การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (12)

ในการชุมนุมคราวที่แล้วเราสามัคคีธรรมเรื่องใดไป ใครพอจะบอกพวกเราได้บ้าง?  (คราวที่แล้วพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงสองแง่มุม  แง่มุมหนึ่งคือเมื่อมีเหตุการณ์อันเฉพาะเจาะจงบางเหตุการณ์เกิดขึ้นในคริสตจักรในช่วงเวลาที่ต่างกันหรือช่วงระยะที่ต่างกัน—ตัวอย่างเช่น บางคนถูกจับกุมโดยพญานาคใหญ่สีแดง ผู้นำและคนทำงานบางคนถูกเปลี่ยนตัว บางคนเจ็บป่วย และบางคนเผชิญปัญหาที่ชี้เป็นชี้ตาย—เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ และพวกเราจำเป็นต้องแสวงหาความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้  พระเจ้ายังทรงถ่ายทอดเส้นทางในการปฏิบัติบางส่วนอีกด้วย  เมื่อเผชิญสภาพการณ์เหล่านี้ พวกเราควรปฏิบัติตามสองสิ่ง สิ่งแรกคือตั้งตนอยู่ในที่ที่ถูกต้องเหมาะสมของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง สิ่งที่สองคือมีหัวใจที่จริงใจและนบนอบ—ไม่ว่าจะเผชิญการพิพากษาและการตีสอน บททดสอบและการถลุง หรือพระคุณและพระพร พวกเราก็ควรยอมรับทั้งหมดนี้จากพระเจ้า  นอกจากนี้สามัคคีธรรมของพระเจ้ายังชำแหละคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมคำกล่าวหนึ่ง นั่นก็คือ “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ”)  ปัญหาเกี่ยวกับคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมก็เป็นหัวข้อหลักของสามัคคีธรรมคราวก่อนเช่นกัน  เราได้สามัคคีธรรมถึงหัวข้อนี้มานาน ด้วยการเปิดโปงคำกล่าว ข้อพึงประสงค์และนิยามโดยทั่วไปของความประพฤติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิม  เมื่อได้สามัคคีธรรมถึงหัวข้อเหล่านี้แล้ว พวกเจ้ามีความเข้าใจใหม่และนิยามใหม่ใดๆ เกี่ยวกับคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมเหล่านี้หรือไม่?  พวกเจ้าแยกแยะถ้อยแถลงเหล่านี้ตามสิ่งที่เป็น และเห็นถึงแก่นแท้ของถ้อยแถลงเหล่านี้โดยชัดเจนหรือไม่?  เจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านี้จากก้นบึ้งของหัวใจของเจ้า ละทิ้งสิ่งเหล่านี้ เลิกสับสนสิ่งเหล่านี้กับความจริง รวมถึงเลิกมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นบวก เลิกไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ในฐานะความจริง และเลิกทำตามสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญบางเรื่องที่สัมพันธ์กับคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมในชีวิตประจำวัน เจ้ามีความตระหนักรู้อยู่ในตัวหรือไม่ และเจ้าสามารถคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนได้หรือไม่ว่าเจ้ายังคงได้รับอิทธิพลจากคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมเหล่านี้อยู่หรือเปล่า?  เจ้าถูกสิ่งเหล่านี้ผูกมัด พันธนาการ และควบคุมอยู่หรือไม่?  ในใจเจ้ายังสามารถใช้คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมมาจำกัดตัวเจ้าเองและส่งผลต่อคำพูดและพฤติกรรมของเจ้า รวมถึงท่าทีที่เจ้ามีต่อสิ่งทั้งหลายอยู่หรือไม่?  จงแบ่งปันความคิดเห็นของพวกเจ้าเถิด  (ก่อนหน้าที่พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมและชำแหละวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้น ข้าพระองค์ไม่ตระหนักว่าแนวคิดและทัศนะเกี่ยวกับความประพฤติทางศีลธรรมเหล่านี้ไม่ถูกต้อง หรือสิ่งเหล่านี้จะสร้างความเสียหายแก่ข้าพระองค์ในรูปแบบใดบ้าง แต่ตอนนี้ข้าพระองค์มีความตระหนักอยู่บ้างแล้ว)  การที่เจ้ามีความตระหนักอยู่บ้างเป็นเรื่องที่ดี  แน่นอนว่าหลังจากผ่านไปสักระยะ เจ้าก็ควรจะสามารถดูข้อผิดพลาดของคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมเหล่านี้ออก  จากมุมมองส่วนตัวแล้ว เจ้าน่าจะสามารถละทิ้งและเลิกมองว่าคำกล่าวเหล่านี้คือสิ่งที่เป็นบวกได้ด้วยเช่นกัน แต่จากมุมมองตามจริง ในชีวิตประจำวันเจ้ายังจำเป็นต้องรับรู้ ขุดคุ้ย และแยกแยะคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมดังกล่าวโดยละเอียดถี่ถ้วน เพื่อที่เจ้าจะได้มองคำกล่าวเหล่านี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่งและละทิ้งคำกล่าวเหล่านี้ไปได้  การตระหนักรู้จากมุมมองส่วนตัวไม่ได้หมายความว่าเจ้าสามารถละทิ้งแนวคิดและทัศนะที่ผิดพลาดของวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ในชีวิตประจำวันได้  เมื่อเผชิญสิ่งเหล่านั้น เจ้าอาจจะพลันรู้สึกว่าคำกล่าวเหล่านี้มีเหตุผล และไม่สามารถละทิ้งคำกล่าวเหล่านี้โดยสิ้นเชิงได้  ในกรณีเช่นนี้เจ้าต้องแสวงหาความจริงในประสบการณ์ของตน ชำแหละทัศนะที่ผิดพลาดของวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนตามพระวจนะของพระเจ้า และไปถึงจุดที่เจ้าสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแก่นแท้ของคำกล่าวจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านั้นขัดกับความจริง ไม่สมจริง ชักพาให้หลงผิด และเป็นภัยต่อผู้คน  มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่พิษร้ายของทัศนะอันไร้สาระเหล่านี้จะถูกกำจัดไปจากหัวใจของเจ้าได้อย่างครบถ้วนถาวร  ขณะนี้พวกเจ้าตระหนักถึงช่องโหว่ของคำกล่าวทั้งหลายจากวัฒนธรรมดั้งเดิมในแง่ของคำสอนแล้ว นี่เป็นเรื่องดี ทว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น  ส่วนอิทธิพลอันเป็นพิษของวัฒนธรรมดั้งเดิมจะถูกกำจัดออกไปได้โดยสิ้นซากหรือไม่ในอนาคต ก็ย่อมขึ้นอยู่กับวิธีที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริง

ไม่ว่าจะเป็นคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมคำใดก็ตาม นี่คือมุมมองเชิงอุดมคติประเภทหนึ่งในเรื่องความประพฤติทางศีลธรรมที่มนุษยชาติให้การสนับสนุน  ก่อนหน้านี้พวกเราได้เผยถึงแก่นแท้ของคำกล่าวต่างๆ ด้านความประพฤติทางศีลธรรมไปพอสมควร แต่นอกจากแง่มุมทั้งหลายที่พวกเราสามัคคีธรรมไว้ก่อนหน้านี้ แน่นอนว่ายังมีคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมอีกมากที่ควรถูกเผยให้เห็นเพื่อให้เกิดความเข้าใจและวิจารณญาณที่ลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมมากมายที่มนุษย์ให้การสนับสนุน  นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรทำ  สำหรับคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมที่ว่า “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ” ที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงเมื่อคราวก่อนนั้น  เมื่อตัดสินจากความหมายก็พบว่าประโยคนี้มุ่งเป้าไปที่ผู้ชายเป็นหลัก  นี่คือข้อพึงประสงค์ที่มีต่อผู้ชาย ทั้งยังเป็นมาตรฐานสำหรับสิ่งที่มนุษยชาติเรียกว่า “ลูกผู้ชายอกสามศอก” อีกด้วย  พวกเราได้เปิดโปงและชำแหละมาตรฐานนี้ที่เกี่ยวกับผู้ชายไป  นอกจากข้อพึงประสงค์นี้ที่มีต่อผู้ชายแล้วยังมีอีกคำกล่าวหนึ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงไปก่อนหน้านี้และถูกเสนอขึ้นมาในเรื่องของผู้หญิง นั่นคือ “ผู้หญิงต้องเป็นกุลสตรี จิตใจดี อ่อนโยน และมีศีลธรรม”  จากคำกล่าวสองประโยคนี้ เห็นได้ชัดว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมของมนุษยชาติไม่เพียงเสนอข้อพึงประสงค์ต่อผู้หญิงที่ไม่สมจริงและไร้มนุษยธรรม ทั้งยังขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์เท่านั้น ทว่าผู้ชายก็ไม่ได้รับการยกเว้น ด้วยการเสนอคำกล่าวอ้างและข้อเรียกร้องเกี่ยวกับพวกเขาโดยไร้ศีลธรรม ไร้มนุษยธรรม และขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงไม่เพียงลิดรอนสิทธิมนุษยชนของผู้หญิงเท่านั้น แต่ลิดรอนสิทธิมนุษยชนของผู้ชายด้วยเช่นกัน  จากมุมมองนี้ การทำตัวเป็นกลางด้วยการไม่ใจดีกับผู้หญิงและไม่ยกเว้นให้ผู้ชายนั้นดูเป็นธรรม  อย่างไรก็ตามเมื่อตัดสินจากข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีต่อผู้หญิงและผู้ชาย ก็เห็นได้ชัดว่าแนวทางนี้มีปัญหาที่ร้ายแรงอยู่  ถึงแม้ในแง่หนึ่ง วัฒนธรรมดั้งเดิมได้เสนอมาตรฐานด้านความประพฤติทางศีลธรรมแก่ผู้หญิง และในทางกลับกันก็ตั้งหลักเกณฑ์ความประพฤติของลูกผู้ชายอกสามศอกด้วย แต่เมื่อตัดสินจากข้อพึงประสงค์และมาตรฐานเหล่านี้ก็เห็นได้ชัดว่าไร้ซึ่งความเป็นธรรม  กล่าวเช่นนั้นมิได้หรือ?  (ได้)  ข้อพึงประสงค์และมาตรฐานด้านความประพฤติทางศีลธรรมของผู้หญิงเหล่านี้จำกัดเสรีภาพผู้หญิงอย่างร้ายแรง ไม่เพียงแต่พันธนาการความคิดของผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังผูกมัดขาของพวกเธอด้วยการเรียกร้องให้พวกเธออยู่กับบ้านและใช้ชีวิตอันโดดเดี่ยว ไม่ออกจากบ้านและติดต่อกับโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย  นอกจากตักเตือนผู้หญิงให้ทำตัวเป็นกุลสตรี จิตใจดี อ่อนโยน และมีศีลธรรมแล้ว คำกล่าวเหล่านี้ถึงขั้นกำหนดข้อบังคับที่เข้มงวดให้กับขอบเขตการกระทำและกรอบการใช้ชีวิตของผู้หญิงด้วยการพึงให้พวกเธอไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะ ไม่เดินทางไกล และไม่ประกอบอาชีพใดทั้งสิ้น นับประสาอะไรกับการมีความทะเยอทะยาน ความมุ่งมาดปรารถนา และอุดมคติอันยิ่งใหญ่ และไปถึงขั้นนำเสนอคำกล่าวอ้างที่ไร้มนุษยธรรมกว่าเดิม—นั่นคือ จรรยาในสตรีคือการไร้ความสามารถ  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้?  คำกล่าวอ้างที่ว่า “จรรยาในสตรีคือการไร้ความสามารถ” เป็นจริงโดยแท้งั้นหรือ?  การเป็นคนไร้ความสามารถจะเป็นจรรยาในผู้หญิงได้อย่างไร?  คำว่า “จรรยา” คืออะไรกันแน่?  คำนี้หมายถึงการไร้จรรยา หรือการเป็นผู้มีจรรยาเล่า?  หากผู้หญิงทุกคนที่ไร้ความสามารถถูกมองว่าเป็นผู้มีจรรยา เช่นนั้นแล้วผู้หญิงทุกคนที่มีความสามารถก็ไร้จรรยาและขาดศีลธรรมงั้นหรือ?  นี่คือการตัดสินและกล่าวโทษผู้หญิงที่มีความสามารถใช่หรือไม่?  นี่เป็นการลิดรอนสิทธิมนุษยชนของผู้หญิงอย่างร้ายแรงใช่หรือไม่?  นี่คือการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของผู้หญิงใช่หรือไม่?  (ใช่)  คำกล่าวนี้ไม่เพียงเมินเฉยต่อการมีอยู่ของผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังมองข้ามการมีอยู่ของพวกเธออีกด้วย ซึ่งนี่ไม่เป็นธรรมต่อผู้หญิงและเป็นสิ่งที่ไร้ศีลธรรม  ดังนั้นแล้วพวกเจ้าคิดอย่างไรกับคำกล่าวที่ว่า “จรรยาในสตรีคือการไร้ความสามารถ”?  คำกล่าวนี้ไร้มนุษยธรรมใช่หรือไม่?  (ใช่)  คำว่า “ไร้มนุษยธรรม” ควรถูกตีความอย่างไร?  สิ่งนี้ไร้ซึ่งคุณธรรมใช่หรือไม่?  (ใช่)  คำกล่าวนี้ไร้คุณธรรมอย่างร้ายแรง  การใช้ภาษิตจีนนับเป็นสิ่งที่ไร้คุณธรรมแปดชั่วอายุ  แน่นอนว่าคำอ้างประเภทนี้ย่อมไร้มนุษยธรรม!  ผู้ที่ป่าวประกาศคำกล่าวอ้างที่ว่า “จรรยาในสตรีคือการไร้ความสามารถ” ซ่อนเร้นแรงจูงใจและเป้าประสงค์แอบแฝงเอาไว้ พวกเขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงมีความสามารถ และพวกเขาก็ไม่ต้องการให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในงานของสังคมและยืนหยัดทัดเทียมกับผู้ชาย  พวกเขาต้องการให้ผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องมือในการปรนนิบัติผู้ชาย และไม่ทำอย่างอื่นนอกจากรอผู้ชายอยู่ที่บ้านอย่างว่านอนสอนง่ายเท่านั้น—พวกเขาคิดว่านี่คือความหมายของคำว่า “มีจรรยา”  พวกเขาโหยหาที่จะนิยามผู้หญิงว่าไร้ประโยชน์ และปฏิเสธคุณค่าของพวกเธอ เปลี่ยนพวกเธอให้กลายเป็นเพียงทาสของผู้ชาย และทำให้พวกเธอรับใช้ผู้ชายไปตลอดกาลโดยไม่อนุญาตให้พวกเธอยืนหยัดทัดเทียมผู้ชายและชื่นชมยินดีกับการปฏิบัติที่เท่าเทียมเลย  มุมมองนี้มาจากความคิดที่เป็นปกติของมนุษย์หรือมาจากซาตาน?  (มาจากซาตาน)  ถูกต้อง มุมมองนี้ต้องมาจากซาตาน  ไม่ว่าผู้หญิงมีจุดอ่อนทางสัญชาตญาณหรือทางร่างกายอย่างไร สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาเลย และไม่ควรกลายเป็นข้ออ้างหรือเหตุผลให้ผู้ชายว่าร้ายผู้หญิง ดูถูกศักดิ์ศรีของผู้หญิง หรือลิดรอนเสรีภาพหรือสิทธิมนุษยชนของผู้หญิง  ในสายพระเนตรของพระเจ้า จุดอ่อนและความบอบบางโดยกำเนิดที่ผู้คนผูกโยงกับผู้หญิงนั้นไม่ใช่ปัญหา  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะผู้หญิงถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ที่ผู้คนมองว่าเป็นจุดอ่อนและเป็นปัญหาย่อมมาจากพระเจ้าอย่างแน่นอน  นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า และอันที่จริงก็ไม่ใช่ข้อตำหนิหรือปัญหา  สิ่งที่ดูเหมือนเป็นจุดอ่อนและข้อตำหนิในสายตาของมนุษย์และซาตาน โดยแท้แล้วคือสิ่งที่เป็นธรรมชาติและเป็นบวก ทั้งยังสอดคล้องกับกฎธรรมชาติที่พระเจ้าทรงบัญญัติไว้ตอนที่พระองค์ทรงสร้างมนุษยชาติอีกด้วย  มีเพียงซาตานเท่านั้นที่สามารถหมิ่นประมาทสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างในหนทางนี้ได้ โดยถือว่าสิ่งทั้งหลายที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เป็นข้อตำหนิ จุดอ่อน และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความบกพร่องทางสัญชาตญาณ วิตกกังวลอย่างไร้เหตุผลกับสิ่งเหล่านี้ และใช้สิ่งเหล่านี้ในการว่าร้าย เยาะเย้ย ด้อยค่า และคว่ำบาตรผู้คน รวมถึงลิดรอนสิทธิในการดำรงอยู่ของผู้หญิง สิทธิในการลุล่วงหน้าที่และภาระผูกพันของพวกเธอในหมู่มนุษยชาติ ทั้งยังลิดรอนสิทธิในการแสดงทักษะและความสามารถพิเศษของพวกเธอในหมู่มนุษยชาติอีกด้วย  ตัวอย่างเช่น คำว่า “นางอาย” หรือ “สาวน้อย” มักจะถูกใช้ในสังคมเพื่ออธิบายถึงผู้หญิงและเพื่อด้อยค่าพวกเธอว่าไร้ค่า  คำในทำนองนั้นมีคำว่าอะไรอีก?  “ฉอเลาะ” “ผมยาวแต่มองอะไรสั้นๆ” “นมโตแต่ไร้สมอง” และอื่นๆ ทั้งหมดนี้คือคำที่ใช้ดูถูกผู้หญิง  เจ้าสามารถกล่าวได้ว่าคำเหล่านี้ถูกใช้เพื่อดูถูกผู้หญิงด้วยการอ้างอิงถึงลักษณะเด่นของพวกเธอหรือคำเรียกที่เกี่ยวข้องกับเพศหญิง  เห็นได้ชัดว่าสังคมและเผ่าพันธุ์มนุษย์มองผู้หญิงจากมุมมองที่ต่างจากการมองผู้ชายโดยสิ้นเชิง ทั้งยังเป็นมุมมองที่ไม่เท่าเทียมอีกด้วย  สิ่งนี้ไม่เป็นธรรมมิใช่หรือ?  นี่ไม่ใช่การพูดหรือมองเรื่องต่างๆ จากรากฐานของความเท่าเทียมระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง แต่กลับเป็นการมองผู้หญิงอย่างสบประมาทจากมุมมองของสังคมปิตาธิปไตย และมุมมองของความไม่เท่าเทียมโดยสิ้นเชิงระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง  ด้วยเหตุนั้น ในสังคมหรือในบรรดามนุษย์จึงมีถ้อยคำมากมายที่อ้างอิงลักษณะเด่นของผู้หญิงและคำเรียกผู้หญิงเกิดขึ้นมาเพื่ออธิบายปัญหาต่างๆ นานาที่เกี่ยวข้องกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย  ตัวอย่างเช่นคำว่า “นางอาย” “สาวน้อย” “ฉอเลาะ” รวมถึง “ผมยาวแต่มองอะไรสั้นๆ” “นมโตแต่ไร้สมอง” ที่พวกเราเพิ่งกล่าวถึงนั้นถูกผู้คนนำมาใช้ ไม่เพียงเพื่ออธิบายถึงผู้หญิงและพุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังเพื่อเยาะเย้ย เหยียดหยาม และเปิดโปงผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาดูหมิ่น โดยใช้คำที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของผู้หญิงและความเป็นเพศหญิงอีกด้วย  สิ่งนี้เหมือนตอนที่อธิบายว่าใครบางคนขาดพร่องความเป็นมนุษย์ คนเราอาจจะกล่าวว่าบุคคลนี้เป็นคนใจไม้ไส้ระกำ เพราะผู้คนคิดว่าทั้งใจไม้และไส้ระกำไม่ใช่สิ่งที่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงนำทั้งสองสิ่งนี้มารวมกันเพื่ออธิบายว่าคนที่สูญสิ้นความเป็นมนุษย์นั้นเลวร้ายแค่ไหน  ในทำนองเดียวกัน เพราะมนุษย์ดูหมิ่นผู้หญิงและเมินเฉยต่อการมีอยู่ของพวกเธอ พวกเขาจึงใช้คำพูดบางอย่างที่เกี่ยวกับผู้หญิงเพื่ออธิบายถึงผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาดูหมิ่น  เห็นได้ชัดว่านี่คือการด้อยค่าเพศหญิง  มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ?  (เป็นเช่นนี้)  อย่างไรก็ตาม วิธีที่เผ่าพันธุ์มนุษย์และสังคมมองและนิยามผู้หญิงก็ไม่ยุติธรรมและขัดกับข้อเท็จจริง  สรุปคือท่าทีที่มนุษยชาติมีต่อผู้หญิงสามารถอธิบายได้ในสองคำ กล่าวคือ “ด้อยค่า” และ “กดทับ”  ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ลุกขึ้นมาทำสิ่งต่างๆ และลุล่วงภาระผูกพันและความรับผิดชอบทางสังคมใดๆ ทั้งสิ้น นับประสาอะไรกับการมีบทบาทในสังคม  โดยสรุปก็คือ ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านเพื่อไปมีส่วนร่วมในงานใดๆ ในสังคม—นี่เป็นการลิดรอนสิทธิของผู้หญิง  ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้คิดฝันได้อย่างเสรีและพูดอย่างอิสระ นับประสาอะไรกับการกระทำอย่างอิสระ และพวกเธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเธอควรทำ  นี่คือการข่มเหงผู้หญิงมิใช่หรือ?  (ใช่)  การข่มเหงผู้หญิงโดยวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นเห็นได้ชัดจากข้อพึงประสงค์ด้านความประพฤติทางศีลธรรมที่มีต่อพวกเธอ  เมื่อดูที่ข้อพึงประสงค์นานาประการที่ครอบครัว สังคม และชุมชนมีต่อผู้หญิง การข่มเหงผู้หญิงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อมีการก่อตั้งชุมชนขึ้นเป็นครั้งแรกและผู้คนขีดเส้นแบ่งระหว่างเพศไว้อย่างชัดเจน  สิ่งนี้มาถึงจุดสูงสุดเมื่อไรหรือ?  การข่มเหงผู้หญิงมาถึงจุดสูงสุดหลังจากที่คำกล่าวและข้อพึงประสงค์ด้านความประพฤติทางศีลธรรมนานาประการในวัฒนธรรมดั้งเดิมค่อยๆ ถือกำเนิดขึ้น  เนื่องจากมีข้อบังคับที่ถูกเขียนไว้และมีคำกล่าวที่ชัดเจน ข้อบังคับที่ถูกเขียนไว้และคำกล่าวที่ชัดเจนเหล่านี้ในสังคมจึงได้หล่อหลอมมติมหาชนและยังเกิดเป็นกำลังบังคับรูปแบบหนึ่งอีกด้วย  มติมหาชนและกำลังบังคับนี้ได้กลายเป็นกรงขังและโซ่ตรวนที่ไม่ปรานีสำหรับผู้หญิง ผู้ซึ่งทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมของตัวเอง เพราะการใช้ชีวิตท่ามกลางมนุษยชาติและในสังคมยุคต่างๆ ผู้หญิงทำได้เพียงสู้ทนความไม่ยุติธรรมและทนทุกข์กับการดูถูก นอบน้อม กลายเป็นทาสของสังคม และแม้กระทั่งทาสของผู้ชาย  จนถึงวันนี้ แนวคิดและคำกล่าวที่มีมานานแต่โบราณซึ่งนำเสนอเรื่องของความประพฤติทางศีลธรรมยังคงมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อสังคมมนุษย์สมัยใหม่ รวมถึงผู้ชาย และแน่นอนว่าผู้หญิงด้วย  ผู้หญิงใช้คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมและความคิดเห็นส่วนใหญ่ของสังคมเหล่านี้มาตีกรอบตัวเองโดยไม่ตั้งใจและไม่รู้ตัว และแน่นอนว่าจิตใต้สำนึกของพวกเธอก็ดิ้นรนที่จะหลุดพ้นจากกรงขังและพันธนาการเหล่านี้เช่นกัน  อย่างไรก็ตาม เพราะผู้คนไร้ซึ่งแรงต้านทานต่อกำลังบังคับอันทรงพลังของมติมหาชนในสังคม—หรือพูดให้ถูกต้องขึ้นอีกก็คือ มนุษย์ไม่อาจเห็นถึงแก่นแท้ของคำกล่าวต่างๆ ในวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างชัดเจน และไม่อาจมองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง—พวกเขาจึงไม่สามารถหลุดพ้นและก้าวออกจากโซ่ตรวนและกรงขังเหล่านี้ได้ ถึงแม้พวกเขาปรารถนาที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม  ในระดับบุคคล นี่เป็นเพราะผู้คนไม่สามารถมองเห็นปัญหาเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ส่วนในระดับความเป็นจริงนั้น เรื่องนี้เป็นเพราะผู้คนไม่เข้าใจความจริงและไม่เข้าใจว่าความหมายในการทรงสร้างผู้คนของพระผู้สร้างคืออะไรกันแน่ หรือเหตุใดพระองค์จึงทรงสร้างสัญชาตญาณของเพศชายและเพศหญิง  ด้วยเหตุนี้ ทั้งผู้ชายและผู้หญิงจึงใช้ชีวิตและดำรงอยู่ภายใต้กรอบที่กว้างขวางของศีลธรรมทางสังคม และไม่ว่าพวกเขาดิ้นรนอย่างหนักแค่ไหนในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่กว้างใหญ่นี้ พวกเขาก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากโซ่ตรวนของคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิม คำกล่าวซึ่งกลายเป็นพันธนาการที่มองไม่เห็นอยู่ในใจของคนแต่ละคนได้

บรรดาคำกล่าวที่ข่มเหงผู้หญิงในวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นเปรียบเหมือนโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น ไม่เพียงต่อผู้หญิงเท่านั้น แต่แน่นอนว่าต่อผู้ชายด้วย  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนั้นหรือ?  เพราะการเกิดมาท่ามกลางมนุษยชาติและเกิดมาเป็นสมาชิกที่มีความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันในสังคมนี้ ผู้ชายจึงถูกปลูกฝังและได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมดั้งเดิมในเรื่องของศีลธรรมเช่นเดียวกัน  สิ่งเหล่านี้ยังฝังรากลึกในใจของผู้ชายทุกคน และพวกเขาก็ล้วนได้รับอิทธิพลและถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมผูกมัดโดยไม่รู้ตัวด้วย  ตัวอย่างเช่น ผู้ชายก็ปักใจเชื่อในคำพูดอย่าง “นางอาย” “จรรยาในสตรีคือการไร้ความสามารถ” “ผู้หญิงต้องเป็นกุลสตรี จิตใจดี อ่อนโยน และมีศีลธรรม” และ “ผู้หญิงควรถือพรหมจรรย์” รวมถึงถูกจำกัดจากสิ่งเหล่านี้ในวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างลึกซึ้งเช่นเดียวกับผู้หญิง  ในแง่หนึ่ง บรรดาคำกล่าวที่ข่มเหงผู้หญิงนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่งและช่วยยกระดับสถานะของผู้ชาย และจากสิ่งนี้ย่อมเห็นได้ว่า ในสังคมนั้น ผู้ชายได้รับความช่วยเหลืออย่างใหญ่หลวงจากมติมหาชนในเรื่องนี้  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยอมรับความคิดเห็นและคำพูดที่ข่มเหงผู้หญิงเหล่านี้อย่างง่ายดาย  ในทางกลับกัน ผู้ชายก็ได้รับอิทธิพลและถูกหลักศีลธรรมเหล่านี้จากวัฒนธรรมดั้งเดิมชักพาให้หลงผิดเช่นกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้เช่นกันว่า นอกจากผู้หญิงแล้ว ผู้ชายก็เป็นเหยื่อของกระแสธารแห่งวัฒนธรรมดั้งเดิม  มีบางคนกล่าวว่า “สังคมโดยส่วนใหญ่สนับสนุนสิทธิสูงสุดของผู้ชาย เหตุใดจึงกล่าวว่าผู้ชายก็เป็นเหยื่อเช่นกันล่ะ?”  เรื่องนี้ต้องมองจากมุมมองที่มนุษยชาติถูกทดลอง ถูกชี้นำแบบผิดๆ ถูกชักพาให้หลงผิด ถูกทำให้สับสนมึนงง และถูกจำกัดจากวัฒนธรรมดั้งเดิมในเรื่องของศีลธรรมเป็นแน่  ผู้หญิงได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแนวคิดในเรื่องของศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิม ส่วนผู้ชายก็ถูกชักพาให้หลงผิดและทนทุกข์อย่างดิ่งลึกจากสิ่งเหล่านี้เช่นเดียวกัน  คำว่า “ชักพาให้หลงผิด” ในอีกนัยหนึ่งหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าผู้คนไม่มีมุมมองที่ถูกต้องในเรื่องของการประเมินผู้ชายและนิยามผู้หญิง  ไม่ว่าพวกเขามองสิ่งเหล่านี้จากแง่มุมใด ทั้งหมดล้วนอ้างอิงจากวัฒนธรรมดั้งเดิม ไม่ใช่ความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงหรือกฎและเกณฑ์ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงบัญญัติเพื่อมวลมนุษย์ ทั้งยังไม่ได้อ้างอิงจากสิ่งอันเป็นบวกทั้งหลายที่พระองค์ทรงเผยให้มวลมนุษย์เห็น  จากมุมมองนี้ ผู้ชายก็เป็นเหยื่อที่ถูกทดลอง ถูกชี้นำแบบผิดๆ ถูกชักพาให้หลงผิด ถูกทำให้สับสนมึนงง และถูกจำกัดจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเช่นกัน  ด้วยเหตุนี้ ผู้ชายจึงไม่ควรมองว่าผู้หญิงน่าเวทนาเหลือแสนเพียงเพราะพวกเธอไม่มีสถานะในสังคมนี้ และไม่ควรกระหยิ่มยิ้มย่องเพียงเพราะพวกเขามีสถานะทางสังคมที่สูงกว่าผู้หญิง  อย่ารีบชื่นบานยินดีเกินไป ด้วยที่จริงแล้วผู้ชายก็น่าเวทนามากเช่นกัน  หากเจ้าเปรียบเทียบผู้ชายกับผู้หญิง พวกเขาต่างก็น่าเวทนาพอกัน  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาน่าเวทนาพอกัน?  พวกเรามาดูสิ่งที่สังคมและมนุษยชาตินิยามและประเมินผู้ชาย รวมถึงดูความรับผิดชอบบางอย่างที่พวกเขาได้รับมอบหมายกันอีกครั้งหนึ่งเถิด  ในเรื่องของข้อพึงประสงค์ที่มนุษยชาติมีต่อผู้ชายที่พวกเราสามัคคีธรรมกันคราวก่อน—ที่ว่า “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ”—เป้าหมายสูงสุดของข้อพึงประสงค์นี้คือเพื่อนิยามผู้ชายว่าเป็นผู้ชายอกสามศอก ซึ่งถือเป็นการกำหนดโดยมาตรฐานสำหรับผู้ชาย  เมื่อผู้ชายแบกรับการกำหนดว่าเป็น “ลูกผู้ชายอกสามศอก” แน่นอนว่าเขาพึงต้องใช้ชีวิตให้ได้ตามชื่อนั้น และหากเขาต้องการใช้ชีวิตให้ได้ตามชื่อนั้น เขาก็ต้องทำการพลีอุทิศโดยไร้จุดหมายมากมายและทำหลายสิ่งที่ขัดต่อความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าเป็นผู้ชาย และเจ้าต้องการให้สังคมยอมรับเจ้าว่าเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่สามารถมีจุดอ่อนใดๆ ได้ เจ้าไม่สามารถขี้ขลาดได้เลย เจ้าต้องมีเจตจำนงหนักแน่น เจ้าไม่สามารถพร่ำบ่นว่าเหนื่อย ไม่สามารถร้องไห้ หรือแสดงความอ่อนแอของมนุษย์ออกมาได้ เจ้าไม่สามารถเศร้าเสียใจ และไม่สามารถหย่อนยานได้ด้วยซ้ำ  เจ้าต้องมีแววตาที่เป็นประกายอยู่ตลอดเวลา มีสีหน้าที่มุ่งมั่นและไม่หวาดกลัว และเจ้าก็ต้องสามารถเคียดแค้นศัตรูของเจ้าเพื่อจะใช้ชีวิตให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็น “ลูกผู้ชายอกสามศอก”  กล่าวคือ เจ้าต้องรวบรวมความกล้าหาญและอกผายไหล่ผึ่งในชีวิตนี้  เจ้าไม่สามารถเป็นคนธรรมดาสามัญ เป็นคนทั่วไป หรือเป็นคนที่ไม่โดดเด่นได้  เจ้าต้องเป็นมากกว่าเพียงปุถุชนคนธรรมดา ต้องเป็นยอดมนุษย์ที่มีความตั้งใจมากเป็นพิเศษและมีความอุตสาหะ ความอดทน และแรงใจที่ไม่ธรรมดาจะได้คู่ควรกับการแปะป้ายว่าเป็น “ลูกผู้ชายอกสามศอก”  นี่เป็นเพียงหนึ่งในข้อพึงประสงค์ของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีต่อผู้ชาย  กล่าวคือ ผู้ชายสามารถเที่ยว กินดื่ม ซื้อประเวณี และเล่นการพนันได้ แต่พวกเขาต้องแข็งแกร่งกว่าผู้หญิงและมีความตั้งใจที่หนักแน่นมาก  ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องไม่ยอมจำนน ถอยหนี หรือพูดว่า “ไม่” และเจ้าต้องไม่แสดงความหวาดหวั่น ความหวาดกลัว หรือความขี้ขลาด  เจ้าต้องซ่อนและปิดบังการสำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติเหล่านี้ไว้ และต้องไม่เผยมันออกมาเด็ดขาด รวมถึงไม่ให้ใครเห็นสิ่งเหล่านี้แม้กระทั่งพ่อแม่ของเจ้าเอง ญาติพี่น้องที่สนิทที่สุด หรือผู้คนที่เจ้ารักมากที่สุด  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะเจ้าต้องการเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกนั่นเอง  ลักษณะนิสัยอีกประการหนึ่งของลูกผู้ชายอกสามศอกก็คือไม่มีบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใดสามารถขัดขวางความแน่วแน่ของพวกเขาได้  เมื่อไรก็ตามที่ผู้ชายคนหนึ่งต้องการทำอะไรบางอย่าง—เมื่อเขามีความมุ่งมาดปรารถนา แนวคิด หรือความปรารถนาใดๆ อย่างเช่น การรับใช้ประเทศของตนเอง การแสดงความจงรักภักดีต่อเพื่อนของเขา หรือการรับกระสุนแทนคนเหล่านั้น หรือเมื่อมีอาชีพใดที่เขาต้องการจะทำ หรือความทะเยอทะยานใดก็ตามที่เขามี ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด—ก็ไม่มีผู้ใดสามารถฉุดรั้งเขาได้ และความรักที่เขามีต่อผู้หญิง  รวมถึงญาติพี่น้อง ครอบครัว หรือความรับผิดชอบทางสังคมก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความแน่วแน่ของเขา และไม่สามารถทำให้เขาล้มเลิกความมุ่งมาดปรารถนา แนวคิด และความปรารถนาของตนได้  ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงความแน่วแน่ เป้าหมายที่เขาปรารถนาให้สัมฤทธิ์ หรือเส้นทางที่เขาต้องการเดินได้  ในขณะเดียวกัน เขาก็ควรพึงให้ตัวเองไม่พักผ่อนแม้แต่ชั่วขณะเดียว  ทันทีที่เขาพักผ่อน ย่อหย่อน และต้องการกลับมาลุล่วงความรับผิดชอบต่อครอบครัวของตน เป็นลูกชายที่ดีของพ่อแม่ ดูแลลูกของตัวเอง และเป็นคนปกติ รวมถึงล้มเลิกแนวคิด ความมุ่งมาดปรารถนา เส้นทางที่เขาต้องการเดิน และเป้าหมายที่เขาต้องการบรรลุ เขาย่อมจะไม่ได้เป็นลูกผู้ชายอกสามศอกอีกต่อไป  และหากเขาไม่ได้เป็นลูกผู้ชายอกสามศอกแล้วเขาเป็นอะไรเล่า?  เขาย่อมกลายเป็นหนุ่มตัวโตขี้แย เป็นคนไม่มีประโยชน์ ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยที่ถูกดูหมิ่นจากทั้งสังคม และแน่นอนว่าถูกดูหมิ่นจากตัวเขาเองด้วย  เมื่อผู้ชายคนหนึ่งตระหนักว่าในการประพฤติและปฏิบัติตนของเขานั้นมีปัญหาและข้อบกพร่องที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของการเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก เขาย่อมจะดูหมิ่นตัวเองอยู่ในใจ และรู้สึกว่าเขาไม่มีที่ยืนในสังคมนี้ ไม่มีที่ให้เขาได้ปลดปล่อยความสามารถ และรู้สึกว่าเขาไม่สามารถถูกเรียกว่าเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก หรือเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งได้ด้วยซ้ำ  ลักษณะนิสัยอีกประการหนึ่งของลูกผู้ชายอกสามศอกก็คือ พวกเขาไม่สามารถโน้มงอเพราะกำลังบังคับ ซึ่งเป็นจิตวิญญาณประเภทหนึ่งที่ทำให้พวกเขาไม่มีทางพ่ายแพ้ให้อำนาจ ความรุนแรง การขู่เข็ญ หรือสิ่งต่างๆ ที่คล้ายกัน  ไม่ว่าพวกเขาเผชิญหน้ากับอำนาจ ความรุนแรง การขู่เข็ญใด หรือแม้กระทั่งพวกเขาเผชิญกับอันตรายถึงชีวิต คนที่เป็นลูกผู้ชายอกสามศอกก็ย่อมไม่กลัวความตายและสามารถเอาชนะความทุกข์ยากที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องได้  พวกเขาย่อมไม่ถูกเรียกค่าไถ่หรือถูกข่มขู่ให้นบนอบ พวกเขาจะไม่อ่อนข้อให้กำลังบังคับใดก็ตามเพียงเพื่อเอาตัวรอด และพวกเขาจะไม่ยอมก้มหัวประนีประนอม  เมื่อพวกเขายอมจำนนต่ออำนาจหรือกำลังบังคับใดก็ตามเพื่อความรับผิดชอบบางอย่าง ภาระผูกพัน หรือเพื่อเหตุผลอื่นๆ ต่อให้พวกเขารอดตายและรักษาชีวิตของตนไว้ได้ พวกเขาก็จะรู้สึกขยะแขยงพฤติกรรมของตนเพราะวัฒนธรรมดั้งเดิมในเรื่องของศีลธรรมที่พวกเขาเทิดทูน  จิตวิญญาณของวิถีแห่งนักรบในญี่ปุ่นก็ค่อนข้างคล้ายกับสิ่งนี้  เมื่อเจ้าล้มเหลวหรืออับอาย เจ้าย่อมรู้สึกว่าต้องปลิดชีพตัวเองด้วยการคว้านท้อง  ชีวิตได้มาง่ายเช่นนั้นเชียวหรือ?  ผู้คนมีชีวิตเพียงครั้งเดียว  หากแม้กระทั่งความล้มเหลวหรือความพลาดพลั้งเล็กน้อยก็กระตุ้นให้เกิดความคิดที่จะตายขึ้นมาในทันที นี่ย่อมเป็นเพราะอิทธิพลของวัฒนธรรมดั้งเดิมใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับพวกเขาและพวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างฉับไวหรือเลือกสิ่งที่เป็นไปตามข้อพึงประสงค์ของวัฒนธรรมดั้งเดิม หรือพิสูจน์ศักดิ์ศรีและลักษณะนิสัยของพวกเขา หรือพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกได้ พวกเขาย่อมจะแสวงหาความตายและปลิดชีพตัวเอง  สาเหตุที่ผู้ชายสามารถยึดถือในแนวคิดและทัศนะเหล่านี้ได้เป็นเพราะผลกระทบที่รุนแรงจากวัฒนธรรมดั้งเดิม รวมถึงการที่สิ่งนี้จำกัดความคิดของพวกเขา  หากพวกเขาไม่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะเหล่านี้จากวัฒนธรรมดั้งเดิม ผู้ชายมากมายก็คงจะไม่ปลิดชีพหรือคว้านท้องตัวเอง  เรื่องของคำนิยามในการเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกนั้น ผู้ชายยอมรับแนวคิดและทัศนะเหล่านี้จากวัฒนธรรมดั้งเดิมด้วยความเห็นพ้องและแน่ใจ ทั้งยังมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นบวกในการนำมาวัดและควบคุมตัวพวกเขาเอง รวมถึงวัดและควบคุมผู้ชายคนอื่นด้วย  เมื่อตัดสินจากความคิดและทัศนะ แนวคิด เป้าหมายของผู้ชายและเส้นทางที่พวกเขาเลือก ทั้งหมดนี้ย่อมพิสูจน์ว่า ผู้ชายทุกคนต่างได้รับอิทธิพลและถูกพิษร้ายอย่างลึกซึ้งจากวัฒนธรรมดั้งเดิม  เรื่องราวมากมายของความสำเร็จที่กล้าหาญและตำนานอันงดงามเป็นภาพที่แท้จริงว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมหยั่งรากลึกในจิตใจของผู้คนอย่างไร  จากมุมมองนี้ ผู้ชายถูกพิษร้ายจากวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างลึกซึ้งเช่นเดียวกับผู้หญิงใช่หรือไม่?  วัฒนธรรมดั้งเดิมเพียงแต่วางมาตรฐานของข้อพึงประสงค์ที่ต่างกันให้ผู้ชายและผู้หญิง โดยดูถูก ด้อยค่า จำกัดห้าม และควบคุมผู้หญิงอย่างไม่ยั้งในขณะที่กระตุ้น ล่อลวง ยุยง และปลุกปั่นผู้ชายอย่างจริงจังให้ไม่เป็นคนขี้ขลาดหรือเป็นคนธรรมดาทั่วไป  ข้อพึงประสงค์ที่มีต่อผู้ชายคือ ทุกสิ่งที่พวกเขาทำต้องต่างจากผู้หญิง ดีกว่าพวกเธอ เหนือกว่าพวกเธอ สูงส่งกว่าพวกเธอ  พวกเขาต้องควบคุมสังคม ควบคุมเผ่าพันธุ์มนุษย์ ควบคุมกระแสและทิศทางของสังคม รวมถึงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในสังคม  ผู้ชายถึงกับต้องเป็นคนที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในสังคม มีอำนาจที่จะควบคุมสังคมและมนุษย์ และอำนาจนี้ก็รวมถึงการปกครองและควบคุมผู้หญิงด้วย  นี่เป็นสิ่งที่ผู้ชายควรไล่ตามไขว่คว้า ทั้งยังเป็นลักษณะอันกล้าหาญของลูกผู้ชายอกสามศอกอีกด้วย

ในยุคปัจจุบัน หลายประเทศได้เปลี่ยนมาเป็นสังคมประชาธิปไตยซึ่งสิทธิและผลประโยชน์ของเด็กและผู้หญิงค่อนข้างได้รับการรับรอง อีกทั้งอิทธิพลและข้อจำกัดจากแนวคิดและทัศนะทางวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีต่อผู้คนเหล่านี้ก็ไม่ได้เห็นได้ชัดมากอีกต่อไป  ในที่สุด ผู้หญิงมากมายก็เกิดความก้าวหน้าในสังคม และพวกเธอก็กำลังมีส่วนร่วมในหลายสายงานและหลากอาชีพเพิ่มมากขึ้น  อย่างไรก็ตาม เพราะแนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมฝังรากลึกอยู่ในใจของมนุษย์มานาน—ไม่เพียงในใจของผู้หญิงเท่านั้น แต่รวมถึงในใจของผู้ชายด้วย—ในยามที่คิดถึงและเข้าหาสิ่งต่างๆ นานา ทั้งผู้ชายและผู้หญิงจึงรับเอามุมมองและจุดที่ได้เปรียบจากวัฒนธรรมดั้งเดิมมาใช้โดยไม่รู้ตัว  แน่นอนว่าพวกเขาก็ทำงานและประกอบอาชีพต่างๆ ภายใต้การนำของแนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมด้วย  ในสังคมปัจจุบัน ถึงแม้ว่าความเท่าเทียมระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงจะดีขึ้นบ้างแล้ว แนวคิดเรื่องอำนาจสูงสุดของผู้ชายในวัฒนธรรมดั้งเดิมก็ยังคงครอบงำจิตใจของผู้คน และโดยพื้นฐานแล้ว การศึกษาในประเทศส่วนใหญ่ก็อ้างอิงจากแก่นของแนวคิดทางวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้  ด้วยเหตุนั้น ถึงแม้ในสังคมนี้มนุษย์แทบจะไม่ใช้คำกล่าวทางวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้มาพูดถึงประเด็นปัญหาต่างๆ แต่พวกเขาก็ยังคงถูกจองจำอยู่ในกรอบความคิดในอุดมคติของวัฒนธรรมดั้งเดิม  สังคมสมัยใหม่ใช้คำพูดลักษณะใดเพื่อยกย่องผู้หญิง?  ตัวอย่างเช่น “ผู้หญิงแมนๆ” และ “ผู้หญิงที่ทรงอำนาจ”  สิ่งเหล่านี้เป็นคำพูดที่เคารพนับถือหรือทำให้เสื่อมเสีย?  มีผู้หญิงที่กล่าวว่า “บางคนเรียกฉันว่าเป็นผู้หญิงแมนๆ ซึ่งฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่ยกยอปอปั้นมาก  เป็นอย่างไรล่ะ?  ฉันกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมผู้ชาย และสถานะของฉันก็สูงขึ้น  ถึงฉันจะเป็นผู้หญิง ฉันก็กลายเป็นผู้หญิงแมนๆ ด้วยการเพิ่มคำว่า ‘แมนๆ’ เข้ามา แล้วฉันก็ได้กลายเป็นคนที่เท่าเทียมกับผู้ชาย ซึ่งเป็นเกียรติมาก!”  นี่เป็นการรับรู้และการยอมรับในตัวผู้หญิงคนนี้จากหมู่คณะหรือกลุ่มคนในสังคมมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรงเกียรติอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  หากผู้หญิงคนหนึ่งถูกเรียกว่าเป็นผู้หญิงแมนๆ สิ่งนี้ย่อมพิสูจน์ว่าผู้หญิงคนนี้มีความสามารถมากเช่นเดียวกับผู้ชาย แทนที่จะด้อยกว่าพวกเขา อีกทั้งหน้าที่การงาน ความสามารถพิเศษของเธอ และแม้กระทั่งสถานะทางสังคม สติปัญญาของเธอ รวมถึงวิธีการที่ทำให้เธอมีที่ยืนในสังคมก็สมน้ำสมเนื้อที่จะเทียบกับผู้ชาย  เราเห็นว่าสำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่แล้ว การถูกขนานนามว่าเป็น “ผู้หญิงแมนๆ” นับเป็นรางวัลจากสังคม เป็นการยอมรับสถานะทางสังคมที่สังคมสมัยใหม่มอบให้ผู้หญิง  มีผู้หญิงคนใดอยากจะเป็นผู้หญิงแมนๆ หรือไม่?  ถึงแม้สมญานามนี้จะไม่น่าพิสมัย แต่ไม่ว่าในรูปการณ์แวดล้อมใดก็ตาม แน่นอนว่าการเรียกว่าผู้หญิงว่าแมนก็เป็นการยกย่องเธอว่าเป็นคนเก่งและมีความสามารถมาก ทั้งยังเป็นการยกนิ้วโป้งให้เธอในสายตาของผู้ชาย  สำหรับสมญานามของผู้ชาย ผู้คนยังคงยึดถือมโนคติอันหลงผิดแบบดั้งเดิมอย่างไม่เคยเปลี่ยนไป  ตัวอย่างเช่น ผู้ชายบางคนไม่มีเป้าหมายในอาชีพและไม่ไล่ตามไขว่คว้าอำนาจหรือสถานะ แต่ยอมรับสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเอง พึงพอใจกับงานและชีวิตธรรมดาของตัวเอง และเอาใจใส่ครอบครัวของเขาอย่างดียิ่ง  สังคมนี้จะตั้งชื่อแบบใดให้ผู้ชายเช่นนี้?  ผู้ชายเช่นนี้ย่อมถูกขนานนามว่าเป็นคนไม่เอาถ่านใช่หรือไม่?  (ใช่)  ผู้ชายบางคนละเอียดรอบคอบและพิถีพิถันกับเรื่องของตัวเองมาก ทำสิ่งทั้งหลายทีละขั้นด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง  แล้วคนบางคนเรียกพวกเขาว่าอะไร?  “ออกสาว” หรือ “นางอาย”  เจ้าเห็นหรือไม่ว่า ผู้ชายไม่ได้โดนดูถูกด้วยการใช้ถ้อยคำหยาบคาย แต่กลับใช้ถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง  หากผู้คนต้องการยกชูเพศหญิง พวกเขาย่อมใช้คำพูดจำพวก “ผู้หญิงแมนๆ” และ “ผู้หญิงที่ทรงอำนาจ” เพื่อยกระดับสถานะของผู้หญิงและรับรองความสามารถของพวกเธอ ขณะที่คำพูดอย่าง “นางอาย” ถูกใช้เพื่อสบประมาทผู้ชายและว่ากล่าวพวกเขาที่ไม่ทำตัวเป็นลูกผู้ชาย  นี่คือปรากฏการณ์ที่แพร่หลายในสังคมมิใช่หรือ?  (ใช่)  คำกล่าวที่เกิดขึ้นในสังคมสมัยใหม่พิสูจน์ให้เห็นถึงปัญหา ที่แม้ว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมจะดูต่างจากชีวิตสมัยใหม่และไกลจากจิตใจของผู้คนอย่างมากแล้ว และแม้ว่าตอนนี้ผู้คนจะติดอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ หรือหมกมุ่นกับวิถีชีวิตสมัยใหม่ทุกรูปแบบ และต่อให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายถึงขีดสุดในสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยแบบสมัยใหม่ หรือมีสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ นี่ก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ข้อเท็จจริงก็คือพิษร้ายมากมายของวัฒนธรรมดั้งเดิมยังคงหลงเหลืออยู่ในใจของพวกเขา  ถึงแม้ผู้คนจะได้รับเสรีภาพทางกายอยู่บ้าง และมุมมองสำคัญที่สุดที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลายก็ดูเปลี่ยนไปแล้ว อีกทั้งพวกเขาดูเหมือนได้รับเสรีภาพทางความคิดอยู่ในระดับหนึ่ง และพวกเขาดูเกิดความเข้าใจเชิงลึกแบบใหม่ในสังคมสมัยใหม่นี้จากการเผยแพร่อันรวดเร็วของข่าวสารและเทคโนโลยีสารสนเทศที่ล้ำสมัย และพวกเขาก็ได้เห็นและรู้จักสิ่งต่างๆ มากมายในโลกภายนอก มนุษย์ก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในเงามืดของคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมมากมายที่วัฒนธรรมดั้งเดิมสนับสนุน  ต่อให้มีคนบางคนกล่าวว่า “ฉันเป็นคนที่หัวขบถที่สุด ฉันเป็นคนทันสมัยมาก ฉันเป็นคนสมัยใหม่” อีกทั้งพวกเขามีห่วงทองเจาะอยู่ที่จมูก มีต่างหูห้อยระย้า และใส่เสื้อผ้าที่ล้ำยุคและทันสมัยอย่างมาก ทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมถึงทัศนะที่พวกเขามีต่อวิธีที่พวกเขาควรประพฤติและปฏิบัติตนก็ยังแยกไม่ขาดจากวัฒนธรรมดั้งเดิม  เหตุใดผู้คนจึงไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากวัฒนธรรมดั้งเดิม?  เพราะหัวใจและจิตใจของพวกเขาจมอยู่ในวัฒนธรรมดั้งเดิมและถูกสิ่งนี้จองจำเอาไว้  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากส่วนลึกที่สุดของดวงจิตพวกเขา และแม้กระทั่งแนวคิดที่ฉายวาบขึ้นมาในใจพวกเขาชั่วขณะจึงเกิดขึ้นจากการสั่งสอนและการบ่มเพาะของวัฒนธรรมดั้งเดิม และล้วนเกิดขึ้นภายในกรอบอันเวิ้งว้างของวัฒนธรรมดั้งเดิมมากกว่าที่จะแยกออกจากอิทธิพลของสิ่งนี้  ข้อเท็จจริงเหล่านี้พิสูจน์ว่า มนุษย์ถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมจองจำไว้แล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  มนุษย์ถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมจองจำเสียแล้ว  ไม่ว่าเจ้ารอบรู้เพราะการอ่านหรือมีการศึกษาสูงหรือไม่ ตราบเท่าที่เจ้าใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์ เจ้าย่อมจะถูกบ่มเพาะและได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของมนุษย์ในเรื่องศีลธรรมอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะสิ่งทั้งหลายจากวัฒนธรรมดั้งเดิมพยายามใช้บังคับและอำนาจที่มองไม่เห็นที่ปรากฏอยู่ทุกหนแห่ง ไม่เพียงแต่ในโรงเรียนและในตำราของผู้คนเท่านั้น แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัว และแน่นอนว่าในทุกหัวมุมสังคมอีกด้วย  หนทางนี้ทำให้ผู้คนได้รับการปลูกฝัง ได้รับอิทธิพล ถูกชักพาให้หลงผิด และถูกสิ่งเหล่านี้ชี้นำไปในทางที่ผิดโดยไม่รู้ตัว  ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้พันธนาการ โซ่ตรวน และการควบคุมของวัฒนธรรมดั้งเดิม และไม่สามารถหลบซ่อนหรือหนีพ้นไปจากสิ่งนี้ได้ ต่อให้พวกเขาต้องการที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม  พวกเขากำลังใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมลักษณะนี้  นี่คือสภาวะของเรื่องต่างๆ ในปัจจุบัน และสิ่งเหล่านี้ยังเป็นข้อเท็จจริงอีกด้วย

เมื่อมองสิ่งนี้ตามคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมและแก่นแท้ของคำกล่าวที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงเมื่อคราวก่อน คำกล่าวในวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านั้นปกปิดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้ของมนุษยชาติ และแน่นอนว่าปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าซาตานทำให้มนุษยชาติเสื่อมทรามด้วย  นิยามของผู้ชายและผู้หญิงในวัฒนธรรมดั้งเดิมที่พวกเราสามัคคีธรรมในวันนี้ได้แสดงให้เห็นถึงแง่มุมที่เป็นแก่นแท้อีกแง่มุมหนึ่งของคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมอย่างชัดเจน  แก่นแท้นั้นคืออะไร?  คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมเหล่านี้ไม่เพียงจำกัด ชี้นำในทางที่ผิด และชักพาความคิดของผู้คนให้หลงเชื่อเท่านั้น แต่แน่นอนว่ายังปลูกฝังแนวคิดและทัศนะที่ผิดเกี่ยวกับผู้คน เรื่องต่างๆ และสิ่งทั้งหลายให้แก่ผู้คนอีกด้วย  นี่คือข้อเท็จจริง และเป็นแง่มุมอันเป็นแก่นแท้อีกแง่มุมหนึ่งของคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมที่ซาตานให้การสนับสนุน  จะพิสูจน์คำกล่าวยืนยันนี้ได้อย่างไร?  นิยามของผู้ชายและผู้หญิงในคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมนั้นเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นในประเด็นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  อันที่จริงนิยามเหล่านี้เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นในประเด็นนี้  คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมพูดถึงแค่พฤติกรรมที่ถูกและผิด การปฏิบัติที่ดีและแย่ และพูดถึงสิ่งที่ถูกและผิด ดีและแย่อย่างผิวเผินเท่านั้น  ทว่าไม่ยอมให้ผู้คนรู้ว่าเมื่อเป็นเรื่องของผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายนั้น สิ่งใดที่เป็นบวกและเป็นลบ ดีและแย่ ถูกและผิด  คำกล่าวเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผู้คนปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือหลักธรรมที่ถูกต้องในการประพฤติและปฏิบัติตนอันเป็นประโยชน์ต่อผู้คนหรือสอดคล้องกับความเป็นมนุษย์  ไม่ว่าคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมเหล่านี้ละเมิดกฎธรรมชาติของความเป็นมนุษย์หรือไม่ หรือผู้คนเต็มใจที่จะปฏิบัติตามคำกล่าวเหล่านี้หรือไม่ คำกล่าวเหล่านี้ก็บังคับให้ผู้คนยึดติดกับหลักความเชื่ออย่างเข้มงวดโดยไร้ซึ่งการแยกแยะถูกและผิด ดีและแย่  หากเจ้าไม่ปฏิบัติตามหลักความเชื่อเหล่านี้ สังคมจะต่อว่าและกล่าวโทษเจ้า และเจ้าจะถึงกับต่อว่าตัวเองเสียด้วยซ้ำ  นี่ใช่ภาพแสดงที่แท้จริงของการที่วัฒนธรรมดั้งเดิมจำกัดความคิดมนุษย์หรือไม่?  แน่นอนว่านี่คือภาพสะท้อนที่แท้จริงว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมจำกัดความคิดมนุษย์อย่างไร  เมื่อวัฒนธรรมดั้งเดิมทำให้เกิดคำกล่าว ข้อพึงประสงค์ และกฎใหม่ๆ หรือหล่อหลอมมติมหาชน หรือสร้างกระแสหรือขนบธรรมเนียมในสังคม เช่นนั้นเจ้าย่อมจะปฏิบัติตามกระแสหรือขนบธรรมเนียมนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ และเจ้าจะไม่กล้าพูดว่า “ไม่” หรือปฏิเสธ นับประสาอะไรกับการยกข้อกังขาหรือความเห็นต่างขึ้นมา  เจ้าทำได้เพียงทำไปตามนั้น มิเช่นนั้นเจ้าจะถูกสังคมรังเกียจและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง และถึงกับถูกต่อว่าจากมติมหาชนและถูกกล่าวโทษจากมนุษยชาติเสียด้วยซ้ำ  ผลที่ตามมาของการถูกต่อว่าและถูกกล่าวโทษคืออะไร?  เจ้าจะไม่สามารถสู้หน้าผู้คนรอบข้างได้อีกต่อไป เพราะเจ้าจะไร้ศักดิ์ศรี และเนื่องด้วยเจ้าไม่สามารถยึดมั่นในจริยธรรมทางสังคมได้ เจ้าไม่มีศีลธรรม และเจ้าไม่มีความประพฤติทางศีลธรรมตามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมเรียกร้อง ดังนั้นเจ้าจึงจะไม่มีที่ยืนทางสังคม  ผลของการไม่มีที่ยืนทางสังคมคืออะไร?  คือเจ้าจะไม่คู่ควรที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนี้ และเจ้าจะถูกปลดสิทธิมนุษยชนทุกด้านไป จนถึงจุดที่สิทธิในการใช้ชีวิตของเจ้า สิทธิในการพูดของเจ้า และสิทธิในการปฏิบัติภาระพันผูกของเจ้าจะถูกยับยั้งและจำกัดห้ามเสียด้วยซ้ำ  นี่คือการที่วัฒนธรรมดั้งเดิมคุกคามและส่งผลกระทบต่อมนุษยชาติ  ทุกคนเป็นเหยื่อของสิ่งนี้ และแน่นอนว่าทุกคนต่างก็เป็นผู้บังคับให้ปฏิบัติตามสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน  เจ้าตกเป็นเหยื่อของมติมหาชนเหล่านี้ รวมถึงตกเป็นเหยื่อของผู้คนทั้งหลายในสังคมไปโดยธรรมชาติ และขณะเดียวกันเจ้าก็ตกเป็นเหยื่อของการที่ตัวเจ้าเองยอมรับวัฒนธรรมดั้งเดิมด้วย  เมื่อพิจารณารวบยอดแล้วก็คือ เจ้าตกเป็นเหยื่อของสิ่งเหล่านี้จากวัฒนธรรมดั้งเดิม  สิ่งเหล่านี้จากวัฒนธรรมดั้งเดิมส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติใช่หรือไม่?  (ใช่)  ตัวอย่างเช่น หากผู้หญิงคนหนึ่งตกเป็นข่าวลือว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็นกุลสตรี จิตใจดี อ่อนโยน และมีศีลธรรม และไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี เช่นนั้นแล้ว หลังจากนั้นเมื่อเธอไปเริ่มงานใหม่หรือเข้ากลุ่มใดก็ตาม ทันทีที่ผู้คนเริ่มรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของเธอ และฟังคนนินทาแล้วตัดสินเธอ เธอก็จะไม่ถูกมองว่าเป็นผู้หญิงที่ดีในสายตาใครเลย  เมื่อเกิดสถานการณ์นี้ขึ้น ก็ย่อมยากที่เธอจะแผ้วถางทางของตนหรือเอาตัวรอดในสังคม  คนบางคนถึงกับไม่มีทางเลือกนอกจากปกปิดตัวตนและย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างเมืองหรือต่างสภาพแวดล้อม  มติมหาชนมีอำนาจใช่หรือไม่?  (ใช่)  กำลังบังคับที่มองไม่เห็นนี้สามารถทำลายและสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ใดก็ได้ ทั้งยังเหยียบพวกเขาไว้ใต้ฝ่าเท้า  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า การที่เจ้าจะเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมทางสังคมของประเทศจีนย่อมเป็นเรื่องที่ยากอย่างเห็นได้ชัด  เหตุใดการเอาตัวรอดจึงยากนัก?  เพราะเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและสละตนเองเพื่อพระองค์ บางครั้งเจ้าย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่มีเวลาไปดูแลครอบครัวของตัวเอง และพวกมารผู้ไม่มีความเชื่อก็จะเผยแพร่ช่าวลือว่าเจ้าเป็นคนที่ “ไม่ใช้ชีวิตที่ปกติ” “ทิ้งครอบครัว” “หนีไปกับคนอื่น” และอื่นๆ  แม้ว่าคำกล่าวอ้างเหล่านี้จะไม่ตรงตามข้อเท็จจริงและเป็นการคาดเดาและข่าวลือเท็จทั้งสิ้น เมื่อเจ้าตกอยู่ในข้อกล่าวหาเหล่านี้ เจ้าย่อมจะตกที่นั่งลำบากอย่างมาก  เมื่อไรก็ตามที่เจ้าออกไปซื้อของ ผู้คนจะมองเจ้าด้วยสีหน้าแปลกๆ และจะซุบซิบและแสดงความเห็นลับหลังเจ้า กล่าวว่า “คนคนนี้เป็นพวกคลั่งศาสนา ไร้ความเป็นกุลสตรี ใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม และไปนั่นมานี่ทั้งวัน  นี่คือผู้หญิงที่ไม่ทุ่มเทเรี่ยวแรงให้การใช้ชีวิตที่เป็นปกติ  ทำไมเธอถึงไปนั่นมานี่เสียทุกที่?  ผู้หญิงควรทำตามหลักสามคล้อยสี่คุณธรรมของขงจื๊อ รวมถึงดูแลสามีและเลี้ยงลูกๆ ของตัวเอง”  เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  เจ้าจะรู้สึกโกรธจัดหรือไม่?  การที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนเป็นกงการอะไรของพวกเขาเล่า?  นั่นไม่ใช่กงการของพวกเขาเลย แต่พวกเขาก็ยังสามารถทำราวกับเรื่องนั้นเป็นหัวข้อบทสนทนาหลังมื้อเย็น ทั้งยังออกความเห็นและซุบซิบนินทาราวกับเป็นธุระสำคัญ  นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ในสังคมหรือ?  นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เห็นได้ทุกที่หรอกหรือ?  ตัวอย่างเช่น เจ้ามีเพื่อนร่วมงานที่เคยเข้ากันได้ดีกับเจ้า แต่เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็เผยแพร่คำนินทาทุกรูปแบบลับหลังเจ้า ดังนั้นตอนนี้ผู้คนมากมายจึงอยู่ห่างจากเจ้า และไม่เป็นมิตรที่ดีกับเจ้าอีกต่อไป  แม้ว่าเจ้ามีท่าทีต่องานแบบเดียวกับเมื่อก่อน แต่ทันทีที่ผู้คนส่วนใหญ่ได้ยินคำนินทานี้ เจ้าจะยังพบว่าการก้าวหน้าในงานนี้เป็นเรื่องง่ายอยู่หรือไม่?  (ไม่ เรื่องนี้จะไม่ง่าย)  ท่าทีที่ผู้คนมีต่อเจ้าจะต่างไปจากเมื่อก่อนใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเขาทุกคนจะพูดถึงเรื่องอะไร?  “ผู้หญิงคนนี้ไม่ทุ่มเทเรี่ยวแรงให้การใช้ชีวิตที่เป็นปกติ  ทำไมมัวแต่ไปเชื่อในศาสนา?” และ “ทำไมผู้ชายถึงเชื่อในศาสนา?  มีแต่พวกขี้แพ้ที่เชื่อในศาสนา!  นั่นเป็นเรื่องของผู้หญิง ขณะที่ลูกผู้ชายอกสามศอกควรมุ่งเน้นที่หน้าที่การงาน!”  มีใครพูดเช่นนี้บ้างหรือไม่?  (มี)  คำพูดเหล่านี้มาจากไหน?  การที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าเป็นกงการอะไรของพวกเขาหรือ?  ผู้คนมีเสรีภาพที่จะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาต้องการ และคนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย  แล้วพวกเขาพูดถึงเจ้าได้อย่างไร?  เหตุใดพวกเขาจึงซี้ซั้ววิพากษ์วิจารณ์เจ้าเมื่อเจ้าเริ่มเชื่อในพระเจ้า?  กรอบอ้างอิงสำหรับคำวิจารณ์ของพวกเขาย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะอ้างอิงจากแนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม และจากท่าทีที่รัฐบาลแห่งชาติมีต่อความเชื่ออยู่ระดับหนึ่ง  แม้ว่าจากภายนอกพวกเขากำลังพูดถึงเจ้า ทว่าข้อเท็จจริงคือพวกเขากำลังซี้ซั้ววิจารณ์เจ้า เล่าเรื่อง และกล่าวโทษเจ้าอย่างไม่ยั้งคิด  อย่างไรก็ตาม รากฐานคำวิจารณ์และการตัดสินของผู้คน รวมถึงทัศนะและท่าทีที่พวกเขามีต่อความเชื่อของเจ้า ก็ย่อมได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมดั้งเดิมและอุดมการณ์แบบอเทวนิยมในระดับที่มีนัยสำคัญ  เพราะนอกจากการสอนวิธีเป็นหญิงและวิธีเป็นชายให้ผู้คนแล้ว แนวคิดอันเป็นแก่นแท้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมคืออะไร?  คือไม่มีสวรรค์และไม่มีพระเจ้านั่นเอง  อีกนัยหนึ่งก็คือ สิ่งเหล่านี้เป็นแนวคิดและทัศนะแบบอเทวนิยม  ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงปฏิเสธผู้คนที่มีความเชื่อ โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้  หากเจ้าข้องเกี่ยวกับกิจกรรมทางไสยศาสตร์ เข้าลัทธิบางอย่าง หรือเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาใดๆ พวกเขาก็อาจจะเมินเจ้า  หากเจ้าเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ พวกเขาอาจจะยังยุ่งเกี่ยวกับเจ้า แต่ทันทีที่เจ้าเริ่มเชื่อในพระเจ้า อ่านพระวจนะของพระองค์ทุกวัน เผยแผ่ข่าวประเสริฐ ปฏิบัติหน้าที่ของตน และติดตามพระเจ้า พวกเขาย่อมจะเริ่มเข้ากันไม่ได้กับเจ้า  ต้นเหตุของการที่พวกเขาเข้ากันไม่ได้กับเจ้าคืออะไร?  พูดให้ถูกก็คือ แง่มุมหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาคือผู้ไม่มีความเชื่อ อีกทั้งล้วนติดตามซาตานและเป็นของซาตาน อีกแง่มุมหนึ่งคือพวกเขามองดูสิ่งทั้งหลายตามแนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม รวมถึงตามนโยบายและกฎหมายของพญานาคใหญ่สีแดง—สิ่งเหล่านี้คือข้อเท็จจริงอันเป็นจริง  เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาเห็นผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ไม่สอดคล้องกับแนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิม และเมื่อไรก็ตามที่พวกเขาเห็นว่าผู้เชื่อคือเป้าหมายในการข่มเหงของรัฐและกำลังถูกไล่ล่า พวกเขาก็ดูหมิ่นเหล่าผู้เชื่อ ซี้ซั้ววิจารณ์ ตัดสินและกล่าวโทษผู้เชื่อ รวมถึงร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อจับตาดูและรายงานผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า  รากฐานของการที่พวกเขาทำเช่นนี้คืออะไร?  โดยหลักแล้วการทำเช่นนี้ตั้งอยู่บนวัฒนธรรมดั้งเดิม คติแบบอเทวนิยม และนโยบายชั่วของพญานาคใหญ่สีแดง  ตัวอย่างเช่น พวกเขาตัดสินผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า กล่าวว่า “นี่คือผู้หญิงที่ไม่ทุ่มเทเรี่ยวแรงให้การใช้ชีวิตที่ปกติ  ทำไมเธอถึงไปนั่นมานี่ทุกที่เลย?” และ “นี่คือผู้ชายที่ไม่ไล่ตามไขว่คว้าหน้าที่การงานอันถูกควร  ทำไมเขาถึงเชื่อในศาสนา?  ผู้ชายที่ถูกควรนั้นมีความทะเยอทะยานที่แผ่ไปไกล  ลูกผู้ชายอกสามศอกควรมุ่งเน้นหน้าที่การงานของพวกเขาสิ!”  ลองคิดดูเถิดว่า คำกล่าวอันซ้ำซากเหล่านี้ชัดเจนว่าล้วนมาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมมิใช่หรือ?  (ใช่)  คำกล่าวเหล่านี้ล้วนมาจากวัฒนธรรมดั้งเดิม  ผู้คนธรรมดาทั่วไปไม่ไล่ตามเสาะหาความเชื่อใดๆ แต่กลับไล่ตามไขว่คว้าการกิน ดื่ม และความยินดีทางเนื้อหนังเท่านั้น  จิตใจของพวกเขาไม่เพียงเต็มไปด้วยกระแสนิยมอันชั่วร้าย แต่ยังถูกสิ่งทั้งหลายของวัฒนธรรมดั้งเดิมผูกมัดและจำกัดอย่างดิ่งลึก ซึ่งส่งผลให้พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้สิ่งเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะนำมุมมองเหล่านี้มาใช้เมื่อรับมือกับใครก็ตามหรืออะไรก็ตาม  นี่คือสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วทุกแห่งหนในสังคมสมัยใหม่ และค่อนข้างเป็นเรื่องปกติ  สิ่งทั้งหลายในโลกที่ถูกควบคุมโดยซาตาน และในยุคของความชั่วและการผิดประเวณีเป็นเช่นนี้เอง

คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมไม่เพียงปลูกฝังแนวคิดและทัศนะที่ผิดแก่ผู้คนเท่านั้น แต่ยังยุยงและส่งเสริมให้พวกเขาทำตามความคิดที่สุดโต่งบางประการ และนำพฤติกรรมสุดโต่งบางประการมาใช้ในบริบทและรูปการณ์แวดล้อมอันเฉพาะเจาะจงอีกด้วย  ตัวอย่างเช่น ดังที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ คำว่า “ฉันจะรับกระสุนแทนเพื่อน” เป็นข้อพึงประสงค์ที่ซาตานหยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการควบคุมความประพฤติทางศีลธรรมของผู้คนในเรื่องการเข้ากันกับเพื่อนของพวกเขา  เห็นได้ชัดว่าคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมแง่มุมนี้จงใจทำให้ผู้คนมีความคิดและทัศนะที่ไร้เหตุผลและไม่สมเหตุสมผลเวลาเข้ากันกับเพื่อนของพวกเขา และถึงกับกระตุ้นพวกเขาให้ทิ้งชีวิตของตนเพื่อเพื่อนฝูงอย่างมักง่าย  นี่คือข้อพึงประสงค์อันสุดโต่งและเกินควรที่ซาตานกำหนดให้มนุษย์ในเรื่องของความประพฤติทางศีลธรรม  ข้อเท็จจริงก็คือ มีคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมบางคำที่คล้ายกับคำว่า “ฉันจะรับกระสุนแทนเพื่อน” และพึงให้ผู้คนรับเอาพฤติกรรมสุดโต่งมาใช้เช่นเดียวกัน  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำกล่าวที่ไร้มนุษยธรรมและไม่สมเหตุสมผล  ในขณะที่ปลูกฝังแนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมให้ผู้คน ซาตานก็พึงให้ผู้คนปฏิบัติตามความคิดที่ไม่สมเหตุสมผลและคำกล่าวที่ไร้มนุษยธรรมเหล่านี้ ทั้งยังทำให้พวกเขายึดถือแนวคิดและการปฏิบัติเหล่านี้อย่างเคร่งครัดอีกด้วย  กล่าวได้ว่านี่เท่ากับการหยอกเล่นและทำลายมนุษยชาติ!  คำกล่าวที่ว่านั้นคืออะไร?  ตัวอย่างเช่น คำกล่าวสองประการที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” และ “หนอนไหมแห่งฤดูใบไม้ผลิถักทอใยไหมจนวันตาย และเทียนก็เผาไหม้จนกระทั่งไม่เหลือน้ำตา” ได้บอกผู้คน—ในหนทางที่ชัดเจนกว่าคำว่า “ฉันจะรับกระสุนแทนเพื่อน”—ไม่ให้พวกเขาทะนุถนอมชีวิต และบอกว่าควรทุ่มเทใช้ชีวิตไปในหนทางนี้  เมื่อผู้คนพึงต้องยอมทิ้งชีวิตของตน พวกเขาก็ไม่ควรทะนุถนอมชีวิตมากเกินไป แต่กลับต้องยึดมั่นในคำกล่าวที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” และ “หนอนไหมแห่งฤดูใบไม้ผลิถักทอใยไหมจนวันตาย และเทียนก็เผาไหม้จนกระทั่งไม่เหลือน้ำตา”  พวกเจ้าทุกคนต่างเข้าใจความหมายตามตัวอักษรของคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมสองคำนี้ไม่มากก็น้อย แต่คำกล่าวเหล่านี้ป่าวประกาศและส่งเสริมเรื่องใดกันแน่?  ผู้ใดที่เจ้าควร “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต”?  ผู้ใดที่ควรเป็น “หนอนไหมแห่งฤดูใบไม้ผลิถักทอใยไหมจนวันตาย และเทียนก็เผาไหม้จนกระทั่งไม่เหลือน้ำตา”?  ผู้คนควรตั้งคำถามและทบทวนตัวเองว่า การทำในสิ่งที่คำกล่าวเหล่านี้เสนอนั้นมีความหมายหรือไม่?  คำกล่าวเช่นนั้นย่อมทำให้จิตใจของเจ้าด้านชาและชักพาให้หลงผิด ก่อกวนนิมิตของเจ้าเสียก่อน แล้วจึงพรากสิทธิมนุษยชนของเจ้าไป ชี้นำเจ้าไปในทิศทางที่ผิด ให้นิยามและมุมมองที่ผิดแก่เจ้า หลังจากนั้นก็บังคับให้เจ้ายอมทิ้งวัยเยาว์และชีวิตของเจ้าเพื่อประเทศนี้ เพื่อสังคม และเพื่อชนชาติ หรือเพื่อหน้าที่การงานหรือความรัก  ในหนทางนี้ มนุษย์ย่อมทิ้งชีวิตของพวกเขาให้ซาตานโดยไม่รู้ตัวในสภาวะที่งุนงงและเลอะเลือน และนอกจากนี้พวกเขายังทำไปด้วยความเต็มใจและไม่พร่ำบ่นหรือเสียใจด้วย  มีเพียงวินาทีที่พวกเขาสละชีวิตของตนไปแล้วเท่านั้นที่พวกเขาจะเข้าใจทุกสิ่งโดยแท้ และรู้สึกถูกหลอกที่พวกเขาทำสิ่งนั้นเพื่อเหตุผลที่ไม่มีความหมาย แต่ก็สายเกินไป และไม่มีเวลาเหลือให้เสียใจแล้ว  ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตที่ถูกซาตานชักพาให้หลงผิด หลอกลวง ปู้ยี่ปู้ยำ ทำลาย และเหยียบไว้ใต้เท้า แล้วสุดท้ายสิ่งล้ำค่าที่สุดที่พวกเขามี—ชีวิต—ก็ถูกพรากไปเช่นกัน  นี่คือผลจากการที่มนุษย์ได้รับการอบรมสั่งสอนด้วยคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิม และสิ่งนี้ก็พิสูจน์โดยสมบูรณ์ว่าชะตากรรมอันเลวร้ายแบบใดรอพวกที่ใช้ชีวิตอยู่ใต้อำนาจของซาตาน อีกทั้งถูกสิ่งนี้หลอกลวงและชักพาให้หลงผิดอยู่  มีคำใดอธิบายกลยุทธ์นานาประการที่ซาตานใช้ในการปฏิบัติต่อมนุษยชาติได้บ้าง?  อันดับแรกมีคำว่า “ทำให้ด้านชา” “ชักพาให้หลงผิด” แล้วมีอะไรอีก?  บอกเราหน่อย  (หลอกลวง เหยียบย่ำ ปู้ยี่ปู้ยำ ทำลาย)  ยังมีคำว่า “ยุยง” “ล่อลวง” “ต้องการชีวิตคน” และสุดท้ายก็คือ “หยอกล้อผู้คนและกลืนกินพวกเขา”  นี่คือผลของการที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ใต้อำนาจของซาตานและดำเนินชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  หากพระเจ้าไม่ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนเพื่อช่วยผู้คนให้รอด มนุษยชาติทั้งปวงจะไม่ถูกซาตานล้างผลาญ ทำลาย และกลืนกินหรอกหรือ?

มนุษยชาติประกาศสิ่งใดในวัฒนธรรมดั้งเดิมหรือ?  คำว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” หมายความว่าอย่างไร?  ข้อพึงประสงค์หลักของคำกล่าวนี้คือเมื่อไรก็ตามที่ผู้คนทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาควรจริงใจและขยันขันแข็ง ทุ่มสุดตัว และทำสุดความสามารถจวบจนตาย  การที่ผู้คนทำเช่นนี้เป็นการรับใช้ใครกันแน่?  แน่นอนว่าเป็นการรับใช้สังคม คนในชาติ และแผ่นดินเกิดของพวกเขา  แล้วใครเป็นคนจัดการควบคุมสังคม คนในชาติ และแผ่นดินเกิดนี้?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือซาตานและพญามารนั่นเอง  แล้วจุดมุ่งหมายที่ซาตานและพญามารต้องการสัมฤทธิ์จากการใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดคืออะไร?  ประการหนึ่งคือเพื่อทำให้ประเทศมีอำนาจและชนชาติเจริญรุ่งเรือง และอีกประการหนึ่งคือเพื่อทำให้ผู้คนนำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของตน และเป็นที่จดจำของคนรุ่นต่อๆ ไป  ในหนทางนั้น ผู้คนย่อมจะรู้สึกว่าไม่มีเกียรติยศใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการทำสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ อีกทั้งพวกเขาจะรู้สึกขอบคุณพญามาร และเต็มใจที่จะยอมทิ้งชีวิตของพวกเขาเพื่อชาติ เพื่อสังคม และเพื่อมาตุภูมิ  ในความเป็นจริง ทั้งหมดที่พวกเขากำลังทำคือการรับใช้ซาตานและพญามาร และการรับใช้ตำแหน่งซึ่งมีบทบาทสำคัญของซาตานและพญามาร และยอมทิ้งชีวิตอันล้ำค่าของตัวเองเพื่อคนพวกนั้น  หากคำกล่าวในวัฒนธรรมดั้งเดิมขอให้ผู้คนตายเพื่อประเทศ เพื่อพญามาร และเพื่อสาเหตุอื่นๆ แทนที่จะบอกพวกเขาให้ลุล่วงหน้าที่ของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างสุดหัวใจ สุดจิตใจ และสุดกำลัง และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ เช่นนั้นแล้วคำกล่าวเหล่านั้นย่อมกำลังชักพาผู้คนให้หลงผิด  จากภายนอก คำกล่าวเหล่านั้นบอกให้ผู้คนทำในส่วนของตัวเองเพื่อประเทศและเพื่อคนในชาติ โดยใช้คำพูดที่ฟังดูสูงส่งและดูมีเหตุผล แต่ข้อเท็จจริงก็คือ สิ่งเหล่านี้ควบคุมผู้คนให้อุทิศความพยายามทั้งชีวิต และถึงกับสละชีวิตของพวกเขาเพื่อรับใช้ตำแหน่งอันมีบทบาทสำคัญของซาตานและพญามาร  นี่คือการชักพาผู้คนให้หลงผิด หลอกลวง และสร้างความเสียหายต่อผู้คนมิใช่หรือ?  คำกล่าวนานาประการที่วัฒนธรรมดั้งเดิมหยิบยกขึ้นมาไม่ได้เรียกร้องว่าในชีวิตจริงผู้คนควรใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างไร และควรลุล่วงความรับผิดชอบกับหน้าที่ของพวกเขาอย่างไร ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับเรียกร้องว่าผู้คนควรแสดงความประพฤติทางศีลธรรมรูปแบบใดภายในกรอบของสังคมส่วนรวม ซึ่งก็คือภายใต้อำนาจของซาตานนั่นเอง  ในทำนองเดียวกัน คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” ก็เป็นหลักการที่หยิบยกมาเพื่อควบคุมมนุษย์ให้จงรักภักดีต่อสังคม ต่อชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อแผ่นดินเกิด  หลักการประเภทนี้พึงให้ผู้คนก้มหน้าก้มตารับใช้สังคม รับใช้คนในชาติ และรับใช้แผ่นดินเกิดของพวกเขา อีกทั้งพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต  มีเพียงคนที่ขยันหมั่นเพียรและทุ่มสุดตัวจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตเท่านั้นที่ถือว่าเป็นคนมีเกียรติ มีจรรยา และควรค่าแก่การเคารพและรำลึกถึงจากคนรุ่นหลัง  ส่วนแรกของคำกล่าวที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามทำสุดความสามารถ” หมายถึงการเป็นคนขยันหมั่นเพียรและทุ่มสุดตัว  วลีนี้มีปัญหาหรือไม่?  หากเรามองดูวลีนี้จากมุมมองของสัญชาตญาณมนุษย์และขอบเขตของสิ่งที่มนุษย์สามารถสัมฤทธิ์ได้ วลีนี้ก็ไม่มีประเด็นสำคัญอะไร  สิ่งนี้พึงให้ผู้คนขยันขันแข็งและทุ่มสุดตัวเมื่อทำสิ่งทั้งหลายหรือดำเนินการตามเป้าหมาย  โดยพื้นฐานแล้วท่าทีเช่นนี้ไม่ได้มีปัญหา ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับมาตรฐานของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และผู้คนก็ควรมีท่าทีลักษณะนี้เวลาทำสิ่งทั้งหลาย  นี่คือสิ่งที่ค่อนข้างเป็นบวก  กล่าวคือ เวลาทำอะไรบางอย่าง เจ้าเพียงต้องขยันหมั่นเพียร ทุ่มสุดตัว ลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า และใช้ชีวิตไปตามมโนธรรมของเจ้า  ผู้ใดที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ อีกทั้งมีมโนธรรมและสำนึก ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดที่ปกติมากกว่านี้ และนี่ไม่ใช่การเรียกร้องที่มากเกินไป  แต่สิ่งที่เกินไปคืออะไร?  คือส่วนที่พึงให้ผู้คนไม่หยุด “จนวันสุดท้ายของชีวิต” นั่นเอง  วลีที่ว่า “จนวันสุดท้ายของชีวิต” นั้นมีปัญหาอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือ เจ้าไม่เพียงต้องขยันหมั่นเพียรและทุ่มสุดตัวเท่านั้น แต่เจ้ายังต้องมอบชีวิต และจะหยุดได้ก็ต่อเมื่อเจ้าตายเท่านั้น มิเช่นนั้นเจ้าก็ไม่สามารถหยุดได้  นี่หมายความว่าเจ้าต้องสละชีวิตของตนและความพยายามชั่วชีวิต  เจ้าห้ามมีแรงจูงใจอันเห็นแก่ตัว และเจ้าก็ไม่สามารถล้มเลิกได้ตราบเท่าที่เจ้ายังมีชีวิต  หากเจ้าล้มเลิกกลางคันแทนที่จะเพียรพยายามจนตาย เช่นนั้นนี่ก็ไม่ถือเป็นความประพฤติที่ดีทางศีลธรรม  นี่คือมาตรฐานสำหรับการวัดความประพฤติทางศีลธรรมของผู้คนในวัฒนธรรมดั้งเดิม  ในการทำบางสิ่งบางอย่างนั้น หากบุคคลหนึ่งขยันหมั่นเพียรและทุ่มสุดตัวในขอบเขตของสิ่งที่พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ได้และตราบเท่าที่พวกเขาเต็มใจทำ แต่ไม่ทำไปจนตาย และล้มเลิกกลางคัน รวมถึงเลือกดำเนินการอีกเป้าหมายหนึ่งหรือเลือกที่จะพักและดูแลตัวเองในช่วงปีหลังของชีวิต นี่ย่อมไม่ใช่การ “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” ดังนั้น บุคคลนี้จึงไม่มีความประพฤติที่ดีทางศีลธรรม  สิ่งนั้นจะเป็นมาตรฐานได้อย่างไร?  นี่เป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด?  (ผิด)  เห็นได้ชัดว่า มาตรฐานนี้ไม่สอดคล้องกับสัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์ที่ปกติและสิทธิที่คนปกติพึงได้รับ  มาตรฐานนี้ไม่พึงให้ผู้คนทำตัวขยันหมั่นเพียร ทุ่มสุดตัวเพียงเท่านั้น แต่ยังบังคับให้ผู้คนทำต่อไปและไม่หยุดจนกว่าจะตายอีกด้วย—นี่คือสิ่งที่คำกล่าวนี้เรียกร้องจากผู้คน  ไม่ว่าเจ้าขยันหมั่นเพียรเพียงใด หรือเจ้าเพียรพยายามที่จะทุ่มสุดตัวแค่ไหนเวลาทำอะไรบางอย่าง ทันทีที่เจ้าล้มเลิกกลางคันเพราะเจ้าไม่เต็มใจที่จะทำต่อ เมื่อนั้นเจ้าย่อมไม่ใช่คนที่มีความประพฤติที่ดีทางศีลธรรม แต่หากเจ้าทุ่มเทความขยันขันแข็งพอประมาณและไม่ทุ่มสุดตัว ทว่าเจ้าทำต่อไปจนตาย เช่นนั้นเจ้าย่อมเป็นคนที่มีความประพฤติที่ดีทางศีลธรรม  นี่คือมาตรฐานในการวัดความประพฤติทางศีลธรรมของผู้คนในวัฒนธรรมดั้งเดิมใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือมาตรฐานในการวัดความประพฤติทางศีลธรรมของผู้คนในวัฒนธรรมดั้งเดิมโดยแท้  เมื่อดูเช่นนี้แล้ว ข้อพึงประสงค์ที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” ตรงกับความต้องการของความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  สิ่งนี้เป็นธรรมและมีมนุษยธรรมอย่างที่ผู้คนคิดหรือไม่?  (ไม่ สิ่งนี้ไม่เป็นธรรมและไร้มนุษยธรรม)  เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น?  (นี่ไม่ใช่ข้อพึงประสงค์ที่เสนอขึ้นมาในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนไม่เต็มใจเลือก ทั้งยังขัดต่อมโนธรรมและสำนึกด้วย)  ความหมายหลักของมาตรฐานนี้ก็คือ มาตรฐานนี้พึงให้ผู้คนยอมทิ้งทางเลือกส่วนตัว รวมถึงความอยากได้อยากมีและอุดมคติส่วนตัว  หากขีดความสามารถและความสามารถพิเศษของเจ้าสามารถนำมารับใช้สังคม เผ่าพันธุ์มนุษย์ คนในชาติ แผ่นดินเกิดของเจ้า และผู้ปกครอง เช่นนั้นเจ้าก็ควรเชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข และเจ้าไม่ควรมีทางเลือกอื่น  เจ้าควรยอมทิ้งชีวิตของเจ้าเพื่อสังคม คนในชาติ แผ่นดินเกิดของเจ้า และแม้กระทั่งเพื่อผู้ปกครองไปจนตาย  เป้าหมายที่เจ้าต้องทำในชีวิตนี้ไม่สามารถมีทางเลือกอื่นได้—เจ้าห้ามมีตัวเลือกอื่น  เจ้าสามารถใช้ชีวิตเพื่อประโยชน์ของคนในชาติ เพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพื่อสังคม เพื่อแผ่นดินเกิดของเจ้า และแม้แต่เพื่อผู้ปกครองเท่านั้น  เจ้าทำได้เพียงรับใช้สิ่งเหล่านั้น และเจ้าต้องไม่มีความมุ่งมาดปรารถนาส่วนตัว นับประสาอะไรกับแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัว  เจ้าต้องไม่เพียงยอมทิ้งวัยเยาว์และอุทิศแรงกายของเจ้าเท่านั้น แต่เจ้าต้องยอมทิ้งชีวิตของตนด้วย และนั่นเป็นหนทางเดียวที่เจ้าจะเป็นคนที่มีความประพฤติที่ดีทางศีลธรรมได้  มนุษยชาติเรียกความประพฤติที่ดีทางศีลธรรมเช่นนั้นว่าอย่างไร?  เรียกว่าความชอบธรรมอันยิ่งใหญ่  เช่นนั้นแล้ว อีกหนึ่งหนทางในการแสดงออกถึงคำกล่าวว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” คืออะไร?  แล้วคำกล่าวที่ได้ยินกันโดยทั่วไป ที่ว่า “วีรบุรุษผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่ทำในส่วนของตนเพื่อประเทศและผู้คน” เป็นอย่างไรเล่า?  ประโยคนี้กล่าวว่า ผู้ที่เรียกกันว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่ต้องทำในส่วนของตนเพื่อประเทศและผู้คนของพวกเขา  พวกเขาต้องทำสิ่งนั้นเพื่อครอบครัว พ่อแม่ ภรรยา ลูกๆ และพี่น้องชายหญิงของตนหรือไม่?  พวกเขาต้องทำสิ่งนั้นเพื่อลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ในฐานะคนคนหนึ่งหรือไม่?  ไม่  ในทางกลับกัน พวกเขาต้องจงรักภักดีและอุทิศตนเพื่อประเทศและคนในชาติ  นี่คืออีกหนทางหนึ่งของคำกล่าวที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต”  การเป็นคนขยันหมั่นเพียรและทุ่มสุดตัวตามที่ข้อพึงประสงค์ที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” กล่าวถึงนั้นเป็นเพียงคำกล่าวที่ผู้คนยอมรับได้ และถูกใช้เพื่อหว่านล้อมให้ผู้คนเต็มใจที่จะ “พยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” เท่านั้น  การอุทิศตนชั่วชีวิตนี้เป็นไปเพื่อใคร?  (เพื่อประเทศและคนในชาติ)  แล้วผู้ใดเป็นตัวแทนของประเทศและคนในชาติ?  (ผู้ปกครอง)  ถูกต้อง ผู้ปกครองนั่นเอง  ไม่มีบุคคลใดหรือกลุ่มอิสระกลุ่มใดเป็นตัวแทนประเทศและคนในชาติได้  มีเพียงผู้ปกครองเท่านั้นที่เรียกว่าเป็นโฆษกของประเทศและคนในชาติได้  จากภายนอกแล้ว คำกล่าวที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” ไม่ได้บอกให้ผู้คนต้องทำในส่วนของตัวเองอย่างขยันขันแข็งเพื่อประเทศ คนในชาติ และผู้ปกครอง รวมถึงทุ่มสุดตัวไปจนตาย  อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงคือคำกล่าวนี้บังคับให้ผู้คนอุทิศชีวิตของพวกเขาให้ผู้ปกครองและพญามารจวบจนตาย  คำกล่าวนี้ไม่เพียงพุ่งเป้าไปยังคนไม่มีอำนาจในสังคมหรือท่ามกลางมนุษยชาติเท่านั้น แต่ยังพุ่งเป้าไปยังทุกคนที่สามารถสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อสังคม ต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ ต่อแผ่นดินเกิดของพวกเขา ต่อคนในชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ปกครองได้  ไม่ว่าในราชวงศ์ใด ยุคใด และในชาติใดก็ตาม ย่อมมีคนที่มีพรสวรรค์ มีความสามารถ และมีความสามารถพิเศษซึ่งได้รับการ “จัดสรร” โดยสังคมและถูกใช้ประโยชน์และได้รับความเคารพจากผู้ปกครองอยู่เสมอ  เพราะพวกเขามีความสามารถพิเศษและมีความสามารถ และเพราะพวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถพิเศษและจุดแข็งของตนต่อสังคม คนในชาติ แผ่นดินเกิด และการปกครองของผู้ปกครองได้ ในสายตาของผู้ปกครองเหล่านี้ พวกเขาจึงมักจะถูกมองว่าเป็นคนที่สามารถช่วยพวกเขาปกครองมนุษยชาติได้มีประสิทธิผลมากขึ้น รวมถึงทำให้สังคมมีเสถียรภาพดีขึ้น และสงบอารมณ์อ่อนไหวของสาธารณชนได้  บุคคลประเภทนี้มักจะถูกหาประโยชน์จากผู้ปกครองที่หวังว่าคนเช่นนั้นจะไม่มี “ตัวตนที่ไร้ค่า” แต่มีเพียง “ตัวตนที่ยิ่งใหญ่” อีกทั้งหวังว่าพวกเขาจะสามารถนำจิตวิญญาณของผู้กล้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ และกลายเป็นวีรบุรุษผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่ที่มีเพียงประเทศและประชาชนของพวกเขาอยู่ในหัวใจ หวังว่าพวกเขาจะสามารถห่วงใยประเทศและประชาชนได้เป็นนิจ และถึงกับหวังว่าพวกเขาจะสามารถก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันตายเสียด้วยซ้ำ  หากพวกเขาสามารถทำเช่นนี้ได้จริง หากพวกเขาสามารถรับใช้ประเทศและประชาชนได้อย่างขยันขันแข็งด้วยกำลังทั้งหมดที่พวกเขามี และถึงกับเต็มใจทำสิ่งนั้นไปจนตาย เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมกลายเป็นผู้ช่วยที่เปี่ยมความสามารถของผู้ปกครองบางคนอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งยังถูกยอมรับว่าเป็นความภูมิใจของคนในชาติหรือสังคม หรือของทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ระหว่างบางยุคเสียด้วยซ้ำ  เมื่อไรก็ตามที่มีกลุ่มคนเช่นนั้นอยู่ในสังคมระหว่างบางยุค หรือมีผู้จงรักภักดีอันชอบธรรมหยิบมือหนึ่งที่ถูกยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่ และคนที่สามารถก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้สังคม มนุษยชาติ แผ่นดินเกิดของพวกเขา คนในชาติ และผู้ปกครองด้วยการพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต เช่นนั้นแล้ว มนุษยชาติย่อมถือว่านี่คือยุคที่รุ่งเรืองในประวัติศาสตร์

ในประวัติศาสตร์จีนมีวีรบุรุษผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่กี่คนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้ประเทศชาติและประชาชน และพยายามอย่างสุดความสามารถจนวันสุดท้ายของชีวิตได้?  พวกเจ้าบอกชื่อมาได้หรือไม่?  (ชวีหยวน ขงเบ้ง งักฮุย และอื่นๆ)  ในประวัติศาสตร์จีน ที่จริงแล้วมีบุคคลที่มีชื่อเสียงอยู่เพียงหยิบมือที่สามารถห่วงใยประเทศและประชาชน ก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้ประเทศและคนในชาติของพวกเขา และรับรองความอยู่รอดของผู้คน รวมถึงพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตได้  ในประวัติศาสตร์ทุกยุคสมัย ทั้งในประเทศจีนและประเทศอื่นๆ ไม่ว่าในเวทีการเมืองหรือในหมู่ประชาชนทั่วไปก็ย่อมมีผู้คน—ไม่ว่าเป็นนักการเมืองหรืออัศวินพเนจร—ที่ยึดมั่นในคำกล่าวทางวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่าง “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต”  ผู้คนเช่นนั้นสามารถปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ที่บอกว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” ได้อย่างละเอียดรอบคอบ ทั้งยังสามารถยึดมั่นในแนวคิดของการรับใช้ประเทศและประชาชนได้อย่างเคร่งครัด รวมถึงห่วงใยประเทศชาติและประชาชน  พวกเขาสามารถยึดมั่นในคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมเหล่านี้ รวมถึงพึงให้ตัวเองทำสิ่งเหล่านี้อย่างเคร่งครัด  แน่นอนว่าพวกเขาทำเช่นนี้เพื่อชื่อเสียงของตัวเอง เพื่อให้ผู้คนจดจำพวกเขาในอนาคต  นั่นเป็นแง่มุมหนึ่ง  ส่วนอีกแง่มุมหนึ่งก็ต้องกล่าวว่าพฤติกรรมเหล่านี้เกิดจากการที่ผู้คนเหล่านั้นถูกปลูกฝังและได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิม  แล้วจากมุมมองของความเป็นมนุษย์ ข้อพึงประสงค์เหล่านี้ที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อผู้คนเหมาะสมหรือไม่?  (ไม่เหมาะสม)  เหตุใดข้อพึงประสงค์เหล่านั้นจึงไม่เหมาะสม?  ไม่ว่าบุคคลหนึ่งมีความสามารถมากแค่ไหน หรือเป็นคนมีพรสวรรค์ มีความสามารถพิเศษ หรือมีความรู้มากเพียงไร อัตลักษณ์และสัญชาตญาณของพวกเขาก็เป็นของมนุษย์ และพวกเขาไม่มีทางก้าวข้ามขอบเขตนี้ไปได้  พวกเขาเพียงแต่มีพรสวรรค์และขีดความสามารถมากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย อีกทั้งมีมุมมองต่อสิ่งทั้งหลายเหนือกว่าคนทั่วไป มีวิธีทำสิ่งทั้งหลายที่หลากหลายและยืดหยุ่นกว่า มีประสิทธิภาพมากกว่า และสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีกว่า—ทั้งหมดก็เท่านั้น  แต่ไม่ว่าพวกเขามีประสิทธิภาพมากแค่ไหน หรือมีผลลัพธ์ที่ดีเพียงใด พวกเขาก็ยังเป็นเพียงคนธรรมดาในแง่ของอัตลักษณ์และสถานะ  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขายังเป็นคนธรรมดา?  เพราะบุคคลหนึ่งซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง ไม่ว่าความคิดของพวกเขาเฉียบแหลมแค่ไหน หรือพวกเขามีพรสวรรค์หรือมีขีดความสามารถสูงแค่ไหน พวกเขาก็ได้แค่ทำตามกฎการเอาตัวรอดของมนุษย์ทรงสร้างเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้  ลองดูสุนัขเป็นตัวอย่าง  ไม่ว่าพวกมันจะสูง เตี้ย อ้วน หรือผอมอย่างไร ไม่ว่าพวกมันมีสายพันธุ์อะไร หรืออายุมากแค่ไหน เมื่อไรที่พวกมันสื่อสารกับสุนัขตัวอื่น ปกติแล้วพวกมันก็แยกแยะเพศ ลักษณะนิสัย และท่าทีที่สุนัขตัวนั้นมีต่อพวกมันด้วยการดมกลิ่น  วิธีสื่อสารนี้เป็นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของสุนัข และยังเป็นหนึ่งในกฎและเกณฑ์สำหรับความอยู่รอดของสุนัข ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดขึ้นมา  ในทำนองเดียวกัน ผู้คนก็มีชีวิตรอดภายใต้กฎที่พระเจ้าทรงกำหนดขึ้น  ไม่ว่าเจ้ามีสติปัญญาหลักแหลมหรือมีความรู้แค่ไหน ไม่ว่าเจ้ามีขีดความสามารถสูงหรือมีพรสวรรค์เพียงไร ไม่ว่าเจ้ามีความสามารถแค่ไหน หรือมีความบากบั่นยิ่งใหญ่เพียงใด ในทุกๆ วันเจ้าก็ต้องนอนหลับ 6-8 ชั่วโมง และกินอาหารสามมื้อ  เจ้าจะรู้สึกหิวหากเจ้าพลาดมื้ออาหารไปหนึ่งมื้อ และจะกระหายหากเจ้าไม่ได้ดื่มน้ำให้เพียงพอ  เจ้ายังต้องออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมออีกด้วย  ยิ่งอายุมากขึ้น วิสัยทัศน์ในการมองเห็นของเจ้าก็จะพร่ามัวและโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดอาจจะเกิดขึ้นกับเจ้า  นี่คือกฎธรรมชาติที่เป็นปกติของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้  ไม่มีใครสามารถแหกกฎและหนีรอดไปจากกฎนี้ได้  จากสิ่งนี้ ไม่ว่าเจ้ามีความสามารถแค่ไหน และไม่ว่าเจ้ามีขีดความสามารถและความสามารถพิเศษเช่นไร เจ้าก็ยังเป็นคนธรรมดา  ต่อให้เจ้าสามารถติดปีกและบินวนบนฟ้าได้ถึงสองรอบ สุดท้ายเจ้าก็ยังคงต้องกลับลงมาบนแผ่นดินโลกและเดินด้วยสองเท้า และพักเมื่อรู้สึกเหนื่อย กินเมื่อรู้สึกหิว และดื่มน้ำเมื่อรู้สึกกระหาย  นี่คือสัญชาตญาณของมนุษย์ และสัญชาตญาณนี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ให้เจ้า  เจ้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้ และไม่สามารถหนีรอดจากสิ่งนี้ได้  ไม่ว่าเจ้ามีความสามารถยิ่งใหญ่แค่ไหน เจ้าก็ไม่สามารถละเมิดกฎนี้ และไม่สามารถก้าวข้ามขอบเขตนี้ไปได้  ด้วยเหตุนั้น ไม่ว่าผู้คนมีความสามารถขนาดไหน อัตลักษณ์และสถานะในฐานะผู้คนของพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง รวมถึงอัตลักษณ์และสถานะของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างด้วย  ต่อให้เจ้าสามารถสร้างคุณูปการที่โดดเด่นและพิเศษอยู่เล็กน้อยต่อมนุษยชาติ เจ้าก็ยังคงเป็นมนุษย์ และเมื่อไรก็ตามที่เจ้าเผชิญกับอันตราย เจ้าจะยังคงรู้สึกขวัญเสียและตื่นตระหนก เข่าอ่อน และถึงกับสูญเสียการควบคุมการทำงานของร่างกายเสียด้วยซ้ำ  เจ้าอาจจะเป็นเช่นนี้เพราะอะไร?  เพราะเจ้าเป็นมนุษย์นั่นเอง  ในเมื่อเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าย่อมมีพฤติกรรมเหล่านี้ที่มนุษย์พึงมี  สิ่งเหล่านี้เป็นกฎธรรมชาติ และไม่มีใครหนีพ้นไปได้  แน่นอนว่าเพียงเพราะเจ้าได้สร้างคุณูปการอันโดดเด่นไว้มากมาย ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้ากลายเป็นยอดมนุษย์ เป็นคนพิเศษ หรือเลิกเป็นคนธรรมดา  สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไปไม่ได้  ดังนั้นสมมุติว่า ต่อให้เจ้าสามารถก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้ประเทศและคนในชาติ และพยายามอย่างสุดความสามารถจนวันสุดท้ายของชีวิต ลึกๆ ในหัวใจของเจ้าก็จะต้องแบกรับความกดดันอย่างหนักเพราะเจ้าดำเนินชีวิตอยู่ในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ!  เจ้าพึงให้ตัวเองห่วงใยประเทศชาติและประชาชนอยู่ตลอดวัน และเผื่อที่ในหัวใจให้ประเทศและประชาชนทุกคน ด้วยเชื่อว่าขนาดของเวทีกำหนดโดยขนาดของหัวใจเจ้า—แต่เป็นเช่นนั้นหรือ?  (ไม่)  บุคคลหนึ่งจะไม่มีวันต่างจากคนทั่วไปเพียงเพราะคิดนอกกรอบ และพวกเขาจะไม่แตกต่างหรือเหนือกว่าคนทั่วไป หรือได้รับอนุญาตให้ละเมิดกฎเกณฑ์ของความเป็นมนุษย์ที่ปกติและกฎของความอยู่รอดเพียงเพราะพวกเขามีความสามารถพิเศษหรือมีพรสวรรค์ และเพราะพวกเขาได้สร้างคุณูปการอันโดดเด่นแก่เผ่าพันธุ์มนุษย์  ดังนั้นข้อพึงประสงค์ที่ให้มนุษยชาติ “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” จึงไร้มนุษยธรรมมาก  ต่อให้บุคคลหนึ่งมีความสามารถและแนวคิดที่ยอดเยี่ยมกว่าคนทั่วไป หรือมีวิสัยทัศน์และการตัดสินที่ดีกว่า หรือจัดการเรื่องทั้งหลายเก่งกว่าคนทั่วไป หรือดูและอ่านคนได้ดีกว่า—หรือไม่ว่าพวกเขาเก่งกว่าคนทั่วไปมากแค่ไหน—พวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ในเนื้อหนังและยังต้องทำตามกฎและเกณฑ์ของความอยู่รอดของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ในเมื่อพวกเขาต้องปฏิบัติตามกฎและเกณฑ์ของความอยู่รอดของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ การสร้างข้อเรียกร้องที่ไม่สมจริงจากพวกเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์นั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ไร้มนุษยธรรมมิใช่หรือ?  นี่คือการเหยียบย่ำความเป็นมนุษย์ของพวกเขาทางหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนกล่าวว่า “พรสวรรค์และความสามารถพิเศษเหล่านี้ที่สวรรค์ประทานให้ฉันย่อมทำให้ฉันเป็นคนพิเศษ ไม่ใช่คนธรรมดา  ฉันควรเก็บทุกสิ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์มาใส่หัวใจ—ทั้งประชาชน เพื่อนร่วมชาติ แผ่นดินเกิดของฉัน และโลกใบนี้”  เราขอบอกเจ้าว่า การเก็บสิ่งเหล่านี้ไปใส่หัวใจของเจ้าเป็นภาระเพิ่มเติมที่ชนชั้นปกครองและซาตานกำหนดให้เจ้า เพราะฉะนั้นการทำเช่นนี้ย่อมเป็นการที่เจ้ากำลังพาตัวเองไปอยู่บนเส้นทางของหายนะ  หากเจ้าต้องการเก็บโลก ประชาชน เพื่อนร่วมชาติ แผ่นดินเกิดของเจ้า รวมถึงอุดมคติและความอยากได้อยากมีของผู้ปกครองไปใส่หัวใจของเจ้า เช่นนั้นเจ้าจะตายไว  หากเจ้าเก็บสิ่งเหล่านี้ไปใส่หัวใจ นี่ก็เหมือนกับการพาตัวเองไปอยู่ในจุดเสี่ยงและนั่งอยู่บนลังระเบิด  การทำเช่นนี้อันตรายมาก และเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง  เมื่อเจ้าถือสิ่งเหล่านี้ไว้ในหัวใจ เจ้าย่อมเรียกร้องจากตัวเองโดยคิดว่า “ฉันต้องก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต  ฉันต้องมีส่วนช่วยในเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของประเทศชาติและมนุษยชาติ และฉันต้องทิ้งชีวิตของตัวเองเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์”  การมีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งเช่นนั้นรังแต่จะนำเจ้าไปสู่จุดจบก่อนวัยอันควร การตายอย่างผิดธรรมชาติ และความพินาศโดยสิ้นเชิงเท่านั้น  คิดดูเถิดว่า บรรดาบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ที่เก็บโลกมาใส่หัวใจ มีกี่คนที่ตายอย่างมีความสุข?  บางคนปลิดชีพตัวเองด้วยการกระโดดลงแม่น้ำ บางคนถูกผู้ปกครองประหารชีวิต บางคนถูกบั่นคอด้วยกิโยติน และบางคนก็ถูกเชือกรัดคอจนตาย  เป็นไปได้หรือไม่ที่มนุษย์จะเก็บโลกไปใส่หัวใจของพวกเขา?  เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของแผ่นดินเกิด ความเจริญรุ่งเรืองของคนในชาติ โชคชะตาของประเทศ และชะตากรรมของมนุษยชาติคือสิ่งที่คนเราสามารถแบกไว้บนบ่าและเผื่อที่ในหัวใจให้ได้งั้นหรือ?  หากเจ้าสามารถเผื่อที่ในหัวใจให้พ่อแม่และลูกๆ ของเจ้า ให้คนที่เจ้าใกล้ชิดและรักใคร่ที่สุด ให้ความรับผิดชอบและภารกิจของตัวเจ้าที่ฟ้าสวรรค์มอบหมายมาให้ เช่นนั้นเจ้าก็กำลังทำได้ดีมาก และได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าแล้ว  เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงใยประเทศหรือประชาชน และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเป็นวีรบุรุษผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่  พวกที่ต้องการเก็บโลก คนในชาติ และแผ่นดินแม่ไปใส่หัวใจเสมอคือใคร?  พวกเขาล้วนเป็นคนทะเยอทะยานเกินตัวที่ประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป  หัวใจของเจ้าใหญ่มากจริงหรือ?  เจ้าไม่ได้เป็นพวกทะเยอทะยานเกินตัวหรอกหรือ?  ความทะเยอทะยานของเจ้ามาจากไหนกันแน่?  เมื่อเจ้าเก็บสิ่งเหล่านี้ไปใส่หัวใจ เจ้าจะทำอะไรได้เล่า?  เจ้าจะสามารถจัดการและควบคุมโชคชะตาของใครได้?  เจ้าไม่สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเจ้าเองได้ด้วยซ้ำ แต่เจ้าก็ยังต้องการที่จะเก็บโลก คนในชาติ และมนุษยชาติไปใส่หัวใจของเจ้า  นี่ไม่ใช่ความทะเยอทะยานของซาตานหรอกหรือ?  ดังนั้น พวกที่มองว่าตัวเองเป็นคนมีความสามารถ ปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” อย่างรอบคอบ ย่อมกำลังเดินตามเส้นทางสู่ความพินาศ นี่คือการรนหาที่ตาย!  ผู้ใดก็ตามที่ต้องการห่วงใยประเทศและประชาชน อีกทั้งก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้ผู้คนและแผ่นดินเกิดของพวกเขา และพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต ต่างกำลังมุ่งหน้าสู่วาระสุดท้ายของตัวเอง  คนเหล่านี้ควรค่าที่จะรักหรือไม่?  (ไม่ พวกเขาไม่ควรค่าที่จะรัก)  คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่ควรค่าที่จะรักเท่านั้น แต่พวกเขายังถึงกับค่อนข้างน่าเวทนาและน่าหัวร่อ ทั้งยังโง่เขลาอย่างที่สุดอีกด้วย!

ในฐานะคนคนหนึ่ง เจ้าต้องลุล่วงภาระผูกพันและความรับผิดชอบภายในครอบครัวของเจ้า รับบทบาทและลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าในกลุ่มสังคมหรือชาติพันธุ์ใดก็ตามอย่างถูกต้องเหมาะสม ปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับของสังคม และประพฤติตนอย่างเป็นเหตุเป็นผล แทนที่จะพูดสิ่งที่ฟังดูสูงส่ง  การทำในสิ่งที่ผู้คนสามารถทำได้และควรทำ—นี่คือสิ่งที่เหมาะสม  ในส่วนของครอบครัว สังคม ประเทศ และผู้คนนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้สิ่งเหล่านี้และพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตเจ้า  เจ้าเพียงต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีอย่างสุดหัวใจ สุดจิตใจ และสุดกำลังในครอบครัวของพระเจ้าเท่านั้นเอง  แล้วเจ้าควรทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีอย่างไร?  การทำตามพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงดังที่พระเจ้ามีพระประสงค์ย่อมเพียงพอแล้ว  เจ้าไม่จำเป็นต้องเก็บน้ำพระทัยของพระเจ้า ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร แผนการบริหารจัดการของพระองค์ พระราชกิจสามช่วงระยะของพระองค์ และพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษยชาติให้รอดไปใส่หัวใจของเจ้าตลอดทั้งวัน  การถือสิ่งเหล่านี้ไว้ในหัวใจของเจ้าเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น  เหตุใดจึงไม่จำเป็นเล่า?  เพราะเจ้าเป็นคนธรรมดา เป็นคนไม่สำคัญ และเพราะเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในพระหัตถ์ของพระเจ้า จุดยืนที่เจ้าควรนำมาใช้และความรับผิดชอบที่เจ้าควรแบกรับคือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีด้วยความจริงจัง ยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า นบนอบสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียง นั่นย่อมเพียงพอแล้ว  ข้อพึงประสงค์นี้มากเกินไปหรือไม่?  (ไม่ ไม่มากเกินไป)  พระเจ้าทรงขอให้เจ้าสละชีวิตของเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าไม่ทรงมีพระประสงค์ให้เจ้าสละชีวิตของตัวเอง ขณะที่คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมกลับประสงค์ว่า “ตราบเท่าที่เจ้าพอมีความสามารถ หัวใจ และจิตวิญญาณอันกล้าหาญแม้แต่ที่เล็กน้อยที่สุด เช่นนั้นเจ้าก็ควรก้าวไปข้างหน้าและก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้ชาติและแผ่นดินเกิดของเจ้า  จงยอมทิ้งชีวิตของเจ้า ละทิ้งครอบครัวและญาติพี่น้องของเจ้า ละทิ้งความรับผิดชอบของเจ้าเสีย  จงวางตัวเองอยู่กลางสังคมนี้ ท่ามกลางเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ และรับผิดชอบเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของชาติ เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของการฟื้นฟูประเทศ และเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของการช่วยมนุษยชาติทั้งปวงให้รอดจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตเจ้า”  นี่เป็นข้อพึงประสงค์ที่สุดโต่งใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อมนุษย์ยอมรับแนวคิดที่สุดโต่งเช่นนี้ พวกเขาย่อมเชื่อว่าตัวเองสูงส่ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของคนที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะทาง มีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีใหญ่โตเป็นพิเศษ พวกเขาพยายามให้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์และเป็นที่จดจำของผู้คนรุ่นหลัง รวมถึงพึงให้ตัวเองทำตามจุดมุ่งหมายบางอย่างในชีวิตนี้ พวกเขาจึงเทิดทูนและให้ค่าทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นพิเศษ  เช่นเดียวกับคำกล่าวที่เสนอโดยวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” และ “ความตายอาจหนักกว่าภูเขาไท่ซาน หรืออาจเบายิ่งกว่าขนนก” ผู้คนเช่นนั้นมุ่งมั่นที่จะหนักกว่าภูเขาไท่ซาน  คำกล่าวที่ว่า “ความตายอาจหนักกว่าภูเขาไท่ซาน หรืออาจเบายิ่งกว่าขนนก” หมายถึงอะไร?  สิ่งนี้ไม่ได้หมายถึงการตายเพื่อผลประโยชน์อันไร้นัยสำคัญ และไม่ได้มีไว้เพื่อการใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง หรือการทำตามกฎธรรมชาติ  ในทางกลับกัน คำกล่าวนี้หมายถึงการตายเพื่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ เพื่อฟื้นฟูชาติ เพื่อความรุ่งเรืองของประเทศ และเพื่อการพัฒนาสังคม และเพื่อชี้นำครรลองของมนุษยชาติ  ความคิดที่ไม่สมจริงเหล่านี้ของมนุษย์ได้ผลักพวกเขาเข้าไปอยู่ท่ามกลางปัญหา  นี่คือหนทางที่จะทำให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างผาสุกงั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  พวกเขาจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างผาสุก  เมื่อผู้คนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางปัญหา พวกเขาย่อมคิดและทำต่างจากคนธรรมดา รวมถึงไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่ต่างออกไป  พวกเขาต้องการประกาศแผนอันทะเยอทะยานของตน บรรลุเป้าหมายสำคัญและความสำเร็จยิ่งใหญ่ รวมถึงสัมฤทธิ์สิ่งใหญ่โตด้วยการชี้นิ้ว  คนบางคนค่อยๆ ก้าวเข้าสู่การเมือง เพราะมีเพียงเวทีการเมืองเท่านั้นที่สามารถตอบสนองความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขาได้  คนบางคนกล่าวว่า “เวทีการเมืองมีลับลมคมนัยมากเกินไป ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ฉันก็ยังปรารถนาที่จะมีส่วนช่วยอะไรบางอย่างต่อเป้าหมายที่เป็นธรรมของมนุษยชาติ”  ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าร่วมในองค์กรที่ไม่ข้องเกี่ยวกับการเมือง  คนอื่นๆ กล่าวว่า “ฉันจะไม่เข้าร่วมในองค์กรที่ไม่ข้องเกี่ยวกับการเมือง  ฉันจะเป็นวีรบุรุษผู้สันโดษที่ใช้ความชำนาญของตัวเองให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการปล้นคนรวยมาช่วยคนจน เชี่ยวชาญในการฆ่าเจ้าหน้าที่ทุจริต ทรราชในท้องถิ่น ผู้ดีชั่ว ตำรวจเลว อันธพาลและผู้ร้าย และช่วยเหลือคนธรรมดาและคนยากจน”  ไม่ว่าพวกเขาเลือกเดินเส้นทางใด พวกเขาก็ทำไปภายใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมดั้งเดิม และไม่มีเส้นทางไหนถูกต้องเลย  ไม่ว่าสิ่งที่ผู้คนแสดงออกจะสอดคล้องกับกระแสสังคมหรือรสนิยมที่แพร่หลายมากแค่ไหน การแสดงออกเหล่านั้นก็ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะมนุษยชาติมักถือว่าการแสดงออกอย่าง “ห่วงใยประเทศชาติและผู้คน” “เก็บทุกสิ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์มาใส่หัวใจ” “วีรบุรุษผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่” และ “เป้าหมายอันเป็นธรรมของแผ่นดินเกิด” เป็นเป้าหมายของการอุทิศตนและไล่ตามไขว่คว้า ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต  นี่คือความเป็นจริงของสถานการณ์นี้  มีใครเคยพูดว่า “สิ่งที่ฉันต้องการในชีวิตนี้คือการเป็นชาวนา ที่ ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” หรือไม่?  มีใครเคยพูดว่า “ฉันจะเลี้ยงวัวควายและเลี้ยงแกะไปตลอดชีวิตที่เหลือ ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” หรือไม่?  มีใครเคยใช้คำกล่าวที่ว่าในสถานการณ์เหล่านี้บ้างหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนใช้คำกล่าวว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” กับความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีที่ไม่สมจริง ใช้วาทศิลป์อันน่าฟังเพื่อปกปิดความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานในตัวเอง  แน่นอนว่าคำกล่าวที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” ยังทำให้เกิดความคิดและการปฏิบัติที่วิปลาสและไม่สมจริง อย่างเช่น การห่วงใยประเทศชาติและผู้คน และการมีทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์ในหัวใจคนเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายมากมายอย่างมีนัยสำคัญต่อบรรดาผู้มีอุดมการณ์และผู้มีวิสัยทัศน์ด้วย

เวลานี้ที่พวกเราชำแหละคำกล่าวที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” และสามัคคีธรรมคำกล่าวนี้อย่างครอบคลุม พวกเจ้าเข้าใจทุกสิ่งที่กล่าวไปใช่หรือไม่?  (ใช่)  สรุปคือ ขณะนี้พวกเราสามารถมั่นใจได้แล้วว่าคำกล่าวนี้ไม่เป็นบวก และไม่มีความหมายที่เป็นบวกหรือสัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย  แล้วคำกล่าวนี้ส่งผลกระทบประเภทใดต่อผู้คน?  คำกล่าวนี้ร้ายแรงถึงตายใช่หรือไม่?  มันมุ่งหวังชีวิตของผู้คนใช่หรือไม่?  การเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “คำกล่าวที่ร้ายแรงถึงตาย” เหมาะสมแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ข้อเท็จจริงก็คือ คำกล่าวนี้พรากชีวิตเจ้าไป  มันใช้คำพูดรื่นหูเพื่อทำให้เจ้ารู้สึกว่า การที่เจ้าสามารถใช้ชีวิตแบบก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตได้นั้นช่างเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และน่าสรรเสริญ ทั้งยังทำให้เจ้าเป็นคนที่มีหัวใจยิ่งใหญ่เหลือเกิน  การมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นหมายความว่า เจ้าไม่เหลือพื้นที่ให้กับการนึกถึงฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ ซอสถั่วเหลือง น้ำส้มสายชู ชา และข้าวของอื่นๆ ในบ้านอีกต่อไป นับประสาอะไรกับการดูแลภรรยาและลูกๆ ของเจ้า หรือการถวิลหาเตียงอันอบอุ่น  ผู้ที่มีหัวใจยิ่งใหญ่จะยอมรับการอยู่โดยไม่มีสิ่งพิเศษบ้างเลยได้อย่างไร?  สำหรับเจ้าแล้ว การที่ในหัวใจเจ้ามีที่ให้เพียงสิ่งต่างๆ อย่างฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ ซอสถั่วเหลือง น้ำส้มสายชู และชานั้นเป็นเรื่องธรรมดาเกินไปหรือ?  เจ้าต้องเผื่อที่ในหัวใจให้สิ่งทั้งหลายที่คนทั่วไปไม่สามารถทำได้ อย่างเช่น คนในชาติ กิจการอันยิ่งใหญ่ของแผ่นดินเกิดของเจ้า โชคชะตาของมนุษยชาติ และอื่นๆ—นี่คือ “เมื่อฟ้าสวรรค์กำลังจะมอบความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่งให้บุคคลหนึ่ง” นั่นเอง  เมื่อผู้คนได้รับแนวคิดทำนองนี้ไป พวกเขาย่อมมุ่งมาดปรารถนาที่จะก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตยิ่งกว่าเดิมโดยใช้คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมมาเคี่ยวเข็ญตัวเองอยู่เป็นนิจ พลางคิดว่า “ฉันต้องก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้โชคชะตาของแผ่นดินเกิดของฉันและมนุษยชาติ และพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต นี่คือความบากบั่นและความมุ่งมาดปรารถนาชั่วชีวิตของฉัน”  แต่ปรากฏว่า พวกเขาไม่สามารถแบกรับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของชาติและแผ่นดินเกิดได้ ทั้งยังเริ่มเหนื่อยจนกระอักเลือด—การก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถสุดท้ายก็ทำให้พวกเขาเสียชีวิต  ผู้คนเช่นนั้นไม่รู้ว่าผู้คนควรใช้ชีวิตอย่างไร ความเป็นมนุษย์คืออะไร หรือความรู้สึกของมนุษย์คืออะไร ความรักคืออะไร ความเกลียดชังคืออะไร และถึงกับร้องไห้อย่างหนักเสียจนไม่มีน้ำตาด้วยความห่วงใยประเทศชาติและประชาชน และจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย พวกเขาก็ยังไม่สามารถปล่อยวางเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของชาติและแผ่นดินเกิดของตนได้  คำว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” นั้นเป็นคำกล่าวร้ายแรงที่มุ่งหวังชีวิตของผู้คนใช่หรือไม่?  ผู้คนเช่นนั้นตายอย่างน่าเวทนามิใช่หรือ?  (ใช่)  แม้ในห้วงแห่งความตาย ผู้คนเช่นนั้นก็ยังไม่ยอมละทิ้งความคิดและแนวคิดอันว่างเปล่าของตัวเอง และท้ายที่สุดพวกเขาก็ตายไปแบบมีความขุ่นข้องและความเกลียดชังอยู่ในภายในใจ  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาตายไปแบบมีความขุ่นข้องหมองใจและความเกลียดชังอยู่ภายในใจ?  เพราะพวกเขาไม่สามารถปล่อยวางคนในชาติ แผ่นดินเกิดของพวกเขา ชะตากรรมของมนุษยชาติ และภารกิจที่ผู้ปกครองมอบหมายให้พวกเขาได้  พวกเขาคิดว่า “โธ่เอ๋ย ชีวิตฉันช่างสั้นเหลือเกิน  หากฉันมีชีวิตอยู่ได้อีกสักสองถึงสามพันปี ฉันคงจะเห็นว่าอนาคตของมนุษยชาติมุ่งไปทางไหน”  พวกเขาใช้เวลาชั่วชีวิตเก็บทุกสิ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์มาใส่หัวใจของตน และท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังไม่สามารถปล่อยวางสิ่งนั้นได้  แม้ในห้วงแห่งความตาย พวกเขาก็ไม่รู้ว่าอัตลักษณ์ของตัวเองเป็นอย่างไร หรือพวกเขาควรทำหรือไม่ควรทำสิ่งใด  ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาเป็นคนธรรมดา และควรจะใช้ชีวิตของคนธรรมดา แต่พวกเขากลับยอมรับการชักพาให้หลงผิดของซาตานและพิษร้ายของวัฒนธรรมดั้งเดิม และถือว่าตัวเองเป็นผู้ช่วยให้รอดของโลก  นั่นไม่น่าเวทนาหรอกหรือ?  (น่าเวทนา)  สิ่งนี้น่าเวทนาอย่างยิ่ง!  บอกเราทีว่า หากชวีหยวนไม่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดดั้งเดิมเรื่องความชอบธรรมอันยิ่งใหญ่ของชาติ เขาจะปลิดชีพตัวเองด้วยการกระโดดลงแม่น้ำหรือไม่?  เขาจะกระทำการอันสุดโต่งเช่นนั้นด้วยการจบชีวิตของเขาเองหรือไม่?  (ไม่)  เขาน่าจะไม่ทำเช่นนั้นแน่  เขาเป็นเหยื่อของวัฒธรรมดั้งเดิม เป็นคนที่บุ่มบ่ามปลิดชีพตัวเองโดยไม่ทันได้ใช้ชีวิตไปจนสิ้นอายุขัย  หากเขาไม่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งเหล่านี้และไม่ได้ห่วงใยประเทศชาติและประชาชน แต่กลับมุ่งดำเนินชีวิตของตัวเองแทน เขาจะสามารถอยู่ไปจนชราและหมดอายุขัยไปตามธรรมชาติได้หรือไม่?  เขาจะได้ตายตามปกติใช่หรือไม่?  หากเขาไม่ได้มุ่งมาดปรารถนาที่จะก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต เขาจะได้มีชีวิตที่มีความสุข อิสระ และสงบสุขมากกว่านี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  นั่นคือเหตุผลที่คำว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” เป็นคำกล่าวร้ายแรงที่หวังเอาชีวิตของผู้คน  เมื่อบุคคลหนึ่งรับเอาความคิดประเภทนี้มา พวกเขาก็เริ่มใช้เวลาทั้งวันไปกับการทรมานใจเรื่องของประเทศและประชาชน และลงเอยด้วยการเป็นห่วงสิ่งเหล่านั้นจนตัวตาย โดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะที่สิ่งเหล่านั้นเป็นอยู่ได้เลย  ชีวิตของพวกเขาไม่ได้ถูกแนวคิดและทัศนะที่ว่า ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต ขโมยไปหรอกหรือ?  โดยแท้แล้ว แนวคิดและทัศนะเช่นนั้นร้ายแรงและเรียกร้องเอาชีวิตของผู้คน  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนั้น?  มีใครสามารถเว้นที่ในหัวใจของตัวเองให้ชะตากรรมของประเทศหรือคนในชาติได้บ้าง?  ผู้ใดสามารถแบกรับภาระเช่นนั้นได้?  นี่ไม่ใช่การประเมินความสามารถของคนเราสูงเกินไปหรอกหรือ?  เหตุใดผู้คนจึงมีแนวโน้มที่จะประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป?  คนบางคนรับเอาทั้งหมดนั้นมาเองใช่หรือไม่?  นี่เป็นเพราะพวกเขาเต็มใจที่จะเริ่มทำสิ่งนี้เองใช่หรือไม่?  ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาเป็นเหยื่อ ทว่าเหยื่อของอะไรเล่า?  (ของแนวคิดและทัศนะที่ซาตานปลูกฝังใส่ผู้คน)  ถูกต้อง พวกเขาเป็นเหยื่อของซาตานนั่นเอง  ซาตานปลูกฝังแนวคิดเหล่านี้ใส่ผู้คน โดยบอกพวกเขาว่า “เจ้าต้องยึดถือทุกสิ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์ไว้ในหัวใจของตน เก็บราษฎรมาใส่หัวใจของเจ้า ห่วงใยประเทศและประชาชน ทำตัวเป็นอัศวินพเนจร เป็นคนชอบธรรมที่ปล้นคนรวยมาช่วยคนจน และมีส่วนช่วยเหลือในโชคชะตาของมนุษยชาติ ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตแทนที่จะใช้ชีวิตสุดแสนธรรมดา  เจ้าจะลุล่วงความรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคมทำไมเล่า?  สิ่งเหล่านั้นไม่ควรค่าที่จะกล่าวถึง ผู้คนที่ทำเช่นนั้นย่อมเป็นดั่งมด  เจ้าไม่ใช่มด และเจ้าก็ไม่ควรเป็นนกกระจอก  ในทางกลับกันเจ้าควรเป็นนกอินทรี และเจ้าต้องกางปีกโผบินไป รวมถึงมีความมุ่งมาดปรารถนาที่ยิ่งใหญ่”  การยุยงส่งเสริมและรบเร้าเช่นนั้นทำให้ผู้คนสับสน พลางคิดว่า “ถูกต้องเลย!  ฉันจะเป็นนกกระจอกไม่ได้ ฉันต้องเป็นนกอินทรีที่โผบินสูงขึ้นไป”  อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพยายามแค่ไหนพวกเขาก็ไม่สามารถบินสูงขึ้นไปได้ และในที่สุดพวกเขาก็ร่วงลงมาเสียชีวิตจากความเหนื่อยล้า ทำลายตัวเองจากสิ่งที่พวกเขาทำ  ข้อเท็จจริงคือเจ้าไม่ได้สลักสำคัญอะไร  เจ้าไม่ใช่นกกระจอก และเจ้าก็ไม่ใช่นกอินทรีด้วย  แล้วเจ้าเป็นอะไรหรือ?  (เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง)  ถูกต้อง เจ้าเป็นคนธรรมดา เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดา  การที่เจ้าพลาดอาหารสักมื้อจากสามมื้อต่อวันย่อมไม่เป็นไร แต่การไม่กินอะไรเลยติดต่อกันหลายๆ วันเป็นเรื่องที่ใช้ไม่ได้  เจ้าจะแก่ เจ้าจะเจ็บป่วย เจ้าจะตาย เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา  ผู้คนที่มีความสามารถและความสามารถพิเศษอยู่บ้างย่อมกลายเป็นโอหังอย่างเหลือล้นได้ และเมื่อถูกซาตานยุยง ส่งเสริม ล่อลวง และชักพาให้หลงผิดในหนทางนี้ พวกเขาก็สับสนจนคิดจริงๆ ว่าตัวเองคือพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้  พวกเขาเยื้องย่างเข้ามานั่งในที่ของพระผู้ช่วยให้รอด และก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้ประเทศชาติและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต และไม่นึกถึงภารกิจ ความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน หรือชีวิตของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คนเลย  ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงรู้สึกว่าชีวิตไม่ได้สำคัญหรือล้ำค่า เป้าหมายของแผ่นดินเกิดของตนคือสิ่งล้ำค่าที่สุด พวกเขาต้องยึดถือทุกสิ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์ไว้ในหัวใจ อีกทั้งห่วงใยประเทศและประชาชน การทำเช่นนั้นย่อมจะทำให้พวกเขาเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยล้ำค่าที่สุด มีศีลธรรมสูงส่งที่สุด และทุกคนควรใช้ชีวิตเช่นนี้  ซาตานปลูกฝังความคิดเหล่านี้แก่ผู้คน ชักพาพวกเขาให้หลงผิดและส่งเสริมให้พวกเขาทิ้งอัตลักษณ์ของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและคนธรรมดา อีกทั้งทำอะไรบางอย่างที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง  จุดจบของเรื่องนี้คืออะไร?  พวกเขาพาตัวเองเดินทางไปบนเส้นทางสู่หายนะ และไปสู่ความสุดโต่งโดยไม่รู้ตัว  คำว่า “ไปสู่ความสุดโต่ง” หมายความว่าอย่างไร?  คำนี้หมายถึงการพลัดออกจากข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ และจากสัญชาตญาณที่พระเจ้าทรงลิขิตให้มนุษยชาติมากขึ้นเรื่อยๆ  ท้ายที่สุดผู้คนเช่นนั้นย่อมเจอกับทางตัน ซึ่งเป็นเส้นทางไปสู่จุดจบของพวกเขานั่นเอง

ในเรื่องของวิธีที่ผู้คนควรใช้ชีวิต พระเจ้าทรงมีข้อพึงประสงค์อย่างไรต่อมนุษยชาติ?  ข้อเท็จจริงก็คือข้อพึงประสงค์เหล่านั้นเรียบง่ายมาก  ข้อพึงประสงค์ที่ว่านั้นคือให้ตั้งตนอยู่ในที่ที่เหมาะสมของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และลุล่วงหน้าที่ที่ที่บุคคลหนึ่งพึงลุล่วง  พระเจ้าไม่ทรงร้องขอให้เจ้าเป็นยอดมนุษย์หรือเป็นคนที่สูงส่ง และพระองค์ก็ไม่ได้ประทานปีกให้เจ้าบินขึ้นไปบนฟ้า  พระองค์เพียงประทานสองมือและสองขาที่ทำให้เจ้าเดินบนพื้นทีละก้าว และวิ่งในยามที่จำเป็นเท่านั้น  อวัยวะภายในที่พระเจ้าทรงสร้างให้กับเจ้านั้นย่อยและดูดซึมอาหาร และให้สารอาหารแก่ทั้งร่างกายของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงต้องยึดมั่นในการกินอาหารสามมื้อต่อวันเป็นกิจวัตร  พระเจ้าได้ประทานเจตจำนงเสรี สติปัญญาของความเป็นมนุษย์ที่เป็นปกติ รวมถึงมโนธรรมและสำนึกที่มนุษย์พึงมีให้แก่เจ้า  หากเจ้าใช้สิ่งเหล่านี้ให้ดีและถูกต้อง ทำตามกฎของความอยู่รอดทางกายภาพ ดูแลสุขภาพของเจ้าอย่างเหมาะสม แน่วแน่ทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้เจ้าทำ และสัมฤทธิ์สิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์ให้เจ้าสัมฤทธิ์ เช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว และสิ่งนี้ยังเรียบง่ายมากอีกด้วย  พระเจ้าทรงเคยร้องขอให้เจ้าก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตหรือไม่?  พระองค์ทรงเคยร้องขอให้เจ้าทรมานตัวเองหรือไม่?  (ไม่เคย)  พระเจ้าไม่ต้องประสงค์สิ่งเหล่านั้น  ผู้คนไม่ควรทรมานตัวเอง แต่ควรมีสามัญสำนึกและตอบสนองต่อความต้องการต่างๆ ของร่างกายอย่างถูกต้องเหมาะสม  จงดื่มน้ำเมื่อเจ้ารู้สึกกระหาย เพิ่มอาหารเมื่อรู้สึกหิว พักผ่อนเมื่อรู้สึกเหนื่อย ออกกำลังกายหลังจากนั่งนานๆ พบแพทย์เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย หมั่นกินอาหารสามมื้อต่อวัน และรักษาชีวิตที่มีความเป็นมนุษย์ที่เป็นปกติเอาไว้  แน่นอนว่าเจ้าควรทำหน้าที่ตามปกติของเจ้าต่อไปด้วย  หากหน้าที่ของเจ้าเกี่ยวข้องกับความรู้เฉพาะทางบางอย่างที่เจ้าไม่เข้าใจ เจ้าก็ควรไปศึกษาและฝึกฝนสิ่งนั้น  นี่คือชีวิตที่เป็นปกติ  หลักธรรมในการปฏิบัติทั้งหลายที่พระเจ้าทรงเสนอแก่ผู้คนล้วนเป็นสิ่งที่สติปัญญาของมนุษย์ปกติสามารถจับความเข้าใจได้ เป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถเข้าใจและยอมรับได้ และไม่เกินขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่เป็นปกติแม้แต่น้อย  หลักธรรมเหล่านั้นล้วนอยู่ในขอบเขตที่มนุษย์สามารถบรรลุได้ และไม่เกินขอบเขตของสิ่งที่ถูกควรแต่อย่างใด  พระเจ้าไม่ได้ต้องประสงค์ทรงให้ผู้คนเป็นยอดมนุษย์หรือเป็นคนสูงส่ง ขณะที่คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมนั้นบังคับให้ผู้คนมุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นยอดมนุษย์หรือคนที่สูงส่ง  พวกเขาไม่เพียงต้องรับผิดชอบเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของประเทศและคนในชาติเท่านั้น แต่ยังต้องก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตอีกด้วย  สิ่งนี้บังคับให้พวกเขาพลีชีวิตของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  พระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นไรต่อชีวิตของผู้คน?  พระเจ้าทรงคุ้มครองผู้คนให้ปลอดภัยในทุกสถานการณ์ และทรงคุ้มกันพวกเขาจากการร่วงสู่การทดลองและสถานการณ์อันตรายอื่นๆ และทรงคุ้มครองชีวิตของพวกเขา  เป้าหมายที่พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้คืออะไร?  คือเพื่อทำให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตที่ดี  สิ่งใดเป็นวัตถุประสงค์ของการทำให้มนุษย์ได้ใช้ชีวิตที่ดี?  พระองค์ไม่ทรงบังคับให้เจ้าเป็นยอดมนุษย์และยึดถือทุกสิ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์เอาไว้ในหัวใจของเจ้า อีกทั้งไม่ทรงบังคับให้เจ้าต้องห่วงใยประเทศชาติหรือประชาชน นับประสาอะไรกับการเข้ามาปกครองและจัดวางเรียบเรียงทุกสรรพสิ่งแทนพระองค์ รวมถึงปกครองมนุษยชาติ  ในทางกลับกัน พระองค์ต้องประสงค์ให้เจ้าตั้งตนอยู่ในที่ที่เหมาะสมของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ปฏิบัติหน้าที่ที่ผู้คนควรปฏิบัติ และทำในสิ่งที่ผู้คนควรทำ  มีหลายสิ่งที่เจ้าควรทำ และสิ่งเหล่านั้นไม่ได้หมายรวมถึงการปกครองเหนือโชคชะตาของมนุษยชาติ ยึดถือทุกสิ่งใต้ฟ้าสวรรค์ไว้ในหัวใจของเจ้า หรือยึดถือมนุษยชาติ แผ่นดินเกิดของเจ้า คริสตจักร น้ำพระทัยของพระเจ้า หรือความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ในการช่วยมนุษยชาติให้รอดไว้ในหัวใจของเจ้า  สิ่งที่เจ้าควรทำไม่รวมถึงสิ่งเหล่านี้  แล้วสิ่งที่เจ้าควรทำหมายรวมถึงอะไรบ้าง?  สิ่งเหล่านั้นหมายรวมถึงพระบัญชาที่พระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้า หน้าที่ที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า และข้อพึงประสงค์ทุกประการที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายให้เจ้าในทุกๆ ช่วงเวลา  สิ่งนี้เรียบง่ายมิใช่หรือ?  สิ่งนี้ทำได้ง่ายมิใช่หรือ?  สิ่งนี้ช่างเรียบง่ายและทำได้ง่ายมาก  แต่ผู้คนมักเข้าใจพระเจ้าผิดอยู่เสมอ และคิดว่าพระองค์ไม่ให้ความสำคัญกับพวกเขา  มีบางคนคิดว่า “คนที่มาเชื่อในพระเจ้าไม่ควรมองว่าตัวเองสำคัญมากนัก พวกเขาไม่ควรหมกมุ่นกับร่างกายของตน และควรทนทุกข์ให้มากขึ้น และไม่ควรรีบเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะพระเจ้าอาจไม่พอพระทัยหากพวกเขาเข้านอนเร็วเกินไป  พวกเขาควรตื่นแต่เช้าและเข้านอนตอนดึก รวมถึงทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาทั้งคืน  ต่อให้ไม่เกิดผลลัพธ์ พวกเขาก็ยังต้องอยู่จนถึงตีสองหรือตีสามอยู่ดี”  ผลก็คือ ผู้คนเช่นนั้นทำงานหนักเกินไปจนพวกเขาหมดแรง แม้กระทั่งจะเดินก็ต้องใช้ความพยายามสุดแรงเกิด แต่พวกเขาก็ยังกล่าวว่าการปฏิบัติหน้าที่เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาหมดแรง  นี่ไม่ได้เป็นเพราะความโง่เขลาและไม่รู้ความของผู้คนหรอกหรือ?  มีคนอื่นๆ ที่คิดว่า “พระเจ้าไม่พอพระทัยเวลาพวกเราใส่เสื้อผ้าที่ค่อนข้างประณีตและพิเศษ และพระองค์ไม่พอพระทัยเวลาที่พวกเรากินเนื้อและกินอาหารดีๆ ทุกวัน  ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเราทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตเท่านั้น”  และพวกเขาก็รู้สึกว่าในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า พวกเขาต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนไปจนตาย มิเช่นนั้นพระเจ้าจะไม่ทรงสงวนพวกเขาไว้  เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?  (ไม่)  พระเจ้าต้องประสงค์ให้ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบและความจงรักภักดี แต่พระองค์ไม่ทรงบังคับให้พวกเขาใช้งานร่างกายตัวเองอย่างหนักหน่วง นับประสาอะไรกับการทรงร้องขอให้พวกเขาทำตัวสุกเอาเผากิน หรือไม่สนใจเวล่ำเวลา  เราเห็นว่าผู้นำและคนทำงานบางคนจัดการเตรียมการให้ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในหนทางนี้ ไม่ได้เรียกร้องประสิทธิภาพ เพียงแต่ผลาญเวลาและเรี่ยวแรงของผู้คนเท่านั้น  ข้อเท็จจริงก็คือ พวกเขาเสียชีวิตของผู้คนไปโดยเปล่าประโยชน์  ท้ายที่สุด ในระยะยาวย่อมมีบางคนที่เกิดปัญหาด้านสุขภาพ รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับหลัง เจ็บหัวเข่า และรู้สึกเวียนศีรษะเวลาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์  เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?  ใครทำให้เป็นเช่นนี้หรือ?  (พวกเขาทำตัวเอง)  พระนิเวศของพระเจ้าเรียกร้องให้ทุกคนพักผ่อนไม่เกินสี่ทุ่ม แต่คนบางคนไม่ยอมเข้านอนจนกระทั่งห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพักผ่อนของผู้อื่น  คนบางคนถึงกับต่อว่าคนที่พักผ่อนตามปกติว่าโหยหาความสะดวกสบายในชีวิตมากเกินไป  นี่คือสิ่งที่ผิด  เจ้าจะทำงานให้ดีได้อย่างไรหากร่างกายของเจ้าไม่ได้รับการพักผ่อนที่ดี?  พระเจ้าตรัสเช่นไรในเรื่องนี้?  พระนิเวศของพระเจ้ามีข้อบังคับอย่างไรในเรื่องนี้?  ทุกสิ่งควรกระทำไปตามพระวจนะของพระเจ้าและข้อตกลงในพระนิเวศของพระเจ้า และสิ่งนี้เท่านั้นที่ถูกต้อง  บางคนมีความเข้าใจที่ไร้สาระ ทำสิ่งที่สุดโต่งอยู่เสมอ และถึงกับควบคุมผู้อื่น  สิ่งนี้ไม่ตรงตามหลักธรรมความจริง  คนบางคนเป็นเพียงคนเขลาที่น่าขันที่ไม่มีวิจารณญาณแต่อย่างใด และพวกเขาก็คิดว่าในการปฏิบัติหน้าที่ของตนนั้น พวกเขาต้องอยู่จนดึกแม้ในยามที่งานไม่ยุ่ง ไม่ยอมให้ตัวเองนอนหลับยามที่เหน็ดเหนื่อย ไม่อนุญาตให้ตัวเองบอกใครหากพวกเขาป่วย และที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่ยอมให้ตัวเองไปหาหมอ ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นเรื่องเสียเวลาที่ทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาล่าช้า  มุมมองเช่นนี้ถูกต้องหรือ?  เหตุใดหลังจากฟังคำเทศนามาหลายครั้งแล้ว ผู้เชื่อจึงยังเกิดทัศนะที่น่าขันเช่นนี้อีก?  การจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้ามีข้อบังคับอย่างไร?  เจ้าต้องพักผ่อนตรงเวลาไม่เกินสี่ทุ่ม และตื่นนอนหกโมงเช้า และเจ้าต้องทำให้แน่ใจว่าตัวเจ้าได้นอนหลับแปดชั่วโมง  นอกจากนี้แล้ว ข้อบังคับนี้ยังเน้นย้ำกับเจ้าซ้ำๆ ว่าเจ้าควรดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายหลังเลิกงาน รวมถึงยึดมั่นในอาหารการกินและกิจวัตรที่ดีต่อสุขภาพเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพขณะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  ทว่าบางคนไม่เข้าใจสิ่งนี้ พวกเขาไม่สามารถยึดถือตามหลักธรรมหรือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ได้ ทั้งยังอยู่จนดึกโดยไม่จำเป็นและกินสิ่งที่ผิด  เมื่อพวกเขาทำตัวเองล้มป่วย พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ และถึงตอนนั้นจะเสียใจก็ไม่มีประโยชน์แล้ว  ช่วงนี้เราได้ยินว่ามีบางคนล้มป่วย  นี่ไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาทำหน้าที่ของตนโดยไม่ยึดตามหลักธรรมและกระทำการโดยไม่ยั้งคิดหรอกหรือ?  จริงอยู่ที่เจ้าเอาจริงเอาจังกับการทำหน้าที่ของตน แต่เจ้าไม่สามารถละเมิดกฎธรรมชาติของร่างกายตัวเองได้  หากเจ้าละเมิดกฎเหล่านั้น เจ้าย่อมจะทำให้ตัวเองป่วย  แน่นอนว่าเจ้าต้องมีความเข้าใจทั่วไปถึงวิธีในการดูแลสุขภาพของตัวเอง  เจ้าควรออกกำลังกายเมื่อเหมาะสม และกินตามเวลาปกติ  เจ้าไม่สามารถกินเยอะหรือดื่มมากเกินไป และเจ้าก็ไม่สามารถเป็นคนเลือกกินหรือกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้  นอกจากนี้ เจ้ายังจำเป็นต้องควบคุมอารมณ์ของเจ้า ใส่ใจกับการใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและปฏิบัติความจริง และปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับหลักธรรม  ในหนทางนั้น เจ้าย่อมจะมีสันติสุขและความชื่นบานยินดีอยู่ในหัวใจ และจะไม่รู้สึกว่างเปล่าหรือหดหู่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้คนทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เช่นนั้นแล้ว สภาวะจิตใจของพวกเขาย่อมจะเป็นปกติโดยสมบูรณ์และร่างกายของพวกเขาจะแข็งแรง  เราไม่เคยบอกให้พวกเจ้าเข้านอนดึกและตื่นแต่เช้าตรู่ หรือทำงานมากกว่าสิบชั่วโมงต่อวัน  ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผู้คนไม่ปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์และทำตามการจัดการเตรียมการจากพระนิเวศของพระเจ้า  ท้ายที่ผู้คนก็ช่างไม่รู้ความเสียจนละเลยสุขภาพของตัวเอง  เราเห็นว่าในบางที่ ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอยู่ในร่มเสมอ และไม่ออกไปรับแสงแดดหรือหมั่นทำตัวให้กระฉับกระเฉง ดังนั้นเราจึงจัดการเตรียมการให้ผู้คนไปหาอุปกรณ์ออกกำลังกาย และบอกพวกเขาให้ออกกำลังกายหนึ่งหรือสองครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับกิจวัตรที่ดีต่อสุขภาพ  ผู้คนที่ไม่ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะเจ็บป่วยไปโดยธรรมชาติ และสิ่งนี้ย่อมส่งผลต่อชีวิตปกติของพวกเขาด้วย  เมื่อเราทำการจัดการเตรียมการเช่นนั้นแล้ว เราจำเป็นต้องตรวจสอบหรือไม่ว่าใครออกกำลังกายและบ่อยแค่ไหน?  (ไม่จำเป็น)  เราไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เราได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเราแล้ว เราได้แนะนำไปแล้ว และได้บอกเจ้าด้วยความจริงใจทั้งหมดว่าเจ้าควรทำสิ่งใดโดยไม่พูดปดแม้แต่คำเดียว และเจ้าเพียงต้องทำตามคำแนะนำ  แต่ผู้คนไม่ใส่ใจคำแนะนำนี้ พวกเขาคิดว่าตัวเองอายุน้อยและสุขภาพแข็งแรง พวกเขาจึงไม่ใส่ใจคำพูดของเรา  หากพวกเจ้าไม่ให้คุณค่ากับสุขภาพของตัวเจ้าเอง เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้—เพียงแต่อย่าโทษคนอื่นเมื่อเจ้าล้มป่วย  ผู้คนไม่ใส่ใจที่จะออกกำลังกาย  แง่มุมหนึ่งเป็นเพราะพวกเขามีแนวคิดและทัศนะบางอย่างที่ผิด  อีกแง่มุมหนึ่งคือพวกเขาก็มีปัญหาร้ายแรง นั่นคือความเกียจคร้านนั่นเอง  หากผู้คนมีโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกายเล็กน้อย ทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำคือใส่ใจดูแลสุขภาพของตนและกระตือรือร้นให้มากขึ้น  แต่เมื่อบางคนล้มป่วย พวกเขากลับไปฉีดยาหรือกินยามากกว่าที่จะออกกำลังกายและดูแลสุขภาพของตน  สิ่งนี้เกิดจากความเกียจคร้าน  ผู้คนเกียจคร้านและไม่เต็มใจที่จะออกกำลังกาย ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรกับพวกเขา  สุดท้ายแล้ว ในยามที่ล้มป่วยพวกเขาก็โทษใครไม่ได้ เพราะลึกๆ แล้วพวกเขารู้ว่าเหตุผลจริงคืออะไร  ทุกคนควรออกกำลังกายตามปกติทุกวัน  แต่ละวันเราต้องเดินและออกกำลังกายเท่าที่จำเป็นอย่างน้อยวันละหนึ่งหรือสองชั่วโมง  นี่ไม่เพียงช่วยให้ร่างกายของเราแข็งแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังป้องกันความเจ็บป่วยและทำให้เรารู้สึกสบายตัวมากขึ้นอีกด้วย  การออกกำลังกายไม่ใช่แค่เรื่องของการป้องกันความเจ็บป่วยเท่านั้น แต่ยังเป็นความต้องการตามปกติของร่างกายอีกด้วย  ข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ในเรื่องนี้คือการให้พวกเขามีความเข้าใจเชิงลึกอยู่บ้าง  อย่าเป็นคนไม่รู้ความ และอย่าใช้งานร่างกายหนัก แต่จงทำตามกฎธรรมชาติของร่างกาย  อย่าทารุณเนื้อหนังของเจ้า แต่ก็อย่าหมกมุ่นกับมันมากเกินไปเช่นกัน  หลักธรรมข้อนี้จับความเข้าใจได้ง่ายใช่หรือไม่?  (ใช่)  อันที่จริงหลักธรรมข้อนี้จับความเข้าใจได้ง่ายมาก ประเด็นสำคัญคือผู้คนนำสิ่งนี้ไปปฏิบัติหรือไม่  จุดอ่อนที่ร้ายแรงอีกประการหนึ่งของผู้คนคืออะไร?  คือพวกเขามักปล่อยให้จินตนาการของตนวิ่งไปพร้อมกับพวกเขาเสมอ คิดว่า “หากฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันก็จะไม่ป่วย ฉันจะไม่แก่เฒ่า และแน่นอนว่าฉันจะไม่ตายอย่างแน่นอน”  นี่เป็นเรื่องที่ไร้สาระอย่างยิ่ง  พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติเหล่านี้  พระองค์ทรงช่วยผู้คนให้รอด ทรงสัญญากับพวกเขา และทรงร้องขอให้พวกเขาเข้าใจและไล่ตามเสาะหาความจริง ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน สัมฤทธิ์ความรอดของพระองค์ และเข้าสู่บั้นปลายอันงดงามของมนุษชาติ  แต่พระเจ้าทรงไม่เคยสัญญากับผู้คนว่าพวกเขาจะไม่ล้มป่วยหรือแก่เฒ่า และพระองค์ก็ทรงไม่เคยสัญญากับผู้คนว่าพวกเขาจะไม่ตาย  และแน่นอนว่า พระเจ้าทรงไม่เคยมีข้อพึงประสงค์ต่อผู้คนว่าพวกเขาควร “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” อย่างแน่นอน  ในเรื่องการทำหน้าที่ของคนเราและทำงานของคริสตจักร รวมถึงความลำบากยากเย็นที่ต้องสู้ทน สิ่งที่ต้องละทิ้ง สิ่งที่ต้องสละ และสิ่งที่ต้องปล่อยวางนั้น ผู้คนควรกระทำการตามหลักธรรม  เมื่อจัดการกับชีวิตทางกายและความต้องการทางเนื้อหนังของตัวเอง ผู้คนควรมีสามัญสำนึกอยู่บ้าง และไม่ควรละเมิดความต้องการตามปกติของร่างกายตัวเอง นับประสาอะไรกับการละเมิดกฎและเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ให้ผู้คน  แน่นอนว่า นี่ยังเป็นสามัญสำนึกขั้นต่ำที่สุดซึ่งผู้คนควรมีอีกด้วย  หากผู้คนไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าจะจัดการความต้องการและกฎของร่างกายพวกเขาอย่างไร และไม่มีสามัญสำนึกเลย เพียงแต่พึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน และถึงกับมีแนวคิดอันสุดโต่งและนำวิธีการอันสุดโต่งบางอย่างมาใช้ในการปฏิบัติต่อร่างกายของตัวเอง เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเช่นนั้นย่อมมีความเข้าใจที่ไร้สาระ  ผู้คนที่มีขีดความสามารถทำนองนี้สามารถทำความเข้าใจความจริงประเภทใดได้เล่า?  ในประเด็นนี้มีคำถามอยู่  พระเจ้าต้องประสงค์พึงให้ผู้คนปฏิบัติต่อร่างกายของพวกเขาอย่างไร?  เมื่อพระเจ้าทรงสร้างผู้คน พระองค์ทรงตั้งกฎเกณฑ์ให้พวกเขา ดังนั้นพระองค์จึงต้องประสงค์ให้เจ้าปฏิบัติต่อร่างกายของตนตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น  นี่คือข้อพึงประสงค์และมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คน  อย่าพึ่งพามโนคติอันหลงผิด และอย่าพึ่งพาความคิดฝัน  เจ้าเข้าใจหรือไม่?

ภายใต้การปลูกฝังและอิทธิพลของคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมนี้ที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” ผู้คนย่อมไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อร่างกายของพวกเขาหรือจะใช้ชีวิตที่เป็นปกติอย่างไร  นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง  อีกแง่มุมหนึ่งคือผู้คนไม่รู้ว่าจะจัดการความตายของพวกเขาอย่างไร และไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตในหนทางที่มีความหมายอย่างไร  เช่นนั้นแล้ว พวกเรามาดูท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อการจัดการความตายของผู้คนกันเถิด  ไม่ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในแง่มุมใด จุดมุ่งหมายที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนในกระบวนการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาก็คือให้เข้าใจความจริง นำความจริงไปปฏิบัติ ละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนบุคคลปกติ และเป็นไปตามมาตรฐานของการสัมฤทธิ์ความรอด แทนที่จะผลีผลามวิ่งเข้าหาความตาย  คนบางคนเจ็บป่วยร้ายแรงหรือเป็นมะเร็ง และคิดว่า “นี่คือการที่พระเจ้าทรงร้องขอให้ฉันตายและยอมทิ้งชีวิตเสีย ดังนั้นฉันจะเชื่อฟัง!”  อันที่จริงพระเจ้าไม่ได้ตรัสเช่นนั้น และความคิดเช่นนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับพระองค์  นี่เป็นเพียงความเข้าใจผิดของผู้คนเท่านั้น  แล้วพระเจ้าทรงหมายความว่าอย่างไรเล่า?  ทุกๆ คนใช้ชีวิตอยู่ในช่วงอายุหนึ่ง แต่อายุขัยของพวกเขานั้นแตกต่างกัน  ทุกคนล้วนตายในเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนด ในเวลาและสถานที่ที่ถูกต้อง  ทั้งหมดนี้ถูกลิขิตโดยพระเจ้า  พระองค์ทรงทำให้ความตายเกิดขึ้นตามเวลาที่พระองค์ทรงลิขิตไว้สำหรับอายุขัยของบุคคลนั้น รวมถึงสถานที่และลักษณะการตายของพวกเขา แทนที่จะปล่อยให้ใครบางคนตายด้วยเรื่องที่ไร้เหตุผล  พระเจ้าทรงมองว่าชีวิตของบุคคลหนึ่งสำคัญมาก และพระองค์ก็ทรงมองว่าความตายและจุดจบของชีวิตทางกายภาพของพวกเขาสำคัญมากเช่นกัน  ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้  เมื่อมองจากมุมมองนี้ ไม่ว่าพระเจ้าต้องประสงค์ให้ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือติดตามพระองค์ พระองค์ก็ไม่ทรงร้องขอให้ผู้คนผลีผลามวิ่งเข้าหาความตาย  สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพระเจ้าไม่ต้องประสงค์ให้เจ้าเตรียมพร้อมที่จะยอมทิ้งชีวิตของตนได้ทุกเมื่อเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือสละตนเพื่อพระเจ้า หรือเพื่อพระบัญชาของพระองค์  เจ้าไม่จำเป็นต้องเตรียมพร้อมในเรื่องนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องมีชุดความคิดเช่นนั้น และแน่นอนว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องวางแผนหรือคิดในหนทางนั้น เพราะพระเจ้าไม่ทรงต้องการชีวิตของเจ้า  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนั้น?  ไม่ต้องบอกก็แน่นอนอยู่แล้วว่าชีวิตของเจ้าเป็นของพระเจ้า พระองค์เป็นผู้ประทานชีวิตมาให้ แล้วพระองค์จะทรงต้องการเอากลับคืนไปเพื่ออะไรเล่า?  ชีวิตเจ้ามีค่าหรือ?  จากมุมมองของพระเจ้า คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าชีวิตเจ้ามีค่าหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเจ้ารับบทบาทใดในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น  ในเรื่องของชีวิตเจ้า หากพระเจ้าทรงต้องการที่จะพรากเอาไป พระองค์ก็ทรงทำได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกนาที  ดังนั้นชีวิตของบุคคลหนึ่งจึงสำคัญต่อตัวพวกเขา และสำคัญต่อหน้าที่ ภาระผูกพัน และความรับผิดชอบของพวกเขา รวมถึงสำคัญต่อพระบัญชาของพระเจ้า  แน่นอนว่าชีวิตของพวกเขายังสำคัญต่อบทบาทที่ได้รับในแผนการบริหารจัดการโดยรวมของพระเจ้าอีกด้วย  ถึงแม้ชีวิตจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงจำเป็นต้องพรากชีวิตของเจ้าไป  เพราะอะไรหรือ?  เมื่อชีวิตเจ้าถูกพรากไป เจ้าก็กลายเป็นศพ และไม่มีประโยชน์อีกต่อไป  มีเพียงตอนที่เจ้ามีชีวิต และใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่พระเจ้าทรงปกครองเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถรับบทบาทที่ควรต้องรับในชีวิตนี้ รวมถึงลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าควรต้องลุล่วง และลุล่วงหน้าที่ที่พระเจ้าต้องประสงค์มีให้เจ้าปฏิบัติในชีวิตนี้  มีเพียงตอนที่เจ้าดำรงอยู่ในรูปนี้เท่านั้นที่ชีวิตของเจ้าจะได้มีคุณค่าและตระหนักถึงคุณค่านั้น  ดังนั้น จงอย่าเอ่ยวลีอย่าง “ตายเพื่อพระเจ้า” หรือ “ยอมทิ้งชีวิตของฉันเพื่อพระราชกิจของพระเจ้า” ไปเรื่อยเปื่อย และอย่าเอ่ยวลีเหล่านี้ซ้ำๆ หรือเก็บวลีเหล่าไว้ในความคิดและลึกลงไปในหัวใจ นี่คือเรื่องที่ไม่จำเป็น  เมื่อบุคคลหนึ่งต้องการตายเพื่อพระเจ้า ยอมทิ้งและมอบชีวิตของพวกเขาให้หน้าที่ของตัวเองอยู่เป็นนิจ นี่ย่อมเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่คู่ควร และน่าดูหมิ่นที่สุด  ทำไมหรือ?  หากชีวิตของเจ้าจบลง และเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ในรูปกายเนื้อหนังนี้อีกต่อไปได้ เจ้าจะสามารถลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร?  หากทุกคนตายไป จะเหลือใครให้พระเจ้าทรงช่วยให้รอดผ่านพระราชกิจของพระองค์อีกเล่า?  หากไม่มีมนุษย์ที่จำเป็นต้องช่วยให้รอดอยู่เลย แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าจะดำเนินไปอย่างไร?  พระราชกิจแห่งการช่วยมนุษยชาติให้รอดของพระเจ้าจะยังมีอยู่หรือไม่?  พระราชกิจนั้นจะยังดำเนินต่อไปได้หรือไม่?  เมื่อมองเรื่องนี้จากแง่มุมเหล่านี้ การที่ผู้คนพึงต้องดูแลร่างกายของพวกเขาให้ดีและใช้ชีวิตที่แข็งแรงย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญมิใช่หรือ?  การนี้ไม่คุ้มค่าหรอกหรือ?  แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่คุ้มค่ามากที่สุด และผู้คนก็ควรทำเช่นนี้  สำหรับเหล่าคนโง่ที่พูดพล่อยๆ ว่า “หากถึงจุดคับขันที่สุด ฉันก็จะตายเพื่อพระเจ้า” และคนที่สามารถซี้ซั้วมองความตายเป็นเรื่องเล็ก ยอมทิ้งชีวิตของพวกเขา และใช้ร่างกายของตัวเองอย่างผิดๆ คนเหล่านี้เป็นคนประเภทใด?  พวกเขาคือคนที่เป็นกบฏใช่หรือไม่?  (ใช่)  คนเหล่านี้คือคนที่เป็นกบฏมากที่สุด และควรถูกต่อว่าและดูหมิ่น  เมื่อใครบางคนสามารถพูดพล่อยๆ ได้ว่าพวกเขาจะตายเพื่อพระเจ้า ย่อมกล่าวได้ว่าพวกเขาคิดถึงการจบชีวิตตัวเอง ล้มเลิกหน้าที่ ยอมทิ้งพระบัญชาที่พระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายแก่พวกเขา และป้องกันไม่ให้พระวจนะของพระเจ้าลุล่วงในตัวพวกเขาไปโดยไม่ตั้งใจ  นี่ไม่ใช่หนทางที่โง่เขลาในการทำสิ่งทั้งหลายหรอกหรือ?  เจ้าอาจยอมทิ้งชีวิตของตนได้อย่างง่ายตายและไม่ตั้งใจ และกล่าวว่าเจ้าต้องการถวายชีวิตนี้แด่พระเจ้า แต่พระเจ้าทรงต้องการให้เจ้าถวายชีวิตงั้นหรือ?  ชีวิตของเจ้าเป็นของพระเจ้า และพระเจ้าทรงสามารถพรากไปได้ทุกเมื่อ แล้วการถวายชีวิตแด่พระองค์จะมีประโยชน์อะไรเล่า?  หากเจ้าไม่ถวายแต่พระเจ้าทรงต้องการชีวิตนั้น พระองค์จะทรงร้องขอชีวิตของเจ้าดีๆ หรือ?  พระองค์ทรงจำเป็นที่จะต้องเจรจากับเจ้าหรือ?  ไม่ พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น  ว่าแต่พระเจ้าจะทรงต้องการชีวิตของเจ้าไปเพื่ออะไร?  เมื่อพระเจ้าทรงเอาชีวิตของเจ้าคืนไป เจ้าจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อีก และย่อมมีคนหายไปจากแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าคนหนึ่ง  พระองค์จะโสมนัสและพอพระทัยในเรื่องนั้นหรือ?  ผู้ใดที่จะมีความสุขและพอใจอย่างแท้จริง?  (ซาตาน)  หากเจ้ายอมทิ้งชีวิตของตน เจ้าจะได้อะไรจากการทำเช่นนั้นหรือ?  แล้วพระเจ้าจะทรงได้อะไรจากการพรากชีวิตเจ้าไปเล่า?  หากเจ้าพลาดโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์หรือเป็นความสูญเสียสำหรับพระเจ้า?  (เป็นความสูญเสีย)  สำหรับพระเจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่ประโยชน์ แต่เป็นความสูญเสีย  ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระเจ้าทรงอนุญาตให้เจ้าได้มีชีวิตและตั้งตนอยู่ในที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และการทำเช่นนั้นย่อมทำให้เจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง นบนอบต่อพระเจ้า เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์และรู้จักพระองค์ ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ร่วมมือกับพระองค์ในการสัมฤทธิ์พระราชกิจแห่งการช่วยมนุษยชาติให้รอด และติดตามพระองค์ไปจนถึงสุดปลายทางได้  นี่คือความชอบธรรม อีกทั้งเป็นคุณค่าและความหมายในการดำรงอยู่ของชีวิตเจ้า  หากชีวิตเจ้าดำรงอยู่เพื่อการนี้ และเจ้าก็ใช้ชีวิตอย่างแข็งแรงเพื่อการนี้ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นสิ่งที่มีความหมายมากที่สุด และสำหรับพระเจ้า นี่ย่อมเป็นการอุทิศตนและเป็นความร่วมมือที่แท้จริง—นี่เป็นสิ่งที่น่าพอพระทัยที่สุดสำหรับพระองค์  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการเห็นคือการที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างผู้ใช้ชีวิตอยู่ในเนื้อหนังนั้นทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาระหว่างการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ ปฏิเสธแนวคิดคลาดเคลื่อนนับไม่ถ้วนซึ่งซาตานปลูกฝังใส่พวกเขา รวมถึงสามารถยอมรับความจริงและข้อพึงประสงค์จากพระเจ้า นบนอบอำนาจครอบครองของพระผู้สร้างได้โดยสมบูรณ์ ลุล่วงหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงลุล่วง และสามารถกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงได้  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการที่จะเห็น และนี่เป็นคุณค่าและความหมายในการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์  ด้วยเหตุนั้นสำหรับบรรดาสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ความตายไม่ใช่บั้นปลายสุดท้าย  คุณค่าและความหมายในการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์ไม่ใช่การตาย แต่เป็นการมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า ดำรงอยู่เพื่อพระเจ้าและเพื่อหน้าที่ของคนเราเอง ดำรงอยู่เพื่อลุล่วงหน้าที่และความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และเพื่อทำให้ซาตานอับอาย  นี่คือคุณค่าของการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และยังเป็นความหมายของชีวิตพวกเขาอีกด้วย

ในเรื่องของข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนนั้น วิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อชีวิตและความตายของผู้คนแตกต่างจากสิ่งที่อธิบายไว้ในคำกล่าวที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” ในวัฒนธรรมดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง  ซาตานต้องการให้ผู้คนตายอยู่เป็นนิจ  มันรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นผู้คนมีชีวิตอยู่ และมันพยายามหาวิธีอ้างสิทธิ์ในชีวิตของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา  เมื่อผู้คนยอมรับแนวคิดที่คลาดเคลื่อนของวัฒนธรรมดั้งเดิมจากซาตาน ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการก็คือพลีอุทิศชีวิตของตนเพื่อประเทศและคนในชาติ หรือเพื่ออาชีพ เพื่อความรัก หรือเพื่อครอบครัวของพวกเขา  พวกเขาดูถูกชีวิตของตัวเองตลอดเวลา พร้อมที่จะตายและทิ้งชีวิตของตนทุกที่ทุกเวลา และไม่มองว่าชีวิตที่พระเจ้าประทานให้พวกเขาเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดและเป็นสิ่งที่ควรหวงแหน  การที่พวกเขาไม่สามารถลุล่วงหน้าที่และภาระผูกพันของตัวเองได้ในช่วงชีวิตนี้ ในขณะที่พวกเขายังมีชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ กลับทำให้พวกเขาตั้งใจก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตอยู่ร่ำไป และพร้อมตายเพื่อพระเจ้าได้ทุกเมื่อ  ข้อเท็จจริงคือหากเจ้าตายจริงๆ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ได้ตายเพื่อพระเจ้า แต่ตายเพื่อซาตาน และพระเจ้าจะไม่ทรงจดจำเจ้า  เพราะมีเพียงคนที่มีชีวิตเท่านั้นที่สามารถถวายพระสิริแด่พระเจ้าและเป็นพยานให้พระองค์ได้ และมีเพียงคนที่มีชีวิตเท่านั้นที่สามารถตั้งตนอยู่ในที่ที่เหมาะสมของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและลุล่วงหน้าที่ของพวกเขา แล้วไม่ทิ้งความเสียใจไว้ข้างหลัง และสามารถทำให้ซาตานอับอาย รวมถึงเป็นพยานให้กับกิจการอันอัศจรรย์และอธิปไตยของพระผู้สร้างได้—มีเพียงคนที่มีชีวิตเท่านั้นที่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้  หากเจ้าไม่มีแม้กระทั่งชีวิต ทั้งหมดนี้ย่อมจะไม่มีอยู่อีกต่อไป  มิได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ?  (เป็นเช่นนั้น)  ด้วยเหตุนี้ การนำเสนอคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต” จึงเป็นการที่ซาตานหยอกล้อและเหยียบย่ำชีวิตมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย  ซาตานไม่เคารพชีวิตมนุษย์ แต่กลับเล่นเกมกับชีวิตเหล่านั้น ทำให้ผู้คนยอมรับแนวคิดอย่าง “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต”  พวกเขาใช้ชีวิตด้วยแนวคิดเช่นนี้ และไม่หวงแหนชีวิตของตนหรือถือว่าชีวิตของตนเป็นสิ่งล้ำค่า ทำให้พวกเขายอมทิ้งชีวิตของตนซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดที่พระเจ้าประทานแด่ผู้คนไปอย่างมักง่าย  นี่เป็นสิ่งที่ทรยศและไร้ศีลธรรม  ตราบใดที่ยังไม่ถึงเส้นตายที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ให้เจ้า เจ้าก็ไม่ควรพูดเรื่องการทิ้งชีวิตของเจ้าออกมาเล่นๆ ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม  ตราบใดที่เจ้ายังคงมีลมหายใจ จงอย่าล้มเลิก อย่าละทิ้งหน้าที่ของเจ้า และอย่าละทิ้งพระบัญชากับสิ่งที่พระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้า  เพราะชีวิตของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างต่างดำรงอยู่เพื่อพระผู้สร้าง และเพื่ออธิปไตย การจัดวางเรียบเรียง อีกทั้งการจัดการเตรียมการของพระองค์ รวมถึงดำรงอยู่และเกิดคุณค่าขึ้นจริงเพื่อคำพยานและพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษยชาติให้รอดของพระองค์เท่านั้น  เจ้าย่อมเห็นได้ว่า ทัศนะที่พระเจ้าทรงมีต่อชีวิตมนุษย์นั้นแตกต่างจากทัศนะของซาตานโดยสิ้นเชิง  เพราะฉะนั้น ใครเล่าที่หวงแหนชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง?  (พระเจ้า)  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น ขณะที่มนุษย์ไม่รู้จักวิธีหวงแหนชีวิตของตัวเอง  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงหวงแหนชีวิตของมนุษย์  แม้ว่ามนุษย์จะไม่น่ารักหรือควรค่าที่จะรัก ทั้งยังเต็มไปด้วยความโสมม ความเป็นกบฏ รวมถึงแนวคิดและทัศนะอันไร้สาระหลากรูปแบบที่ซาตานปลูกฝังเอาไว้ และแม้ว่าพวกเขาจะเทิดทูนและติดตามซาตานจนถึงจุดที่ต่อต้านพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น เนื่องจากมนุษย์มีพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้าง และพระองค์ประทานชีวิตและลมหายใจให้พวกเขา จึงมีเพียงพระองค์ที่ทรงหวงแหนชีวิตมนุษย์ มีเพียงพระองค์ที่ทรงรักผู้คน และมีเพียงพระองค์ที่ทรงห่วงใยและทะนุถนอมมนุษยชาติอยู่เรื่อยไป  พระเจ้าทรงทะนุถนอมมนุษย์—ไม่ใช่ร่างกายของพวกเขา แต่เป็นชีวิตของพวกเขา เพราะท้ายที่สุดย่อมมีเพียงมนุษย์ผู้ได้รับชีวิตจากพระเจ้าเท่านั้นที่จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งนมัสการพระองค์และเป็นพยานให้พระองค์อย่างแท้จริงได้  พระเจ้าทรงมีพระราชกิจ พระบัญชาและความคาดหวังต่อผู้คน ต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเหล่านี้  ด้วยเหตุนั้น พระเจ้าจึงทรงหวงแหนและเห็นคุณค่าชีวิตของพวกเขา  นี่คือความจริง  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  ดังนั้นเมื่อผู้คนเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าพระผู้สร้างแล้ว ก็ควรมีหลักธรรมสำหรับวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อชีวิตซึ่งเป็นกายเนื้อหนังของตน และจัดการกับกฎและความต้องการที่ทำให้ชีวิตนั้นอยู่รอดมิใช่หรือ?  หลักธรรมเหล่านี้อ้างอิงจากสิ่งใด?  สิ่งเหล่านี้อ้างอิงจากพระวจนะของพระเจ้านั่นเอง  หลักธรรมสำหรับการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าคืออะไร?  ในด้านที่นิ่งเฉยคือผู้คนต้องละทิ้งทัศนะอันคลาดเคลื่อนหลากหลายประเภทที่ซาตานปลูกฝังใส่พวกเขา เปิดโปงและยอมรับความคลาดเคลื่อนจากทัศนะของซาตาน—อย่างเช่นคำกล่าวที่ว่า “ก้มหน้าก้มตาทำงานและพยายามอย่างสุดความสามารถจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต”—ซึ่งสร้างความเสียหาย ควบคุม และทำให้ผู้คนมึนงง รวมถึงละทิ้งทัศนะเหล่านี้ นอกจากนี้ ในด้านที่กระตือรือร้น พวกเขาต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าพระผู้สร้างมีต่อมนุษยชาติคืออะไร และทำให้พระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นรากฐานของทุกสิ่งที่พวกเขากระทำ  ในหนทางนี้ ผู้คนจะสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไร้ซึ่งการเบี่ยงเบน และไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างแท้จริง  การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร?  (คือการมองดูผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมถึงประพฤติและปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ โดยมีความจริงเป็นเกณฑ์)  การสรุปเป็นคำพูดเช่นนี้นั้นถูกต้อง

วันนี้ พวกเราได้สามัคคีธรรมเรื่องวิธีจัดการกับความตาย รวมถึงวิธีรับมือกับชีวิตเป็นหลัก  ซาตานเหยียบย่ำ ทำลาย และพรากชีวิตผู้คนไป  มันชักพาผู้คนให้หลงผิดและทำให้พวกเขามึนงงด้วยการปลูกฝังแนวคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนให้พวกเขา และทำให้ผู้คนปฏิบัติต่อสิ่งล้ำค่าที่สุดที่พวกเขามี—ชีวิตของพวกเขา—ด้วยการดูถูก จนขัดขวางและทำลายพระราชกิจของพระเจ้า  บอกเราทีว่า หากทุกคนบนโลกใบนี้ต้องการที่จะตาย และสามารถทำเช่นนั้นได้ตามสบาย สังคมจะไม่ตกอยู่ในความโกลาหลหรือ?  แล้วในตอนนั้น การที่มนุษย์จะอยู่รอดและดำรงอยู่จะไม่ยากหรอกหรือ?  (ยาก)  แล้วท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อชีวิตมนุษย์เป็นเช่นไร?  พระองค์ทรงหวงแหนชีวิตเหล่านั้น  พระเจ้าทรงหวงแหนและเห็นคุณค่าของชีวิตมนุษย์  เส้นทางปฏิบัติใดที่ผู้คนควรได้รับจากพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า?  ในช่วงชีวิตของพวกเขา ขณะที่พวกเขายังมีชีวิตและลมหายใจซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดที่พระเจ้าประทานให้ ผู้คนควรไล่ตามเสาะหาและเข้าใจความจริงอย่างถูกต้องเหมาะสม อีกทั้งลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตามข้อพึงประสงค์และหลักธรรมของพระเจ้าโดยไม่ทิ้งความเสียใจไว้ข้างหลัง เพื่อที่วันหนึ่งพวกเขาอาจจะตั้งตนอยู่ในที่ที่เหมาะสมของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นมัสการและเป็นพยานให้พระผู้สร้าง  เมื่อทำเช่นนั้น ผู้คนจะให้คุณค่าและความหมายกับชีวิตของพวกเขาด้วยการไม่ใช้ชีวิตอยู่เพื่อซาตาน แต่เพื่ออธิปไตยของพระเจ้า พระราชกิจ และคำพยานของพระองค์  ชีวิตของผู้คนมีคุณค่าและมีความหมายเมื่อพวกเขาสามารถเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับกิจการและพระราชกิจของพระเจ้าได้  แต่กระนั้นก็ไม่อาจกล่าวได้ว่า ชีวิตมนุษย์มาถึงช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดแล้ว  การกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้องนัก เพราะเวลานั้นยังมาไม่ถึง  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง ได้รับความจริง ได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และสามารถตั้งตนอยู่ในที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเพื่อนมัสการพระเจ้า เป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้าง กิจการของพระองค์ รวมถึงแก่นแท้และพระอัตลักษณ์ของพระองค์ได้ เช่นนั้นคุณค่าของชีวิตเจ้าย่อมจะมาถึงจุดสูงสุดและสุดขอบเขตของมัน จุดประสงค์และนัยสำคัญของการกล่าวทั้งหมดนี้คือเพื่อทำให้พวกเจ้าเข้าใจคุณค่าและความหมายในการดำรงอยู่ของชีวิต รวมถึงวิธีที่เจ้าควรปฏิบัติต่อชีวิตของตน เพื่อให้เจ้าได้เลือกเส้นทางที่ควรเดินโดยอ้างอิงจากการนี้  นี่เป็นหนทางเดียวที่จะตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้

วันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (11)

ถัดไป: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (13)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger