทษที่นรก และแล้วเจ้าก็จะจบเห่  หากเจ้าสัตย์ซื่อต่อบุคคลหนึ่ง ต่อให้เจ้าทำความประพฤติดีมากมายเพียงใดก็ตาม เจ้าก็จะไม่ได้รับความเห็นชอบของพระเจ้า  หากเจ้าสัตย์ซื่อต่อกษัตริย์มาร ซาตาน หรือศัตรูของพระคริสต์ เจ้าก็กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและลูกน้องของซาตาน  จุดจบสามารถเป็นได้เพียงถูกฝังเคียงข้างไปกับซาตาน เป็นเครื่องบูชาให้ซาตานเท่านั้นเอง  พวกไม่เชื่อพูดว่า “การอยู่ใกล้ชิดกษัตริย์นั้นอันตรายเหมือนนอนอยู่กับพยัคฆ์”  ไม่ว่าเจ้าจะสัตย์ซื่อต่อกษัตริย์มารมากเพียงใด สุดท้ายแล้ว เมื่อพวกเขาได้ใช้เจ้าจนหมดสิ้นแล้ว พวกเขาก็จะกลืนกินเจ้าและทำให้เจ้าเป็นเหยื่อ  ชีวิตของเจ้าก็จะอยู่ในอันตรายเสมอ  นั่นคือชะตากรรมของการมีความสัตย์ซื่อต่อกษัตริย์มารและต่อซาตาน  กษัตริย์มารและซาตานจะไม่มีวันชี้ให้เจ้าเห็นเส้นทางที่ถูกต้องและจุดประสงค์ของชีวิตเจ้า และจะไม่นำเจ้าไปบนเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิต  เจ้าจะไม่มีวันได้รับความจริงหรือชีวิตจากพวกเขา  ปลายทางของความสัตย์ซื่อของเจ้าที่มีให้พวกเขาก็คือถูกทำให้พินาศไปกับพวกเขาและเป็นเครื่องบูชาของพวกเขา หรือไม่ก็ถูกพวกเขาวางกับดัก ถูกเชือดเฉือน และเขมือบกิน ทั้งหมดนี้คือผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายแห่งการไปนรก  นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจปฏิเสธได้  เพราะฉะนั้นบุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่โดดเด่นและมีชื่อเสียง หรือใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่คู่ควรกับความสัตย์ชื่อของเจ้าและการพลีอุทิศทั้งชีวิตของเจ้าเพื่อพวกเขา  พวกเขาไม่คู่ควร และพวกเขาไม่มีอำนาจที่จะจัดการเตรียมการหรือบงการโชคชะตาของเจ้า  การเข้าใจหลักธรรมความจริงนี้มากพอที่จะแก้ปัญหาอย่างเช่นการติดตามผู้คนและการมีความสัตย์ซื่อต่อผู้คนหรือไม่?  (พอ)  มีหลักธรรมอยู่สามประการที่ควรทำตามยามจัดการกับกิจทั้งหลายที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้แก่เจ้า และหลักธรรมทั้งสามก็ได้ถูกสามัคคีธรรมถึงคุณค่าและนัยสำคัญของความสัตย์ซื่อของผู้คนที่มีต่อพระเจ้า—พวกเจ้าเข้าใจหลักธรรมทั้งหมดนี้ชัดเจนหรือไม่?  (ชัดเจน)  พูดสั้นๆ ก็คือ จุดประสงค์ของการชำแหละคำกล่าว “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” นั้นก็เพื่อช่วยให้พวกเจ้ามองเห็นความไร้สาระและความเทียมเท็จของคำกล่าวนี้อย่างชัดเจน เพื่อให้เจ้าสามารถละวางมันได้  อย่างไรก็ดี การละวางนั้นไม่มากพอ เจ้าต้องทำความเข้าใจและจับความเข้าใจหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่ผู้คนควรมี ตลอดจนน้ำพระทัยของพระเจ้าในเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน  เมื่อคำนึงถึงคำกล่าวทางศีลธรรมที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” นี่ก็คือเนื้อหาหลักโดยพื้นฐาน  เราเพิ่งชำแหละจากแง่มุมและทัศนคติที่ต่างกัน แล้วจากนั้นก็สามัคคีธรรมอย่างเจาะจงถึงหลักธรรมแห่งการปฏิบัติทั้งหลายที่พระเจ้าทรงเปิดเผยต่อผู้คน สิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า และสิ่งซึ่งเป็นความจริงที่ผู้คนควรเข้าใจ  หลังจากที่เข้าใจสามประเด็นนี้ โดยรากฐานแล้วผู้คนก็ควรจับความเข้าใจถึงวิธีที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะคำกล่าวทางศีลธรรมที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า”

อันที่จริงแล้วการชำแหละหัวข้อนี้ที่ว่า “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” นั้นค่อนข้างเรียบง่าย และผู้คนสามารถหยั่งรู้และเข้าใจได้โดยง่าย  วลีนี้เป็นคำกล่าวที่ถูกหยิบยกมาโดยพวกนักศีลธรรมเพื่อที่จะทำให้ผู้คนขยับทำอะไรไม่ได้ ชักพาความคิดของผู้คนให้หลงผิดและขัดขวางการคิดปกติ และไม่อยู่บนพื้นฐานของมโนธรรม เหตุผลมนุษย์ที่เป็นปกติ หรือสิ่งจำเป็นแบบมนุษย์ที่ปกติ  แนวคิดดังกล่าวเหล่านั้นถูกกุขึ้นโดยคนที่เรียกว่าพวกนักคิดและนักศีลธรรม ถูกทำให้เชื่อในทางที่ผิดว่ามีคุณธรรม  แนวคิดเหล่านั้นไม่เพียงไร้พื้นฐานและเหลวไหลแต่ยังไร้ศีลธรรมอีกด้วย  เหตุใดนั่นจึงถูกพิจารณาว่าไร้ศีลธรรม  เพราะนั่นไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากสิ่งจำเป็นทั้งหลายของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นั่นไม่สามารถถูกสัมฤทธิ์ได้ในขอบข่ายของความสามารถมนุษย์ และนั่นก็ไม่ใช่ภาระผูกพันหรือหน้าที่ที่เหล่ามนุษย์ควรปฏิบัติ  พวกที่เรียกกันว่านักศีลธรรมเหล่านั้นถือเอาวลีนี้ “ทำให้ดีที่สุดในการรับมืออย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นไว้วางใจมอบหมายให้กับเจ้า” เป็นมาตรฐานสำหรับการวางตัวที่พวกเขาเรียกร้องจากผู้คนอย่างเคร่งครัด จึงเป็นที่มาของการสร้างบรรยากาศทางสังคมและประชามติประเภทหนึ่ง  จากนั้นผู้คนก็ถูกประชามตินี้กดขี่ และพวกเขาก็ถูกบังคับให้ใช้ชีวิตในหนทางนี้  ความคิดของผู้คนจึงกลายเป็นถูกพันธนาการในหนทางนี้โดยการคิดเยี่ยงซาตานประเภทนี้โดยมิอาจล่วงรู้เลย  ครั้นความคิดของผู้คนถูกพันธนาการ จึงเห็นได้ชัดว่าการกระทำของพวกเขาก็ถูกพันธนาการโดยคำกล่าวนี้และโดยประชามติ  การถูกพันธนาการหมายถึงอะไร?  นั่นหมายถึงการที่ผู้คนไม่สามารถเลือกสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขาไม่สามารถทำตามความพึงปรารถนาและข้อเรียกร้องของธรรมชาติมนุษย์อย่างอิสระ อีกทั้งไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องของมโนธรรมและเหตุผลของพวกเขาในการที่จะทำสิ่งที่พวกเขาต้องการทำ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับถูกจำกัดบังคับและพันธนาการโดยความคิดที่ผิดเพี้ยน โดยทฤษฎีเชิงอุดมคติและความเห็นทางสังคมประเภทหนึ่งที่ผู้คนไม่สามารถแยกแยะหรือฝ่าพ้นไปได้  ผู้คนดำรงชีวิตอยู่อย่างขาดสติในบรรยากาศและสภาพแวดล้อมทางสังคมประเภทนี้และไม่สามารถฝ่าพ้นออกมาได้  หากผู้คนไม่เข้าใจความจริง หากพวกเขาไม่สามารถเข้าใจสิ่งบิดเบือนและข้อผิดพลาดทั้งหลายในคำกล่าวเหล่านี้ และหากพวกเขาไม่สามารถตระหนักถึงอันตรายและผลสืบเนื่องที่มีเหตุมาจากคำกล่าวเหล่านี้ที่พันธนาการพวกเขาอยู่ พวกเขาจะไม่มีวันสามารถฝ่าพ้นจากการข้อจำกัดบังคับ พันธนาการ และแรงกดดันเหล่านี้ที่ถูกบังคับใช้โดยวัฒนธรรมดั้งเดิมและความเห็นทางสังคม  พวกเขาจะสามารถดำรงชีวิตอยู่โดยพึ่งพาสิ่งเหล่านี้เท่านั้น  เหตุผลที่ผู้คนดำเนินชีวิตโดยพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ก็คือการที่พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรคือเส้นทางที่ถูก อะไรคือทิศทางและจุดประสงค์ของการวางตัวของพวกเขา และก็ไม่รู้หลักธรรมของวิธีวางตัวของพวกเขา  พวกเขาถูกชักพาให้หลงผิดไปตามธรรมชาติและโดยไม่มีการตอบโต้โดยคำกล่าวทางศีลธรรมสารพัดในวัฒนธรรมดั้งเดิม ถูกนำไปในทางที่ผิดและถูกควบคุมโดยทฤษฎีที่ผิดพลาดเหล่านี้  เมื่อผู้คนเข้าใจความจริง ก็กลายเป็นง่ายสำหรับพวกเขาที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะและปฏิเสธความคิดนอกรีตและเหตุผลวิบัติเหล่านี้  พวกเขาไม่ถูกพันธนาการ ดักปล้น หรือแสวงประโยชน์โดยประชามติ บรรยากาศและสภาพแวดล้อมในสังคมที่ซาตานสร้างขึ้นอีกต่อไป  ในหนทางนี้ ทิศทางและจุดประสงค์ของชีวิตพวกเขาจึงถูกแปลงสภาพไปโดยครบบริบูรณ์ และพวกเขาสามารถดำเนินชีวิตและดำรงอยู่ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาไม่ถูกชักพาให้หลงผิดหรือถูกพันธนาการโดยทฤษฎีเยี่ยงซาตานสารพัดและเหตุผลวิบัติสารพัดของวัฒนธรรมดั้งเดิมอีกต่อไป  เมื่อผู้คนทิ้งคำกล่าวสารพัดในวัฒนธรรมดั้งเดิมเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติอย่างสิ้นเชิง นั่นคือชั่วขณะที่พวกเขาเป็นอิสระโดยสิ้นเชิงจากการทำให้เสื่อมทราม การชักพาให้หลงผิด และพันธนาการของซาตาน  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและเมื่อเจ้าเข้าใจหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์และทรงมอบแก่เหล่ามนุษย์บนพื้นฐานนี้ จุดประสงค์ในชีวิตของเจ้าก็แปลงสภาพไปโดยถ้วนทั่วแล้ว และเจ้าก็มีชีวิตใหม่  เมื่อเจ้ามีชีวิตใหม่ เจ้าก็เป็นมนุษย์แรกเกิด และเจ้าก็เป็นบุคคลใหม่  เพราะความคิดที่จัดเก็บอยู่ในจิตใจของเจ้าไม่เต็มไปด้วยความคิดนอกรีดและเหตุผลวิบัติสารพัดที่ถูกซาตานปลูกฝังไว้ในตัวเจ้าอีกต่อไป และแทนที่จะเป็นเช่นนั้น ความจริงได้มาแทนที่สิ่งเยี่ยงซาตานเหล่านี้ สิ่งที่ตามมาก็คือ ภายใต้การทรงนำของพระเจ้า ความจริงกลายเป็นชีวิตภายในผู้คน นำและปกครองดูแลวิธีที่พวกเขามีทัศนะต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวางตัวและกระทำ  พวกเขาเดินบนเส้นทางที่ถูกของชีวิตมนุษย์และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง  นี่เหมือนเป็นการเกิดใหม่ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้าไม่มีผิดไม่ใช่หรือ?  เอาล่ะ พวกเรามาสรุปปิดการสามัคคีธรรมในวันนี้กันตรงนี้เถิด

2 กรกฎาคม ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (13)

ถัดไป: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (15)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger