สิ่งใดคือการไล่ตามเสาะหาความจริง (11)

ในทุกช่วงเวลาและทุกช่วงระยะ มีบางสิ่งที่เฉพาะเจาะจงเกิดขึ้นในคริสตจักรซึ่งไม่ลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน  ตัวอย่างเช่น บางคนล้มป่วย ผู้นำและคนทำงานถูกแทนที่ บางคนถูกเปิดโปงและถูกขับออกไป บางคนเผชิญหน้ากับการทดสอบแห่งความเป็นความตาย คริสตจักรบางแห่งถึงกับมีคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ที่ก่อความไม่สงบ และอื่นๆ  สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้า  ช่วงเวลาที่เปี่ยมสันติสุขมากอาจถูกเหตุบังเอิญหรือเหตุการณ์ที่ผิดธรรมดามากมาย ซึ่งเกิดขึ้นรอบตัวพวกเจ้าหรือกับพวกเจ้าโดยตรง ขัดจังหวะโดยฉับพลัน และการที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทำลายลำดับขั้นตอนที่ปกติและความเป็นปกติของชีวิตของผู้คน  จากภายนอกสิ่งเหล่านี้ไม่คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน เป็นสิ่งที่ผู้คนไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับตนหรือเป็นประจักษ์พยาน  ดังนั้นการที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นประโยชน์ต่อผู้คนหรือไม่?  ผู้คนควรจัดการ ผ่านประสบการณ์กับและเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างไร?  นี่เป็นบางสิ่งที่พวกเจ้าคนใดเคยนึกถึงบ้างหรือไม่?  (พวกเราควรเข้าใจว่านี่คือผลลัพธ์ของอธิปไตยของพระเจ้า)  นี่เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดหรือไม่ว่านี่คือผลลัพธ์ของอธิปไตยของพระเจ้า?  พวกเจ้าได้เรียนรู้บทเรียนใดจากเรื่องนี้หรือไม่?  พวกเจ้าเข้าใจเพิ่มเติมได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดอย่างไร?  อธิปไตยของพระเจ้าเกี่ยวพันกับอะไรโดยเฉพาะ?  มีสิ่งใดที่เฉพาะเจาะจงปรากฏขึ้นในผู้คนที่พวกเขาควรรู้และเข้าใจหรือไม่?  พวกเจ้าได้เรียนรู้บทเรียนใดจากสิ่งต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นรอบตัวพวกเจ้าบ้างหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้ว่ามาจากพระเจ้า แล้วได้รับบางสิ่งจากเรื่องนี้ได้หรือไม่?  หรือพวกเจ้ามั่วไปเรื่อยโดยคิดในใจว่า “ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากอธิปไตยของพระเจ้า แค่นบนอบพระเจ้า ไม่มีอะไรในเรื่องนี้ที่ต้องเอามาขบคิด” พลางปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปในขณะที่พวกเจ้ามีความคิดที่เรียบง่ายเช่นนี้?  สถานการณ์ใดเหล่านี้เหมาะกับพวกเจ้า?  บางครั้งเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในคริสตจักร ตัวอย่างเช่น ในการเผยแผ่งานของข่าวประเสริฐ ผลลัพธ์ที่ดีอย่างคาดไม่ถึงก็สัมฤทธิ์ หรือมีความลำบากยากเย็น มีขึ้นมีลง มีอุปสรรค หรือแม้แต่การหยุดชะงักและการทำลายล้างที่คาดไม่ถึงบางอย่างจากกำลังบังคับภายนอก  บางครั้งมีบางสิ่งที่ผิดธรรมดาเกิดขึ้นในคริสตจักรแห่งหนึ่งหรือในหมู่ผู้คนบางหมู่ที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน  ไม่ว่าในเวลาที่ปกติหรือเวลาที่ผิดธรรมดา พวกเจ้าเคยใคร่ครวญสิ่งที่พิเศษเหนือธรรมดาที่เกิดขึ้นเหล่านี้บ้างหรือไม่?  พวกเจ้าได้ข้อสรุปสุดท้ายอะไรบ้าง?  หรือโดยส่วนใหญ่แล้วพวกเจ้าไม่มีความเข้าใจเลย?  บางคนเพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในใจ แล้วอธิษฐานสั้นๆ อย่างเรียบง่ายโดยไม่แสวงหาความจริงเพื่อทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ  พวกเขาเพียงแค่ยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้า และนั่นคือจุดจบของเรื่อง  นี่ไม่ใช่การทำอย่างขอไปทีหรอกหรือ?  ผู้คนส่วนใหญ่เพียงแค่มั่วไปเรื่อย  และเมื่อผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำเกินไปเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ผู้คนเช่นนี้ก็เกิดความไม่เข้าใจและความสับสนอย่างมาก และสามารถพัฒนามโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และความกังขาเกี่ยวกับอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย  ผู้คนไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าตั้งแต่แรก และเมื่อพวกเขาเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่ลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดของตน พวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริงหรือพบผู้คนเพื่อสามัคคีธรรมด้วย แต่เพียงแค่ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเท่านั้น ก่อนที่จะมาถึงข้อสรุปในที่สุดว่า “ยังคงไม่แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้าหรือไม่” และพวกเขาก็เริ่มมีความแคลงใจเกี่ยวกับพระเจ้าและถึงกับสงสัยพระวจนะของพระองค์  ผลก็คือความกังขา การคาดการณ์และความระแวงพระเจ้าของพวกเขาร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาสูญเสียแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขาไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์และพลีอุทิศ และพวกเขาอู้งาน มั่วไปเรื่อยในแต่ละวันที่มาถึง  เมื่อได้ผ่านประสบการณ์กับเหตุบังเอิญเฉพาะไม่กี่ครั้ง ความกระตือรือร้น ความแน่วแน่และความปรารถนาที่พวกเขามีน้อยอยู่แล้วก่อนหน้านั้นก็ละทิ้งพวกเขาและอันตรธานไป และทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็คือความคิดเกี่ยวกับวิธีวางแผนของตนเองสำหรับอนาคตและแสวงหาทางออกของตน  ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่คนส่วนน้อย  เพราะผู้คนไม่รักความจริงและไม่แสวงหาความจริง เมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งใดบังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็มองสิ่งนั้นด้วยตาของตนเอง โดยไม่เคยเรียนรู้ที่จะยอมรับว่าสิ่งนั้นมาจากพระเจ้า  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อหาคำตอบ และไม่แสวงหาผู้คนที่เข้าใจความจริงให้พบเพื่อสามัคคีธรรมกันและแก้ไขปัญหาเหล่านี้  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับใช้ความรู้และประสบการณ์ของตนในการจัดการโลกตลอดเวลาเพื่อวิเคราะห์และตัดสินสิ่งต่างๆ ที่บังเกิดแก่พวกเขา  และผลลัพธ์สุดท้ายคืออะไร?  พวกเขาดักจับตนเองไว้ในสภาวะที่น่าอึดอัดโดยไม่มีที่ไป—นี่คือผลสืบเนื่องของการไม่แสวงหาความจริง  ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ทุกสิ่งอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้า  แม้ว่าผู้คนสามารถเข้าใจและยอมรับสิ่งนี้ได้ในทางทฤษฎี แต่ผู้คนควรปฏิบัติต่ออธิปไตยของพระเจ้าอย่างไร?  นี่คือความจริงที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหาและเข้าใจ และพวกเขาควรปฏิบัติความจริงโดยเฉพาะ  หากผู้คนเพียงแค่ยอมรับรู้อธิปไตยของพระเจ้าในทางทฤษฎี แต่ไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้า และมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาไม่ถูกแก้ไข เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขาได้เชื่อในพระเจ้ามากี่ปีและผ่านประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มากมายเพียงใด พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถได้รับความจริงในที่สุด  หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็ไม่สามารถรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าได้  ยิ่งพวกเขาผ่านประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มากเพียงใด พวกเขาก็จะยิ่งมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้ามากขึ้นเพียงนั้น พวกเขาก็จะยิ่งตั้งคำถามกับพระองค์มากขึ้นเพียงนั้น และแน่นอนว่าการคาดการณ์ ความเข้าใจผิดและความระแวงพระเจ้าของพวกเขาจะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเพียงนั้น ข้อเท็จจริงก็คือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้า  จุดประสงค์และนัยสำคัญของการที่พระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไม่ใช่เพื่อเพิ่มความเข้าใจผิดและความกังขาของเจ้าเกี่ยวกับพระองค์ แต่เพื่อสะสางและแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันภายในของเจ้า รวมทั้งความกังขา ความเข้าใจผิดและความระแวงพระเจ้าของเจ้า รวมทั้งเรื่องที่เป็นลบเช่นนี้อื่นๆ  หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงทีเมื่อปัญหาเกิดขึ้น ครั้นปัญหาเหล่านี้ภายในตัวเจ้าพอกพูนและทวีความรุนแรงมากขึ้น และความกระตือรือร้นหรือความแน่วแน่ของเจ้าไม่เพียงพออีกต่อไปแล้วที่จะเกื้อหนุนเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าจะล้มลงสู่ความเป็นลบ จนกระทั่งถึงจุดที่เป็นอันตรายว่าเจ้าจะทิ้งพระเจ้าไป และแน่นอนว่าเจ้าไม่สามารถยืนหยัดได้  ตอนนี้ บางคนฝืนใจพยายามพอเป็นพิธีในการปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่ก็เพียงเพื่อให้ได้พรโดยไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่อย่างใด และพวกเขาก็กลายเป็นคิดลบเมื่อใดก็ตามที่มีความลำบากยากเย็นบังเกิดแก่พวกเขา  นี่คือสิ่งที่ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเหมือน  เพราะพวกเขาไม่ชัดเจนอย่างเต็มที่เกี่ยวกับความจริงแห่งนิมิต และพวกเขาไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า ต่อให้พวกเขาทำหน้าที่ของตนและสละตนเองเพื่อพระเจ้า พวกเขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงในหัวใจของตน และคำสอนที่พวกเขาเข้าใจเพียงน้อยนิดก็ไม่สามารถค้ำชูพวกเขาได้นานก่อนที่พวกเขาจะล้มลง  หากผู้คนไม่ชุมนุมกัน ฟังคำเทศนาหรือแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของตนเป็นประจำ พวกเขาก็ไม่สามารถยืนหยัดได้  เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่จึงจำเป็นต้องสามัคคีธรรมถึงความจริงเป็นประจำ และเมื่อใดก็ตามที่มีเรื่องบางอย่างบังเกิดแก่พวกเขาและพวกเขาเกิดมีมโนคติอันหลงผิดขึ้นมา พวกเขาก็ต้องแก้ไขโดยการแสวงหาความจริงอย่างทันท่วงที  ด้วยวิธีนี้เท่านั้นพวกเขาจึงสามารถมั่นใจได้ว่าจะจงรักภักดีต่อไปในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและสามารถติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทางได้

ถนนแห่งการเชื่อในพระเจ้านั้นขรุขระ ไม่ราบเรียบ  นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไปตามที่ผู้คนปรารถนา หรือสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาหรือไม่ หรือเป็นสิ่งที่พวกเขาคาดการณ์ได้หรือไม่ การเกิดขึ้นของสิ่งนั้นก็ไม่อาจแยกจากอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าได้  การที่พระเจ้าทรงทำทุกอย่างที่ทรงทำไปนั้นมีนัยพิเศษในแง่ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับบทเรียนจากสิ่งนั้นและรู้จักอธิปไตยของพระเจ้า  เป้าหมายของการรู้จักอธิปไตยของพระเจ้าไม่ใช่ว่าผู้คนควรต้านทานพระเจ้า และไม่ใช่ว่าเมื่อเข้าใจพระเจ้าแล้ว ผู้คนควรมีอำนาจมากขึ้นและมีต้นทุนมากขึ้นที่จะแข่งขันกับพระองค์  ในทางกลับกัน เมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา ผู้คนควรเรียนรู้ที่จะยอมรับสิ่งเหล่านั้นว่ามาจากพระเจ้า แสวงหาความจริงเพื่อทำความเข้าใจ แล้วจึงปฏิบัติความจริงเพื่อสัมฤทธิ์การนบนอบที่แท้จริง และเกิดความเชื่อที่แท้จริงในพระองค์  พวกเจ้าเข้าใจการนี้หรือไม่ (เข้าใจ)  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะนำการนี้ไปปฏิบัติอย่างไร?  เส้นทางปฏิบัติของพวกเจ้าที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  เจ้าปฏิบัติต่อแต่ละสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าด้วยหัวใจที่นบนอบและท่าทีที่แสวงหาความจริงหรือไม่?  หากเจ้าคือใครคนหนึ่งที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าย่อมจะมีชุดความคิดเช่นนี้  ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้าก็ตาม เจ้าจะยอมรับสิ่งนั้นว่ามาจากพระเจ้าและแสวงหาความจริงต่อไป เจ้าจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ และมองผู้คนกับสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระองค์  ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้านั้น เจ้าจะสามารถรู้จักและมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และนบนอบพระองค์ได้  หากเจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าอะไรจะบังเกิดแก่เจ้า เจ้าจะไม่จัดการสิ่งนั้นตามพระวจนะของพระเจ้า และเจ้าจะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เจ้าจะเพียงแค่มั่วไปเรื่อยโดยไม่ได้รับความจริงใดๆ ทั้งสิ้นเป็นผลลัพธ์  พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนเพียบพร้อมโดยจัดแจงเตรียมการหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา เพื่อฝึกฝนพวกเขาให้แสวงหาความจริง เข้าใจกิจการของพระองค์ และมองเห็นความทรงมหิทธิฤทธิ์และพระปัญญาของพระองค์ เพื่อให้ชีวิตของพวกเขาค่อยๆ เติบโต  เหตุใดผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจึงได้ผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ได้รับความจริงและได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า แต่ทว่าผู้ที่ไม่ทำเช่นนั้นถูกขับออกไป?  นี่เป็นเพราะผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถแสวงหาความจริงได้ไม่ว่าอะไรจะบังเกิดแก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงมีงานและการรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยเหตุนี้จึงสามารถปฏิบัติความจริง เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระองค์ แต่ทว่าผู้ที่ไม่รักความจริงจะมองเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าไม่คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา แต่ก็ไม่แก้ไขเรื่องนี้โดยการแสวงหาความจริง และสามารถกลายเป็นลบและพร่ำบ่นได้ด้วยซ้ำ  เมื่อเวลาผ่านไป มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าก็เพิ่มขึ้น และพวกเขาก็เริ่มกังขาและไม่ยอมรับพระองค์  ผลก็คือพวกเขาถูกพระราชกิจของพระเจ้าทำให้ว้าวุ่นและขับออกไป  นั่นคือสาเหตุที่ผู้คนควรมีท่าทีของการแสวงหาความจริง ปฏิบัติความจริง และเพียรพยายามสนองข้อกำหนดของพระเจ้า แทนที่จะคิดลบและนิ่งเฉย  เพื่อผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับหลายสิ่งหลายอย่าง และมองสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดตามพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งใช้เวลาใคร่ครวญ แสวงหาความจริงและสามัคคีธรรมถึงความจริงมากขึ้น เพื่อให้พวกเขาสามารถรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าและก้าวตามให้ทัน  ด้วยหนทางนี้เท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถเข้าใจความจริงและเข้าไปลึกขึ้นในแต่ละวัน และด้วยหนทางนี้เท่านั้นพระวจนะของพระเจ้าและความจริงทุกแง่มุมจึงจะสามารถหยั่งรากลงไปในผู้คนได้  การผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถแยกออกจากชีวิตจริงได้ และยิ่งไม่สามารถแยกออกจากสภาพแวดล้อมของผู้คน เรื่องและสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ มิฉะนั้นแล้วผู้คนก็จะไม่สามารถเข้าใจและได้รับความจริงได้  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้วิธีผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเมื่อใดก็ตามที่มีปัญหาบังเกิดแก่พวกเขา  พวกเขาไม่รู้วิธีแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน หรือวิธีแก้ไขความเข้าใจผิดที่ไม่สมควรและทัศนะที่วิปริตผิดแผก  ผลก็คือพวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริงและกลับไม่ได้รับอะไรแทนทั้งที่ได้ผ่านประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มากมาย—นี่คือการเสียเวลาเปล่า  ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรบังเกิดแก่พวกเขา ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ผู้คนควรปฏิบัติคือการนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้า  การนบนอบนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้คนควรนบนอบอย่างเป็นลบ อย่างนิ่งเฉย หรือเป็นทางออกสุดท้าย แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขาควรมีเจตนาเชิงรุกที่เป็นบวก และมีเส้นทางแห่งการปฏิบัติความจริง  การนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าหมายถึงอะไร?  หมายถึงว่าไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดแจงเตรียมการอะไร ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรบังเกิดแก่เจ้า จงให้พระเจ้าทรงทำสิ่งนั้นและจงเรียนรู้ที่จะนบนอบพระองค์  จงอย่ามีความอยากได้อยากมีหรือแผนการส่วนตัวใดๆ และจงอย่าพยายามทำสิ่งต่างๆ ในหนทางของตนเอง  ทุกสิ่งที่ผู้คนชอบ ไล่ตามไขว่คว้าและถวิลหาล้วนวิปริตผิดแผกและไร้สาระ  ผู้คนไม่เชื่อฟังพระเจ้ามากเกินไป  พระองค์ทรงขอให้ผู้คนไปทางทิศตะวันออก แต่พวกเขาไม่ต้องการไปทางทิศตะวันออก  ต่อให้พวกเขาฝืนใจนบนอบ แต่ภายในพวกเขาก็ยังคงคิดถึงการไปทางทิศตะวันตก  นี่ไม่ใช่การนบนอบที่แท้จริง  การนบนอบที่แท้จริงหมายความว่าเมื่อพระเจ้าทรงบอกให้เจ้าไปทางทิศตะวันออก เจ้าก็ควรไปทางทิศตะวันออก และละทิ้งและยกเลิกความคิดทั้งหมดที่จะไปทางทิศใต้ ทิศเหนือหรือทิศตะวันตก และสามารถละทิ้งเจตจำนงของเนื้อหนังได้ แล้วจึงไปปฏิบัติโดยเดินตามเส้นทางและทิศทางที่พระเจ้าทรงแสดงให้เจ้าเห็น นี่คือสิ่งที่การนบนอบหมายถึง  หลักธรรมสำหรับการปฏิบัติการนบนอบมีอะไรบ้าง?  หลักธรรมเช่นนี้ได้แก่การฟังพระวจนะของพระเจ้าและนบนอบ และการปฏิบัติตามสิ่งที่พระเจ้าตรัส  จงอย่าเก็บงำความตั้งใจของเจ้าเอง และเจ้าจะมีจิตใจโลเลไม่ได้ด้วย  ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างชัดเจนหรือไม่ เจ้าก็ควรยุ่งอยู่กับการนำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติโดยดี และทำสิ่งต่างๆ ตามข้อกำหนดของพระองค์  จากกระบวนการปฏิบัติและผ่านประสบการณ์ เจ้าจะมาเข้าใจความจริงโดยไม่ทันรู้ตัว  หากปากของเจ้าพูดว่าเจ้านบนอบพระเจ้า แต่เจ้าไม่เคยปล่อยผ่านและละทิ้งแผนการและความอยากได้อยากมีภายในของเจ้า นี่ก็คือปากว่าตาขยิบมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่ไม่ใช่การนบนอบที่แท้จริง  หากเจ้าไม่นบนอบอย่างแท้จริง เจ้าก็จะมีข้อกำหนดมากมายของพระเจ้าเมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งต่างๆ บังเกิดแก่เจ้า และภายในเจ้าก็จะไม่อดทนรอให้พระเจ้าทรงสนองข้อกำหนดของเจ้า  หากพระเจ้าไม่ทรงทำตามที่เจ้าปรารถนา เจ้าก็จะรู้สึกปวดร้าวและกลัดกลุ้มมาก เจ้าจะทนทุกข์มากมาย และเจ้าจะไม่สามารถนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าได้ และสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าได้ทรงเริ่มไว้ให้เจ้า  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะเจ้ามีข้อกำหนดและความปรารถนาของตัวเองเสมอ และเจ้าไม่สามารถปล่อยผ่านแนวคิดส่วนตัวของตนเองได้ และเจ้าต้องการที่จะเป็นผู้ชี้ขาด  เพราะฉะนั้น เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับสิ่งที่ไม่ลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถนบนอบได้ และเป็นการยากสำหรับเจ้าที่จะนบนอบพระเจ้า  แม้ว่าในทางทฤษฎีผู้คนรู้ว่าพวกเขาควรนบนอบพระเจ้าและปล่อยผ่านแนวคิดของตนเอง แต่พวกเขาก็ปล่อยผ่านสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ ด้วยกลัวตลอดเวลาว่าจะเสียเปรียบและขาดทุน  จงบอกเราเถิดว่านี่ไม่ทำให้พวกเขาลำบากมากหรอกหรือ?  ความปวดร้าวของพวกเขาไม่เพิ่มขึ้นหรอกหรือ?  (เพิ่มขึ้น)  หากเจ้าสามารถละทิ้งทุกสิ่งได้ และปล่อยผ่านสิ่งต่างๆ ที่เจ้าชอบและเรียกร้องแต่ตรงข้ามกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า หากเจ้าสามารถปล่อยผ่านสิ่งเหล่านั้นอย่างเป็นเชิงรุกและเต็มใจ และไม่ตั้งเงื่อนไขต่อพระเจ้า แต่เต็มใจทำสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ เช่นนั้นแล้วความลำบากยากเย็นในตัวเจ้าก็จะน้อยลงมาก และอุปสรรคก็จะน้อยลงมาก  หากอุปสรรคในการนบนอบพระเจ้าของบุคคลหนึ่งลดลง ความปวดร้าวของพวกเขาจะไม่ลดลงหรอกหรือ?  เมื่อความปวดร้าวของพวกเขาลดลง ความทุกข์ที่พวกเขาต้องทนโดยไม่จำเป็นก็ลดลงอย่างรวดเร็ว  พวกเจ้าจะไปผ่านประสบการณ์ในหนทางนี้หรือ?  น่าจะยังไม่ใช่  เมื่อบางคนเห็นใครบางคนเผชิญกับความลำบากยากเย็น พวกเขาก็ระวังตัวในทันทีโดยการเอาใจคนพวกนั้นมาใส่ใจตน  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นใครบางคนเผชิญกับความปวดร้าว ความเจ็บป่วย ความทุกข์ลำบากหรือหายนะบางอย่าง พวกเขาก็นึกถึงตนเองในทันทีและสงสัยว่า “ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับฉัน ฉันจะทำอย่างไร?  กลายเป็นว่าผู้เชื่อยังคงสามารถเผชิญกับสิ่งเหล่านี้และทนทุกข์กับการทรมานเหล่านี้ได้  ดังนั้นพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแบบไหนกันแน่?  ถ้าพระเจ้าทรงไม่คำนึงถึงความรู้สึกของชายผู้นั้น พระองค์จะทรงปฏิบัติต่อฉันแบบเดียวกันหรือไม่?  นี่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงไม่น่าไว้ใจ  ทุกที่และทุกเวลาพระองค์ทรงสร้างสภาพแวดล้อมที่คาดไม่ถึงให้ผู้คน และสามารถทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าขายหน้าได้ตลอดเวลา และในทุกรูปการณ์แวดล้อม”  พวกเขากลัวว่าหากพวกเขาไม่เชื่อก็จะไม่ได้รับพร แต่ถ้าพวกเขาเชื่อต่อไปก็จะพบกับความวิบัติ  ในหนทางนี้ เมื่อผู้คนอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาเพียงพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอวิงวอนพระองค์ให้อวยพรข้าพระองค์” และไม่กล้าพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทดสอบข้าพระองค์ บ่มวินัยข้าพระองค์และทำตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ข้าพระองค์เต็มใจยอมรับ”—พวกเขาไม่กล้าอธิษฐานเช่นนี้  หลังจากผ่านประสบการณ์กับความถดถอยและความล้มเหลวไม่กี่ครั้ง ความแน่วแน่และความกล้าหาญของผู้คนก็ลดลง และพวกเขามี “ความเข้าใจ” ที่แตกต่างเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า การตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ และอธิปไตยของพระองค์ และก็ยังพัฒนาสำนึกระแวงพระเจ้าอีกด้วย  ในหนทางนี้จึงมีกำแพง ความเหินห่าง ระหว่างผู้คนกับพระเจ้า  การที่ผู้คนมีสภาวะเหล่านี้ใช้ได้หรือ?  (ใช้ไม่ได้)  สภาวะเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะพัฒนาในตัวพวกเจ้าหรือไม่?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าใช้ชีวิตในสภาวะเหล่านี้?  (เป็นไปได้)  ปัญหาเช่นนี้ควรแก้ไขอย่างไร?  การไม่แสวงหาความจริงใช้ได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริงและไม่มีความเชื่อก็จะยากสำหรับเจ้าที่จะติดตามพระเจ้าไปจนสุดทาง และเจ้าจะล้มลงเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับความวิบัติและหายนะไม่ว่าจะโดยธรรมชาติหรือที่มนุษย์สร้างขึ้น

หลังจากโยบก้าวผ่านบททดสอบ เขาเปล่งถ้อยคำว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21)  ทุกวันนี้ผู้คนมากมายเรียนรู้ที่จะท่องประโยคนี้ และพวกเขาก็ท่องประโยคนี้อย่างชัดถ้อยชัดคำ  แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาท่องประโยคนี้ ทั้งหมดที่พวกเขาคิดก็คือพระยาห์เวห์คือผู้ให้ แต่พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย และจากนั้นผู้คนจะผ่านประสบการณ์กับความปวดร้าว ความลำบากยากเย็นและสภาวะลำบากใจที่น่าอึดอัดประเภทใดบ้าง หรือหัวใจของผู้คนจะเปลี่ยนแปลงพร้อมกับสภาพแวดล้อมอย่างไร  พวกเขาไม่เคยคิดหน้าคิดหลัง พวกเขาเอาแต่ท่องต่อไปว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” กระทั่งถึงจุดที่ใช้ประโยคนี้เป็นคำขวัญและคำสอนที่พวกเขาพูดโพล่งในทุกโอกาส  ในความรู้สึกนึกคิดของทุกคน สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถคิดถึงคือพระคุณ พระพรและพระสัญญาทั้งหมดที่พระยาห์เวห์ทรงมอบให้ผู้คน แต่พวกเขาไม่เคยคิด—หรือไม่สามารถวาดมโนภาพ—ว่าฉากประเภทใดจะเกิดขึ้นเมื่อพระยาห์เวห์ทรงเอาสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไปเสียจากพวกเขา  ทุกคนที่มาเชื่อในพระเจ้าเพียงแค่พร้อมที่จะยอมรับพระคุณ พระพรและพระสัญญาของพระเจ้า และเพียงแค่เต็มใจที่จะยอมรับความใจดีมีเมตตาและความสงสารของพระองค์  แต่ทว่าไม่มีใครรอหรือตระเตรียมที่จะยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า บททดสอบและกระบวนการถลุงของพระองค์ หรือการตัดขาดของพระองค์ และไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่ตระเตรียมที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า การตัดขาดของพระองค์หรือการด่าทอของพระองค์  สัมพันธภาพระหว่างผู้คนกับพระเจ้านี้ปกติหรือผิดปกติ?  (ผิดปกติ)  เหตุใดเจ้าจึงพูดว่าผิดปกติ?  ตรงไหนที่ไม่เป็นไปตามคาด?  ไม่เป็นไปตามคาดตรงที่ผู้คนไม่มีความจริง  เป็นเพราะผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันมากเกินไป เข้าใจพระเจ้าผิดอยู่เนืองนิตย์ และไม่แก้ไขสิ่งเหล่านี้โดยการแสวงหาความจริง—นี่ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหามากที่สุด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนเพียงแค่เชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น  พวกเขาเพียงแค่ต้องการทำข้อตกลงกับพระเจ้าและเรียกร้องสิ่งต่างๆ จากพระองค์ แต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่อันตรายมาก  ทันทีที่พวกเขาพบพานบางสิ่งที่ไม่ลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดของตน พวกเขาก็จะสร้างมโนคติอันหลงผิด ความคับข้องใจและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าโดยทันที และสามารถไปไกลถึงขั้นทรยศพระองค์  ผลสืบเนื่องของเรื่องนี้ร้ายแรงหรือไม่?  ผู้คนส่วนใหญ่เดินบนเส้นทางใดในความเชื่อในพระเจ้าของตน?  แม้ว่าพวกเจ้าอาจได้ฟังคำเทศนาแล้วมากมายเหลือเกินและรู้สึกว่าพวกเจ้าได้มาเข้าใจความจริงไม่น้อย แต่ข้อเท็จจริงก็คือพวกเจ้ายังคงเดินบนเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อที่จะกินขนมปังให้อิ่มเท่านั้น  หากความรู้สึกนึกคิดของเจ้าพร้อมแล้วที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอน บททดสอบและกระบวนการถลุง และเจ้าได้เตรียมใจให้พร้อมที่จะทุกข์ทนกับความวิบัติแล้วด้วย และไม่ว่าเจ้าจะสละเพื่อพระเจ้ามากเพียงใด และเจ้าจะพลีอุทิศมากเพียงใดในการปฏิบัติหน้าที่ของตน หากเจ้าต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบของโยบจริงๆ และพระเจ้าทรงตัดขาดเจ้าจากทรัพย์สมบัติของเจ้าทั้งหมด กระทั่งถึงจุดที่ชีวิตของเจ้าจะต้องสิ้นสุด เช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำอย่างไร?  เจ้าควรจัดการอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าอย่างไร?  เจ้าควรจัดการหน้าที่ของเจ้าอย่างไร?  เจ้าควรจัดการสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าอย่างไร?  เจ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องและมีท่าทีที่เหมาะสมหรือไม่?  คำถามเหล่านี้ตอบง่ายหรือไม่?  นี่คือเครื่องกีดขวางขนาดใหญ่ที่ถูกวางไว้เบื้องหน้าพวกเจ้า  ในเมื่อนี่คือเครื่องกีดขวางและปัญหาจึงควรแก้ไขมิใช่หรือ?  (ใช่)  จะแก้ไขอย่างไร?  ปัญหานี้แก้ไขไม่ง่ายใช่หรือไม่?  สมมุติว่าเมื่อเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีเหลือเกิน อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมายเหลือเกิน ฟังคำเทศนามากมายเหลือเกิน และเข้าใจความจริงมากมายเหลือเกิน เจ้าก็พร้อมแล้วที่จะให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นพรหรือความวิบัติ  และสมมุติว่าโดยไม่คำนึงถึงการที่เจ้าละทิ้งและสละตนเอง และการเสียสละที่เจ้าทำ และพลังงานชั่วชีวิต ทั้งหมดที่เจ้าได้รับเป็นการตอบแทนก็คือการที่พระเจ้าทรงเปล่งคำด่าทอใส่เจ้า หรือตัดขาดเจ้า  แม้กระนั้นก็ตาม หากเจ้าไม่พร่ำบ่น ไม่มีความปรารถนาหรือข้อกำหนดของตนเอง แต่เพียงแค่พยายามนบนอบพระเจ้า และวางตนเองไว้ใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ และเจ้ารู้สึกว่าการสามารถมีแม้เพียงความเข้าใจน้อยนิดและการนบนอบเล็กน้อยต่ออธิปไตยของพระเจ้ายังคงทำให้ชีวิตของเจ้าคุ้มค่า—หากเจ้ามีท่าทีที่ถูกต้องเช่นนี้ การแก้ไขความลำบากยากเย็นบางอย่างก็จะไม่ง่ายดายหรอกหรือ?  ตอนนี้พวกเจ้ามีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าแล้วหรือยัง?  เจ้ายังคงมีแผนการสำหรับอนาคตและโชคชะตาส่วนตัวของเจ้าลึกลงไปในหัวใจของเจ้าหรือไม่?  เจ้าสามารถทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลังและสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจได้หรือไม่? เจ้าได้ใช้เวลาและพลังงานในการใคร่ครวญและคิดถึงประเด็นปัญหาเหล่านี้อย่างรอบคอบแล้วหรือไม่?  หรือเจ้าได้ผ่านประสบการณ์กับบางสิ่งเพื่อสัมฤทธิ์การเข้าใจความจริงและรู้จักอธิปไตยของพระเจ้าแล้วหรือไม่?  หากเจ้าไม่เคยแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเช่นวิธีที่ผู้คนที่ติดตามพระเจ้าควรจัดการอธิปไตยของพระองค์และการจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระผู้สร้าง ซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดเบื้องหน้าพวกเจ้า และพวกเจ้าไม่ตระหนักว่านี่คือความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนิมิต เช่นนั้นแล้วหากวันหนึ่งมีเหตุการณ์สำคัญหรือความวิบัติต้องเกิดขึ้น เจ้าจะสามารถตั้งมั่นในคำพยานของตนได้หรือไม่?  เรื่องนี้พูดยาก และยังคงเป็นปัจจัยที่ไม่รู้จักใช่หรือไม่?  (ใช่)  ประเด็นปัญหานี้ควรคิดทบทวนให้ถ้วนทั่วมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นเจ้าจะสามารถมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับอนาคตที่เจ้าไม่สามารถเห็นล่วงหน้าได้อย่างไร?  เจ้าจะสามารถตั้งมั่นในคำพยานของตนภายในสภาพแวดล้อมที่พระผู้ทรงเริ่มไว้ให้ได้อย่างไร?  นี่คือประเด็นปัญหาที่ควรพิจารณาและไตร่ตรองอย่างจริงจังมิใช่หรือ?  หากเจ้าคิดอยู่เนืองนิตย์ว่า “ฉันเป็นคนดีตามธรรมชาติ และฉันได้ชื่นชมพระคุณ พระพรและการปกป้องของพระเจ้ามากมาย  เมื่อคนอื่นเผชิญกับความลำบากยากเย็น พวกเขาก็อยู่ในฐานะที่อับจนหนทาง แต่เมื่อใดก็ตามที่ฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็น ฉันก็มีการจัดเตรียม การนำและความช่วยเหลือของพระเจ้า  ตอนนี้ฉันสามารถสู้ทนความยากลำบากและพลีอุทิศในการปฏิบัติหน้าที่ของฉันได้ ความเชื่อในพระเจ้าของฉันแรงกล้ามากขึ้น และฉันก็กำลังลุล่วงหน้าที่สำคัญอีกด้วย  ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงเมตตาฉันเป็นพิเศษ และฉันก็มีการปกป้องและพรของพระองค์  หากฉันทำเช่นนี้ต่อไป ต่อให้ในอนาคตฉันต้องทุกข์ทนกับการตีสอน การพิพากษา บททดสอบและกระบวนการถลุงบ้าง ฉันก็ควรจะสามารถเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้  ในท้ายที่สุด ฉันจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับพรอย่างแน่นอน ฉันจะถูกพระเจ้านำเข้าสู่ราชอาณาจักรอย่างแน่นอน และฉันจะเห็นวันที่พระเจ้าจะได้รับการถวายพระสิริอย่างแน่นอน!”  การคิดในหนทางนี้ดีหรือไม่?  เจ้าเชื่อว่าเจ้าแตกต่าง เชื่อว่าพระเจ้าทรงแสดงความโปรดปรานเป็นพิเศษแก่เจ้า และเชื่อว่าหากพระเจ้าทรงขับไล่หรือละทิ้งใคร คนนั้นจะไม่ใช่เจ้า  ความคิดเหล่านี้เหมาะสมหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดความคิดเหล่านี้จึงไม่เหมาะสม?  (การคิดในหนทางนี้ไม่เป็นกลาง)  ถ้อยคำเหล่านี้เทียบเท่ากับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่?  หรือนี่เป็นปัจเจกและการคาดคะเนมากเกินไปหรือไม่?  ผู้คนที่มีความคิดเหล่านี้คือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ดังนั้นพวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขาพร้อมที่จะยอมรับการตีสอน การพิพากษา บททดสอบและกระบวนการถลุงของพระเจ้า และแม้แต่คำด่าทอของพระองค์หรือไม่?  (ไม่พร้อม)  พวกเขาจะทำอย่างไรเมื่อการตีสอนและการพิพากษา บททดสอบและกระบวนการถลุงของพระเจ้าเกิดขึ้นกับพวกเขาจริงๆ?  พวกเขาจะสร้างมโนคติอันหลงผิดหรือพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาสามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้ว่ามาจากพระเจ้าและนบนอบอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  (ไม่)  อย่างน้อยที่สุดนี่ก็คงยากที่จะสัมฤทธิ์  นี่เป็นเพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อแสวงหาพระคุณหรือกินขนมปังให้อิ่มเท่านั้น  พวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าก็มีพระพิโรธและพระบารมีเช่นกัน และพระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่สามารถล่วงเกินได้  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างยุติธรรม และเมื่อเป็นเรื่องของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ พระอุปนิสัยของพระเจ้าก็คือความสงสารและความรัก แต่ก็รวมถึงพระบารมีและพระพิโรธด้วย  ในการจัดการแต่ละบุคคลของพระเจ้า ความสงสาร ความรัก พระบารมีและพระพิโรธในอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง  พระเจ้าจะไม่มีวันทรงแสดงให้บางคนเห็นความสงสารและความรักเท่านั้น และให้คนอื่นๆ เห็นพระบารมีและพระพิโรธเท่านั้น  พระเจ้าจะไม่มีวันทรงทำเช่นนี้เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ชอบธรรม และพระองค์ทรงยุติธรรมต่อทุกคน  ความสงสาร ความรัก พระบารมีและพระพิโรธของพระเจ้าดำรงอยู่เพื่อทุกคน  พระองค์ทรงสามารถมอบพระคุณและพระพรให้ผู้คน และสามารถให้การปกป้องแก่พวกเขาได้  ในเวลาเดียวกัน พระเจ้ายังสามารถพิพากษาและตีสอนผู้คน ด่าทอพวกเขาและเอาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้พวกเขาไปเสียได้ด้วย  พระเจ้าสามารถมอบให้ผู้คนได้ แต่พระองค์ก็สามารถเอาทุกสิ่งไปเสียจากพวกเขาได้เช่นกัน  นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า และนี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงต้องทำกับทุกคน  เพราะฉะนั้น หากเจ้าคิดว่า “ฉันล้ำค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ดังแก้วแห่งพระเนตรของพระองค์  พระองค์ทรงทนไม่ได้ที่จะตีสอนและพิพากษาฉันอย่างแน่นอน และพระองค์จะไม่มีพระทัยที่จะเอาทุกสิ่งที่พระองค์มอบให้ฉันไปเสียอย่างเด็ดขาด ด้วยเกรงว่าฉันจะเสียใจและเป็นทุกข์” การคิดเช่นนี้ไม่ผิดหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าหรอกหรือ?  (ใช่)  ดังนั้น ก่อนที่เจ้าจะมาเข้าใจความจริงเหล่านี้ เจ้าไม่เพียงแค่คิดถึงการชื่นชมพระคุณ ความสงสารและความรักของพระเจ้าเท่านั้นหรอกหรือ?  ผลก็คือเจ้าเฝ้าลืมไปว่าพระเจ้าทรงมีพระบารมีและพระพิโรธเช่นกัน  แม้ว่าริมฝีปากของเจ้าพูดว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม และเจ้าสามารถขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าได้เมื่อพระองค์ทรงแสดงให้เจ้าเห็นความสงสารและความรัก เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าแสดงให้เห็นพระบารมีและพระพิโรธในการตีสอนและพิพากษาเจ้า เจ้าก็รู้สึกเสียใจมาก  “ถ้าเพียงแต่พระเจ้าเช่นนั้นไม่มีอยู่จริง” เจ้าคิด “ถ้าเพียงแต่พระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ทำเรื่องนี้ ถ้าเพียงแต่พระเจ้าไม่ได้มุ่งเป้ามาที่ฉัน ถ้าเพียงแต่นี่ไม่ใช่เจตนารมณ์ของพระเจ้า ถ้าเพียงแต่สิ่งเหล่านี้ถูกกระทำกับผู้อื่น  เพราะฉันเป็นคนมีเมตตาจิต และฉันไม่ได้ทำอะไรไม่ดี และฉันจ่ายราคาอันหนักหน่วงสำหรับการเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี พระเจ้าจึงทรงไม่ควรไร้ปรานีขนาดนั้น  ฉันควรมีสิทธิ์และมีคุณสมบัติที่จะชื่นชมความสงสารและความรักของพระเจ้า รวมทั้งพระคุณและพระพรอันอุดมของพระเจ้า  พระเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาหรือตีสอนฉัน และพระองค์ก็ไม่มีพระทัยที่จะทำเช่นนั้น”  นี่เป็นเพียงการคิดฝันเฟื่องและผิดหรือไม่?  (เป็น)  ผิดในหนทางใด?  สิ่งที่ผิดในที่นี้คือว่าเจ้าไม่ถือว่าตนเองเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นสมาชิกของมนุษยชาติทรงสร้าง  เจ้าแยกตนเองอย่างไม่เหมาะสมออกจากมนุษยชาติทรงสร้าง และถือว่าตนเองเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกลุ่มหรือประเภทพิเศษ โดยมอบสถานะพิเศษให้ตนเอง  นี่ไม่ใช่การโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอหรอกหรือ?  นี่ไม่ไร้เหตุผลหรอกหรือ?  นี่คือบุคคลที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ไม่ใช่อย่างเด็ดขาด

ในครอบครัวของพระเจ้า ท่ามกลางพี่น้องชายหญิง ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะหรือตำแหน่งสูงเพียงใด หรือหน้าที่ของเจ้าจะสำคัญเพียงใด และไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถพิเศษและคุณูปการยิ่งใหญ่เพียงใด หรือเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามานานเพียงใด ในสายพระเนตรของพระเจ้าเจ้าก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง สิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดาสามัญ และบรรดาศักดิ์และสมญานามอันสูงส่งที่เจ้ามอบให้ตนเองไม่มีอยู่จริง  หากเจ้าถืออยู่เสมอว่าสิ่งเหล่านี้คือมงกุฎ หรือต้นทุนที่ทำให้เจ้าสามารถเป็นของกลุ่มพิเศษหรือเป็นบุคคลสำคัญพิเศษ เช่นนั้นแล้วด้วยการทำเช่นนี้เจ้าก็ต้านทานและขัดแย้งกับทัศนะของพระเจ้า และเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า  อะไรจะเป็นผลสืบเนื่องของเรื่องนี้?  เรื่องนี้จะเป็นเหตุให้เจ้าต้านทานหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหรือไม่?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่ไม่ถือว่าตนเองเป็นเช่นนั้น  เจ้าสามารถนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงด้วยกรอบความคิดเช่นนี้ได้หรือ?  เจ้าคิดอย่างฝันเฟื่องเสมอว่า “พระเจ้าทรงไม่ควรปฏิบัติต่อฉันแบบนี้ พระองค์ไม่มีวันสามารถทรงปฏิบัติต่อฉันแบบนี้ได้”  นี่ไม่สร้างความขัดแย้งกับพระเจ้าหรอกหรือ?  เมื่อพระเจ้าทรงกระทำการที่ไม่ลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า วิธีคิดของเจ้าและสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องมี เจ้าจะคิดอย่างไรในหัวใจของเจ้า?  เจ้าจะจัดการสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมการไว้ให้เจ้าอย่างไร?  เจ้าจะนบนอบหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าจะไม่นบนอบ และแน่นอนว่าเจ้าจะต้านทาน ต่อต้าน โอดครวญและพร่ำบ่น งุนงงกับเรื่องนี้ซ้ำๆ ในหัวใจของเจ้า พลางคิดว่า “แต่พระเจ้าเคยทรงปกป้องฉันและปฏิบัติต่อฉันอย่างเปี่ยมพระคุณ  ทำไมตอนนี้พระองค์ถึงทรงเปลี่ยนไป?  ฉันมีชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว!”  ดังนั้นเจ้าจึงเริ่มฉุนเฉียวและแผลงฤทธิ์  หากที่บ้านเจ้าประพฤติตัวเช่นนี้กับบิดามารดาของเจ้า ก็ให้อภัยได้และพวกเขาจะไม่ทำอะไรเจ้า  แต่เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้ในพระนิเวศของพระเจ้า  เพราะเจ้าเป็นผู้ใหญ่และผู้เชื่อ แม้แต่คนอื่นก็จะไม่ยอมทนเรื่องเหลวไหลของเจ้า—เจ้าคิดว่าพระเจ้าจะทรงยอมผ่อนปรนต่อพฤติกรรมเช่นนี้หรือไม่?  พระองค์จะทรงให้อภัยเจ้าที่ทำสิ่งนี้กับพระองค์หรือไม่?  ไม่ พระองค์จะไม่ทรงให้อภัย  เหตุใดพระองค์จึงจะไม่ทรงให้อภัย?  พระเจ้าทรงไม่ใช่บิดามารดาของเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง และพระผู้สร้างจะไม่มีวันทรงเปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างฉุนเฉียวและไร้เหตุผล หรืออาละวาดเฉพาะพระพักตร์พระองค์  เมื่อพระเจ้าทรงตีสอนและพิพากษาเจ้า ทดสอบเจ้าหรือเอาไปเสียจากเจ้า เมื่อพระองค์ทรงวางเจ้าไว้ในความทุกข์ยาก พระองค์ทรงต้องการเห็นท่าทีของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างจากวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระผู้สร้าง พระองค์ทรงต้องการเห็นว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างจะเลือกเส้นทางประเภทใด และพระองค์จะไม่มีวันทรงเปิดโอกาสให้เจ้าฉุนเฉียวและไร้เหตุผล หรือพ่นเหตุผลอันวิปริตผิดแผกเพื่อสร้างความชอบธรรม  หลังจากเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้คนควรคิดถึงวิธีที่พวกเขาควรจัดการทุกสิ่งที่พระผู้สร้างทรงทำมิใช่หรือ?  แรกที่สุด ผู้คนควรยอมรับสถานภาพที่ถูกต้องเหมาะสมของตนว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและยอมรับรู้อัตลักษณ์ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เจ้ายอมรับรู้ได้หรือไม่ว่าเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง?  หากเจ้ายอมรับรู้ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรยอมรับสถานภาพที่ถูกต้องเหมาะสมของเจ้าว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และนบนอบต่อการจัดแจงเตรียมการของพระผู้สร้าง และต่อให้เจ้าทนทุกข์บ้าง เจ้าก็ทนทุกข์โดยไม่พร่ำบ่น  นี่คือความหมายของการเป็นใครบางคนที่มีสำนึก  หากเจ้าไม่คิดว่าเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่คิดว่าเจ้ามีบรรดาศักดิ์และรัศมีเหนือศีรษะของเจ้า และเจ้าคือบุคคลที่มีสถานะ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ผู้ควบคุม ผู้เรียบเรียงหรือผู้อำนวยการในครอบครัวของพระเจ้า และเจ้าคือคนที่ได้สร้างคุณูปการที่ควรค่าต่องานของครอบครัวของพระเจ้า—หากนั่นคือสิ่งที่เจ้าคิด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นคนที่ไร้เหตุผลและไร้ยางอายอย่างโจ่งแจ้งที่สุด  พวกเจ้าคือคนที่มีสถานะ มีตำแหน่งและมีค่าหรือไม่?  (พวกเราไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วเจ้าคืออะไร?  (ฉันคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง)  ถูกต้อง เจ้าเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดาสามัญ  ในหมู่ผู้คน เจ้าสามารถโอ้อวดคุณสมบัติของเจ้า ใช้ความอาวุโสเพื่อให้ได้เปรียบ คุยโวเกี่ยวกับความดีความชอบของเจ้า หรือพูดคุยเกี่ยวกับวีรกรรมของเจ้า  แต่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง และเจ้าจะต้องไม่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ หรือโอ้อวดสิ่งเหล่านี้ หรือสวมมาดของมือเก่าอย่างเด็ดขาด  สิ่งต่างๆ จะยุ่งเหยิงหากเจ้าโอ้อวดคุณสมบัติของตน  พระเจ้าจะทรงถือว่าเจ้าไร้เหตุผลและโอหังอย่างที่สุด  พระองค์จะทรงถูกเจ้าทำให้ผลักไสและขยะแขยงเจ้า และกีดกันเจ้า และแล้วเจ้าก็จะเดือดร้อน  ก่อนอื่นเจ้าต้องยอมรับรู้อัตลักษณ์และตำแหน่งของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ไม่ว่าสถานะของเจ้าในหมู่คนอื่นๆ จะเป็นเช่นไร หรือตำแหน่งของเจ้าจะโดดเด่นเพียงใด หรือเจ้ามีข้อได้เปรียบอะไร หรือพระเจ้าได้มอบความสามารถพิเศษบางอย่างให้เจ้าหรือไม่ เพื่อให้เจ้าสามารถเพลิดเพลินกับสำนึกของความเหนือกว่าอย่างเหลือเฟือในหมู่ผู้คน—เมื่อเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่มีคุณค่าหรือนัยสำคัญ  เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องไม่โอ้อวด แต่ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่อยู่อย่างนอบน้อมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแทน  เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าก็เป็นเพียงสมาชิกคนหนึ่งของมนุษยชาติทรงสร้าง  ไม่ว่าเจ้าจะมีชื่อเสียงมากเพียงใด มีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษมากเพียงใด และไม่ว่าเจ้าจะพยายามมากเพียงใดในหมู่ผู้คน สิ่งเหล่านี้ไม่ควรค่าที่จะเอ่ยถึงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า นับประสาอะไรกับการโอ้อวด และเจ้าเพียงควรถือว่าสถานะที่ถูกต้องเหมาะสมของเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  นี่คือสิ่งแรก  สิ่งที่สองคือการไม่เอาแต่พยายามชื่นชมพระคุณและพระพรของพระเจ้าในขณะที่ต้านทานและปฏิเสธการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าภายใน หรือกลัวบททดสอบและกระบวนการถลุงของพระเจ้าสำหรับเจ้า  ความกลัวและการต้านทานเหล่านี้ล้วนไร้ประโยชน์  บางคนพูดว่า “ถ้าฉันเต็มใจยอมรับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบและกระบวนการถลุงของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วฉันจะถูกยกเว้นความทุกข์เหล่านี้ได้หรือ?”  พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดตามการที่เจ้าชอบสิ่งเหล่านี้หรือไม่ หรือตามความปรารถนาส่วนตัวของเจ้าหรือการเลือกของเจ้า แต่ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ความคิดของพระองค์ และแผนการของพระองค์  เพราะฉะนั้น ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นอกเหนือจากการยอมรับพระคุณและพระพรของพระเจ้าแล้ว เจ้าต้องสามารถยอมรับและผ่านประสบการณ์กับการตีสอน การพิพากษา บททดสอบและกระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าได้อย่างแท้จริง  มีบางคนที่จะพูดว่า “คุณหมายถึงว่าพระคุณของพระเจ้าสามารถมอบให้ผู้คนได้ทุกที่และทุกเวลา แต่การตีสอน การพิพากษา บททดสอบ กระบวนการถลุงและหายนะของพระเจ้าก็สามารถบังเกิดแก่ผู้คนได้ทุกที่และทุกเวลาเช่นกันอย่างนั้นหรือ?”  พวกเจ้าคิดว่าการตีสอน การพิพากษา บททดสอบและกระบวนการถลุงของพระเจ้าจะบังเกิดแก่ผู้คนอย่างไร้กฎเกณฑ์ ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเฝ้าระวังอย่างนั้นหรือ?  (สิ่งเหล่านี้จะไม่บังเกิด)  ไม่อย่างเด็ดขาด ไม่ใช่เช่นนั้นเลย  มนุษย์ที่เสื่อมทรามไม่ควรค่ากับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า—นี่คือบางสิ่งที่พวกเจ้าควรตระหนักรู้  แต่เจ้าต้องเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยและเปิดโปงเจ้า บ่มวินัย สั่งสอนและตีสอนเจ้า และพระองค์พิพากษา ทดสอบและถลุง และแม้กระทั่งด่าทอเจ้าตามวุฒิภาวะของเจ้า รูปการณ์แวดล้อมของเจ้า และแน่นอน การไล่ตามเสาะหาส่วนตัวของเจ้า  หากพระเจ้าทรงเห็นชอบเจ้า เช่นนั้นแล้วการพิพากษา การตีสอน บททดสอบและกระบวนการถลุงของพระองค์ก็จะบังเกิดแก่เจ้าในเวลาที่เหมาะสม  ตลอดครรลองแห่งความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า พระพรและพระคุณของพระองค์ร่วมทางกับเจ้าตลอดเวลาและทุกหนแห่ง เช่นเดียวกันกับการเปิดเผย การสั่งสอน การบ่มวินัย การตีสอนและการพิพากษา บททดสอบและกระบวนการถลุง และอื่นๆ ของพระองค์  แน่นอนว่า ตลอดเวลาและทุกหนแห่งหมายถึงในปริมาณที่ยุติธรรม ในเวลาที่เหมาะสม และตามแผนการของพระเจ้า  สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นกับผู้คนอย่างไร้กฎเกณฑ์ และไม่ได้หมายความว่าหายนะใหญ่จะบังเกิดแก่ผู้คนอย่าฉับพลันทันทีที่พวกเขาหยุดรอบคอบระมัดระวัง  ไม่ใช่แบบนั้นเลย  หากเจ้าไม่มีวุฒิภาวะเฉพาะบางอย่างและพระเจ้าทรงยังไม่ได้วางแผนที่จะทำสิ่งใดกับเจ้า จงอย่ากังวล เจ้าอาจเพียงแค่ได้รับการร่วมทางจากพระคุณ พระพรและการสถิตของพระเจ้าในชีวิตของเจ้า  หากเจ้าไม่มีวุฒิภาวะที่เพียงพอ หรือเจ้าต้านทานและกลัวการตีสอน การพิพากษา บททดสอบและกระบวนการถลุงของพระเจ้าเป็นพิเศษ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงบังคับให้เจ้ารับสิ่งต่างๆ ซึ่งขัดกับเจตจำนงของเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้  ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ผู้คนก็ควรรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าและเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์  ด้วยความรู้ที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นผู้คนจึงจะสามารถมีท่าทีที่ถูกต้อง มีสภาวะที่ปกติ และสามารถเผชิญหน้ากับสิ่งใดก็ตามที่บังเกิดแก่พวกเขาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  ตอนนี้เจ้าพร้อมที่จะยอมรับการตีสอน การพิพากษา บททดสอบและกระบวนการถลุงของพระเจ้าแล้วหรือยัง?  พวกเจ้าเต็มใจยอมรับหรือไม่?  (พวกเราเต็มใจ)  ปากของพวกเจ้าพูดว่าใช่ แต่ก็ยังกลัวมากในหัวใจของพวกเจ้า  ทันทีหลังจากตอบว่าใช่ หากหายนะบังเกิดแก่เจ้าโดยฉับพลันอย่างไม่คาดคิด เจ้าจะจัดการอย่างไร?  เจ้าจะร้องไห้น้ำตานองหน้าหรือไม่?  เจ้าจะกลัวตายหรือไม่?  เจ้าจะกังวลหรือไม่ว่าเจ้าจะไม่ได้รับพร?  เจ้าจะกังวลหรือไม่ว่าเจ้าจะไม่สามารถเห็นวันที่พระเจ้าจะทรงได้รับการถวายพระสิริ?  เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่ผู้คนเผชิญหน้าเมื่อสิ่งต่างๆ บังเกิดแก่พวกเขา  กล่าวสั้นๆ ก็คือหากคนเราปรารถนาที่จะตั้งมั่นท่ามกลางบททดสอบและความทุกข์ลำบากก็ต้องมีสองสิ่ง  สิ่งแรกคือให้ถือว่าสถานภาพที่ถูกต้องเหมาะสมของเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เจ้าควรชัดเจนในหัวใจของเจ้าว่าเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดาสามัญ คนธรรมดาสามัญท่ามกลางมนุษยชาติที่เสื่อมทราม ไม่มีอะไรเหนือธรรมดาหรือพิเศษ และเจ้าควรสวมสถานภาพที่ถูกต้องเหมาะสมของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  สิ่งที่สองคือให้มีหัวใจที่จริงใจและนบนอบพระเจ้า และพร้อมตลอดเวลาที่จะยอมรับพระพรและพระคุณจากพระเจ้า รวมทั้งยอมรับการตีสอน การพิพากษา บททดสอบและกระบวนการถลุงจากพระองค์  ดังที่โยบกล่าวไว้ว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” (โยบ 2:10) และ “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21)  นี่คือข้อเท็จจริง และเป็นข้อเท็จจริงที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่?  (ใช่)  หากเจ้ามีสองสิ่งนี้ โดยพื้นฐานแล้วเจ้าก็จะสามารถตั้งมั่นและผ่านพ้นหายนะและความทุกข์ลำบากทั่วไปได้  แม้ว่าเจ้าอาจจะไม่สามารถเป็นคำพยานที่แรงกล้าและดังกึกก้องได้ แต่อย่างน้อยที่สุดเจ้าจะไม่มีแนวโน้มที่จะออกนอกลู่นอกทาง สะดุดหรือทำบางสิ่งที่คิดคดทรยศ  ถึงตอนนั้นเจ้าจะปลอดภัยมิใช่หรือ?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าควรปฏิบัติตามสองสิ่งนี้ และดูว่าสัมฤทธิ์ง่ายหรือไม่ และเจ้าสามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้ในส่วนลึกของหัวใจของเจ้าได้หรือไม่  ครั้นเจ้ารู้สิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าเผชิญกับบททดสอบบางอย่าง การที่เจ้าจะมองและเข้าใจสิ่งเหล่านี้แตกต่างออกไปมากเพียงใดก็เป็นเรื่องของเจ้าเอง  การสามัคคีธรรมของเราในหัวข้อนี้ก็จบลงที่ตรงนี้

ในเรื่องของคำกล่าวที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมตามประเพณีนั้น ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวใด?  (พวกเราสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวสามคำคือ “เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู” “จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น” และ “ฉันยอมรับกระสุนแทนเพื่อน”)  ครั้งที่แล้ว พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงข้อพึงประสงค์และคำกล่าวสามคำนี้ที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม และที่เกี่ยวกับแก่นแท้ของคำกล่าวที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอีกด้วย  พวกเราสามัคคีธรรมถึงสิ่งใดที่เกี่ยวกับแก่นแท้ของคำกล่าวที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม?  (พระเจ้าตรัสถึงความแตกต่างระหว่างคำกล่าวที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมกับความจริง  คำกล่าวที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเพียงแค่จำกัดพฤติกรรมของผู้คนและทำให้พวกเขายึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่ทว่าความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าบอกผู้คนถึงหลักธรรมความจริงที่พวกเขาควรเข้าใจ และชี้ให้พวกเขาเห็นเส้นทางแห่งการปฏิบัติบางสาย เพื่อให้พวกเขามีหลักธรรมและทิศทางสำหรับการปฏิบัติของตนเวลาที่มีสิ่งทั้งหลายตกแก่พวกเขา  เหล่านี้คือแง่มุมที่คำกล่าวที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแตกต่างจากความจริง)  ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมว่าคำกล่าวที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมส่วนใหญ่พึงประสงค์ให้ผู้คนยึดปฏิบัติตามวิธีการปฏิบัติและกฎเกณฑ์เฉพาะบางประการ และให้ความสำคัญมากขึ้นกับการใช้กฎเกณฑ์เพื่อจำกัดพฤติกรรมของผู้คน  ในทางตรงกันข้ามข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนชี้ให้เห็นเส้นทางการปฏิบัติสำหรับพวกเขาเป็นส่วนใหญ่ โดยยึดตามสิ่งที่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถสัมฤทธิ์ได้ และเส้นทางการปฏิบัติอันหลากหลายเหล่านี้เรียกว่าหลักธรรม  นี่หมายความว่าเมื่อใดก็ตามที่มีปัญหาตกแก่เจ้า พระเจ้าจะทรงบอกเส้นทางปฏิบัติที่แม่นยำและเป็นบวกแก่เจ้า และบอกหลักธรรม จุดหมายและทิศทางแก่เจ้าสำหรับการปฏิบัติของเจ้า  พระองค์ไม่ทรงต้องการให้เจ้ายึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ แต่ให้ยึดตามหลักธรรมเหล่านี้  ในหนทางนี้ผู้คนดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงความจริง และเส้นทางที่พวกเขาเดินจะถูกต้อง  วันนี้พวกเรามาดูเพิ่มเติมว่ามีปัญหาอื่นใดที่มีลักษณะสำคัญกับคำกล่าวที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  คำกล่าวจำนวนมากที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมไม่เพียงแค่จำกัดขอบเขตความคิดของผู้คนเท่านั้น แต่ยังทำให้การคิดอ่านของพวกเขาสับสนและมึนงงอีกด้วย  ในเวลาเดียวกันก็มีคำกล่าวที่รุนแรงถึงรากถึงโคนยิ่งกง่าบางคำที่เอาชีวิตผู้คน  ตัวอย่างเช่น คำกล่าวที่น่าขนพองในการสามัคคีธรรมครั้งที่แล้วของพวกเราที่ว่า “ฉันยอมรับกระสุนแทนเพื่อน” ไม่เพียงแค่ควบคุมและจำกัดขอบเขตความคิดของผู้คนเท่านั้น แต่ยังเอาชีวิตพวกเขาอีกด้วย โดยทำให้พวกเขาไม่เพียงแค่ไม่สามารถรักและทะนุถนอมชีวิตของตนเองเท่านั้น แต่ยังโน้มเอียงที่จะสละชีวิตของตนอย่างหุนหันพลันแล่นด้วยเหตุผลตามอำเภอใจอีกด้วย ในหนทางที่วู่วามและไม่ใส่ใจ  นี่คือการเอาชีวิตผู้คนมิใช่หรือ?  (ใช่)  ก่อนที่ผู้คนจะเข้าใจเสียด้วยซ้ำว่าชีวิตคืออะไรกันแน่และพบเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต พวกเขายอมสละชีวิตของตนตามอำเภอใจเพื่อคนที่เรียกว่าเพื่อนแลกกับความใจดีเมตตาเพียงน้อยนิด และถือว่าชีวิตของตนเองนั้นต่ำต้อยและไร้ค่ามากเหลือเกิน  นี่คือผลสืบเนื่องของการคิดอ่านประเภทหนึ่งที่วัฒนธรรมตามประเพณีสอนผู้คน  เมื่อพิจารณาว่าคำกล่าวที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมสามารถจำกัดขอบเขตความคิดของผู้คนได้อย่างไร ก็ไม่มีสิ่งใดที่เป็นบวกในคำกล่าวเหล่านี้เลย และเมื่อพิจารณาว่าคำกล่าวเหล่านี้เอาชีวิตผู้คนโดยไร้กฎเกณฑ์อย่างไร คำกล่าวเหล่านี้ก็ไม่มีผลกระทบที่เป็นบวกหรือประโยชน์ต่อผู้คนอย่างแน่นอน  นอกจากนี้ ผู้คนก็ถูกแนวคิดเหล่านี้หลอกลวงและทำให้มึนงง  เพื่อความถือดีและความเย่อหยิ่งของตนเอง และเพื่อไม่ให้ถูกมติมหาชนประณาม พวกเขาถูกบีบบังคับให้ปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์สำหรับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  ผู้คนถูกคำกล่าวและแนวคิดสารพัดเหล่านี้ที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมพันธนาการ จำกัดเหนี่ยวรั้งและตีตรวนอย่างสิ้นเชิง ทิ้งให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น  มวลมนุษย์เต็มใจที่จะดำเนินชีวิตภายใต้โซ่ตรวนของคำกล่าวที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม และไม่มีทางเลือกเสรีเพียงเพื่อจุดประสงค์ของการดำเนินชีวิตที่น่านับถือมากขึ้น ดูดีต่อหน้าผู้อื่น ได้รับการยกย่องอย่างสูงและได้รับข้อคิดเห็นในด้านที่ดีจากผู้คน รวมทั้งการหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าหมายของการนินทาลับหลัง และนำเกียรติมาสู่ครอบครัวของตน  เมื่อพิจารณาแนวคิดและทัศนะเหล่านี้ของผู้คน รวมทั้งปรากฏการณ์เหล่านี้ที่พวกเขาถูกคำกล่าวที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมควบคุม แม้ว่าคำกล่าวเช่นนี้จะจำกัดและเหนี่ยวรั้งพฤติกรรมของมนุษย์ในขอบข่ายหนึ่ง แต่ในขอบข่ายที่มีนัยสำคัญคำกล่าวเช่นนี้ปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทราม และข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและธรรมชาติเยี่ยงซาตาน  พวกเขาใช้พฤติกรรมภายนอกปกปิดผู้คนเพื่อให้ภายนอกพวกเขาดำเนินชีวิตที่น่านับถือ มีวัฒนธรรม สง่างาม มีเมตตาจิต โดดเด่นและมีเกียรติ  เพราะฉะนั้น ผู้อื่นจึงสามารถเพียงแค่กำหนดพิจารณาว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด—ไม่ว่าพวกเขาจะมีเกียรติหรือต่ำต้อย ดีหรือชั่ว—ผ่านทางพฤติกรรมภายนอกของพวกเขา  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ ทุกคนวัดและตัดสินว่าใครบางคนดีหรือไม่ดีตามข้อพึงประสงค์สารพัดที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม แต่ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถมองทะลุการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ผิวเผินของผู้คนเข้าไปถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามของพวกเขาได้ อีกทั้งไม่สามารถมองเห็นอย่างชัดเจนถึงความยอกย้อนและความเหี้ยมโหดสารพัดทั้งปวงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเปลือกของการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  ในหนทางนี้ผู้คนใช้การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเป็นสิ่งพรางเพื่อปกปิดแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตนในขอบเขตที่ใหญ่ขึ้น  ตัวอย่างเช่น หญิงผู้หนึ่งภายนอกมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม ได้รับการสรรเสริญและความเลื่อมใสจากผู้คนรอบตัวเธอ  เธอมีความประพฤติที่เหมาะสม มีมารยาทดี มีความอดกลั้นเป็นพิเศษในปฏิสัมพันธ์ที่เธอมีกับผู้อื่น ไม่เก็บความเคียดแค้น เคร่งครัดในหน้าที่ต่อบิดามารดา เล่นบทภรรยาและมารดาที่ดี สามารถสู้ทนความยากลำบาก และถือว่าเป็นบุคคลต้นแบบสำหรับหญิงอื่นๆ  ไม่สามารถสังเกตพบปัญหาใดจากรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าลึกๆ แล้วเธอคิดอะไรหรืออย่างไร  เธอไม่เคยพูดว่าความปรารถนาและความทะเยอทะยานของเธอคืออะไร และเธอก็ไม่กล้าพูดด้วย  เหตุใดเธอจึงไม่กล้าพูด?  เพราะเธอต้องการวางตัวในฐานะสตรีที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม  หากเธอเปิดใจและเปิดโปงหัวใจและความอัปลักษณ์ของเธออย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเธอก็จะไม่สามารถเป็นสตรีที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมได้ และจะถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์และสบประมาทด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงแค่ปกปิดและตบแต่งตนเองให้ดูดี  การถูกปกปิดไว้ใต้พฤติกรรมภายนอกของการเป็นผู้ที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม หมายความว่าผู้คนมองเห็นแต่ความดีของเธอเท่านั้นและสรรเสริญเธอ และด้วยเหตุนี้เธอจึงสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของเธอ  แต่ไม่ว่าเธอจะอำพรางตนเองและหลอกลวงผู้อื่นอย่างไร จริงๆ แล้วเธอก็ดีงามเท่ากับที่ผู้คนมองว่าเธอเป็นหรือไม่?  ไม่อย่างเด็ดขาด  อันที่จริงเธอมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือไม่?  เธอมีแก่นแท้ของความเสื่อมทรามหรือไม่?  เธอเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงหรือไม่?  โอหังหรือไม่?  ดื้อดึงหรือไม่?  ชั่วหรือไม่?  (ใช่)  แน่นอนว่าเธอคือสิ่งเหล่านี้ แต่สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดถูกปกปิดไว้—นี่คือข้อเท็จจริง  บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จีนบางคนได้รับการเคารพในฐานะนักบุญและปราชญ์สมัยโบราณ  อะไรคือพื้นฐานสำหรับคำยืนยันนี้?  พวกเขาได้รับการสรรเสริญในฐานะนักบุญและปราชญ์บนพื้นฐานของบันทึกและตำนานบางอย่างที่มีอยู่จำกัดและไม่มีหลักฐานรองรับเท่านั้น  ข้อเท็จจริงก็คือไม่มีผู้ใดรู้ว่าการกระทำและการประพฤติปฏิบัติเบื้องหลังของพวกเขาคืออะไรกันแน่  ตอนนี้พวกเจ้ามีความเข้าใจที่ถ้วนทั่วเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้แล้วหรือไม่?  พวกเจ้าบางคนควรมีความเข้าใจที่ค่อนข้างถ้วนทั่ว เพราะพวกเจ้าได้ฟังคำเทศนามามากมายเหลือเกิน และมองเห็นแก่นแท้และความจริงของความเสื่อมทรามของมนุษย์อย่างชัดเจนทีเดียว  ตราบใดที่ผู้คนเข้าใจความจริงบางอย่าง พวกเขาก็สามารถได้รับความเข้าใจอันถ้วนทั่วที่เกี่ยวกับผู้คน เรื่องและสิ่งทั้งหลายบางอย่างได้  สตรีที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม—ไม่ว่าพฤติกรรมภายนอกและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของเธอจะน่าเอาอย่างเพียงใด และไม่ว่าเธอจะอำพรางและตกแต่งตนเองให้ดูดีเพียงใด—จะเปิดเผยอุปนิสัยอันโอหังของเธอหรือไม่?  (เปิดเผย)  เธอจะเปิดเผยอย่างแน่นอนที่สุด  ดังนั้นเธอมีอุปนิสัยที่ดื้อดึงหรือไม่?  (มี)  เธอคิดว่าเธอถูกต้องและรู้สึกว่าเธอมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม และเธอเป็นคนดี ซึ่งพิสูจน์ว่าเธอคิดว่าตนชอบธรรมเสมออย่างมากและดื้อดึงมากอีกด้วย  ข้อเท็จจริงก็คือลึกๆ แล้ว เธอตระหนักรู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอและเธอมีข้อบกพร่องอะไรบ้าง แต่เธอยังคงสามารถป่าวประกาศคุณธรรมของตนเองได้  นี่คือความดื้อดึงมิใช่หรือ?  นี่คือความโอหังมิใช่หรือ?  ยิ่งไปกว่านั้น การที่เธอกล่าวประกาศว่าตนเองเป็นคนที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม ก็เพื่อทิ้งชื่อเสียงที่ดีไว้ข้างหลังและนำเกียรติมาสู่ครอบครัวของเธอทั้งสิ้น  ความคิดและการไล่ตามเสาะหาเช่นนี้วิปริตผิดแผกและชั่วมิใช่หรือ?  เธอได้รับคำชมเชยจากผู้คนและได้รับชื่อเสียงที่ดี แต่ลึกๆ แล้วเธอซ่อนความตั้งใจ ความคิดของเธอ และสิ่งที่น่าละอายที่เธอทำไว้ และไม่พูดอะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นกับผู้ใด  เธอกลัวว่าเมื่อผู้คนมองเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์เธอ ตัดสินเธอและปฏิเสธเธอ  นี่คืออุปนิสัยอะไร?  คืออุปนิสัยที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้น ไม่ว่าพฤติกรรมภายนอกของเธอจะเหมาะสมและน่านับถือเพียงใด หรือการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของเธอจะมีเกียรติเพียงใด อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเธอก็มีอยู่จริง เพียงแต่ว่าผู้ไม่เชื่อที่ไม่เคยได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าและไม่เข้าใจความจริงไม่สามารถล่วงรู้หรือรู้เรื่องนี้ได้  เธออาจจะสามารถหลอกลวงผู้ไม่เชื่อได้ แต่เธอไม่สามารถหลอกลวงผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและผู้ที่เข้าใจความจริงได้  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เป็นเพราะว่าเธออยู่ภายใต้ความเสื่อมทรามของซาตาน และเธอมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้ที่เสื่อมทราม  นี่คือข้อเท็จจริง  ไม่ว่าการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของเธอจะน่าเอาอย่างมากเพียงใด หรือเธอบรรลุมาตรฐานสูงเพียงใด ข้อเท็จจริงที่ว่าเธอมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามก็ปฏิเสธไม่ได้และเปลี่ยนแปลงไม่ได้  เมื่อผู้คนเข้าใจความจริง พวกเขาก็จะสามารถหยั่งรู้เธอในสิ่งที่เธอเป็นได้  อย่างไรก็ตาม ซาตานหาประโยชน์จากคำกล่าวเหล่านี้ที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเพื่อหลอกลวงมนุษย์ และแน่นอนว่ายังทำให้ความคิดของพวกเขามึนชาและจำกัดขอบเขตความคิดของพวกเขาอีกด้วย ทำให้พวกเขาคิดผิดไปว่าหากพวกเขาสนองข้อพึงประสงค์และมาตรฐานเหล่านี้ที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม พวกเขาก็คือคนดีและกำลังเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง  อันที่จริงนี่ตรงกันข้ามกับความจริง  ต่อให้บางคนแสดงพฤติกรรมที่ดีบางอย่างซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้เริ่มออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางที่ผิดและดำเนินชีวิตในบาป  พวกเขาได้เริ่มออกเดินไปบนเส้นทางแห่งความหน้าซื่อใจคด และตกลงสู่ตาข่ายของซาตาน  นี่เป็นเพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของมนุษย์จะไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยเพียงเพราะพวกเขามีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอันดีงามอยู่บ้างเท่านั้น  การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมภายนอกเป็นเพียงแค่การประดับประดา เป็นเพียงแค่การแสดง และธรรมชาติที่แท้จริงและอุปนิสัยที่แท้จริงของพวกเขาจะถูกเปิดเผยอยู่ดี  ซาตานตั้งใจที่จะจำกัดและควบคุมผู้คนผ่านทางพฤติกรรมและรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขา ทำให้ผู้คนอำพรางตนเองและตกแต่งตนเองให้ดูดีโดยวิถีทางของพฤติกรรมที่ดีงาม ในเวลาเดียวกันก็ใช้พฤติกรรมที่ดีงามของผู้คนเพื่อปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าซาตานได้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม และแน่นอน เพื่อปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอีกด้วย  ในแง่หนึ่ง จุดมุ่งหมายของซาตานคือการทำให้ผู้คนอยู่ใต้การควบคุมของคำกล่าวเหล่านี้ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม เพื่อให้พวกเขาทำความดีมากขึ้นและทำความชั่วน้อยลง และไม่ทำสิ่งที่ต่อต้านชนชั้นปกครองอย่างแน่นอน  นี่เป็นประโยชน์เพิ่มเติมต่ออำนาจครอบครองและการควบคุมที่ชนชั้นปกครองมีเหนือมวลมนุษย์  ในอีกแง่หนึ่ง หลังจากที่มนุษย์ยอมรับคำกล่าวเหล่านี้ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในฐานะพื้นฐานทางทฤษฎีสำหรับการวางตัวและการกระทำของตน พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะเว้นระยะห่างตนเองจากและต้านทานความจริงและสิ่งที่เป็นบวก  แน่นอนว่าเมื่อเป็นเรื่องของพระวจนะที่พระเจ้าตรัส และสิ่งที่เป็นบวกหรือความจริงที่พระเจ้าทรงสอนผู้คน เมื่อนั้นเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นการดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้พวกเขาเข้าใจและจับใจความ ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจก่อตัวการต้านทานและมโนคติอันหลงผิดทุกจำพวก  เมื่อผู้คนครองแนวคิดเหล่านี้ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม ก็มีแนวโน้มที่จะลำบากยากเย็นขึ้นที่พวกเขาจะยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง และแน่นอนว่าจะลำบากยากเย็นขึ้นเช่นกันที่พวกเขาจะเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเหล่านี้  เพราะฉะนั้น คำกล่าวและแนวคิดสารพัดที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมจึงล้วนขัดขวางการยอมรับและความเข้าใจของผู้คนในพระวจนะของพระเจ้าในขอบเขตที่มีนัยสำคัญ และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อขอบเขตที่ผู้คนยอมรับความจริงอีกด้วย  ซาตานใช้วิธีการปลูกฝังผู้คนให้เชื่อด้วยคำกล่าวที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเพื่อทำให้พวกเขาคิดหาแนวคิดและมุมมองที่ไม่เหมาะสมและเป็นลบทุกชนิด เพื่อให้พวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และวางตัวและกระทำการตามแนวคิดและมุมมองเหล่านี้  เมื่อผู้คนนำแนวคิดเบื้องหลังคำกล่าวเหล่านี้ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมมาใช้เป็นพื้นฐานทางทฤษฎีและมาตรฐานสำหรับทัศนะของตนต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และการวางตัวและการกระทำของตน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาไม่เพียงแค่ไม่สามารถบรรเทาหรือเปลี่ยนแปลงได้เท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม จะร้ายแรงมากยิ่งขึ้นในขอบเขตหนึ่ง และการไม่เชื่อฟังและการต้านทานพระเจ้าของพวกเขาจะยิ่งแย่ลง  เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอด เมื่อพระวจนะของพระเจ้าถูกจัดเตรียมให้พวกเขา อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน แต่เป็นปรัชญาแบบซาตานสารพัด คำกล่าวที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม และแนวคิดและมุมมองแบบซาตานสารพัดที่มาจากซาตาน  นี่คือผลสืบเนื่องของการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม และผลกระทบที่เป็นลบที่คำกล่าวสารพัดที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมมีต่อมนุษย์ที่เสื่อมทรามอีกด้วย  นี่คือจุดมุ่งหมายจริงที่ซาตานต้องการสัมฤทธิ์โดยการประกาศและสนับสนุนคำกล่าวที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม

ในการชุมนุมครั้งที่แล้วของพวกเรา โดยหลักแล้วพวกเราได้สามัคคีธรรมถึงคำกล่าวสามคำที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม ได้แก่ “เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู” “จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น” และ “ฉันยอมรับกระสุนแทนเพื่อน”  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึง “คนเราไม่ควรถูกความอุดมโภคทรัพย์ทำให้เสื่อมทราม ถูกความยากจนเปลี่ยนแปลง หรือถูกกำลังบังคับให้คดงอ”  คำกล่าวนี้ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมปรากฏในหมู่มวลมนุษย์ด้วยเช่นกัน โดยมาจากแนวคิดและทัศนะของมนุษย์ที่เสื่อมทราม  แน่นอนว่าคำกล่าวนี้มีต้นกำเนิดอย่างแม่นยำกว่ามาจากการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามและหลอกลวงมวลมนุษย์  นี่มีผลกระทบและธรรมชาติอย่างเดียวกันกับคำกล่าวที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่พวกเราสามัคคีธรรมกันก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีแนวทางที่แตกต่างออกไปก็ตาม  เป็นถ้อยแถลงที่ใจกล้าและเลิศหรูในทำนองเดียวกัน เร่าร้อน เร้าอารมณ์และกล้าหาญเหลือเกิน  หากผู้คนไม่เคยได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าและไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจะรู้สึกว่าถ้อยแถลงเหล่านี้ปลุกเร้าวิญญาณมากเหลือเกินและทำให้เลือดสูบฉีด  หลังจากได้ฟังคำกล่าวเหล่านี้ พวกเขาจะได้รับพลังในบัดดลและกำหมัดของตนแน่น  พวกเขาไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไปหรือระงับอารมณ์ตื่นเต้นภายในได้ และจะรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่วัฒนธรรมจีนและจิตวิญญาณของมังกรเป็น  ตอนนี้พวกเจ้ายังคงรู้สึกแบบนี้อยู่หรือไม่?  (ไม่)  ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้? (ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าถ้อยคำเหล่านี้ไม่ดีหรือเป็นบวก)  เหตุใดตอนนี้เจ้าจึงรู้สึกแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อน? เป็นเพราะว่าเมื่อผู้คนแก่ลงและผ่านความทุกข์มากมายเหลือเกิน พวกเขาก็สูญเสียความกร้าวแกร่งอันอ่อนเยาว์และมุทะลุไปอย่างนั้นหรือ?  หรือเป็นเพราะว่าเมื่อผู้คนได้มาเข้าใจความจริงบางอย่างแล้วพวกเขาก็สามารถหยั่งรู้ได้ว่าคำกล่าวเหล่านี้ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมกลวงเปล่า ไม่เป็นไปตามความเป็นจริงและไร้ประโยชน์เกินไปอย่างนั้นหรือ?  (โดยหลักแล้วคำกล่าวเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับความจริงและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง)  อันที่จริง คำกล่าวเหล่านี้ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมกลวงเปล่าและไม่เป็นไปตามความเป็นจริงเกินไป  ดังนั้น สำหรับคำกล่าวที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “คนเราไม่ควรถูกความอุดมโภคทรัพย์ทำให้เสื่อมทราม ถูกความยากจนเปลี่ยนแปลง หรือถูกกำลังบังคับให้คดงอ” พวกเรามาวิเคราะห์และชำแหละสิ่งที่ผิดในคำกล่าวนี้กัน โดยคำนึงถึงหลักธรรมที่พวกเราได้สามัคคีธรรมไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะเปิดโปงความไร้สาระของคำกล่าวนี้และอุบายที่ฉลาดแกมโกงของซาตานที่ซ่อนอยู่ในนั้น  พวกเจ้ารู้วิธีชำแหละคำกล่าวนี้หรือไม่?  จงบอกเรามาเถิดว่าความหมายของประโยคนี้คืออะไรกันแน่  (นี่คือหลักเกณฑ์สามข้อที่เม่งจื๊อเสนอสำหรับการเป็นบุรุษที่กำยำสมเป็นชาย  การตีความสมัยใหม่เป็นดังนี้ เกียรติยศและความมั่งคั่งไม่สามารถรบกวนความแน่วแน่ของคนเราได้ ความยากจนและรูปการณ์แวดล้อมที่ต่ำต้อยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเจตจำนงอันแรงกล้าของคนเราได้ และภัยคุกคามของพลังอำนาจและความโหดร้ายไม่สามารถทำให้คนเรานบนอบได้)  คำกล่าวที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่พวกเราเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ที่ว่า “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” มุ่งเป้าไปที่สตรี แต่คำกล่าวนี้มุ่งเป้าไปที่บุรุษอย่างเห็นได้ชัด  ไม่ว่าจะเป็นชีวิตแห่งเกียรติยศและความมั่งคั่ง หรือรูปการณ์แวดล้อมที่ยากแค้น หรือการต้องเผชิญหน้ากับพลังอำนาจและความโหดร้าย ข้อพึงประสงค์ทั้งหลายมีไว้สำหรับบุรุษในสภาพแวดล้อมทุกชนิด  มีข้อพึงประสงค์สำหรับบุรุษทั้งหมดกี่ข้อ?  บุรุษพึงต้องมีเจตจำนงที่แรงกล้า ความแน่วแน่ที่ไม่ย่อท้อ และไม่ยอมอ่อนข้อเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังอำนาจและความโหดร้าย  จงคิดดูเถิดว่าข้อพึงประสงค์ที่ถูกนำเสนอเหล่านี้คำนึงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่ และคำนึงถึงสภาพแวดล้อมชีวิตจริงที่ผู้คนอาศัยอยู่หรือไม่  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือจงคิดดูเถิดว่าข้อพึงประสงค์เหล่านี้ที่มีไว้ให้บุรุษนั้นกลวงเปล่าและไม่เป็นไปตามความเป็นจริงหรือไม่  ข้อพึงประสงค์ของวัฒนธรรมตามประเพณีสำหรับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของสตรีคือสตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม “มีคุณธรรม” หมายถึงการครองคุณธรรมทั้งหลายของสตรี “มีเมตตา” หมายถึงความมีเมตตาจิต “อ่อนโยน” หมายถึงความเป็นสุภาพสตรี และ “มีศีลธรรม” หมายถึงการเป็นคนที่มีศีลธรรมและมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ดีงาม  ข้อพึงประสงค์เหล่านี้แต่ละข้อปานกลางเหลือเกิน  บุรุษไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน หรือมีศีลธรรม แต่ทว่าสตรีไม่จำเป็นต้องมีเจตจำนงที่แรงกล้าและความแน่วแน่ที่ไม่ย่อท้อ และสามารถยอมอ่อนข้อได้เมื่อใดก็ตามที่ต้องเผชิญหน้ากับพลังอำนาจและความโหดร้าย  กล่าวคือข้อพึงประสงค์นี้ที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “คนเราไม่ควรถูกความอุดมโภคทรัพย์ทำให้เสื่อมทราม ถูกความยากจนเปลี่ยนแปลง หรือถูกกำลังบังคับให้คดงอ” ให้ทางหนีทีไล่ที่เพียงพอแก่สตรี ถึงขนาดที่ยอมผ่อนปรนและเห็นอกเห็นใจเป็นพิเศษต่อสตรี  ความยอมผ่อนปรนและความเห็นอกเห็นใจนี้หมายถึงอะไร?  สิ่งเหล่านี้สามารถเข้าใจแตกต่างออกไปได้หรือไม่?  (สิ่งเหล่านี้เป็นรูปแบบหนึ่งของการเลือกปฏิบัติ)  เราก็คิดแบบนั้นเช่นกัน  ข้อเท็จจริงก็คือนี่คือการเลือกปฏิบัติต่อสตรี คือความเชื่อที่ว่าสตรีไม่มีพลังจิตที่แรงกล้า พวกเธอคือดอกไวโอเล็ตที่ขลาดและเหี่ยว และการคาดหวังให้พวกเธอมีบุตรธิดา รับบทของภรรยาและมารดาที่ดี ดูแลจัดการกับงานบ้าน และไม่ทะเลาะกับผู้อื่นหรือนินทาก็เพียงพอแล้ว  การพึงประสงค์ให้พวกเธอขวนขวายสร้างอาชีพและมีเจตจำนงที่แรงกล้าย่อมเป็นไปไม่ได้—พวกเธอไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  ดังนั้น เมื่อมองจากอีกมุมมองหนึ่ง ข้อพึงประสงค์เหล่านี้สำหรับสตรีจึงเป็นการเลือกปฏิบัติและการด้อยค่าโดยแน่แท้  คำกล่าวนี้ที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “คนเราไม่ควรถูกความอุดมโภคทรัพย์ทำให้เสื่อมทราม ถูกความยากจนเปลี่ยนแปลง หรือถูกกำลังบังคับให้คดงอ” มุ่งเป้าไปที่บุรุษ  คำกล่าวนี้พึงประสงค์ให้บุรุษมีเจตจำนงที่แรงกล้าและความแน่วแน่ที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ รวมทั้งวิญญาณที่กำยำสมเป็นชายที่ไม่ยอมอ่อนข้อต่อพลังอำนาจและความโหดร้าย  ข้อพึงประสงค์นี้ถูกต้องหรือไม่?  สมเหตุสมผลหรือไม่?  ข้อพึงประสงค์เหล่านี้ต่อบุรุษแสดงให้เห็นว่าบุคคลที่เสนอคำกล่าวนี้ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมยกย่องบุรุษเพราะข้อพึงประสงค์ของพวกเขาต่อบุรุษสูงกว่าข้อพึงประสงค์ต่อสตรี  นี่สามารถเข้าใจได้ว่าหมายความว่าในแง่ของทั้งแก่นแท้ของเพศ สถานะทางสังคมและสัญชาตญาณบุรุษของพวกเขา บุรุษควรอยู่เหนือสตรี  คำกล่าวนี้ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมถูกก่อร่างขึ้นจากมุมมองนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ชัดเจนว่านี่คือผลผลิตของสังคมที่บุรุษและสตรีไม่เท่าเทียมกัน  ในสังคมนี้ บุรุษยังคงเลือกปฏิบัติและด้อยค่าสตรี จำกัดขอบเขตชีวิตของสตรี เพิกเฉยต่อคุณค่าของการดำรงอยู่ของสตรี พูดเกินจริงถึงคุณค่าของตนเองอยู่เนืองนิตย์ ยกระดับสถานะทางสังคมของตนเอง และปล่อยให้สิทธิของตนเองขี่คร่อมสิทธิของสตรี  นี่มีผลกระทบและผลสืบเนื่องอะไรในสังคม?  สังคมนี้ถูกบุรุษปกครองและครอบครอง  เป็นสังคมแบบที่บุรุษเป็นใหญ่ที่ซึ่งสตรีควรอยู่ภายใต้การนำ การกดขี่และการควบคุมของบุรุษ  ในเวลาเดียวกัน บุรุษสามารถทำงานสายใดก็ได้ แต่ทว่าแนวเขตอาชีพที่สตรีสามารถทำได้ควรเล็กลงและจำกัดขอบเขต  บุรุษควรได้รับสิทธิทุกประการในสังคมอย่างเต็มที่ แต่ทว่าวงเขตของสิทธิที่สตรีได้รับกลับมีจำกัดอย่างไร้ข้อกังขา  งานที่บุรุษไม่ต้องการหรือเลือกที่จะทำ หรือที่พวกเขาจะถูกเลือกปฏิบัติในการทำ สามารถทิ้งไว้ให้สตรีทำได้  ตัวอย่างเช่น การซักผ้า การทำอาหาร อุตสาหกรรมบริการ และอาชีพบางอาชีพที่มีรายได้ค่อนข้างต่ำและสถานะทางสังคมต่ำต้อยหรือที่ผู้คนเลือกปฏิบัติ ถูกสงวนไว้ให้สตรี  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือบุรุษสามารถสุขสำราญกับสิทธิของตนในฐานะบุรุษได้อย่างเต็มที่ ในแง่ของการเลือกอาชีพและสถานะทางสังคม และสุขสำราญกับสิทธิพิเศษที่สังคมมอบให้บุรุษ  ในสังคมเช่นนี้ บุรุษมาก่อน แต่ทว่าสตรีเป็นคนชั้นสอง กระทั่งถึงจุดที่พวกเธอไม่มีทางหนีทีไล่ในการเลือกเลย หรือแม้แต่สิทธิที่จะเลือก  พวกเธอทำได้เพียงแค่รออย่างนิ่งเฉยเพื่อให้ถูกเลือก และในท้ายที่สุดก็ถูกสังคมนี้ขับออกและละทิ้ง  เพราะฉะนั้นข้อพึงประสงค์ของสังคมนี้ต่อสตรีจึงค่อนข้างปานกลาง แต่ทว่าข้อพึงประสงค์ต่อบุรุษค่อนข้างเข้มงวดและแข็งกร้าว  อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าข้อพึงประสงค์เหล่านี้จะมุ่งเป้าไปที่บุรุษหรือสตรี เหตุจูงใจและจุดมุ่งหมายในการเสนอข้อพึงประสงค์เหล่านี้สำหรับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมคือการทำให้ผู้คนรับใช้สังคม ชนชาติและประเทศดีขึ้น และรับใช้ชนชั้นปกครองและนักปกครองในท้ายที่สุดอย่างแน่นอน  จากคำกล่าวนี้ที่ว่า “คนเราไม่ควรถูกความอุดมโภคทรัพย์ทำให้เสื่อมทราม ถูกความยากจนเปลี่ยนแปลง หรือถูกกำลังบังคับให้คดงอ” จะเห็นได้ง่ายว่าผู้ที่เสนอข้อพึงประสงค์นี้สำหรับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมมีอคติต่อบุรุษ  ในสายตาของบุคคลผู้นั้น บุรุษต้องมีเจตจำนงที่แรงกล้า ความแน่วแน่ที่ไม่ย่อท้อ และวิญญาณที่ไม่ยอมอ่อนข้อต่อพลังอำนาจและความโหดร้าย  จากข้อพึงประสงค์เหล่านี้ เจ้ามองเห็นหรือไม่ว่าอะไรคือจุดมุ่งหมายของบุคคลที่เสนอคำกล่าวนี้?  คือการทำให้บุรุษที่มีประโยชน์และมีเจตจำนงที่แรงกล้าในสังคมนี้สามารถรับใช้สังคม ชนชาติและประเทศได้ดีขึ้น และในท้ายที่สุดสามารถรับใช้ผู้ที่อยู่ในอำนาจได้ดีขึ้น และทำให้คุณค่าและหน้าที่ของบุรุษในสังคมนี้มีความหมาย  มีเพียงบุรุษแบบนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่าสมเป็นชายและกำยำ  หากบุรุษไม่เป็นไปตามข้อพึงประสงค์เหล่านี้ เช่นนั้นแล้วในสายตาของนักศีลธรรมและนักปกครองเหล่านี้ พวกเขาจะไม่ถูกเรียกว่าสมเป็นชายและกำยำ แต่เพียงแค่สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนธรรมดาและคนนอกคอกเท่านั้น และถูกเลือกปฏิบัติ  กล่าวคือหากบุรุษผู้หนึ่งไม่มีเจตจำนงที่แรงกล้า ความแน่วแน่ที่ไม่ย่อท้อ และวิญญาณที่ไม่ยอมอ่อนข้อต่อพลังอำนาจและความโหดร้ายตามที่พวกเขาพึงประสงค์ แต่เป็นเพียงแค่บุคคลธรรมดาสามัญที่ไม่มีความสำเร็จลุล่วง และสามารถดำรงชีวิตของตนได้เท่านั้น และไม่สามารถมีส่วนร่วมแบ่งปันคุณค่าของตนให้สังคม ให้ชนชาติ และให้ประเทศได้ และไม่สามารถให้นักปกครอง ประเทศหรือชนชาติมอบหมายให้รับตำแหน่งที่สำคัญบางอย่างได้ เช่นนั้นแล้วบุคคลเช่นนี้ก็จะไม่ได้รับการยอมรับและการเห็นคุณค่าจากสังคม อีกทั้งจะไม่ได้รับการเห็นคุณค่าจากผู้ที่อยู่ในอำนาจ และนักปกครองและนักศีลธรรมเหล่านี้จะถือว่าเขาคือบุคคลธรรมดา คนนอกคอก และเป็นคนเสื่อมทรามในหมู่บุรุษ  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเจ้าเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้หรือไม่?  คำกล่าวนี้เหมาะสมหรือไม่?  คำกล่าวนี้ยุติธรรมต่อบุรุษหรือไม่?  (ไม่ยุติธรรม)  บุรุษต้องตั้งเป้าหมายของตนไว้ที่โลกทั้งใบ ประเทศ และภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่เพื่อชนชาติอย่างนั้นหรือ?  พวกเขาเป็นเพียงบุรุษธรรมดาสามัญที่เคร่งครัดต่อหน้าที่มิได้หรือ?  พวกเขาร้องไห้ เป็นไข้ใจ เก็บงำเหตุจูงใจที่เห็นแก่ตัวเล็กๆ น้อยๆ หรือดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายร่วมกับคนที่พวกเขารักมิได้หรือ?  พวกเขาต้องให้โลกที่เป็นเป้าหมายของตนถูกบรรยายว่าสมเป็นชายและกำยำอย่างนั้นหรือ?  พวกเขาต้องถูกเรียกว่าสมเป็นชายและกำยำเพื่อที่จะถูกถือว่าเป็นบุรุษอย่างนั้นหรือ?  คำนิยามของบุรุษคือเจ้าต้องสมเป็นชายและกำยำอย่างนั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  แนวคิดเหล่านี้เป็นการดูถูกบุรุษ เทียบเท่ากับการโจมตีบุรุษโดยตรง  มีพวกเจ้าคนใดรู้สึกเช่นเดียวกันหรือไม่?  (มี)  การที่บุรุษไม่มีเจตจำนงที่แรงกล้าใช้ได้หรือไม่?  การที่บุรุษไม่มีความแน่วแน่ที่ไม่ย่อท้อใช้ได้หรือไม่?  เมื่อบุรุษขึ้นมาต่อต้านพลังอำนาจและความโหดร้าย การที่พวกเขายอมอ่อนข้อและแสวงหาการประนีประนอมเพื่อที่จะอยู่รอดใช้ได้หรือไม่?  (ใช้ได้)  การที่บุรุษไม่มีอะไรก็ตามที่สตรีไม่มีใช้ได้หรือไม่?  การที่บุรุษละเว้นตนเองไม่ทำตัวให้สมเป็นชายและกำยำ แต่เป็นแค่บุรุษธรรมดาสามัญใช้ได้หรือไม่?  (ใช้ได้)  ด้วยวิธีนี้ผู้คนจะได้รับการปลดปล่อย เส้นทางสู่ความเป็นมนุษย์จะกว้างขึ้น และบุรุษจะไม่เหน็ดเหนื่อยขนาดนั้นในชีวิตแต่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ

ยังคงมีอีกหลายประเทศที่แนวคิดที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมตามประเพณี เช่น “คนเราไม่ควรถูกความอุดมโภคทรัพย์ทำให้เสื่อมทราม ถูกความยากจนเปลี่ยนแปลง หรือถูกกำลังบังคับให้คดงอ” จำกัดขอบเขตของบุรุษ  ประเทศเหล่านี้ยังคงเป็นสังคมแบบปิตาธิปไตยที่บุรุษเป็นใหญ่ และมีความสำคัญสูงสุดตั้งแต่ครอบครัวไปจนถึงสังคมและประเทศโดยรวม และมีความสำคัญลำดับแรกๆ ทั่วทั้งหมด และประสบความสำเร็จในทุกสถานการณ์ และมีสำนึกของความเหนือกว่าในทุกด้าน  ในเวลาเดียวกัน สังคม ชนชาติและประเทศเช่นนี้มีข้อพึงประสงค์ที่สูงสำหรับบุรุษ ซึ่งสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อพวกเขาและก่อให้เกิดผลสืบเนื่องที่เลวร้ายมากมาย  บุรุษบางคนที่เสียงานของตนไปไม่กล้าบอกครอบครัวของตนด้วยซ้ำ  วันแล้ววันเล่าพวกเขาสะพายกระเป๋าของตนและแสร้งทำเป็นไปทำงาน แต่อันที่จริงพวกเขาออกไปเดินเรื่อยเปื่อยตามถนน  บางครั้งพวกเขากลับมาบ้านตอนดึกและถึงกับโกหกสมาชิกครอบครัวของตนว่าพวกเขาทำงานล่วงเวลาที่ที่ทำงาน  แล้ววันต่อมาพวกเขาก็แสร้งทำเหมือนเดิมโดยกลับออกไปเดินเล่นตามถนน  แนวคิดเหล่านี้ของวัฒนธรรมตามประเพณี รวมทั้งความรับผิดชอบต่อสังคมและการกำหนดตำแหน่งในสังคมของบุรุษ คือแหล่งกำเนิดแรงกดดันและแม้แต่การดูหมิ่นเหยียดหยาม และยังบิดเบือนสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุรุษอีกด้วย ทำให้บุรุษจำนวนมากรู้สึกหงุดหงิด หดหู่ และบ่อยครั้งจวนเจียนที่จะสติแตกเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาถูกความลำบากยากเย็นรุมเร้า  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะพวกเขาคิดว่าตนคือบุรุษ บุรุษควรหาเงินมาเกื้อหนุนครอบครัวของตน บุรุษควรทำให้สิ่งที่รับผิดชอบลุล่วงในฐานะบุรุษ และบุรุษไม่ควรร้องไห้หรือเศร้าโศก และบุรุษไม่ควรตกงาน แต่ควรเป็นเสาหลักของสังคมและเป็นกระดูกสันหลังของครอบครัว  เช่นเดียวกันกับที่ผู้ไม่เชื่อกล่าวว่า “บุรุษไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ” บุรุษไม่ควรมีจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องใดๆ  แนวคิดและทัศนะเหล่านี้เกิดจากการที่บุรุษถูกนักศีลธรรมยกนิ้วให้อย่างผิดๆ รวมทั้งถูกพวกนั้นยกระดับสถานะของบุรุษอย่างต่อเนื่อง  แนวคิดและทัศนะเหล่านี้ไม่เพียงแค่ทำให้บุรุษเผชิญกับความเดือดร้อน การก่อกวนและความปวดร้าวทุกชนิดเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นโซ่ตรวนในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาอีกด้วย ทำให้ฐานะ สถานการณ์และการเผชิญหน้าในสังคมของพวกเขาน่าอึดอัดใจมากขึ้น  เมื่อแรงกดดันต่อบุรุษเพิ่มขึ้น ผลกระทบที่เป็นลบที่แนวคิดและทัศนะเหล่านี้มีต่อบุรุษก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน  บุรุษบางคนถึงกับยกนิ้วให้ตนเองในฐานะบุรุษที่ยิ่งใหญ่เพราะการตีความที่ผิดของการวางตำแหน่งของบุรุษเพศในสังคม โดยคิดว่าบุรุษเพศคือบุรุษที่ยิ่งใหญ่และสตรีเพศคือสตรีเล็กๆ และเพราะฉะนั้นบุรุษจึงต้องนำในทุกสิ่งและเป็นเจ้านายของบ้าน และเมื่อสิ่งทั้งหลายไม่เป็นไปด้วยดี พวกเขาก็สามารถก่อความโหดร้ายในครอบครัวต่อสตรีได้  ปัญหาเหล่านี้ล้วนสัมพันธ์กับวิธีที่บุรุษเพศถูกมวลมนุษย์ยกนิ้วให้อย่างผิดๆ มิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าในประเทศส่วนใหญ่ของโลก สถานะทางสังคมของบุรุษสูงกว่าของสตรี โดยเฉพาะในครอบครัว  บุรุษไม่ต้องทำสิ่งใดนอกจากไปทำงานและหาเงิน ขณะที่สตรีทำงานบ้านทั้งหมด และไม่สามารถโต้เถียงหรือพร่ำบ่น หรือกล้าบอกผู้อื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะน่าเหน็ดเหนื่อยหรือยากเข็ญเพียงใด  สถานะของสตรีอยู่ในระดับต่ำเพียงใด?  ตัวอย่างเช่น บุรุษได้เลือกอาหารที่อร่อยที่สุดบนโต๊ะอาหารเป็นอันดับแรก แต่ทว่าสตรีมาเป็นอันดับสอง และในสมุดทะเบียนบ้านบุรุษถูกทำเครื่องหมายให้เป็นหัวหน้าครัวเรือน และสตรีเป็นสมาชิกครอบครัว  เพียงจากเรื่องที่ไม่สลักสำคัญเหล่านี้ พวกเราก็สามารถมองเห็นความเหลื่อมล้ำในสถานะระหว่างบุรุษกับสตรีได้  การแบ่งงานระหว่างบุรุษกับสตรีแตกต่างเนื่องจากความแตกต่างทางเพศ แต่การที่ความเหลื่อมล้ำทางสถานะของบุรุษกับสตรีในครอบครัวใหญ่โตขนาดนั้นไม่อยุติธรรมหรอกหรือ?  นี่เกิดจากการศึกษาในวัฒนธรรมตามประเพณีมิใช่หรือ?  ในสังคม สตรีไม่เพียงแค่คิดว่าบุรุษโดดเด่นและสูงศักดิ์กว่า แต่แม้แต่บุรุษก็ยังคิดว่าตนสูงศักดิ์และฐานะสูงเมื่อเทียบกับสตรี เพราะบุรุษสามารถสร้างคุณค่าได้มากกว่าและนำความสามารถของตนไปสร้างผลกระทบในสังคม ชนชาติและประเทศชาติได้มากกว่า แต่ทว่าสตรีทำไม่ได้  นี่คือการบิดเบือนข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  การบิดเบือนข้อเท็จจริงเช่นนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร?  นี่สัมพันธ์โดยตรงกับการพร่ำสอนและอิทธิพลของการศึกษาทางสังคมและวัฒนธรรมตามประเพณีหรือไม่?  (ใช่)  นี่สัมพันธ์โดยตรงกับการศึกษาวัฒนธรรมตามประเพณี  ในหมู่มวลมนุษย์ ไม่ว่าจะในสังคมจริง หรือในชนชาติหรือประเทศ ไม่ว่าจะปรากฏปัญหาที่ผิดวิสัยใด ล้วนมีสาเหตุมาจากแนวคิดที่ไม่ถูกต้องไม่กี่อย่างที่นักสังคมวิทยาหรือนักปกครองไม่กี่คนสนับสนุน และสัมพันธ์โดยตรงกับแนวคิดที่ไม่ถูกต้องที่ผู้นำสังคม ชนชาติหรือประเทศสนับสนุน  หากแนวคิดและทัศนะที่พวกเขาสนับสนุนเป็นบวกมากขึ้น และใกล้เคียงความจริง เช่นนั้นแล้วปัญหาก็จะลดลงไม่น้อยในหมู่มวลมนุษย์ หากแนวคิดที่พวกเขาสนับสนุนลำเอียง ผิดพลาด และบิดเบือนสภาวะความเป็นมนุษย์ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่ผิดวิสัยจำนวนมากก็จะเกิดขึ้นภายในสังคม ภายในกลุ่มชาติพันธุ์ หรือภายในประเทศ  หากนักสังคมวิทยาสนับสนุนสิทธิของบุรุษ ยกระดับคุณค่าของบุรุษ และลดคุณค่าและศักดิ์ศรีของสตรี เช่นนั้นแล้วในสังคมนี้ก็จะมีความเหลื่อมล้ำที่ใหญ่โตในสถานะทางสังคมระหว่างบุรุษกับสตรีอย่างเห็นได้ชัด โดยมีความไม่เสมอภาคสารพัดร่วมทางมาด้วย อาทิ ความไม่เสมอภาคทางอาชีพ สถานะทางสังคม และสวัสดิการสังคม รวมทั้งความเหลื่อมล้ำที่ใหญ่โตในสถานะของเพศในครอบครัว และการแบ่งงานที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง—ซึ่งทั้งหมดนี้ผิดวิสัย  การผุดขึ้นมาของปัญหาที่ผิดวิสัยเหล่านี้สัมพันธ์กับผู้คนที่สนับสนุนแนวคิดและทัศนะเหล่านี้ และถูกนักการเมืองและนักสังคมวิทยาเหล่านี้ทำให้เกิดขึ้น  หากมวลมนุษย์มีมุมมองที่ถูกต้องและคำกล่าวที่ถูกต้องในเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มแรก เช่นนั้นแล้วปัญหาที่ผิดวิสัยเหล่านี้ก็จะลดลงไม่น้อยในประเทศหรือชนชาติสารพัด

เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปเมื่อสักครู่ มุมมองที่ถูกต้องสำหรับปฏิบัติต่อบุรุษควรเป็นเช่นไร?  บุรุษควรมีพฤติกรรม สภาวะความเป็นมนุษย์ การไล่ตามเสาะหา และสถานะทางสังคมประเภทใดเพื่อที่จะเป็นปกติ?  บุรุษควรจัดการกับความรับผิดชอบต่อสังคมของตนอย่างไร?  นอกจากความแตกต่างทางเพศแล้ว ควรมีความแตกต่างระหว่างบุรุษกับสตรีในแง่ของความรับผิดชอบต่อสังคมและสถานะทางสังคมหรือไม่?  (ไม่ควรมี)  ดังนั้นบุรุษควรได้รับการปฏิบัติในลักษณะที่ถูกต้อง เป็นกลาง มีมนุษยธรรม และเป็นไปตามหลักธรรมความจริงอย่างไร?  โดยแน่แท้แล้วนี่คือสิ่งที่พวกเราควรเข้าใจในตอนนี้  เช่นนั้นแล้วพวกเรามาพูดคุยกันว่าบุรุษควรได้รับการปฏิบัติอย่างไรกันแน่  ความรับผิดชอบต่อสังคมของบุรุษและสตรีควรทำให้แตกต่างกันหรือไม่?  บุรุษและสตรีควรมีสถานะทางสังคมที่เสมอภาคหรือไม่?  การยกระดับสถานะของบุรุษและลดสถานะของสตรีอย่างไม่เหมาะสมยุติธรรมหรือไม่?  (ไม่ยุติธรรม)  ดังนั้นสถานะทางสังคมของบุรุษและสตรีควรจัดการในลักษณะที่ยุติธรรมและสมเหตุสมผลอย่างไรกันแน่?  หลักธรรมของเรื่องนี้คืออะไร?  (คือบุรุษและสตรีเสมอภาคกันและควรได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม)  การปฏิบัติที่ยุติธรรมคือพื้นฐานทางทฤษฎี แต่ควรนำไปปฏิบัติอย่างไรในลักษณะที่สะท้อนความยุติธรรมและความมีเหตุผล?  นี่มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมิใช่หรือ?  ก่อนอื่น พวกเราต้องกำหนดพิจารณาว่าสถานะของบุรุษและสตรีเสมอภาคกัน—เรื่องนี้ไม่สามารถโต้แย้งได้  เพราะฉะนั้นการแบ่งงานทางสังคมระหว่างบุรุษกับสตรีจึงควรเสมอภาคเช่นกัน และควรพิจารณาและจัดแจงเตรียมการตามขีดความสามารถและความสามารถทำงานของพวกเขา  ควรมีความเสมอภาคโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน ถึงขนาดที่สตรีควรได้รับสิ่งที่บุรุษสามารถได้รับเช่นกัน เพื่อรับประกันสถานะที่เสมอภาคระหว่างบุรุษกับสตรีในสังคม  ผู้ใดก็ตามที่สามารถทำงาน หรือผู้ใดก็ตามที่มีความสามารถที่จะเป็นผู้นำควรได้รับโอกาสให้ทำงานนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุรุษหรือสตรี  เจ้าคิดอย่างไรกับหลักธรรมนี้?  (ดีงาม)  นี่สะท้อนความเสมอภาคระหว่างบุรุษกับสตรี  ตัวอย่างเช่น หากมีบุรุษสองคนและสตรีสองคนสมัครงานเป็นพนักงานดับเพลิง ใครควรถูกจ้าง?  การปฏิบัติที่ยุติธรรมคือพื้นฐานทางทฤษฎีและหลักธรรม  เช่นนั้นแล้ว อันที่จริงคนเราควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้?  อย่างที่เราพูดไปเมื่อกี้นี้ ให้ผู้ใดก็ตามที่ทำงานนี้ได้เข้ามาทำตามความสามารถและขีดความสามารถของตน  เพียงแค่เลือกสรรตามหลักธรรมนี้โดยดูว่าในบรรดาผู้สมัครเหล่านี้ผู้ใดมีร่างกายแข็งแรงและไม่งุ่มง่าม  การดับเพลิงเป็นเรื่องของการกระทำการอย่างรวดเร็วในภาวะฉุกเฉินทั้งสิ้น  หากเจ้างุ่มง่าม ปัญญาทึบ และเฉื่อยชาเกินไป เหมือนเต่าหรือวัวแก่ เจ้าจะทำให้สิ่งทั้งหลายล่าช้า  หลังจากตรวจสอบลักษณะเฉพาะของผู้สมัครแต่ละคนจนแน่ใจ ในแง่ของขีดความสามารถ ความสามารถ ประสบการณ์ ระดับความสามารถในงานดับเพลิง และอื่นๆ ก็ได้บทสรุปออกมาว่าบุรุษหนึ่งคนและสตรีหนึ่งคนเหมาะสมอย่างมาก นั่นคือบุรุษผู้นั้นสูง ร่างกายแข็งแรง มีประสบการณ์การดับเพลิง และมีส่วนร่วมในปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัยหลายครั้ง ส่วนสตรีนั้นคล่องแคล่วว่องไว ผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวด มีความรู้เกี่ยวกับการดับเพลิงและกระบวนการทำงานที่เกี่ยวข้อง มีขีดความสามารถ และได้ทำให้ตนเองโดดเด่นในงานอื่นๆ และได้รับรางวัล  ดังนั้นในท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ถูกเลือก  นั่นถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  นี่เรียกว่าการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดของที่สุดโดยไม่แสดงความโปรดปรานต่อผู้ใด  นี่หมายความว่าเวลาที่เลือกสรรบุคคลชนิดนี้โดยไม่มีกฎเกณฑ์ในความรู้สึกนึกคิดว่าต้องเป็นบุรุษหรือสตรี—บุรุษและสตรีก็เหมือนกันหมด และผู้ใดก็ตามที่ทำงานนี้ได้ก็จะใช้ได้  เพราะฉะนั้นเมื่อตัดสินใจว่าจะเลือกสรรบุรุษหรือสตรีมาทำสิ่งใด นอกจากหลักธรรมที่สำคัญกว่าของการปฏิบัติที่ยุติธรรม หลักธรรมที่เฉพาะเจาะจงที่ต้องนำไปปฏิบัติคือให้ผู้ใดก็ตามที่มีความสามารถและทำงานนี้ได้ทำงานนั้นไปไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุรุษหรือสตรี  โดยการทำเช่นนี้ เจ้าไม่ถูกแนวคิดที่ว่า “บุรุษเหนือกว่าสตรี” จำกัดเหนี่ยวรั้งหรือพันธนาการอีกต่อไป และไม่มีแนวคิดที่ล้าสมัยแนวคิดใดจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินหรือการเลือกของเจ้าในเรื่องนี้  จากทัศนคติของเจ้า ผู้ใดก็ตามที่ทำงานนี้ได้ควรได้รับโอกาสให้ทำ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุรุษหรือสตรี—นั่นคือความยุติธรรมมิใช่หรือ?  แรกที่สุด เวลาที่จัดการเรื่องหนึ่ง เจ้าไม่มีอคติต่อบุรุษหรือสตรี  เจ้าเชื่อว่ามีสตรีที่โดดเด่นและมีความสามารถพิเศษมากมาย และเจ้ารู้จักปัจเจกบุคคลเช่นนี้มากทีเดียว  เพราะฉะนั้น ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของเจ้าโน้มน้าวเจ้าให้เชื่อว่าความสามารถทำงานของสตรีไม่ด้อยกว่าของบุรุษ และคุณค่าที่สตรีนำมาปฏิบัติในสังคมก็ไม่น้อยไปกว่าของบุรุษ  เมื่อเจ้ามีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกนี้ เจ้าจะตัดสินใจและเลือกอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อเท็จจริงนี้เมื่อใดก็ตามที่เจ้ากระทำการในอนาคต  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหากเจ้าไม่แสดงความโปรดปรานต่อผู้ใด และไม่มีอคติทางเพศใดๆ เช่นนั้นแล้วสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าก็จะค่อนข้างปกติในแง่นี้ และเจ้าสามารถกระทำการอย่างยุติธรรมได้  ข้อห้ามทั้งหลายของวัฒนธรรมตามประเพณีในแง่ที่ถือว่าบุรุษเหนือกว่าสตรีจะถูกยก ความคิดของเจ้าจะไม่ถูกจำกัดขอบเขตอีกต่อไป และเจ้าจะไม่ได้รับอิทธิพลจากแง่มุมนี้ของวัฒนธรรมตามประเพณีอีกต่อไป  ไม่ว่ากระแสนิยมทั่วไปของความคิดหรือกติกาในสังคมจะเป็นเช่นไร กล่าวสั้นๆ ก็คือเจ้าจะได้อยู่เหนือล้ำกติกาเหล่านี้ และจะไม่ถูกจำกัดขอบเขตและได้รับอิทธิพลจากสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป และสามารถเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงและความจริงได้  แน่นอนว่าที่ยิ่งดีไปกว่านั้นคือเจ้าสามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัว และปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงได้ ส่งผลให้แนวคิดและทัศนะเช่น “บุรุษต้องสมเป็นชายและกำยำ แต่ทว่าสตรีคือดอกไวโอเลตที่เหี่ยวย่น” ไม่มีอยู่จริงสำหรับเจ้า  ดังนั้นความคิดและทัศนะของเจ้าค่อนข้างก้าวหน้าในหมู่มนุษย์หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือความก้าวหน้า เมื่อกล่าวในเชิงเปรียบเทียบ  ไม่ว่าชายหรือหญิง สูงวัยหรือเยาว์วัย ทุกคนสามารถรับการปฏิบัติที่ยุติธรรมเมื่อพวกเขามาหาเจ้า  ในทางปฏิบัตินี่คือการเสริมสร้างผู้คนมากกว่าการทำร้ายพวกเขา  หากเจ้ายังคงเกาะติดทัศนะของวัฒนธรรมตามประเพณีโดยกล่าวอ้างว่า “ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว บุรุษมีสถานะสูงกว่าสตรี และในทุกสาขาอาชีพมีบุรุษที่โดดเด่นและมีความสามารถพิเศษมากกว่าสตรี  เพราะฉะนั้นจึงสามารถยืนยันได้ว่าบุรุษแข็งแรงกว่าสตรี และคุณค่าของบุรุษต่อสังคมนั้นยิ่งใหญ่กว่าของสตรี  หากคุณค่าของพวกเขาต่อสังคมยิ่งใหญ่กว่า สถานะทางสังคมของพวกเขาก็ควรสูงกว่ามิใช่หรือ?  เพราะฉะนั้นในสังคมนี้ บุรุษควรเป็นผู้ชี้ขาดและสวมตำแหน่งที่มีอำนาจครอบครอง แต่ทว่าสตรีควรฟังบุรุษ และถูกบุรุษบังคับควบคุมและปกครอง”—เช่นนั้นแล้วการคิดอ่านประเภทนี้จึงล้าหลังและเสื่อมโทรมเกินไป และไม่คล้อยตามหลักธรรมความจริงแม้แต่น้อย  หากเจ้ามีแนวคิดและทัศนะเช่นนี้ เจ้าก็ทำได้เพียงเลือกปฏิบัติและกดขี่สตรีเท่านั้น และจะถูกกระแสนิยมทางสังคมประณามและขับออกไป  ความเสมอภาคระหว่างบุรุษกับสตรีคือมุมมองที่ถูกต้องที่สากลตระหนักรู้อยู่แล้ว และเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์  ผู้คนควรได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม บุรุษไม่ควรได้รับการยอมรับนับถือ สตรีไม่ควรถูกดูแคลน และคุณค่าของสตรีไม่ควรถูกเพิกเฉย อีกทั้งความสามารถทำงานและขีดความสามารถของพวกเธอก็ไม่ควรถูกเพิกเฉย  นี่คือฉันทามติพื้นฐานอยู่แล้วในหมู่ประชากรที่รู้ข้อเท็จจริงของทุกประเทศ  หากแนวคิดที่เด่นกว่าของเจ้ายังคงได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมตามประเพณี และเจ้ายังคงรู้สึกว่าบุรุษแตกต่างโดดเด่น แต่ทว่าสตรีต่ำต้อย เช่นนั้นแล้วเมื่อใดก็ตามที่เจ้ากระทำการ วิสัยทัศน์และตัวเลือกของเจ้าจะถูกโน้มเอียงไปทางเพศชาย และเจ้าจะทำให้บุรุษมีโอกาสค่อนข้างมากกว่า  เจ้าจะคิดว่าต่อให้บุรุษบางคนมีความสามารถน้อยกว่าสักนิด แต่พวกเขาก็ยังคงแข็งแรงกว่าสตรี และสตรีไม่สามารถทำได้เทียบเท่าหรือสัมฤทธิ์สิ่งที่บุรุษสามารถทำได้  หากเจ้าคิดแบบนี้ ทัศนคติของเจ้าก็จะลำเอียง และผลสืบเนื่องคือการตัดสินและการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของเจ้าจะบิดเบือนเพราะวิธีคิดของเจ้า  ตัวอย่างเช่น เกี่ยวกับการคัดสรรพนักงานดับเพลิงที่พวกเราเพิ่งเอ่ยถึง เจ้าฉงนในเรื่องนี้ สงสัยว่า “สตรีปีนบันไดได้หรือไม่?  สตรีสามารถทำได้มากแค่ไหน?  ความความคล่องแคล่วว่องไวในสตรีมีประโยชน์อะไร?  ต่อให้เธอได้ผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวด ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”  แต่แล้วเจ้าก็คิดถึงการปฏิบัติต่อผู้คนอย่างยุติธรรม ดังนั้นเจ้าจึงเลือกสรรบุรุษสองคนและสตรีหนึ่งคนในท้ายที่สุด  ข้อเท็จจริงก็คือโดยการเลือกสตรีหนึ่งคนในกรณีนี้ เจ้ากำลังทำอย่างขอไปทีและทำท่าพอเป็นพิธีเพื่อปลอบใจสตรีผู้นั้นและกอบกู้ความภาคภูมิใจของเธอ  วิธีทำสิ่งทั้งหลายเช่นนี้เป็นอย่างไร?  เจ้าไม่เพียงแค่เลือกสรรผู้คนในหนทางนี้เท่านั้น แต่เวลาที่มอบหมายงาน เจ้าเลือกใช้มุมมองที่ประเมินค่าของสตรีต่ำไป ถึงกับมอบหมายกิจที่เบาและต่ำต้อยให้เธอ  เจ้ายังคงคิดว่าเจ้ามีคุณสมบัติแบบมนุษย์และเจ้ากำลังดูแลจัดการกับสตรีโดยให้การปฏิบัติระดับพิเศษแก่เธอ และปกป้องเธอ  ข้อเท็จจริงก็คือจากทัศนคติของสตรี เจ้าทำร้ายความภาคภูมิใจในตนเองของเธออย่างมาก  เจ้าทำร้ายสิ่งนั้นอย่างไร?  เพราะเจ้าคิดว่าสตรีอ่อนแอและเปราะบาง สตรีคือดอกไวโอเลตที่เหี่ยวย่น และบุรุษสมเป็นชาย ดังนั้นสตรีจึงควรได้รับการปกป้อง  แนวคิดเหล่านี้เกิดขึ้นมาอย่างไร?  เป็นเพราะอิทธิพลของวัฒนธรรมตามประเพณีอย่างนั้นหรือ?  (ใช่)  สาเหตุรากอยู่ที่นี่นั่นเอง  ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้คนอย่างยุติธรรม เมื่อพิจารณาเรื่องนี้จากการกระทำของเจ้า ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเจ้ายังคงถูกแนวคิดนี้ในวัฒนธรรมตามประเพณีที่ว่า “บุรุษเหนือกว่าสตรี” จองจำและจำกัดขอบเขต  จากการกระทำของเจ้า เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าไม่ได้ปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากแนวคิดนี้แล้ว  เป็นเช่นนั้นหรือ?  (ใช่)  หากเจ้าต้องการปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากโซ่ตรวนเหล่านี้ เจ้าจะต้องแสวงหาความจริง เข้าใจแก่นแท้ของแนวคิดเหล่านี้อย่างครบบริบูรณ์ และไม่กระทำการภายใต้อิทธิพลหรือการควบคุมของแนวคิดเหล่านี้ของวัฒนธรรมตามประเพณี  เจ้าควรทอดทิ้งและละทิ้งสิ่งเหล่านี้อย่างถาวร และไม่มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายอีกต่อไป และไม่วางตัวและปฏิบัติตนตามแนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมตามประเพณีอีกต่อไป อีกทั้งไม่ทำการตัดสินและการเลือกใดๆ ตามวัฒนธรรมตามประเพณี แต่ตรงกันข้าม มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง  ด้วยวิธีนี้ เจ้าจะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง และจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ  มิฉะนั้นแล้วเจ้าก็จะยังคงถูกซาตานควบคุม และเจ้าจะมีชีวิตใต้อำนาจครอบครองของซาตานเรื่อยไป และเจ้าจะไม่สามารถดำเนินชีวิตในพระวจนะของพระเจ้าได้  เหล่านี้คือข้อเท็จจริงทั้งหลายของเรื่องนี้

ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจแก่นแท้ของคำกล่าวนี้ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “คนเราไม่ควรถูกความอุดมโภคทรัพย์ทำให้เสื่อมทราม ถูกความยากจนเปลี่ยนแปลง หรือถูกกำลังบังคับให้คดงอ” หรือไม่?  และเจ้าเข้าใจบริบททางสังคมที่คำกล่าวนี้ถูกนำเสนออีกด้วยหรือไม่?  (เข้าใจ)  เพื่อปรับปรุงสถานะทางสังคมของบุรุษให้ดีขึ้นและให้พวกเขามีสิทธิมากขึ้น จำเป็นต้องตั้งข้อพึงประสงค์ที่สูงขึ้นต่อบุรุษ จัดสร้างภาพลักษณ์ของบุรุษในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน และปรับแต่งภาพลักษณ์นั้นให้กลายเป็นภาพลักษณ์ของความเป็นชายและความกำยำ  นี่คือภาพลักษณ์ที่คำกล่าวที่ว่า “คนเราไม่ควรถูกความอุดมโภคทรัพย์ทำให้เสื่อมทราม ถูกความยากจนเปลี่ยนแปลง หรือถูกกำลังบังคับให้คดงอ” ที่ผู้คนพูดถึงสื่อให้รู้  แง่มุมหนึ่งของสิ่งที่นักศีลธรรมที่นำเสนอคำกล่าวนี้ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมกำลังบอกผู้คนก็คือ ผู้ที่ทำได้ดีเทียบเท่าคำกล่าวนี้คือบุรุษที่สมเป็นชายจริง ซึ่งหมายความว่าพวกเขากำลังบอกผู้คนถึงคำนิยามของบุรุษ อีกแง่มุมหนึ่งคือพวกเขากำลังสนับสนุนให้บุรุษกล้าเปิดเผยความแน่วแน่ของตนในสังคม แสดงให้เห็นความแหวกแนว ได้รับที่ยืนอันมั่นคงกับสถานะทางสังคมของตน และใช้พลังอำนาจเหนือกระแสหลักทางสังคม  การคิดอ่านเช่นนี้ที่ว่า “บุรุษเหนือกว่าสตรี” ยังคงอยู่ยงจนถึงปัจจุบัน  ถึงแม้ว่าบางประเทศหรือกลุ่มชาติพันธุ์จะได้ปรับปรุงเรื่องนี้ให้ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่การคิดอ่านเช่นนี้ก็ยังคงยึดครองพื้นที่ที่เด่นกว่าในประเทศและชนชาติอื่นจำนวนมาก โดยที่ยังคงควบคุมและมีอำนาจครอบครองกระแสนิยมระดับชาติและสังคม และมีอำนาจครอบครองการแบ่งงานระหว่างบุรุษกับสตรีในสังคม รวมทั้งสถานะทางสังคมและคุณค่าทางสังคมของพวกเขา และแม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือในหลายประเทศและชนชาติ สตรียังคงถูกเลือกปฏิบัติและถูกกีดกัน  นี่คือสิ่งที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง และเป็นความไม่เสมอภาคที่ใหญ่ที่สุดในโลก  ข้อเท็จจริงที่ว่าสตรีถูกเลือกปฏิบัติและถูกกีดกันหรือไม่ หรือกลับเสมอภาคกับบุรุษแทนหรือไม่ คือตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนสำหรับวัดว่าประเทศหรือชนชาติหนึ่งก้าวหน้าหรือล้าหลัง

เมื่อสักครู่นี้พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงวิธีที่ควรคำนึงถึงบุรุษและสตรีที่พระเจ้าทรงสร้าง และคนเราควรมีทัศนะที่ถูกต้องอันใดต่อพวกเขา  ทั้งบุรุษและสตรีมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติและมีมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์ที่ปกติ—สิ่งเหล่านี้ทั้งชายและหญิงมีตรงกัน  นอกเหนือจากความแตกต่างทางเพศ บุรุษและสตรีโดยแก่นแท้แล้วเท่าเทียมกันในแง่ของการคิดอ่าน สัญชาตญาณ การตอบสนองต่อเรื่องทั้งหลาย ขีดความสามารถและความสามารถของพวกเขา และแง่มุมชนิดอื่นๆ  ไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาเหมือนกันทุกประการ แต่โดยแก่นแท้แล้วพวกเขาคล้ายคลึงกันไม่มากก็น้อย  นิสัยชีวิตและกฎเกณฑ์สำหรับการดำรงชีวิตของพวกเขา รวมทั้งแนวคิด ทัศนะและท่าทีของพวกเขาต่อสังคม กระแสนิยมโลก ผู้คน เหตุการณ์ สิ่งทั้งหลาย และสิ่งทรงสร้างทั้งมวลของพระเจ้า รวมทั้งการตอบสนองของพวกเขาต่อบางเรื่องโดยเฉพาะ รวมไปถึงการตอบสนองทางกายและจิตใจ ตรงกันทุกประการ  เหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงตรงกันทุกประการ?  เพราะพระผู้สร้างองค์เดียวและหนึ่งเดียวทรงสร้างทั้งบุรุษและสตรี และลมหายใจแห่งชีวิตของพวกเขา เจตจำนงอิสระของพวกเขา รวมทั้งกิจกรรมสารพัดทั้งปวงที่พวกเขาสามารถทำได้ กิจวัตรชีวิตของพวกเขา และอื่นๆ ล้วนมาจากพระผู้สร้าง  เมื่อคำนึงถึงปรากฏการณ์เหล่านี้ ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เหมือนกันระหว่างบุรุษกับสตรี ยกเว้นความแตกต่างทางเพศ และก็ยังมีสิ่งที่แตกต่างกันหรือทักษะทางวิชาชีพบางอย่างที่พวกเขาเก่งเลิศอีกด้วย  ตัวอย่างเช่น งานหลายอย่างที่บุรุษสามารถทำได้สตรีก็สามารถทำได้เช่นกัน  มีนักวิทยาศาสตร์ นักบินและนักบินอวกาศหญิง และประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่รัฐหญิงอีกด้วย ซึ่งพิสูจน์ว่างานที่บุรุษและสตรีสามารถทำได้เหมือนกันไม่มากก็น้อย แม้ว่าพวกเขาจะมีความแตกต่างทางเพศก็ตาม  เมื่อเป็นเรื่องของความทนทานทางกายและการแสดงอารมณ์ออกมา บุรุษและสตรีเหมือนกันไม่มากก็น้อย  เมื่อญาติของสตรีผู้หนึ่งตาย เธอก็ร้องไห้แทบตายด้วยความโทมนัสแสนสาหัส เมื่อบิดามารดาหรือคนรักของบุรุษผู้หนึ่งตาย เขาจะโอดครวญดังเสียจนแผ่นดินสะเทือน เมื่อสตรีเผชิญกับการหย่าร้าง พวกเธอจะหดหู่ ซึมเศร้าและเสียใจ และอาจถึงกับฆ่าตัวตาย ขณะที่บุรุษจะกลายเป็นซึมเศร้าเช่นกันหากภรรยาของพวกเขาทิ้งพวกเขาไป และบางคนจะถึงกับแอบร้องไห้ใต้ผ้าคลุมเตียง  เพราะพวกเขาเป็นบุรุษ พวกเขาจึงไม่กล้าพร่ำบ่นถึงความทุกข์นี้ต่อหน้าผู้อื่น และภายนอกต้องแสร้งทำเป็นแข็งแกร่ง แต่เมื่อไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ พวกเขาจะร้องไห้เหมือนคนปกติ  เมื่อใดก็ตามที่มีบางสิ่งโดยเฉพาะเกิดขึ้น ทั้งบุรุษและสตรีจะเกิดอารมณ์ขึ้นอย่างที่คนเราย่อมคาดหวัง ไม่ว่านั่นจะหมายถึงการร้องไห้หรือหัวเราะ  ยิ่งไปกว่านั้น ในหมู่บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่และงานสารพัดในพระนิเวศของพระเจ้า สตรีมีโอกาสที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ฝึกฝน และมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ขณะที่บุรุษก็มีโอกาสอย่างเดียวกันที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ฝึกฝน และมอบงานสำคัญเช่นกัน—โอกาสอย่างเดียวกันและเสมอภาค  ความเสื่อมทรามสารพัดที่สตรีเปิดเผยในชีวิตประจำวันของตนและในการปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่แตกต่างเลยจากที่บุรุษเปิดเผย  แม้แต่ในหมู่สตรีก็ยังมีคนทำชั่วและศัตรูของพระคริสต์ที่ก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร—กับบุรุษก็เป็นอย่างเดียวกันมิใช่หรือ?  นั่นเป็นเพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนเหมือนกัน  หากพวกเขาเป็นคนชั่วที่ทำชั่ว ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร และพยายามจัดตั้งอาณาจักรที่เป็นเอกเทศของตนเอง เช่นนั้นแล้วเมื่อพวกเขาถูกชำระสะสางออกไป จะเกิดความแตกต่างใดๆ ระหว่างบุรุษกับสตรีหรือไม่?  ไม่ พวกเขาทั้งหมดจะถูกชำระสะสางออกไปในหนทางเดียวกัน  พวกเจ้าคิดว่าในหมู่ผู้ที่ถูกชำระสะสางออกไป มีบุรุษมากกว่าสตรีกระนั้นหรือ?  มีประมาณเท่าๆ กันในแต่ละเพศ  ทุกคนที่ทำชั่ว ขัดขวางและก่อกวน และนับว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์และคนชั่ว ไม่ว่าพวกเขาจะมีเพศชายหรือเพศหญิง ต้องถูกชำระสะสางออกไป  บางคนพูดว่า “สตรีไม่สามารถทำสิ่งที่ขัดขวางและก่อกวนได้ จะน่าละอายเพียงใดที่ผู้หญิงทำสิ่งเช่นนี้ สตรีต้องกังวลสนใจการรักษาศักดิ์ศรีของตนมากกว่า!  ผู้หญิงตัวเล็กๆ สามารถทำชั่วครั้งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร?  พวกเธอทำไม่ได้ พวกเธอควรได้รับโอกาสให้กลับใจ  บุรุษกล้าเสี่ยงภัย พวกเขาเกิดมาเพื่อทำสิ่งที่ไม่ดี พวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นศัตรูของพระคริสต์และทำชั่ว  ต่อให้พวกเขาเพียงแค่ทำชั่วเล็กน้อย และต่อให้พวกเราไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับรูปการณ์แวดล้อม พวกเขาก็ยังคงควรถูกขับไล่”  พระนิเวศของพระเจ้าทำเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ทำเช่นนี้พระนิเวศของพระเจ้ากำจัดผู้คนตามหลักธรรม  พระนิเวศของพระเจ้าไม่แยกแยะระหว่างบุรุษกับสตรี และไม่กังวลสนใจการรักษาศักดิ์ศรีของสตรีหรือบุรุษ แต่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างยุติธรรม  หากเจ้าคือคนที่ทำชั่วและเจ้ามีคุณสมบัติครงตามหลักธรรมสำหรับการถูกชำระสะสางและขับไล่ เช่นนั้นแล้วพระนิเวศของพระเจ้าจะกำจัดคุณตามหลักธรรม หากเจ้าคือสตรีที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน และเจ้าคือคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ เจ้าจะถูกชำระสะสางออกไปหรือขับไล่เช่นเดียวกัน และจะไม่ถูกละเว้นเพียงเพราะเจ้าเป็นสตรีและเจ้าร้องไห้หรือหลั่งน้ำตา  พระนิเวศของพระเจ้าต้องจัดการสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรม  ผู้เชื่อสตรีไล่ตามพระพร และมีความปรารถนาและความตั้งใจที่จะได้รับพระพร  และบุรุษก็มีแบบนั้นเช่นกันหรือ?  ใช่ พวกเขามีแบบนั้น เช่นเดียวกัน บุรุษก็มีความทะเยอทะยานและความปรารถนาไม่น้อยไปกว่าสตรี  การต้านทานพระเจ้าของผู้ใดร้ายแรงกว่า ของบุรุษหรือของสตรี?  ทั้งหมดเหมือนกัน  มีบางคนที่จะพูดว่า “ในที่สุดฉันก็เข้าใจความจริงแล้วตอนนี้ ปรากฎว่าบุรุษและสตรีเสื่อมทรามเท่ากัน!  ฉันเคยคิดว่าบุรุษกำยำสมเป็นชาย และต้องวางตัวประดุจสุภาพบุรุษ และทำทุกสิ่งอย่างยุติธรรมและมีเกียรติ และเปิดเผย ไม่เหมือนสตรี ซึ่งสตรีหลายคนใจแคบ วุ่นวายอย่างไม่จบสิ้นกับเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ นินทาลับหลังผู้คนอยู่เนืองนิตย์ และไม่กระทำการอย่างเปิดเผย  แต่ฉันไม่ได้ถือว่ามีคนเลวไม่น้อยที่เป็นบุรุษ และสิ่งที่ไม่ดีที่พวกเขากระทำนั้นถึงกับใหญ่กว่าและจำนวนมากกว่า”  ตอนนี้เจ้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว  กล่าวสั้นๆ ก็คือไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของทุกคนเหมือนกัน เพียงแต่ว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนแตกต่างกัน—นี่คือหนทางที่ยุติธรรมหนทางเดียวสำหรับมองบุรุษและสตรี  มีความลำเอียงใดๆ ในมุมมองนี้หรือไม่?  (ไม่)  มุมมองนี้ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดที่ว่าบุรุษเหนือกว่าสตรีหรือไม่?  (ไม่)  มุมมองนี้ไม่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งเหล่านี้เลย  ในการวัดว่าบุคคลผู้หนึ่งดีหรือไม่ดี ก่อนอื่นคนเราไม่ควรพิจารณาว่าพวกเขาเป็นบุรุษหรือสตรี แต่ควรพิจารณาสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา แล้วจึงตัดสินแก่นแท้ของพวกเขาตามการสำแดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาในแง่มุมสารพัดทั้งหมด—นี่คือวิธีมองผู้คนอย่างถูกต้องแม่นยำ

เมื่อพิจารณาเรื่องนี้จากปรากฏการณ์ที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงก่อนหน้านี้ นอกเหนือจากความแตกต่างทางเพศแล้วก็ไม่มีความแตกต่างใดๆ เลยระหว่างเพศชายกับเพศหญิง ไม่ว่าจะในการสำแดงสัญชาตญาณของพวกเขา หรือในการเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามสารพัดของพวกเขา หรือในแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา  ในแง่ของแก่นแท้ทางร่างกายของผู้คนและอุปนิสัยของพวกเขา รวมทั้งสัญชาตญาณ กำลังใจและเจตจำนงอิสระที่พระเจ้าทรงประทานให้ผู้คนเมื่อพระองค์ทรงสร้างพวกเขา ไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้คน  เพราะฉะนั้น เมื่อผู้คนมองบุรุษและสตรี พวกเขาไม่ควรมองพวกนั้นตามรูปลักษณ์ นับประสาอะไรกับแนวคิดที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมตามประเพณีที่โลกนี้สอนผู้คน แต่ตามพระวจนะของพระเจ้าเสียมากกว่า  เหตุใดคนเราจึงควรพวกนั้นตามพระวจนะของพระเจ้า?  เหตุใดจึงไม่มองพวกนั้นตามแนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมตามประเพณี?  มีบางคนที่กล่าวว่า “ตลอดหนึ่งพันปีของประวัติศาสตร์มนุษย์ มีการกล่าวอ้างและการเขียนอ้างมากมายเหลือเกินในหนังสือ  ทัศนะและคำกล่าวของมวลมนุษย์ไม่มีข้อใดถูกต้องเลยหรือ?  ไม่มีความจริงอยู่ในนั้นเลยหรือ?”  ถ้อยคำเหล่านี้ไร้สาระในหนทางใด?  มนุษย์นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามมานานนับพันปี และพวกเขาเต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความมืดมนและความชั่วในสังคมมนุษย์  ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นสาเหตุรากหรือหยั่งรู้ซาตานได้อย่างชัดเจน หรือรู้จักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นทัศนะของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจึงไม่สอดคล้องกับความจริง และมีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้  นี่คือข้อเท็จจริงที่แท้จริง  ความจริงสามารถได้รับจากพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แต่ทว่าวัฒนธรรมของโลกมนุษย์ถูกสร้างขึ้นจากความเสื่อมทรามของซาตาน  ผู้คนไม่เคยผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และไม่มีผู้ใดสามารถรู้จักพระเจ้าได้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างความจริงในวัฒนธรรมตามประเพณีของมวลมนุษย์ เพราะความจริงทั้งปวงมาจากพระเจ้าและได้รับการแสดงออกมาโดยพระคริสต์  เมื่อถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์ทุกคนมีธรรมชาติและอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  พวกเขาทั้งหมดบูชาผู้มีชื่อเสียงและบุคคลสำคัญ และทุกคนติดตามซาตาน  มนุษย์มีเหตุจูงใจและจุดมุ่งหมายแอบแฝงเวลาที่มองหรือนิยามบางสิ่ง  ไม่ว่าเหตุจูงใจและจุดมุ่งหมายเหล่านี้จะรับใช้ผู้ใด หรือจุดประสงค์ตามเจตนาจะเป็นอะไร สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามกำกับ  เพราะฉะนั้น สิ่งทั้งหลายที่มนุษย์ที่เสื่อมทรามและแนวคิดที่พวกเขาสนับสนุนนิยามต้องได้รับอิทธิพลจากอุบายอันฉลาดแกมโกงของซาตาน  นั่นคือแง่มุมหนึ่งของเรื่อง  อีกแง่มุมหนึ่งจากทัศคติที่เป็นกลางคือไม่ว่ามนุษย์จะมีความสามารถเพียงใด ก็ไม่มีผู้ใดเข้าใจหน้าที่ สัญชาตญาณ และแก่นแท้ของมนุษย์ทรงสร้าง  เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลใด หรือโดยผู้ที่เรียกกันว่าบุคคลสำคัญที่ยิ่งใหญ่ กษัตริย์มาร ซาตาน หรือวิญญาณชั่ว มนุษย์จึงไม่เข้าใจสัญชาตญาณ หน้าที่และแก่นแท้ของผู้คนเลย ดังนั้นผู้ใดรู้จักสัญชาตญาณ หน้าที่และแก่นแท้ของผู้คนดีที่สุด?  พระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงรู้ดีที่สุด  ผู้ใดก็ตามที่สร้างมนุษย์ย่อมรู้หน้าที่ สัญชาตญาณและแก่นแท้ของพวกเขาดีที่สุด และแน่นอนว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการนิยามมนุษย์และในการกำหนดพิจารณาคุณค่า อัตลักษณ์และแก่นแท้ของบุรุษหรือสตรี  นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่เป็นกลางหรอกหรือ?  (ใช่)  สิ่งที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อสร้างมนุษย์ สัญชาตญาณที่พระองค์ทรงมอบให้ผู้คนเมื่อพระองค์ทรงสร้างพวกเขา หน้าที่และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับร่างกายของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาเหมาะหรือไม่เหมาะที่จะทำ และแม้กระทั่งว่าอายุขัยของพวกเขาควรจะยายนานเพียงใด—ทั้งหมดนี้ถูกพระเจ้ากำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว  พระเจ้าองค์เดียวทรงมีความเข้าใจดีที่สุดเกี่ยวกับมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง และไม่มีผู้ใดอื่นที่เข้าใจเกี่ยวกับมวลมนุษย์ทรงสร้างมากกว่า  นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น พระเจ้าทรงมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการนิยามมนุษย์ และกำหนดพิจารณาอัตลักษณ์ สถานะ คุณค่าและหน้าที่ของบุรุษหรือสตรี รวมทั้งเส้นทางที่ถูกต้องที่ผู้คนควรเดิน  พระเจ้าทรงรู้ดีที่สุดว่ามนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างต้องการสิ่งใด พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์สิ่งใดได้ และสิ่งใดอยู่ในความสามารถของพวกเขา  จากอีกมุมมองหนึ่ง สิ่งที่มนุษย์ทรงสร้างต้องการมากที่สุดคือพระวจนะที่พระผู้สร้างตรัส  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถนำทาง จัดเตรียมและเป็นผู้เลี้ยงให้มนุษย์ด้วยพระองค์เอง  คำกล่าวเหล่านั้นที่เกี่ยวกับมวลมนุษย์อันเสื่อมทรามที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าล้วนหลอกลวง โดยเฉพาะคำกล่าวของวัฒนธรรมตามประเพณี ซึ่งล้วนล่อลวง ทำให้มึนงง และจำกัดขอบเขตผู้คน และแน่นอนว่าทำหน้าที่เสมือนความยับยั้งชั่งใจและการควบคุมประเภทหนึ่ง  มีอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งก็คือพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ และความกังวลสนใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ก็คือพวกเขาสามารถเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตได้หรือไม่  แต่ทว่าสังคม ชนชาติและประเทศทั้งหลายเพียงแค่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองและความมั่นคงของระบอบทางการเมืองเท่านั้น โดยไม่กังวลสนใจชีวิตของชนชั้นล่าง  ผลก็คือนี่ทำให้เกิดสิ่งทั้งหลายที่สุดโต่งและอลหม่านขึ้น  พวกเขาไม่ได้นำผู้คนไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง เพื่อให้ผู้คนสามารถดำเนินชีวิตที่มีคุณค่าและความชัดเจน และนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้า แต่ตรงกันข้ามพวกเขากลับต้องการหาประโยชน์จากผู้คนเพื่อรับใช้การปกครองของตนเอง อาชีพของตนเอง และความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของตนเอง  ไม่ว่าพวกเขาจะนำเสนอคำกล่าวอ้างใด หรือแนวคิดและทัศนะใด จุดมุ่งหมายของทั้งหมดนี้คือการตบตาผู้คน เพื่อจำกัดขอบเขตความคิดของพวกเขา และควบคุมมวลมนุษย์เพื่อที่ผู้คนจะได้รับใช้พวกเขาและจงรักภักดีต่อพวกเขา  พวกเขาไม่คำนึงถึงอนาคตหรือความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของมวลมนุษย์ หรือวิธีที่มนุษย์สามารถอยู่รอดได้ดีขึ้น  แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ถึงขนาดที่สิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นสอดคล้องกับแผนการของพระองค์  หลังจากสร้างมนุษย์แล้ว พระองค์ทรงนำพวกเขาไปสู่ความเข้าใจความจริงและหลักธรรมมากขึ้นเพื่อการวางตัว และทำให้พวกเขามองเห็นข้อเท็จจริงที่แท้จริงของการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างชัดเจน  บนรากฐานนี้ ตามหลักธรรมความจริงเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงสอนผู้คนและทรงใช้เพื่อตักเตือนพวกเขา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็สามารถเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตได้

ข้อบังคับและกติกาเหล่านี้ที่ว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมตามประเพณีมีอยู่หลากหลายมากและมีอิทธิพลต่อการคิดอ่านของผู้คนจากแง่มุมทุกชนิด ทำให้การคิดอ่านของพวกเขาสับสนและถูกจำกัดขอบเขต  สิ่งที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันในวันนี้คือคำกล่าวและทัศนะที่ไร้สาระและวิปลาสบางอย่างของวัฒนธรรมตามประเพณีที่เกี่ยวกับเพศ ซึ่งมีอิทธิพลต่อทัศนะที่ถูกต้องของผู้คนว่าด้วยเพศในระดับที่มีนัยสำคัญ และยังทำให้บุรุษและสตรีต้องเผชิญกับโซ่ตรวน พันธนาการ การจำกัดควบคุม การเลือกปฏิบัติ และอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันอีกด้วย  เหล่านี้ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้ และยังเป็นผลกระทบและผลสืบเนื่องที่วัฒนธรรมตามประเพณีมีต่อผู้คนอีกด้วย

14 พฤษภาคม ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: สิ่งใดคือการไล่ตามเสาะหาความจริง (10)

ถัดไป: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (12)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger