การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (11)
ในทุกๆ ช่วงเวลาและทุกๆ ช่วงระยะ ย่อมมีสิ่งที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างซึ่งขัดต่อมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกิดขึ้นในคริสตจักร ตัวอย่างเช่น บางคนเจ็บป่วย ผู้นำและคนทำงานถูกเปลี่ยนตัว บางคนถูกเปิดโปงและถูกขับออกไป บางคนก็เผชิญหน้ากับการทดสอบของชีวิตและความตาย คริสตจักรบางแห่งถึงกับมีคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ที่ก่อการรบกวน และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่เป็นครั้งคราว แต่ไม่มีครั้งใดที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญทั้งสิ้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นผลจากอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ช่วงเวลาอันแสนสงบสุขอาจถูกขัดจังหวะอย่างกระทันหันจากอุบัติการณ์ต่างๆ หรือเหตุการณ์อันผิดปกติทั้งหลายซึ่งเกิดขึ้นรอบตัวพวกเจ้า หรือเกิดขึ้นกับพวกเจ้าเอง และการเกิดขึ้นของสิ่งเหล่านี้ก็ทำลายระเบียบอันเป็นปกติและความเป็นปกติของชีวิตผู้คน จากภายนอกแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน ผู้คนไม่อยากประสบพบเจอหรือไม่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับพวกเขา เช่นนั้นแล้วการเกิดขึ้นของสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อผู้คนหรือไม่? ผู้คนควรรับมือกับสิ่งเหล่านี้ มีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ และเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างไร? นี่เป็นบางสิ่งที่พวกเจ้าเคยขบคิดอยู่ใช่หรือไม่? (พวกเราควรเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นผลจากอธิปไตยของพระเจ้า) นี่เป็นแค่เรื่องของการเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นผลจากอธิปไตยของพระเจ้างั้นหรือ? พวกเจ้าได้เรียนรู้บทเรียนใดจากเรื่องนี้บ้างหรือไม่? เจ้าสามารถเข้าใจไปมากกว่านี้ได้หรือไม่ ว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือทั้งหมดนี้อย่างไร? หากพูดโดยเจาะจงแล้ว อธิปไตยของพระเจ้าเกี่ยวข้องกับสิ่งใด? สิ่งอันเฉพาะเจาะจงที่สำแดงตัวอยู่ภายในผู้คนสิ่งใดที่พวกเขาควรรู้จักและเข้าใจ? พวกเจ้าเคยเรียนรู้บทเรียนจากสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเจ้าบ้างหรือไม่? เจ้าสามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้จากพระเจ้าแล้วได้รับบางอย่างจากการนี้ได้หรือไม่? หรือเจ้าคิดฟุ้งซ่านกับตัวเองว่า “สิ่งนี้ล้วนเป็นผลจากอธิปไตยของพระเจ้า แค่นบนอบต่อพระเจ้าก็พอ ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรในเรื่องนี้เลย” แล้วปล่อยผ่านไปในขณะที่เจ้าคิดง่ายๆ เช่นนั้น? ในสถานการณ์เหล่านั้น สถานการณ์ใดหรือที่นำมาปรับใช้กับพวกเจ้าได้? บางครั้งก็เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นในคริสตจักร ตัวอย่างเช่น การเผยแผ่พระราชกิจข่าวประเสริฐสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีอย่างคาดไม่ถึง หรือมีความลำบากยากเย็น ความทุกข์ยาก อุปสรรคที่ไม่คาดคิดบางอย่าง หรือแม้กระทั่งการขัดขวางและการทำลายล้างจากกำลังบังคับภายนอก บางครั้ง สิ่งผิดปกติบางอย่างก็เกิดขึ้นในคริสตจักรบางแห่งหรือในหมู่คนบางคนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ไม่ว่าในเวลาที่ปกติหรือในเวลาที่ผิดปกติ พวกเจ้าเคยใคร่ครวญถึงสิ่งที่ไม่ธรรมดาทั้งหลายที่เกิดขึ้นบ้างหรือไม่? เจ้าได้ข้อสรุปสุดท้ายว่าอย่างไร? หรือในเวลาส่วนใหญ่แล้วเจ้าไม่มีความเข้าใจอยู่เลย? บางคนเพียงคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็กล่าวคำอธิษฐานสั้นๆ โดยไม่แสวงหาความจริงเพื่อให้ได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ พวกเขาแค่ยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้า แล้วจบลงเพียงเท่านั้น นี่ไม่ใช่การแสร้งทำพอเป็นพิธีหรอกหรือ? ผู้คนส่วนมากเพียงทำไปพอเอาหน้ารอด และเมื่อคนที่มีขีดความสามารถย่ำแย่หนักหนาเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ผู้คนเช่นนั้นย่อมเกิดความไม่เข้าใจและความสับสนอย่างใหญ่หลวง และสามารถเกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า รวมถึงข้อกังขาเกี่ยวกับอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าอย่างง่ายดาย ผู้คนไม่มีความเข้าใจเรื่องพระเจ้าตั้งแต่แรก และเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ขัดต่อมโนคติอันหลงผิดของตน พวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริงหรือหาคนสามัคคีธรรมด้วย ทว่าปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเองเท่านั้น ก่อนที่สุดท้ายจะได้ข้อสรุปว่า “ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้าหรือไม่ ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน” และพวกเขาก็เริ่มมีความแคลงใจเกี่ยวกับพระเจ้า และถึงกับกังขาในพระวจนะของพระองค์ ผลก็คือความกังขา การคาดเดา และการระวังตัวจากพระเจ้าของพวกเขากลายเป็นร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็เสียแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองไป พวกเขาไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์และพลีอุทิศ และพวกเขาก็หย่อนยาน จับแพะชนแกะไปวันๆ การได้มีประสบการณ์กับรูปการณ์อันเจาะจงไม่กี่อย่างทำให้ความมีใจกระตือรือร้น ความแน่วแน่ และความปรารถนาอันน้อยนิดที่พวกเขามีก่อนหน้านี้ก็ได้ทอดทิ้งพวกเขาและมลายหายสิ้นไป และทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็คือความคิดที่ว่าพวกเขาจะวางแผนของตนเองเพื่ออนาคตและแสวงหาหนทางของพวกเขาเองอย่างไร ผู้คนเช่นนั้นไม่ใช่คนส่วนน้อย เนื่องจากผู้คนไม่รักและไม่แสวงหาความจริง เมื่อไรก็ตามที่มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็มองเรื่องนั้นด้วยตาตัวเองโดยไม่เคยเรียนรู้ที่จะยอมรับการนี้จากพระเจ้าเลย พวกเขาไม่แสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อหาคำตอบ และพวกเขาก็ไม่ค้นหาคนที่เข้าใจความจริงเพื่อสามัคคีธรรมกับคนเหล่านั้นและแก้ไขเรื่องเหล่านี้ พวกเขากลับใช้ความรู้และประสบการณ์ในการรับมือกับโลกนี้ของพวกเขามาวิเคราะห์และตัดสินสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับพวกเขาอยู่เสมอ แล้วผลสุดท้ายเป็นเช่นไรเล่า? พวกเขาทำให้ตนเองติดกับอยู่ในสภาวะที่กระอักกระอ่วนโดยไม่รู้จะไปทางไหนดี—นี่คือผลที่ตามมาของการไม่แสวงหาความจริง ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ พระเจ้าทรงปกครองทุกสิ่ง ถึงแม้ผู้คนจะสามารถเข้าใจและยอมรับเรื่องนี้ได้ในทางทฤษฎี แล้วผู้คนควรปฏิบัติต่ออธิปไตยของพระเจ้าอย่างไร? นี่คือความจริงที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหาและเข้าใจ และพวกเขาก็ควรปฏิบัติความจริงนี้โดยเฉพาะ หากผู้คนเพียงยอมรับอธิปไตยของพระเจ้าในทางทฤษฎี แต่ไม่มีความเข้าใจจริงในเรื่องนี้ อีกทั้งมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเองก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ากี่ปีและมีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มากแค่ไหน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะยังไม่สามารถได้รับความจริง หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็ไม่สามารถรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าได้ ยิ่งพวกเขามีประสบการณ์กับสิ่งทั้งหลายมากเท่าไร พวกเขาจะยิ่งมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาจะยิ่งตั้งคำถามกับพระองค์ และแน่นอนว่า การคาดเดา ความเข้าใจผิด และการระวังตัวจากพระเจ้าของพวกเขาก็ล้วนจะเริ่มร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น ข้อเท็จจริงก็คือ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า วัตถุประสงค์และนัยสำคัญที่พระเจ้าทรงกระทำทั้งหมดนี้เพื่อที่จะไม่ทำให้ความเข้าใจผิดและความกังขาที่เจ้ามีต่อพระเจ้าเพิ่มมากขึ้น แต่เพื่อชำระล้างและแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันภายในของเจ้า รวมถึงความกังขา ความเข้าใจผิด และการระวังตัวจากพระเจ้าของเจ้า อีกทั้งสิ่งอื่นๆ ที่เป็นลบ หากเจ้าไม่แก้ไขปัญหาให้ทันท่วงทีในยามที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เมื่อปัญหาเหล่านี้ในตัวเจ้าเกิดสะสมและเริ่มร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ และความมีใจกระตือรือร้นกับความแน่วแน่ของเจ้าไม่เพียงพอที่จะเกื้อหนุนเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอีกต่อไป เจ้าย่อมจะพังทลายลงสู่ความคิดลบ จนถึงจุดอันตรายที่เจ้าจะทอดทิ้งพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าเจ้าจะไม่สามารถตั้งมั่นได้ ขณะนี้ คนบางคนอิดออดที่จะทุ่มเทความพยายามแม้เพียงเล็กน้อยให้การปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่ทุ่มเทให้กับการได้รับพระพรเท่านั้น โดยไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่อย่างใด และเมื่อไรที่มีความลำบากยากเย็นเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็กลายเป็นคิดลบ ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเช่นนี้เอง เพราะพวกเขาไม่เข้าใจเรื่องความจริงของนิมิตอย่างถ่องแท้ และพวกเขาก็ไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า ต่อให้พวกเขาทำหน้าที่ของตนและสละตนเพื่อพระเจ้า พวกเขาก็ไม่มีความแข็งแกร่งอยู่ในหัวใจ และคำสอนเพียงเล็กน้อยที่พวกเขาเข้าใจก็ไม่สามารถค้ำจุนพวกเขาได้นานนักก่อนที่พวกเขาจะล้มลง หากผู้คนไม่ชุมนุม ฟังคำเทศนา หรือแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของพวกเขาอยู่เป็นประจำ พวกเขาก็ไม่สามารถตั้งมั่นได้ ด้วยเหตุนั้น บรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาจึงจำเป็นต้องสามัคคีธรรมถึงความจริงอยู่เป็นประจำ และเมื่อมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขาและพวกเขาเกิดมโนคติอันหลงผิด พวกเขาก็ต้องแก้ไขเรื่องนี้ด้วยการแสวงหาความจริงให้ทันท่วงที มีเพียงหนทางนี้ที่พวกเขาจะมั่นใจได้ว่า พวกเขาจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดีและสามารถเดินตามพระเจ้าได้จนถึงปลายทาง
ถนนแห่งการเชื่อในพระเจ้านั้นขรุขระและไม่ราบเรียบ นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นไปตามที่ผู้คนปรารถนาหรือสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาหรือไม่ หรือเป็นสิ่งที่พวกเขาคาดการณ์ได้หรือไม่ การเกิดขึ้นของสิ่งนั้นก็ไม่สามารถแยกจากอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าได้ การที่พระเจ้าทรงทำทุกอย่างที่ทรงทำไปนั้นมีนัยพิเศษในแง่ที่อนุญาตให้ผู้คนได้รับบทเรียนจากสิ่งนั้นและรู้จักอธิปไตยของพระเจ้า เป้าหมายของการรู้จักอธิปไตยของพระเจ้าไม่ใช่ว่าผู้คนควรต้านทานพระเจ้า และไม่ใช่ว่าเมื่อเข้าใจพระเจ้า ผู้คนก็ควรมีอำนาจมากขึ้นและมีต้นทุนมากขึ้นที่จะแข่งขันกับพระองค์ ในทางกลับกัน เมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา ผู้คนควรเรียนรู้ที่จะยอมรับสิ่งเหล่านั้นจากพระเจ้าและแสวงหาความจริงเพื่อให้เข้าใจสิ่งนั้น แล้วจึงปฏิบัติความจริงเพื่อสัมฤทธิ์การนบนอบที่แท้จริง และเกิดความเชื่อที่แท้จริงในพระองค์ พวกเจ้าเข้าใจการนี้หรือไม่ (เข้าใจ) เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจะนำการนี้ไปปฏิบัติอย่างไร? เส้นทางปฏิบัติของพวกเจ้าที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? เจ้าปฏิบัติต่อแต่ละสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าด้วยหัวใจที่นบนอบและท่าทีที่แสวงหาความจริงหรือไม่? หากเจ้าคือใครคนหนึ่งที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าย่อมจะมีชุดความคิดเช่นนี้ ไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้าก็ตาม เจ้าจะยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้า และเจ้าจะเดินหน้าแสวงหาความจริง จับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ อีกทั้งมองผู้คนกับสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระองค์ ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้านั้น เจ้าจะสามารถรู้จักและมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และสามารถนบนอบต่อพระองค์ได้ หากเจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็จะไม่จัดการสิ่งนั้นตามพระวจนะของพระเจ้าและจะไม่แสวงหาความจริง เจ้าจะเพียงจับแพะชนแกะโดยไม่ได้ผลลัพธ์เป็นความจริงแต่อย่างใด พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนเพียบพร้อมด้วยการจัดการเตรียมการสิ่งต่างๆ มากมายที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา เพื่อที่จะฝึกฝนให้พวกเขาแสวงหาความจริง เกิดความเข้าใจในกิจการของพระองค์ และเห็นถึงมหิทธานุภาพและพระปัญญาของพระองค์ ชีวิตของพวกเขาจะได้ค่อยๆ เติบโตขึ้น เหตุใดผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ได้รับความจริงและได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้า ขณะที่คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาถูกขับออกไป? นี่เป็นเพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็สามารถแสวงหาความจริงได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีพระราชกิจและมีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้สามารถปฏิบัติความจริง เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระองค์ ขณะเดียวกัน พวกที่ไม่รักความจริงเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา แต่ก็ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องนี้ และถึงกับกลายเป็นคิดลบและพร่ำบ่นได้ด้วยซ้ำ เมื่อเวลาผ่านไป มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าก็เพิ่มมากขึ้น และพวกเขาก็เริ่มกังขาและปฏิเสธพระองค์ ผลก็คือ พวกเขาถูกโยนและขับออกไปโดยพระราชกิจของพระเจ้า นั่นเป็นสาเหตุที่ท่าทีที่ผู้คนมีต่อความจริงควรเป็นการแสวงหาความจริง ปฏิบัติความจริง และเพียรพยายามที่จะสมดังข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า แทนที่จะคิดลบและนิ่งเฉย การจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้านั้น พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ มากมาย และมองดูทั้งหมดนั้นตามพระวจนะของพระเจ้า รวมไปถึงใช้เวลากับการใคร่ครวญ แสวงหาความจริง และสามัคคีธรรมถึงความจริงให้มากขึ้น พวกเขาจึงจะรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าและก้าวตามพระราชกิจนั้นได้ทัน มีเพียงหนทางนี้ที่พวกเขาจะสามารถเข้าใจความจริงและลึกซึ้งในสิ่งนี้มากขึ้นทุกวัน และมีเพียงหนทางนี้ที่พระวจนะของพระเจ้าและความจริงในทุกแง่มุมจะสามารถหยั่งรากในตัวผู้คนได้ การมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถแยกออกจากชีวิตจริงได้ นับประสาอะไรกับการแยกออกจากสภาพแวดล้อมของผู้คน เรื่องราว และสิ่งต่างๆ ทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดวางไว้ มิเช่นนั้นผู้คนก็จะไม่สามารถเข้าใจและได้รับความจริง ผู้คนส่วนมากไม่รู้ว่าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าอย่างไรในยามที่ปัญหาเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาไม่รู้วิธีแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง หรือไม่รู้วิธีแก้ไขความเข้าใจที่ผิดพลาดและทัศนะที่น่าขันของพวกเขา ผลก็คือ ถึงแม้พวกเขาได้รับประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มากมาย พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงและไม่ได้รับสิ่งใดเลย—นี่เป็นเรื่องที่เสียเวลา ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับพวกเขา ท้ายที่สุดสิ่งที่ผู้คนควรปฏิบัติก็คือการนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนบนอบนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้คนควรนบนอบด้วยความคิดลบ นิ่งเฉย หรือเป็นที่พึ่งสุดท้าย แต่ควรมีความตั้งใจที่กระตือรือร้นและเป็นบวก และมีเส้นทางในการปฏิบัติความจริง การนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าไม่ว่าพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสิ่งใด ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับเจ้า ก็ปล่อยให้พระเจ้าทรงกระทำสิ่งนั้นและเรียนรู้ที่จะนบนอบต่อพระองค์ จงอย่ามีความปรารถนาหรือมีแผนการส่วนตัวใดๆ และอย่าพยายามทำสิ่งทั้งหลายตามหนทางของตัวเจ้าเอง ทุกสิ่งที่ผู้คนชื่นชอบ ไล่ตามเสาะหา และถวิลหาล้วนน่าขันและไร้สาระ ผู้คนกบฏต่อพระเจ้ามากเกินไป พระองค์ทรงเอ่ยขอผู้คนให้ไปทางตะวันออก แต่พวกเขาไม่ต้องการไปทางตะวันออก ต่อให้พวกเขาฝืนใจนบนอบ ในใจของพวกเขาก็ยังคิดถึงการไปทางตะวันตกอยู่ดี นี่ไม่ใช่การนบนอบที่แท้จริง การนบนอบที่แท้จริงหมายความว่า เมื่อพระเจ้าทรงบอกให้เจ้าไปทางตะวันออก เจ้าก็ควรไปทางตะวันออก รวมถึงละทิ้งและยกเลิกความคิดทั้งปวงที่จะไปทางใต้ ทางเหนือ หรือทางตะวันตก และสามารถกบฏต่อเจตจำนงของเนื้อหนังได้ จากนั้นก็ไปปฏิบัติด้วยการเดินตามเส้นทางและทิศทางที่พระเจ้าทรงแสดงให้เจ้าเห็น นี่คือความหมายของการนบนอบ สิ่งใดคือหลักธรรมสำหรับปฏิบัติการนบนอบ? คือการฟังพระวจนะของพระเจ้าและนบนอบ และปฏิบัติตามสิ่งที่พระเจ้าตรัสนั่นเอง จงอย่าปิดบังความตั้งใจของตัวเจ้า และเจ้าก็ไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้ ไม่ว่าเจ้าเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างชัดเจนหรือไม่ เจ้าก็ควรเริ่มนำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติด้วยความนอบน้อม และทำสิ่งทั้งหลายตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์ จากกระบวนการในการปฏิบัติและมีประสบการณ์ เจ้าย่อมจะมาเข้าใจความจริงโดยไม่รู้ตัว หากปากของเจ้าพูดว่าเจ้านบนอบต่อพระเจ้า ทว่าเจ้าไม่เคยปล่อยวางและกบฏต่อแผนการและความปรารถนาในใจของเจ้าเลย นี่จะไม่ใช่การพูดอย่างและทำอีกอย่างหรอกหรือ? (ใช่) นี่ไม่ใช่การนบนอบที่แท้จริง หากเจ้าไม่นบนอบอย่างแท้จริง เมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าย่อมจะมีข้อเรียกร้องมากมายต่อพระเจ้าและในใจเจ้าจะร้อนรนที่จะให้พระเจ้าทรงทำตามที่เจ้าพึงประสงค์ หากพระเจ้าไม่ทรงกระทำตามที่เจ้าปรารถนา เจ้าจะรู้สึกปวดร้าวและเป็นทุกข์อย่างมาก เจ้าจะทนทุกข์แสนสาหัส และจะไม่สามารถนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า รวมถึงสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดวางไว้ให้เจ้าได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เพราะเจ้ามีความประสงค์และความปรารถนาของตนเองอยู่เสมอ และเจ้าก็ไม่สามารถปล่อยวางแนวคิดส่วนตัวของตัวเจ้าไปได้ อีกทั้งเจ้าต้องการเป็นคนตัดสินใจ ด้วยเหตุนั้น เมื่อไรก็ตามที่เจ้าเผชิญกับสิ่งทั้งหลายที่ขัดกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถนบนอบ และการนบนอบต่อพระเจ้าก็เป็นเรื่องยากสำหรับเจ้า ถึงแม้ผู้คนจะรู้ในทางทฤษฎีว่าพวกเขาควรนบนอบต่อพระเจ้าและปล่อยวางแนวคิดของตนเอง ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นได้ ด้วยกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเขาจะเสียเปรียบและเกิดความสูญเสีย บอกเราทีเถิดว่า นี่ไม่พาให้พวกเขาเผชิญกับความยากลำบากเย็นใหญ่หลวงหรือ? แล้วความปวดร้าวของพวกเขาไม่เพิ่มขึ้นหรอกหรือ? (เพิ่มขึ้น) หากเจ้าสามารถล้มเลิกทุกสิ่งทุกอย่าง และปล่อยวางสิ่งทั้งหลายที่เจ้าชื่นชอบและเรียกร้อง ทว่าเป็นสิ่งที่ขัดกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าไปได้ หากเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นด้วยความกระตือรือร้นและเต็มใจ และไม่ตั้งเงื่อนไขกับพระเจ้า แต่เต็มใจทำในสิ่งที่พระเจ้ามีพระประสงค์ เช่นนั้นแล้ว ความลำบากยากเย็นตัวเจ้าย่อมจะเล็กลงมาก และอุปสรรคทั้งหลายก็จะเล็กลงมาก หากอุปสรรคต่อการนบนอบพระเจ้าของผู้คนลดลง ความปวดร้าวของพวกเขาจะไม่ลดลงหรือ? เมื่อความปวดร้าวของพวกเขาลดลง ความทุกข์ที่พวกเขาเผชิญโดยไม่จำเป็นย่อมจะลดลงอย่างถึงที่สุด พวกเจ้าจะไปมีประสบการณ์ในหนทางนี้หรือไม่? อาจจะยัง เมื่อใครคนหนึ่งเห็นใครอีกคนเผชิญกับความยากลำบาก พวกเขาย่อมค้นหาความลำบากนั้นในตัวเองทันทีด้วยการสมมุติว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาเห็นใครบางคนเผชิญความเจ็บปวดร้าว ความเจ็บป่วย ความทุกข์ลำบาก หรือความวิบัติบางประเภท พวกเขาก็พลันนึกถึงตนเองและสงสัยว่า “หากเกิดเรื่องนี้ขึ้นกับฉัน ฉันจะทำอย่างไร? กลายเป็นว่าผู้เชื่อก็ยังสามารถเผชิญกับสิ่งเหล่านี้และทนทุกข์ความทรมานเหล่านี้ได้ แล้วพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าประเภทไหนกันแน่? หากพระเจ้าทรงไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนคนนั้น พระองค์จะทรงปฏิบัติต่อฉันเช่นเดียวกันไหม? นี่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงพึ่งพาไม่ได้ พระองค์ทรงจัดวางสภาพแวดล้อมที่เหนือความคาดหมายเอาไว้ให้ผู้คนในทุกที่และทุกเวลา และทรงสามารถทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายได้ตลอดเวลา และในทุกรูปการณ์แวดล้อม” พวกเขากลัวว่าหากพวกเขาไม่เชื่อ พวกเขาจะไม่ได้รับพระพร แต่หากพวกเขาเชื่อต่อไป พวกเขาก็จะเจอกับความวิบัติ ในหนทางนี้ เมื่อผู้คนอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาก็เพียงกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอวอนให้พระองค์ทรงอวยพรข้าพระองค์ด้วยเถิด” และไม่กล้ากล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงทดสอบข้าพระองค์ บ่มวินัยข้าพระองค์ และทำตามที่พระองค์ทรงจะทำ ข้าพระองค์เต็มใจยอมรับสิ่งนั้น”—พวกเขาไม่กล้าอธิษฐานเช่นนี้ หลังประสบกับความพ่ายแพ้และความล้มเหลวเพียงไม่กี่ครั้ง ความแน่วแน่และความกล้าหาญของผู้คนก็ลดลง และพวกเขาก็มี “ความเข้าใจ” ที่ต่างออกไปต่อพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ต่อการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ และต่ออธิปไตยของพระองค์ ทั้งยังเกิดสำนึกระวังตัวต่อพระเจ้าอีกด้วย ในหนทางนี้ย่อมมีกำแพง และมีความบาดหมางเกิดขึ้นระหว่างผู้คนกับพระเจ้า การที่ผู้คนมีสภาวะเหล่านี้เป็นเรื่องที่ใช้ได้หรือไม่? (ใช้ไม่ได้) แล้วสภาวะเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะพัฒนาขึ้นในตัวพวกเจ้าหรือไม่? การที่เจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเหล่านี้เกิดขึ้นหรือไม่? (เกิดขึ้น) ปัญหาเช่นนี้ควรแก้ไขอย่างไร? การไม่แสวงหาความจริงเป็นเรื่องที่ใช้ได้หรือไม่? หากเจ้าไม่เข้าใจความจริงและไม่มีความเชื่อ ก็ยากที่เจ้าจะติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง และเจ้าจะล้มลงเมื่อเผชิญความวิบัติและภัยพิบัติทั้งหลาย ไม่ว่าเกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือเกิดจากน้ำมือมนุษย์ก็ตาม
หลังจากที่โยบก้าวผ่านบททดสอบ เขาก็เอ่ยคำกล่าวที่ว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) ทุกวันนี้ผู้คนมากมายหัดท่องประโยคนี้ และพวกเขาก็ท่องได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาท่องประโยคนี้ ทั้งหมดที่พวกเขานึกถึงคือพระยาห์เวห์ผู้ประทานให้ แต่พวกเขาไม่เคยนึกเลยว่าเมื่อพระยาห์เวห์ทรงเอาไปจะเป็นเช่นไร และในตอนนั้นผู้คนจะประสบกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่กระอักกระอ่วน ลำบากยากเย็น และทุกข์ตรมรูปแบบใด หรือหัวใจของผู้คนจะเปลี่ยนไปอย่างไรจากสภาพแวดล้อมนั้น พวกเขาไม่เคยนึกเอะใจเรื่องนั้นเลย กลับเอาแต่ท่องว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” จนถึงจุดที่ใช้ประโยคนี้เป็นคำขวัญและคำสอนที่พวกเขานำมาอ้างในทุกโอกาสเสียด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่พวกเขาทุกคนสามารถนึกถึงอยู่ในใจได้ก็คือพระคุณ พระพร และพระสัญญาทั้งปวงที่พระยาห์เวห์ประทานแด่ผู้คน ทว่าพวกเขาไม่เคยคิด—หรือนึกไม่ถึง—ว่าจะเกิดภาพแบบใดขึ้นเมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเอาทั้งหมดนี้ไปจากพวกเขา ทุกคนที่มาเชื่อในพระเจ้าพร้อมที่จะยอมรับพระคุณ พระพร และพระสัญญาของพระเจ้าเพียงอย่างเดียว และเต็มใจยอมรับความเมตตาและความปรานีของพระองค์เท่านั้น แต่ไม่มีใครที่กำลังรอคอยหรือเตรียมตัวยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า บททดสอบและการถลุงของพระองค์ หรือการริบสิทธิ์ของพระองค์เลย และไม่มีสักคนเดียวที่เตรียมพร้อมยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า การริบสิทธิ์ของพระองค์ หรือคำสาปแช่งของพระองค์ สัมพันธภาพระหว่างผู้คนกับพระเจ้านี้เป็นปกติหรือไม่ปกติ? (ไม่ปกติ) เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่านี่เป็นสัมพันธภาพที่ไม่ปกติ? สิ่งนี้ยังขาดพร่องในจุดใดหรือ? สิ่งที่ขาดพร่องในเรื่องนี้คือผู้คนไม่มีความจริง นี่เป็นเพราะผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันมากเกินไป เข้าใจพระเจ้าผิดอยู่เป็นนิจ และไม่แก้ไขสิ่งเหล่านี้ด้วยการแสวงหาความจริง—สิ่งนี้ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาขึ้นมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพร พวกเขาเพียงต้องการทำข้อตกลงกับพระเจ้า และเรียกร้องสิ่งทั้งหลายจากพระองค์เท่านั้น แต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง การนี้อันตรายมาก ทันทีที่พวกเขาเผชิญหน้ากับสิ่งที่ขัดต่อมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง พวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิด ความขุ่นข้องหมองใจ และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นทันที และสามารถไปไกลถึงขั้นทรยศพระองค์ได้ด้วยซ้ำ ผลที่ตามมาของเรื่องนี้ร้ายแรงหรือไม่? ผู้คนส่วนใหญ่เดินอยู่บนเส้นทางใดในการเชื่อในพระเจ้า? ถึงแม้พวกเจ้าอาจจะฟังคำเทศนามามากมายและรู้สึกว่าพวกเจ้าได้มาเข้าใจความจริงพอสมควรแล้ว ข้อเท็จจริงก็คือพวกเจ้ายังคงเดินอยู่บนเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อกินขนมปังให้อิ่มท้องเท่านั้น หากเจ้าเตรียมจิตใจให้พร้อมยอมรับการพิพากษาและการตีสอน บททดสอบและการถลุงแล้ว อีกทั้งเจ้าได้เตรียมใจที่จะทนทุกข์กับความวิบัติ ไม่ว่าในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าสละตนเพื่อพระเจ้าแค่ไหนและทำการพลีอุทิศมากเพียงใด หากเจ้าเผชิญหน้ากับบททดสอบของโยบจริงๆ และพระเจ้าทรงริบทรัพย์สมบัติของเจ้าคืนไปทั้งหมด จนถึงจุดที่เจ้ากำลังจะจบชีวิต เช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำอย่างไร? เจ้าควรรับมือกับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอย่างไร? เจ้าควรจัดการหน้าที่ของตัวเองอย่างไร? เจ้าควรจัดการสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้าอย่างไร? เจ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องและมีท่าทีที่เหมาะสมหรือไม่? คำถามเหล่านี้ตอบได้โดยง่ายหรือไม่? นี่คือสิ่งกีดขวางใหญ่หลวงที่วางอยู่ตรงหน้าพวกเจ้า ในเมื่อนี่เป็นสิ่งกีดขวางและเป็นปัญหา แล้วสิ่งนี้ไม่ควรได้รับการแก้ไขหรือ? (สิ่งนี้ควรได้รับการแก้ไข) จะแก้ไขสิ่งนี้อย่างไร? สิ่งนี้แก้ไขได้โดยง่ายหรือไม่? สมมุติว่าการที่เจ้าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี อ่านพระวจนะของพระเจ้ามามาก ฟังคำเทศนามาเยอะ และเข้าใจความจริงมากมาย เจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วที่จะปล่อยให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นพระพรหรือเป็นความวิบัติก็ตาม และสมมุติว่าถึงแม้เจ้าจะละทิ้งและสละตนเอง อีกทั้งทำการพลีอุทิศและทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งชีวิต แต่ทั้งหมดที่เจ้าได้รับเป็นการตอบแทนคือพระเจ้าตรัสคำสาปแช่งแก่เจ้า หรือทรงริบสิทธิ์ของเจ้า หากแม้กระทั่งในเวลานั้นเจ้าก็ไม่มีคำพร่ำบ่น ไม่มีความอยากได้อยากมีหรือความประสงค์ของตัวเจ้าเอง แต่แสวงหาที่จะนบนอบต่อพระเจ้าและปล่อยให้ตัวเองอยู่ภายใต้ความกรุณาของการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์เท่านั้น และเจ้ารู้สึกว่าการสามารถมีความเข้าใจและความนบนอบแม้เพียงเล็กน้อยต่ออธิปไตยของพระเจ้าได้ก็ยังทำให้ชีวิตของเจ้าคุ้มค่า—หากเจ้ามีท่าทีที่ถูกต้องเช่นนั้น แล้วการแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านั้นบางส่วนจะไม่ง่ายหรอกหรือ? ตอนนี้พวกเจ้ามีความรู้ที่แท้จริงเรื่องอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าหรือยัง? ลึกๆ ในหัวใจของพวกเจ้ายังมีแผนการสำหรับอนาคตและชะตากรรมของตัวเจ้าเองอยู่หรือไม่? เจ้าสามารถทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลังและสละตนเพื่อพระเจ้าด้วยใจจริงได้หรือไม่? เจ้าเคยใช้เวลาและเรี่ยวแรงเพื่อใคร่ครวญและนึกถึงปัญหาเหล่านี้โดยละเอียดถี่ถ้วนบ้างหรือไม่? หรือเจ้าเคยมีประสบการณ์กับบางสิ่งเพื่อที่จะบรรลุความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงและรู้จักอธิปไตยของพระเจ้าบ้างหรือไม่? หากพวกเจ้าไม่เคยนึกถึงปัญหาอันสัมพันธ์กับชีวิตจริง ทั้งยังเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่อยู่ตรงหน้าพวกเจ้า ว่าผู้ที่ติดตามพระเจ้าควรจัดการอธิปไตยของพระองค์และการจัดวางเรียบเรียงกับการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างอย่างไร อีกทั้งพวกเจ้าไม่ตระหนักว่านี่คือความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งนิมิต เช่นนั้นแล้ว หากวันหนึ่งมีเหตุการณ์หรือความวิบัติครั้งใหญ่เกิดขึ้น เจ้าจะสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าได้หรือไม่? นี่เป็นเรื่องที่พูดได้ยาก ทั้งยังเป็นปัจจัยที่ไม่มีใครรู้ใช่หรือไม่? (ใช่) ประเด็นนี้ไม่ควรได้รับการคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนหรือ? (ควร) แล้วเจ้าจะสามารถมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับอนาคตที่เจ้าไม่อาจคาดการณ์ได้อย่างไร? เจ้าจะสามารถตั้งมั่นในคำพยานของตนภายในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดไว้ได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่ประเด็นที่ควรพิจารณาและใคร่ครวญอย่างจริงจังหรอกหรือ? หากเจ้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “ฉันเป็นคนดีโดยธรรมชาติ และฉันได้ชื่นชมกับพระคุณ พระพร และการคุ้มครองของพระเจ้าอย่างมาก เมื่อผู้อื่นเผชิญกับความลำบากยากเย็น พวกเขาก็อยู่ในจุดที่สิ้นหวัง แต่เมื่อไรที่ฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็น ฉันก็มีการทรงจัดหา การทรงนำ และความช่วยเหลือจากพระเจ้า ตอนนี้ฉันสามารถสู้ทนความยากลำบากและสามารถพลีอุทิศในการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้ ความเชื่อในพระเจ้าของฉันแข็งแกร่งขึ้น และฉันก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ที่สำคัญด้วย ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงมีพระคุณต่อฉันเป็นพิเศษ และฉันก็มีการคุ้มครองและพระพรของพระองค์ หากฉันคงไว้ให้เป็นเช่นนี้ ต่อให้อนาคตฉันจะทนทุกข์กับการตีสอน การพิพากษา บททดสอบ และการถลุงอยู่บ้าง ฉันก็น่าจะเอาชนะสิ่งเหล่านั้นไปได้ ท้ายที่สุดฉันจะต้องเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับพรอย่างแน่นอน พระเจ้าจะต้องทรงพาฉันเข้าสู่ราชอาณาจักรอย่างแน่นอน และฉันจะต้องได้เห็นวันที่พระเจ้าทรงเปล่งรัศมีอย่างแน่นอน!” การคิดเช่นนี้เป็นอย่างไรหรือ? เจ้าเชื่อว่าเจ้าแตกต่าง เชื่อว่าพระเจ้าทรงแสดงความโปรดปรานต่อเจ้าเป็นพิเศษ และเชื่อว่าหากพระเจ้าทรงละทิ้งหรือขับใครสักคนออก คนคนนั้นจะไม่ใช่เจ้า ความคิดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) เหตุใดความคิดเหล่านี้จึงไม่ถูกต้อง? (การคิดเช่นนี้ไม่เป็นจริง) คำกล่าวเหล่านี้ถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่? หรือนี่คือสิ่งที่เป็นส่วนตัวและเป็นการคาดเดามากเกินไป? ผู้คนที่มีความคิดเหล่านี้คือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? (ไม่ใช่) แล้วพวกเขาจะนบนอบพระเจ้าโดยแท้จริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาพร้อมที่จะยอมรับการตีสอน การพิพากษา บททดสอบ และการถลุงของพระเจ้า และแม้กระทั่งคำสาปแช่งของพระองค์หรือไม่? (ไม่พร้อม) เมื่อการตีสอนและการพิพากษา บททดสอบและการถลุงของพระเจ้าเกิดขึ้นกับพวกเขาจริงๆ พวกเขาจะทำอย่างไร? พวกเขาจะเกิดมโนคติอันหลงผิดหรือพร่ำบ่นเรื่องพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาจะสามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้จากพระเจ้าและนบนอบอย่างแท้จริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) พูดได้เพียงว่า การนี้ย่อมสัมฤทธิ์ได้ยาก นี่เป็นเพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อแสวงหาพระคุณหรือเพื่อกินขนมปังให้อิ่มท้องเท่านั้น พวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงมีพระพิโรธและบารมีอีกด้วย และไม่รู้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นไม่อาจก้าวล่วงได้ พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเป็นธรรม และเมื่อเป็นเรื่องของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดก็ตาม พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือความเมตตาและความรัก แต่คือบารมีและพระพิโรธด้วยเช่นกัน ในการที่พระเจ้าทรงจัดการแต่ละบุคคล ความเมตตา ความรัก บารมี และพระพิโรธในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ย่อมไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าจะทรงไม่มีวันแสดงความเมตตาและความรักแค่กับใครบางคน และแสดงบารมีและพระพิโรธต่อคนอื่นๆ เท่านั้น พระเจ้าจะทรงไม่มีวันทำเช่นนี้ เพราะพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม และพระองค์ทรงเป็นธรรมต่อทุกคน ความเมตตา ความรัก บารมี และพระพิโรธของพระเจ้ามีไว้แด่ทุกคน พระองค์สามารถประทานพระคุณและพระพรแก่ผู้คน และสามารถประทานการคุ้มครองให้พวกเขาได้ ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็ทรงสามารถพิพากษาและตีสอนผู้คน สาปแช่งพวกเขา และพรากทุกสิ่งที่พระองค์ประทานให้พวกเขาไปจากพวกเขาได้เช่นกัน พระเจ้าสามารถประทานให้ผู้คนได้ ทว่าพระองค์ก็ทรงสามารถเอาทุกสิ่งไปจากพวกเขาได้เช่นกัน นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า และนี่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงต้องทำกับทุกๆ คน ดังนั้นหากเจ้าคิดว่า “ฉันล้ำค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ พระองค์ทรงทนตีสอนและพิพากษาฉันไม่ไหวอย่างแน่นอน และพระองค์จะไม่ทรงมีพระทัยพรากทุกสิ่งที่พระองค์ประทานให้ฉันไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะผิดหวังและเป็นทุกข์” นี่ไม่ใช่ความคิดที่ผิดพลาดหรอกหรือ? นี่คือมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าไม่ใช่หรือ? (ใช่) เพราะฉะนั้นก่อนเจ้าจะมาเข้าใจความจริงเหล่านี้ เจ้าไม่ได้นึกถึงแต่การชื่นชมพระคุณ ความเมตตา และความรักของพระเจ้าหรอกหรือ? ผลก็คือ เจ้ามักลืมอยู่ร่ำไปว่าพระเจ้าทรงมีบารมีและพระพิโรธเช่นกัน ถึงแม้ปากของเจ้ากล่าวว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม และเจ้าก็สามารถขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าได้เมื่อพระองค์ทรงแสดงความเมตตาและความรักต่อเจ้า ทว่าเมื่อไรที่พระเจ้าทรงแสดงบารมีและพระพิโรธในการตีสอนและการพิพากษาเจ้า เจ้าก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก เจ้าคิดว่า “ถ้าเพียงว่าไม่มีพระเจ้าเช่นนั้นอยู่” “ถ้าเพียงว่าไม่ใช่พระเจ้าที่ทรงทำเช่นนี้ ถ้าเพียงว่าพระเจ้าไม่ทรงพุ่งเป้ามาที่ฉัน ถ้าเพียงว่านี่ไม่ใช่เจตนารมณ์ของพระเจ้า ถ้าเพียงว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับคนอื่น เพราะฉันเป็นคนจิตใจดี และฉันไม่ได้ทำสิ่งที่ย่ำแย่ แถมฉันยังยอมลำบากอย่างหนักเพราะการเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี พระเจ้าทรงไม่ควรไร้ความกรุณานัก ฉันควรมีคุณสมบัติเพียงพอและมีสิทธิ์ที่จะชื่นชมความเมตตาและความรักของพระเจ้า รวมถึงพระคุณและพระพรอันอุดมของพระเจ้า พระเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาหรือตีสอนฉัน และจะไม่ทรงมีพระทัยที่จะทำเช่นนั้นด้วย” นี่เป็นเพียงความคิดที่ผิดและเพ้อฝันใช่หรือไม่? (ใช่) ความคิดนี้ผิดอย่างไรหรือ? สิ่งที่ผิดในความคิดนี้คือ เจ้าไม่ได้ถือว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นสมาชิกของมนุษยชาติผู้ได้รับการทรงสร้าง เจ้าหลงผิดแยกตัวเองออกจากการเป็นมนุษยชาติผู้ได้รับการทรงสร้าง และถือว่าตัวเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่อยู่ในกลุ่มหรือประเภทพิเศษ มอบสถานะพิเศษให้ตัวเอง นี่ไม่ใช่การโอหังและคิดว่าตนเองถูกหรอกหรือ? สิ่งนี้ไม่ไร้เหตุผลหรือ? นี่คือคนที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงงั้นหรือ? (ไม่ใช่) แน่นอนว่าไม่ใช่
ในครอบครัวของพระเจ้า ท่ามกลางพี่น้องชายหญิง ไม่ว่าสถานะหรือตำแหน่งของเจ้าสูงแค่ไหน หรือหน้าที่ของเจ้าสำคัญเพียงใด และไม่ว่าเจ้ามีความสามารถพิเศษและคุณูปการยอดเยี่ยมเพียงใด หรือเจ้าเชื่อในพระเจ้ามานานขนาดไหน ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดาสิ่งหนึ่ง อีกทั้งคำนำหน้าและสมญานามอันสูงส่งที่เจ้ามอบให้ตัวเองก็ไม่มีอยู่ หากเจ้าถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นมงกุฏ หรือเป็นทุนที่ทำให้เจ้าได้อยู่ในกลุ่มพิเศษหรือเป็นคนพิเศษอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว การทำเช่นนี้ย่อมทำให้เจ้าต้านทานและขัดแย้งกับทัศนะของพระเจ้า และเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า ผลที่ตามมาของการนี้จะเป็นเช่นไรหรือ? นี่จะทำให้เจ้าแข็งขืนต่อหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหรือไม่? ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่จงอย่าถือว่าเจ้าเป็นเพียงหนึ่งเดียว เจ้าจะสามารถนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงด้วยชุดความคิดเช่นนั้นได้หรือ? เจ้าคิดเพ้อฝันอยู่ตลอดว่า “พระเจ้าไม่ควรปฏิบัติต่อฉันเช่นนี้ พระองค์ไม่มีวันปฏิบัติต่อฉันเช่นนี้” นี่ไม่ใช่การสร้างความขัดแย้งกับพระเจ้าหรอกหรือ? เมื่อพระเจ้าทรงกระทำการอันขัดกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า ความคิดของเจ้า และความต้องการของเจ้า ในหัวใจเจ้าจะคิดเช่นไร? เจ้าจะรับมือกับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้าอย่างไร? เจ้าจะนบนอบหรือไม่? (ไม่) เจ้าจะไม่นบนอบ และแน่นอนว่าเจ้าจะขัดขืน ต่อต้าน คร่ำครวญ และพร่ำบ่น คิดเรื่องนี้วกวนอยู่ในหัวใจซ้ำไปซ้ำมา พลางคิดว่า “แต่พระเจ้าทรงเคยคุ้มครองฉันและปฏิบัติต่อฉันอย่างเปี่ยมพระคุณ ทำไมตอนนี้พระองค์ถึงเปลี่ยนไป? ฉันอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว!” แล้วเจ้าก็เริ่มฉุนเฉียวและอาละวาด หากเจ้าทำตัวเช่นนี้กับพ่อแม่ของเจ้าที่บ้าน นี่ย่อมจะเป็นเรื่องที่ให้อภัยได้และพวกเขาจะไม่ทำอะไรกับเจ้า ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่รับได้ในพระนิเวศของพระเจ้า เพราะเจ้าเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้เชื่อ แม้แต่ผู้อื่นยังไม่ทนกับความไร้สาระของเจ้า—เจ้าคิดว่าพระเจ้าจะทรงยอมทนกับพฤติกรรมเช่นนั้นหรือ? พระองค์จะทรงยกโทษให้เจ้าที่ทำเช่นนี้กับพระองค์หรือ? ไม่ พระองค์จะไม่ทรงยกโทษให้ เหตุใดพระองค์จึงจะไม่ทรงยกโทษให้? พระเจ้าไม่ใช่พ่อแม่ของเจ้า พระองค์คือพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง และพระผู้สร้างจะทรงไม่มีวันอนุญาตให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทำตัวกระเง้ากระงอดและไร้เหตุผล หรือฟาดงวงฟาดงาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ เมื่อพระเจ้าทรงตีสอนและพิพากษาเจ้า ทรงทดสอบเจ้า หรือทรงเอาสิ่งทั้งหลายไปจากเจ้า เมื่อพระองค์ทรงมอบความทุกข์ยากให้เจ้า พระองค์ก็มีพระประสงค์ที่จะเห็นท่าทีของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างว่าพวกเขาปฏิบัติต่อพระผู้สร้างอย่างไร พระองค์ทรงต้องการเห็นว่าเส้นทางแบบใดที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเลือกเดิน และพระองค์จะทรงไม่มีวันอนุญาตให้เจ้าทำตัวกระเง้ากระงอดและไร้เหตุผล หรือพ่นเหตุผลประหลาดออกมา เมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้คนไม่ควรนึกถึงวิธีจัดการทุกสิ่งที่พระผู้สร้างทรงทำหรอกหรือ? ประการแรก ผู้คนควรอยู่ในที่ที่ถูกต้องเหมาะสม และยอมรับอัตลักษณ์ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้ายอมรับได้หรือไม่ว่าเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง? หากเจ้ายอมรับเรื่องนี้ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ควรอยู่ในที่ที่ถูกต้องเหมาะสมในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง และต่อให้เจ้าทนทุกข์บ้างเล็กน้อย เจ้าก็จะทนทุกข์ไปโดยไม่พร่ำบ่น นี่คือความหมายของการเป็นคนที่มีสำนึก หากเจ้าไม่คิดว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่คิดไปว่าเจ้ามีคำนำหน้าและมีวงแหวนเหนือศีรษะ อีกทั้งคิดว่าเจ้าเป็นคนที่มีสถานะ เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เป็นวาทยากร เป็นบรรณาธิการ หรือเป็นผู้อำนวยการในครอบครัวของพระเจ้า และคิดว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่สร้างคุณูปการอันล้ำค่าให้กับงานของครอบครัวของพระเจ้า—หากนั่นคือสิ่งที่เจ้าคิด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นคนที่ไร้เหตุผลและหน้าด้านไร้ยางอายมากที่สุด พวกเจ้าเป็นคนที่มีสถานะ มีตำแหน่ง และมีคุณค่าใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้วเจ้าเป็นใคร? (ข้าพระองค์เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง) ถูกต้อง เจ้าเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดาทั่วไป เจ้าสามารถโอ้อวดคุณสมบัติของเจ้า หงายไพ่ผู้อาวุโส คุยโวถึงคุณูปการของตัวเอง หรือพูดถึงความสำเร็จอันอาจหาญของเจ้าท่ามกลางผู้คนได้ แต่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่ และเจ้าต้องไม่พูดถึงหรือโอ้อวดสิ่งเหล่านี้ หรือทึกทักไปว่าเจ้าเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษโดยเด็ดขาด สิ่งทั้งหลายจะผิดเพี้ยนไปหากเจ้าโอ้อวดคุณสมบัติของตัวเอง พระเจ้าจะทรงถือว่าเจ้าเป็นคนไร้เหตุผลและโอหังอย่างที่สุดโดยแท้จริง พระองค์จะทรงผลักไสเจ้าและรังเกียจเจ้า และจะทรงกันเจ้าออกไป แล้วเมื่อนั้นเจ้าจะตกที่นั่งลำบาก ก่อนอื่นเจ้าต้องยอมรับอัตลักษณ์และตำแหน่งของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นสถานะของเจ้าท่ามกลางผู้อื่น ไม่ว่าตำแหน่งของเจ้าจะโดดเด่นแค่ไหน หรือเจ้ามีคุณประโยชน์อย่างไร หรือไม่ว่าพระเจ้าประทานความสามารถพิเศษบางอย่างแก่เจ้า เพื่อให้เจ้าได้รู้สึกถึงสำนึกของความเหนือกว่าอันมากล้นท่ามกลางผู้คนหรือไม่—เมื่อเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีคุณค่าหรือไม่มีนัยสำคัญเลย เพราะฉะนั้นเจ้าต้องไม่อวดตน แต่จงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ว่าง่ายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแทน เฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้น เจ้าเป็นเพียงสมาชิกของมนุษยชาติที่ได้รับการทรงสร้าง ไม่ว่าเจ้ามีชื่อเสียงเพียงใด มีพรสวรรค์หรือมีความสามารถพิเศษแค่ไหน และไม่ว่าท่ามกลางผู้คนเจ้ามีความมานะอุตสาหะยิ่งใหญ่เพียงใด สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ควรค่าที่จะกล่าวถึงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า นับประสาอะไรกับการอวดตน และเจ้าก็ควรอยู่ที่ที่ถูกต้องเหมาะสมในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นี่คือประการแรก ประการที่สองคือ จงอย่าแสวงหาเพียงเพื่อที่จะชื่นชมพระคุณและพระพรของพระเจ้าขณะที่ในใจเจ้านั้นต้านทานและปฏิเสธการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า หรือยำเกรงบททดสอบและการถลุงที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้า ความยำเกรงและการต้านทานเหล่านี้ล้วนไม่มีประโยชน์ บางคนกล่าวว่า “หากฉันเต็มใจที่จะยอมรับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบและการถลุงของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ฉันจะรอดพ้นจากความทุกข์เหล่านี้ไหม?” พระเจ้าไม่ทรงทำทั้งหมดนี้ตามที่ว่าเจ้าชอบสิ่งเหล่านี้หรือไม่ พระองค์ไม่ทรงทำตามความปรารถนาหรือทางเลือกส่วนตัวของเจ้า แต่ทรงทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระดำริของพระองค์ และแผนการของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นอกจากการยอมรับพระคุณและพระพรของพระเจ้าแล้ว เจ้าต้องสามารถยอมรับและมีประสบการณ์กับการตีสอน การพิพากษา บททดสอบและการถลุงจากพระวจนะของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าได้อย่างแท้จริงด้วย มีคนบางคนที่จะกล่าวว่า “พระองค์ทรงหมายความว่าพระคุณของพระเจ้าสามารถประทานให้ผู้คนได้ทุกที่และทุกเวลา แต่การตีสอน การพิพากษา บททดสอบ การถลุง และหายนะของพระเจ้าก็สามารถเกิดขึ้นกับผู้คนได้ทุกที่และทุกเวลาเช่นกันใช่หรือไม่?” พวกเจ้าคิดว่าการตีสอน การพิพากษา บททดสอบและการถลุงของพระเจ้าจะเกิดขึ้นกับผู้คนโดยพลการ จนพวกเขาไม่มีทางป้องกันได้งั้นหรือ? (ไม่ได้เป็นเช่นนั้น) แน่นอนว่าไม่ ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย มนุษย์ผู้เสื่อมทรามไม่คู่ควรกับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า—นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรตระหนัก แต่เจ้าต้องเข้าใจว่าการที่พระเจ้าทรงเผยและเปิดโปงเจ้า บ่มวินัย สั่งสอนและตีสอนเจ้า รวมถึงการพิพากษา บททดสอบและการถลุง และแม้กระทั่งคำสาปแช่งของพระองค์ที่มีต่อเจ้า ก็เป็นไปตามวุฒิภาวะของเจ้า รูปการณ์แวดล้อมของเจ้า และแน่นอนว่าตามการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของเจ้า หากพระเจ้าทรงเห็นชอบในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วการพิพากษา การตีสอน บททดสอบและการถลุงของพระองค์ก็ย่อมจะเกิดขึ้นกับเจ้าในเวลาที่เหมาะสม ตลอดทางที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า พระพรและพระคุณของพระองค์อยู่กับเจ้าตลอดทุกที่และทุกเวลา และการเผย การสั่งสอน การบ่มวินัย การตีสอนและการพิพากษา บททดสอบและการถลุงของพระองค์ และอื่นๆ ก็จะเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าทุกที่และทุกเวลาย่อมหมายถึงในวิธีการที่ยุติธรรม ในเวลาที่ถูกต้อง และเป็นไปตามแผนของพระเจ้า สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้คนโดยพลการ และไม่ได้หมายความว่าหายนะครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้คนอย่างฉับพลันทันทีที่พวกเขาเลิกระวังตัว การนี้มิได้เป็นเช่นนั้นเลย หากเจ้าไม่มีวุฒิภาวะจนถึงระดับหนึ่งและพระเจ้าทรงยังไม่ได้วางแผนที่จะทำสิ่งใดกับเจ้า จงอย่ากังวลใจ ในชีวิตเจ้าอาจจะมีเพียงพระคุณ พระพร และการสถิตของพระเจ้าเท่านั้น หากเจ้าไม่มีวุฒิภาวะที่มากพอ หรือเจ้าต้านทานและกลัวการตีสอน การพิพากษา บททดสอบ และการถลุงของพระเจ้าเป็นพิเศษ เช่นนั้นพระเจ้าก็จะไม่ทรงยัดเยียดสิ่งทั้งหลายที่ขัดต่อเจตจำนงของเจ้าให้กับเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนี้ ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ ผู้คนก็ควรรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าและเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ มีเพียงความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้ผู้คนสามารถมีท่าทีที่ถูกต้อง มีสภาวะที่เป็นปกติ และเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ตอนนี้พวกเจ้าพร้อมที่จะยอมรับการตีสอน การพิพากษา บททดสอบและการถลุงของพระเจ้าหรือยัง? พวกเจ้าเต็มใจที่จะยอมรับหรือไม่? (พวกเราเต็มใจที่จะยอมรับ) ปากเจ้าพูดว่าเต็มใจ แต่ในหัวใจเจ้ายังคงกลัวอยู่มาก หากทันทีที่พูดว่าเต็มใจจบ หายนะก็พลันมาถึงตัวเจ้าอย่างไม่ทันตั้งตัว เจ้าจะรับมือกับสิ่งนี้อย่างไร? เจ้าจะร้องไห้โฮหรือไม่? เจ้าจะกลัวตายหรือไม่? เจ้าจะกังวลว่าตัวเองจะไม่ได้รับพรหรือไม่? เจ้าจะกังวลว่าเจ้าจะไม่ได้เห็นวันที่พระเจ้าทรงเปี่ยมพระสิริหรือไม่? สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่ผู้คนเผชิญเมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา สรุปคือ หากคนเราปรารถนาที่จะตั้งมั่นท่ามกลางบททดสอบและความทุกข์ลำบาก พวกเขาต้องมีสองสิ่ง สิ่งแรกคือ จงอยู่ในที่ที่ถูกต้องเหมาะสมของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ในหัวใจเจ้าควรเข้าใจชัดเจนว่า เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดา เป็นคนธรรมดาท่ามกลางมนุษยชาติผู้เสื่อมทราม ไม่มีสิ่งใดผิดธรรมดาหรือพิเศษ และเจ้าควรอยู่ในที่ที่ถูกต้องเหมาะสมของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เรื่องถัดมาก็คือ จงมีหัวใจที่จริงใจซึ่งนบนอบพระเจ้าและพร้อมที่จะยอมรับพระพรและพระคุณจากพระเจ้า รวมถึงพร้อมที่จะยอมรับการตีสอน การพิพากษา และบททดสอบและการถลุงจากพระองค์อยู่ตลอดเวลา ดังที่โยบกล่าวว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” (โยบ 2:10) และ “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) นี่คือข้อเท็จจริง และเป็นข้อเท็จจริงที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่? (เข้าใจ) หากเจ้ามีสองสิ่งนี้ โดยแท้แล้วเจ้าจะสามารถตั้งมั่นและก้าวผ่านหายนะและความทุกข์ลำบากทั่วๆ ไปไปได้ แม้ว่าเจ้าอาจจะไม่สามารถเป็นคำพยานอันแข็งแกร่งและกึกก้องได้ อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็น่าจะไม่หลงเจิ่น สะดุด หรือกระทำบางอย่างที่คิดคด แล้วเจ้าจะไม่ปลอดภัยหรอกหรือ? (ปลอดภัย) เช่นนั้นพวกเจ้าควรปฏิบัติตามสองสิ่งนี้ และดูว่านี่เป็นสิ่งที่สัมฤทธิ์ได้ง่ายหรือไม่ และลึกๆ ในหัวใจเจ้าสามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้หรือไม่ เมื่อเจ้ารู้ถึงสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับบททดสอบบางอย่าง เจ้าจะมองดูและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ต่างกันอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเอง ขอจบสามัคคีธรรมของพวกเราในหัวข้อนี้แต่เพียงเท่านี้
ในเรื่องของคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้น คราวก่อนพวกเราสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวใด? (พวกเราสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวสามประการ นั่นคือ “น้ำใจหนึ่งหยดควรได้รับการตอบแทนด้วยน้ำพุอันพวยพุ่ง” “อย่ายัดเยียดสิ่งที่ตัวเจ้าไม่ต้องการให้ผู้อื่น” และ “ฉันจะรับกระสุนแทนเพื่อน”) คราวก่อนพวกเราสามัคคีธรรมถึงข้อพึงประสงค์และคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมสามประการ รวมถึงสามัคคีธรรมเรื่องแก่นแท้ของคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรม ในส่วนของแก่นแท้ของคำพูดด้านความประพฤติทางศีลธรรมนั้น พวกเราสามัคคีธรรมถึงเรื่องใด? (พระเจ้าตรัสถึงความแตกต่างระหว่างคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมกับความจริง คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมเพียงแต่จำกัดห้ามพฤติกรรมของผู้คนและทำให้พวกเขายึดถือกฎเกณฑ์เท่านั้น ขณะที่ความจริงจากพระวจนะของพระเจ้าบอกให้ผู้คนรู้ถึงหลักธรรมความจริงที่พวกเขาควรเข้าใจ และชี้ให้พวกเขาเห็นถึงเส้นทางบางอย่างในการปฏิบัติ เพื่อให้พวกเขาได้มีหลักธรรมและมีทิศทางไปสู่การปฏิบัติเมื่อมีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา แง่มุมเหล่านี้คือสิ่งที่คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมแตกต่างจากความจริง) คราวก่อนพวกเราสามัคคีธรรมไว้ว่า คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมพึงให้ผู้คนยึดถือการปฏิบัติและกฎเกณฑ์บางอย่างเป็นหลัก และให้ความสำคัญกับการใช้กฎเกณฑ์มากกว่าเพื่อจำกัดพฤติกรรมของผู้คน แต่ข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน โดยหลักแล้วชี้ให้พวกเขาเห็นถึงเส้นทางปฏิบัติโดยอ้างอิงจากสิ่งที่สัมฤทธิ์ได้ด้วยความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเส้นทางปฏิบัติอันมากมายหลากหลายเหล่านี้เองเรียกว่าหลักธรรม นี่หมายความว่า เมื่อไรก็ตามที่เกิดปัญหาขึ้นกับเจ้า พระเจ้าจะทรงบอกเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้องและเป็นบวกแก่เจ้า และทรงบอกเจ้าถึงหลักธรรม เป้าหมาย และทิศทางในการปฏิบัติ พระองค์ไม่ต้องประสงค์ให้เจ้ายึดติดกฎเกณฑ์ ทว่าให้ยึดมั่นในหลักธรรมเหล่านี้ ในหนทางนี้ ผู้คนย่อมใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริง และเส้นทางที่พวกเขาเดินก็จะถูกต้อง วันนี้พวกเรามาดูเพิ่มเติมกันว่า ปัญหาอื่นๆ ของธรรมชาติอันเป็นเนื้อแท้ของคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมคืออะไร คำกล่าวมากมายด้านความประพฤติทางศีลธรรมไม่เพียงจำกัดความคิดของผู้คนเท่านั้น แต่ยังชักพาความคิดของพวกเขาให้หลงผิดและทำให้พวกเขาด้านชาทางความคิดด้วย ขณะเดียวกันก็มีคำกล่าวที่รุนแรงกว่าบางคำอ้างสิทธิ์ในชีวิตของผู้คน ตัวอย่างเช่น คำกล่าวอันน่าตกใจในสามัคคีธรรมครั้งก่อนของพวกเราที่ว่า “ฉันจะรับกระสุนแทนเพื่อน” ไม่เพียงแต่ควบคุมและจำกัดความคิดของผู้คนเท่านั้น แต่ยังอ้างสิทธิ์ในชีวิตของพวกเขาด้วยการทำให้พวกเขาไม่เพียงแต่หวงแหนชีวิตของตนไม่ได้ แต่ยังมีแนวโน้มที่จะบุ่มบ่ามยอมทิ้งชีวิตของตนอย่างไร้เหตุผลในหนทางที่หุนหันพลันแล่นและเลินเล่ออีกด้วย นี่คือการอ้างสิทธิ์ในชีวิตของผู้คนไม่ใช่หรือ? (ใช่) ยังไม่ทันที่ผู้คนจะเข้าใจความหมายของชีวิตและพบเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต พวกเขาก็ยอมทิ้งชีวิตโดยพลการเพื่อตอบแทนน้ำใจอันน้อยนิดของสิ่งที่เรียกว่าเพื่อน และถือว่าชีวิตของพวกเขาเองช่างต่ำต้อยและไร้ค่า นี่เป็นผลจากความคิดที่วัฒนธรรมดั้งเดิมสั่งสอนผู้คน เมื่อดูจากการที่คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมสามารถจำกัดความคิดของผู้คนได้ คำกล่าวเหล่านี้ไม่มีสิ่งที่เป็นบวกสักสิ่งเดียว และเมื่อดูจากการที่คำกล่าวเหล่านี้อ้างสิทธิ์ในชีวิตของผู้คนโดยพลการ ก็แน่นอนว่าคำกล่าวเหล่านี้ไม่มีผลกระทบเชิงบวกหรือไม่มีประโยชน์ต่อผู้คนเลย นอกจากนี้ ผู้คนยังถูกแนวคิดเหล่านี้ชักพาให้หลงผิดและสับสนมึนงง พวกเขาถูกบีบให้ปฏิบัติตนตามข้อพึงประสงค์ด้านความประพฤติทางศีลธรรมเพื่อความถือดีและศักดิ์ศรีของพวกเขาเอง และเพื่อไม่ให้ถูกกล่าวโทษจากมติมหาชน ผู้คนกลายเป็นถูกผูกมัด บีบคั้น และพันธนาการจากคำกล่าวและแนวคิดทั้งหลายด้านความประพฤติทางศีลธรรมแล้วโดยสมบูรณ์ ไม่เหลือทางเลือกอื่นใดให้พวกเขา มนุษยชาติเต็มใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้โซ่ตรวนของคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมและไร้ซึ่งทางเลือกเสรีเพียงเพื่อเป้าหมายในการมีชีวิตที่น่านับถือมากขึ้น ดูดีต่อหน้าผู้อื่น เป็นที่ยกย่องและได้รับความคิดเห็นที่น่าพึงพอใจจากผู้คน รวมถึงเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าของการนินทาลับหลัง และเพื่อนำเกียรติยศมาสู่ครอบครัวของพวกเขา เมื่อดูที่แนวคิดและทัศนะเหล่านี้ของผู้คน รวมไปถึงปรากฏการณ์ที่พวกเขาถูกควบคุมโดยคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรม ถึงแม้คำกล่าวเหล่านั้นจะจำกัดและบีบคั้นพฤติกรรมของมนุษย์จนถึงระดับหนึ่ง แต่คำพูดเหล่านี้ก็ปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทราม และข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและมีธรรมชาติเยี่ยงซาตานในระดับที่มีนัยสำคัญ คำกล่าวเหล่านี้ใช้พฤติกรรมภายนอกเพื่อปิดบังผู้คน เพื่อที่ดูภายนอกแล้วพวกเขาใช้ชีวิตที่น่านับถือ มีการศึกษา สง่างาม จิตใจดี โดดเด่น และมีเกียรติ ด้วยเหตุนี้ คนอื่นๆ จึงทำได้เพียงระบุว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด—ว่าพวกเขาเป็นคนมีเกียรติหรือต่ำต้อย เป็นคนดีหรือคนชั่ว—ผ่านพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาเท่านั้น ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมดังกล่าว ทุกคนต่างวัดและตัดสินว่าใครบางคนดีหรือแย่โดยอ้างอิงจากข้อพึงประสงค์ด้านความประพฤติทางศีลธรรมนานาประการ แต่ไม่มีผู้ใดสามารถมองทะลุผ่านความประพฤติทางศีลธรรมอันผิวเผินของผู้คนไปถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามของพวกเขาได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถเห็นถึงความร้ายกาจและความเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเคลือบแฝงความประพฤติทางศีลธรรมได้อย่างชัดเจน ในหนทางนี้ ผู้คนใช้ความประพฤติทางศีลธรรมเป็นผ้าคลุมเพื่อปกปิดแก่นแท้อันเสื่อมทรามของพวกเขาในระดับที่มากกว่าเดิม ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงคนหนึ่งที่ภายนอกดูเป็นกุลสตรี จิตใจดี อ่อนโยน และมีศีลธรรม ได้รับการยกย่องและความเลื่อมใสจากคนรอบตัว เธอประพฤติตัวเหมาะสม มีมารยาทดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความอดกลั้นในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ถือโกรธ กตัญญูต่อพ่อแม่ของตน ดูแลเอาใจใส่สามีและเลี้ยงดูลูกๆ สามารถสู้ทนความยากลำบาก และถือว่าเป็นบุคคลต้นแบบให้ผู้หญิงคนอื่น จากการปรากฏภายนอกของเธอย่อมไม่สามารถตรวจพบปัญหาใดได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าลึกๆ แล้วเธอคิดสิ่งใดหรือคิดอย่างไร เธอไม่เคยพูดว่าความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานของเธอคืออะไร และเธอก็ไม่กล้าพูดออกมา เหตุใดเธอจึงไม่กล้าพูดออกมา? เพราะเธอต้องการแสดงออกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่เป็นกุลสตรี จิตใจดี อ่อนโยน และมีศีลธรรม หากเธอเปิดใจและเปิดโปงหัวใจกับความอัปลักษณ์ของเธออย่างแท้จริง เช่นนั้นเธอย่อมจะไม่สามารถเป็นผู้หญิงที่เป็นกุลสตรี จิตใจดี อ่อนโยน และมีศีลธรรมได้ และจะถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์และดูถูกเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงปกปิดและสร้างภาพลักษณ์ให้ตนเอง การอยู่ภายใต้การปกปิดด้วยพฤติกรรมภายนอกที่เป็นกุลสตรี จิตใจดี อ่อนโยน และมีศีลธรรมหมายความว่าผู้คนจะเห็นแค่ความประพฤติดีของเธอและยกย่องเธอเท่านั้น และนั่นทำให้เธอบรรลุเป้าหมายของตัวเอง ไม่ว่าเธออำพรางตัวและหลอกลวงผู้อื่นอย่างไร แต่เธอเป็นคนดีอย่างที่ผู้คนเข้าใจจริงหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน ที่จริงแล้วเธอมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใช่หรือไม่? เธอมีแก่นแท้แห่งความเสื่อมทรามใช่หรือไม่? เธอเป็นคนหลอกลวงใช่หรือไม่? เป็นคนโอหังใช่หรือไม่? เป็นคนดื้อแพ่งใช่หรือไม่? เป็นคนเลวร้ายใช่หรือไม่? (ใช่) แน่นอนว่าเธอเป็นเช่นนี้ แต่ทั้งหมดนั้นถูกปกปิดเอาไว้—นี่คือข้อเท็จจริง บุคคลในประวัติศาสตร์จีนบางคนได้รับความเคารพในฐานะนักบุญและนักปราชญ์โบราณ รากฐานในการกล่าวอ้างเช่นนี้คืออะไร? พวกเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบุญและนักปราชญ์แค่จากบันทึกและตำนานบางอย่างที่จำกัดและไม่มีการพิสูจน์ความจริง ข้อเท็จจริงคือ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าการกระทำและความประพฤติที่แฝงอยู่ของพวกเขาเป็นอย่างไรกันแน่ ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจปัญหาเหล่านี้อย่างถี่ถ้วนแล้วหรือยัง? พวกเจ้าบางคนควรมีความเข้าใจที่ถี่ถ้วนอยู่บ้าง เพราะพวกเจ้าได้ฟังคำเทศนามามากมาย อีกทั้งได้เห็นแก่นแท้และความจริงของความเสื่อมทรามของมนุษย์ชัดเจนทีเดียว ตราบเท่าที่ผู้คนทำความเข้าใจความจริงอยู่บ้าง พวกเขาก็สามารถได้รับความเข้าใจที่ถี่ถ้วนเกี่ยวกับคนบางคน เรื่องบางเรื่อง และบางสิ่งได้ ผู้หญิงที่เป็นกุลสตรี จิตใจดี อ่อนโยน และมีศีลธรรม—ไม่ว่าพฤติกรรมภายนอกและความประพฤติทางศีลธรรมของเธอเป็นเยี่ยงอย่างขนาดไหน และไม่ว่าเธออำพรางตัวและสร้างภาพให้ตนเองได้ดีเพียงไร—จะเผยอุปนิสัยอันโอหังของเธอออกมาหรือไม่? (เธอย่อมจะเผยออกมา) เธอจะเปิดเผยอย่างแน่นอน แล้วเธอมีอุปนิสัยที่ดื้อแพ่งหรือไม่? (มี) เธอคิดว่าเธอทำสิ่งที่ถูกต้องและรู้สึกว่าตัวเองเป็นกุลสตรี จิตใจดี อ่อนโยน และมีศีลธรรม และคิดว่าเธอเป็นคนดี ซึ่งนี่พิสูจน์ว่าเธอเป็นคนที่คิดว่าตนเองถูก ทั้งยังดื้อแพ่งอย่างมาก ข้อเท็จจริงคือลึกๆ แล้วเธอรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองและข้อบกพร่องที่เธอมี แต่เธอก็ยังป่าวประกาศความเป็นกุลสตรีของตัวเองได้ นี่ไม่ใช่ความดื้อแพ่งหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่ความโอหังหรอกหรือ? นอกจากนี้การที่เธอป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นกุลสตรี จิตใจดี อ่อนโยน และมีศีลธรรมก็ล้วนเป็นไปเพื่อสร้างชื่อเสียงที่ดีเอาไว้และนำเกียรติยศมาสู่ครอบครัวของตน ความคิดและการไล่ตามไขว่คว้าเช่นนั้นไม่วิปริตและเลวร้ายหรอกหรือ? เธอได้รับการชื่นชมจากผู้คนและมีชื่อเสียงที่ดี แต่ลึกๆ แล้วเธอมักเก็บซ่อนความตั้งใจ ความคิด และสิ่งที่น่าละอายที่ทำอยู่เป็นนิจ และไม่พูดถึงสิ่งเหล่านั้นให้ใครฟังเลย เธอกลัวว่าเมื่อผู้คนมองเธอออก พวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ ตัดสิน และปฏิเสธเธอ อุปนิสัยนี้คืออะไร? นี่ไม่ใช่การหลอกลวงหรือ? (นี่คือการหลอกลวง) ดังนั้นไม่ว่าพฤติกรรมภายนอกของเธอจะถูกต้องเหมาะสมและน่าเคารพนับถือเพียงใด หรือความประพฤติทางศีลธรรมของเธอจะทรงเกียรติขนาดไหน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเธอก็มีอยู่จริง เพียงแต่ผู้ไม่เชื่อที่ไม่เคยฟังพระวจนะของพระเจ้าและไม่เข้าใจความจริงย่อมไม่สามารถเข้าใจหรือรู้ถึงการนี้ได้ เธออาจจะหลอกลวงผู้ไม่เชื่อได้ แต่เธอไม่สามารถหลอกลวงบรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าและผู้ที่เข้าใจความจริงได้ มิได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? (เป็นเช่นนั้น) นี่เป็นเพราะเธอตกอยู่ภายใต้ความเสื่อมทรามของซาตาน และเธอมีอุปนิสัยและแก่นแท้อันเสื่อมทราม นี่คือข้อเท็จจริง ไม่ว่าความประพฤติทางศีลธรรมของเธอจะน่าเอาเยี่ยงอย่างเพียงใด หรือเธอบรรลุมาตรฐานอันสูงส่งแค่ไหน ข้อเท็จจริงว่าเธอมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อผู้คนเข้าใจความจริง พวกเขาก็จะสามารถหยั่งรู้เธอตามสิ่งที่เธอเป็นได้ อย่างไรก็ตาม ซาตานฉวยประโยชน์จากคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมเพื่อชักพามนุษย์ให้หลงผิด และแน่นอนว่าเพื่อทำให้พวกเขาเกิดความมึนงงและจำกัดความคิดของพวกเขา ทำให้พวกเขาคิดแบบผิดๆ ว่าหากพวกเขาเป็นไปตามข้อพึงประสงค์และมาตรฐานด้านความประพฤติทางศีลธรรมเหล่านี้ พวกเขาก็คือคนดีและกำลังเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง อันที่จริงความเป็นจริงนั้นตรงกันข้าม ต่อให้คนบางคนแสดงพฤติกรรมที่ดีบางอย่างที่สอดคล้องกับคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรม พวกเขาก็ไม่ได้ออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต ในทางกลับกัน พวกเขาได้ออกเดินไปบนเส้นทางที่ผิดและกำลังใช้ชีวิตอยู่ในบาป พวกเขาได้ออกเดินไปบนเส้นทางแห่งความหน้าซื่อใจคด และตกลงสู่ตาข่ายของซาตาน นี่เป็นเพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของมนุษย์จะไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อยเพียงเพราะพวกเขามีความประพฤติทางศีลธรรมที่ดีอยู่บ้าง ความประพฤติทางศีลธรรมที่ภายนอกนั้นเป็นเพียงการตกแต่ง สิ่งนี้เป็นเพียงการแสดง และธรรมชาติที่แท้จริงกับอุปนิสัยที่แท้จริงของพวกเขาจะยังคงถูกเผยให้เห็น ซาตานเริ่มจำกัดและควบคุมผู้คนผ่านพฤติกรรมและการปรากฏที่ภายนอกของพวกเขา ทำให้ผู้คนอำพรางตัวและสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองด้วยพฤติกรรมที่ดี ขณะเดียวกันก็ใช้พฤติกรรมที่ดีของผู้คนเพื่อปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าซาตานได้ทำให้มนุษยชาติเสื่อมทราม และแน่นอนว่าเพื่อปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามด้วย ในแง่หนึ่งนั้น เป้าหมายของซาตานคือการทำให้ผู้คนตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมเหล่านี้เพื่อให้พวกเขาทำดีมากขึ้นและทำชั่วน้อยลง และไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นการต่อต้านชนชั้นปกครองอย่างเด็ดขาด สิ่งนี้เพิ่มประโยชน์ให้กับการปกครองและการควบคุมมนุษยชาติของชนชั้นปกครอง อีกแง่หนึ่งก็คือ หลังจากที่มนุษย์ยอมรับคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมว่าเป็นรากฐานทางทฤษฎีสำหรับการประพฤติและปฏิบัติตนของพวกเขา พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะต้านทานและออกห่างจากความจริงและสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงพระวจนะที่ตรัสโดยพระเจ้า รวมถึงสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกหรือความจริงที่พระเจ้าทรงสั่งสอนผู้คน สิ่งเหล่านั้นได้กลายเรื่องที่พวกเขาต่างดิ้นรนที่จะเข้าใจและทำความเข้าใจ หรือพวกเขาอาจจะเกิดการต้านทานและมโนคติอันหลงผิดทุกรูปแบบ เมื่อผู้คนถูกแนวคิดด้านความประพฤติทางศีลธรรมครอบงำ พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงได้ยากขึ้น และแน่นอนว่านี่ยังทำให้พวกเขาเข้าใจและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนยากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น คำกล่าวและแนวคิดทั้งหลายทั้งปวงด้านความประพฤติทางศีลธรรมจึงขัดขวางการยอมรับและการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าของผู้คนในระดับที่มีนัยสำคัญ และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ได้สร้างผลกระทบต่อขอบเขตในการยอมรับความจริงของผู้คนด้วย ซาตานใช้วิธีปลูกฝังคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมเหล่านี้แก่ผู้คนเพื่อทำให้พวกเขาเกิดแนวคิดและมุมมองที่ไม่เหมาะสมและเป็นลบทุกรูปแบบ พวกเขาจะได้มองดูผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และประพฤติปฏิบัติตนตามแนวคิดและมุมมองเหล่านี้ เมื่อผู้คนนำแนวคิดเบื้องหลังคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมเหล่านี้มาใช้เป็นรากฐานทางทฤษฎีและเป็นมาตรฐานในการมองดูผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมถึงการประพฤติและปฏิบัติตนของพวกเขา ไม่เพียงแต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะไม่สามารถลดลงหรือเปลี่ยนแปลงได้เท่านั้น แต่ในทางกลับกัน อุปนิสัยเหล่านั้นจะยิ่งร้ายแรงจนถึงระดับหนึ่ง อีกทั้งความเป็นกบฏและการต้านทานพระเจ้าของพวกเขาก็จะยิ่งแย่ลงไปด้วย ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอด เมื่อมีการจัดหาพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขา อุปสรรคใหญ่หลวงที่สุดจึงไม่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน ทว่าเป็นปรัชญาเยี่ยงซาตาน คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมต่างๆ รวมถึงแนวคิดและทัศนะเยี่ยงซาตานนานาประการอันมาจากซาตาน นี่คือผลของการที่ซาตานทำให้มนุษยชาติเสื่อมทราม และเป็นผลกระทบทางลบที่คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมนานาประการมีต่อมนุษย์ผู้เสื่อมทราม นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงที่ซาตานต้องการบรรลุจากการประกาศและสนับสนุนคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรม
ในการชุมนุมครั้งก่อนของพวกเรา หลักๆ แล้วพวกเราได้สามัคคีธรรมถึงคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมสามประการ นั่นคือ “น้ำใจหนึ่งหยดควรได้รับการตอบแทนด้วยน้ำพุอันพวยพุ่ง” “อย่ายัดเยียดสิ่งที่ตัวเจ้าไม่ต้องการให้ผู้อื่น” และ “ฉันจะรับกระสุนแทนเพื่อน” วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงคำว่า “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ” นี่เป็นคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมที่ปรากฏอยู่ท่ามกลางมนุษยชาติเช่นกัน ซึ่งมาจากแนวคิดและทัศนะของมนุษย์ผู้เสื่อมทราม แน่นอนว่าโดยแท้แล้วสิ่งนี้เกิดจากการชักพามนุษย์ให้หลงผิดและความเสื่อมทรามของซาตานเสียมากกว่า สิ่งนี้มีผลกระทบและธรรมชาติแบบเดียวกับคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะมีวิธีการที่ต่างกันก็ตาม คำกล่าวเหล่านี้เป็นถ้อยแถลงที่หนักแน่นและยิ่งใหญ่คล้ายกัน เป็นคำที่ช่างแรงกล้า ร้อนแรง และหาญกล้า หากผู้คนไม่เคยฟังพระวจนะของพระเจ้าและไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจะรู้สึกว่าถ้อยแถลงเหล่านี้ช่างปลุกใจและทำให้เลือดลมสูบฉีดอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ พวกเขาก็จะรู้สึกมีอำนาจและกำหมัดขึ้นมาทันที พวกเขาจะไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ หรือกักเก็บอารมณ์ตื่นเต้นภายในไว้ได้อีกต่อไป และจะรู้สึกว่านี่คือวัฒนธรรมจีนและจิตวิญญาณแห่งมังกร ขณะนี้พวกเจ้ายังคงรู้สึกเช่นนี้อยู่หรือไม่? (ไม่) ตอนนี้เมื่อพวกเจ้าได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร? (ตอนนี้ข้าพระองค์รู้สึกว่าคำกล่าวเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือเป็นบวก) เหตุใดตอนนี้เจ้าจึงรู้สึกต่างออกไปเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้? นี่เป็นเพราะเมื่อผู้คนอายุมากขึ้นและก้าวผ่านความทุกข์มามากมาย พวกเขาก็สูญเสียความกระฉับกระเฉงอันอ่อนเยาว์และหุนหันพลันแล่นไปงั้นหรือ? หรือเป็นเพราะเมื่อผู้คนได้มาเข้าใจความจริงบางอย่าง พวกเขาก็แยกแยะได้ว่าคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมเหล่านี้ช่างว่างเปล่า ไม่สมจริง และไร้ประโยชน์เหลือเกิน? (โดยหลักก็คือ คำกล่าวเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับความจริงและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง) อันที่จริงคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมเหล่านี้ว่างเปล่าและไม่สมจริงเกินไป เพราะฉะนั้นสำหรับคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมที่ว่า “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ” พวกเรามาวิเคราะห์และชำแหละกันเถิดว่าคำกล่าวนี้เป็นปัญหาอย่างไรโดยพิจารณาตามหลักธรรมที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงก่อนหน้านี้ เพื่อเปิดโปงความไร้สาระของคำกล่าวนี้ รวมถึงอุบายเจ้าเล่ห์ของซาตานที่ซ่อนอยู่ในคำกล่าวนี้โดยเฉพาะ พวกเจ้ารู้วิธีชำแหละคำกล่าวนี้หรือไม่? บอกเราทีว่า ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่ (คำกล่าวเหล่านี้เป็นหลักเกณฑ์สามประการที่นำเสนอโดยเม่งจื๊อ ในการกลายเป็นผู้ชายอกสามศอก การตีความสมัยใหม่ก็คือ ความรุ่งโรจน์และความร่ำรวยไม่อาจก่อกวนความแน่วแน่ ความยากจนและสถานการณ์ที่ต่ำต้อยไม่อาจเปลี่ยนแปลงเจตจำนงอันแรงกล้า และการคุกคามของอำนาจกับความรุนแรงก็ไม่อาจทำให้คนเรานบนอบได้) คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมที่พวกเราพูดถึงก่อนหน้านี้ ที่ว่า—“ผู้หญิงต้องเป็นกุลสตรี จิตใจดี อ่อนโยน และมีศีลธรรม”—มุ่งเป้าไปที่ผู้หญิง แต่คำกล่าวนี้เห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้าไปที่ผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่รุ่งโรจน์และร่ำรวย หรือเป็นรูปการณ์แวดล้อมที่ยากจนข้นแค้น หรือเป็นการเผชิญหน้ากับอำนาจและความรุนแรง ข้อพึงประสงค์ทั้งหลายก็มีต่อผู้ชายในสภาพแวดล้อมทุกรูปแบบ เบ็ดเสร็จแล้วข้อพึงประสงค์ที่มีต่อผู้ชายมีกี่ประการ? ผู้ชายพึงต้องมีเจตจำนงแรงกล้า มีความแน่วแน่ที่ไม่ย่อท้อ และไม่ลดราวาศอกเมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจและความรุนแรง คิดดูเถิดว่าข้อพึงประสงค์ที่นำเสนอมานี้คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่ และสิ่งเหล่านี้คำนึงถึงสภาพแวดล้อมในชีวิตจริงที่ผู้คนดำรงชีวิตอยู่หรือไม่ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ลองคิดดูว่าข้อพึงประสงค์ที่มีต่อผู้ชายนี้ว่างเปล่าและไม่สมจริงหรือไม่ ข้อพึงประสงค์ของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีต่อความประพฤติทางศีลธรรมของผู้หญิงก็คือ ผู้หญิงต้องเป็นกุลสตรี จิตใจดี อ่อนโยน และมีศีลธรรม คำว่า “กุลสตรี” หมายถึงการมีคุณสมบัติที่ดีของสตรี “จิตใจดี” หมายถึงการเป็นคนใจดี “อ่อนโยน” หมายถึงการเป็นสุภาพสตรี และ “มีศีลธรรม” หมายถึงการเป็นคนที่มีศีลธรรมและมีความประพฤติทางศีลธรรมที่ดี ข้อพึงประสงค์แต่ละข้อนี้อยู่ในระดับปานกลาง ผู้ชายไม่จำเป็นต้องเป็นสุภาพบุรุษ จิตใจดี อ่อนโยน หรือมีศีลธรรม ขณะที่ผู้หญิงก็ไม่จำเป็นต้องมีเจตจำนงแรงกล้าและมีความแน่วแน่ที่ไม่ย่อท้อ และสามารถโอนอ่อนได้ในยามที่พวกเธอเผชิญกับอำนาจและความรุนแรง กล่าวคือ ข้อพึงประสงค์เกี่ยวกับความประพฤติทางศีลธรรมที่ว่า “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ” ได้มอบทางเลี่ยงที่มากพอให้แก่ผู้หญิง ตราบเท่าที่สิ่งนี้เป็นการผ่อนปรนและคำนึงถึงพวกเธอเป็นพิเศษ คำว่าการผ่อนปรนและการคำนึงถึงในที่นี้หมายความว่าอย่างไร? สองสิ่งนี้สามารถถูกเข้าใจเป็นอื่นได้หรือไม่? (สองสิ่งนี้เป็นการเลือกปฏิบัติรูปแบบหนึ่ง) เราก็คิดเช่นนั้น ข้อเท็จจริงคือนี่เป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง ความเชื่อที่ว่าผู้หญิงไม่มีพลังใจที่แรงกล้า ว่าพวกเธอตาขาว ขี้อาย และเชื่อว่าการคาดหวังให้พวกเธอให้กำเนิดบุตร เอาใจใส่สามีและเลี้ยงดูบุตร ดูแลงานบ้าน และไม่ทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่นหรือซุบซิบนินทาก็เพียงพอแล้ว การพึงให้พวกเธอสร้างอาชีพและมีเจตจำนงแรงกล้าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้—พวกเธอไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นเมื่อมองจากอีกมุมมองหนึ่ง ข้อพึงประสงค์ที่มีต่อผู้หญิงจึงเป็นการเลือกปฏิบัติและเป็นการดูหมิ่นอย่างแท้จริง คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมที่ว่า “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ” จึงพุ่งเป้าไปที่ผู้ชาย คำกล่าวนี้พึงให้ผู้ชายมีเจตจำนงแรงกล้าและมีความแน่วแน่ที่ไม่หยุดยั้ง รวมถึงมีจิตวิญญาณแบบลูกผู้ชายและมีความแข็งแกร่งที่ไม่ลดราวาศอกให้กับอำนาจและความรุนแรง ข้อพึงประสงค์นี้ถูกต้องหรือไม่? สิ่งนี้สมเหตุสมผลหรือไม่? ข้อพึงประสงค์ที่มีต่อผู้ชายนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่นำเสนอคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมนี้ยกย่องผู้ชาย เพราะข้อพึงประสงค์ที่พวกเขามีต่อผู้ชายนั้นสูงส่งกว่าที่มีต่อผู้หญิง สิ่งนี้สามารถเข้าใจได้ว่า นี่หมายความว่าในแง่ของทั้งแก่นแท้ด้านเพศของพวกเขา รวมถึงสถานะทางสังคมของพวกเขาและสัญชาตญาณของผู้ชายนั้น ผู้ชายควรอยู่เหนือผู้หญิง คำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมนี้เกิดขึ้นจากมุมมองเช่นนี้ใช่หรือไม่? (ใช่) เห็นได้ชัดว่านี่เป็นผลผลิตของสังคมที่ผู้ชายและผู้หญิงไม่เท่าเทียมกัน ในสังคมนี้ ผู้ชายยังคงเลือกปฏิบัติและดูหมิ่นผู้หญิงต่อไป จำกัดขอบเขตชีวิตของผู้หญิง เพิกเฉยต่อคุณค่าในการดำรงอยู่ของผู้หญิง ให้คุณค่าตัวเองเกินจริงตลอดเวลา ยกระดับสถานะทางสังคมของตัวเอง และปล่อยให้ตัวเองมีสิทธิเหนือผู้หญิงเหล่านั้น ผลกระทบและผลที่ตามมาของสังคมเช่นนี้คืออะไร? สังคมเช่นนี้ถูกควบคุมและปกครองโดยผู้ชาย นี่คือสังคมชายเป็นใหญ่ที่ผู้หญิงควรอยู่ภายใต้ความเป็นผู้นำ การกดขี่ และการควบคุมของผู้ชาย ในขณะที่ผู้ชายสามารถเข้าทำงานในงานสายใดก็ได้ แต่ขอบเขตอาชีพที่ผู้หญิงสามารถทำได้ควรลดลงและถูกจำกัด ผู้ชายควรชื่นชมสิทธิทุกอย่างในสังคมได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ขอบเขตของสิทธิที่ผู้หญิงชื่นชมได้ย่อมมีจำกัดอย่างแน่นอน งานที่ผู้ชายไม่ต้องการหรือไม่เลือกที่จะทำ หรืองานที่ทำให้พวกเขาถูกเลือกปฏิบัติหากเข้าไปทำก็สามารถทิ้งให้ผู้หญิงทำได้ ตัวอย่างเช่น การทำงานซักรีด ทำอาหาร อุตสาหกรรมการบริการ รวมถึงอาชีพบางอย่างที่มีรายได้ค่อนข้างต่ำและมีสถานะทางสังคมที่ต่ำต้อย หรือเป็นสิ่งที่ผู้คนเลือกปฏิบัติ สิ่งนั้นย่อมถูกสงวนไว้สำหรับผู้หญิง อีกนัยหนึ่งก็คือ ในแง่ตัวเลือกทางอาชีพและสถานะทางสังคม ผู้ชายสามารถชื่นชมสิทธิของตนในฐานะผู้ชายได้อย่างเต็มที่ และสามารถชื่นชมสิทธิพิเศษที่สังคมมอบให้ผู้ชายได้ ในสังคมเช่นนั้น ผู้ชายย่อมมาก่อน ขณะที่ผู้หญิงเป็นชนชั้นสอง จนถึงจุดที่พวกเธอไม่มีอิสระใดๆ ให้เลือกเลย ทั้งยังไม่มีสิทธิ์เลือกเสียด้วยซ้ำ พวกเธอทำได้เพียงรออย่างนิ่งเฉยให้ถูกเลือก และท้ายที่สุดก็ถูกสังคมนี้ปฏิเสธและขับออก เพราะฉะนั้นข้อพึงประสงค์ที่สังคมนี้มีต่อผู้หญิงจึงค่อนข้างอยู่ในระดับปานกลาง แต่ข้อพึงประสงค์ที่มีต่อผู้ชายนั้นค่อนข้างเข้มงวดและกร้าวกระด้าง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าข้อพึงประสงค์เหล่านั้นมุ่งเป้าไปที่ผู้ชายหรือผู้หญิง แรงจูงใจและเป้าหมายในการนำเสนอข้อพึงประสงค์ด้านความประพฤติทางศีลธรรมเหล่านี้ก็คือเพื่อทำให้ผู้คนรับใช้สังคม ชนชาติ ประเทศ และแน่นอนว่าท้ายที่สุดก็คือรับใช้ชนชั้นปกครองและผู้ปกครองทั้งหลายให้ดีขึ้น จากคำกล่าวที่ว่า “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ” ย่อมเห็นได้อย่างง่ายดายว่าคนที่นำเสนอข้อพึงประสงค์ด้านความประพฤติทางศีลธรรมนี้มีอคติต่อผู้ชาย ในสายตาของคนคนนั้น ผู้ชายต้องมีเจตจำนงแรงกล้า มีความแน่วแน่ที่ไม่ย่อท้อ และมีจิตวิญญาณที่ไม่ลดราวาศอกให้กับอำนาจและความรุนแรง จากข้อพึงประสงค์เหล่านี้ เจ้าสามารถเห็นได้หรือไม่ว่าจุดมุ่งหมายของคนที่นำเสนอคำกล่าวนี้คืออะไร? ก็คือเพื่อทำให้ผู้ชายที่มีประโยชน์และผู้ชายที่มีเจตจำนงแรงกล้าในสังคมนี้สามารถรับใช้สังคม ชนชาติ และประเทศชาติได้ดีขึ้น และท้ายที่สุดคือสามารถรับใช้เหล่าผู้มีอำนาจได้ดีขึ้น รวมถึงมอบคุณค่าและทำหน้าที่ของผู้ชายที่มีต่อสังคม ผู้ชายเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่าผู้ชายอกสามศอก หากผู้ชายไม่เป็นไปตามข้อพึงประสงค์เหล่านี้ เช่นนั้นแล้วในสายตาของนักศีลธรรมและนักปกครองเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่เรียกว่าเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก แต่สามารถเรียกว่าเป็นคนธรรมดาสามัญและเป็นคนชั้นต่ำ และจะได้แต่ถูกเลือกปฏิบัติเท่านั้น กล่าวคือ หากชายคนหนึ่งไม่มีเจตจำนงแรงกล้า ความแน่วแน่ที่ไม่ย่อท้อ และจิตวิญญาณที่ไม่ลดราวาศอกให้กับอำนาจและความรุนแรงดั่งที่พวกเขาประสงค์ แต่กลับเป็นเพียงคนธรรมดาดาษดื่นที่ไม่ประสบความสำเร็จอะไร และทำได้เพียงใช้ชีวิตของตัวเอง ทั้งยังไม่สามารถมอบคุณค่าของเขาให้แก่สังคม ชนชาติ และประเทศ และไม่สามารถรับมอบหมายตำแหน่งที่สำคัญจากผู้ปกครอง ประเทศหรือชนชาติได้ เช่นนั้นแล้ว คนคนนั้นจะไม่ได้รับการยอมรับและให้ค่าจากสังคม และเขาจะไม่ได้รับการให้ค่าจากบรรดาผู้มีอำนาจ อีกทั้งเขาจะถูกเหล่าผู้ปกครองหรือนักศีลธรรมเหล่านี้มองว่าเป็นคนธรรมดา เป็นคนชั้นต่ำ และเป็นคนเลวทรามในหมู่ผู้ชาย มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ? (เป็นเช่นนี้) พวกเจ้าเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้หรือไม่? คำกล่าวนี้เหมาะสมหรือไม่? สิ่งนี้เป็นธรรมกับผู้ชายหรือไม่? (ไม่ สิ่งนี้ไม่เป็นธรรม) ผู้ชายต้องตั้งเป้าหมายของพวกเขาไว้ที่โลกทั้งใบ ประเทศชาติ และภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงต่อชนชาติอย่างนั้นหรือ? พวกเขาไม่สามารถเป็นผู้ชายกตัญญูธรรมดาๆ ได้หรือ? พวกเขาไม่สามารถร้องไห้ ป่วยใจ แอบซ่อนเร้นแรงจูงใจอันเห็นแก่ตัว หรือใช้ชีวิตเรียบง่ายเคียงคู่กับคนที่พวกเขารักได้หรือ? พวกเขาต้องมีโลกอยู่ในสายตาเพื่อให้ถูกมองว่าเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกงั้นหรือ? พวกเขาต้องถูกเรียกว่าเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกถึงจะถือว่าเป็นผู้ชายหรือ? นิยามของคำว่าผู้ชายคือเจ้าต้องเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) แนวคิดเหล่านี้เป็นการดูถูกผู้ชาย สิ่งเหล่านี้เทียบเท่ากับการโจมตีผู้ชายเป็นการส่วนตัว พวกเจ้าก็รู้สึกเช่นเดียวกันใช่หรือไม่? (ใช่) การที่ผู้ชายไม่มีเจตจำนงแรงกล้าเป็นเรื่องที่รับได้หรือไม่? การที่ผู้ชายไม่มีความแน่วแน่ที่ไม่ย่อท้อเป็นเรื่องที่รับได้หรือไม่? เมื่อผู้ชายเผชิญหน้ากับอำนาจและความรุนแรง การที่พวกเขาจะลดราวาศอกและหาทางประนีประนอมเพื่อเอาตัวรอดเป็นเรื่องที่รับได้หรือไม่? (เป็นเรื่องที่รับได้) การที่ผู้ชายไม่มีในสิ่งที่ผู้หญิงไม่มีเช่นเดียวกันเป็นเรื่องที่รับได้หรือไม่? การที่ผู้ชายให้ตัวเองได้หยุดพักด้วยการไม่ทำตัวเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก ทว่าเป็นเพียงผู้ชายธรรมดานั้นเป็นเรื่องที่รับได้หรือไม่? (เป็นเรื่องที่รับได้) เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คนย่อมจะรู้สึกปลดเปลื้อง เส้นทางของการเป็นผู้ชายจะกว้างไกล และผู้ชายจะไม่เหน็ดเหนื่อยกับชีวิตมากนัก แต่จะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ยังมีอีกหลายประเทศที่แนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่าง “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ” จำกัดผู้ชาย ประเทศเหล่านี้ยังคงเป็นสังคมปิตาธิปไตยที่ผู้ชายเป็นผู้ตัดสินใจและมีอำนาจสูงสุด จากครอบครัวสู่สังคม และไปสู่ส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งยังมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งจากทั้งหมด เป็นคนที่ชนะในทุกๆ สถานการณ์ และมีสำนึกของความเหนือกว่าในทุกด้าน ในขณะเดียวกัน สังคม ชนชาติ และประเทศเช่นนั้นก็มีข้อพึงประสงค์ที่สูงส่งต่อผู้ชาย ซึ่งเป็นการสร้างความกดดันอย่างหนักให้พวกเขาและก่อให้เกิดผลร้ายมากมายตามมา ผู้ชายบางคนที่ตกงานไม่กล้าแม้กระทั่งจะบอกครอบครัวของตัวเอง พวกเขาแสร้งทำเป็นหิ้วกระเป๋าออกไปทำงานวันแล้ววันเล่า แต่ที่จริงพวกเขาแค่ออกไปเดินล่องลอยอยู่ข้างถนน บางครั้งพวกเขาก็กลับบ้านดึก และถึงกับโกหกคนในครอบครัวว่าพวกเขาทำงานล่วงเวลาอยู่ที่ทำงาน แล้วในวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็ยังคงแสร้งทำด้วยการกลับไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างถนน แนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิม รวมถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและตำแหน่งในสังคมของผู้ชายเป็นต้นกำเนิดของความกดดันและถึงกับเป็นความอับอาย ทั้งยังเป็นการบิดเบือนความเป็นมนุษย์ของผู้ชาย จนทำให้ผู้ชายหลายคนรู้สึกกลุ้มใจ หดหู่ และจวนเจียนจะเสียสติอยู่บ่อยครั้งเมื่อพวกเขาถูกความลำบากยากเย็นเข้ามารุมเร้า เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เพราะพวกเขาคิดว่าตนเองเป็นผู้ชาย คิดว่าผู้ชายควรหาเงินมาจุนเจือครอบครัวตัวเอง และคิดว่าพวกเขาควรลุล่วงความรับผิดชอบของตนในฐานะผู้ชาย คิดว่าผู้ชายไม่ควรร้องไห้หรือโศกเศร้า และคิดว่าผู้ชายไม่ควรตกงาน แต่ควรเป็นกระดูกสันหลังของสังคม และเป็นเสาหลักของครอบครัว ดังที่ผู้ไม่เชื่อกล่าวว่า “ผู้ชายไม่ร้องไห้ง่ายๆ” ผู้ชายไม่ควรมีความอ่อนแอ และไม่ควรมีข้อเสียใดทั้งสิ้น แนวคิดและทัศนะเช่นนี้เกิดจากการที่ผู้ชายถูกจำกัดแบบผิดๆ จากนักศีลธรรมทั้งหลาย รวมถึงเกิดจากการที่คนเหล่านั้นยกชูสถานะของผู้ชายอยู่ไม่ว่างเว้น แนวคิดและทัศนะเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ และความปวดรวดร้าวทุกรูปแบบให้ผู้ชายเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นโซ่ตรวนภายในใจของพวกเขา ทำให้ตำแหน่ง สถานการณ์ และการเผชิญหน้าในสังคมของพวกเขากระอักกระอ่วนมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย เมื่อความกดดันที่มีต่อผู้ชายเพิ่มมากขึ้น ผลกระทบด้านลบที่มีต่อผู้ชายจากแนวคิดและทัศนะเหล่านี้ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ผู้ชายบางคนถึงกับจัดว่าตนเองเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่จากการตีความตำแหน่งในสังคมของเพศชายแบบผิดๆ คิดไปว่าเพศชายนั้นเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่และเพศหญิงเป็นสาวน้อย เพราะฉะนั้นผู้ชายจึงต้องเป็นฝ่ายนำในทุกสิ่งและเป็นนายใหญ่ของบ้าน และเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดี พวกเขาก็สามารถใช้ความรุนแรงในครอบครัวกับผู้หญิงได้ ปัญหาเหล่านี้ล้วนแต่สัมพันธ์กับการที่เพศชายถูกมนุษยชาติจำกัดแบบผิดๆ มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ? (เป็นเช่นนี้) เจ้าสามารถเห็นได้ว่าในประเทศส่วนใหญ่บนโลกนี้ ผู้ชายมีสถานะทางสังคมที่สูงกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัว ผู้ชายไม่ต้องทำสิ่งใดนอกจากออกไปทำงานและหาเงิน ในขณะที่ผู้หญิงทำงานบ้านงานเรือนทั้งหมด และไม่สามารถโต้แย้งหรือพร่ำบ่นได้ หรือไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ผู้อื่นฟัง ไม่ว่านั่นเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยหรือยากลำบากเพียงใดก็ตาม สถานะของผู้หญิงต่ำต้อยถึงระดับใดหรือ? ตัวอย่างเช่น ผู้ชายได้เลือกอาหารที่อร่อยที่สุดบนโต๊ะอาหารก่อน ขณะที่ผู้หญิงเป็นอันดับสอง และในทะเบียนบ้าน ผู้ชายก็ถูกบันทึกว่าเป็นเจ้าบ้าน และผู้หญิงเป็นลูกบ้าน แค่จากเรื่องสัพเพเหระเหล่านี้ พวกเราก็สามารถเห็นถึงความต่างของสถานะระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงได้แล้ว การแบ่งงานระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงนั้นต่างออกไปเพราะความแตกต่างทางเพศ แต่การที่สถานะในครอบครัวของผู้ชายกับผู้หญิงแตกต่างกันมาก นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เป็นธรรมหรอกหรือ? สิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากการศึกษาในวัฒนธรรมดั้งเดิมหรือ? ในสังคม ไม่เพียงแต่ผู้หญิงคิดว่าผู้ชายโดดเด่นและสูงส่งกว่าเท่านั้น แม้กระทั่งผู้ชายเองก็คิดว่าพวกเขาสูงส่งและอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับผู้หญิงเช่นกัน เพราะผู้ชายสามารถสร้างคุณค่าได้มากกว่า และใช้ความสามารถของพวกเขาสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่าต่อสังคม ต่อชนชาติ และต่อประเทศ ขณะที่ผู้หญิงไม่สามารถทำได้ นี่ไม่ใช่การบิดเบือนข้อเท็จจริงหรอกหรือ? การบิดเบือนข้อเท็จจริงเช่นนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? สิ่งนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการปลูกฝังและอิทธิพลของการศึกษาในสังคมและวัฒนธรรมดั้งเดิมใช่หรือไม่? (ใช่) สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาของวัฒนธรรมดั้งเดิมโดยตรง ในหมู่มนุษยชาติ ไม่ว่าในสังคมจริง ในชนชาติหรือในประเทศ ไม่ว่ามีปัญหาอันผิดวิสัยใดเกิดขึ้น ปัญหาเหล่านั้นก็ล้วนเกิดจากแนวคิดที่ไม่ถูกต้องไม่กี่ประการที่นักศีลธรรมและนักปกครองให้การสนับสนุน ทั้งยังสัมพันธ์โดยตรงกับแนวคิดผิดๆ ที่ผู้นำสังคม ชนชาติ หรือประเทศให้การสนับสนุน หากแนวคิดและทัศนะที่พวกเขาสนับสนุนเป็นบวกมากกว่านี้ และใกล้เคียงกับความจริง เช่นนั้นแล้วปัญหาในหมู่มนุษยชาติก็จะค่อนข้างน้อยลง หากแนวคิดที่พวกเขาสนับสนุนถูกบิดเบือนและเป็นตัวแทนแบบผิดๆ ของความเป็นมนุษย์ เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่ผิดวิสัยมากมายย่อมจะเกิดขึ้นในสังคม ในกลุ่มชาติพันธุ์ หรือในประเทศ หากนักสังคมวิทยาสนับสนุนสิทธิของผู้ชาย ยกชูคุณค่าของผู้ชาย และกดคุณค่ากับศักดิ์ศรีของผู้หญิง เช่นนั้นแล้วในสังคมนี้ สถานะทางสังคมระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงก็ย่อมต่างกันมากอย่างเห็นได้ชัด พร้อมด้วยความไม่เท่าเทียมนานาประการ อย่างเช่น ความไม่เท่าเทียมทางอาชีพ สถานะทางสังคม สวัสดิการทางสังคม รวมถึงความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงของสถานะของเพศทั้งหลายในครอบครัว และการแบ่งงานที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง—สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ผิดวิสัย การเกิดขึ้นของปัญหาอันผิดวิสัยเกี่ยวข้องกับคนที่สนับสนุนแนวคิดและทัศนะเหล่านี้ และเกิดขึ้นจากนักการเมืองและนักสังคมวิทยาเหล่านี้ หากมนุษยชาติมีมุมมองที่ถูกต้อง และมีคำกล่าวที่ถูกต้องในเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่แรก ปัญหาอันผิดวิสัยทั้งหลายในประเทศหรือชนชาติต่างๆ คงจะลดลงไปพอสมควร
จากสิ่งที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปนั้น มุมมองที่ถูกต้องในการปฏิบัติต่อผู้ชายควรเป็นเช่นไร? ในการที่ผู้ชายจะเป็นปกตินั้น พวกเขาควรมีพฤติกรรม ความเป็นมนุษย์ การไล่ตามเสาะหา และสถานะทางสังคมแบบใด? ผู้ชายควรเข้าหาความรับผิดชอบทางสังคมของพวกเขาอย่างไร? นอกจากความแตกต่างทางเพศแล้ว ในแง่ความรับผิดชอบทางสังคมและสถานะทางสังคม ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงควรมีความแตกต่างอยู่หรือไม่? (ไม่ ไม่ควรมี) แล้วผู้ชายควรได้รับการปฏิบัติในหนทางที่ถูกต้อง เป็นจริง มีมนุษยธรรม และตรงตามหลักธรรมความจริงอย่างไร? นี่เองเป็นสิ่งที่พวกเราควรเข้าใจในเวลานี้ เช่นนั้นพวกเรามาพูดถึงกันเถิดว่า ผู้ชายควรได้รับการปฏิบัติอย่างไรกันแน่ ความรับผิดชอบทางสังคมของผู้ชายและผู้หญิงควรแบ่งแยกกันหรือไม่? ผู้ชายและผู้หญิงควรมีสถานะทางสังคมที่เท่าเทียมกันหรือไม่? การยกชูสถานะทางสังคมของผู้ชายและลดความสำคัญของผู้หญิงจนเกินควรนั้นเป็นธรรมหรือไม่? (ไม่ สิ่งนี้ไม่เป็นธรรม) แล้วสถานะทางสังคมของผู้ชายกับผู้หญิงควรจัดการในหนทางที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผลอย่างไรกันแน่? หลักธรรมของการนี้คืออะไร? (คือผู้ชายกับผู้หญิงเท่าเทียมกัน และควรได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม) การปฏิบัติอย่างเป็นธรรมเป็นรากฐานทางทฤษฎี แต่สิ่งนี้ควรนำไปปฏิบัติอย่างไรในหนทางที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นธรรมและความมีเหตุผล? สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรอกหรือ? ก่อนอื่น พวกเราต้องกำหนดว่าสถานะของผู้ชายกับผู้หญิงนั้นเท่าเทียมกัน—นี่คือเรื่องที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ เพราะฉะนั้น การแบ่งงานในสังคมระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงก็ควรเท่าเทียมกัน และควรพิจารณาและจัดการเตรียมการตามขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานนั้นๆ ของพวกเขา ความเท่าเทียมเป็นสิ่งที่ควรมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน ตราบเท่าที่ผู้หญิงควรได้ชื่นชมสิ่งที่ผู้ชายชื่นชมเช่นกัน เพื่อเป็นการรับประกันสถานะที่เท่าเทียมกันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงในสังคม ผู้ใดที่สามารถทำงานนั้นได้ หรือผู้ใดที่มีความสามารถในการเป็นผู้นำก็ควรได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้น ไม่ว่าพวกเขาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม เจ้าคิดอย่างไรกับหลักธรรมข้อนี้? (เป็นหลักธรรมที่ดี) สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเท่าเทียมระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ตัวอย่างเช่น หากมีผู้ชายสองคนกับผู้หญิงสองคนมาสมัครงานเป็นนักดับเพลิง ใครควรได้รับการว่าจ้าง? การปฏิบัติอย่างเป็นธรรมนั้นเป็นรากฐานทางทฤษฎีและหลักปฏิบัติ เช่นนั้นแล้ว อันที่จริงคนเราควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร? ดังที่เราเพิ่งกล่าวไปว่า ปล่อยให้คนที่เหมาะสมกับงานได้ทำงานนี้ตามความสามารถและขีดความสามารถของพวกเขา จงเลือกตามหลักธรรมข้อนี้ ดูว่าในบรรดาผู้สมัคร ใครที่มีรูปร่างเหมาะสมและไม่งุ่มง่าม การดับเพลิงเป็นเรื่องของการปฏิบัติด้วยความว่องไวในภาวะฉุกเฉิน หากเจ้างุ่มง่าม หัวทึบ และเอื่อยเฉื่อยเกินไปราวกับเต่าหรือวัวแก่ เจ้าย่อมจะทำให้สิ่งต่างๆ ล่าช้า หลังสืบค้นลักษณะนิสัยของผู้สมัครแต่ละคนแล้ว ในแง่ของขีดความสามารถ ความสามารถ ประสบการณ์ ระดับของทักษะในงานดับเพลิงของพวกเขา และอื่นๆ บทสรุปที่ได้ก็คือ ผู้ชายหนึ่งคนกับผู้หญิงหนึ่งคนเป็นผู้ที่ค่อนข้างเหมาะสม ผู้ชายนั้นตัวสูง ร่างกายแข็งแรง มีประสบการณ์ในการดับเพลิง และเคยเข้าร่วมดับเพลิงและปฏิบัติการช่วยชีวิตมากมาย ส่วนผู้หญิงเป็นคนคล่องแคล่ว เคยผ่านการฝึกฝนที่เข้มงวด มีความรู้เกี่ยวกับการดับเพลิงและกระบวนการต่างๆ ในงานที่เกี่ยวข้อง มีขีดความสามารถ ทั้งยังเป็นคนที่โดดเด่นในงานอื่นๆ และได้รับรางวัลมา เพราะฉะนั้น ท้ายที่สุดพวกเขาสองคนจึงได้รับเลือก สิ่งนั้นถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) สิ่งนี้เรียกว่าการเลือกเพชรยอดมงกุฏโดยไม่แสดงความโปรดปรานต่อคนใดคนหนึ่ง นี่หมายถึงการไม่มีกฎเกณฑ์ในใจว่าพวกเขาต้องเป็นชายหรือหญิงเวลาที่เลือกคนประเภทนี้—ผู้ชายและผู้หญิงล้วนเหมือนกัน และผู้ใดที่เหมาะสมกับงานก็จะได้ทำงานนั้น ด้วยเหตุนี้ ในยามที่ตัดสินใจว่าจะเลือกผู้ชายหรือผู้หญิงมาทำอะไรบางอย่าง นอกจากหลักธรรมในการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด การนำหลักธรรมอันเฉพาะเจาะจงไปปฏิบัติก็เป็นไปเพื่อให้คนที่มีความสามารถและเหมาะสมกับงานได้ทำงานนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม ด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าย่อมไม่ถูกบีบคั้นหรือผูกมัดจากแนวคิดที่ว่า “ผู้ชายเหนือกว่าผู้หญิง” อีกต่อไป และจะไม่มีแนวคิดล้าหลังใดๆ ส่งผลต่อการตัดสินของเจ้าหรือทางเลือกของเจ้าในเรื่องนี้ จากมุมมองของเจ้า ผู้ใดก็ตามที่เหมาะสมกับงานก็ควรได้รับอนุญาตให้ทำงานนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ชายหรือเป็นผู้หญิง—นั่นไม่ใช่การทำตัวเป็นธรรมหรอกหรือ? สิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้าไม่มีอคติต่อผู้ชายหรือผู้หญิงเวลาที่รับมือกับเรื่องเรื่องหนึ่ง เจ้าเชื่อว่ามีผู้หญิงที่โดดเด่นและมีความสามารถพิเศษอยู่มากมาย และเจ้าก็รู้จักคนเช่นนั้นอยู่หลายคนทีเดียว เพราะฉะนั้น ความเข้าใจเชิงลึกของเจ้าจึงโน้มน้าวเจ้าให้เชื่อว่าความสามารถในการทำงานของผู้หญิงไม่ด้อยไปกว่าผู้ชาย และคุณค่าที่ผู้หญิงมอบให้สังคมก็ไม่ได้น้อยไปกว่าผู้ชาย เมื่อเจ้ามีความเข้าใจเชิงลึกและมีความเข้าใจนี้ เมื่อไรก็ตามที่เจ้ากระทำการในอนาคต เจ้าย่อมจะตัดสินและเลือกได้อย่างถูกต้องตามข้อเท็จจริงนี้ อีกนัยหนึ่งก็คือ หากเจ้าไม่แสดงความโปรดปรานต่อใครคนหนึ่งและไม่มีอคติทางเพศ เช่นนั้นความเป็นมนุษย์ของเจ้าในเรื่องนี้จะค่อนข้างเป็นปกติ และเจ้าจะสามารถปฏิบัติตนได้อย่างเป็นธรรม ข้อห้ามทางวัฒนธรรมดั้งเดิมในแง่ที่ผู้ชายถูกมองว่าเหนือกว่าผู้หญิงย่อมจะถูกยกออกไป ความคิดของเจ้าจะไม่ถูกจำกัดอีกต่อไป และเจ้าจะไม่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมดั้งเดิมในแง่มุมนี้อีกต่อไป ไม่ว่ากระแสของความคิดหรือระเบียบแบบแผนใดแพร่หลายในสังคม โดยสรุปคือเจ้าย่อมจะก้าวข้ามระเบียบแบบแผนเหล่านี้ไปแล้ว และจะไม่ถูกจำกัดและได้รับอิทธิพลจากสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป และเจ้าจะสามารถเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงและความจริงได้ แน่นอนว่าสิ่งที่ดียิ่งกว่านั้นก็คือ เจ้าจะสามารถมองดูผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ประพฤติตน และปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าและตามหลักธรรมความจริงได้ ซึ่งผลก็คือ แนวคิดและทัศนะที่ว่า “ผู้ชายต้องเป็นชายชาตรีและแข็งแรงกำยำ แต่ผู้หญิงนั้นขี้อาย” ย่อมไม่มีอยู่มากเท่าที่เจ้ากังวล เพราะฉะนั้น ความคิดและทัศนะของเจ้าจึงค่อนข้างก้าวหน้าในหมู่มนุษย์ใช่หรือไม่? (ใช่) กล่าวได้ว่านี่เป็นสิ่งที่ก้าวหน้า ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง เยาว์วัยหรือสูงอายุ ทุกคนสามารถได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมเมื่อพวกเขามาหาเจ้า ผลก็คือ สิ่งนี้เจริญใจผู้คนมากกว่าเป็นการสร้างความเสียหายให้พวกเขา หากเจ้ายังคงยึดติดกับทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมด้วยการอ้างว่า “ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ชายมีสถานะสูงกว่าผู้หญิง และในทุกๆ อาชีพ ก็มีผู้ชายที่โดดเด่นและมีความสามารถพิเศษมากกว่าผู้หญิง ดังนั้นจึงยืนยันได้ว่าผู้ชายแข็งแกร่งกว่าผู้หญิง และผู้ชายก็มีคุณค่าต่อสังคมมากกว่าผู้หญิง หากพวกเขามีคุณค่าต่อสังคมมากกว่า สถานะทางสังคมของพวกเขาไม่ควรสูงส่งกว่าหรือ? เพราะฉะนั้น ในสังคมนี้ผู้ชายควรมีสิทธิ์ชี้ขาดและครองตำแหน่งด้านการปกครอง ขณะที่ผู้หญิงควรฟังผู้ชาย และควรถูกควบคุมและปกครองโดยพวกเขา”—เช่นนั้นแล้ว ความคิดประเภทนี้ย่อมล้าหลังและเสื่อมทรามมากเกินไป และไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงแม้แต่น้อย หากเจ้ามีแนวคิดและทัศนะเช่นนี้ เจ้าก็ทำได้แค่เลือกปฏิบัติและกดข่มผู้หญิง และจะถูกกระแสสังคมกล่าวโทษและขับออกไปเท่านั้น ความเท่าเทียมระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงเป็นมุมมองที่ถูกต้องที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลแล้ว ทั้งยังเป็นสิ่งที่ตรงตามน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ผู้คนควรได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ผู้ชายไม่ควรได้รับการยกย่องนับถือ ผู้หญิงไม่ควรโดนดูถูกเหยียดหยาม คุณค่าของผู้หญิงไม่ควรถูกเพิกเฉย และความสามารถในการทำงานและขีดความสามารถของพวกเธอก็ไม่ควรถูกเมินเช่นกัน นี่คือฉันทามติเบื้องต้นในหมู่ประชากรที่มีความรู้ของทุกประเทศอยู่แล้ว หากแนวคิดที่มีบทบาทสำคัญของเจ้ายังคงได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมดั้งเดิม และเจ้ายังรู้สึกว่าผู้ชายนั้นโดดเด่นขณะที่ผู้หญิงต่ำต้อย เช่นนั้นเมื่อเจ้าปฏิบัติตน นิมิตและตัวเลือกของเจ้าจะเอนเอียงไปทางเพศชาย และเจ้าจะให้โอกาสผู้ชายมากกว่าพอสมควร เจ้าจะคิดว่าต่อให้ผู้ชายบางคนมีความสามารถน้อยกว่าเล็กน้อย พวกเขาก็ยังแข็งแรงกว่าผู้หญิง และคิดว่าผู้หญิงไม่สามารถเทียบเท่าหรือสัมฤทธิ์ในสิ่งที่ผู้ชายทำได้ หากเจ้าคิดเช่นนี้ มุมมองของเจ้าย่อมจะมีอคติ แล้วการตัดสินและการตัดสินใจสุดท้ายของเจ้าก็จะเอนเอียงจากวิธีคิดของเจ้า ตัวอย่างเช่น ในเรื่องการเลือกนักดับเพลิงที่พวกเราเพิ่งกล่าวถึง เจ้ารู้สึกสับสนในเรื่องนี้ พลางสงสัยว่า “ผู้หญิงสามารถปีนบันไดได้หรือ? ผู้หญิงสามารถทำอะไรได้มากแค่ไหน? ความคล่องแคล่วในตัวผู้หญิงมีประโยชน์อย่างไร? ต่อให้เธอเคยผ่านการฝึกฝนที่เข้มงวดมา ก็ไม่เห็นมีประโยชน์เลย” แต่แล้วเจ้าก็นึกถึงการปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรม ในที่สุดเจ้าจึงเลือกผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคน ข้อเท็จจริงของการที่เจ้าเลือกผู้หญิงหนึ่งคนในกรณีนี้ก็คือ เจ้ากำลังทำไปเป็นพิธีและออกท่าทางเพียงเล็กน้อยเพื่อเอาใจผู้หญิงคนนั้นและกอบกู้ความภาคภูมิใจของเธอ การทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้เป็นอย่างไรหรือ? เจ้าไม่เพียงเลือกผู้คนด้วยวิธีนี้เท่านั้น แต่เวลามอบหมายงาน เจ้าก็นำมุมมองที่ดูแคลนผู้หญิงมาใช้ จนถึงกับมอบหมายงานเบาๆ ปลายแถวให้เธอด้วยซ้ำ เจ้ายังคงคิดว่าเจ้ามีความเห็นอกเห็นใจและคิดว่าเจ้ากำลังดูแลเอาใจใส่ผู้หญิงด้วยการให้สิทธิพิเศษในการปฏิบัติต่อเธอ และปกป้องเธอ ข้อเท็จจริงก็คือจากมุมมองของผู้หญิง เจ้าได้ทำลายความเชื่อมั่นในตัวเองของเธออย่างหนัก เจ้าทำลายสิ่งนั้นไปอย่างไร? ด้วยความที่เจ้าคิดว่าผู้หญิงอ่อนแอและเปราะบาง คิดว่าผู้หญิงขี้อายขณะที่ผู้ชายนั้นมีความเป็นลูกชาย จึงคิดว่าผู้หญิงควรได้รับการปกป้อง แนวคิดเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? สิ่งนี้เกิดจากอิทธิพลจากวัฒนธรรมดั้งเดิมใช่หรือไม่? (ใช่) นี่คือสาเหตุต้นตอ ไม่ว่าเจ้าพูดถึงการปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรมอย่างไร เมื่อมองสิ่งนี้จากการกระทำของเจ้า เจ้ายังคงถูกล่ามโซ่และถูกควบคุมจากแนวคิดในวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ว่า “ผู้ชายเหนือกว่าผู้หญิง” จากการกระทำของเจ้า เห็นได้ชัดว่าเจ้ายังไม่ได้กำจัดแนวคิดนี้ออกไปจากตัว เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่? (ใช่) หากเจ้าต้องการกำจัดโซ่ตรวนเหล่านี้ไปจากตัวเจ้า เจ้าต้องแสวงหาความจริง เข้าใจแก่นแท้ของแนวคิดเหล่านี้อย่างถ่องแท้ และไม่กระทำการภายใต้อิทธิพลหรือการควบคุมของแนวคิดทางวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ เจ้าควรละทิ้งและกบฏต่อสิ่งเหล่านี้อย่างครบถ้วนถาวร และไม่มองดูผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และไม่ประพฤติและปฏิบัติตนตามแนวคิดและทัศนะทางวัฒนธรรมดั้งเดิมอีกต่อไป อีกทั้งไม่กระทำการตัดสินหรือเลือกสิ่งใดตามวัฒนธรรมดั้งเดิม ในทางกลับกัน เจ้าจงมองดูผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ประพฤติและปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าและตามหลักธรรมความจริง ในหนทางนี้เจ้าย่อมจะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง และจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแท้จริงที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ มิเช่นนั้นเจ้าก็จะยังถูกซาตานควบคุม และเจ้าจะดำเนินชีวิตอยู่ใต้อำนาจของซาตานต่อไป และเจ้าจะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าได้ นี่เป็นข้อเท็จจริงของเรื่องนี้
จากคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมที่ว่า “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ” ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจแก่นแท้ของคำนี้แล้วใช่หรือไม่? และเจ้าก็เข้าใจบริบททางสังคมที่นำเสนอคำกล่าวนี้แล้วใช่หรือไม่? (ใช่) ในการพัฒนาสถานะทางสังคมของผู้ชายและทำให้พวกเขามีสิทธิ์มากขึ้น จึงจำเป็นต้องมีข้อพึงประสงค์ที่สูงกว่าแก่ผู้ชาย สร้างภาพลักษณ์ของผู้ชายในใจผู้คน และหล่อหลอมภาพลักษณ์นั้นให้กลายเป็นคนที่มีความเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก นี่คือภาพลักษณ์ที่ถ่ายทอดจากคำกล่าวที่ว่า “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะความมั่งคั่ง เปลี่ยนแปลงเพราะความยากจน หรือโน้มงอเพราะกำลังบังคับ” ที่คนพูดกัน แง่มุมหนึ่งของสิ่งที่นักศีลธรรมผู้นำเสนอคำกล่าวด้านความประพฤติทางศีลธรรมกำลังบอกผู้คนก็คือ บรรดาผู้ที่เป็นไปตามคำกล่าวนี้ย่อมเป็นลูกผู้ชายตัวจริง นี่หมายความว่าพวกเขากำลังบอกให้ผู้คนรู้ถึงคำนิยามของผู้ชาย อีกแง่มุมหนึ่งก็คือ พวกเขากำลังสนับสนุนให้ผู้ชายลุกขึ้นมาส่งเสียงในสังคม แสร้งทำตัวแหกคอก หยัดยืนในสถานะทางสังคมของตน และใช้อำนาจเหนือกระแสหลักของสังคม ความคิดที่ว่า “ผู้ชายเหนือกว่าผู้หญิง” ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้บางประเทศหรือบางเชื้อชาติจะเกิดการปรับปรุงในเรื่องนี้แล้ว ความคิดดังกล่าวก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในอีกหลายประเทศและชนชาติ ที่ความคิดนี้ยังคงควบคุมและครอบงำกระแสระดับสังคมและระดับชาติ และมีอำนาจเหนือการแบ่งงานระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงในสังคม รวมถึงสถานะทางสังคมและคุณค่าทางสังคมของพวกเขา และแม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก กล่าวคือในหลายประเทศและชนชาติ ผู้หญิงยังคงถูกเลือกปฏิบัติและถูกกีดกัน นี่เป็นสิ่งที่น่าเศร้าอย่างมาก และเป็นความไม่เท่าเทียมที่ใหญ่หลวงที่สุดบนโลกนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้หญิงถูกเลือกปฏิบัติและถูกกีดกันหรือไม่ หรือกลับมีความเท่าเทียมกับผู้ชาย เป็นเครื่องหมายที่ชัดเจนในการวัดว่า ประเทศหรือชนชาติหนึ่งนั้นก้าวหน้าหรือล้าหลัง
ขณะนี้ พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมในเรื่องที่ว่าควรมองผู้ชายและผู้หญิงที่พระเจ้าทรงสร้างอย่างไร และทัศนะที่ถูกต้องที่คนเราควรมีต่อพวกเขาคืออะไร ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และครองมโนธรรมและเหตุผลตามปกติของมนุษย์—สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีร่วมกัน นอกจากความแตกต่างทางเพศ โดยพื้นฐานแล้วผู้ชายและผู้หญิงนั้นทัดเทียมกันในแง่ความคิด สัญชาตญาณ การตอบสนองต่อเรื่องทั้งหลาย ขีดความสามารถและความสามารถของพวกเขา รวมถึงแง่มุมอื่นๆ ไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเหมือนกันทุกประการ แต่โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาคล้ายคลึงกันไม่มากก็น้อย นิสัยในชีวิตและกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตของพวกเขา รวมถึงแนวคิด ทัศนะ และท่าทีที่พวกเขามีต่อสังคม กระแสโลก ผู้คน เหตุการณ์ สิ่งทั้งหลาย และสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงของพระเจ้า เช่นเดียวกับการตอบสนองต่อเฉพาะบางเรื่อง รวมถึงการตอบสนองทางร่างกายและจิตใจของพวกเขานั้นเหมือนกัน เหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงเหมือนกัน? เพราะทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างได้รับการทรงสร้างโดยพระผู้สร้างเที่ยงแท้องค์เดียวและหนึ่งเดียว อีกทั้งลมหายใจในชีวิตพวกเขา เจตจำนงเสรีของพวกเขา รวมถึงกิจกรรมต่างๆ นานาที่พวกเขาสามารถทำได้ กิจวัตรในชีวิตของพวกเขา และอื่นๆ ก็มาจากพระผู้สร้างทั้งสิ้น ในแง่ของปรากฏการณ์เหล่านี้ ระหว่างผู้ชายและผู้หญิงไม่มีสิ่งใดที่ต่างกันเลยยกเว้นความแตกต่างทางเพศ รวมถึงสิ่งต่างๆ หรือทักษะทางวิชาชีพบางอย่างที่พวกเขาเชี่ยวชาญ ตัวอย่างเช่น งานมากมายที่ผู้ชายสามารถทำได้ ผู้หญิงก็สามารถทำได้เช่นกัน มีนักวิทยาศาสตร์ นักบิน และนักบินอวกาศหญิง ทั้งยังมีประธานาธิบดีหญิงกับข้าราชการหญิง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่างานทั้งหลายที่ผู้ชายและผู้หญิงสามารถทำได้ย่อมเหมือนกันไม่มากก็น้อย ถึงแม้เพศของพวกเขาจะแตกต่างกันก็ตาม ในเรื่องของความทนทานของร่างกายและการแสดงออกทางอารมณ์ ทั้งผู้ชายและผู้หญิงนั้นเหมือนกันไม่มากก็น้อย เมื่อญาติพี่น้องของผู้หญิงคนหนึ่งเสียชีวิต เธอก็ร่ำไห้ปานจะขาดใจด้วยความทุกข์ระทมแสนสาหัส เมื่อพ่อแม่หรือคนรักของผู้ชายคนหนึ่งเสียชีวิต เขาก็ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังราวกับโลกถล่มเช่นกัน เมื่อผู้หญิงเผชิญหน้ากับการหย่าร้าง พวกเธอก็กลายเป็นเศร้าสลด หดหู่ และเสียใจ และอาจถึงขั้นปลิดชีพตัวเอง ในขณะที่ผู้ชายก็จะกลายเป็นหดหู่เช่นกันหากภรรยาของพวกเขาจากไป และบางคนอาจจะถึงกับแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่ม เพราะพวกเขาเป็นผู้ชาย พวกเขาจึงไม่กล้าพร่ำบ่นเรื่องความทุกข์นี้ต่อหน้าผู้อื่น และภายนอกต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง แต่เมื่อไม่มีใครอยู่รอบๆ พวกเขาก็จะร้องไห้เช่นเดียวกับคนธรรมดา เมื่อไรที่มีบางสิ่งอันเฉพาะเจาะจงเกิดขึ้น ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างก็เกิดความสะเทือนอารมณ์ดังที่คนเราคาดคิด ไม่ว่าจะหมายถึงการร้องไห้หรือการหัวเราะก็ตาม นอกจากนี้ ท่ามกลางบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่และงานต่างๆ นานาของพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้า ผู้หญิงมีโอกาสที่จะได้รับการเลื่อนขั้น ฝึกฝน และได้รับมอบหมายตำแหน่งที่สำคัญ ขณะเดียวกันผู้ชายก็มีโอกาสที่จะได้รับการเลื่อนขั้น ฝึกฝน และได้รับมอบหมายงานที่สำคัญเช่นเดียวกัน—โอกาสที่ว่านั้นเหมือนกันและเท่าเทียมกัน ความเสื่อมทรามนานาประการที่ผู้หญิงเผยออกมาในชีวิตประจำวันและในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเธอนั้นไม่ต่างจากสิ่งที่ผู้ชายเผยออกมาเลย แม้กระทั่งในหมู่ผู้หญิงก็มีคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ที่ก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร—ผู้ชายมิได้เป็นเช่นเดียวกันหรอกหรือ? นั่นเป็นเพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนต่างก็เหมือนกัน หากพวกเขาเป็นคนชั่วที่ทำชั่ว ก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร และพยายามก่อตั้งอาณาจักรอิสระของตัวเอง เช่นนั้นเมื่อพวกเขาถูกเอาตัวออกไป ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงจะเกิดความแตกต่างกันหรือไม่? ไม่ พวกเขาทุกคนจะถูกเอาตัวออกในแบบเดียวกัน พวกเจ้าคิดว่าในบรรดาผู้ที่ถูกเอาตัวออกไปนั้น มีผู้ชายมากกว่าผู้หญิงงั้นหรือ? แต่ละเพศมีจำนวนที่พอๆ กัน เหล่าผู้ที่ทำชั่ว ก่อกวนและขัดขวาง และถือว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์และเป็นคนชั่วทุกคนต้องถูกเอาตัวออกไป ไม่ว่าพวกเขาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม คนบางคนกล่าวว่า “ผู้หญิงไม่สามารถทำสิ่งทั้งหลายที่ขัดขวางและก่อกวนได้ หากพวกเธอทำเช่นนั้นก็คงจะน่าละอายใจทีเดียว ผู้หญิงต้องเอาใจใส่ในการรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองมากกว่า! ผู้หญิงตัวเล็กๆ จะสามารถทำชั่วใหญ่โตเช่นนั้นได้อย่างไร? ไม่สามารถทำได้ พวกเธอควรได้รับโอกาสที่จะกลับใจ ส่วนผู้ชายนั้นมุทะลุ พวกเขาเกิดมาเพื่อทำสิ่งเลวร้าย พวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นศัตรูของพระคริสต์และเป็นคนทำชั่ว ต่อให้พวกเขาทำชั่วเพียงเล็กน้อย และต่อให้พวกเราไม่เข้าใจรูปการณ์แวดล้อมอย่างชัดเจน พวกเขาก็ยังควรถูกขับไล่อยู่ดี” พระนิเวศของพระเจ้าทำเช่นนี้หรือ? (ไม่ใช่) พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ทำเช่นนี้ พระนิเวศของพระเจ้ากำจัดผู้คนตามหลักธรรม การนี้ไม่ได้แบ่งแยกผู้ชายกับผู้หญิง และไม่เกี่ยวกับการรักษาศักดิ์ศรีของผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่คือการปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเป็นธรรม หากเจ้าคือชายที่กระทำความชั่วและตรงตามหลักธรรมในการขับไล่และเอาตัวออกไป เช่นนั้นแล้ว พระนิเวศของพระเจ้าก็จะกำจัดเจ้าออกไปตามหลักธรรม หากเจ้าเป็นหญิงที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน และเจ้าเป็นคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ เจ้าก็จะถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปเช่นเดียวกัน และจะไม่ได้รับการยกเว้นแค่เพราะเจ้าเป็นผู้หญิงและเจ้าร้องไห้หรือหลั่งน้ำตา พระนิเวศของพระเจ้าต้องรับมือกับสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรม ผู้เชื่อที่เป็นผู้หญิงไล่ตามพระพร อีกทั้งมีความอยากได้อยากมีและความตั้งใจที่จะได้รับพร ผู้ชายก็มีสิ่งเหล่านั้นเช่นกันใช่หรือไม่? ใช่ พวกเขามีสิ่งเหล่านั้น ในหนทางเดียวกัน ผู้ชายก็ไม่ได้มีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีที่จะได้รับพรน้อยไปกว่าผู้หญิงเลย ระหว่างการต้านทานพระเจ้าของผู้ชายกับของผู้หญิง ของใครร้ายแรงกว่ากัน? เหมือนกันทั้งหมด มีคนบางคนที่จะกล่าวว่า “ตอนนี้ในที่สุดฉันก็เข้าใจความจริง กลายเป็นว่าผู้ชายและผู้หญิงนั้นเสื่อมทรามพอกัน! ฉันเคยคิดว่าผู้ชายนั้นเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกและต้องทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ รวมถึงทำทุกสิ่งด้วยความยุติธรรม มีเกียรติ และตรงไปตรงมา ไม่เหมือนพวกผู้หญิง หลายคนใจแคบ จู้จี้จุกจิกกับเรื่องสัพเพเหระอย่างไม่รู้จักจบสิ้น นินทาลับหลังผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา และไม่ทำตัวตรงไปตรงมา แต่ฉันไม่ได้นึกถึงเลยว่าคนเลวมากมายเป็นผู้ชาย และสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่พวกเขาทำก็ใหญ่โตกว่าและมีเยอะกว่าด้วยซ้ำ” ตอนนี้เจ้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว สรุปคือไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ทุกคนล้วนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหมือนกัน เพียงแต่ความเป็นมนุษย์ของผู้คนนั้นแตกต่างกัน—นี่คือวิธีมองดูผู้ชายและผู้หญิงอย่างเป็นธรรมเพียงวิธีเดียว มุมมองนี้มีอคติอยู่หรือไม่? (ไม่มี) มุมมองนี้ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดที่ว่าผู้ชายสูงส่งกว่าผู้หญิงใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) มุมมองนี้ไม่ได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งเหล่านี้เลย ในการวัดว่าคนคนหนึ่งดีหรือแย่ อันดับแรกคือคนเราไม่ควรดูว่าพวกเขาเป็นผู้ชายหรือเป็นผู้หญิง แต่ควรดูที่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา จากนั้นก็ตัดสินแก่นแท้ของพวกเขาตามการสำแดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาในทุกแง่มุม—นี่คือวิธีมองดูผู้คนอย่างถูกต้องแม่นยำ
เมื่อดูจากปรากฏการณ์ทั้งหลายที่พวกเราสามัคคีธรรมไปก่อนหน้านี้ นอกจากความแตกต่างทางเพศแล้ว ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงก็ไม่มีความแตกต่างใดอีก ไม่ว่าในการสำแดงถึงสัญชาตญาณของพวกเขา หรือในการเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานาประการของพวกเขา หรือในแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาก็ตาม ในแง่ของแก่นแท้ทางเนื้อหนังของผู้คนและอุปนิสัยของพวกเขา รวมถึงสัญชาตญาณ พลังใจ และเจตจำนงเสรีที่พระเจ้าประทานให้ผู้คนในยามที่พระองค์ทรงสร้างพวกเขา ระหว่างผู้คนไม่มีความแตกต่างใดอยู่เลย เพราะฉะนั้น เมื่อผู้คนมองดูผู้ชายและผู้หญิง พวกเขาจึงไม่ควรมองดูคนเหล่านั้นตามรูปลักษณ์ภายนอก นับประสาอะไรกับการดูตามแนวคิดทางวัฒนธรรมดั้งเดิมที่พวกเขาได้เรียนรู้จากโลกนี้ กลับกัน พวกเขาควรมองดูคนเหล่านั้นตามพระวจนะของพระเจ้า เหตุใดคนเราจึงควรมองดูคนเหล่านั้นตามพระวจนะของพระเจ้า? เหตุใดจึงไม่ดูตามแนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม? มีบางคนกล่าวว่า “ตลอดประวัติศาสตร์นับพันปีของมนุษย์ มีข้อเอ่ยอ้างมากมายที่เกิดขึ้นมาและถูกเขียนเอาไว้ในหนังสือ ในทัศนะและคำกล่าวของมนุษยชาติ ไม่มีคำกล่าวใดถูกต้องเลยหรือ? ในสิ่งเหล่านั้นไม่มีความจริงอยู่เลยหรือ?” คำพูดเหล่านี้ไร้สาระในแง่ไหน? มนุษย์นั้นถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามมานับพันปี และพวกเขาก็เต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความมืดและความชั่วเช่นนั้นในสังคมมนุษย์ ไม่มีผู้ใดสามารถเห็นถึงรากเหง้าต้นตอได้อย่างชัดเจน หยั่งรู้ซาตาน หรือรู้จักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ ทัศนะของมนุษยชาติผู้เสื่อมทรามจึงไม่สอดคล้องกับความจริง และมีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่คือข้อเท็จจริงที่เป็นจริง คนเราได้รับความจริงจากพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ทว่าวัฒนธรรมของโลกมนุษย์ก่อกำเนิดมาจากความเสื่อมทรามของซาตาน ผู้คนไม่เคยมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และไม่มีผู้ใดสามารถรู้จักพระเจ้า ดังนั้นการสร้างความจริงในวัฒนธรรมดั้งเดิมของมนุษยชาติจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะความจริงทั้งปวงนั้นมาจากพระเจ้าและถูกแสดงโดยพระคริสต์ การถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามทำให้มนุษย์ทุกคนมีธรรมชาติและอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน พวกเขาล้วนบูชาคนมีชื่อเสียงและบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ และล้วนติดตามซาตาน เวลามองดูหรือนิยามบางสิ่งบางอย่าง มนุษย์ต่างก็มีเหตุจูงใจและเป้าหมายแอบแฝงของตัวเอง ไม่ว่าเหตุจูงใจและเป้าหมายเหล่านี้รับใช้ผู้ใด หรือวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้คืออะไร สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนถูกควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ด้วยเหตุนั้น สิ่งทั้งหลายที่มนุษย์ผู้เสื่อมทรามให้การนิยามและความคิดต่างๆ ที่พวกเขาสนับสนุนจึงต้องได้รับอิทธิพลจากอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน นั่นเป็นแง่มุมหนึ่งของเรื่องนี้ อีกแง่มุมหนึ่งก็คือ จากมุมมองตามจริงไม่ว่ามนุษย์มีความสามารถแค่ไหน ก็ไม่มีใครเข้าใจหน้าที่ สัญชาตญาณ และแก่นแท้ของมนุษย์ผู้ได้รับการทรงสร้างเลย เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างจากคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้ถูกสร้างจากสิ่งที่เรียกว่าบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ พญามาร ซาตาน หรือวิญญาณชั่ว มนุษย์ไม่เข้าใจสัญชาตญาณ หน้าที่ และแก่นแท้ของผู้คนเลย แล้วใครกันเล่าที่รู้จักสัญชาตญาณ หน้าที่ และแก่นแท้ของผู้คนดีที่สุด? มีเพียงพระผู้สร้างที่ทรงรู้ดีที่สุด ผู้ใดก็ตามที่สร้างมนุษย์ย่อมรู้จักหน้าที่ สัญชาตญาณ และแก่นแท้ของพวกเขาดีที่สุด และแน่นอนว่าย่อมมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการนิยามมนุษย์และกำหนดคุณค่า อัตลักษณ์ และแก่นแท้ของผู้ชายหรือผู้หญิง นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่เป็นจริงหรอกหรือ? (นี่คือข้อเท็จจริงที่เป็นจริง) สิ่งที่พระเจ้าทรงใช้ในการสร้างมนุษย์ สัญชาตญาณที่พระองค์ประทานแก่พวกเขาตอนที่พระองค์ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมา การทำงานและกฎของร่างกายพวกเขา สิ่งที่พวกเขาเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมที่จะทำ และแม้กระทั่งพวกเขาควรมีชีวิตยืนยาวแค่ไหน—ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเข้าใจมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างดีที่สุด และไม่มีผู้ใดเข้าใจเรื่องมนุษยชาติที่ได้รับการทรงสร้างมากกว่านี้ นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ? (นี่คือข้อเท็จจริง) เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการนิยามมนุษย์ และกำหนดอัตลักษณ์ สถานะ คุณค่า และหน้าที่ของผู้ชายหรือผู้หญิง รวมถึงเส้นทางที่ถูกต้องที่ผู้คนควรจะเดิน พระเจ้าทรงรู้ดีที่สุดว่ามนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างต้องการอะไร พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์สิ่งใดได้ และสิ่งใดอยู่ในความสามารถของพวกเขา จากอีกมุมมองหนึ่ง สิ่งที่มนุษย์ผู้ได้รับการทรงสร้างต้องการมากที่สุดก็คือพระวจนะที่ตรัสโดยพระผู้สร้าง มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทรงนำ ทรงจัดหา และทรงเลี้ยงมนุษย์ได้ด้วยพระองค์เอง คำกล่าวทั้งปวงของมนุษยชาติผู้เสื่อมทรามที่ไม่ได้มาจากพระเจ้านั้นชักพาให้หลงผิด โดยเฉพาะคำกล่าวของวัฒนธรรมดั้งเดิมซึ่งล้วนชี้นำผู้คนไปในทางที่ผิด ะทำให้พวกเขามึนงง และจำกัดพวกเขา และแน่นอนว่าทำหน้าที่เป็นสิ่งที่คอยยับยั้งและควบคุมประเภทหนึ่งด้วย ยังมีอีกแง่มุมหนึ่ง นั่นก็คือพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ และสิ่งที่พระองค์ทรงห่วงมนุษย์มากที่สุดคือพวกเขาจะสามารถเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตได้หรือไม่ ขณะที่สังคม ชนชาติ และประเทศทั้งหลายคำนึงถึงแค่ผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองและเสถียรภาพของระบอบการเมืองเท่านั้น ไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยต่อชีวิตของชนชั้นที่ต่ำกว่าเลย ผลก็คือ นี่ก่อให้เกิดบางสิ่งที่สุดโต่งและวุ่นวายขึ้น พวกนี้ไม่ได้ชี้นำผู้คนไปยังเส้นทางที่ถูกต้องเพื่อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและความกระจ่างแจ้ง และนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ทว่าพวกเขากลับต้องการเอาเปรียบผู้คนให้มารับใช้กฎเกณฑ์ อาชีพ รวมถึงความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขาเองเท่านั้น ไม่ว่าพวกเขาเสนอข้อเรียกร้องใด หรือแนวคิดและทัศนะใด เป้าหมายของทั้งหมดนี้ก็คือเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด จำกัดความคิดของพวกเขา และควบคุมมนุษยชาติ ผู้คนจะได้รับใช้และจงรักภักดีต่อพวกเขา พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงอนาคตหรือโอกาสในภายหน้าของมนุษยชาติ และไม่ได้คำนึงว่ามนุษย์จะสามารถเอาตัวรอดได้ดีขึ้นอย่างไร แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ตราบเท่าที่สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำสอดคล้องกับแผนการของพระองค์ หลังจากทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา พระองค์ก็ทรงนำพวกเขาไปสู่การเข้าใจความจริงและหลักธรรมในการปฏิบัติตนที่มากขึ้น และทรงทำให้พวกเขามองเห็นชัดเจนถึงความจริงของการที่ซาตานทำให้มนุษยชาติเสื่อมทราม บนรากฐานนี้ ตามหลักธรรมความจริงเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงสั่งสอนผู้คนและใช้เพื่อตักเตือนพวกเขา พวกเขาก็ย่อมออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตได้
ข้อบังคับและแบบแผนทั้งหลายด้านความประพฤติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นมีมากมาย และส่งอิทธิพลต่อความคิดของผู้คนจากทุกแง่มุม จำกัดและชักพาความคิดของพวกเขาให้หลงผิด สิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันในวันนี้คือคำกล่าวและทัศนะที่บิดเบี้ยวบางประการของวัฒนธรรมดั้งเดิมในเรื่องเพศ ซึ่งส่งผลต่อทัศนะที่ถูกต้องของผู้คนในเรื่องเพศอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังทำให้ผู้ชายและผู้หญิงตกอยู่ภายใต้โซ่ตรวน พันธนาการ ข้อจำกัด การเลือกปฏิบัติ และสิ่งต่างๆ มากมายที่คล้ายคลึงกัน ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริงที่ผู้คนสามารถเห็นได้ และสิ่งเหล่านี้ยังเป็นผลกระทบและผลพวงที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อผู้คนอีกด้วย
14 พฤษภาคม ค.ศ. 2022