การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (13)

ชำแหละสิ่งที่ผู้คนยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม

II. คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิม

ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมและชำแหละคำกล่าวในวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ว่า “จงก้มหน้าก้มตาทำงาน และพากเพียรทำให้ดีที่สุดจนกระทั่งวันตายของตน” เป็นหลัก  คำกล่าวและทฤษฎีของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ซาตานใช้ล้างสมองผู้คนนั้นไม่ถูกต้อง และถ้อยคำที่ฟังดูสูงส่งที่มันให้ผู้คนยึดปฏิบัติก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน  ในทางตรงกันข้าม สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ผู้คนสับสนและหลงผิด และจำกัดขอบเขตการคิดอ่านของพวกเขา  การอบรมสั่งสอน ล้างสมอง และครอบงำมวลชนด้วยแนวคิดและทัศนะที่ผิดพลาดเหล่านี้ในวัฒนธรรมดั้งเดิม มีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือการทำให้พวกเขาตายใจจนยอมนบนอบต่ออำนาจครอบครองของชนชั้นปกครอง และถึงกับยอมรับใช้นักปกครองด้วยความจงรักภักดีของผู้ที่รักประเทศและพรรคของตน มุ่งมั่นที่จะปกป้องบ้านเรือนของตนและพิทักษ์รัฐ  นี่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลแห่งชาติทำให้การศึกษาตามแนววัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นที่นิยมเพื่อเอื้อต่อการควบคุมมวลมนุษย์และกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลายทั้งปวงโดยนักปกครอง และเพื่อทำให้ระบอบการปกครองของนักปกครองมั่นคงยิ่งขึ้น เพิ่มความปรองดองและความมั่นคงให้แก่สังคมที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา  ไม่ว่าชนชั้นปกครองจะเผยแพร่ ส่งเสริม และทำให้การศึกษาแนววัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นที่นิยมเช่นไร โดยทั่วไปแล้วคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ก็ตบตาและชักนำผู้คนให้หลงผิดตลอดมา และขัดขวางพวกเขาอย่างร้ายแรงให้ไม่สามารถแยกแยะเรื่องจริงออกจากเรื่องโกหก แยกแยะดีชั่ว ถูกผิด และแยกแยะสิ่งที่เป็นบวกออกจากสิ่งที่เป็นลบ  อาจกล่าวได้อีกด้วยว่าคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมทั้งหลายนี้สับเปลี่ยนดำขาว ผสมเรื่องจริงกับเรื่องโกหกเข้าด้วยกัน และตบตาสาธารณชนอย่างเต็มที่ ทำให้ผู้คนถูกข้อคิดเห็นที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมหลอกลวงในบริบทที่พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดคือความจริง สิ่งใดคือคำโกหก สิ่งใดเป็นบวกและสิ่งใดเป็นลบ สิ่งใดมาจากพระเจ้า และสิ่งใดมาจากซาตาน  วิธีที่วัฒนธรรมดั้งเดิมนิยามสิ่งทั้งหลายและจำแนกผู้คนทุกประเภทว่าดีหรือไม่ดี เมตตาหรือชั่ว ได้ก่อกวน สร้างความสับสน และชักนำมนุษย์ให้หลงผิด ถึงขั้นจำกัดขอบเขตความคิดของผู้คนให้อยู่ในคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมต่างๆ ที่วัฒนธรรมดั้งเดิมให้การสนับสนุน เพื่อให้พวกเขาไม่สามารถถอนตัวได้  ผลก็คือ ผู้คนมากมายเต็มใจปฏิญาณว่าจะสวามิภักดิ์ต่อพวกกษัตริย์มาร แสดงให้เห็นการอุทิศตนอย่างมืดบอดไปจนถึงปลายทาง และทำตามคำปฏิญาณนั้นไปจนตาย  สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อมาจนกระทั่งปัจจุบัน แต่ทว่าก็มีบางคนที่คิดได้  แม้ว่าทุกวันนี้ผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้าสามารถตระหนักรู้ความจริงได้ แต่ก็มีอุปสรรคมากมายในการที่พวกเขาจะยอมรับความจริงและนำไปปฏิบัติ  อาจกล่าวได้ว่าอุปสรรคเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากแนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่หยั่งรากอยู่ในหัวใจของพวกเขามานานแล้ว  ผู้คนเรียนรู้สิ่งเหล่านี้เป็นอันดับแรก และสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงมีอำนาจครอบงำ โดยควบคุมความคิดอ่านของผู้คนไปแล้ว ซึ่งก่อให้เกิดอุปสรรคและการต้านทานมากมายเหลือเกินในเรื่องที่ผู้คนจะยอมรับความจริงและนบนอบพระราชกิจของพระเจ้า  นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือ เพราะผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากวิธีที่วัฒนธรรมดั้งเดิมตบตาและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  วัฒนธรรมดั้งเดิมแทรกแซงและส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อทัศนะที่ผู้คนมีเกี่ยวกับวิธีประเมินวัดความดีความชั่ว เรื่องจริงและเรื่องโกหก และทำให้ผู้คนมีมโนคติ แนวคิด และทัศนะที่หลงผิดมากมาย  เรื่องนี้ทำให้ผู้คนไม่สามารถยอมรับสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก งดงาม และดีได้อย่างสนิทใจ รวมทั้งกฎเกี่ยวกับสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง และข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงปกครองทุกสิ่ง  แต่ผู้คนกลับเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิด และแนวคิดทุกประเภทที่คลุมเครือและไม่ตรงกับความเป็นจริง  เหล่านี้เป็นผลสืบเนื่องจากแนวคิดต่างๆ ที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวผู้คน  เมื่อมองจากอีกมุมหนึ่ง คำกล่าวต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมล้วนเป็นคำกล่าวเทียมเท็จที่ทำให้การคิดอ่านของผู้คนเสื่อมทราม รบกวนความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา และทำให้กระบวนการคิดที่ปกติของพวกเขาเสียหาย ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการที่ผู้คนจะยอมรับสิ่งที่เป็นบวกและความจริง และยังส่งผลร้ายแรงต่อการจับใจความและความเข้าใจอันถ่องแท้ที่ผู้คนมีต่อธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง

ในแง่หนึ่ง คำกล่าวต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมได้รบกวนวิธีคิดที่ถูกต้องที่ผู้คนใช้แยกแยะถูกผิด ทั้งยังขัดขวางเจตจำนงเสรีของพวกเขาอีกด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อยอมรับคำกล่าวต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมทั้งหลายนี้แล้ว มนุษย์ก็กลายเป็นคนหน้าซื่อใจคดและเทียมเท็จ  พวกเขาเสแสร้งเก่ง—จนถึงขั้นที่เรียกกวางเป็นม้า สับเปลี่ยนดำขาว และปฏิบัติต่อสิ่งที่เป็นลบ อัปลักษณ์ และชั่วเหมือนสิ่งที่เป็นบวก งดงาม และดี และในทางกลับกัน—และพวกเขาก็เข้าสู่ระยะของการเทิดทูนความชั่วแล้ว  ทั่วทั้งสังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยหรือราชวงศ์ใด สิ่งที่มนุษย์สนับสนุนและเคารพโดยพื้นฐานแล้วก็คือคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ในวัฒนธรรมดั้งเดิม  ภายใต้ผลกระทบที่ร้ายแรงของคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ กล่าวคือ ภายใต้การล้างสมองอย่างต่อเนื่อง ลุ่มลึกและถ้วนทั่วยิ่งขึ้นของคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้จากวัฒนธรรมดั้งเดิม ผู้คนใช้คำกล่าวเหล่านี้เป็นต้นทุนในการดำรงอยู่และเป็นกฎของการดำรงอยู่โดยไม่รู้ตัว  ผู้คนเอาแต่ยอมรับคำกล่าวเหล่านี้อย่างเต็มที่โดยไม่มีวิจารณญาณ ทำเหมือนสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เป็นบวก เป็นอุดมคติและหลักเกณฑ์ที่นำทางว่าพวกเขาควรคบค้าคนอื่น มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและกระทำการอย่างไร  ผู้คนปฏิบัติต่อคำกล่าวเหล่านี้เหมือนเป็นกฎหมายสูงสุดที่พวกเขาใช้กรุยทางให้ตนในสังคม หรือสัมฤทธิ์ชื่อเสียงและเกียรติยศ หรือให้ตนได้รับความนับถือและความเคารพ  ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตามในสังคมหรือในชนชาติใด ในช่วงเวลาใด—ผู้คนที่พวกเขานับถือ เคารพ และกล่าวประกาศว่าเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ดีที่สุด ก็เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าแบบอย่างทางศีลธรรมเท่านั้น  ไม่ว่าผู้คนดังกล่าวจะใช้ชีวิตแบบใดอยู่หลังฉาก ไม่ว่าการกระทำของพวกเขาจะมีเจตนาและเหตุจูงใจอะไร และแก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาจะประพฤติปฏิบัติตนและคบค้าสมาคมกับคนอื่นอย่างไร และไม่ว่าแก่นแท้ของคนที่ห่มเสื้อคลุมแห่งการประพฤติปฏิบัติอันดีและงดงามทางศีลธรรมจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครใส่ใจสิ่งเหล่านี้ และไม่พยายามสืบค้นเพิ่มเติม  ตราบใดที่พวกเขาจงรักภักดี รักชาติ และแสดงความสวามิภักดิ์ต่อนักปกครอง ผู้คนย่อมปลาบปลื้มหลงใหลและพากันชื่นชมสรรเสริญพวกเขา และถึงกับเลียนแบบพวกเขาในฐานะวีรบุรุษ เพราะทุกคนใช้การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่คนคนหนึ่งแสดงให้เห็นภายนอก เป็นหลักในการประเมินว่าพวกเขาเมตตาหรือชั่ว ดีหรือไม่ดี และใช้วัดความมีหน้ามีตาของพวกเขา  แม้ว่าพระคัมภีร์จะบันทึกเรื่องราวของธรรมิกชนและปราชญ์สมัยโบราณเอาไว้ชัดเจนอยู่หลายคน อาทิ โนอาห์ อับราฮัม โมเสส โยบ และเปโตร รวมทั้งเรื่องราวของผู้เผยพระวจนะมากมาย และอื่นๆ และแม้ว่าผู้คนมากมายจะคุ้นเคยกับเรื่องราวดังกล่าว แต่ก็ยังคงไม่มีประเทศ ชนชาติ หรือกลุ่มใดที่ส่งเสริมสภาวะความเป็นมนุษย์และลักษณะนิสัยทางศีลธรรมของธรรมิกชนและปราชญ์สมัยโบราณเหล่านี้อย่างกว้างขวาง—หรือตัวอย่างการนมัสการพระเจ้าของพวกเขา หรือแม้แต่หัวใจอันยำเกรงพระเจ้าที่พวกเขาเผยให้เห็น—ไม่ว่าจะเป็นในสังคม ทั่วทั้งชาติ หรือในหมู่ผู้คน  ไม่มีประเทศ ชนชาติ หรือกลุ่มใดทำเช่นนี้สักแห่งหรือสักกลุ่มเดียว  แม้แต่ประเทศที่มีศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำรัฐ หรือประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนา ก็ไม่รณรงค์ให้สนใจและเคารพลักษณะนิสัยที่เป็นมนุษย์ของธรรมิกชนและปราชญ์สมัยโบราณเหล่านี้ หรือเรื่องราวของพวกเขาที่ยำเกรงและเชื่อฟังพระเจ้า ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์อยู่ดี  นี่บ่งบอกปัญหาอะไร?  มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามได้ตกต่ำจนถึงจุดที่ผู้คนเบื่อหน่ายความจริง เบื่อหน่ายสิ่งที่เป็นบวก และเทิดทูนความชั่ว  หากพระเจ้าไม่ได้ตรัสและทรงพระราชกิจท่ามกลางผู้คนด้วยพระองค์เอง ตรัสบอกผู้คนอย่างชัดเจนว่าสิ่งใดเป็นบวกและสิ่งใดเป็นลบ สิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด สิ่งใดงดงามและดี สิ่งใดอัปลักษณ์ และอื่นๆ เช่นนั้นแล้วมวลมนุษย์ย่อมจะไม่มีวันสามารถแยกแยะดีชั่วได้ และจะไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นบวกออกจากสิ่งที่เป็นลบ  นับแต่เริ่มมีเผ่าพันธุ์มนุษย์ และแม้กระทั่งในช่วงที่มนุษย์มีพัฒนาการ กิจการเหล่านี้และบันทึกทางประวัติศาสตร์เรื่องการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าก็ได้รับการถ่ายทอดมาจนถึงทุกวันนี้ในบางประเทศและบางกลุ่มชาติพันธุ์ในยุโรปและทวีปอเมริกาแล้ว  อย่างไรก็ตาม มนุษย์ยังคงไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นบวกออกจากสิ่งที่เป็นลบ หรือสิ่งที่ดีและงดงามออกจากสิ่งที่ชั่วและอัปลักษณ์  มนุษย์ไม่เพียงไม่สามารถแยกแยะได้เท่านั้น แต่พวกเขายังกระตือรือร้นและเต็มใจที่จะยอมรับคำกล่าวอ้างทุกประเภทจากซาตานอีกด้วย เช่น คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม รวมทั้งคำนิยามและแนวคิดที่ผิดของซาตานเกี่ยวกับผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลาย  นี่แสดงให้เห็นสิ่งใด?  เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่แสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วมวลมนุษย์ไม่มีสัญชาตญาณที่จะยอมรับสิ่งที่เป็นบวกด้วยตนเอง หรือสัญชาตญาณที่จะแยกแยะสิ่งที่เป็นบวกออกจากสิ่งที่เป็นลบ แยกแยะดีชั่ว ถูกผิด เรื่องจริงเรื่องโกหก?  (เป็นไปได้)  ในหมู่มวลมนุษย์มีสิ่งที่แพร่หลายในเวลาเดียวกันอยู่สองประเภท ซึ่งหนึ่งในนั้นมาจากซาตาน ส่วนอีกหนึ่งมาจากพระเจ้า  แต่ในท้ายที่สุด ทั่วทั้งสังคมมนุษย์และในประวัติศาสตร์ทั้งมวลแห่งพัฒนาการของมวลมนุษย์ พระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้ และสิ่งทั้งปวงที่เป็นบวกซึ่งพระองค์ทรงสอนและอธิบายแก่มวลมนุษย์เอาไว้ ก็ไม่อาจเป็นที่เคารพของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งมวลได้ และไม่สามารถแม้แต่จะกลายเป็นกระแสหลักในหมู่มวลมนุษย์ หรือทำให้เกิดความคิดอ่านที่ถูกต้องในตัวผู้คน หรือนำพวกเขาให้ใช้ชีวิตที่ปกติท่ามกลางสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสร้าง  ผู้คนดำรงอยู่ภายใต้การชี้นำของความคิดเห็น แนวคิด และมโนทัศน์ต่างๆ ของซาตาน และใช้ชีวิตภายใต้การชี้นำของทัศนะที่ผิดพลาดเหล่านี้โดยไม่ทันรู้ตัว  เมื่อใช้ชีวิตในหนทางนี้ พวกเขาก็ไม่ได้ทำเช่นนี้อย่างเฉื่อยชา แต่ทำอย่างแข็งขัน  แม้พระเจ้าจะทรงทำสิ่งที่พระองค์ทำลงไป แม้จะทรงสำเร็จลุล่วงการสร้างและปกครองสรรพสิ่ง และมีพระวจนะมากมายที่พระราชกิจของพระเจ้าทิ้งไว้เบื้องหลังในบางประเทศ รวมทั้งคำนิยามถึงผู้คน เรื่องราว และสิ่งต่างๆ ที่มีการถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบัน แต่มนุษย์ก็ใช้ชีวิตตามแนวคิดและทัศนะต่างๆ ที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวผู้คนโดยไม่รู้ตัวอยู่ดี  แนวคิดและทัศนะนานัปการที่ซาตานปลูกฝังและสนับสนุนเหล่านี้เป็นแนวคิดและทัศนะกระแสหลักที่แพร่ไปทั่วสังคมมนุษย์แม้กระทั่งในประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์กันอย่างแพร่หลาย  แต่ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทิ้งถ้อยแถลงที่เป็นบวก แนวคิดและทัศนะที่เป็นบวก คำนิยามที่เป็นบวกเกี่ยวกับผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายไว้มากมายเพียงใดให้แก่มวลมนุษย์ผ่านทางการทรงพระราชกิจของพระองค์ สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่ในบางมุมของโลกเท่านั้น หรือที่แย่กว่านั้นก็คือ มีการรักษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในหมู่ชนกลุ่มน้อยจำนวนน้อยมากเท่านั้น และหลงเหลืออยู่ตามริมฝีปากเฉพาะของบางคนเท่านั้น แต่ไม่อาจได้รับการยอมรับอย่างแข็งขันจากมนุษย์ได้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นบวกซึ่งจะชี้แนะและนำทางพวกเขาในชีวิต  เมื่อเปรียบเทียบสองสิ่งที่ต่างชนิดกันนี้ และดูจากท่าทีต่างๆ ที่มวลมนุษย์มีต่อสิ่งที่เป็นลบจากซาตาน และต่อสิ่งที่เป็นบวกนานาประการจากพระเจ้า เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งมวลย่อมตกอยู่ในเงื้อมมือของมารร้าย  นี่คือข้อเท็จจริง และสามารถยืนยันได้ด้วยความแน่ใจ  ส่วนใหญ่แล้วข้อเท็จจริงนี้หมายความว่าความคิด วิธีคิด และวิธีที่ผู้คนใช้รับมือคน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายล้วนถูกแนวคิดและทัศนะต่างๆ ของซาตานควบคุม ครอบงำ บงการ และแม้กระทั่งจำกัดขอบเขตเอาไว้  ตลอดประวัติศาสตร์ที่มนุษย์มีพัฒนาการมา ไม่ว่าจะเป็นระยะใดหรือช่วงเวลาใด—ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยที่ค่อนข้างล้าหลัง หรือยุคปัจจุบันที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจแล้ว—และไม่ว่าจะเป็นภูมิภาค สัญชาติ หรือคนกลุ่มใด วิธีการดำรงอยู่ รากฐานของการดำรงอยู่ และทัศนะว่าควรรับมือผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายอย่างไร ล้วนอิงตามแนวคิดต่างๆ ที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวผู้คนทั้งสิ้น ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก  พระเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดในสถานการณ์ที่มนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำเหลือเกิน และเป็นสถานการณ์ที่แนวคิดและมุมมองของพวกเขา รวมทั้งวิธีที่พวกเขามองผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายทุกประเภท ตลอดจนวิธีใช้ชีวิตและรับมือโลก ถูกแนวคิดของซาตานตีกรอบเอาไว้อย่างสิ้นเชิง  คนเราสามารถจินตนาการได้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นหนักหนาและลำบากยากเย็นเพียงใดภายในบริบทดังกล่าว  นี่เป็นบริบทแบบใด?  บริบทที่พระองค์เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์นั้นเป็นบริบทที่หัวใจและความรู้สึกนึกคิดของผู้คนถูกปรัชญาและพิษของซาตานครอบงำและตีกรอบเอาไว้อย่างสิ้นเชิงมานานแล้ว  พระองค์ไม่ได้เสด็จมาทรงพระราชกิจของพระองค์ภายในบริบทที่ผู้คนไม่มีอุดมคติ หรือทัศนะใดๆ เกี่ยวกับผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลาย แต่อยู่ในบริบทที่ผู้คนมีวิธีพิจารณาคน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลาย และบริบทที่วิธีมอง วิธีคิด และวิธีใช้ชีวิตเหล่านี้ถูกซาตานทำให้สับสนและหลงผิดอย่างร้ายแรง  กล่าวคือ พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดภายในบริบทที่มนุษย์ยอมรับแนวคิดและทัศนะของซาตานแล้วทั้งใจ และถูกแนวคิดของซาตานเข้าครอง ครอบงำ พันธนาการ และควบคุม  นี่คือผู้คนประเภทที่พระเจ้ากำลังช่วยให้รอด ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าพระราชกิจของพระองค์ลำบากยากเย็นเพียงใด  พระเจ้าทรงต้องการให้ผู้คนที่ถูกแนวคิดของซาตานครอบงำและตีกรอบดังกล่าวมาตระหนักรู้อีกครั้งถึงสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบ ความงดงามและความอัปลักษณ์ ถูกและผิด ความจริงและเหตุผลวิบัติอันชั่ว และแยกแยะทั้งหมดนี้ออกจากกัน และท้ายที่สุดก็ไปถึงจุดที่พวกเขาสามารถรังเกียจและปฏิเสธแนวคิดและความเข้าใจอันคลาดเคลื่อนต่างๆ ที่ซาตานปลูกฝังไว้ทั้งหมดจากก้นบึ้งของหัวใจของตน และด้วยเหตุนี้จึงยอมรับทัศนะที่ถูกต้องและวิธีใช้ชีวิตที่ถูกต้องทั้งปวงที่มาจากพระเจ้า  นี่คือความหมายจำเพาะของการที่พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด

ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาใดของมนุษยชาติ หรือสังคมได้พัฒนาไปถึงขั้นใด หรือวิธีการปกครองของนักปกครองจะเป็นอย่างไร—จะเป็นเผด็จการนิยมศักดินา หรือระบบสังคมแบบประชาธิปไตยก็ตาม—สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าทฤษฎีทางอุดมคติและคำกล่าวต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ซาตานสนับสนุนนั้นมีอยู่ทั่วไปในสังคมมนุษย์  จากสังคมแบบศักดินามาจนถึงสังคมสมัยใหม่ แม้ว่าขอบเขต หลักธรรมที่ใช้นำทาง และวิธีการปกครองของนักปกครองจะเปลี่ยนแปลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า และจำนวนของกลุ่มชาติพันธุ์ เชื้อชาติ และชุมชนความเชื่อต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่องเช่นกันก็ตาม แต่พิษของคำกล่าวต่างๆ ในวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวผู้คนยังคงมีอยู่ทั่วไปและกำลังแพร่กระจาย หยั่งรากลึกลงไปในความคิดของผู้คนและส่วนลึกสุดในดวงจิตของพวกเขา ควบคุมวิธีการดำรงอยู่ของพวกเขา และครอบงำความคิดและทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลาย  แน่นอนว่าพิษนี้ยังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระเจ้าอีกด้วย และกัดกร่อนความเต็มใจและการโหยหาที่จะยอมรับความจริงและความรอดของพระผู้สร้างในตัวมวลมนุษย์อย่างร้ายแรง  เพราะฉะนั้น ตัวอย่างคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ยกมาจึงควบคุมการคิดอ่านของผู้คนทั่วทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์มาโดยตลอด ฐานะและบทบาทที่คำกล่าวเหล่านี้มีอำนาจเหนือมวลมนุษย์ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะในช่วงเวลาหรือในบริบทใดทางสังคม  ไม่ว่านักปกครองคนหนึ่งจะเป็นใหญ่ในช่วงเวลาใด ไม่ว่าจะขยันหมั่นเพียรหรือล้าหลัง วิธีการปกครองของพวกเขาจะเป็นแบบประชาธิปไตยหรือเผด็จการก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่สามารถหยุดยั้งหรือกวาดล้างความสับสนและการควบคุมมนุษย์ที่เกิดจากแนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมได้  ไม่ว่าจะเป็นยุคใดในประวัติศาสตร์ หรือในกลุ่มชาติพันธุ์ใด หรือความเชื่อของมนุษย์จะก้าวหน้าหรือก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด และไม่ว่ามนุษย์จะก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดในด้านการคิดอ่านที่พวกเขามีต่อชีวิตและกระแสนิยมทางสังคมก็ตาม อิทธิพลที่คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อการคิดอ่านของมนุษย์ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และผลกระทบที่สิ่งเหล่านี้มีต่อผู้คนก็ไม่เคยเบาลงเลย  จากมุมมองนี้ คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมจึงจำกัดขอบเขตการคิดอ่านของผู้คนไว้มากเกินไป ไม่เพียงส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงท่าทีที่ผู้คนมีต่อความจริงอีกด้วย ทั้งยังส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์ทรงสร้างกับพระผู้สร้าง  แน่นอนว่าสามารถกล่าวได้อีกด้วยว่าซาตานใช้แนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมเพื่อทดลอง ตบตา ตีกรอบ และทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นด้านชา และใช้วิธีการเหล่านี้คว้าตัวมนุษย์ไปจากพระเจ้า  ยิ่งมีการเผยแพร่แนวคิดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมในหมู่มวลมนุษย์อย่างกว้างขวางมากเพียงใด และยิ่งแนวคิดเหล่านี้หยั่งรากในหัวใจของผู้คนลึกเพียงใด มนุษย์ก็จะยิ่งอยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามากเพียงนั้น และความหวังที่พวกเขาจะได้รับความรอดก็จะยิ่งห่างไกลมากเพียงนั้นเช่นกัน  จงคิดดูเถิดว่าก่อนที่อาดัมและเอวาจะถูกงูทดลองให้กินผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว พวกเขาเชื่อว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระบิดาของพวกเขา  แต่เมื่องูทดลองเอวาโดยพูดว่า “จริงหรือ?  ที่พระเจ้าตรัสว่า ‘ห้ามพวกเจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนนี้’” (ปฐมกาล 3:1) และ “พวกเจ้าไม่ใช่ว่าจะต้องตายแน่ เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า พวกเจ้ากินผลจากต้นไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า คือรู้ความดีและความชั่ว” (ปฐมกาล 3:4-5) อาดัมและเอวาก็ยอมจำนนต่อการทดลองของงู และสัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้าก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  มีการเปลี่ยนแปลงเช่นใดเกิดขึ้น?  พวกเขาไม่ได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในสภาพเปลือยเปล่าอีกต่อไป แต่มองหาวัตถุมากำบังและปกปิดตนเอง และหลีกเลี่ยงความสว่างแห่งการสถิตของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงตามหาพวกเขา พวกเขาก็ซ่อนตัวจากพระองค์ และไม่พูดคุยกับพระองค์ซึ่งหน้าเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป  การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสัมพันธภาพที่อาดัมและเอวามีกับพระเจ้านี้ไม่ใช่เพราะพวกเขากินผลจากต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว แต่เพราะถ้อยคำที่งู—ซาตาน—พูดนั้นได้ปลูกฝังการคิดแบบผิดๆ ในตัวผู้คน ทดลองและชักนำพวกเขาให้หลงคิดสงสัยพระเจ้า ไถลห่างจากพระองค์ และซ่อนตัวจากพระองค์  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงไม่อยากมองดูความสว่างแห่งการสถิตของพระเจ้าตรงๆ อีกต่อไป และไม่อยากมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์โดยไร้สิ่งปกปิดร่างกายอย่างสิ้นเชิง และความเหินห่างก็บังเกิดระหว่างผู้คนกับพระเจ้า  ความเหินห่างนี้เกิดขึ้นอย่างไร?  ไม่ใช่เพราะความเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม หรือเพราะกาลเวลาล่วงเลยไป แต่เพราะหัวใจของผู้คนเปลี่ยนแปลง  หัวใจของผู้คนเปลี่ยนแปลงอย่างไร?  ผู้คนเองไม่ได้ริเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง  แต่เป็นเพราะถ้อยคำที่งูพูด ซึ่งหว่านความแตกแยกไว้ในสัมพันธภาพของผู้คนกับพระเจ้า ทำให้พวกเขาหมางใจกับพระเจ้า และทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงความสว่างแห่งการสถิตของพระเจ้า หลบเลี่ยงการดูแลของพระองค์ และสงสัยพระวจนะของพระองค์  อะไรคือผลสืบเนื่องของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว?  ผู้คนไม่ได้เป็นอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป หัวใจและความคิดของพวกเขาไม่บริสุทธิ์ขนาดนั้นอีกต่อไป และพวกเขาก็ไม่ได้มองว่าพระเจ้าคือพระเจ้า และเป็นองค์หนึ่งเดียวที่ใกล้ชิดพวกเขาที่สุดอีกต่อไป แต่กลับนึกสงสัยและเกรงกลัวพระองค์แทน และด้วยเหตุนี้จึงไถลห่างจากพระองค์ เกิดความคิดที่อยากจะซ่อนเร้นจากพระเจ้าและอยู่ห่างจากพระองค์ และนี่คือจุดเริ่มต้นแห่งความล่มจมของมวลมนุษย์  จุดเริ่มต้นแห่งความล่มจมของมวลมนุษย์เกิดจากถ้อยคำที่ซาตานเอ่ย ถ้อยคำที่เป็นพิษ ทดลอง และชักนำให้หลงผิด  ความคิดที่ถ้อยคำเหล่านี้ปลูกฝังเอาไว้ในตัวผู้คนทำให้พวกเขาสงสัย เข้าใจผิด และนึกระแวงพระเจ้า ทำให้พวกเขาเหินห่างจากพระองค์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เพียงไม่เต็มใจที่จะเผชิญหน้าพระเจ้าอีกต่อไปเท่านั้น แต่ยังอยากซ่อนตัวจากพระเจ้าอีกด้วย และถึงกับไม่เชื่อสิ่งที่พระองค์ตรัสอีกต่อไป  พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  พระเจ้าตรัสว่า “ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่” (ปฐมกาล 2:16-17)  แต่ซาตานพูดว่าผู้คนที่กินผลจากต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วจะไม่จำเป็นต้องตาย  เป็นเพราะวาจาหลอกลวงที่ซาตานพูด ผู้คนจึงเริ่มสงสัยและไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า กล่าวคือ ผู้คนมีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นมาในหัวใจของตน และพวกเขาไม่บริสุทธิ์เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป  เนื่องจากข้อคิดเห็นและข้อสงสัยทั้งหลายที่ผู้คนมีนี้ พวกเขาจึงไม่เชื่อในพระวจนะของพระเจ้าอีกต่อไป เลิกเชื่อว่าพระเจ้าคือพระผู้สร้าง และผู้คนย่อมมีสัมพันธภาพที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้กับพระเจ้า พวกเขาถึงกับเลิกเชื่อว่าพระเจ้าสามารถคุ้มครองและดูแลผู้คนได้  ทันทีที่พวกเขาเลิกเชื่อสิ่งเหล่านี้ ผู้คนก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับการดูแลและคุ้มครองจากพระเจ้าอีกต่อไป และแน่นอนว่าไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระวจนะใดๆ จากพระโอษฐ์ของพระเจ้าอีกแล้ว  ความล่มจมของมวลมนุษย์เริ่มขึ้นซึ่งเป็นผลจากถ้อยคำที่ซาตานใช้ทดลอง และเริ่มต้นจากแนวคิดและทัศนะที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวผู้คน  แน่นอนว่าความล่มจมนี้ยังเริ่มต้นโดยเป็นผลจากการที่ซาตานทดลอง หลอกลวง และชักนำผู้คนให้หลงผิดอีกด้วย  แนวคิดและทัศนะที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวผู้คนนี้ทำให้พวกเขาเลิกเชื่อในพระเจ้าหรือพระวจนะของพระองค์ และยังทำให้พวกเขาสงสัยพระเจ้า เข้าใจพระองค์ผิด ระแวงพระองค์ ซ่อนเร้นจากพระองค์ ไถลห่างจากพระองค์ ไม่ยอมรับสิ่งที่พระองค์ตรัส ไม่ยอมรับอัตลักษณ์ที่จริงแท้ของพระองค์ และถึงกับไม่ยอมรับว่าผู้คนมาจากพระเจ้าอีกด้วย  นี่คือวิธีที่ซาตานใช้ทดลองและทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ขัดขวางและสร้างความเสียหายแก่สัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้า และยังขัดขวางมนุษย์ไม่ให้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับพระวจนะใดๆ จากพระโอษฐ์ของพระองค์อีกด้วย  ซาตานขัดขวางไม่ให้ผู้คนเต็มใจที่จะแสวงหาความจริงและยอมรับพระวจนะของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง  เมื่อไร้อำนาจที่จะต้านทานความคิดเห็นนานัปการของซาตาน ผู้คนจึงถูกความคิดเห็นเหล่านี้กัดกร่อนและครอบงำโดยไม่ทันรู้ตัว และในที่สุดก็เสื่อมจนถึงขั้นกลายเป็นศัตรูและปรปักษ์ของพระเจ้า  โดยรากฐานแล้วนี่เป็นผลกระทบและความเสียหายที่คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมมีต่อมวลมนุษย์  แน่นอนว่าด้วยการสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเรากำลังวิเคราะห์สิ่งเหล่านี้จากรากเหง้าอีกด้วย เพื่อให้ผู้คนสามารถเกิดความเข้าใจในระดับพื้นฐานว่าซาตานทำอย่างไรให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม และมันใช้วิธีการอะไร  กลวิธีหลักๆ ที่ซาตานใช้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามคือการมุ่งเป้าไปที่ความคิดและทัศนะของผู้คน ทำลายสัมพันธภาพระหว่างผู้คนกับพระเจ้า และค่อยๆ เอาตัวพวกเขาไปจากพระเจ้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน  ในขั้นแรก เมื่อได้ฟังพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนเชื่อว่าพระวจนะเหล่านี้ถูกต้อง และอยากกระทำและปฏิบัติตามพระวจนะ  ในสถานการณ์เช่นนี้นี่เองที่ซาตานใช้แนวคิดและถ้อยคำสารพัดชนิดมาค่อยๆ กัดกร่อนและสลายความเชื่อ ความแน่วแน่ และความมุ่งมาดปรารถนาที่ผู้คนมีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น รวมทั้งสิ่งที่เป็นบวกนิดๆ และความปรารถนาที่เป็นบวกหน่อยๆ ซึ่งพวกเขายึดถืออยู่เพียงไม่กี่อย่าง แล้วก็แทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยคำกล่าวของมันเอง คำนิยาม ข้อคิดเห็น และมโนคติอันหลงผิดที่มันมีในสิ่งต่างๆ  เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนจึงถูกแนวคิดของซาตานควบคุมโดยไม่ทันรู้ตัว กลายเป็นเชลยและทาสของมัน  ย่อมเป็นเช่นนี้ใช่ไหม?  (ใช่)  ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ ยิ่งมนุษย์ยอมรับแนวคิดของซาตานอย่างลึกล้ำและเป็นรูปธรรมมากเท่าใด สัมพันธภาพระหว่างมวลมนุษย์กับพระเจ้าก็ยิ่งห่างไกลกันมากเท่านั้น และดังนั้นข้อความที่ว่า “มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพระเจ้าคือพระผู้สร้าง” ก็ย่อมห่างไกลจากผู้คนมากขึ้นเท่านั้นด้วย ผู้คนจำนวนมากจึงไม่เชื่อและไม่ยอมรับรู้ข้อความนี้อีกต่อไป  แต่กลับถือว่าข้อความนี้คือนิทานปรัมปราและตำนาน เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีอยู่จริง และเหตุผลวิบัติอันชั่ว ถึงกับมีบางคนในสังคมปัจจุบันกล่าวโทษว่านอกรีต  ต้องกล่าวว่าทั้งหมดนี้เป็นผลลัพธ์และผลกระทบที่เกิดจากเหตุผลวิบัติต่างๆ อันชั่วของซาตานที่เผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางในหมู่มวลมนุษย์  และต้องกล่าวด้วยว่าตลอดประวัติศาสตร์แห่งพัฒนาการของมนุษย์ ภายใต้การแสร้งทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก เช่น การสอนผู้คน กำกับวาจาและการกระทำของพวกเขา และอื่นๆ ซาตานได้ลากมวลมนุษย์ลงสู่เหวลึกแห่งบาปและความตายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน พามวลมนุษย์ออกห่างจากความสว่างแห่งการสถิตของพระเจ้า ห่างจากการดูแลและคุ้มครองของพระองค์ และไกลจากความรอดของพระองค์  พันธสัญญาเดิมในพระคัมภีร์บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับทูตสื่อสารของพระเจ้าที่มาพูดคุยกับผู้คนและใช้ชีวิตในหมู่พวกเขา แต่ก็ไม่มีเรื่องราวเช่นนี้อีกแล้วในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา  สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะท่ามกลางเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งมวล ไม่มีใครเป็นเหมือนธรรมิกชนและปราชญ์สมัยโบราณที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์อีกต่อไป—อาทิ โนอาห์ อับราฮัม โมเสส โยบ หรือเปโตร—และเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งมวลก็ถูกแนวคิดและข้อคิดเห็นของซาตานครอบงำและพันธนาการเอาไว้  นี่คือความจริงของเรื่องนี้

สิ่งที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปเป็นแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับแก่นแท้ของคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิม ซึ่งบ่งชี้ พิสูจน์ และเป็นสัญลักษณ์ของการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอีกด้วย  เมื่อพิจารณาเรื่องนี้จากแก่นแท้ของประเด็นปัญหาเหล่านี้ มนุษย์ทุกคน—ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นเด็กน้อยหรือผู้สูงวัย หรือใช้ชีวิตอยู่ในชนชั้นใดทางสังคม หรือมาจากภูมิหลังทางสังคมเช่นใด—ย่อมถูกความคิดเห็นนานัปการของซาตานตีกรอบโดยไม่มีข้อยกเว้น แม้จะไม่มีการแบ่งระดับความแตกต่างให้เห็นก็ตาม และใช้ชีวิตอยู่ในวิถีการดำรงอยู่ที่เต็มไปด้วยแนวคิดเยี่ยงซาตาน  และแน่นอน ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คืออะไร?  คือการที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  สิ่งที่ซาตานทำให้เสื่อมทรามไม่ใช่อวัยวะต่างๆ ของมนุษย์ แต่เป็นความคิดของพวกเขาต่างหาก  การทำให้ความคิดของมนุษย์เสื่อมทรามนั้นทำให้มวลมนุษย์ทั้งปวงหันมาต่อต้านพระเจ้า เพื่อให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างไม่สามารถนมัสการพระองค์ได้ แต่กลับใช้แนวคิดและทัศนะทุกอย่างของซาตานมากบฏต่อพระเจ้า ต้านทาน ทรยศ และปฏิเสธพระองค์แทน  นี่คือความมักใหญ่ใฝ่สูงและอุบายที่ฉลาดแกมโกงของซาตาน และแน่นอนว่าเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซาตาน นี่คือวิธีการที่ซาตานใช้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม  อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าซาตานจะทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามมานานกี่พันปีแล้ว หรือมีข้อเท็จจริงมากมายเพียงใดที่ชี้ไปยังการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม ไม่ว่าแนวคิดและทัศนะต่างๆ ที่ซาตานใช้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามจะผิดพลาดและไร้สาระเพียงใด และความคิดของมนุษย์จะถูกสิ่งเหล่านี้ตีกรอบเอาไว้อย่างลึกล้ำเพียงใด—สรุปแล้วก็คือ ไม่ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเช่นไร เมื่อพระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยผู้คนให้รอด และเมื่อพระองค์ทรงแสดงความจริง ต่อให้ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในบริบทแบบนี้ พระเจ้าก็สามารถดึงพวกเขากลับออกมาจากพลังอำนาจของซาตานอยู่ดี และยังคงสามารถพิชิตพวกเขาได้  และแน่นอนว่าพระเจ้ายังคงสามารถทำให้ผู้คนเข้าใจความจริงด้วยการตีสอนและพิพากษาของพระองค์ ทำให้รู้จักแก่นแท้และความจริงแห่งความเสื่อมทรามของพวกเขา ละทิ้งอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขา เชื่อฟังพระองค์ ยำเกรงพระองค์ และหลบเลี่ยงความชั่ว  นี่คือผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายที่ย่อมจะสัมฤทธิ์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้าย่อมบรรลุผลในทิศทางนี้อย่างแน่นอน และพระเจ้าก็ย่อมปรากฏองค์ต่อทุกประเทศและทุกกลุ่มชนที่ถวายพระสิริแด่พระองค์ตามแนวทางนี้  เหมือนที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ไม่มีผิดว่า “พระเจ้าทรงดีงามเช่นเดียวกับพระวจนะของพระองค์ และพระวจนะของพระองค์จะสำเร็จลุล่วง และสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้สำเร็จลุล่วงนั้นจะคงอยู่ตลอดกาล”  ประโยคนี้เป็นเรื่องจริง  พวกเจ้าเชื่อเช่นนี้หรือไม่?  (เชื่อ)  นี่คือข้อเท็จจริงที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  เพราะพระราชกิจระยะสุดท้ายของพระเจ้าคือพระราชกิจแห่งการประทานความจริงและชีวิตแก่มวลมนุษย์  ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสามสิบกว่าปี ผู้คนจำนวนมากได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ถูกพระองค์พิชิต และตอนนี้ก็ติดตามพระองค์ด้วยความแน่วแน่ที่ไม่อาจโยกคลอนได้  พวกเขาไม่ต้องการผลประโยชน์ใดๆ จากซาตาน พวกเขาเต็มใจที่จะยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า และความรอดของพระองค์ ทุกคนเต็มใจที่จะเข้าประจำที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอีกครั้ง ยอมรับอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระผู้สร้าง  นี่เป็นเครื่องหมายว่าแผนการของพระเจ้ากำลังบรรลุผลไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปและเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วอีกด้วย และแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว  ไม่ว่าซาตานจะทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างไร หรือใช้วิธีการใดก็ตาม พระเจ้าย่อมจะมีหนทางเสมอที่จะดึงมนุษย์กลับมาจากพลังอำนาจของซาตาน ช่วยพวกเขาให้รอด นำพวกเขากลับมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และฟื้นฟูสัมพันธภาพระหว่างมวลมนุษย์กับพระผู้สร้าง  นี่คือมหิทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้า และไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ วันนั้นย่อมจะมาถึงไม่ช้าก็เร็ว

ณ. ชำแหละคำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนในชะตากรรมของประเทศของตน”

ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “จงก้มหน้าก้มตาทำงาน และพากเพียรทำให้ดีที่สุดจนกระทั่งวันตายของตน” และใช้เวลาบางส่วนชำแหละและเปิดโปงข้อกำหนด การแสดงออก รวมทั้งแนวคิดและทัศนะที่มีอยู่ในคำกล่าวนี้ และผู้คนก็เกิดความเข้าใจบางอย่างในแก่นแท้ของคำกล่าวนี้แล้ว  แน่นอนว่าในส่วนของหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับแง่มุมนี้ พวกเราได้สามัคคีธรรมว่าแท้จริงแล้วเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร ท่าทีของพระองค์เป็นเช่นใด คำกล่าวนี้มีความจริงอะไรอยู่ด้วย และผู้คนควรมองความตายอย่างไร  หลังจากเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้ว เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนเผชิญสิ่งต่างๆ ดังกล่าว พวกเขาก็ควรพิจารณาประเด็นปัญหาดังกล่าวตามพระวจนะของพระเจ้า และจัดการเรื่องเหล่านี้ตามความจริง เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถทำตามข้อกำหนดของพระเจ้าได้  ยิ่งไปกว่านั้น คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่พวกเราเอ่ยถึงเมื่อครั้งก่อนที่ว่า—“หนอนไหมแห่งฤดูใบไม้ผลิถักทอจนตัวตาย ส่วนเทียนไขก็มอดไหม้จนน้ำตาเทียนเหือดแห้ง”—นั้นตื้นเขินเกินไป และขอบเขตทางความคิดของคำกล่าวนี้ก็หยาบเกินไป จึงไม่ควรค่าที่จะชำแหละเพิ่มเติม  คำกล่าวถัดไปด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ซึ่งพวกเราจะสามัคคีธรรมนั้นควรค่าที่จะชำแหละ  สิ่งที่ควรค่าแก่การชำแหละย่อมมีพื้นที่ในความคิดและมโนคติอันหลงผิดของผู้คนอยู่บ้าง  ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ย่อมจะครอบงำการคิดอ่านของผู้คน วิธีการดำรงอยู่ของพวกเขา เส้นทางของพวกเขา และแน่นอน ตัวเลือกของพวกเขาด้วย  นี่คือผลสืบเนื่องที่ซาตานสัมฤทธิ์ด้วยการอาศัยวัฒนธรรมดั้งเดิมมาทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม  คำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ยึดครองพื้นที่ส่วนหนึ่งในหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของผู้คน กล่าวคือ ประเด็นที่คำกล่าวนี้พูดถึงนั้นเป็นตัวอย่างที่ดีเป็นพิเศษ  ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ชะตากรรมของประเทศเกิดวิกฤติ ผู้คนจะเลือกสิ่งต่างๆ ตามคำกล่าวนี้ และนี่จะพันธนาการและจำกัดการคิดอ่านและกระบวนการคิดที่ปกติของพวกเขา  เพราะฉะนั้นแนวคิดและทัศนะเช่นนี้จึงควรค่าที่จะชำแหละ  เมื่อเทียบกับคำกล่าวที่พวกเราเอ่ยถึงไปก่อนหน้านี้อันได้แก่ “จงอย่านำเงินที่เจ้าเก็บได้มาใส่กระเป๋า” “ฉันจะยอมรับกระสุนแทนเพื่อน” “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” “เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู” “จงก้มหน้าก้มตาทำงาน และพากเพียรทำให้ดีที่สุดจนกระทั่งวันตายของตน” เป็นต้น มาตรฐานของการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในคำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” มีขอบข่ายที่สูงกว่าในโลกของซาตาน  คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่พวกเราชำแหละไปก่อนหน้านี้อ้างอิงถึงคนจำพวกหนึ่ง หรือเรื่องราวเล็กๆ อย่างหนึ่งในชีวิต ซึ่งล้วนมีขอบเขตจำกัด แต่คำกล่าวนี้ครอบคลุมขอบเขตที่กว้างกว่า  คำกล่าวนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่ภายในขอบเขตของ “ตัวตนที่เล็กลงมา” แต่เกี่ยวพันกับประเด็นปัญหาและสิ่งต่างๆ มากมายที่เกี่ยวพันกับ “ตัวตนที่ใหญ่กว่า”  เพราะฉะนั้นคำกล่าวนี้จึงมีสถานะที่สำคัญยิ่งในหัวใจของผู้คน และต้องถูกชำแหละเพื่อดูว่าควรมีฐานะบางอย่างในหัวใจของผู้คนหรือไม่ และเพื่อให้แน่ใจว่าผู้คนควรมองดูคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้อย่างไรจึงจะสอดคล้องกับความจริง

คำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” บังคับผู้คนคำนึงถึงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อชะตากรรมของประเทศของตน โดยเสนอแนะว่าทุกคนควรรับผิดชอบเรื่องนี้  หากเจ้าลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อชะตากรรมของประเทศของเจ้า รัฐบาลก็จะมอบเกียรติอันสูงส่งแก่เจ้าเป็นรางวัล และเจ้าจะถูกมองว่าเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยอันประเสริฐ แต่หากเจ้าไม่ห่วงใยชะตากรรมของประเทศและยืนเฉยขณะที่ประเทศมีปัญหา และไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญอะไรนัก หรือหัวเราะเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมถูกมองว่าล้มเหลวในการลุล่วงความรับผิดชอบของตนอย่างสิ้นเชิง  หากเจ้าไม่ลุล่วงหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเวลาที่ประเทศของเจ้าต้องการเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีประโยชน์เท่าใดนัก และเป็นคนที่ไม่สำคัญโดยแท้  ผู้คนเช่นนี้ย่อมถูกทิ้งขว้างและสบประมาทในสังคม และถูกคนรุ่นราวคราวเดียวกันเหยียดหยามและดูแคลน  สำหรับพลเมืองของรัฐอธิปไตยไม่ว่าจะเป็นแห่งใดก็ตาม คำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” เป็นคำกล่าวที่ผู้คนเห็นชอบ เป็นคำกล่าวที่ผู้คนสามารถยอมรับได้ และถึงกับเป็นคำกล่าวที่มวลมนุษย์เคารพ  นี่ยังเป็นแนวคิดที่มวลมนุษย์ถือว่าประเสริฐอีกด้วย  คนที่สามารถกังวลและห่วงใยชะตากรรมของบ้านเกิดเมืองนอนของตน และมีสำนึกรับผิดชอบที่ลึกล้ำต่อบ้านเกิดเมืองนอนของตน เป็นคนที่มีความชอบธรรมมากกว่า  ผู้คนที่กังวลและห่วงใยครอบครัวของตนมีความชอบธรรมน้อยกว่า ส่วนผู้ที่ใส่ใจในชะตากรรมของประเทศของตนคือผู้คนที่มีจิตวิญญาณแห่งความชอบธรรมมากกว่า และควรได้รับการสรรเสริญจากนักปกครองและประชาชนมากกว่าใคร  กล่าวสั้นๆ ก็คือ มีการยอมรับอย่างมิอาจโต้แย้งได้ว่าแนวคิดเช่นนี้มีนัยสำคัญที่เป็นบวกต่อมนุษย์ และทำหน้าที่ชี้นำมวลมนุษย์ไปในทางที่เป็นบวก และแน่นอนว่ามีการยอมรับแนวคิดเหล่านี้ด้วยว่าเป็นสิ่งที่เป็นบวก  พวกเจ้าก็คิดแบบเดียวกันใช่หรือไม่?  (ใช่)  เป็นเรื่องปกติที่พวกเจ้าจะคิดแบบนี้  นี่หมายความว่าการคิดอ่านของพวกเจ้าไม่แตกต่างจากผู้คนที่ปกติ และพวกเจ้าก็เป็นคนธรรมดาสามัญ  คนธรรมดาสามัญสามารถยอมรับแนวคิดที่ผู้คนส่วนใหญ่ยึดถือ รวมทั้งแนวคิดและความคิดเห็นต่างๆ ที่มาจากมวลมนุษย์คนอื่นๆ ซึ่งล้วนได้ชื่อว่าเป็นบวก เป็นไปในเชิงรุก ใฝ่สูง และประเสริฐ  เหล่านี้คือผู้คนที่ปกติ  แนวคิดที่คนธรรมดาสามัญยอมรับและเคารพจำเป็นต้องเป็นบวกหรือไม่?  (ไม่จำเป็น)  กล่าวตามทฤษฎีแล้ว แนวคิดเหล่านี้ไม่ได้เป็นบวก เพราะไม่สอดคล้องกับความจริง ไม่ได้มาจากพระเจ้า และพระเจ้าก็ไม่ได้ทรงสอนหรือตรัสแนวคิดเหล่านี้แก่มวลมนุษย์  ดังนั้นแท้จริงแล้วข้อเท็จจริงคืออะไร?  ควรอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?  คราวนี้เราจะอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียด และเมื่อเรากล่าวจบ พวกเจ้าก็จะรู้ว่าเหตุใดคำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” จึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก  ก่อนที่เราจะเผยคำตอบ จงตรองเรื่องคำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ว่าใช่สิ่งที่เป็นบวกจริงหรือไม่?  การทำให้ผู้คนรักประเทศของตนนั้นผิดหรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “ชะตากรรมของบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเราเชื่อมโยงกับความอยู่รอด ความสุข และอนาคตของพวกเรา  พระเจ้าตรัสบอกผู้คนให้เคร่งครัดต่อหน้าที่ที่พวกเขามีต่อพ่อแม่ของตน เลี้ยงดูลูกๆ ของตนให้ดี และลุล่วงความรับผิดชอบทางสังคมของตนมิใช่หรือ?  การที่พวกเราลุล่วงความรับผิดชอบบางอย่างในประเทศของตัวเองมีอะไรผิดหรือ?  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวกหรอกหรือ?  แม้จะไม่ถึงระดับของความจริง แต่นี่ก็ควรเป็นแนวคิดที่ถูกต้อง จริงไหม?”  สำหรับผู้คนแล้ว เหตุผลเหล่านี้ใช้ได้ ใช่หรือไม่?  ผู้คนใช้คำกล่าวอ้างเหล่านี้ เหตุผลเหล่านี้ และแม้กระทั่งเหตุผลในการสร้างความชอบธรรมเหล่านี้มาโต้เถียงว่าคำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” นี้ถูกต้อง  แล้วคำกล่าวนี้ถูกต้องจริงหรือไม่?  ถ้าถูกต้อง ถูกต้องตรงไหน?  หากไม่ถูกต้อง คำกล่าวนี้ผิดอย่างไร?  หากพวกเจ้าสามารถตอบคำถามสองข้อนี้ได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็จะเข้าใจความจริงแง่มุมนี้อย่างแท้จริง  มีคนอื่นที่กล่าวว่า “คำกล่าวที่ว่า ‘ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน’ ไม่ใช่เรื่องจริง  ประเทศทั้งหลายมีนักปกครองคอยปกครอง และมีระบอบการเมืองกำกับอยู่  เมื่อใดก็ตามที่การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเราก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะพระเจ้าไม่ทรงข้องเกี่ยวกับการเมืองของมนุษย์  เพราะฉะนั้น พวกเราก็ไม่เข้าไปเกี่ยวพันกับการเมืองเช่นกัน ดังนั้นคำกล่าวนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา อะไรก็ตามที่สัมพันธ์กับการเมืองย่อมไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา  ใครก็ตามที่เข้าไปเกี่ยวพันกับการเมืองและชอบการเมือง ก็คือคนที่รับผิดชอบชะตากรรมของประเทศ  พวกเราไม่ยอมรับคำกล่าวนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวกในมุมมองของพวกเรา”  คำอธิบายนี้ถูกหรือผิด?  (ผิด)  เหตุใดจึงผิด?  พวกเจ้ารู้ในทางทฤษฎีว่าคำอธิบายนี้ฟังไม่ขึ้น ไม่ได้จัดการแก้ไขรากเหง้าของปัญหา และไม่เพียงพอที่จะอธิบายแก่นแท้ของปัญหา  นี่เป็นเพียงคำอธิบายทางทฤษฎีเท่านั้น แต่ไม่ได้แจกแจงแก่นแท้ของเรื่องนี้ให้กระจ่าง  ไม่ว่านี่จะเป็นคำอธิบายประเภทใด ตราบใดที่ไม่แตะต้องแก่นแท้จำเพาะของปัญหานี้ ก็ย่อมไม่ใช่คำอธิบายที่แท้จริง ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง และไม่ใช่ความจริง  ดังนั้น คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ผิดอย่างไร?  ประเด็นปัญหานี้สัมพันธ์กับความจริงข้อใด?  ความจริงในเรื่องนี้ไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้ในหนึ่งหรือสองประโยค  ย่อมจะต้องอธิบายกันมากมายเพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจความจริงในเรื่องดังกล่าว  ดังนั้น พวกเรามาสามัคคีธรรมเรื่องนี้ด้วยถ้อยคำง่ายๆ กันเถิด

ควรมองและวินิจฉัยคำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” อย่างไรบ้าง?  นี่ใช่สิ่งที่เป็นบวกหรือไม่?  เพื่อที่จะอธิบายคำกล่าวนี้ พวกเรามาดูกันก่อนเถิดว่าประเทศคืออะไร  มโนทัศน์เกี่ยวกับประเทศในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนเป็นเช่นไร?  มโนทัศน์ที่มีต่อประเทศก็คือมีขนาดใหญ่มากใช่หรือไม่?  กล่าวตามทฤษฎีแล้ว ประเทศคือดินแดนอันกว้างใหญ่ที่ประกอบด้วยบ้านเรือนทั้งมวลที่อยู่ภายใต้การปกครองของนักปกครองคนเดียวกัน และกำกับดูแลด้วยระบบสังคมระบบเดียวกัน  นั่นหมายความว่าบ้านเรือนจำนวนมากกอปรกันขึ้นเป็นประเทศ  สังคมนิยามประเทศไว้เช่นนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  เฉพาะเมื่อมีเรือนเล็กหลายๆ หลังจึงจะมีบ้านใหญ่ได้ และบ้านใหญ่ก็หมายถึงประเทศ—นี่คือคำจำกัดความของประเทศ  แล้วคำจำกัดความนี้เป็นที่ยอมรับหรือไม่?  ในใจของพวกเจ้ารู้สึกแบบเดียวกับคำจำกัดความนี้หรือไม่?  คำจำกัดความนี้เหมาะกับความชอบและความสนใจของใครที่สุด?  (นักปกครอง)  ถูกต้อง ควรเหมาะกับนักปกครองเป็นอันดับแรกสุด  เพราะว่าเมื่อทุกครอบครัวอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพวกเขา พวกเขาย่อมมีอำนาจอยู่ในมือของตน  ดังนั้น ในความนึกคิดของนักปกครองแล้ว คำจำกัดความนี้จึงเป็นคำจำกัดความที่ใช้ได้ และพวกเขาก็มีความรู้สึกแบบเดียวกับคำจำกัดความนี้  ไม่ว่านักปกครองจะนิยามประเทศว่าอย่างไร สำหรับคนทั่วไปแล้ว ย่อมมีระยะห่างระหว่างประเทศกับทุกคนในประเทศนั้นๆ  สำหรับผู้คนทั่วไปซึ่งก็คือผู้คนแต่ละคนในแต่ละประเทศ คำจำกัดความที่พวกเขามีเกี่ยวกับประเทศแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจากคำจำกัดความที่นักปกครองหรือชนชั้นปกครองยึดถือ  วิธีที่ชนชั้นปกครองใช้นิยามประเทศนั้นอิงตามอำนาจครอบครองและส่วนได้ส่วนเสียของตน  พวกเขายืนอยู่บนที่สูง ใช้ตำแหน่งอันสูงส่งที่ได้เปรียบและมุมมองอันกว้างขวางของตนซึ่งเจือความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีเอาไว้ มานิยามว่าประเทศคืออะไร  ตัวอย่างเช่น นักปกครองถือว่าประเทศเป็นบ้านของตนเอง เป็นแผ่นดินของตนเอง และคิดว่าประเทศมีไว้เพื่อความสุขสำราญของตนเอง ทุกตารางนิ้วของประเทศ ทรัพยากรทุกอย่าง และแม้กระทั่งทุกคนในนั้นควรเป็นของตน และอยู่ภายใต้การควบคุมของตน พวกเขาควรที่จะสามารถสุขสำราญกับสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมด และทำตัวเหนือผู้คนได้ตามใจชอบ  แต่ผู้คนทั่วไปไม่มีความประสงค์เช่นนี้ ไม่มีภาวะเช่นนี้ และแน่นอนว่าไม่มีมุมมองอันกว้างขวางเช่นนี้มานิยามว่าประเทศคืออะไร  ดังนั้น สำหรับผู้คนทั่วไป สำหรับใครก็ตามที่มีความเป็นเอกเทศ พวกเขาย่อมนิยามประเทศว่าอย่างไร?  หากพวกเขามีการศึกษาดีและสามารถอ่านแผนที่ได้ พวกเขาย่อมรู้เพียงว่าอาณาเขตของประเทศของตนมีขนาดเท่าใด มีประเทศใดเป็นเพื่อนบ้านอยู่รายรอบ มีแม่น้ำและทะเลสาบกี่แห่ง และมีภูเขากี่ลูก มีป่าไม้มากเพียงใด มีที่ดินมากเพียงใด และมีผู้คนมากเท่าใดในประเทศของตน…  มโนทัศน์ที่พวกเขามีเกี่ยวกับประเทศเป็นเพียงสิ่งที่อิงตามแผนที่และตัวหนังสือ เป็นเพียงมโนทัศน์ทางทฤษฎีที่เป็นลายลักษณ์อักษร และไม่สอดคล้องกับประเทศที่มีอยู่ในความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง  สำหรับคนที่ได้รับการศึกษาค่อนข้างดีและมีสถานะทางสังคมอยู่บ้าง มโนทัศน์ที่พวกเขามีเกี่ยวกับประเทศก็เป็นอะไรทำนองนั้น  แล้วผู้คนทั่วไปที่อยู่ชั้นล่างสุดของสังคมเป็นอย่างไร?  พวกเขานิยามประเทศว่าอย่างไร?  ในทัศนะของเรา คำจำกัดความที่ผู้คนเหล่านี้มีต่อประเทศก็คือที่ดินขนาดพอประมาณของครอบครัวของตนเท่านั้น มีหลิวต้นใหญ่ที่ชายหมู่บ้านด้านตะวันออก มีภูเขาอยู่ทางฝั่งตะวันตก มีถนนตรงทางเข้าหมู่บ้าน และรถราที่มักจะแล่นผ่านไปตามถนนเส้นนี้ รวมถึงเหตุการณ์บางอย่างที่ค่อนข้างอื้อฉาวและเกิดขึ้นในหมู่บ้าน และแม้แต่การพูดคุยสัพเพเหระที่ไม่สลักสำคัญ  สำหรับผู้คนทั่วไป มโนทัศน์เกี่ยวกับประเทศก็คืออะไรแบบนี้  แม้ว่าขอบเขตของคำจำกัดความนี้จะเล็กมากและอยู่ในวงที่แคบมาก แต่ในความคิดเห็นของผู้คนทั่วไปที่ใช้ชีวิตอยู่ในบริบททางสังคมเช่นนี้ คำจำกัดความนี้ย่อมเป็นจริงและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก—สำหรับพวกเขาแล้ว ประเทศไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่านี้  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในโลกภายนอก และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในประเทศ สำหรับพวกเขาแล้วนั่นเป็นเพียงข่าวบางอย่างที่ไม่ค่อยสำคัญซึ่งพวกเขาสามารถเลือกที่จะรับฟังหรือไม่ก็ได้  แล้วสิ่งใดสัมพันธ์กับผลประโยชน์โดยตรงของพวกเขา?  ก็คือการที่พืชพันธุ์ธัญญาหารที่พวกเขาปลูกไว้ในปีนี้จะให้ผลเก็บเกี่ยวดีมากหรือไม่ เพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวของตนหรือไม่ ปีหน้าจะปลูกอะไร ที่ดินของตนจะถูกน้ำท่วมหรือไม่ จะถูกคนพาลบุกรุกและยึดครองหรือไม่ รวมทั้งเรื่องราวและสิ่งอื่นๆ ทำนองนี้ที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับชีวิตไปจนถึงสิ่งทั้งหลาย เช่น สิ่งปลูกสร้างในหมู่บ้าน ลำธาร ทางเดินเท้า และอื่นๆ  สิ่งที่พวกเขาสนใจและพูดถึง รวมถึงสิ่งที่ทิ้งภาพจำไว้ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาอย่างมาก มีแต่ผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายรอบตัวพวกเขา ซึ่งสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชีวิตของพวกเขาเท่านั้น  พวกเขาไม่มีมโนทัศน์ว่าขอบเขตของประเทศใหญ่โตเพียงใด และไม่มีมโนทัศน์เรื่องความเจริญรุ่งเรืองหรือความเสื่อมถอยของประเทศ  ยิ่งสิ่งทั้งหลายมีความแปลกใหม่และสถานการณ์ของประเทศมีความสำคัญมากเพียงใด ก็ยิ่งห่างไกลจากผู้คนดังกล่าวมากเพียงนั้น  สำหรับคนทั่วไปเหล่านี้ มโนทัศน์เกี่ยวกับประเทศมีแต่ผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาสามารถบรรจุเอาไว้ในความรู้สึกนึกคิดของตนได้ รวมทั้งผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาประสบพบพานในชีวิตของตนเท่านั้น  ต่อให้พวกเขาได้รับข่าวสารเกี่ยวกับชะตากรรมของประเทศ ก็เป็นเรื่องที่ไกลตัวพวกเขาเหลือเกิน  ที่ว่าไกลตัวพวกเขานั้นหมายความว่าข่าวสารนี้ไม่มีพื้นที่ในหัวใจของพวกเขาแต่อย่างใด และจะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขา ดังนั้น ความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยของประเทศจึงไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาแต่อย่างใด  ในหัวใจของพวกเขา ชะตากรรมของประเทศของตนคืออะไร?  คือการที่พืชผลที่พวกเขาปลูกไว้ในปีนี้ได้รับพรจากสวรรค์หรือไม่ การเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์หรือไม่ ครอบครัวของตนจะประคองตัวไปได้อย่างไร และเรื่องปลีกย่อยอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน ส่วนกิจการของชาตินั้นไม่เกี่ยวพันกับพวกเขาแต่อย่างใด  เรื่องราวที่มีความสำคัญระดับชาติ เรื่องเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาณาเขตของประเทศแผ่ขยายหรือหดเล็กลง นักปกครองไปเยือนที่ใดมาบ้าง และเกิดอะไรขึ้นกับชนชั้นปกครองบ้าง—สิ่งเหล่านี้อยู่เหนือการทำความเข้าใจของผู้คนทั่วไปโดยแท้  ต่อให้พวกเขาสามารถทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ นั่นจะมีประโยชน์อันใด?  ต่อให้พวกเขาพูดคุยกันหลังอาหารเย็นเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับชนชั้นปกครอง พวกเขาจะสามารถทำอะไรกับเรื่องนั้นได้?  หลังจากวางชามและตะเกียบลงแล้ว พวกเขาก็ต้องประคับประคองชีวิตและออกไปทำงานในไร่นาอยู่ดี  ไม่มีสิ่งใดดูเป็นจริงเท่ากับพืชผลในไร่นาของพวกเขาที่สามารถให้ผลผลิตที่ดีได้  สิ่งที่คนคนหนึ่งสนใจไยดีก็คือสิ่งที่พวกเขายึดถืออยู่ในหัวใจของตน  ขอบเขตการรับรู้ของคนคนหนึ่งกว้างเท่ากับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาใส่ไว้ในหัวใจของตนได้เท่านั้น  ขอบเขตการรับรู้ของคนธรรมดาสามัญแผ่ไปถึงที่ที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้รอบตัวและที่ที่พวกเขาสามารถไปได้เท่านั้น  ส่วนชะตากรรมของประเทศของตนและเรื่องสำคัญระดับชาตินั้นไกลตัวมากและเอื้อมไม่ถึง  เพราะฉะนั้น เมื่อชะตากรรมของประเทศมีความเสี่ยง หรือประเทศเผชิญการรุกรานของศัตรูที่มีอำนาจ พวกเขาก็คิดทันทีว่า “พืชผลของฉันจะลงเอยด้วยการถูกผู้รุกรานยึดไปหรือไม่?  ปีนี้พวกเราหวังจะขายธัญญาหารเหล่านั้นเพื่อเอาเงินมาส่งลูกๆ เข้ามหาวิทยาลัย!”  เหล่านี้คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้คนทั่วไปในทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุด เป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้ และเป็นสิ่งที่ความรู้สึกนึกคิดและวิญญาณของพวกเขาสามารถแบกรับได้  สำหรับคนธรรมดาสามัญ คำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” นั้นยากเย็นเกินไป  พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำเรื่องนี้อย่างไร และไม่อยากแบกรับภาระที่หนักหน่วงและความรับผิดชอบที่ยากเย็นนี้  มโนทัศน์ที่ผู้คนทั่วไปมีเกี่ยวกับประเทศก็คืออะไรแบบนั้น  เพราะฉะนั้น ขอบเขตชีวิตของพวกเขา และสิ่งที่ความคิดและวิญญาณของพวกเขาพะวงถึงนั้น จึงมีแต่เรื่องดินและน้ำในเมืองเกิดของตนที่ให้อาหารแก่พวกเขาวันละสามมื้อและให้ทุกสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงอากาศและสภาพแวดล้อมในเมืองเกิดนั้นด้วย  นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว จะมีอะไรอื่นได้อีกบ้าง?  ต่อให้บางคนออกไปนอกสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยของเมืองที่พวกเขาเกิดและเติบโตก็ตาม แต่เมื่อใดที่ประเทศเผชิญปัญหาและจำเป็นต้องให้พวกเขาลุล่วงความรับผิดชอบที่พวกเขามีต่อประเทศชาติ ก็ไม่มีใครคิดที่จะปกป้องประเทศทั้งประเทศเอาไว้  ผู้คนกลับคิดเรื่องอะไรแทน?  ทั้งหมดที่พวกเขาคิดออกคือการลุล่วงความรับผิดชอบของตนเพื่อที่จะปกป้องเมืองเกิดและพิทักษ์ที่ดินผืนนั้นที่พวกเขายึดมั่นอยู่ในหัวใจของตน และแม้กระทั่งพลีชีวิตของตนเพื่อการนี้  ไม่ว่าผู้คนจะไปที่ใด คำว่า “ประเทศ” ก็เป็นเพียงคำเรียกหา เป็นเครื่องหมายและสัญลักษณ์สำหรับพวกเขาเท่านั้น  แท้จริงแล้วสิ่งที่ครองพื้นที่อยู่ในหัวใจของพวกเขามากพอดู ไม่ใช่อาณาเขตของประเทศ และยิ่งไม่ใช่การครองแผ่นดินของนักปกครอง แต่เป็นภูเขา ผืนดิน แม่น้ำ และบ่อน้ำที่ให้อาหารแก่พวกเขาวันละสามมื้อ ให้ชีวิตแก่พวกเขา และช่วยค้ำจุนชีวิตของพวกเขา ทั้งหมดมีอยู่เท่านั้น  นี่คือมโนทัศน์เกี่ยวกับประเทศในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน—ซึ่งเป็นจริงมาก เป็นรูปธรรมมาก และแน่นอนว่าตรงมาก

เหตุใดแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” จึงได้รับการสนับสนุนในวัฒนธรรมดั้งเดิมเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการคิดอ่านด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม?  นี่เกี่ยวข้องกับทั้งการครองประเทศของนักปกครอง และความตั้งใจและจุดมุ่งหมายของผู้คนที่สนับสนุนแนวคิดนี้  หากคำจำกัดความของประเทศในความรู้สึกนึกคิดของทุกคนไม่สำคัญขนาดนั้น เป็นรูปธรรมขนาดนั้น และเป็นจริงขนาดนั้น ใครจะปกป้องประเทศกัน?  ใครจะค้ำจุนการปกครองของนักปกครอง?  ย่อมมีปัญหาตรงนี้มิใช่หรือ?  แท้จริงแล้วย่อมเกิดปัญหาขึ้นตรงนี้  หากมโนทัศน์ที่ทุกคนมีเกี่ยวกับประเทศเป็นแบบนี้ นักปกครองก็จะกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้นมิใช่หรือ?  หากประเทศของนักปกครองเผชิญการรุกรานจากศัตรูที่มีอำนาจ และการป้องกันประเทศก็เอาแต่พึ่งพานักปกครองเพียงผู้เดียว หรือกลุ่มที่ปกครองอยู่ คนเหล่านี้ก็จะดูเหมือนกำลังดิ้นรนต่อสู้ อับจนหนทาง ถูกโดดเดี่ยว และอ่อนแอมิใช่หรือ?  นักคิดย่อมใช้สมองของตนมาตอบโต้ปัญหาเหล่านี้  พวกเขาเชื่อว่าการที่จะปกป้องประเทศและค้ำจุนการปกครองของนักปกครองนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะพึ่งพาแต่การทำคุณความดีของคนจำนวนน้อย แต่จำเป็นต้องปลุกระดมให้ประชากรทั้งมวลมารับใช้นักปกครองของประเทศ  หากนักคิดเหล่านี้บอกผู้คนตรงๆ ว่าให้รับใช้นักปกครองและปกป้องประเทศ ผู้คนจะเต็มใจทำเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่)  แน่นอนว่าผู้คนจะไม่เต็มใจ เพราะจุดมุ่งหมายเบื้องหลังคำขอนี้ย่อมจะโจ่งแจ้งเกินไป และพวกเขาก็จะไม่เห็นด้วย  นักคิดเหล่านั้นรู้ว่าพวกเขาต้องปลูกฝังให้ผู้คนมีคำกล่าวที่ฟังดูไพเราะ ประเสริฐ และเลิศหรู และบอกผู้คนว่าใครก็ตามที่คิดแบบนี้ย่อมมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่สูงส่ง  ด้วยวิธีนี้ ผู้คนก็จะยอมรับแนวคิดนี้อย่างง่ายดาย และยอมแม้กระทั่งพลีอุทิศและทำคุณความดีเพื่อแนวคิดนี้  เมื่อเป็นเช่นนั้น จุดมุ่งหมายของพวกเขาย่อมจะสัมฤทธิ์มิใช่หรือ?  ในบริบททางสังคมแบบนี้และเพื่อตอบสนองความต้องการของนักปกครอง คำกล่าวและแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” จึงเกิดขึ้น  ธรรมชาติของมนุษย์เป็นเอามากจนไม่ว่าจะผุดแนวคิดใดขึ้นมา ก็จะมีบางคนมองว่าแนวคิดนั้นๆ ทันสมัยและล้ำยุคอยู่เสมอ และยอมรับแนวคิดดังกล่าวตามพื้นฐานนั้น  การที่บางคนยอมรับแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ย่อมเป็นผลดีต่อนักปกครองมิใช่หรือ?  นี่หมายความว่าจะมีผู้คนคอยพลีอุทิศและทำคุณความดีให้แก่ระบอบของนักปกครอง  ด้วยเหตุนี้ นักปกครองจึงมีความหวังที่จะเป็นใหญ่ไปอีกนานใช่หรือไม่?  เมื่อเป็นเช่นนั้น เทียบกันแล้ว การปกครองของพวกเขาย่อมจะมั่นคงขึ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น เมื่อการปกครองของนักปกครองถูกท้าทายหรือเผชิญการทำลายล้าง หรือประเทศของพวกเขาเผชิญการรุกรานจากศัตรูที่มีอำนาจ เมื่อนั้นผู้ที่ยอมรับแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ก็จะก้าวออกมาอย่างกล้าหาญและไม่สะทกสะท้านเพื่อทำคุณความดีหรือพลีชีวิตของตนเพื่อปกป้องประเทศ  ท้ายที่สุดแล้ว ใครคือคนที่ได้รับประโยชน์ในเรื่องนี้?  (นักปกครอง)  คนที่ได้ประโยชน์ในท้ายที่สุดก็คือนักปกครอง  ส่วนผู้คนที่ยอมรับแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” และเต็มใจสละชีวิตอันล้ำค่าของตนเพื่อแนวคิดนี้ย่อมจะเป็นเช่นไร?  พวกเขากลายเป็นขั้นบันไดให้เหยียบเดินและเป็นเบี้ยที่นักปกครองสามารถสละได้ พวกเขากลายเป็นเหยื่อของแนวคิดนี้  ผู้คนทั่วไปที่ใช้ชีวิตที่ฐานล่างของสังคมไม่มีมโนทัศน์ที่แน่นอนและชัดเจนหรือคำจำกัดความที่ชัดเจนว่าประเทศคืออะไร  พวกเขาไม่รู้ว่าประเทศคืออะไรและใหญ่โตเพียงใด และยิ่งไม่รู้ว่าเรื่องใดสำคัญต่อชะตากรรมของประเทศ  เป็นเพราะผู้คนมีคำจำกัดความและมโนทัศน์ที่คลุมเครือเกี่ยวกับประเทศ ชนชั้นปกครองจึงใช้คำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” มาชักพาให้พวกเขาหลงผิดและปลูกฝังแนวคิดนี้ไว้ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา เพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นมาปกป้องประเทศและยอมเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อชนชั้นปกครอง และด้วยเหตุนี้ ชนชั้นปกครองย่อมจะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตน  อันที่จริง ในความคิดเห็นของผู้คนทั่วไป ไม่ว่าใครจะปกครองประเทศ หรือผู้รุกรานจะดีกว่าหรือแย่กว่านักปกครองคนปัจจุบัน สุดท้ายแล้วที่ดินอันน้อยนิดของครอบครัวของพวกเขาก็ต้องมีการเพาะปลูกทุกปีอยู่ดี และต้นไม้ที่ชายหมู่บ้านของพวกเขาทางตะวันออกก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ภูเขาทางฝั่งตะวันตกของหมู่บ้านไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป บ่อน้ำที่ใจกลางหมู่บ้านก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน และนั่นคือทั้งหมดที่สำคัญ  สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนอกหมู่บ้าน มีนักปกครองมาแล้วก็ไปกันกี่คน หรือคนพวกนั้นปกครองประเทศอย่างไร ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาแต่อย่างใด  ชีวิตของผู้คนทั่วไปเป็นเช่นนี้เอง  ชีวิตของพวกเขาเป็นจริงและเรียบง่ายเหลือเกิน และมโนทัศน์ที่พวกเขามีต่อประเทศก็เป็นรูปธรรมมากพอๆ กับมโนทัศน์ที่พวกเขามีต่อครอบครัว เพียงแต่มีขอบเขตที่ใหญ่กว่าครอบครัวเท่านั้น  แต่เมื่อประเทศถูกศัตรูที่มีอำนาจรุกราน การดำรงอยู่และความอยู่รอดของประเทศมีความไม่แน่นอน และการครองแผ่นดินของนักปกครองถูกรบกวนและสั่นคลอน ผู้คนเหล่านั้นที่ยอมรับว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ย่อมถูกแนวคิดนี้ครอบงำ และทั้งหมดที่พวกเขาอยากทำก็คือใช้จุดแข็งในส่วนของตนมาเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีผลกระทบต่อชะตากรรมของประเทศและแทรกแซงการครองแผ่นดินของนักปกครอง  แล้วในที่สุดย่อมเกิดอะไรขึ้น?  พวกเขาเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริงบ้าง?  ต่อให้พวกเขาทำให้นักปกครองอยู่ในอำนาจต่อไปได้สำเร็จ นี่หมายความหรือไม่ว่าพวกเขาทำสิ่งที่เที่ยงธรรมแล้ว?  นี่หมายความหรือไม่ว่าการพลีอุทิศของพวกเขาเป็นบวก?  นี่ควรค่าแก่การจดจำหรือไม่?  ในบางช่วงของประวัติศาสตร์ ผู้คนที่ให้ค่าสูงมากแก่แนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ยังค้ำจุนจิตวิญญาณของแนวคิดนี้อย่างแข็งขันในการปกป้องประเทศและทำให้นักปกครองอยู่ในอำนาจต่อไปอีกด้วย แต่การปกครองของนักปกครองที่พวกเขาทำให้อยู่ในอำนาจต่อไปนั้นล้าหลัง นองเลือด และไม่มีความหมายหรือคุณค่าต่อมวลมนุษย์  จากมุมมองนี้ สิ่งที่เรียกว่าความรับผิดชอบที่ผู้คนเหล่านี้ทำให้ลุล่วงไปนั้นเป็นบวกหรือเป็นลบ?  (เป็นลบ)  คนเราสามารถกล่าวได้ว่าสิ่งนี้เป็นลบ ไม่ควรค่าที่จะจดจำ และเป็นที่ดูหมิ่นของผู้คน  ในทางตรงกันข้าม ผู้คนทั่วไปไม่มีความรู้สึกเชื่อมโยงกับแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ซึ่งนักคิดจอมวางแผนเหล่านั้นสนับสนุนเลย แท้จริงแล้วผู้คนทั่วไปไม่ได้ยอมรับและนำไปปฏิบัติ  เพราะฉะนั้น ชีวิตของคนทั่วไปจึงค่อนข้างมั่นคง  แม้ว่าความสำเร็จชั่วชีวิตของคนทั่วไปจะไม่น่าประทับใจเท่ากับความสำเร็จของผู้คนที่สละชีวิตเพื่อชะตากรรมของประเทศของตน แต่พวกเขาก็ได้ทำสิ่งที่มีความหมาย  สิ่งที่มีความหมายนี้คืออะไร?  ก็คือพวกเขาไม่เอาตัวเข้าไปแทรกแซงชะตากรรมของประเทศ หรือกระบวนการที่กำหนดว่าใครคือคนปกครองประเทศ  แทนที่จะทำเช่นนั้น ทั้งหมดที่พวกเขาขอก็คือการมีชีวิตที่ดี เพาะปลูกพืชพันธุ์ ปกป้องเมืองเกิดของตน มีอาหารให้กินตลอดปี และมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ สะดวกสบาย เปี่ยมสันติสุข และมีสุขภาพดี ไม่ก่อปัญหาใดๆ ให้แก่ประเทศของตน ไม่ขออาหารหรือเงินทองจากประเทศของตน และจ่ายภาษีตามปกติเมื่อถึงกำหนด—นี่คือการลุล่วงความรับผิดชอบที่พลเมืองคนหนึ่งควรลุล่วง  หากเจ้าสามารถเป็นอิสระจากการแทรกแซงใดๆ จากแนวคิดของพวกนักคิด และใช้ชีวิตของเจ้าเองอย่างคนทั่วไปในลักษณะที่ติดดินตามฐานะของเจ้า และพึ่งพาตนเองได้ เช่นนั้นย่อมเพียงพอแล้ว และเจ้าก็ลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว  นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คนที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ควรลุล่วง  การดูแลความอยู่รอดและความต้องการขั้นพื้นฐานของคนเราคือเรื่องที่คนเราควรแก้ไขด้วยตนเอง ส่วนเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของประเทศและเกี่ยวข้องกับวิธีที่นักปกครองใช้กำกับดูแลประเทศนั้น ผู้คนทั่วไปไม่สามารถแทรกแซงหรือทำสิ่งใดได้  พวกเขาทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องทั้งหมดนี้เป็นไปตามโชคชะตา และปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของธรรมชาติเท่านั้น  สิ่งใดก็ตามที่เป็นเจตจำนงของสวรรค์ สิ่งนั้นย่อมจะบังเกิด  ผู้คนทั่วไปรู้น้อยมาก และนอกเหนือจากนั้น สวรรค์ก็ไม่ได้มอบหมายให้ผู้คนรับผิดชอบประเทศของตนในลักษณะนี้  ผู้คนทั่วไปมีเพียงบ้านของตนเองอยู่ในหัวใจเท่านั้น และตราบใดที่พวกเขารักษาบ้านของตนเองไว้ได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว และพวกเขาก็ลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว

เช่นเดียวกับคำกล่าวข้ออื่นๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม คำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” เป็นแนวคิดและทัศนะที่นักคิดนำเสนอเพื่อให้นักปกครองอยู่ในอำนาจต่อไป และแน่นอนว่าเป็นแนวคิดและทัศนะที่ได้รับการสนับสนุนเพื่อให้มีผู้คนเกื้อหนุนนักปกครองมากขึ้นอีกด้วย  อันที่จริง ไม่ว่าผู้คนจะมีชีวิตอยู่ในชนชั้นใดทางสังคม หากพวกเขาไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีใดๆ และไม่อยากเข้าสู่การเมืองหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับชนชั้นปกครอง คำจำกัดความที่ประชาชนมีต่อประเทศตามมุมมองของความเป็นมนุษย์ก็คือเป็นสถานที่ที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้ในแนวสายตาของตน หรือผืนดินที่พวกเขาเดินเท้าวัดได้ หรือแวดวงที่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข อิสระ และถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น  สำหรับใครก็ตามที่มีมโนทัศน์เกี่ยวกับประเทศเช่นนี้ ผืนดินที่พวกเขาอาศัยอยู่และแวดวงชีวิตของพวกเขาย่อมจะสามารถให้ชีวิตที่มั่นคง มีความสุข และเป็นอิสระแก่พวกเขาได้ ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานในชีวิตของพวกเขา  ความต้องการพื้นฐานนี้ยังเป็นทิศทางและจุดหมายที่ผู้คนเพียรพยายามที่จะปกป้องอีกด้วย  ทันทีที่ความต้องการพื้นฐานนี้ถูกท้าทาย รบกวน หรือถูกลิดรอน ก็แน่นอนว่าผู้คนย่อมจะลุกขึ้นมาปกป้องกันไปเอง  การปกป้องนี้มีความชอบธรรม และเกิดจากความต้องการตามความเป็นมนุษย์ และความต้องการที่จะอยู่รอดอีกด้วย  ไม่มีใครจำเป็นต้องบอกผู้คนว่า “เมื่อเมืองเกิดของคุณและถิ่นที่อยู่ของคุณเผชิญการรุกรานจากศัตรูต่างชาติ คุณต้องลุกขึ้นมาปกป้อง ลุกขึ้นมาต่อสู้กับผู้รุกราน”  พวกเขาจะลุกขึ้นมาปกป้องสิ่งเหล่านั้นโดยอัตโนมัติ  นี่คือสัญชาตญาณของมนุษย์ แต่ก็เป็นความต้องการที่จะอยู่รอดของมนุษย์ด้วย  ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องของคนปกติ เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้แนวคิดอย่าง “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” มาหนุนใจให้พวกเขาปกป้องเมืองเกิดและถิ่นที่อยู่ของตน  หากใครบางคนอยากปลูกฝังแนวคิดดังกล่าวในตัวผู้คนจริงๆ เช่นนั้นแล้วจุดมุ่งหมายของพวกเขาย่อมไม่ธรรมดาเช่นนั้น  จุดมุ่งหมายของพวกเขาไม่ใช่การให้ผู้คนปกป้องถิ่นที่อยู่ของตน แน่ใจได้ว่าผู้คนจะมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต หรือเพื่อให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น  พวกเขามีจุดมุ่งหมายอีกอย่างหนึ่งซึ่งก็คือการทำให้นักปกครองอยู่ในอำนาจต่อไปเท่านั้น  ผู้คนจะพลีอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างโดยสัญชาตญาณเพื่อปกป้องถิ่นที่อยู่ของตนเอง และจะปกป้องถิ่นอาศัยและสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของตนเองอย่างมีสติ เพื่อให้แน่ใจว่าตนจะมีปัจจัยพื้นฐานสำหรับการอยู่รอด โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นใช้สำนวนใหญ่โตมาบอกพวกเขาว่าควรทำสิ่งใด หรือจะลุกขึ้นมาปกป้องบ้านเรือนของตนเองอย่างไร  แม้แต่สัตว์ยังมีสัญชาตญาณนี้และมีจิตสำนึกขั้นพื้นฐานนี้ จึงแน่นอนว่ามนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่สูงส่งกว่าสัตว์ ก็ย่อมมีสิ่งเหล่านี้  แม้แต่สัตว์ยังปกป้องถิ่นที่อยู่ อาณาเขต บ้าน และชุมชนของตน จากการรุกรานของศัตรูต่างถิ่น  และหากสัตว์มีจิตสำนึกแบบนี้ เช่นนั้นแล้วมนุษย์ก็ย่อมมีอย่างแน่นอน!  เพราะฉะนั้น แนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ซึ่งนักคิดเหล่านั้นเสนอไว้ จึงไม่จำเป็นสำหรับสมาชิกทุกคนของเผ่าพันธุ์มนุษย์  และเมื่อเป็นเรื่องของคำจำกัดความที่ผู้คนมีต่อประเทศอยู่ลึกๆ ในหัวใจ โดยพื้นฐานแล้วแนวคิดนี้ก็ไม่จำเป็นเช่นกัน  แต่เหตุใดนักคิดเหล่านั้นจึงยังคงเสนอแนวคิดนี้?  เพราะพวกเขาอยากสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายอีกอย่างหนึ่ง  จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพวกเขาไม่ใช่การทำให้ผู้คนสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นในถิ่นที่อยู่ปัจจุบันของตน หรือสามารถมีสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่มั่นคงขึ้น ชื่นบานและมีความสุขมากขึ้น  พวกเขาไม่ได้เริ่มต้นจากมุมมองที่เป็นการปกป้องคุ้มครองผู้คน หรือปกป้องถิ่นที่อยู่ของผู้คน แต่จากมุมมองและจุดยืนของนักปกครอง เพื่อปลูกฝังให้ผู้คนมีแนวคิดว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” และยุยงส่งเสริมให้พวกเขามีแนวคิดแบบนี้  หากเจ้าไม่มีแนวคิดแบบนี้ เช่นนั้นแล้วขอบเขตการคิดอ่านของเจ้าย่อมถูกมองว่าอ่อนด้อย และเจ้าจะถูกทุกคนเยาะเย้ยและถูกทุกกลุ่มชาติพันธุ์ดูแคลน หากเจ้าไม่มีแนวคิดเช่นนี้ หากเจ้าไม่มีความชอบธรรมนี้ซึ่งยิ่งใหญ่กว่า และไม่มีวิธีคิดแบบนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะถูกมองว่าเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยทางศีลธรรมที่อ่อนด้อย เป็นคนต่ำช้าที่เห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยาม  คนที่ได้ชื่อว่าต่ำช้าเหล่านี้คือผู้คนที่ถูกดูหมิ่นในสังคม ถูกสังคมเลือกปฏิบัติและดูหมิ่น

ในโลกนี้และในสังคม ใครก็ตามที่เกิดในประเทศที่ยากจนหรือล้าหลัง หรือมาจากประเทศที่ด้อยสถานะ ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน ทันทีที่พวกเขาแจ้งสัญชาติของตน สถานะของพวกเขาก็จะถูกกำหนดเดี๋ยวนั้น และจะถูกมองว่าเป็นรองคนอื่น ถูกดูแคลน และถูกเลือกปฏิบัติ  หากสัญชาติของเจ้าเป็นสัญชาติของประเทศที่มีอำนาจ เจ้าก็จะมีสถานะที่สูงมากในบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ และจะถูกมองว่าเหนือกว่าคนอื่น  ดังนั้นแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” จึงมีพื้นที่อันสำคัญในหัวใจของผู้คน  ผู้คนมีมโนทัศน์ที่จำกัดและเป็นรูปธรรมมากเกี่ยวกับประเทศ แต่เพราะวิธีที่มวลมนุษย์ทั้งปวงปฏิบัติต่อกลุ่มชาติพันธุ์และคนที่มาจากต่างประเทศ รวมทั้งวิธีการและหลักเกณฑ์ที่ใช้กำหนดสถานะของคนเหล่านั้น มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับชะตากรรมของประเทศของคนเหล่านั้น ภายในตัวทุกคนจึงได้รับอิทธิพลในระดับต่างๆ กันจากแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน”  ดังนั้นผู้คนควรสลัดอิทธิพลของแนวคิดนี้ทิ้งไปอย่างไร?  ก่อนอื่นมาดูกันว่าแนวคิดนี้มีอิทธิพลต่อผู้คนอย่างไร  แม้ว่าคำนิยามที่ผู้คนมีเกี่ยวกับประเทศ จะไม่ขยายออกไปนอกสภาพแวดล้อมจำเพาะที่พวกเขาอาศัยอยู่ และผู้คนก็เพียงต้องการธำรงรักษาสิทธิขั้นพื้นฐานของตนในการดำรงชีวิตและต้องการรักษาสิ่งที่ตนจำเป็นต้องมีเพื่อความอยู่รอดเพื่อให้พวกตนมีการดำรงอยู่ที่ดีขึ้นได้เท่านั้น แต่ทุกวันนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งมวลก็เคลื่อนไหวและโยกย้ายอยู่ตลอดเวลา และมนุษย์ก็ยอมรับแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” โดยไม่รู้ตัว  นั่นจึงหมายความว่าจากมุมมองของสภาวะความเป็นมนุษย์ ผู้คนไม่อยากยอมรับคำจำกัดความอันกลวงเปล่าและยิ่งใหญ่ทั้งหลายนั้นเกี่ยวกับประเทศ เช่น “ชาติที่ยิ่งใหญ่” “ราชวงศ์ที่เจริญรุ่งเรือง” “มหาอำนาจ” “อำนาจทางด้านเทคโนโลยี” “อำนาจทางการทหาร” เป็นต้น  ไม่มีมโนทัศน์เช่นนี้ในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และผู้คนก็ไม่อยากหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ในชีวิตประจำวันของตน  แต่ในขณะเดียวกัน เวลาปะปนอยู่กับมวลมนุษย์ที่เหลือ ผู้คนก็ยังคงหวังที่จะถือสัญชาติของประเทศที่มีอำนาจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าเดินทางไปต่างประเทศและอยู่ท่ามกลางผู้คนเชื้อชาติอื่นๆ เจ้าจะรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าชะตากรรมของประเทศของเจ้าเชื่อมโยงกับผลประโยชน์อันสำคัญยิ่งของเจ้า  หากประเทศของเจ้ามีอำนาจ มั่งคั่ง และมีสถานะสูงส่งในโลก เช่นนั้นแล้วสถานะของเจ้าท่ามกลางผู้คนก็จะถูกยกระดับให้สอดคล้องกับสถานะของประเทศของเจ้า และเจ้าก็จะได้รับการยกย่องอย่างสูง  หากเจ้ามาจากประเทศที่ยากจน ชาติที่เล็ก หรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่เป็นที่รู้จัก เช่นนั้นแล้วสถานะของเจ้าก็จะลดลงตามสัญชาติและกลุ่มชาติพันธุ์ของตน  ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนแบบใด หรือสัญชาติอะไร หรือเป็นคนเชื้อชาติใด หากเจ้าใช้ชีวิตอยู่แต่ในแวดวงเล็กๆ แนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ก็จะไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อเจ้า  แต่เมื่อผู้คนจากประเทศต่างๆ ในหมู่มวลมนุษย์มารวมตัวกัน แนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ย่อมได้รับการยอมรับจากผู้คนจำนวนมากขึ้น  การยอมรับนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างนิ่งเฉย แต่กลับเป็นการตระหนักในระดับที่ลึกกว่าตามเจตจำนงส่วนตัวของเจ้าว่าคำกล่าวว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” นั้นถูกต้อง เพราะชะตากรรมของประเทศของเจ้าสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับสถานะ ความมีหน้ามีตา และคุณค่าที่เจ้ามีในหมู่ผู้คน  ถึงตรงนี้ เจ้าก็ไม่รู้สึกอีกต่อไปแล้วว่ามโนทัศน์และคำจำกัดความของประเทศของเจ้านั้นเป็นเพียงสถานที่เล็กๆ ที่เจ้าเกิดและเติบโต  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ากลับหวังว่าประเทศของเจ้าจะใหญ่โตขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น  อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้ากลับประเทศ ประเทศของเจ้าก็กลับมามีความพิเศษในความรู้สึกนึกคิดของเจ้าอีกครั้ง  สถานที่เฉพาะแห่งนี้ไม่ได้เป็นชาติที่มีสัณฐานไม่เป็นรูปเป็นทรง แต่กลับเป็นเส้นทาง ลำธาร และบ่อน้ำในเมืองเกิดของเจ้า และไร่นาของบ้านเจ้าที่เจ้าใช้ปลูกพืชพันธุ์  เพราะฉะนั้น ในความเห็นของเจ้า หากจะกล่าวให้แน่ชัดยิ่งขึ้นก็คือการกลับไปที่ประเทศของตนเองคือการกลับสู่เมืองเกิดของเจ้า เป็นการกลับบ้าน  และเมื่อเจ้ากลับบ้านก็ไม่สำคัญว่าประเทศจะดำรงอยู่หรือไม่ หรือคนปกครองเป็นใคร หรืออาณาเขตของประเทศใหญ่โตขนาดไหน หรือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นเช่นไร หรือประเทศยากจนหรือร่ำรวย—ทั้งหมดนั้นไม่มีอะไรสำคัญสำหรับเจ้า  ตราบใดที่บ้านของเจ้ายังอยู่ตรงนั้น ตราบนั้นเมื่อเจ้าสะพายกระเป๋าเดินทางด้วยความตั้งใจที่จะกลับไป เจ้าย่อมจะมีทิศทางและเป้าหมาย  ตราบใดที่เจ้ายังคงมีที่ให้แขวนหมวกของตน และสถานที่ที่เจ้าเกิดและเติบโตยังคงอยู่ตรงนั้น เจ้าย่อมจะรู้สึกถึงความผูกพันและจุดหมายปลายทาง  ต่อให้ประเทศที่บ้านของเจ้าตั้งอยู่นั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว และนักปกครองก็เปลี่ยนคนไปแล้ว ตราบใดที่บ้านของเจ้ายังคงอยู่ตรงนั้น เจ้าก็มีบ้านให้กลับไปอยู่ดี  นี่คือมโนทัศน์เกี่ยวกับประเทศในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน ซึ่งย้อนแย้งและคลุมเครือมาก แต่ก็เป็นมโนทัศน์เกี่ยวกับบ้านที่เป็นรูปธรรมมากเช่นกัน  อันที่จริงผู้คนไม่แน่ใจนักว่าแนวคิดเรื่อง “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” นั้นถูกต้องหรือไม่  แต่เพราะแนวคิดนี้มีผลกระทบบางอย่างต่อสถานะทางสังคมของตนโดยเฉพาะ ผู้คนจึงมีสำนึกที่แรงกล้าเกี่ยวกับประเทศ สัญชาติ และเชื้อชาติโดยไม่ทันรู้ตัว  เมื่อผู้คนอาศัยอยู่แต่ในแวดวงเล็กๆ ของเมืองเกิดของตน พวกเขาก็มีภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานในระดับหนึ่งต่อแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน”  แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาจากเมืองเกิดและแผ่นดินเกิดของตนไป และออกนอกเขตปกครองของประเทศตน พวกเขาก็พอจะตระหนักรู้และยอมรับแนวคิดเรื่อง “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” อยู่บ้าง  ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าไปต่างประเทศ หากมีใครถามเจ้าว่าเจ้ามาจากประเทศไหน เจ้าย่อมจะนึกสงสัยอยู่ว่า “ถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นชาวสิงคโปร์ ผู้คนก็จะยกย่องฉัน แต่ถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นชาวจีน ผู้คนจะดูแคลนฉัน”  ดังนั้นเจ้าจึงไม่กล้าบอกความจริงกับพวกเขา  แต่วันหนึ่งสัญชาติของเจ้าย่อมเปิดเผยออกมา  ผู้คนค้นพบว่าเจ้าเป็นชาวจีน และตั้งแต่นั้นมาพวกเขาย่อมมองเจ้าต่างไปจากเดิม  เจ้าถูกเลือกปฏิบัติ ถูกดูแคลน และแม้กระทั่งถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง  ถึงตรงนี้เจ้าย่อมคิดโดยไม่ทันรู้ตัวว่า “คำกล่าวที่ว่า ‘ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน’ นั้นถูกต้องจริงๆ!  ฉันเคยคิดว่าชะตากรรมของประเทศตัวเองไม่ใช่เรื่องของฉัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าชะตากรรมของประเทศของคนเราส่งผลกระทบต่อทุกคน  เมื่อประเทศเจริญรุ่งเรือง ทุกคนก็เจริญรุ่งเรือง แต่เมื่อประเทศล่มสลาย ทุกคนก็ทนทุกข์ไปด้วย  ประเทศของพวกเราไม่ยากจนหรอกหรือ?  ไม่ใช่เผด็จการหรอกหรือ?  และพวกนักปกครองก็มีชื่อเสียงไม่ดีไม่ใช่หรือ?  นั่นคือสาเหตุที่ผู้คนดูแคลนฉัน  ดูสิว่าผู้คนในประเทศตะวันตกมีฐานะดีและมีความสุขกันขนาดไหน  พวกเขามีอิสระที่จะไปไหนก็ได้และเชื่ออะไรก็ได้  แต่พวกเราที่อยู่ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ กลับถูกข่มเหงเพราะเชื่อในพระเจ้า และต้องหลบหนีกันไปทั่วทุกสารทิศ ไม่สามารถกลับบ้านได้  จะวิเศษขนาดไหนถ้าพวกเราได้เกิดในประเทศตะวันตก!”  ถึงตรงนี้เจ้าย่อมรู้สึกว่าสัญชาติสำคัญอย่างยิ่ง และชะตากรรมของประเทศของเจ้าก็กลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเจ้า  ไม่ว่าในกรณีใด เมื่อผู้คนใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมและบริบทเช่นนี้ พวกเขาย่อมได้รับอิทธิพลโดยไม่ทันรู้ตัวจากแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” และถูกแนวคิดนี้ครอบงำในระดับต่างๆ  ถึงตรงนี้พฤติกรรมของผู้คน ทัศนะ มุมมอง และจุดยืนที่พวกเขามีต่อผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปในระดับต่างๆ กัน และแน่นอนว่านี่ก่อให้เกิดผลสืบเนื่องและผลกระทบมากน้อยต่างกัน  เพราะฉะนั้นจึงพอจะมีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมอยู่บ้างในเรื่องที่ว่าคำกล่าวว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” มีอิทธิพลต่อการคิดอ่านของผู้คน  แม้ว่ามโนทัศน์ที่ผู้คนมีเกี่ยวกับประเทศจะไม่ชัดเจนขนาดนั้นเมื่อมองจากสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่ในบริบททางสังคมบางอย่าง สัญชาติที่มาพร้อมกับการเป็นคนของประเทศหนึ่งๆ ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้คน  หากผู้คนไม่เข้าใจความจริง และไม่ตระหนักถึงประเด็นปัญหาเหล่านี้อย่างชัดเจน พวกเขาย่อมจะไม่สามารถปลดโซ่ตรวนและขจัดผลกระทบจากแนวคิดนี้ที่กัดกร่อนพวกเขาอยู่ ซึ่งจะพลอยส่งผลกระทบต่ออารมณ์และท่าทีที่พวกเขามีต่อการรับมือสิ่งทั้งหลายด้วย  ไม่ว่าจะดูจากมุมมองของสภาวะความเป็นมนุษย์ หรือมองในแง่ของความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการที่สำคัญในการคิดอ่านของผู้คนเมื่อสภาพแวดล้อมทั่วไปเปลี่ยนแปลง แนวคิดที่ซาตานนำเสนอว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ก็มีอิทธิพลบางอย่างต่อผู้คน และมีผลกระทบที่กัดกร่อนการนึกคิดของมนุษย์  เนื่องจากผู้คนไม่เข้าใจว่าจะอธิบายเรื่องราวทั้งหลาย เช่น ชะตากรรมของประเทศ ให้ถูกต้องอย่างไร และไม่เข้าใจความจริงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พวกเขาจึงมักจะถูกแนวคิดนี้ครอบงำหรือทำให้เสื่อมทรามในสภาพแวดล้อมต่างๆ หรือไม่ก็ได้รับผลกระทบทางอารมณ์จากแนวคิดนี้—นี่ไม่คุ้มค่าจริงๆ

ส่วนเรื่องชะตากรรมของประเทศนั้น ผู้คนควรเข้าใจว่าพระเจ้าทรงมองเรื่องนี้อย่างไร และผู้คนควรมองเรื่องนี้ให้ถูกต้องอย่างไร จริงไหม?  (จริง)  ผู้คนควรเข้าใจโดยแท้ว่าพวกเขาควรเลือกใช้จุดยืนเช่นใดเวลามองเรื่องนี้ เพื่อจะได้ขจัดผลกระทบและอิทธิพลของแนวคิดเรื่อง “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ที่กัดกร่อนพวกเขาอยู่  ก่อนอื่นพวกเรามาดูกันว่าชะตากรรมของประเทศสามารถถูกคนคนหนึ่ง กองกำลัง หรือกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งๆ ครอบงำได้หรือไม่  ใครเป็นคนตัดสินชะตากรรมของประเทศ?  (พระเจ้าคือผู้กำหนด)  ถูกต้อง ต้องมีการทำความเข้าใจสาเหตุที่เป็นรากเหง้านี้  ชะตากรรมของประเทศสัมพันธ์กับอธิปไตยของพระเจ้าอย่างแนบแน่น และไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครอื่น  ไม่มีกองกำลัง แนวคิด หรือบุคคลใดสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของประเทศได้  โชคชะตาของประเทศประกอบด้วยอะไรบ้าง?  ความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยของประเทศ  ไม่ว่าประเทศจะพัฒนาแล้วหรือล้าหลัง และไม่ว่าจะตั้งอยู่ตรงไหนทางภูมิศาสตร์ ครอบคลุมอาณาเขตมากเพียงใด มีขนาดเท่าใด และมีทรัพยากรทั้งหมดเท่าใด—ทั้งทรัพยากรบนดิน ใต้ดิน และในอากาศ—ใครปกครองประเทศ ลำดับการปกครองประกอบด้วยผู้คนประเภทใดบ้าง หลักการทางการเมืองและวิธีการปกครองที่ผู้ปกครองใช้นำทางคืออะไร พวกเขายอมรับพระเจ้า เชื่อฟังพระองค์หรือไม่ และท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าเป็นเช่นใด เป็นต้น—ทั้งหมดนี้สัมพันธ์กับชะตากรรมของประเทศทั้งสิ้น  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีใครคนหนึ่งเป็นคนกำหนด และยิ่งไม่ใช่กองกำลังใดๆ  ไม่มีใครหรืออำนาจใดมีสิทธิ์ชี้ขาด รวมทั้งซาตานด้วย  ดังนั้นใครเป็นผู้ชี้ขาด?  พระเจ้าเท่านั้นคือผู้ชี้ขาด  มนุษย์ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ และซาตานก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่มันก็ท้าทาย  มันอยากกำกับดูแลมนุษย์และอยากมีอำนาจครอบงำพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นมันจึงใช้แนวคิดและข้อคิดเห็นที่ปลุกปั่นและหลอกลวงอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมสิ่งทั้งหลาย เช่น การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม และจารีตประเพณีทางสังคม และทำให้ผู้คนยอมรับแนวคิดเหล่านี้ อันเป็นการหาประโยชน์จากผู้คนเพื่อรับใช้นักปกครอง และทำให้นักปกครองอยู่ในอำนาจต่อไป  แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ไม่ว่าซาตานจะทำอะไร ชะตากรรมของประเทศก็ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับซาตาน และไม่ได้สัมพันธ์กับระดับความแข็งขัน ลุ่มลึก และกว้างขวางของการเผยแพร่แนวคิดเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมแต่อย่างใด  สภาพความเป็นอยู่และรูปแบบการดำรงชีวิตในประเทศใดๆ ก็ตามในช่วงเวลาใดๆ—ไม่ว่าประเทศนั้นจะมั่งคั่งหรือยากจน ล้าหลังหรือพัฒนาแล้ว และไม่ว่าจะอยู่ในอันดับที่เท่าใดท่ามกลางประเทศมากมายในโลก—ทั้งหมดนี้ไม่ได้สัมพันธ์แต่อย่างใดกับความแข็งแกร่งในการปกครองของนักปกครอง หรือกับสาระสำคัญของแนวคิดทั้งหลายของนักคิดเหล่านี้ หรือความกร้าวแกร่งที่พวกเขาใช้ในการเผยแพร่แนวคิดดังกล่าว  ชะตากรรมของประเทศสัมพันธ์กับอธิปไตยของพระเจ้าและช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงบริหารจัดการมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้น  ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดก็ตามที่พระเจ้าจำเป็นต้องทรงพระราชกิจใดๆ ปกครองและจัดวางเรียบเรียงสิ่งใด นำสังคมทั้งหมดไปในทิศทางใด และทำให้เกิดสังคมในรูปแบบใดก็ตาม—ในช่วงเวลานั้น บุคคลสำคัญที่พิเศษบางคนย่อมจะปรากฏตัว และบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่และพิเศษก็จะเกิดขึ้น  ตัวอย่างเช่น สงคราม หรือการผนวกแผ่นดินบางประเทศโดยประเทศอื่น หรือการเกิดเทคโนโลยีพิเศษที่กำลังทวีความสำคัญ หรือแม้แต่ความเคลื่อนไหวของมหาสมุทรและแผ่นเปลือกโลกตามทวีปต่างๆ ทั่วทั้งโลก เป็นต้น—ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการแห่งพระหัตถ์ของพระเจ้าทั้งสิ้น  เป็นไปได้เช่นกันว่าการปรากฏตัวของคนที่ไม่มีอะไรพิเศษคนหนึ่งจะนำเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งมวลให้ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก  และเป็นไปได้เช่นกันว่าการเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีอะไรพิเศษและไม่มีนัยสำคัญเอามากๆ อาจกระตุ้นให้เกิดการย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ของมวลมนุษย์ หรืออาจเป็นได้ว่าภายใต้ผลกระทบจากเหตุการณ์หนึ่งๆ ที่ไม่มีนัยสำคัญ มวลมนุษย์ทั้งปวงจะก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หรือจะมีความเปลี่ยนแปลงในระดับต่างๆ ทางเศรษฐกิจ การทหาร ธุรกิจ หรือการรักษาพยาบาล เป็นต้น  ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีอิทธิพลต่อชะตากรรมไม่ว่าจะของประเทศไหนบนแผ่นดินโลก รวมทั้งความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของประเทศใดๆ ด้วย  นั่นคือสาเหตุที่โชคชะตา ความรุ่งเรือง และการล่มสลายของประเทศใดๆ ไม่ว่าจะมีอำนาจหรืออ่อนแอ ล้วนสัมพันธ์กับการบริหารจัดการมวลมนุษย์ของพระเจ้าและอธิปไตยของพระองค์  เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดพระเจ้าจึงทรงต้องการที่จะทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้?  เจตนารมณ์ของพระองค์อยู่ที่รากเหง้าของทุกสิ่งทุกอย่าง  กล่าวสั้นๆ คือ การอยู่รอด ความรุ่งเรือง และการล่มสลายของประเทศหรือชาติใดๆ ไม่ได้สัมพันธ์แต่อย่างใดกับเชื้อชาติ อำนาจ ชนชั้นปกครอง รูปแบบหรือวิธีการปกครอง หรือบุคคลใดทั้งสิ้น  สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับอธิปไตยของพระผู้สร้างเท่านั้น และยังสัมพันธ์กับช่วงเวลาที่พระผู้สร้างบริหารจัดการมวลมนุษย์ รวมทั้งขั้นตอนถัดไปที่พระผู้สร้างจะดำเนินการในการบริหารจัดการและนำทางมวลมนุษย์อีกด้วย  เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำย่อมมีอิทธิพลต่อโชคชะตาของประเทศ ชนชาติ เชื้อชาติ กลุ่ม หรือตัวบุคคล  เมื่อมองจากมุมนี้ก็สามารถกล่าวได้ว่าแท้จริงแล้วโชคชะตาของปัจเจกบุคคล เชื้อชาติ ชนชาติ และประเทศใดก็ตามย่อมเชื่อมโยงและผูกพันกันอย่างแนบแน่น และย่อมมีสัมพันธภาพที่แยกออกจากกันไม่ได้ระหว่างสิ่งเหล่านี้  อย่างไรก็ตาม สัมพันธภาพระหว่างสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากแนวคิดและทัศนะที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” แต่เกิดจากอธิปไตยของพระผู้สร้างต่างหาก  เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะโชคชะตาของสิ่งเหล่านี้อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว คือพระผู้สร้าง จึงมีสัมพันธภาพที่มิอาจแยกออกจากกันได้ระหว่างสิ่งเหล่านี้  นี่คือรากเหง้าและแก่นแท้แห่งชะตากรรมของประเทศ

ดังนั้น เมื่อมองเรื่องนี้จากมุมมองของประชากรส่วนใหญ่ คนเราควรมีมุมมองเช่นไรเกี่ยวกับชะตากรรมของประเทศของตน?  ก่อนอื่น คนเราควรดูว่าประเทศดำเนินการปกปักรักษาประชากรส่วนใหญ่และทำให้พวกเขาพอใจมากเพียงใด  หากประชากรส่วนใหญ่มีชีวิตที่ดี มีอิสรภาพ และมีสิทธิ์ที่จะพูดอย่างเสรี หากนโยบายทั้งหมดที่รัฐบาลของประเทศประกาศใช้นั้นสมเหตุสมผลยิ่ง และผู้คนมองว่านโยบายเหล่านี้ยุติธรรมและมีเหตุผล หากสามารถพิทักษ์สิทธิมนุษยชนของคนธรรมดาสามัญได้ และหากผู้คนไม่ถูกริบสิทธิ์ในการมีชีวิตของตน เช่นนั้นแล้วผู้คนย่อมจะมาพึ่งพาประเทศนี้เป็นธรรมดา รู้สึกมีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตที่นี่ และรักที่นี่จากก้นบึ้งของหัวใจ  เมื่อนั้นทุกคนก็จะรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศนี้ ผู้คนจะเต็มใจโดยแท้ที่จะลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อประเทศนี้ และพวกเขาจะอยากให้ประเทศนี้ดำรงอยู่ตลอดกาล เพราะนี่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของพวกเขาและทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวพวกเขา  หากประเทศนี้ไม่สามารถปกปักรักษาชีวิตของคนธรรมดาสามัญได้ และไม่ให้พวกเขามีสิทธิ์ในฐานะมนุษย์ดังที่พวกเขาสมควรมี และพวกเขาก็ไม่มีแม้แต่เสรีภาพในการพูด และหากผู้ที่พูดในสิ่งที่ตนคิดถูกควบคุมและปราบปราม และผู้คนถูกห้ามไม่ให้พูดหรือเสวนาตามที่พวกเขาต้องการด้วยซ้ำ และหากว่าเมื่อผู้คนตกอยู่ภายใต้การระราน การดูหมิ่นเหยียดหยาม และการข่มเหง ประเทศกลับไม่สนใจ ถ้าไม่มีอิสรภาพแต่อย่างใด และผู้คนถูกลิดรอนสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและสิทธิ์ในการมีชีวิตอยู่ และหากแม้กระทั่งผู้ที่ติดตามและเชื่อในพระเจ้าก็ยังถูกกดขี่และข่มเหงจนพวกเขาไม่สามารถกลับบ้านได้ และหากผู้เชื่อถูกฆ่าโดยที่คนทำไม่ต้องรับโทษ เช่นนั้นแล้วประเทศนี้ก็เป็นประเทศของพวกมาร ประเทศของซาตาน และไม่ใช่ประเทศที่แท้จริง  ในกรณีนั้น ทุกคนควรที่จะรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศอยู่อีกหรือไม่?  หากผู้คนเกลียดชังประเทศนี้ในหัวใจของตนอยู่แล้ว เช่นนั้นในทางทฤษฎี ต่อให้พวกเขายอมรับผิดชอบประเทศนี้ พวกเขาก็จะไม่เต็มใจที่จะลุล่วงความรับผิดชอบนี้  หากศัตรูที่มีอำนาจมารุกรานประเทศนี้ แม้แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะแอบหวังว่าประเทศจะใกล้ล่มสลาย เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข  เพราะฉะนั้น การที่ทุกคนจะรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลของประเทศปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร  ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่ารัฐบาลได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชนหรือไม่—นี่ย่อมถูกกำหนดตามแง่นี้เป็นหลัก  ส่วนอีกแง่หนึ่ง ถ้ากล่าวโดยพื้นฐานแล้วก็คือ เบื้องหลังสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศใดๆ ย่อมมีเหตุผลและปัจจัยมากมายที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ซึ่งคนธรรมดาสามัญหรือคนที่ไม่สำคัญก็ไม่อาจมีอิทธิพลต่อสิ่งนั้นได้  เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเรื่องของชะตากรรมของประเทศ ไม่มีบุคคลหรือกลุ่มชาติพันธุ์ใดมีสิทธิ์ชี้ขาด หรือมีอำนาจแทรกแซง  นี่คือข้อเท็จจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าชนชั้นปกครองในประเทศของเจ้าต้องการแผ่ขยายอาณาเขตของประเทศและยึดครองแผ่นดิน โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของประเทศเพื่อนบ้าน  หลังจากตัดสินใจแล้ว ชนชั้นปกครองก็เริ่มตระเตรียมกำลังทหาร ระดมทุน สะสมเสบียงทุกประเภท และหารือกันว่าจะเริ่มแผ่ขยายแผ่นดินเมื่อใด  ชาวบ้านทั่วไปมีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่?  เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ด้วยซ้ำ  ทั้งหมดที่เจ้ารู้ก็คือ หลายปีที่ผ่านมานี้รัฐเก็บภาษีเพิ่มขึ้น มีการเรียกเก็บอากรและค่าธรรมเนียมทั้งหลายภายใต้ข้ออ้างต่างๆ เพิ่มขึ้น และหนี้สินของประเทศก็เพิ่มขึ้น  ภาระผูกพันเพียงอย่างเดียวของเจ้าก็คือการจ่ายภาษี  ส่วนเรื่องที่จะเกิดกับประเทศและสิ่งที่นักปกครองจะทำ นั่นเกี่ยวอะไรกับเจ้าบ้างหรือไม่?  จวบจนถึงเวลาที่ประเทศตัดสินใจเข้าสู่สงคราม ตัดสินใจว่าจะรุกรานประเทศใดและดินแดนใดบ้าง และจะรุกรานอย่างไร นี่เป็นสิ่งที่มีเพียงชนชั้นปกครองเท่านั้นที่รู้ และแม้กระทั่งทหารที่จะถูกส่งไปรบก็ไม่รู้  พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ด้วยซ้ำ  พวกเขาต้องสู้รบในทุกที่ที่นักปกครองชี้  ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขาสู้รบเพื่ออะไร สู้นานเท่าใด พวกเขาจะเอาชนะได้หรือไม่ และจะสามารถกลับบ้านได้เมื่อใด พวกเขาไม่รู้เลย พวกเขาไม่รู้อะไรเลย  บางคนนั้น ลูกของตัวเองถูกส่งไปทำสงคราม แต่พวกเขาที่เป็นพ่อแม่กลับไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ  ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือเมื่อลูกของพวกเขาถูกฆ่า พวกเขาก็ไม่รู้อยู่ดี  พวกเขาไม่รู้ว่าลูกของตนตายจนกระทั่งเถ้ากระดูกถูกส่งกลับมา  ดังนั้น จงบอกเราเถิดว่าชะตากรรมของประเทศของเจ้า สิ่งที่ประเทศของเจ้าจะทำ และเรื่องต่างๆ ที่ประเทศของเจ้าจะตัดสินใจ มีความสัมพันธ์อันใดกับเจ้าที่เป็นคนธรรมดาสามัญหรือไม่?  ประเทศบอกเรื่องเหล่านี้แก่เจ้าที่เป็นคนธรรมดาสามัญหรือไม่?  เจ้ามีสิทธิ์ที่จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือไม่?  เจ้าไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะรู้ นับประสาอะไรกับสิทธิ์ที่จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ  ไม่ว่าประเทศของเจ้าจะเป็นอะไรสำหรับเจ้า เรื่องที่ประเทศพัฒนาไปอย่างไร ประเทศมุ่งหน้าไปในทิศทางใด และถูกปกครองอย่างไร มีความสัมพันธ์อันใดกับเจ้าหรือไม่?  นี่ไม่มีความสัมพันธ์กับเจ้า  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะเจ้าเป็นคนธรรมดา และสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่สัมพันธ์กับนักปกครองเท่านั้น  การตัดสินชี้ขาดเป็นของนักปกครอง ชนชั้นปกครอง และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย แต่ไม่มีความสัมพันธ์แต่อย่างใดกับคนธรรมดาอย่างเจ้า  ดังนั้น เจ้าควรมีความตระหนักรู้ในตนเองสักหน่อย  จงอย่าทำสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสละชีวิตของเจ้า หรือพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพื่อนักปกครอง  พวกเรามาสมมุติกันว่าผู้ครองประเทศเป็นเผด็จการ และอำนาจก็อยู่ในมือของพวกมารที่ไม่ทำหน้าที่อันถูกควรของตน ใช้เวลาทั้งวันหลงระเริงอยู่กับการดื่มและการทำตัวเสเพล ดำรงชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ และไม่ทำอะไรเพื่อประชาชน  ประเทศตกอยู่ในภาวะหนี้สินและความอลหม่าน ส่วนนักปกครองก็เสื่อมทรามและไร้ความสามารถ ส่งผลให้ศัตรูต่างชาติรุกราน  เมื่อนั้นเท่านั้นที่นักปกครองนึกถึงผู้คนทั่วไป ร้องหาพวกเขาและพูดว่า “‘ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน’  หากประเทศพินาศ ชีวิตที่ยากลำบากย่อมรอทุกคนอยู่  ขณะนี้ประเทศกำลังลำบาก และผู้รุกรานได้เข้ามาในเขตแดนของพวกเราแล้ว  เพื่อที่จะปกป้องประเทศ จงรีบไปที่สนามรบ ถึงเวลาที่ประเทศต้องการพวกคุณแล้ว!”  เจ้าใคร่ครวญเรื่องนี้พลางคิดว่า “ถูกต้อง ‘ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน’  ในที่สุดประเทศก็ต้องการฉันสักครั้ง ดังนั้น ในเมื่อฉันมีความรับผิดชอบนี้ ฉันก็ควรสละชีวิตเพื่อปกป้องประเทศ  ประเทศของพวกเราไม่อาจเปลี่ยนมือได้ ถ้าผู้ครองประเทศคนนี้ไม่อยู่ในอำนาจ พวกเราก็จบสิ้น!”  การคิดแบบนี้เบาปัญญาหรือไม่?  นักปกครองในระบอบเผด็จการเหล่านี้ปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้า กิน ดื่ม และสนุกสนานตลอดวัน ประพฤติตัวผลีผลาม ทำสิ่งทั้งหลายตามใจชอบโดยไม่สนใจผู้คนทั่วไป ทำร้ายและทารุณมวลชน  หากเจ้าเร่งปกป้องนักปกครองพวกนี้อย่างกล้าหาญและไม่สะทกสะท้าน ทำหน้าที่เป็นทหารเลวให้พวกเขาส่งไปตายเปล่าในสนามรบ และเอาชีวิตของตนไปทิ้งเพื่อพวกเขา เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเบาปัญญาอย่างไม่ต้องสงสัย และจงรักภักดีอย่างมืดบอด!  เหตุใดเราจึงบอกว่าเจ้าเบาปัญญาอย่างไม่ต้องสงสัย?  แท้จริงแล้วทหารในสนามรบต่อสู้เพื่อใคร?  พวกเขากำลังเอาชีวิตของตนไปทิ้งเพื่อใคร?  พวกเขาทำหน้าที่เป็นทหารสังเวยลูกปืนเพื่อใคร?  และหากเจ้าซึ่งเป็นเพียงสามัญชนที่อ่อนแอและปวกเปียกออกไปรบ เช่นนั้นแล้วนี่ก็เป็นเพียงการแสดงให้เห็นความกล้าบ้าบิ่นและการเอาชีวิตไปทิ้งให้เสียเปล่า  หากสงครามมาถึงตัว เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้า และขอให้พระองค์คุ้มครองเจ้าเพื่อให้เจ้าสามารถหลบหนีไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย แทนที่จะพลีอุทิศและขัดขืนอย่างไร้จุดหมาย  การพลีอุทิศอย่างไร้จุดหมายมีการนิยามว่าเป็นอะไร?  เป็นความบ้าบิ่น  โดยปกติแล้ว ประเทศย่อมจะมีผู้คนที่เต็มใจค้ำจุนจิตวิญญาณของคำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” เต็มใจปกป้องนักปกครอง และยอมเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อคนเหล่านั้น  ชะตากรรมของประเทศส่งผลต่อผลประโยชน์และความอยู่รอดของผู้คนดังกล่าวอย่างมาก ดังนั้น จงปล่อยให้พวกเขาดูแลกิจการของประเทศไปเถิด  เจ้าเป็นคนธรรมดาสามัญ ไม่มีอำนาจที่จะปกป้องประเทศ และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีความสัมพันธ์กับเจ้า  แท้จริงแล้วประเทศแบบใดกันแน่ที่ควรค่าแก่การปกป้อง?  หากเป็นประเทศที่ใช้ระบอบเสรีและเป็นประชาธิปไตย และผู้ปกครองทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประชาชน และสามารถรับประกันได้จริงว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ปกติ เช่นนั้นแล้วประเทศแบบนี้ก็ควรค่าที่จะพิทักษ์และปกป้อง  ผู้คนทั่วไปรู้สึกว่าการปกป้องประเทศแบบนี้เทียบเท่ากับการปกป้องบ้านของตนเอง ซึ่งเป็นความรับผิดชอบที่มิอาจบ่ายเบี่ยงได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเต็มใจทำงานเพื่อประเทศและลุล่วงความรับผิดชอบของตน  แต่หากพวกมารหรือซาตานปกครองประเทศนี้ และนักปกครองก็เลวและไร้ความสามารถถึงขั้นที่การปกครองของกษัตริย์ปีศาจเหล่านี้เสื่อมความนิยม และพวกเขาควรลงจากตำแหน่ง พระเจ้าก็จะทรงยกประเทศที่มีอำนาจขึ้นมารุกราน  นี่เป็นสัญญาณจากสวรรค์ถึงมนุษย์และบอกพวกเขาว่านักปกครองในระบอบนี้ควรลงจากตำแหน่ง และไม่คู่ควรที่จะมีอำนาจดังกล่าว หรือมีอำนาจครอบครองแผ่นดินนี้ หรือให้ประชาชนของประเทศนี้หาเลี้ยงพวกเขาเพราะพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดเลยที่ทำให้ประชากรในประเทศอยู่ดีมีสุข และการปกครองของพวกเขาก็ไม่ได้ก่อประโยชน์ให้แก่ผู้คนทั่วไปแต่อย่างใด หรือนำความสุขมาให้แก่ชีวิตของผู้คน  พวกเขามีแต่ทรมานผู้คนทั่วไป ทำร้ายพวกเขา ทรมานและทารุณกรรมพวกเขาเท่านั้น  เพราะฉะนั้น นักปกครองแบบนี้จึงควรลาออก และยอมสละตำแหน่งของตน  หากระบอบการปกครองนี้ถูกแทนที่ด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยผู้คนที่มีคุณธรรมขึ้นครองอำนาจ นี่ย่อมจะทำให้ความหวังและความคาดหวังของประชากรกลายเป็นจริง และจะเป็นไปตามเจตจำนงของสวรรค์อีกด้วย  ผู้ที่คล้อยตามหนทางของสวรรค์ย่อมจะเจริญรุ่งเรือง ส่วนผู้ที่ต้านทานสวรรค์จะพินาศ  ในฐานะพลเมืองธรรมดา หากเจ้าถูกแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ชักพาให้หลงผิดอย่างต่อเนื่อง หลงใหลได้ปลื้มและเดินตามชนชั้นปกครองอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะตายก่อนวัยอันควรเป็นแน่ และมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นเหยื่อสังเวยและของจัดงานศพของชนชั้นปกครอง  หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง หลีกเลี่ยงการถูกซาตานชักพาให้หลงผิด สามารถหนีพ้นอิทธิพลของมันและรักษาชีวิตของเจ้าไว้ได้ เจ้าก็มีหวังที่จะเห็นประเทศที่เป็นบวกถือกำเนิดขึ้นมา เห็นจอมปราชญ์และนักปกครองที่มีปัญญาขึ้นครองอำนาจ เห็นการก่อตั้งระบบสังคมที่ดี และเจ้าย่อมจะโชคดีได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข  นี่คือตัวเลือกของคนมีปัญญามิใช่หรือ?  จงอย่าคิดว่าใครก็ตามที่รุกรานย่อมเป็นศัตรูหรือมาร นั่นผิดแล้ว  หากเจ้ามองว่านักปกครองคือคนที่อยู่สูงสุดและเหนือผู้คนทั้งปวง และทำเหมือนพวกเขาคือเจ้านายของแผ่นดินนี้ตลอดกาล ไม่ว่าพวกเขาจะทำเรื่องไม่ดีมากมายเพียงใด หรือต่อต้านพระเจ้าและทำทารุณกับผู้เชื่อมากเพียงใดก็ตาม นั่นย่อมผิดพลาดอย่างมหันต์  ลองคิดดูเถิดว่าเมื่อราชวงศ์ทั้งหลายในอดีตที่ปกครองในระบอบศักดินาถูกกวาดล้าง และมนุษย์มีชีวิตอยู่ภายใต้ระบบสังคมนานาชนิดที่ค่อนข้างเป็นประชาธิปไตย พวกเขาก็ค่อนข้างเป็นอิสระมากขึ้นและมีความสุขมากขึ้น ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นกว่าเดิมในทางวัตถุ และขอบเขตของวิสัยทัศน์ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และทัศนะที่มวลมนุษย์มีในเรื่องต่างๆ ก็ก้าวหน้ากว่าเดิม  หากผู้คนล้วนแต่มีการคิดอ่านที่ล้าหลัง และเชื่ออยู่เนืองนิตย์ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” และอยากรื้อฟื้นประเพณีเก่าๆ ฟื้นฟูการปกครองของจักรพรรดิทั้งหลาย และกลับคืนสู่ระบอบศักดินาอยู่ร่ำไป มวลมนุษย์จะสามารถพัฒนามาไกลอย่างที่ทำมาแล้วได้หรือไม่?  ถิ่นที่อยู่ของพวกเขาจะเป็นเหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้หรือไม่?  ย่อมไม่เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน  เพราะฉะนั้น เมื่อประเทศลำบาก หากกฎหมายของประเทศกำหนดว่าเจ้าต้องลุล่วงหน้าที่พลเมืองของตนและเป็นทหารรับใช้ประเทศ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรเป็นทหารรับใช้ประเทศตามกฎหมาย  หากเจ้าจำเป็นต้องออกรบระหว่างที่ตัวเจ้าเป็นทหาร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรลุล่วงความรับผิดชอบของตนในทำนองเดียวกัน เพราะนี่คือสิ่งที่เจ้าต้องทำตามกฎหมาย  เจ้าไม่สามารถทำผิดกฎหมายได้ และเจ้าต้องปฏิบัติตามกฎหมาย  หากกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องทำเช่นนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีอิสระที่จะเลือก  หากประเทศที่เจ้าอาศัยอยู่ยอมรับพระเจ้า ติดตามพระองค์ นมัสการพระองค์ และได้รับพรจากพระองค์ เช่นนั้นแล้วประเทศนั้นก็ควรได้รับการปกป้อง  หากประเทศที่เจ้าอาศัยอยู่ต้านทานและข่มเหงพระเจ้า จับกุมและกดขี่คริสตชน เช่นนั้นแล้วประเทศดังกล่าวก็เป็นประเทศของซาตานที่พวกมารปกครอง  เมื่อต้านทานพระเจ้าอยู่เนืองนิตย์ด้วยความเดือดดาลที่บ้าคลั่ง ประเทศดังกล่าวย่อมล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและถูกพระองค์สาปแช่งไปแล้ว  เมื่อประเทศเช่นนี้เผชิญการรุกรานของศัตรูต่างชาติ และถูกปัญหาทั้งในและนอกเขตแดนของตนรุมเร้า ก็ถึงเวลาที่ความขุ่นเคือง ความไม่พอใจ และความโกรธแค้นจะแพร่กระจายไปท่ามกลางพระเจ้าและมวลมนุษย์  นี่คือเวลาที่พระเจ้าทรงต้องการสร้างสภาพแวดล้อมขึ้นมาทำลายประเทศนี้มิใช่หรือ?  นี่คือเวลาที่พระเจ้าทรงเริ่มกระทำการ  พระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานของผู้คน และถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงเยียวยาแก้ไขการกระทำผิดต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  นี่เป็นสิ่งที่ดี และยังเป็นข่าวดีอีกด้วย  เวลาที่พระเจ้าจะทรงกำจัดซาตานและพวกมารให้สิ้นไปก็คือเวลาที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย่อมตื่นเต้นเป็นที่สุดและออกไปกระจายข่าวให้ทั่วอีกด้วย  เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าต้องไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อชนชั้นปกครอง  เจ้าควรใช้ปัญญาของตนมาปลดเปลื้องสิ่งที่ชนชั้นปกครองใช้ควบคุมเจ้าเอาไว้ รีบหนีเอาชีวิตรอด และช่วยตัวเองให้ปลอดภัยโดยด่วน  บางคนกล่าวว่า “ถ้าฉันหนี ฉันจะเป็นทหารหนีทัพหรือไม่?  นั่นไม่เห็นแก่ตัวหรอกหรือ?”  เจ้าไม่สามารถเป็นทหารหนีทัพ เอาแต่ระวังรักษาบ้านของตน รอให้ผู้รุกรานมาระเบิดและยึดครองบ้าน และดูว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรเมื่อถึงตอนนั้นเช่นกัน  ข้อเท็จจริงก็คือ เมื่อมีเหตุการณ์ใหญ่โตที่มีความสำคัญระดับชาติเกิดขึ้น คนธรรมดาสามัญไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกอะไรให้ตนเอง  ทุกคนทำได้แค่เฝ้ารอ เฝ้าดู และอดทนอยู่เฉยๆ กับผลลัพธ์ที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ของเหตุการณ์นี้  นี่คือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  แท้จริงแล้วนี่คือข้อเท็จจริง  ไม่ว่าในกรณีใด การหลบหนีเป็นแนวทางปฏิบัติที่มีปัญญาที่สุด  การปกป้องชีวิตของตนเองและคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ครอบครัวของตนคือความรับผิดชอบของเจ้า  หากทุกคนต้องรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน และนั่นทำให้พวกเขาทั้งหมดถูกฆ่า สิ่งที่ประเทศเหลืออยู่ย่อมมีเพียงดินแดนผืนหนึ่ง แก่นแท้ของประเทศจะยังคงดำรงอยู่หรือไม่?  “ประเทศ” ย่อมจะเป็นเพียงถ้อยคำที่ว่างเปล่าเท่านั้น ใช่หรือไม่?  ในสายตาของเผด็จการ ชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งที่มีค่าน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของพวกเขา การรุกราน การตัดสินใจ และการกระทำใดๆ ของพวกเขา แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ชีวิตมนุษย์คือสิ่งที่สำคัญที่สุด  จงปล่อยให้ผู้ที่เต็มใจเป็นทหารรับกระสุนให้เผด็จการและเต็มใจค้ำจุนจิตวิญญาณของคำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ทำคุณความดีและพลีอุทิศเพื่อนักปกครองเถิด  ผู้ที่ติดตามพระเจ้าไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องพลีอุทิศเพื่อประเทศของซาตานแต่อย่างใด  เจ้าสามารถกล่าวดังนี้ได้ด้วยว่า—ปล่อยให้เลือดเนื้อเชื้อไขที่เคร่งครัดต่อหน้าที่ของซาตานและผู้ที่ติดตามซาตาน พลีอุทิศเพื่อการปกครองของซาตาน เพื่อความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของซาตานเถิด  การปล่อยให้คนเหล่านั้นเป็นทหารสังเวยกระสุนย่อมถูกต้องแล้ว  ไม่มีใครบังคับให้คนเหล่านั้นมีความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีที่ใหญ่โตเช่นนี้  พวกเขาชอบติดตามนักปกครอง และตั้งอกตั้งใจให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อพวกมาร ต่อให้พวกเขาต้องตายเพราะสิ่งนี้ก็ตาม  ท้ายที่สุดพวกเขาย่อมกลายเป็นเหยื่อสังเวยและเครื่องตกแต่งงานศพของซาตาน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับแล้ว

เมื่อประเทศใดรุกรานอีกประเทศหนึ่ง หรือเมื่อการทำธุรกรรมที่ไม่เท่าเทียมกันกับอีกประเทศหนึ่งนำไปสู่สงคราม ท้ายที่สุดแล้วเหยื่อก็คือผู้คนทั่วไป คือทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้  ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าบางสงครามสามารถหลีกเลี่ยงได้หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถประนีประนอม ละทิ้งความมักใหญ่ใฝ่สูง ความอยากได้อยากมี และอำนาจของตน และนึกถึงการอยู่รอดของผู้คนทั่วไป  ที่จริงแล้วสงครามมากมายเกิดจากการที่นักปกครองยึดติดกับความเป็นใหญ่ของตนเอง ไม่อยากปล่อยมือหรือสูญเสียอำนาจในมือของตน แต่กลับยึดมั่นในความเชื่อของตนอย่างแน่วแน่ เกาะติดอำนาจ และติดแน่นอยู่กับผลประโยชน์ของตน  เมื่อสงครามปะทุขึ้น คนที่ตกเป็นเหยื่อก็คือชาวบ้านทั่วไป คนธรรมดาทั้งหลาย  พวกเขากระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกแห่งในช่วงสงคราม และมีความสามารถที่จะต้านทานทั้งหมดนี้ได้น้อยที่สุด  นักปกครองเหล่านี้คำนึงถึงผู้คนทั่วไปหรือไม่?  ลองจินตนาการดูเถิดว่าหากมีนักปกครองคนหนึ่งพูดว่า “ถ้าข้าพเจ้ายึดมั่นในความเชื่อและทฤษฎีของตนเอง ข้าพเจ้าอาจจะลงเอยด้วยการเริ่มสงคราม และเหยื่อก็จะเป็นคนธรรมดาสามัญ  ต่อให้ข้าพเจ้าชนะ แผ่นดินนี้ก็จะถูกอาวุธยุทโธปกรณ์ทำลายล้าง และบ้านเรือนที่ผู้คนอาศัยอยู่ก็จะถูกทำลาย แล้วในอนาคต ชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ก็จะไม่มีความสุข  เพื่อที่จะปกป้องผู้คนทั่วไป ข้าพเจ้าจะลาออก วางอาวุธ ยอมแพ้ และประนีประนอม” และหลังจากนั้นก็หลีกเลี่ยงสงครามได้  มีนักปกครองแบบนี้อยู่หรือไม่?  (ไม่มี)  อันที่จริง ผู้คนทั่วไปไม่อยากต่อสู้ และไม่อยากมีส่วนร่วมในการชิงดีชิงเด่นหรือการแข่งขันกันระหว่างกองกำลังทางการเมือง  พวกเขายอมให้นักปกครองส่งตัวไปขึ้นเขียงที่สนามรบกันทุกคน  ผู้คนที่ถูกส่งไปสนามรบทั้งหมดนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะตายหรือรอด ท้ายที่สุดก็ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาให้นักปกครองอยู่ในอำนาจต่อไป  ดังนั้นนักปกครองจึงเป็นคนที่ได้ประโยชน์สูงสุดใช่หรือไม่?  (ใช่)  ผู้คนทั่วไปสามารถได้อะไรจากสงครามบ้าง?  ผู้คนทั่วไปได้แต่ถูกสงครามล้างผลาญเท่านั้น และทุกข์ทนกับการที่บ้านเรือนของตนและถิ่นอาศัยที่พวกเขาพึ่งพาถูกทำลาย  บางคนสูญเสียครอบครัว และมีผู้คนอีกมากที่พลัดพรากจากที่อยู่และกลายเป็นคนไร้บ้าน ไม่มีวี่แววว่าจะได้หวนคืน  ถึงกระนั้น นักปกครองก็ยังกล่าวอ้างอย่างสวยหรูว่าก่อสงครามเพื่อปกป้องบ้านเรือนของผู้คนและเพื่อให้พวกเขาอยู่รอด  คำกล่าวอ้างนี้ฟังขึ้นหรือไม่?  นี่คือคำพูดไร้สาระที่ไร้ความจริงใจมิใช่หรือ?  ท้ายที่สุดก็เป็นชาวบ้านทั่วไปหรือประชาชนนั่นเองที่ทนรับผลชั่วทั้งหมดที่เกิดจากเรื่องนี้ และคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือนักปกครอง  พวกเขาสามารถปกครองประชาชนต่อไป ปกครองแผ่นดิน รักษาอำนาจไว้ในมือของตน และดำรงตำแหน่งนักปกครองที่คอยออกคำสั่งต่อไป ขณะที่คนธรรมดาสามัญมีชีวิตอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ไร้อนาคตและสิ้นหวัง  บางคนคิดว่าแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” นี้ถูกต้องอย่างแน่นอนที่สุด  พอดูแนวคิดนี้ในตอนนี้ มันถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  คำกล่าวนี้ไม่มีความถูกต้องเลยสักนิด  ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่ที่เป็นแรงจูงใจให้ซาตานปลูกฝังแนวคิดนี้ในตัวผู้คน หรือในแง่ที่เป็นอุบาย ความอยากได้อยากมี และความมักใหญ่ใฝ่สูงของนักปกครองในช่วงเวลาต่างๆ ในประวัติศาสตร์แห่งพัฒนาการของมนุษย์ หรือในแง่ที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชะตากรรมของประเทศก็ตาม คนธรรมดาสามัญ ปัจเจกบุคคล หรือกลุ่มชาติพันธุ์ใดๆ ย่อมไม่อาจควบคุมการเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ได้  ในที่สุดเหยื่อก็คือมวลชนและชาวบ้านทั่วไปที่ไม่ได้ระแวงสงสัยอะไร แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือชนชั้นปกครองของประเทศ นักปกครองที่อยู่บนสุดนั่นเอง  เมื่อประเทศเดือดร้อน พวกเขาก็ส่งคนธรรมดาไปที่แนวหน้าเพื่อใช้เป็นทหารสังเวยกระสุน  ยามที่ประเทศไม่เดือดร้อน ผู้คนทั่วไปก็คือมือที่หาเลี้ยงพวกเขา  พวกเขาหาประโยชน์จากผู้คนทั่วไป รีดเลือดจนแห้งและเกาะคนเหล่านี้กิน บีบบังคับให้ประชาชนหาเลี้ยงพวกเขา และท้ายที่สุดก็ถึงกับปลูกฝังแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ให้แก่ผู้คน และบังคับให้ผู้คนยอมรับแนวคิดนี้  ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับแนวคิดนี้ย่อมถูกตีตราว่าไม่รักชาติ  สารที่นักปกครองเหล่านี้กำลังสื่อก็คือ “การปกครองของข้าพเจ้ามีจุดประสงค์เพื่อให้พวกท่านได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข  ถ้าไม่มีการปกครองของข้าพเจ้า พวกท่านย่อมจะไม่สามารถอยู่รอดได้ ดังนั้นพวกท่านต้องทำตามที่ข้าพเจ้าบอก เป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง และพร้อมเสมอที่จะอุทิศและพลีตนเพื่อชะตากรรมของประเทศของท่าน”  ใครคือประเทศ?  ใครมีความหมายเท่ากับประเทศ?  นักปกครองมีความหมายเท่าประเทศ  ด้วยการปลูกฝังแนวคิดที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน” ให้แก่ผู้คน ในแง่หนึ่ง พวกเขากำลังบีบบังคับให้ผู้คนลุล่วงความรับผิดชอบของตนโดยไม่มีทางเลือก ไม่ลังเล หรือคัดค้านใดๆ  ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาบอกผู้คนว่าชะตากรรมของประเทศและการที่ผู้ครองประเทศจะอยู่ในอำนาจหรือถูกโค่นล้มนั้นมีความสำคัญต่อประชาชนอย่างยิ่ง ดังนั้น ผู้คนจึงต้องดูแลปกป้องทั้งประเทศและผู้ครองประเทศ เพื่อรับประกันว่าการดำรงอยู่ของตนจะเป็นปกติ  แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  เห็นได้ชัดทีเดียวว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้  นักปกครองที่ไม่สามารถนบนอบพระเจ้า ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ หรือทำงานเพื่อผู้คนทั่วไป จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ และจะไม่ใช่นักปกครองที่ดี  หากนักปกครองเอาแต่ไล่ตามไขว่คว้าผลประโยชน์ของตนเอง ทำตัวเหนือผู้คนตามใจชอบ รีดเหงื่อและสูบเลือดจากพวกเขาเหมือนปรสิต แทนที่จะกระทำการเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั่วไป เช่นนั้นแล้วนักปกครองดังกล่าวก็คือเหล่าซาตานและหมู่มาร และไม่สมควรได้รับการสนับสนุนจากประชาชนไม่ว่านักปกครองจะมีอำนาจเพียงใดก็ตาม  หากประเทศไม่มีนักปกครองเช่นนี้ ประเทศจะดำรงอยู่ได้หรือไม่?  ชีวิตของประชาชนจะดำรงอยู่ได้หรือไม่?  ทั้งประเทศและประชาชนย่อมจะดำรงอยู่ได้เหมือนเดิม และประชาชนก็อาจมีชีวิตที่ดีกว่าด้วยซ้ำ  หากผู้คนมองเห็นอย่างชัดเจนถึงแก่นแท้ของคำถามที่ว่าภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่ตนมีต่อประเทศของตนควรเป็นอย่างไร เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในประเทศใด ก็ควรมีทัศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเด็นปัญหาใหญ่ๆ ในประเทศนั้น รวมทั้งประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการเมืองและชะตากรรมของประเทศนั้นๆ  เมื่อเกิดทัศนะที่ถูกต้องเหล่านี้ เจ้าก็จะสามารถเลือกได้อย่างถูกต้องในเรื่องที่เกี่ยวพันกับชะตากรรมของประเทศ  สำหรับเรื่องของชะตากรรมของประเทศ โดยพื้นฐานแล้วพวกเจ้าเข้าใจความจริงที่ผู้คนควรเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)

เราได้สามัคคีธรรมไปมากมายเกี่ยวกับคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบชะตากรรมของประเทศของตน”  ส่วนเรื่องของมโนทัศน์เกี่ยวกับประเทศ อิทธิพลที่คำว่า “ประเทศ” มีต่อผู้คนในสังคม ความรับผิดชอบอะไรบ้างที่ผู้คนควรมีต่อประเทศและชนชาติของตนเมื่อพูดถึงเรื่องชะตากรรมของประเทศ พวกเขาควรเลือกสิ่งใด และพระเจ้าทรงกำหนดให้มวลมนุษย์ทำเช่นไรในเรื่องนี้ เราสามัคคีธรรมเรื่องทั้งหมดนี้เอาไว้ชัดเจนหรือไม่?  (ชัดเจน)  เช่นนั้นแล้วสามัคคีธรรมของพวกเราในวันนี้ก็จบลงตรงนี้

11 มิถุนายน ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (12)

ถัดไป: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (14)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger