ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (1)

ในการชุมนุมครั้งสุดท้าย พวกเราสามัคคีธรรมกันไปในหัวข้ออะไร?  “เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง”  หลังจากที่พวกเราเสร็สิ้นการสามัคคีธรรม เราได้ให้การบ้านพวกเจ้าไปหัวข้อหนึ่ง—หัวข้อใดหรือ?  (ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร)  พวกเจ้าได้ใคร่ครวญหัวข้อนี้กันหรือไม่?  (ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ได้ใคร่ครวญหัวข้อนี้นิดหน่อย  เมื่อเป็นเรื่องของวิธีที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นย่อมเกี่ยวกับการตรวจสอบการพรั่งพรูความเสื่อมทรามและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราในผู้คน เหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่พวกเราเผชิญในแต่ละวัน แล้วจากนั้นก็เป็นการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้  ในเวลาเดียวกัน การปฏิบัติหน้าที่ก็พาดพิงถึงหลักธรรมเฉพาะบางอย่าง ดังนั้นพวกเราต้องแสวงหาความจริงที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เข้าใจวิธีกระทำการไปตามหลักธรรมเหล่านี้เวลาที่พวกเรากำลังเข้าจัดการกับหน้าที่ต่างๆ—นั่นเป็นอีกหนทางที่จะปฏิบัติการไล่ตามเสาะหาความจริง)  ดังนั้นประการหนึ่งคือ การแสวงหาความจริงในชีวิตประจำวันของคนเรา และอีกประการก็คือ โดยการแสวงหาหลักธรรมความจริงขณะกำลังทำหน้าที่ของตน  มีแง่มุมอื่นของการไล่ตามเสาะหานี้อีกหรือไม่?  นี่ไม่ควรเป็นหัวข้อที่ยากเย็นไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าได้ใคร่ครวญเกี่ยวกับ “ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร” กันหรือไม่?  พวกเจ้าใคร่ครวญเกี่ยวกับการนี้ไว้อย่างไร?  การใคร่ครวญเกี่ยวกับหัวข้อนี้ควรต้องใช้ช่วงเวลาหนึ่งไปกับการคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วจากนั้นจึงจดบันทึกความรู้ที่ได้รับผ่านการใคร่ครวญนั้น  หากพวกเจ้าเพียงมองผ่านๆ และคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เพียงเล็กน้อย แต่ไม่ใช้เวลาหรือพลังงานในเรื่องนี้ หรือคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบ นั่นย่อมไม่ใช่การใคร่ครวญ  การใคร่ครวญหมายความว่าพวกเจ้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่างจริงจัง พวกเจ้าทุ่มความพยายามอย่างแท้จริงให้กับการไตร่ตรองเรื่องนี้ พวกเจ้าได้รับความรู้บางอย่างที่เป็นรูปธรรม รวมทั้งได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่าง และพวกเจ้าก็เก็บเกี่ยวบำเหน็จรางวัล—เหล่านี้คือผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์ได้ผ่านทางการใคร่ครวญ  เอาล่ะทีนี้ พวกเจ้าได้ใคร่ครวญหัวข้อนี้กันจริงๆ หรือไม่?  ไม่มีพวกเจ้าคนใดเลยที่ใคร่ครวญเรื่องนี้จริงๆ ใช่หรือไม่?  คราวก่อนเราได้ให้การบ้านพวกเจ้าหัวข้อหนึ่งเพื่อให้พวกเจ้าได้เตรียมตัว แต่ก็ไม่มีพวกเจ้าคนใดที่ใคร่ครวญหัวข้อนี้และพวกเจ้าไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้  พวกเจ้ากำลังหวังว่าเราจะแค่เอาช้อนตักป้อนพวกเจ้าเช่นนั้นหรือ?  หรือพวกเจ้าคิดว่า “หัวข้อนี้ง่ายมาก ไม่มีความลึกซึ้งอะไรอยู่ในนั้นเลย  พวกเราคิดหาคำตอบได้แล้ว ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญ—พวกเราเข้าใจเรื่องนี้แล้ว”?  หรือว่าพวกเจ้าไม่สนใจในคำถามและเรื่องราวทั้งหลายที่สัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริง?  ปัญหาคืออะไร?  เป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าจะยุ่งกับงานมากเกินไปใช่หรือไม่?  จริงๆ แล้วเหตุผลคืออะไร?  (หลังจากที่ฟังคำถามของพระเจ้าและการทบทวนตัวเอง ข้าพระองค์คิดว่าเหตุผลหลักก็คือข้าพระองค์ไม่รักความจริง  ข้าพระองค์ไม่จริงจังกับพระวจนะของพระเจ้า และข้าพระองค์ไม่ได้ใคร่ครวญถึงความจริงอย่างจริงจังตั้งใจ  ข้าพระองค์กำลังหวังด้วยว่าจะถูกตักป้อนคำตอบให้  ข้าพระองค์กำลังหวังว่าทันทีที่พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมหัวข้อนั้นเสร็จสิ้นแล้ว ข้าพระองค์ก็จะสามารถเข้าใจเรื่องนั้นได้  นั่นเป็นท่าทีที่ข้าพระองค์มี)  ผู้คนส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?  นั่นดูเหมือนว่าพวกเจ้าคุ้นเคยกับการถูกช้อนป้อนเข้าปาก  เมื่อเป็นเรื่องของความจริง พวกเจ้าก็ไม่ละเอียดถี่ถ้วนมากนักและพวกเจ้าไม่พยายามมากพอ  พวกเจ้ารักการทำสิ่งต่างๆ และการทำงานหัวหมุนอย่างมืดบอดเป็นพิเศษ  ทั้งหมดที่พวกเจ้าทำคือการปล่อยเวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ พวกเจ้าเลอะเลือนยามที่กำลังจัดการกับความจริง และพวกเจ้าไม่จริงจังกับเรื่องนี้  นั่นคือสภาวะที่แท้จริงของพวกเจ้า

ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไรเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ถูกสามัคคีธรรมกันเป็นปกติทั่วไปที่สุดในพระนิเวศของพระเจ้า  ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจคำสอนเกี่ยวกับวิธีไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่บ้าง และพวกเขาก็รู้แนวทางและหนทางบางอย่างที่จะปฏิบัติความจริง  มีคนบางคนซึ่งเชื่อในพระเจ้ามานานที่มีประสบการณ์จริงอยู่บ้างไม่มากก็น้อย และพวกเขาก็ได้รับประสบการณ์กับความล้มเหลวและความตกต่ำมาด้วย อีกทั้งยังเคยมีความคิดลบและความอ่อนแอ  ในกระบวนการของการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้น พวกเขายังได้รับประสบการณ์กับความลุ่มๆ ดอนๆ มากมาย และในการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองและมีบำเหน็จรางวัลบางอย่าง  เป็นธรรมดาที่พวกเขาย่อมเผชิญกับความลำบากยากเย็นและอุปสรรคขวากหนามมามากมาย รวมไปถึงปัญหาที่แท้จริงสารพัดในชีวิตหรือในสภาพแวดล้อมของพวกเขาอีกด้วย  พูดสั้นๆ ก็คือ ผู้คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่ในบางระดับ ไม่ว่าจะเข้าใจเพียงแค่รูปแบบ หรือผ่านบางปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และพวกเขาก็มีความรู้ในเชิงคำสอนเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่บ้างเช่นกัน  ครั้นผู้คนได้เริ่มเชื่อในพระเจ้าและเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้จ่ายราคาไปบนเส้นทางนั้นแล้วจริงๆ หรือเพียงได้มีความพยายามเล็กน้อยในการเข้าจัดการกับการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็จะมีความเข้าใจเกี่ยวกับการนี้ไม่มากก็น้อย  สำหรับบรรดาผู้ที่รักความจริง ความเข้าใจนี้เป็นตัวแทนของบำเหน็จรางวัลอันถ่องแท้และล้ำค่า แต่บรรดาผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นไม่มีประสบการณ์ ไม่มีการเรียนรู้จากประสบการณ์ของตน หรือไม่มีบำเหน็จรางวัล  โดยสรุปคือผู้คนส่วนใหญ่กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างลังเลและเก็บงำท่าที “รอดูก่อน” ในขณะที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ในขณะเดียวกันก็ได้รับประสบการณ์เล็กน้อยไปพลางว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นให้ความรู้สึกอย่างไร  ในความคิด ทัศนะ หรือสติสัมปชัญญะของผู้คนส่วนใหญ่แล้ว การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นสิ่งซึ่งเป็นบวกและมีนัยสำคัญอันใหญ่หลวง  พวกเขาคิดถึงการนั้นในฐานะเป้าหมายชีวิตที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหา และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในฐานะถนนสายที่ถูกต้องที่พวกเขาควรเดินตามในชีวิต  ไม่ว่าจะเป็นในระดับทฤษฎีหรือบนพื้นฐานของประสบการณ์จริงและความรู้ของพวกเขาก็ตาม พวกเขาล้วนคำนึงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริงในฐานะสิ่งที่ดีและสิ่งซึ่งเป็นบวกที่สุด  ไม่มีการไล่ตามเสาะหาหรือเส้นทางใดที่มวลมนุษย์ทำแล้วสามารถเทียบได้กับการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง  การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นถนนที่ถูกต้องสายเดียวเท่านั้นที่มนุษย์ทั้งหลายควรเดินตาม  ในฐานะสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ การไล่ตามเสาะหาความจริงควรเป็นเป้าหมายชีวิตสำหรับคนทุกคน และพวกเขาควรมีทัศนะต่อการนี้ในฐานะเส้นทางที่ถูกต้องสำหรับผู้คนที่จะเดินตาม  ทีนี้ คนเราควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไรดี?  เมื่อครู่พวกเจ้าได้ยกแนวคิดเรียบง่ายทางทฤษฎีบางอย่างขึ้นมา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้คนส่วนใหญ่น่าจะเห็นด้วย  ทุกคนคิดว่าการไล่ตามเสาะหาและการปฏิบัติประเภทนี้สัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายซึ่งสัมพันธ์อย่างเฉพาะเจาะจงกับการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นก็แค่การได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวเอง การสารภาพและการกลับใจเท่านั้น แล้วจากนั้นก็เป็นการค้นหาหลักธรรมความจริงที่จะปฏิบัติจากพระวจนะของพระเจ้า และท้ายที่สุดก็เป็นการใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ในชีวิตประจำวันของคนเราและการเข้าสู่ความจริงความเป็นจริง  นี่คือความเข้าใจและการจับใจความทั่วไปที่ผู้คนส่วนใหญ่มีต่อวิธีไล่ตามเสาะหาความจริง  นอกเหนือจากวิธีการที่พวกเจ้าสามารถระลึกรู้และจับใจความได้แล้ว เรายังได้สรุปเส้นทางและวิธีการของการปฏิบัติเพื่อการไล่ตามเสาะหาความจริงที่เฉพาะเจาะจงเพิ่มเติมอีกด้วย  วันนี้เราจะสามัคคีธรรมในรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีไล่ตามเสาะหาความจริงเพิ่มเติม

สองเส้นทางปฏิบัติเพื่อการไล่ตามเสาะหาความจริง: การปล่อยมือและการอุทิศตน

นอกเหนือจากไม่กี่วิธีการที่พวกเจ้าได้ทำรายการไว้ เราได้เข้าไปในรายละเอียดมากขึ้นและสรุปไว้สองวิธีการสำหรับวิธีที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  วิธีการหนึ่งก็คือ “การละวาง”  วิธีนี้เรียบง่ายหรือไม่?  (เรียบง่าย)  นี่ไม่เป็นนามธรรมและไม่ซับซ้อน  ทั้งยังง่ายแก่การจดจำและเข้าใจง่ายอีกด้วย  แน่นอนว่า การนำการละวางมาปฏิบัติอาจเกี่ยวข้องกับความยากเย็นระดับหนึ่ง  เจ้าก็เห็นว่าวิธีการนี้เรียบง่ายกว่าวิธีการทั้งหลายที่พวกเจ้าได้ยกมา  สิ่งที่พวกเจ้าพูดไว้เป็นแค่ทฤษฎีตั้งหนึ่ง  ทฤษฎีเหล่านั้นดูเลิศลอยและลึกซึ้ง และแน่นอนว่า ทฤษฎีเหล่านั้นมีด้านที่เป็นรูปธรรมอยู่ แต่ทฤษฎีเหล่านี้ซับซ้อนกว่าสิ่งที่เราเพิ่งบอกพวกเจ้าไปมากมายนัก  วิธีการแรกคือ “การละวาง” และวิธีการที่สองคือ “การอุทิศ”  เพียงแค่สองวิธีการและสองคำนี้เท่านั้น  แค่มอง ผู้คนก็สามารถเข้าใจวิธีการเหล่านี้ได้แล้ว และผู้คนก็รู้วิธีที่จะปฏิบัติวิธีการเหล่านี้โดยไม่มีการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีการเหล่านี้เลย—วิธีการเหล่านี้ยังง่ายที่จะจดจำอีกด้วย  วิธีการแรกคืออะไร?  (การละวาง)  ที่สองล่ะ?  (การอุทิศ)  เจ้าเห็นหรือไม่?  สองวิธีการนี่ไม่เรียบง่ายหรอกหรือ?  (เรียบง่าย)  วิธีการเหล่านี้รวบรัดได้ใจความกว่าสิ่งที่พวกเจ้าพูดมาตั้งมากมาย  นี่เรียกว่าอะไร?  นี่เรียกว่าการมีความเฉียบคม  การใช้คำน้อยลงจำเป็นต้องหมายความว่า บางสิ่งมีความเฉียบคมหรือไม่?  (ไม่จำเป็น)  ไม่ว่าบางสิ่งนั้นเฉียบคมหรือไม่ก็ไม่สำคัญ  สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือ ประเด็นหลักกำลังถูกนำเสนอหรือไม่ และประเด็นนั้นใช้การได้หรือไม่ยามที่ผู้คนนำไปปฏิบัติ  นอกจากนั้นที่สำคัญคือต้องดูว่าผลลัพธ์ใดที่สัมฤทธิ์ได้จากการปฏิบัติสิ่งนั้น ว่าสิ่งนั้นสามารถแก้ไขความลำยากยากเย็นที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของผู้คนได้หรือไม่ ว่าสิ่งนั้นช่วยให้ผู้คนเดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ว่าสิ่งนั้นเปิดโอกาสให้ผู้คนแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาที่ต้นตอหรือไม่ และว่าการปฏิบัติสิ่งนั้นช่วยให้ผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับพระวจนะของพระองค์และความจริงหรือไม่ ด้วยวิธีนั้นจึงจะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์และเป้าหมายที่ควรบรรลุโดยการไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  ตอนนี้พวกเจ้าได้ยินทั้งสองวิธีการคือวิธีการของ “การละวาง” กับ “การอุทิศตน” นี้ไปแล้วและพวกเจ้าก็รู้จักวิธีการเหล่านี้แล้ว  อะไรคือสัมพันธภาพระหว่างสองวิธีการนี้กับการไล่ตามเสาะหาความจริง?  สิ่งเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับวิธีการเหล่านั้นที่พวกเจ้าได้เอ่ยไปแล้วหรือไม่ หรือสิ่งเหล่านี้ขัดแย้งกับสิ่งเหล่านั้นหรือไม่?  นี่ก็ยังไม่ชัดเจนมากนักใช่หรือไม่?  (นี่ยังไม่ชัดเจนมากนัก)  พูดโดยทั่วไปก็คือ วิธีการที่เฉพาะเจาะจงของการปฏิบัติการไล่ตามเสาะหาความจริงก็คือสองวิธีการที่เราเพิ่งเสวนาไป  ในสองวิธีการนี้ อะไรคือเนื้อหาสาระที่เฉพาะเจาะจงของวิธีการแรกที่ว่าการละวาง?  อะไรคือสิ่งที่เรียบง่ายและตรงที่สุดที่พวกเจ้าสามารถนึกถึงเมื่อพวกเจ้าได้ยินคำว่า “การละวาง”?  คนเรานำวิธีการนี้มาปฏิบัติอย่างไร?  อะไรคือส่วนต่างๆ และเนื้อหาสาระที่เฉพาะเจาะจงของวิธีการนี้?  (การละวางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา)  นอกเหนือจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราแล้วยังมีอะไรอีก?  (มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน)  มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน ความรู้สึก เจตจำนงของคนเรา และการเลือกชอบของคนเรา  อะไรอื่นอีก?  (ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกเยี่ยงซาตาน ค่านิยมและทรรศนะผิดๆ ซึ่งมีต่อชีวิต)  (เจตนาและความอยากได้อยากมีของคนเรา)  พูดสั้นๆ คือ เมื่อผู้คนพยายามคิดถึงสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาควรละวาง นอกเหนือจากพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาคิดถึงสิ่งทั้งหลายที่ปั้นแต่งความคิดและทัศนะของผู้คน  ดังนั้นจึงมีสองส่วนที่เป็นหลักสำคัญดังนี้ ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยเสื่อมทรามและอีกส่วนเกี่ยวข้องกับความคิดและทัศนะของผู้คน  นอกจากสองสิ่งนี้แล้ว พวกเจ้าคิดถึงอะไรอีกบ้าง?  พวกเจ้างุนงงสับสนใช่หรือไม่?  อะไรคือเหตุผลสำหรับเรื่องนี้?  เหตุผลก็คือ นับตั้งแต่เจ้าเริ่มเชื่อในพระเจ้านั้น สิ่งที่เข้ามาในจิตใจพวกเจ้าในทันทีก็คือ หัวข้อทั้งหลายที่เจ้าเผชิญอยู่แทบตลอดเวลาและผู้คนก็พูดถึงกันบ่อยในชีวิตประจำวัน  แต่สำหรับปัญหาทั้งหลายที่ไม่มีใครเอ่ยถึง ซึ่งถึงกระนั้นก็มีอยู่ในตัวผู้คน—พวกเจ้ากลับไม่รู้เลย พวกเจ้าไม่ตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาเหล่านั้น พวกเจ้าไม่อาจคิดขึ้นมาได้ และพวกเจ้าก็ไม่เคยมองสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นปัญหาที่ต้องใคร่ครวญเลย  นี่คือเหตุผลที่พวกเจ้างุนงงสับสน  เรากำลังเสวนาเรื่องนี้กับพวกเจ้าเพราะเราต้องการให้พวกเจ้าคิดทบทวนและพิจารณาอย่างรอบคอบถึงประเด็นปัญหานี้ที่พวกเราจะสามัคคีธรรมกันเป็นลำดับถัดไป และเพื่อให้พวกเจ้าเกิดความประทับใจอย่างลึกซึ้ง

แนวปฏิบัติแรกของการไล่ตามเสาะหาความจริง: การปล่อยมือ

I. ปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ

ตอนนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันถึงสิ่งที่เป็นหลักสำคัญสองประการซึ่งสัมพันธ์กับวิธีที่คนเราต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ประการที่หนึ่ง การละวาง กับประการที่สอง การอุทิศ  พวกเรามาเริ่มโดยการสามัคคีธรรมถึงสิ่งแรกกันเถิด—การละวาง  นี่ไม่ใช่แค่การละวางความรู้สึก ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก ความเอาแต่ใจตน ความอยากได้พระพร และการตีความทั่วไปอื่นๆ ดังกล่าว  การปฏิบัติการละวางที่เราจะสามัคคีธรรมในวันนี้มีการกำหนดที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทั้งยังพึงต้องให้ผู้คนตรวจสอบและปฏิบัติในชีวิตประจำวันของพวกเขา  อะไรคือสิ่งที่ต้องถูกเอ่ยถึงเป็นอันดับแรกเมื่อนึกถึงการละวาง?  สิ่งแรกที่ผู้คนต้องละวางในการไล่ตามเสาะหาความจริงของตนก็คือสารพัดภาวะอารมณ์แบบมนุษย์  พวกเจ้าคิดถึงอะไรเมื่อเราเอ่ยถึงสารพัดภาวะอารมณ์แบบมนุษย์เหล่านี้?  ภาวะอารมณ์เหล่านี้มีอะไรบ้าง?  (ความใจร้อน ความเอาแต่ใจ และความนิ่งเฉย)  ความใจร้อนเป็นภาวะอารมณ์หรือไม่?  (ข้าพระองค์เข้าใจว่าภาวะอารมณ์หมายถึงเวลาที่ผู้คนทำสิ่งต่างๆ ไปตามที่พวกเขารู้สึกในขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขานำท่าทีที่ต่างกันมาใช้กับสิ่งต่างๆ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขารู้สึกดีหรือไม่ดี)  เหล่านี้คือภาวะอารมณ์ที่เรากำลังพูดถึงมาตลอดหรือ?  นี่คือวิธีที่จะอธิบายภาวะอารมณ์หรือ?  (ข้าแต่พระเจ้า ความเข้าใจของข้าพระองค์เกี่ยวกับภาวะอารมณ์ก็คือ ภาวะอารมณ์ส่วนใหญ่ประกอบด้วยความหงุดหงิด ความรำคาญ ควบคู่ไปกับความยินดี ความโกรธ ความเศร้า และความชื่นบานยินดี)  นี่เป็นการลงความเห็นที่เหมาะสม  ดังนั้นสิ่งที่เพิ่งถูกเอ่ยไปเมื่อครู่เกี่ยวกับการที่ผู้คนทำสิ่งทั้งหลายไปตามที่พวกเขารู้สึก นั่นเป็นภาวะอารมณ์หนึ่งหรือไม่?  (นั่นเป็นแค่การสำแดง)  นั่นเป็นการสำแดงภาวะอารมณ์ประเภทหนึ่ง  การรู้สึกไม่ดี หงุดหงิด และจิตตก—เหล่านี้เป็นการสำแดงของภาวะอารมณ์ แต่ไม่ใช่นิยามจำกัดความของภาวะอารมณ์แต่อย่างใดเลย  ดังนั้นผู้คนควรเข้าใจภาวะอารมณ์สารพัน—อันเป็นสิ่งแรกที่พวกเขาจำเป็นต้องละวางในการไล่ตามเสาะหาความจริงกันอย่างไร?  ในยามที่ผู้คนละวางภาวะอารมณ์สารพัน พวกเขากำลังละวางสิ่งใด?  เป็นการละวางอารมณ์ ความคิด และภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นในหลากหลายสถานการณ์และบริบท รวมไปถึงผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งนานาสารพัน  บางส่วนของภาวะอารมณ์เหล่านี้กลายเป็นความเอาแต่ใจตนของบุคคล  และแม้บางภาวะอารมณ์ไม่ได้กลายมาเป็นความเอาแต่ใจตนของบุคคล แต่บ่อยครั้งที่ภาวะอารมณ์เหล่านี้ยังสามารถส่งผลต่อท่าทีของบุคคลในการกระทำทั้งหลายของพวกเขา  แล้วภาวะอารมณ์เหล่านี้มีอะไรบ้าง?  ตัวอย่างก็คือ ภาวะอารมณ์เหล่านี้ประกอบไปด้วยความหม่นหมอง ความเกลียดชัง ความโกรธ ความหงุดหงิด ความไม่สบายใจ ตลอดจนความรู้สึกเก็บกด และความมีปมด้อย และการหลั่งน้ำตาแห่งความชื่นบานยินดี—เหล่านี้สามารถถือเป็นภาวะอารมณ์ได้หมด  เหล่านี้เป็นการสำแดงที่เป็นรูปธรรมของภาวะอารมณ์ใช่หรือไม่?  (ใช่)  หลังจากที่พูดแบบนี้ไป พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าภาวะอารมณ์คืออะไร?  ภาวะอารมณ์มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความนิ่งเฉยและความใจร้อนที่พวกเจ้าเอ่ยไปหรือไม่?  (ไม่)  สิ่งเหล่านี้ไม่มีความสัมพันธ์กันเลย  แล้วสิ่งเหล่านั้นที่พวกเจ้าเอ่ยถึงคืออะไร?  (อุปนิสัยเสื่อมทราม)  สิ่งเหล่านั้นเป็นการสำแดงประเภทหนึ่งของอุปนิสัยเสื่อมทราม  ภาวะอารมณ์ทั้งหลายที่เราเพิ่งแจงรายการไปเมื่อครู่ ความเก็บกด ความหม่นหมอง ความมีปมด้อยและอื่นๆ มีอะไรเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือไม่?  (ภาวะอารมณ์ที่พระเจ้าเพิ่งตรัสถึงเมื่อครู่ไม่สัมพันธ์กับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ภาวะอารมณ์เหล่านี้ไม่ใช่ส่วนประกอบของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม)  แล้วภาวะอารมณ์เหล่านี้คืออะไร?  ภาวะอารมณ์เหล่านี้คือความยินดี ความโกรธ ความเศร้า และความชื่นบานยินดีของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ อีกทั้งเป็นสภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นการสำแดงทั้งหลายที่ถูกเผยออกมาเมื่อผู้คนเผชิญสถานการณ์บางอย่าง  บางทีบางภาวะอารมณ์ก็ถูกทำให้เกิดขึ้นโดยอุปนิสัยเสื่อมทราม ในขณะที่ภาวะอารมณ์อื่นยังไม่ถึงขั้นนั้นและไม่สัมพันธ์กับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม กระนั้นสิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่จริงๆ ในความคิดของผู้คน  ในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้น ไม่ว่าผู้คนเผชิญกับสถานการณ์อะไรหรือบริบทคืออะไร เป็นธรรมดาที่ภาวะอารมณ์เหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินและทัศนะของพวกเขาในระดับหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง และจะมีอิทธิพลต่อตำแหน่งที่ผู้คนควรอยู่และเส้นทางที่ผู้คนควรเดิน  สารพัดภาวะอารมณ์ที่พวกเราเพิ่งพูดกันไปส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นลบ  มีอะไรบ้างไหมที่ค่อนข้างเป็นกลาง ที่ไม่เป็นลบและไม่เป็นบวก?  ไม่มี ไม่มีอะไรที่ค่อนข้างเป็นบวกเลย  ความกดดัน ความหม่นหมอง ความเกลียดชัง ความโกรธ ความมีปมด้อย ความหงุดหงิด ความไม่สบายใจ และความเก็บกด—ทั้งหมดนี้เป็นภาวะอารมณ์ที่ค่อนข้างเป็นลบ  ภาวะอารมณ์ใดๆ เหล่านี้ทำให้ผู้คนสามารถเผชิญหน้ากับชีวิต การดำรงอยู่แบบมนุษย์ และสถานการณ์ทั้งหลายที่พวกเขาเผชิญในชีวิตอย่างเป็นบวกได้หรือไม่?  ไม่มีภาวะอารมณ์ที่เป็นบวกเลยหรือ?  (ไม่มี)  ทั้งหมดนั้นเป็นภาวะอารมณ์ที่ค่อนข้างเป็นลบ  แล้วภาวะอารมณ์ใดที่พอจะดีกว่ากันบ้าง?  การโหยหาและการคิดถึงล่ะ?  (ภาวะอารมณ์เหล่านี้ค่อนข้างเป็นกลาง)  ใช่ ภาวะอารมณ์เหล่านี้สามารถเป็นกลางได้  มีอะไรอื่นอีกไหม?  ความอาลัยอาวรณ์ การถวิลหา การทนุถนอม  ภาวะอารมณ์เหล่านี้ที่พวกเรากำลังพูดถึงนั้นอ้างอิงถึงอะไร?  ภาวะอารมณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจและดวงจิตมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง สามารถจับจองหัวใจและความคิดของผู้คนบ่อยครั้ง และสามารถส่งผลต่ออารมณ์ของผู้คน รวมถึงทัศนะและท่าทีของพวกเขาที่มีต่อการทำสิ่งทั้งหลายบ่อยครั้ง  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าภาวะอารมณ์เหล่านี้ถูกพบในชีวิตจริงของผู้คน หรือในการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขาหรือไม่ ภาวะอารมณ์เหล่านี้ก็จะแทรกแซงหรือส่งอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของผู้คนและส่งผลต่อท่าทีของผู้คนที่มีต่อหน้าที่ของตนไม่มากก็น้อย  แน่นอนว่า ภาวะอารมณ์เหล่านี้จะส่งผลต่อการตัดสินของผู้คนและตำแหน่งของพวกเขายามไล่ตามเสาะหาความจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกที่ค่อนข้างเป็นลบและนิ่งเฉยเหล่านี้จะมีผลกระทบมหาศาลต่อผู้คน  เมื่อผู้คนพัฒนาความทรงจำขึ้นมา และเริ่มสำนึกได้ถึงภาวะอารมณ์อันหลากหลายของตนเอง หรือเริ่มสร้างความตระหนักรู้ที่ระลึกได้ถึงเหตุการณ์และสิ่งทั้งหลาย สภาพแวดล้อม และผู้คนอื่น ภาวะอารมณ์สารพัดของพวกเขาก็เริ่มเกิดขึ้นและเป็นรูปเป็นร่างอย่างค่อยเป็นค่อยไป  ครั้นภาวะอารมณ์เหล่านี้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว จากนั้นเมื่อผู้คนแก่ตัวลงและได้รับประสบการณ์กับเรื่องราวทางโลกมากขึ้น ภาวะอารมณ์เหล่านี้ก็ค่อยๆ เริ่มยึดฐานที่มั่นภายในตัวพวกเขา ภายในส่วนลึกของหัวใจพวกเขา กลายเป็นครอบงำคุณสมบัติพิเศษของความเป็นมนุษย์แบบปัจเจกบุคคลของพวกเขา  ภาวะอารมณ์เหล่านั้นค่อยๆ ชี้นำบุคลิกภาพแบบเฉพาะตนของพวกเขา ความยินดี ความโกรธ ความเศร้าและความชื่นบานของพวกเขา ความชื่นชอบของพวกเขา ตลอดจนการไล่ตามเสาะหาเป้าหมายและทิศทางของชีวิตของพวกเขา เป็นต้น  นั่นคือเหตุผลที่ภาวะอารมณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้ต่อทุกตัวบุคคล  เหตุใดเราจึงพูดแบบนี้?  เพราะทันทีที่ผู้คนเริ่มมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเองในเรื่องของสภาพแวดล้อมรอบตัวพวกเขา ภาวะอารมณ์เหล่านี้ก็ค่อยๆ มีอิทธิพลต่อความยินดี ความโกรธ ความเศร้าและความชื่นบานของพวกเขา ภาวะอารมณ์เหล่านี้มีอิทธิพลต่อการตัดสินและความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพของพวกเขา  แน่นอนว่าภาวะอารมณ์เหล่านี้ย่อมจะมีอิทธิพลต่อท่าทีและทัศนะของผู้คนเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาเผชิญหน้าและรับมือกับผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายรอบตัวพวกเขาอีกด้วย  ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้มีอิทธิพลต่อหนทางและหลักธรรมทั้งหลายที่กำกับควบคุมวิธีที่ผู้คนวางตัว ตลอดจนเป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา รวมทั้งบรรทัดฐานสำหรับการวางตัวแบบมนุษย์  พวกเจ้าอาจรู้สึกว่าสิ่งที่เราพูดไปนั้นเข้าใจได้ไม่ง่ายนัก ว่านั่นอาจค่อนข้างเป็นนามธรรม  เราจะให้ตัวอย่างหนึ่งกับพวกเจ้า แล้วจากนั้นพวกเจ้าก็อาจเข้าใจสิ่งทั้งหลายดีขึ้นเล็กน้อย

ก. รู้สึกต่ำต้อย

มีบางคนที่ปัญญาทึบ พูดจาไม่ฉะฉาน และหน้าตาไม่โดดเด่นมาตั้งแต่เด็ก คนอื่นๆ ในครอบครัวและในสังคมจึงวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาในแง่ลบ  ยกตัวอย่างเช่น ผู้คนจะพูดว่า “เด็กคนนี้หัวทึบ ตอบสนองอะไรก็ช้า แล้วพูดจาก็ไม่คล่อง  ดูสิลูกคนนั้นสิ พูดจาหวานหูจนคนหลงใหลจริงๆ  พอเด็กคนนี้พบเจอผู้คน ก็ไม่รู้จะพูดอะไรหรือทำให้คนอื่นมีความสุขได้อย่างไร และเมื่อทำอะไรผิด เขาก็ไม่รู้จักอธิบายหรือแก้ต่างให้ตัวเอง  เด็กคนนี้เป็นเด็กโง่”  พ่อแม่ของเขาพูดเช่นนี้ ญาติ เพื่อน และครูของเขาก็พูดเช่นเดียวกัน  สภาพแวดล้อมเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดแรงกดดันบางอย่างแก่เด็กคนนี้โดยไม่รู้ตัว ทำให้พวกเขาพัฒนากรอบความคิดบางอย่างขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว  กรอบความคิดแบบใด?  พวกเขารู้สึกว่าตนไม่น่าดึงดูดและไม่มีใครชอบรูปลักษณ์ของพวกเขา พวกเขาเรียนไม่เก่งและตอบสนองช้า  พวกเขามักจะรู้สึกเขินอายที่จะอ้าปากพูดเมื่อพบเจอคนอื่นเสมอ และเขินอายเกินกว่าจะกล่าวขอบคุณเมื่อผู้คนให้สิ่งของแก่พวกเขา  พวกเขาคิดในใจว่า “ทำไมฉันถึงพูดจาไม่คล่องอย่างนี้?  ทำไมคนอื่นถึงพูดจาคมคายอย่างนั้น?  ฉันนี่มันโง่จริงๆ!”  ในจิตใต้สำนึก พวกเขาคิดว่าตนไร้ค่าอย่างยิ่ง แต่ก็ยังไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าตนไร้ค่าและโง่เขลาถึงเพียงนั้น  พวกเขามักจะถามตัวเองอยู่ในใจว่า “ฉันโง่ขนาดนั้นจริงๆ หรือ?  ฉันไม่น่ารักขนาดนั้นจริงๆ หรือ?”  พ่อแม่ของพวกเขาไม่ชอบพวกเขา พี่น้องชายหญิง ครู หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียนของพวกเขาก็ไม่ชอบเช่นกัน  และบางครั้งสมาชิกในครอบครัว ญาติ และเพื่อนของพวกเขาก็พูดถึงพวกเขาว่า “เขาตัวเตี้ย ตากับจมูกเล็ก หน้าตาแบบนี้โตขึ้นไปก็คงจะเอาดีไม่ได้”  ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ จากที่เคยรู้สึกต่อต้านในใจในตอนแรก พวกเขาก็ค่อยๆ ยอมรับและรับรู้ถึงความบกพร่องและข้อด้อยของตนเอง แต่ในขณะเดียวกัน อารมณ์ในแง่ลบก็เกิดขึ้นในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา  อารมณ์นี้เรียกว่าอะไร?  ความมีปมด้อย  ผู้ที่รู้สึกว่ามีปมด้อยจะมองเห็นแต่ข้อบกพร่องของตนเองและมองไม่เห็นจุดแข็งของตน  พวกเขามักจะรู้สึกว่าตนเองไม่น่าดึงดูดและไม่เป็นที่ชื่นชอบอยู่เสมอ ความรู้สึกนึกคิดไม่เฉียบแหลมและตอบสนองช้า ไม่สามารถอ่านใจผู้คนได้  สรุปคือ พวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่ดีพอโดยสิ้นเชิง  กรอบความคิดของความมีปมด้อยนี้จะค่อยๆ เข้ามาครอบงำในหัวใจของเจ้า และกลายเป็นอารมณ์ที่ไม่อาจสั่นคลอนซึ่งพันธนาการหัวใจของเจ้าเอาไว้  หลังจากที่เจ้าเติบโตและออกไปสู่โลกภายนอก หรือแต่งงานและสร้างอาชีพแล้ว ไม่ว่าอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมของเจ้าจะเป็นเช่นไร อารมณ์ของความมีปมด้อยที่ถูกปลูกฝังในการเลี้ยงดูของเจ้าตั้งแต่เด็กนี้ยังคงส่งผลและควบคุมเจ้า ทำให้เจ้ารู้สึกว่าเจ้าด้อยกว่าคนอื่นในทุกๆ ด้าน  แม้หลังจากที่เจ้าเริ่มเชื่อในพระเจ้าและเข้าสู่คริสตจักรแล้ว เจ้าก็ยังคงคิดว่าเจ้าพูดไม่เก่ง มีขีดความสามารถต่ำและหน้าตาธรรมดา และไม่สามารถทำหน้าที่ที่สำคัญใดๆ ได้  เจ้าคิดว่า “ฉันจะทำเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน  ฉันไม่จำเป็นต้องไล่ตามไขว่คว้าที่จะเป็นผู้นำ ไม่จำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความเข้าใจในความจริงที่ลึกซึ้ง ฉันก็แค่เต็มใจที่จะเป็นคนที่สำคัญน้อยที่สุด และคนอื่นจะปฏิบัติต่อฉันอย่างไรก็ช่าง”  เมื่อผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัวขึ้น เจ้าก็ไม่กล้าเปิดโปงพวกเขา  เจ้ารู้สึกว่าขีดความสามารถของเจ้าต่ำและเจ้าไม่ดีเท่าพวกเขา และเจ้าไม่สามารถแยกแยะหรือเปิดโปงพวกเขาได้  เจ้าคิดว่าตราบใดที่ตัวเจ้าเองไม่ใช่ผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์และไม่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน นั่นก็เพียงพอแล้ว  ในส่วนลึกของหัวใจเจ้า เจ้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ดีและไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนอื่นได้ ทุกคนอาจเป็นเป้าหมายสำหรับความรอด และอย่างดีที่สุดเจ้าก็เป็นได้แค่คนรับใช้ ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นเกินความสามารถของเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะสามารถเข้าใจความจริงได้มากเพียงใด เจ้าก็ยังคงรู้สึกว่าในเมื่อพระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าให้เจ้ามีขีดความสามารถเช่นนี้และมีหน้าตาเช่นนี้ บางทีพระองค์อาจจะทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าให้เจ้าเป็นเพียงคนรับใช้ และเจ้าก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริง การได้รับความรอด หรือการรับใช้ในฐานะผู้นำหรือผู้ดูแล  ดังนั้นเจ้าจึงยอมจำนนต่อการเป็นคนรับใช้ที่สำคัญน้อยที่สุด  บางทีเจ้าอาจไม่ได้เกิดมาพร้อมกับอารมณ์ของความมีปมด้อยนี้ แต่ในอีกระดับหนึ่ง เป็นเพราะสภาพแวดล้อมในครอบครัวและการเลี้ยงดูของเจ้าได้สร้างบาดแผลให้แก่เจ้า หรือได้ตัดสินเจ้าอย่างไม่ถูกควร เรื่องนี้ทำให้อารมณ์ของความมีปมด้อยเกิดขึ้นในตัวเจ้า  อารมณ์นี้ส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงและการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของเจ้า ทั้งยังจะส่งผลต่อการได้รับความรอดของเจ้าด้วย  เมื่อความตั้งใจแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าถูกกดขี่ แรงจูงใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและเพียรพยายามทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของเจ้าก็จะถูกปิดกั้น  การปิดกั้นนี้ไม่ได้เกิดจากสภาพแวดล้อมรอบตัวเจ้าหรือจากบุคคลใด และแน่นอนว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงลิขิตว่าเจ้าควรทนทุกข์กับมัน แต่เกิดจากอารมณ์ในแง่ลบอย่างรุนแรงที่อยู่ลึกในหัวใจของเจ้า  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)

โดยผิวเผินนั้น ความมีปมด้อยเป็นภาวะอารมณ์หนึ่งที่สำแดงอยู่ในตัวผู้คน แต่ในข้อเท็จจริงนั้น สาเหตุรากเหง้าของความมีปมด้อยก็คือสังคม มวลมนุษย์ และสภาพแวดล้อมนี้ที่ผู้คนดำรงชีวิตอยู่  ทั้งยังเกิดขึ้นจากเหตุผลตามข้อเท็จจริงแวดล้อมของผู้คนเองด้วยเช่นกัน  ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าสังคมและมวลมนุษย์มาจากซาตาน เพราะมวลมนุษย์ทั้งปวงอยู่ภายใต้อำนาจของมารร้ายซึ่งถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครสามารถสอนคนรุ่นถัดไปโดยสอดคล้องกับความจริงหรือกับหลักคำสอนของพระเจ้า แต่กลับจะทำตามสิ่งทั้งหลายที่มาจากซาตานเสียมากกว่า  เพราะฉะนั้น นอกเหนือจากการทำให้อุปนิสัยและแก่นแท้ของผู้คนเสื่อมทรามแล้ว ผลสืบเนื่องของการสอนสิ่งทั้งหลายที่เป็นของซาตานให้กับคนรุ่นถัดไปและสอนให้กับมวลมนุษย์ก็คือ นั่นยังเป็นเหตุให้เกิดภาวะอารมณ์ที่เป็นลบขึ้นในตัวผู้คน  หากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบซึ่งเกิดขึ้นนั้นเป็นการชั่วคราว เช่นนั้นแล้วภาวะอารมณ์เหล่านั้นก็จะไม่ส่งผลมหันต์ต่อชีวิตผู้คน  อย่างไรก็ตาม หากภาวะอารมณ์หนึ่งที่เป็นลบเริ่มหยั่งรากลงในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจและดวงจิตของบุคคลหนึ่ง และกลายเป็นติดแน่นอย่างไม่อาจลบเลือน หากพวกเขาไม่อาจลืมหรือขจัดภาวะอารมณ์นั้นออกไปได้โดยสิ้นเชิง เช่นนั้นภาวะอารมณ์ย่อมจะส่งผลต่อทุกการตัดสินใจของบุคคลนั้น ต่อหนทางที่พวกเขาเข้าจัดการกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายในทุกรูปแบบ ต่อสิ่งที่พวกเขาเลือกเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องทั้งหลายซึ่งเป็นหลักใหญ่ของหลักธรรมและเส้นทางที่พวกเขาจะเดินในชีวิตตนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้—นี่คือผลที่สังคมมนุษย์ที่แท้จริงมีต่อทุกตัวบุคคล  อีกแง่มุมหนึ่งก็คือเหตุผลตามข้อเท็จจริงแวดล้อมของผู้คนเอง  นั่นก็คือ การศึกษาและหลักคำสอนทั้งหลายที่ผู้คนได้รับเมื่อพวกเขาโตขึ้น ความคิดและแนวคิดทั้งหมดตลอดจนหนทางการวางตัวที่พวกเขายอมรับ รวมไปถึงคำกล่าวแบบมนุษย์สารพันล้วนมาจากซาตาน จนถึงจุดที่ผู้คนไม่มีความสามารถที่จะรับมือและปัดเป่าประเด็นปัญหาเหล่านี้ที่พวกเขาเผชิญจากจุดยืนและมุมมองที่ถูกต้อง  เพราะฉะนั้น ภายใต้อิทธิพลของสภาพแวดล้อมอันรุนแรงนี้ อีกทั้งการถูกสภาพแวดล้อมนี้กดขี่และควบคุมโดยไม่รู้ตัว มนุษย์จึงไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากพัฒนาภาวะอารมณ์ที่เป็นลบต่างๆ ขึ้นมาและใช้ภาวะอารมณ์เหล่านั้นเพื่อพยายามต้านทานปัญหาต่างๆ ที่พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือปัดเป่าไป  พวกเรามาใช้ความรู้สึกของความมีปมด้อยเป็นตัวอย่างกันเถิด  พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ผู้เฒ่าผู้แก่และคนอื่นรอบตัวเจ้าล้วนมีการประเมินขีดความสามารถ ความเป็นมนุษย์ และบุคลิกภาพของเจ้าที่ไม่ตรงกับความจริง แล้วในท้ายที่สุดสิ่งที่การนี้ทำกับเจ้าก็คือโจมตีเจ้า ข่มเหงเจ้า สกัดกั้นเจ้า ยับยั้งเจ้า และผูกมัดเจ้าเอาไว้  ในที่สุดเมื่อเจ้าไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนอีกต่อไป เจ้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเลือกชีวิตที่ยอมรับการดูถูกและการดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างเงียบๆ ยอมรับความเป็นจริงที่ไม่ยุติธรรมและไม่เป็นธรรมอย่างเงียบๆ ทั้งที่เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าไม่ถูกต้อง  เมื่อเจ้ายอมรับความเป็นจริงนี้ ภาวะอารมณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในตัวเจ้าในท้ายที่สุดย่อมไม่ใช่ภาวะอารมณ์ที่เป็นสุข พึงพอใจ เป็นบวก หรือมีความก้าวหน้า เจ้าไม่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยแรงจูงใจและทิศทางที่มากขึ้น นับประสาอะไรการที่เจ้าจะไล่ตามเสาะหาเป้าหมายที่ถูกต้องและแม่นยำสำหรับชีวิตมนุษย์ แต่กลับเป็นความรู้สึกฝังลึกของความมีปมด้อยที่เกิดขึ้นในตัวเจ้า  เมื่อภาวะอารมณ์นี้เกิดขึ้นกับเจ้า เจ้ารู้สึกว่าเจ้าไม่รู้จะหันไปทางไหน  เมื่อเจ้าเผชิญกับประเด็นปัญหาที่เจ้าพึงต้องแสดงทัศนะออกมา เจ้าจะพิจารณาสิ่งที่เจ้าต้องการพูดและทัศนะที่เจ้าปรารถนาที่จะแสดงออกในห้วงลึกที่สุดของหัวใจหลายต่อหลายครั้ง กระนั้นเจ้าก็ยังคงไม่สามารถฝืนตัวเองที่จะพูดเปล่งเสียงออกมา  เมื่อใครบางคนแสดงทัศนะเดียวกันกับเจ้า เจ้าก็ปล่อยให้ตัวเองรู้สึกถึงการรับรองยืนยันในหัวใจ เป็นการยืนยันว่าเจ้าไม่ได้แย่กว่าคนอื่น  แต่เมื่อสถานการณ์เดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง เจ้าก็ยังคงพูดกับตัวเองว่า “ฉันไม่สามารถพูดจาได้ตามสบาย ทำอะไรผลุนผลัน หรือทำให้ตัวเองให้เป็นตัวตลกได้  ฉันไม่มีอะไรดี ฉันเบาปัญญา ฉันโง่เขลา ฉันเป็นคนปัญญาอ่อน  ฉันจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีที่จะหลบซ่อนและแค่ฟังแต่อย่าพูด”  จากคำกล่าวนี้พวกเรามองเห็นได้เลยว่า จากจุดที่ความรู้สึกของความมีปมด้อยเกิดขึ้นมาจนถึงจุดที่ความรู้สึกนั้นกลายมาฝังแน่นอยู่ภายในห้วงที่ลึกที่สุดของหัวใจผู้คน พวกเขาย่อมถูกลิดรอนเจตจำนงเสรีและสิทธิอันถูกต้องชอบธรรมที่พระเจ้าได้ประทานให้พวกเขาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาถูกลิดรอนสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว  ใครกันแน่ที่ลิดรอนสิ่งเหล่านี้ไปจากพวกเขา?  เจ้าไม่สามารถพูดได้อย่างแน่นอน จริงไหม?  ไม่มีพวกเจ้าคนใดพูดได้แน่ๆ  นี่เป็นเพราะตลอดทั้งกระบวนการนี้ เจ้าไม่เพียงเป็นเหยื่อ แต่ยังเป็นผู้กระทำผิดอีกด้วย—เจ้าเป็นเหยื่อของผู้อื่น และเจ้าก็ยังเป็นเหยื่อของตัวเองอีกด้วย  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?  เราเพิ่งพูดไปประเดี๋ยวนี้เองว่าเหตุผลหนึ่งของความมีปมด้อยที่เกิดขึ้นในตัวเจ้านั้นมาจากเหตุผลตามข้อเท็จจริงแวดล้อมของเจ้าเอง  นับตั้งแต่เจ้าเริ่มมีการตระหนักรู้ในตนเอง พื้นฐานในการตัดสินเหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายของเจ้าก็มีแหล่งกำเนิดอยู่ในความเสื่อมทรามของซาตาน อีกทั้งทัศนะเหล่านี้ก็ถูกสังคมและมวลมนุษย์ปลูกฝังไว้ในตัวเจ้า และพระเจ้าก็ไม่ได้ทรงสอนเจ้า  เพราะฉะนั้นไม่ว่าในเวลาใดหรือบริบทใดที่ความรู้สึกของความมีปมด้อยเกิดขึ้นมา อีกทั้งไม่ว่าความรู้สึกของความมีปมด้อยของเจ้าได้พัฒนาขึ้นมามากน้อยเพียงใด เจ้าก็ถูกพันธนาการและถูกควบคุมโดยความรู้สึกเหล่านี้อย่างไร้ทางสู้ และเจ้าก็ใช้หนทางที่ถูกซาตานปลูกฝังไว้ในตัวเจ้าเหล่านี้ในการเข้ารับมือกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายรอบตัวเจ้า  เมื่ออารมณ์ของความมีปมด้อยถูกฝังลึกในหัวใจของเจ้า นั่นไม่เพียงส่งผลอันลุ่มลึกต่อเจ้า แต่ยังครอบงำทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมถึงการประพฤติปฏิบัติตนและการกระทำของเจ้าอีกด้วย  แล้วคนที่ถูกความรู้สึกว่าตนมีปมด้อยครอบงำย่อมมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายกันอย่างไร?  พวกเขามองว่าผู้อื่นล้วนดีกว่าตัวเอง และพวกเขาก็ถึงกับมองพวกศัตรูของพระคริสต์ว่าดีกว่าตัวเอง  พวกเขาคิดว่าแม้พวกศัตรูของพระคริสต์จะมีอุปนิสัยชั่วและมีความเป็นมนุษย์ที่เลวร้ายแต่ก็ยังเป็นผู้คนที่ควรเอาเป็นแบบอย่างและเป็นบุคคลตัวอย่างให้เรียนรู้  พวกเขาถึงกับพูดกับตัวเองว่า “แม้พวกเขาจะมีอุปนิสัยไม่ดีและมีความเป็นมนุษย์ที่ชั่ว แต่พวกเขาก็มีพรสวรรค์และมีความสามารถในการทำงานมากกว่าฉัน  พวกเขาสามารถพูดต่อหน้าผู้คนตั้งมากมายโดยไม่หน้าแดงหรือหัวใจเต้นแรง แสดงออกด้วยความคล่องแคล่วและมั่นใจ  พวกเขามีความกล้าจริงๆ  ฉันไม่มีความกล้าหาญแบบนั้นหรอก”  อะไรทำให้เกิดความคิดเช่นนี้?  ต้องพูดว่าเหตุผลส่วนหนึ่งก็คือ อารมณ์ของความมีปมด้อยของเจ้าได้ส่งผลต่อการตัดสินแก่นแท้ผู้คนของเจ้า รวมถึงจุดยืนและมุมมองของเจ้าเมื่อเป็นเรื่องของการมองผู้อื่น  ไม่ใช่เช่นนี้หรอกหรือ?  (เป็นเช่นนี้)  แล้วอารมณ์ของความมีปมด้อยส่งผลต่อการประพฤติปฏิบัติตนของเจ้าอย่างไร?  เจ้าพูดว่า “ฉันเกิดมาเป็นคนโง่โดยสิ้นเชิง ไม่มีพรสวรรค์หรือจุดแข็งเลย และฉันก็เรียนรู้ทุกอย่างได้ช้า  ดูคนนั้นคนนี้สิ แม้บางครั้งพวกเขาจะเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน ซ้ำบางครั้งยังบุ่มบ่ามกระทำการตามอำเภอใจ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีพรสวรรค์และมีจุดแข็ง  พวกเขาพูดจาคมคายและเป็นที่ยอมรับไม่ว่าจะไปที่ไหน แต่ฉันกลับไม่เอาไหน ฉันพูดไม่เก่ง”  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าตัดสินตัวเองไปก่อนแล้วว่าเจ้าไม่ดีและปิดกั้นตัวเอง  ไม่ว่าจะเป็นประเด็นใด เจ้าก็ถอยหนีและหลีกเลี่ยงที่จะเป็นฝ่ายริเริ่ม เพราะกลัวว่าจะถูกขอให้แบกรับงานบางอย่าง  “ฉันเกิดมาโง่  ไม่ว่าจะไปที่ไหน ผู้คนก็ดูถูกฉัน  ฉันต้องไม่พยายามทำตัวให้โดดเด่น  ฉันต้องไม่โอ้อวดทักษะวิชาชีพเพียงน้อยนิดที่ฉันมี  ถ้ามีคนแนะนำฉันให้ทำงานนี้ นั่นย่อมพิสูจน์ว่าฉันใช้ได้  แต่ถ้าไม่มีใครแนะนำฉัน ฉันก็ต้องไม่ริเริ่มที่จะบอกว่าฉันสามารถทำงานนี้ได้  ฉันไม่สามารถพูดอะไรที่ฉันไม่มั่นใจอย่างส่งเดชได้—ถ้าฉันทำงานได้ไม่ดีล่ะ?  และถ้าฉันถูกตัดแต่ง ฉันคงจะอับอายมาก!  นั่นจะเป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่งไม่ใช่หรือ?  ฉันจะเป็นคนแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด”  เห็นไหมว่ามันส่งผลต่อการประพฤติปฏิบัติตนของเจ้ามิใช่หรือ?  ในระดับหนึ่ง ท่าทีของเจ้าเกิดจากอิทธิพลและการควบคุมของอารมณ์ของความมีปมด้อย  อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นผลสืบเนื่องที่เกิดจากอารมณ์ของความมีปมด้อย

ภายใต้อิทธิพลของความรู้สึกของความมีปมด้อยนี้ ส่งผลต่อการที่เจ้าคำนึงถึงผู้คนประเภทต่างๆ อย่างไร ทั้งผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ มีความเป็นมนุษย์แบบพอควร ไม่มีความเป็นมนุษย์หรือมีความเป็นคนชั่ว?  ไม่มีทัศนะใดที่เจ้ามีต่อผู้คนซึ่งสอดคล้องกับความจริงหรือสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า นับประสาอะไรที่ทัศนะเหล่านั้นจะตรงกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  ในเวลาเดียวกัน ภายใต้อิทธิพลของความรู้สึกของความมีปมด้อยนี้ เจ้าเลือกที่จะประพฤติปฏิบัติตนอย่างรอบคอบ ระมัดระวังและขลาดกลัว และในเวลาส่วนใหญ่แล้ว เจ้านิ่งเฉยและหดหู่  เจ้าไม่มีความมุ่งมั่นหรือแรงจูงใจที่เปี่ยมพลัง และเมื่อเจ้ามีความเอนเอียงไปในเชิงรุกและเป็นบวก รวมทั้งปรารถนาที่จะรับงานเล็กๆ น้อยๆ เจ้าคิดว่า “นี่ไม่ใช่ว่าฉันกำลังโอหังหรอกหรือ?  ฉันไม่ได้กำลังพยายามทำตัวให้สะดุดตาหรอกหรือ?  ฉันไม่ได้กำลังโอ้อวดหรอกหรือ?  ฉันไม่ได้กำลังอวดตนหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่ความอยากของฉันที่มีต่อสถานะหรอกหรือ?”  เจ้าไม่สามารถเข้าใจได้ว่าอะไรคือธรรมชาติของการกระทำของตัวเจ้าเองกันแน่  ความจำเป็น ความทะเยอทะยาน ความมุ่งมั่น และความอยากอันชอบธรรมทั้งหลายของความเป็นมนุษย์ รวมถึงสิ่งที่เจ้าสามารถพากเพียรจนสัมฤทธิ์ผล สิ่งที่ถูกที่ควรและที่เจ้าควรทำ เจ้าจะคิดถึงสิ่งเหล่านี้หลายตลบ และไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้หลายหนในหัวใจของเจ้า  ยามค่ำคืนที่เจ้ามิอาจข่มตาหลับ เจ้าจะใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ฉันควรรับงานนั้นหรือ?  โอ แต่ฉันไม่ดีพอ ฉันไม่กล้าทำหรอก  ฉันทั้งทึ่มทั้งเบาปัญญา  ฉันไม่มีของประทานที่บุคคลนั้นมี และไม่มีขีดความสามารถ!”  ตอนที่เจ้ากำลังกิน เจ้าก็คิดว่า “พวกเขากินวันละสามมื้อและปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอย่างดี แล้วชีวิตพวกเขาก็มีคุณค่า  ฉันกินวันละสามมื้อแต่ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี และชีวิตฉันก็ไม่มีคุณค่าอะไรสักอย่าง  ฉันเป็นหนี้พระเจ้าและเป็นหนี้เหล่าพี่น้องชายหญิง!  ฉันไม่คู่ควรและไม่ควรกินอาหารแม้แต่จานเดียว”  เมื่อใครบางคนขี้ขลาดเกินไป พวกเขาย่อมไร้ค่า และพวกเขาก็ไม่สามารถสำเร็จลุล่วงสิ่งใดได้เลย  ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา เมื่อผู้คนที่ขี้ขลาดประจันหน้ากับความลำบากยากเย็นบางอย่าง พวกเขาก็ถอยหนี  ทำไมพวกเขาจึงทำแบบนี้?  เหตุผลหนึ่งก็คือ การนี้มีสาเหตุมาจากความรู้สึกของความมีปมด้อยของพวกเขา  เพราะพวกเขารู้สึกมีปมด้อย พวกเขาจึงไม่กล้าออกหน้านำคนอื่น พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะรับภาระผูกพันและหน้าที่รับผิดชอบที่พวกเขาควรต้องรับ ทั้งพวกเขายังไม่สามารถรับทำสิ่งซึ่งพวกเขาก็สามารถสัมฤทธิ์ผลได้อย่างแท้จริงภายในขอบเขตของความสามารถและขีดความสามารถของตนเอง และภายในขอบเขตของประสบการณ์แห่งความเป็นมนุษย์ของตนเอง  ความรู้สึกของความมีปมด้อยนี้ส่งผลต่อทุกแง่มุมของความเป็นมนุษย์ ส่งผลต่อบุคลิกภาพของพวกเขา และแน่นอนว่าส่งผลต่อบุคลิกลักษณะของพวกเขาด้วยเช่นกัน  เมื่อล้อมวงอยู่กับผู้อื่น นานๆ ครั้งพวกเขาจึงจะแสดงทัศนะของตนเองและเจ้าก็แทบไม่เคยได้ยินพวกเขาอธิบายจุดยืนหรือความคิดเห็นของพวกเขาอย่างชัดเจนเลย  เมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหา พวกเขาไม่กล้าพูด แต่พวกเขากลับหดหนีและล่าถอยแทนเสมอ  เมื่อมีผู้คนอยู่ตรงนั้นไม่กี่คน พวกเขารู้สึกกล้าพอที่จะนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น แต่เมื่อมีผู้คนอยู่ตรงนั้นมากมาย พวกเขาก็มองหาซอกมุมและมุ่งไปตรงจุดที่แสงสลัว ไม่กล้าร่วมวงกับผู้อื่น  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาต้องการพูดบางสิ่งอย่างในเชิงรุกและเชิงบวก รวมทั้งแสดงทัศนะและความคิดเห็นของตนเองเพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเขาคิดนั้นถูกต้อง พวกเขาไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะทำเช่นนั้น  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีแนวคิดดังกล่าว ความรู้สึกของความมีปมด้อยของพวกเขาก็ทะลักทลายออกมาทันที และความรู้สึกนั้นก็ควบคุมพวกเขา สกัดกั้นพวกเขา บอกพวกเขาว่า “อย่าพูดอะไรนะ เธอไม่มีดี  อย่าแสดงทัศนะของเธอนะ เก็บแนวคิดไว้กับตัวก็พอ  ถ้าไม่มีอะไรในใจที่เธออยากพูดจริงๆ ก็แค่จดบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์และขบคิดเรื่องนั้นกับตัวเอง  เธอต้องไม่ให้ใครอื่นรู้เรื่องนั้น  ถ้าเกิดเธอพูดอะไรผิดไปจะเป็นยังไง?  คงน่าขายหน้ามากทีเดียว!”  เสียงนี้พร่ำบอกเจ้าไม่ให้ทำสิ่งนี้ไม่ให้ทำสิ่งนั้น ไม่ให้พูดสิ่งนี้ไม่ให้พูดสิ่งนั้น เป็นเหตุให้เจ้ากลืนทุกคำที่เจ้าปรารถนาจะพูดลงคอ  เมื่อมีบางสิ่งที่เจ้าต้องการพูดซึ่งเจ้าคิดกลับไปกลับมาอยู่ในหัวใจมานานแล้ว เจ้าถอดใจไม่กล้าพูด หรือไม่เช่นนั้นเจ้าก็รู้สึกกระดากที่จะพูดออกไปโดยเชื่อว่าเจ้าไม่ควรทำ และหากเจ้าทำ เจ้าก็รู้สึกราวกับว่าเจ้าได้ทำผิดกฎเกณฑ์หรือละเมิดกฎหมายบางอย่าง  และเมื่อถึงวันหนึ่งที่เจ้าได้แสดงทัศนะของเจ้าเองออกไปอย่างแข็งขัน ลึกลงไปข้างในเจ้ากลับรู้สึกกระวนกระวายและไม่สบายใจเกินเปรียบปาน  แม้ความรู้สึกไม่สบายใจอันใหญ่หลวงนี้ค่อยๆ จางไป แต่ความรู้สึกของความมีปมด้อยของเจ้ากลับค่อยๆ บดบังแนวคิด เจตนารมณ์และแผนการที่เจ้ามีสำหรับความต้องการที่จะพูด ความต้องการที่จะแสดงออก ความต้องการที่จะเป็นบุคคลปกติ และความต้องการแค่อยากจะเป็นเหมือนคนอื่น  คนเหล่านั้นที่ไม่เข้าใจเจ้าเชื่อว่าเจ้าเป็นบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะแบบพูดน้อย เงียบขรึม ขี้อาย เป็นใครบางคนที่ไม่ชอบโดดเด่นออกจากฝูงชน  ยามที่เจ้าพูดต่อหน้าคนอื่นจำนวนมาก เจ้ารู้สึกกระดากอายและหน้าเจ้าก็แดง เจ้าค่อนข้างเก็บตัว และตามที่เป็นจริงนั้น เจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองรู้สึกมีปมด้อย  หัวใจเจ้าเต็มไปด้วยความรู้สึกของความมีปมด้อย และความรู้สึกนี้วนเวียนอยู่เป็นเวลานานแล้ว นี่ไม่ใช่ความรู้สึกชั่วคราว  ในทางกลับกัน ความรู้สึกนี้ควบคุมความคิดของเจ้าจากส่วนลึกภายในดวงจิตของเจ้า ปิดปากเจ้าเสียสนิท ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าเจ้าเข้าใจสิ่งทั้งหลายถูกต้องแค่ไหน หรืออะไรคือทัศนะและความคิดเห็นที่เจ้ามีต่อผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลาย เจ้ากล้าเพียงแค่คิดกลับไปกลับมาอยู่ในหัวใจของเจ้าเท่านั้น ไม่เคยกล้าที่จะเปล่งเสียงออกมา  ไม่ว่าผู้อื่นอาจจะเห็นชอบกับสิ่งที่เจ้าพูด หรือแก้ไขและวิจารณ์เจ้าหรือไม่ เจ้าก็จะไม่กล้าเผชิญหน้าหรือมองดูจุดจบแบบนั้นอยู่ดี  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?  นั่นก็เป็นเพราะความรู้สึกของความมีปมด้อยนั้นอยู่ภายในตัวเจ้า คอยบอกเจ้าว่า “อย่าทำอย่างนั้นนะ เธอยังเก่งไม่พอ  เธอไม่มีขีดความสามารถแบบนั้น เธอไม่มีความเป็นจริงประเภทนั้น เธอไม่ควรทำเช่นนั้น นั่นไม่ใช่เธอเลย  อย่าเพิ่งทำอะไรหรือคิดอะไรตอนนี้  เธอจะเป็นตัวเธอที่แท้จริงด้วยการใช้ชีวิตอยู่กับความมีปมด้อยเท่านั้น  เธอไม่มีคุณสมบัติพอที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง หรือเปิดใจและพูดสิ่งที่เธอต้องการและเชื่อมสัมพันธ์กับผู้อื่นเหมือนที่ผู้คนอื่นทำกัน  และนั่นก็เป็นเพราะเธอไม่มีดีอะไร เธอไม่ดีเท่าพวกเขา”  ความรู้สึกของความมีปมด้อยนี้ชี้นำการคิดภายในจิตใจของผู้คน ความรู้สึกนี้ยับยั้งไม่ให้พวกเขาลุล่วงภาระผูกพันที่บุคคลปกติควรปฏิบัติ และยับยั้งพวกเขาจากการดำรงชีวิตแห่งความเป็นมนุษย์ที่ปกติซึ่งพวกเขาควรกำลังใช้ชีวิตอยู่ ในขณะที่ความรู้สึกนั้นก็ชี้นำหนทางและวิถีทาง รวมถึงทิศทางและเป้าหมายของวิธีที่พวกเขาคำนึงถึงผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วิธีที่พวกเขาวางตัวและปฏิบัติตนด้วยเช่นกัน  ต่อให้พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาควรเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์และพวกเขาก็ชื่นชมการเป็นบุคคลซื่อสัตย์ กระนั้นพวกเขาก็ไม่เคยกล้าที่จะแสดงความพึงปรารถนาของตนที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ในวาจาและความประพฤติเพื่อที่จะเข้าไปสู่ชีวิตแห่งการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์  เพราะความรู้สึกของความมีปมด้อยของพวกเขา พวกเขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์—พวกเขาปราศจากความกล้าหาญโดยสิ้นเชิง  เมื่อพวกเขาพูดบางสิ่งที่ซื่อสัตย์จริงๆ พวกเขาก็รีบมองไปที่ผู้คนรอบตัวและคิดว่า “มีใครกำลังเกิดความคิดเห็นเกี่ยวกับฉันหรือเปล่า?  พวกเขาจะคิดหรือไม่ว่า ‘คุณกำลังพยายามเป็นคนซื่อสัตย์หรือ?  คุณไม่ใช่แค่ต้องการเป็นคนซื่อสัตย์เพียงเพื่อให้คุณสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่แค่ความอยากที่จะได้รับการอวยพรหรอกหรือ?’  โอ้ ไม่นะ ฉันไม่กล้าพูดอะไรเลย  พวกเขาทุกคนสามารถพูดจาอย่างซื่อสัตย์ได้ มีแต่ฉันนี่แหละที่ทำไม่ได้  ฉันไม่มีคุณสมบัติเหมือนพวกเขา ฉันเป็นพวกปลายแถว”  พวกเรามองเห็นได้จากการสำแดงและการเผยเฉพาะเหล่านี้ว่า ทันทีที่ภาวะอารมณ์หนึ่งซึ่งเป็นลบนี้ของความรู้สึกของความมีปมด้อย—เริ่มเข้ามามีผลและได้หยั่งรากลงในหัวใจส่วนที่ลึกที่สุดของผู้คน เช่นนั้นแล้ว เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง หาไม่แล้วนั่นก็จะยากเย็นมากสำหรับพวกเขาที่จะขุดรากถอนโคนมันขึ้นมาและฝ่าพ้นจากการควบคุมของความรู้สึกนั้น และพวกเขาก็จะถูกควบคุมโดยความรู้สึกนี้ในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  แม้ไม่สามารถพูดได้ว่าความรู้สึกนี้เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่นั่นก็ได้เป็นเหตุให้เกิดผลที่เป็นลบอย่างร้ายแรง นั่นทำอันตรายร้ายแรงต่อความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และส่งผลกระทบที่เป็นลบอย่างใหญ่หลวงต่อภาวะอารมณ์สารพัด รวมทั้งต่อวาทะและการกระทำของความเป็นมนุษย์ปกติของพวกเขาพร้อมกับผลสืบเนื่องที่รุนแรงอย่างมาก  อิทธิพลรองของความรู้สึกนี้ก็คือส่งผลต่อบุคลิกลักษณะของพวกเขา ความชื่นชอบของพวกเขาและความทะเยอทะยานของพวกเขา อิทธิพลหลักของความรู้สึกนี้ก็คือการส่งผลต่อวัตถุประสงค์และทิศทางในชีวิต  จากต้นเหตุทั้งหลายของความรู้สึกของความมีปมด้อย จากกระบวนการของความรู้สึกนี้และจากผลสืบเนื่องที่ความรู้สึกนี้นำมาสู่บุคคลหนึ่ง จากแง่มุมใดก็ตามที่เจ้ามองความรู้สึกนี้ ความรู้สึกนี้ไม่ใช่บางสิ่งที่ผู้คนควรละวางหรอกหรือ?  (ใช่)  คนบางคนพูดว่า “ฉันไม่คิดว่าฉันมีปมด้อย และฉันไม่อยู่ภายใต้การควบคุมประเภทใดทั้งนั้น  ไม่มีใครเคยยั่วยุฉันหรือดูเบาฉัน และไม่มีใครเคยสกัดกั้นฉัน  ฉันดำรงชีวิตอยู่อย่างมีอิสระมาก ดังนั้นนั่นไม่ได้หมายความว่า ฉันไม่มีความรู้สึกของความมีปมด้อยหรอกหรือ?”  นี่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง บางครั้งพวกเรายังมีความรู้สึกของความมีปมด้อยนั้นอยู่)  เจ้าอาจยังคงมีความรู้สึกนี้อยู่ไม่มากก็น้อย  ความรู้สึกนี้อาจไม่ครอบงำส่วนลึกที่สุดของหัวใจเจ้า แต่ในบางสถานการณ์ ความรู้สึกนั้นก็สามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วอึดใจ  ตัวอย่างเช่น เจ้าบังเอิญได้พบกับใครบางคนที่เจ้านิยมชมชอบ ใครบางคนที่มีความสามารถพิเศษมากกว่าเจ้ามากมาย ใครบางคนซึ่งมีทักษะพิเศษและมีของประทานมากกว่าเจ้า ใครบางคนที่มีอำนาจครอบงำมากกว่าเจ้า ใครบางคนที่ชอบวางอำนาจมากกว่าเจ้า ใครบางคนที่ชั่วกว่าเจ้า ใครบางคนที่สูงกว่าและมีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่าเจ้า ใครบางคนที่มีฐานะทางสังคม ใครบางคนที่รวย ใครบางคนที่มีการศึกษามากกว่าและมีสถานะสูงกว่าเจ้า ใครบางคนที่อายุมากกว่าและเชื่อในพระเจ้ามานานกว่า ใครบางคนที่มีประสบการณ์และความเป็นจริงในการเชื่อในพระเจ้าของตนมากกว่า แล้วจากนั้นเจ้าก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกของความมีปมด้อยไม่ให้เกิดขึ้นได้เลย  เมื่อความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมา “การดำรงชีวิตอยู่อย่างอิสระมาก” ของเจ้าก็อันตรธาน เจ้ากลายเป็นขลาดกลัวและประสาทเสีย เจ้าตริตรองหาวิธีที่จะเรียบเรียงคำพูดให้เป็นประโยค สีหน้าเจ้าก็กลายเป็นผิดธรรมชาติ เจ้ารู้สึกถูกยับยั้งคำพูดและการเคลื่อนไหว และเจ้าก็เริ่มปั้นแต่งตัวเองขึ้นมา  การสำแดงเหล่านี้และการสำแดงอื่นๆ เกิดขึ้นก็เพราะการเกิดขึ้นของความรู้สึกของความมีปมด้อย  แน่นอนว่า ความรู้สึกของความมีปมด้อยนี้เป็นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม และเมื่อความรู้สึกนี้เกิดขึ้น เจ้าก็แค่จำเป็นต้องตรวจสอบตัวเอง มีวิจารณญาณแยกแยะและไม่ถูกความรู้สึกนี้ควบคุม

ข. อารมณ์เกลียดชังและโมโห

ภาวะอารมณ์อันหลากหลายที่จำเป็นต้องถูกละวางซึ่งพวกเรากำลังเสวนากันในวันนี้เป็นสิ่งที่ฝังลึกในดวงจิตของผู้คน  ผลที่สิ่งเหล่านี้มีต่อเจ้านั้นไม่ใช่แบบชั่วครู่ชั่วยาม แต่ผลของสิ่งเหล่านี้เป็นวงกว้างและลึกล้ำ  ยามที่เจ้ากำลังรู้สึกยากที่จะนอนหลับกลางดึก ยามที่เจ้าอยู่เพียงลำพัง ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นเหตุให้เกิดภาวะอารมณ์ที่เป็นลบขึ้นในตัวเจ้า และหยั่งรากลึกลงในความทรงจำของเจ้า ก็จะลอยขึ้นมาบนพื้นผิวของความรู้สึกนึกคิดของเจ้าทีละน้อย  คำพูด เสียง แม้แต่คำสบถ การทุบตี สถานที่เกิดเหตุ สิ่งของ กลุ่มคน หรือลำดับเหตุการณ์จากต้นจนจบ—ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งเหล่านี้จากส่วนลึกในความทรงจำของเจ้าซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะอารมณ์ที่เป็นลบทุกรูปแบบขึ้นในตัวเจ้า ปรากฎต่อหน้าความรู้สึกนึกคิดของเจ้าราวกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง  ภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายวนซ้ำแล้วซ้ำอีก จนในที่สุดเจ้าก็ถอยกลับเข้าไปอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบที่ซ่อนลึกอยู่ในดวงจิตเจ้า และเข้าไปสู่ช่วงเวลาที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเจ้า ความเป็นมนุษย์ของเจ้า บุคลิกภาพของเจ้า และชีวิตภายหน้าของเจ้าโดยไม่ทันตระหนัก  ยามเจ้าอยู่เพียงลำพัง ยามเจ้าประจันหน้ากับความลำบากยากเย็น ยามเจ้าต้องทำการตัดสินใจ และยามเจ้าท้อแท้สิ้นหวัง เจ้าได้แต่ขดตัวจนกลมและหลบหน้าทุกคน ล่าถอยต่อสถานการณ์นั้น เหตุการณ์นั้น และผู้คนกลุ่มนั้นซึ่งเป็นเหตุแห่งความเจ็บปวดของเจ้ากลับไปอยู่ในส่วนลึกที่สุดของตัวเอง  แม้ว่าผู้คน เหตุการณ์และสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เจ้ารู้สึกถูกเล่นงานและสิ่งเหล่านี้ทำร้ายเจ้า ทั้งยังปลูกเพาะภาวะอารมณ์ที่เป็นลบทุกลักษณะไว้ในตัวเจ้า ยามที่เจ้ารู้สึกจิตตกและหดหู่ ยามที่เจ้าเผชิญหน้ากับความล้มเหลว แม้แต่ในยามที่เจ้ากำลังถูกตัดแต่งหรือถูกพี่น้องชายหญิงของเจ้าปฏิเสธ เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากล่าถอยเข้าไปอยู่ในความรู้สึกซึ่งเป็นลบที่ส่งอิทธิพลต่อชีวิตเจ้า ไม่ว่าจะเป็นความซึมเศร้า ความเกลียดชัง ความโกรธ หรือความมีปมด้อย  แม้ภาวะอารมณ์เหล่านี้นำพาความเจ็บปวดทุกรูปแบบมาสู่เจ้า หรือมิฉะนั้นก็ทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบายใจ หรือภาวะอารมณ์เหล่านี้ทำให้เจ้าร้องไห้ หรือทำให้เจ้ารู้สึกหงุดหงิด เจ้าก็ยังคงไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้เอาแต่กลับไปสู่ภาวะอารมณ์ซึ่งเป็นลบนั้นที่เจ้ารู้สึกอยู่ในขณะนั้น  เมื่อเจ้ากลับไปสู่ช่วงเวลานั้น ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบย่อมมีอิทธิพลรุนแรงต่อเจ้าอีกครั้ง  เมื่อภาวะอารมณ์ที่เป็นลบนี้ส่งผลต่อเจ้า ย้ำเตือนเจ้า และปลุกให้เจ้าตื่นตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาวะอารมณ์นี้ก็ย่อมขัดขวางการฟังพระวจนะของพระเจ้าของเจ้าและความเข้าใจในหลักธรรมความจริงทั้งหลายของเจ้าอย่างมองไม่เห็น  เมื่อภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้เกิดขึ้นในห้วงลึกที่สุดของหัวใจเจ้าอีกครั้ง เมื่อภาวะอารมณ์เหล่านี้เข้าครอบงำความคิดของเจ้า ความสนใจในความจริงของเจ้าก็ยิ่งกลายเป็นอ่อนกำลังลง ถึงขั้นแปรเป็นความรังเกียจ หรืออาจเกิดความรู้สึกต่อต้านขัดขืนขึ้น  เพราะความเจ็บปวดและการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมที่เจ้าได้รับในอดีต เจ้าอาจมองมวลมนุษย์และสังคมอย่างเป็นปฏิปักษ์มากขึ้น และเกลียดชังทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว แน่นอนว่ารวมถึงทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเช่นกัน  ภาวะอารมณ์เหล่านี้กำลังสำแดงอย่างต่อเนื่องภายในหัวใจเจ้า และภาวะอารมณ์เหล่านั้นก็ส่งอิทธิพลครั้งแล้วครั้งเล่าต่อความรู้สึก สภาวะและภาวะของเจ้า  ภาวะอารมณ์เหล่านี้ยังส่งอิทธิพลครั้งแล้วครั้งเล่าต่อความรู้สึกในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ตลอดจนท่าทีและทัศนะของเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า รวมถึงแรงจูงใจและความตั้งใจแน่วแน่ต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าด้วยอย่างแน่นอน  บางคราวเจ้าก็ได้แต่ตั้งความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและจะไม่มีวันรู้สึกหดหู่อีก ไม่มีวันเชื่อว่าเจ้าดีไม่พอและถอยหนีไปอีก กระนั้นก็ตาม ยามที่หัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยภาวะอารมณ์ที่เป็นลบชั่วขณะ แรงจูงใจของเจ้าในการที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงอาจอันตรธานไปโดยสิ้นเชิง หายไปอย่างไร้ร่อยรอยในพริบตา  เมื่อแรงจูงใจในการไล่ตามเสาะหาความจริงหายไปอย่างไร้ร่อยรอยในสถานการณ์แบบนี้ เจ้าก็ย่อมรู้สึกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงไม่น่าสนใจ และรู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าและการได้รับการช่วยให้รอดไม่มีความหมายอะไรต่อเจ้าเลย  การเกิดความรู้สึกและสภาวะประเภทนี้ขึ้นมาทำให้เจ้าไม่เต็มใจที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีก ไม่เต็มใจที่จะอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังพระวจนะของพระเจ้า แน่นอนว่าเจ้าย่อมไม่มีความมุ่งมั่นหรือความปรารถใดที่จะนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ หรือกลายเป็นบุคคลหนึ่งที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่เป็นผลกระทบและอุปสรรคกีดขวางอันใหญ่หลวงที่ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบสารพัดเหล่านี้มีต่อผู้คนที่เดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง  พูดให้ชัดขึ้นก็คือ ภาวะอารมณ์เหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและความเสียหายต่อผู้คน และภาวะอารมณ์เหล่านี้ก็จะทำลายความมั่นใจที่เจ้าเพิ่งรวบรวมมาได้ รวมถึงหลักธรรมแห่งการประพฤติปฏิบัติไม่กี่ประการที่เจ้าเพิ่งเข้าใจและทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสูญเปล่า  ภาวะอารมณ์เหล่านี้ทำให้เจ้าไม่สามารถรับรู้ในส่วนลึกสุดของหัวใจเจ้าถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้า พระพรของพระเจ้า อธิปไตยของพระเจ้า และการจัดเตรียมที่พระองค์ทรงมีให้เจ้าภายในพริบตา และเจ้าก็เต็มไปด้วยภาวะอารมณ์ที่เป็นลบอย่างใดอย่างหนึ่งเหล่านี้ในทันที  ยามที่เจ้าเต็มไปด้วยภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะเข้าควบคุมภายในตัวเจ้าทันทีทันใด  เมื่อเจ้าถูกครอบงำโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เจ้าก็จะกลายเป็นคนละคนและเจ้าจะแสดงโฉมหน้าที่แตกต่างออกไปต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายรอบตัวเจ้าในพริบตา  ความรักที่เจ้าเคยมีมาก่อนหน้านั้นก็หายไป ความอดทนที่เจ้าเคยมีมาก่อนก็หายไป พลังงานที่เจ้าเคยมีมาก่อนเพื่อทนทุกข์และจ่ายราคา สู้ทนความยากลำบากและทำงานหนักก็หายไป แรงจูงใจที่เจ้าเคยมีเพื่องดอาหารสักมื้อและนอนน้อยลงสักหน่อยเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็หายไป และสิ่งที่มาแทนที่คือความเป็นปฏิปักษ์ต่อทุกตัวบุคคล  อะไรคือแหล่งที่มาโดยตรงของความเป็นปฏิปักษ์นี้ที่เจ้ารู้สึกต่อทุกคน?  ความเป็นปฏิปักษ์นี้มาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า แต่ก็มาจากสถานการณ์ ผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้รับประสบการณ์มาในอดีตด้วยเช่นกัน นั่นเป็นเหตุให้ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบทั้งหลายเกิดขึ้นในตัวเจ้า  เจ้าพูดว่า “ฉันยอมทนผู้อื่น แต่ใครยอมทนฉันบ้าง?  ฉันแสดงให้ผู้อื่นเห็นความเข้าใจ แต่ใครแสดงความเข้าใจต่อฉันบ้าง?  แม้แต่พ่อแม่หรือพี่น้องชายหญิงของฉันก็ไม่แสดงความเข้าใจให้ฉันเห็นเลย!  ผู้คนอื่นก็ทำความผิดพลาดกันทั้งนั้น ฉันก็ทำได้เหมือนกัน!  คนบางคนระบายความคิดลบออกมาตอนที่กำลังถูกตัดแต่ง แล้วทำไมฉันทำไม่ได้ล่ะ?  คนอื่นสามารถดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่ออิทธิพลและตำแหน่ง แล้วทำไมฉันทำไม่ได้ล่ะ?  ถ้าคุณทำได้ ฉันก็ทำได้เหมือนกัน!  ผู้คนอื่นหลอกลวงและพยายามบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของตัวเองตอนปฏิบัติหน้าที่ ฉันก็จะทำแบบนั้นด้วย  ผู้คนอื่นไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันก็จะไม่ทำเหมือนกัน  ผู้คนอื่นปฏิบัติตนอย่างไม่มีหลักธรรม ฉันก็จะทำเหมือนกัน  ผู้คนอื่นไม่ปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ฉันก็จะไม่ปกป้องเหมือนกัน  ฉันแค่กำลังทำตามสิ่งที่คนอื่นทุกคนทำกัน  แล้วผิดปกติตรงไหน?”  นี่เป็นการสำแดงประเภทใดหรือ?  ไม่ว่าพวกเราจะมองในแง่ความคิดของเจ้าหรืออุปนิสัยที่เจ้าเผยออกมา นั่นก็เป็นการพลิกตลบไม่น้อยกว่า 180 องศา ราวกับว่าเจ้าได้กลายเป็นคนอื่นไปแล้ว  กำลังเกิดอะไรขึ้นที่นี่?  สาเหตุรากเหง้าก็คือการที่เจ้าได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงภายในแล้ว  ดูผิวเผินแล้วเจ้าอาจเหมือนเดิม และกิจวัตรประจำวันของเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง น้ำเสียงในวาทะของเจ้าก็ไม่เปลี่ยน รูปลักษณ์ของเจ้าก็ไม่เปลี่ยน และไม่มีใครนำทางเจ้าหรือยุแยงเจ้าอยู่เบื้องหลัง แล้วเหตุใดจึงเกิดการถั่งโถมอย่างฉับพลันของภาวะอารมณ์เล่า?  เหตุผลหนึ่งก็คือ นั่นมีเหตุมาจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบซึ่งถูกปลูกเพาะลึกลงไปในหัวใจเจ้า  ใครบางคนที่เก็บงำความรู้สึกซึ่งเป็นลบของความเกลียดชังและความโกรธเอาไว้ภายในตัวเองเสมอจะมาเฉพาะพระเจ้าเพื่ออธิษฐาน อ่านพระวจนะของพระเจ้าบ่อยครั้งในยามพวกเขาอยู่ในสภาวะที่ดี และจะทำให้มั่นใจว่าทุกสิ่งคืบหน้าไปอย่างเป็นปกติยามที่กำลังไล่ตามเสาะหาความจริงและกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน  หากพวกเขาเผชิญบางสิ่งที่ไม่ตรงกับความชอบของตัวเอง หรือพวกเขาเผชิญความชะงักงัน ความล้มเหลว หรือความลำบากใจในการงานหรือชีวิต หรือพวกเขาทนทุกข์กับการเสียหน้าบางอย่าง หรือทนทุกข์กับอันตรายต่อผลประโยชน์ของตน ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบภายในตัวพวกเขาก็นำมาซึ่งความเกลียดชังและความโกรธ อันเป็นเหตุให้พวกเขากลายเป็นคลุ้มคลั่งไปด้วยความเดือดดาลและกลายเป็นบ้าคลั่งขาดสติ  บางทีก่อนหน้านี้พวกเขาอาจเคยได้รับประสบการณ์กับบางเหตุการณ์ที่ไม่ปกติธรรมดา อาทิ การถูกปฏิบัติที่ไม่ดี หรือถูกทุบตีอย่างไม่เลือกหน้าโดยผู้คนที่ชั่ว หรือถูกยึดทรัพย์สินของพวกเขาไป หรือถูกกลั่นแกล้ง หรือถึงกับถูกพวกผู้คนที่ชั่วดูหมิ่นเหยียดหยาม คนบางคนอาจเคยมีเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชาที่ทำให้สิ่งต่างๆ ในที่ทำงานลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขา และคนบางคนอาจเคยทนทุกข์กับการเลือกปฏิบัติและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนและครูในโรงเรียน อันเนื่องมาจากผลการศึกษาที่ย่ำแย่ของพวกเขา ภาวะยากจนทางบ้าน หรือเพราะพ่อแม่ของพวกเขาเป็นชาวไร่ชาวนาและมาจากชนชั้นล่างของสังคม เป็นต้น  เมื่อบุคคลหนึ่งทนทุกข์กับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมทุกประเภทในสังคม เมื่อสิทธิมนุษยชนได้ถูกพรากไป หรือเมื่อผลประโยชน์ของพวกเขาถูกยึดไปหรือทรัพย์สมบัติของพวกเขาถูกริบไปจากตน เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังจึงเริ่มถูกหว่านเพาะในส่วนลึกของหัวใจเป็นธรรมดา และก็เป็นปกติที่พวกเขาจะพกพาความเกลียดชังนี้เข้าไปในหนทางที่พวกเขารับมือกับสังคม มวลมนุษย์ และแม้แต่ครอบครัวของตัวเอง รวมถึงเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องของตน  ทัศนะของพวกที่มีความเกลียดชังหว่านเพาะอยู่ในหัวใจนั้นได้รับอิทธิพลจากความเกลียดชังนี้ และความเกลียดชังนี้ย่อมจะมีอิทธิพลต่อภาวะอารมณ์ของพวกเขาเป็นธรรมดา

ทันทีที่ความเกลียดชังได้หยั่งรากลึกภายในหัวใจของบุคคลหนึ่ง ความเกลียดชังก็จะกลายเป็นภาวะอารมณ์หนึ่งไปโดยธรรมชาติ และเมื่อใครบางคนดำรงชีวิตอยู่ภายในภาวะอารมณ์แห่งความเกลียดชังนี้ มุมมองของพวกเขาต่อมวลมนุษย์และต่อเรื่องใดก็ตามย่อมไม่ถูกต้องเหมาะสมอีกต่อไป  ทัศนะของพวกเขาที่มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลายกลายเป็นบิดเบือนและสวนทางกับหนทางที่ทัศนะเหล่านั้นจะเป็นไปตามปกติ  พวกเขาเริ่มไม่สามารถจับใจความเกี่ยวกับบุคคล เหตุการณ์ และสิ่งที่เป็นปกติและถูกต้องเหมาะสมอันใดได้ อีกทั้งพวกเขาก็จะตัดสินและกล่าวโทษสิ่งเหล่านั้นอีกด้วย  พวกเขามองหาโอกาสที่จะระบายความคับแค้นใจและความเกลียดชังออกมาตลอดเวลา  พวกเขาหวังว่า สักวันตัวเองจะมีอำนาจและมีอิทธิพล และหวังว่าพวกเขาจะสามารถแก้ไขความคับแค้นใจทั้งหมดนี้ให้ถูกต้อง และแก้แค้นพวกที่เคยกลั่นแกล้งและทำร้ายตน  อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ พวกเขาไม่มีหนทางอันเหมาะสมที่จะสัมฤทธิ์การนี้ได้ ดังนั้นสุดท้ายแล้ว พวกเขาบางคนก็จะมาเชื่อในพระเจ้า  หลังจากที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็คิดว่า “โอ ตอนนี้ฉันเชื่อในพระเจ้าและตอนนี้ฉันก็สามารถเชิดหน้าชูคอได้  ฉันจะปล่อยให้พระเจ้าทรงตัดสินพระทัยสิ่งทั้งหลายให้ฉัน เพื่อให้พวกคนชั่วได้รับโทษอย่างสาสม  เยี่ยมไปเลย!”  ดังนั้น ตอนนี้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าแล้ว พวกเขาจึงขุดฝังความเกลียดชังและความโกรธของตนลึกลงข้างใน พวกเขาทุ่มเทสละตนเอง จ่ายราคา ทนทุกข์ วุ่นวายหัวหมุนและทำงานในพระนิเวศของพระเจ้า โดยหวังว่าสักวันความพยายามของตนจะนำพาโชคดีและพลิกฟื้นสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น อีกทั้งยังหวังว่าเมื่อถึงวันที่พวกเขาเริ่มเข้มแข็งขึ้นและไม่อ่อนแออีกต่อไป พวกเขาจะทำให้มั่นใจว่าคนพวกนั้นที่คอยกลั่นแกล้งและดูหมิ่นเหยียดหยามตนเหลือเกินต้องถูกลงโทษ  จุดประสงค์ของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เห็นกับตาตัวเองว่าการลงโทษและพวกที่เป็นเหตุให้เกิดความเจ็บปวดและความอัปยศอดสูไม่สิ้นสุดแก่พวกเขานั้นได้รับโทษทัณฑ์อันสาสม  พวกเขาแบกภาวะอารมณ์นี้เข้าสู่การเชื่อในพระเจ้า พลางจ่ายราคาและสละตนเอง  โดยผิวเผินแล้ว ดูราวกับว่าพวกเขาไม่เคยพร่ำบ่นหรืออยากได้หรือพึงต้องการสิ่งใดเลย ราวกับว่าพวกเขาแค่ทุ่มตัวเองหมดทั้งหัวใจให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้า และราวกับว่าไม่มีความทุกข์ใดใหญ่หลวงเกินกว่าจะรับได้  อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงแล้ว ภาวะอารมณ์ของความเกลียดชังและความโกรธภายในส่วนลึกสุดของหัวใจพวกเขาเหล่านั้นยังคงไม่ได้รับการแก้ไขและพวกเขาก็ยังไม่ได้ละวางเลย  อึดใจที่ใครบางคนให้ความคิดเห็นต่อพวกเขาและชี้ชัดให้เห็นถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา พวกเขาก็หนีกลับไปสู่ภาวะอารมณ์ของความเกลียดชังและความโกรธโดยไม่รู้ตัวในทันที เพื่อที่จะเผชิญหน้าและแก้ปัญหานี้  พวกเขาคิดว่า “คุณกำลังลบหลู่ฉันหรือไง?  คุณกำลังพยายามกลั่นแกล้งฉันเพราะคุณคิดว่าฉันไม่มีเล่ห์เหลี่ยม?  มีคนกลั่นแกล้งฉันมากมายเหลือเกิน แต่คุณก็แค่รอดูละกันว่า อะไรรอพวกเขาอยู่ปลายทาง!”  ใครบางคนแค่จำเป็นต้องพูดบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขา และคำพูดเหล่านั้นก็ทำร้ายพวกเขาต่อให้ไม่ได้ตั้งใจก็ตาม  แต่หากบุคคลนั้นพูดแทงใจดำ ภาวะอารมณ์แห่งความเกลียดชังและความโกรธของพวกเขาก็ถูกปลุกเร้า เป็นเหตุให้พวกเขาหนีกลับเข้าไปสู่ความรู้สึกเกลียดชังทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว  ชัดเจนว่า ทัศนคติและภาวะอารมณ์นี้ได้ส่งผลต่อมุมมองและท่าทีที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งหนทางและวิถีทางที่พวกเขาวางตนและปฏิบัติตน  ไม่สำคัญว่าใครคือคนที่หยิบยกความคิดเห็นและคำแนะนำซึ่งถูกต้องตามกฎเกณฑ์มาพูดกับพวกเขา พวกเขาคิดตลอดเวลาว่า “พวกเขากำลังดูแคลนฉันและอยากกลั่นแกล้งฉัน  พวกเขาคิดว่าฉันถูกชี้นิ้วสั่งได้ง่ายๆ หรือไง?”  พวกเขาใช้ทัศนคติและวิธีการทำสิ่งต่างๆ เช่นนี้มาจัดการกับสถานการณ์นั่น และในขณะเดียวกันภาวะอารมณ์ของความเกลียดชังและความโกรธก็กลายเป็นฝังแน่นในหัวใจพวกเขายิ่งขึ้น  ครั้นภาวะอารมณ์ของความเกลียดชังและความโกรธได้ฝังตรึงลงในส่วนลึกที่สุดของหัวใจพวกเขาอย่างลึกซึ้งแล้ว ภาวะอารมณ์เหล่านั้นก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง และบุคคลนั้นก็ใช้ภาวะอารมณ์เหล่านั้นเผชิญหน้ากับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทุกรูปแบบ และพวกเขาก็ย้ำเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเขาจำเป็นต้องเกลียดทุกคน และย้ำเตือนว่าไม่มีใครดีกับพวกเขา  ต่อให้พวกเขาเชื่อในชั่วขณะหนึ่งว่าใครบางคนดีต่อพวกเขา แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็จะบอกตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจและโดยจิตใต้สำนึกว่า “อย่าคิดแบบนั้นสิ  นอกจากพระเจ้าผู้ทรงดีอย่างแท้จริงแล้ว ก็ไม่มีผู้คนที่ดีหรอก  ทุกคนต่างกระหยิ่มใจในความโชคร้ายของเธอ และไม่มีใครปรารถนาให้เธอได้ดี  พวกเขาคิดว่าเธอไม่มีเล่ห์เหลี่ยม พวกเขาก็เลยกลั่นแกล้งเธอ และพอพวกเขาเห็นเธอประสบความสำเร็จในบางเรื่อง พวกเขาก็แค่ยกยอปอปั้นเธอ และพยายามที่จะเอาอกเอาใจเธอ  ดังนั้นจงอย่าไปเชื่อใครและอย่ามองใครด้วยความใจดีมีเมตตา  เธอต้องระวังตัวและตั้งข้อสงสัยในตัวผู้อื่น”  เมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนพูดกับพวกเขาสักคำ พวกเขาก็วิเคราะห์คำพูดนั้นโดยคิดว่า “เขากำลังหาเรื่องฉันเหรอ?  ทำไมเขาพูดแบบนั้นล่ะ?  เขากำลังพยายามเล่นงานฉันและคิดบัญชีกับฉันสักอย่างหรือเปล่า?  เขากำลังพยายามชี้นิ้วสั่งฉันเหรอ?”  ความรู้สึกสงสัย ความเกลียดชังและความโกรธเหล่านี้ย้ำเตือนพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทำให้พวกเขาใช้ความรู้สึกเหล่านี้ในการเข้ารับมือและในการจัดการกับบุคคล เหตุการณ์ และสิ่งของทุกประเภทโดยไม่รู้ตัว และถึงอย่างนั้นพวกเขาเองก็ยังไม่ตระหนักรู้เอาเสียเลยว่าสิ่งเหล่านี้คือภาวะอารมณ์ที่เป็นลบทุกชนิด  ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้เข้าบังคับควบคุมการตัดสินของพวกเขาอย่างเข้มงวดและพันธนาการการคิดของพวกเขาอย่างแน่นหนา และภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้กีดกันไม่ให้พวกเขามองบุคคล เหตุการณ์หรือสิ่งใดจากมุมมองหรือจุดยืนที่ถูกต้อง  เมื่อคนเราเริ่มดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของภาวะอารมณ์ที่เป็นลบ นั่นย่อมกลายเป็นลำบากยากเย็นมากที่จะหลบหนีการควบคุมของภาวะอารมณ์เหล่านี้  ก่อนที่ใครบางคนจะละวางภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์เหล่านี้อย่างไม่รู้ตัว โดยมองดูผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายจากภาวะอารมณ์เหล่านี้ เข้ารับมือกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายด้วยทัศนะผิดๆ ที่เกิดขึ้นจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้  อย่างแรก การนี้นำทางไปสู่ความสุดโต่ง ความสงสัย ความกังขาและความใจร้อนอย่างมิอาจเลี่ยงได้ และผู้คนที่ยังไม่ละวางเหล่านี้ก็จะมองผู้อื่นอย่างเป็นปฏิปักษ์และจะเล่นงานพวกเขาอีกด้วย  ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ชี้นำความคิดและทัศนะในหัวใจของแต่ละคน และภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ก็ชี้นำทุกคำพูดและการกระทำของพวกเขา  นั่นคือเหตุผลที่เมื่อบุคคลนี้เริ่มจมปลักอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบ หากพวกเขาเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ย่อมมีผลกระทบและก่อให้เกิดอุปสรรคกีดขวางขึ้นในหัวใจและในจิตใจพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติความจริงกันลดน้อยลงอย่างมาก  เพราะการปลอมปน การก่อกวน และความเสียหายที่มีเหตุมาจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ ความจริงที่พวกเขาสามารถนำมาปฏิบัติจึงมีขีดจำกัด และยามที่พวกเขาเผชิญสถานการณ์บางอย่าง พวกเขามักได้รับอิทธิพลจากความรู้สึกทั้งหลายของตนเสมอ  แน่นอนอยู่แล้วว่า ผลที่สำคัญที่สุดก็คือการที่พวกเขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของภาวะอารมณ์ที่เป็นลบสารพัดเหล่านี้ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติความจริงจึงกลายเป็นความเหนื่อยล้าสำหรับพวกเขา  พวกเขาไม่สามารถใช้ประโยชน์ทั้งจากมโนธรรมและเหตุผลแห่งความเป็นมนุษย์ปกติ จากเจตจำนงเสรีกับสัญชาตญาณที่พระเจ้าทรงสร้าง และจากหลักธรรมความจริงที่มนุษย์ควรปฏิบัติและยึดถือในการเข้ารับมือผู้คนและสิ่งทั้งหลายรอบตัวพวกเขา และในการที่พวกเขาตัดสินผู้คนกับสิ่งทั้งหลายรอบตัวได้

เส้นทางแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบ

จากสิ่งที่เราพูดมาจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าพวกเจ้ามองในหนทางใดก็ตาม นั่นก็ชัดเจนว่าภาวะอารมณ์ที่เป็นลบสารพัดเข้าครอบงำความรู้สึกนึกคิดของทุกตัวบุคคลไม่มากก็น้อย  เพราะภาวะอารมณ์เหล่านี้เข้าครอบงำความรู้สึกนึกคิดของผู้คน ความลำบากยากเย็นปริมาณหนึ่งก็จะเกิดขึ้นในยามที่พวกเขาปฏิบัติความจริง  นั่นคือเหตุผลว่าเมื่อผู้คนก้าวผ่านกระบวนการแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาต้องมีความต่อเนื่องในการละวางผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายอันเป็นเหตุให้ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเกิดขึ้นในตัวพวกเขา  ตัวอย่างเช่น ภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นการมีปมด้อยซึ่งพวกเราเสวนากันไปก่อนหน้านี้  ไม่ว่าสถานการณ์ใดจะเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกมีปมด้อยขึ้นมา หรือว่าใครหรือเหตุการณ์ใดทำให้เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมา เจ้าก็ควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องในขีดความสามารถ จุดแข็ง ความสามารถพิเศษ และลักษณะความเป็นมนุษย์ของตัวเจ้าเอง  ไม่ถูกต้องที่จะรู้สึกมีปมด้อย และไม่ถูกต้องที่จะรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น—ทั้งคู่เป็นภาวะอารมณ์ที่เป็นลบ  ความรู้สึกมีปมด้อยสามารถพันธนาการการกระทำของเจ้า พันธนาการความคิดเจ้าและส่งอิทธิพลต่อจุดยืนและทัศนะทั้งหลายของเจ้า  ในทำนองเดียวกัน ความรู้สึกว่าตนเหนือกว่าก็มีผลเป็นลบแบบนี้เช่นกัน  ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นความมีปมด้อยหรือภาวะอารมณ์เชิงลบอย่างอื่น เจ้าก็ควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการตีความทั้งหลายที่ทำให้เกิดภาวะอารมณ์นี้ขึ้น  เจ้าควรเข้าใจเสียก่อนว่าการตีความเหล่านั้นไม่ถูกต้อง และไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับขีดความสามารถของเจ้า ความสามารถพิเศษของเจ้า หรือคุณสมบัติแห่งความเป็นมนุษย์ของเจ้าหรือไม่ การประเมินหรือข้อสรุปของพวกเขาที่เกี่ยวกับเจ้านั้นผิดตลอดเวลา  ดังนั้นเจ้าจะสามารถประเมินและรู้จักตนเองได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งหลุดพ้นจากอารมณ์ของความมีปมด้อยได้อย่างไร?  เจ้าควรยึดถือพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานสำหรับการรู้จักตนเอง การเรียนรู้ว่าความเป็นมนุษย์ ขีดความสามารถ และความสามารถพิเศษของเจ้าเป็นแบบไหน และเจ้ามีจุดแข็งอะไร  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าเคยชอบร้องเพลงและเคยทำได้ดี แต่คนบางคนกลับเอาแต่วิจารณ์และดูเบาเจ้า บอกว่าเจ้าแยกเสียงดนตรีไม่ออกและร้องเพี้ยน ดังนั้นตอนนี้เจ้าจึงรู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถร้องเพลงได้ดีและไม่กล้าร้องเพลงต่อหน้าผู้อื่นอีกต่อไป  ด้วยเหตุที่พวกคนทางโลก ผู้คนที่เลอะเลือน และคนสามัญเหล่านั้นประเมินและตัดสินเรื่องของเจ้าอย่างไม่ถูกต้อง สิทธิ์ทั้งหลายที่เจ้าสมควรได้รับตามความเป็นมนุษย์จึงถูกตัดทอน และความสามารถพิเศษของเจ้าก็ถูกสกัดกั้น  ผลลัพธ์ก็คือ เจ้าไม่กล้าแม้แต่จะร้องเพลงสักเพลง เจ้ากล้าพอที่จะส่งเสียงร้องเพลงออกมาและปล่อยตัวตามสบายก็ต่อเมื่อเจ้าอยู่ตามลำพังเท่านั้น  เนื่องเพราะโดยปกติแล้วเจ้ารู้สึกเก็บกดอย่างเลวร้ายเหลือเกิน ยามที่เจ้าไม่ได้อยู่ตามลำพังเจ้าจึงไม่กล้าร้องเพลง เจ้ากล้าร้องเพลงก็เฉพาะตอนที่เจ้าอยู่เพียงลำพังเท่านั้น โดยชื่นชมกับช่วงเวลาที่เจ้าสามารถร้องเพลงเสียงดังและชัดเจน และนั่นช่างเป็นช่วงเวลาอันเสรีและวิเศษอะไรเช่นนี้!  ไม่ใช่แบบนั้นหรอกหรือ?  เพราะอันตรายที่ผู้คนได้ทำต่อเจ้า เจ้าไม่รู้หรือไม่สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าอันที่จริงแล้วเจ้าทำอะไรได้ เจ้าเก่งเรื่องไหน และเจ้าไม่เก่งเรื่องไหน  ในสถานการณ์แบบนี้ เจ้าต้องทำการประเมินที่ถูกต้องและใช้การประเมินวัดตนเองที่ถูกต้องตามพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าควรทำให้สิ่งที่ได้เจ้าเรียนรู้มาและสิ่งที่เป็นจุดแข็งของเจ้ากลายเป็นที่ยอมรับ และออกไปทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำได้ สำหรับสิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำไม่ได้ จุดอ่อนและข้อบกพร่องทั้งหลายของเจ้า เจ้าก็ควรทบทวนและทำความรู้จักสิ่งเหล่านั้น และเจ้าก็ควรประเมินให้ถูกต้องแม่นยำและรู้ว่าขีดความสามารถของเจ้าเป็นแบบไหน และรู้ว่าดีหรือไม่ดีด้วยเช่นกัน  หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจหรือได้รับความรู้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาของตัวเอง เช่นนั้นก็จงขอผู้คนรอบตัวเจ้าที่มีความเข้าใจทำการประเมินเจ้า  ไม่สำคัญว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นถูกต้องแม่นยำหรือไม่ อย่างน้อยนั่นก็จะเป็นบางสิ่งที่เจ้าใช้อ้างอิงและจะทำให้เจ้ามีการตัดสินขั้นพื้นฐานหรือการสร้างลักษณะนิสัยของตัวเองได้  เมื่อนั้นเจ้าจึงสามารถแก้ไขปัญหาที่สำคัญเกี่ยวกับอารมณ์ที่เป็นลบของความมีปมด้อย และค่อยๆ หลุดออกไปจากภาวะอารมณ์เหล่านั้น  ความรู้สึกของความมีปมด้อยเช่นนั้นง่ายที่จะแก้ไขหากคนเราสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะ ตื่นรู้เกี่ยวกับภาวะอารมณ์เหล่านั้น และแสวงหาความจริง

สำหรับบรรดาผู้ที่ได้ทนทุกข์กับการปฏิบัติแบบไม่เสมอภาค ผู้ที่เคยถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและถูกเลือกปฏิบัติในสังคม ในสารพัดวิชาชีพของพวกเขาและในสภาพแวดล้อมสารพันนั้น ความรู้สึกของความเกลียดชังและความโกรธที่เกิดขึ้นในตัวพวกเขานั้นง่ายต่อการแก้ไขหรือไม่?  (ง่าย)  จะแก้ไขความรู้สึกเหล่านั้นได้อย่างไร?  (พวกเขาต้องคำนึงถึงผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า ละวางภาวะอารมณ์ซึ่งเป็นลบของความเกลียดชังและความโกรธเหล่านี้ และละวางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เคยทำร้ายพวกเขาในอดีต)  “การละวาง” เป็นแค่คำพูด—เจ้าละวางอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงคนหนึ่งคบหาดูใจกับผู้ชายคนหนึ่งและจบลงตรงที่ถูกหลอกให้ขึ้นเตียงกับเขารวมทั้งถูกหลอกให้จ่ายเงินให้เขา และเมื่อใดก็ตามที่เธอคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกถึงความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมาแบบฉับพลัน และเมื่อความโกรธนี้เกิดขึ้น เธอก็กำหมัดแน่นและในห้วงลึกสุดของหัวใจเธอก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง  เธอนึกถึงใบหน้าของชายคนนั้น เธอคิดถึงทุกสิ่งที่เขาพูด เธอคิดถึงทุกสิ่งที่เขาทำให้เธอเจ็บ และยิ่งเธอคิดถึงทุกสิ่งมากเท่าไร เธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้น เธอก็ยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟมากขึ้น ยิ่งบันดาลโทสะมากขึ้น และความเกลียดชังของเธอก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น  เธอเฝ้าแต่คิดถึงเรื่องนั้นและไม่อยากทำหน้าที่ของเธออีกต่อไป และเธอก็รู้สึกแย่ลงทุกที โดยบอกตัวเองว่าจะไม่พักผ่อน แค่ทำงานและพูดคุยกับคนอื่นเข้าไว้ และเวลาที่เธอนอนไม่หลับในตอนกลางคืน เธอต้องพึ่งยานอนหลับเพื่อให้ง่วงหลับไป  เธอไม่กล้าอยู่ลำพังหรือปล่อยให้หัวใจเธอได้พักผ่อน  ชั่วขณะที่เธอรู้สึกตัวว่าอยู่ลำพัง ชั่วขณะที่เธอพักผ่อน ความเกลียดชังนี้ก็พุ่งขึ้นมาในตัวเธอ และเธอก็ต้องการที่จะแก้แค้น ต้องการให้คนที่ทำร้ายเธอตายไปเสีย และยิ่งตายไม่ดีเท่าไรก็ยิ่งดี  หากวันหนึ่งเธอได้ยินข่าวจริงๆ ว่าชายคนนั้นตายไปแล้วอย่างน่าอนาถ ถึงตอนนั้นเท่านั้นเธอจึงจะสามารถละวางความรู้สึกของความเกลียดชังและความโกรธของตนลงได้  ลองคิดดูสิว่า หากเขาตายไปจริงๆ หากเขาได้รับโทษอันสาสมและถูกลงโทษ เจ้าจะสามารถลบล้างเหตุการณ์ที่เป็นเหตุให้เกิดความเกลียดชังและความโกรธ รวมทั้งความทรงจำที่ถูกฝังลึกในห้วงลึกสุดของหัวใจเจ้าขนาดนั้นได้หรือ?  เจ้าจะสามารถละวางความเกลียดชังต่อเหตุการณ์นั้นได้จริงหรือ?  ความเกลียดชังนั้นจะสามารถอันตรธานไปได้จริงหรือ?  (ไม่ได้)  ดังนั้นการทำให้บุคคลที่ทำร้ายเจ้าอันตรธานไปและทนทุกข์กับการลงโทษ หรือตายด้วยความตายอันไม่น่ารื่นรมย์ที่สุด หรือทนทุกข์กับโทษทัณฑ์อันสาสม หรือมาสู่ปลายทางที่ไม่ดี เป็นหนทางแก้ไขความเกลียดชังและความโกรธเช่นนั้นหรือ?  นั่นใช่หนทางที่จะละวางความเกลียดชังและความโกรธหรือ?  (ไม่ใช่)  และดังนั้นคนบางคนจึงพูดว่า “เมื่อคุณค้นพบว่าคุณกำลังเก็บงำภาวะอารมณ์ของความเกลียดชังและความโกรธเหล่านี้ คุณก็ควรละวางภาวะอารมณ์เหล่านั้นเสีย”  นี่ใช่เส้นทางแห่งการปฏิบัติหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วนั่นคืออะไรเมื่อใครบางคนพูดว่า “คุณควรละวางภาวะอารมณ์เหล่านั้น”?  (นั่นคือคำสอน)  ถูกต้อง นั่นคือคำสอน ไม่ใช่เส้นทางแห่งการปฏิบัติ  เราเพิ่งบอกพวกเจ้าถึงวิธีแก้ไขความรู้สึกแห่งการมีปมด้อยไป และนี่ก็คือหนทางหนึ่งที่จะละวางความรู้สึกของการมีปมด้อย  ตอนนี้พวกเจ้ามีหนทางแห่งการปฏิบัติหรือไม่?  (มี)  แล้วเจ้าละวางความเกลียดชังและความโกรธอย่างไร?  เส้นทางแห่งการปฏิบัติคือการไม่คิดถึงสิ่งเหล่านั้นใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  คนบางคนพูดว่าให้ขับไล่สิ่งเหล่านั้นออกไปจากความทรงจำของเจ้าเสีย—นี่เป็นหนทางแก้ปัญหาหรือ?  นั่นจะหมายความว่าเจ้าได้ละวางสิ่งเหล่านี้แล้วอย่างนั้นหรือ?  (ไม่ใช่ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น)  การสลัดศีรษะ หลับตาและไม่คิดอะไรเลย หรือการทำตัวเองให้มีธุระยุ่งไม่ใช่หนทางที่จะแก้ปัญหานี้ และนี่ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องของการปฏิบัติเพื่อละวางภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้  ดังนั้น อะไรคือเส้นทางแห่งทางปฏิบัติอย่างเฉพาะเจาะจง?  เจ้าจะสามารถละวางสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?  เจ้าสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างไร?  พวกเจ้ามีวิธีการที่ดีที่จะทำการนี้หรือไม่?  เพื่อที่จะละวางสิ่งเหล่านี้ เจ้าต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ซ่อนตัวจากสิ่งเหล่านี้หรือหลบหนีไปจากสิ่งเหล่านี้  เจ้าไม่กลัวการอยู่ลำพังหรอกหรือ?  เจ้าไม่กลัวการระลึกย้อนถึงเหตุการณ์นี้หรอกหรือ?  เจ้าไม่กลัวใครบางคนจะเปิดแผลของเจ้าขึ้นมาใหม่หรอกหรือ?  ดังนั้นจงเผชิญหน้ากับมันและนำเอาผู้คน เหตุการณ์และสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดที่เคยสร้างบาดแผลให้เจ้าและเป็นเหตุให้เจ้ารู้ถึงความเกลียดชังและความโกรธในอดีต รวมทั้งผู้คนทั้งหมดที่ได้ทิ้งความฝังใจอย่างลึกซึ้งไว้ให้เจ้าและพวกคนที่เจ้าสามารถจดจำและจดบันทึกเอาไว้ทั้งหมด มาใช้วิจารณญาณแยกแยะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไปทีละคนตามพระวจนะของพระเจ้า ทำความรู้จักอุปนิสัยของพวกเขา ชำแหละ เผยและทำความรู้จักแก่นแท้ของพวกเขา และมองให้เห็นว่าคนเหล่านั้นเป็นอย่างไรกันแน่  บทสรุปสุดท้ายของเจ้า—บทสรุปเดียวที่เจ้าได้มา—จะเป็นว่าผู้คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนชั่ว พวกเขาเป็นปีศาจ และไม่ใช่ผู้คน!  ไม่ว่าที่พวกเขาใช้วิธีการใดทำร้ายเจ้าหรือวางกับดักเจ้า และเป็นเหตุให้เจ้าได้รับอันตราย แก่นแท้ของพวกเขาก็เป็นแก่นแท้ของพวกปีศาจไม่ใช่ผู้คน อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ใช่เป้าหมายที่พระเจ้าทรงเลือกสรรโดยสิ้นเชิง  ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นไม่มีใครเลยที่สามารถมาสู่พระนิเวศของพระเจ้าได้ ในขณะที่เจ้าเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ตอนนี้เจ้าสามารถฟังคำเทศนาในพระนิเวศของพระเจ้า ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า และเจ้าก็สามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า—นี่คือการที่พระเจ้าทรงอุ้มชูเจ้าและทรงแสดงความพระทัยดีมีเมตตาต่อเจ้า  อีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้คนเหล่านั้นไม่เคยถูกมองว่าเป็นผู้คนในสายพระเนตรของพระเจ้า  นั่นคือเหตุผลที่ทันทีที่เจ้าเริ่มเชื่อในพระเจ้าแล้ว เจ้าควรเว้นระยะห่างระหว่างตัวเจ้ากับพวกเขา  หากเจ้ายังปรารถนาที่จะคบค้าสมาคมกับพวกเขา เจ้าก็จะไม่สามารถอยู่เหนือกว่าพวกเขาได้อย่างแน่นอน และเจ้าก็จะถูกพวกเขากดขี่และลงโทษ ถูกพวกเขาเลือกปฏิบัติและดูถูก ถูกพวกเขาทำอันตรายหรือแม้แต่ทำทารุณกรรม  ทุกสิ่งที่พวกเขาทำแสดงให้เห็นชัดเจนถึงสิ่งที่พวกปีศาจทำและสิ่งที่ซาตานทำ  หากเจ้าชื่นชมการคบค้าสมาคมกับพวกเขาและการต่อสู้กับพวกเขา เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ใช่บุคคลหนึ่งเช่นกัน  เจ้าเป็นแบบเดียวกับพวกเขา และเจ้าก็สามารถทำสิ่งเดียวกันกับพวกเขาด้วย  นี่เป็นเพราะพวกปีศาจไม่เพียงวางกับดักผู้คนแต่ยังทำอันตรายกันเองอีกด้วย—นี่เป็นธรรมชาติของปีศาจ  เมื่อมองเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเจ้าและเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง พวกปีศาจจะไม่เลือกลงโทษเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาจะไม่ทำร้ายและวางกับดักเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาทำร้ายทุกคน  พวกเขาทำร้ายกันและกันจริงๆ ดังนั้นพวกเขาจะไม่รามือหรือเลิกยุ่งกับผู้คน!  นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าโลกและมวลมนุษย์นี้เป็นเยี่ยงปีศาจและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประพฤติทั้งหลายของซาตาน  การเป็นคนดีเป็นความลำบากยากเย็นอย่างมหันต์ และการเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่อยากถูกใครบงการก็เป็นความลำบากยากเย็นอย่างมหันต์ด้วยเช่นกัน  เจ้าพยายามหลีกเลี่ยงการนั้นแต่ก็ทำไม่ได้  โลกก็เป็นแบบนี้นี่เอง  นับจากการมีความเข้าใจมากพอจนสามารถเริ่มเข้าโรงเรียน เข้าไปสู่สังคมและเริ่มทำงานได้ ตลอดทางไปจนถึงความตาย มีใครที่ไม่เคยถูกบงการในระหว่างช่วงชีวิต หรือถูกหลอกลวงและข่มเหงบ้าง?  แน่นอนว่าไม่มีใครเป็นเช่นนั้น  ไม่ว่าเจ้ามีทักษะหรือมีความสามารถเพียงใด ก็จะมีใครบางคนซึ่งน่าเกรงขามกว่าเจ้าที่จะคอยชี้นิ้วสั่งการเจ้าเสมอ  อย่างไรก็ดี ความแตกต่างอยู่ตรงที่ทุกคนมีปรัชญาการดำรงชีวิตที่ต่างกัน  คนบางคนสู้ทนและยอมจำนนต่อความทุกข์ยาก แต่บางคนก็แตกต่างออกไป  หลังได้รับประสบการณ์กับการถูกหลอกลวงหลายหน และการถูกกลั่นแกล้งตลอดมาจนถึงจุดที่พวกเขาได้ทนทุกข์อย่างรุนแรงเกินไปและไม่สามารถทนได้อีกต่อไป  ภาวะอารมณ์อย่างเช่นความเกลียดชังและความโกรธก็เกิดขึ้นในตัวพวกเขา พวกเขาจึงเกลียดทั้งมวลมนุษย์และสังคม  ครั้นเจ้าได้เห็นอย่างชัดเจนถึงแก่นแท้และธรรมชาติของพวกที่ทำอันตรายเจ้า อีกทั้งได้เห็นว่าแก่นแท้ของพวกเขาเป็นแก่นแท้ของพวกปีศาจ ความเกลียดชังและความโกรธที่เจ้ารู้สึกย่อมไม่พุ่งตรงไปที่ผู้คนอีกต่อไป แต่พุ่งตรงไปที่ปีศาจ เช่นนั้นแล้วความเกลียดชังของเจ้าย่อมบรรเทาลงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ความเกลียดชังของเจ้าบรรเทาลงไปบ้าง  แล้วอะไรคือผลได้ของการที่ความเกลียดชังบรรเทาลงไปบ้าง?  นั่นก็คือเมื่อเจ้าเผชิญกับสถานการณ์ประเภทนั้นอีกครั้ง เจ้าจะไม่เกิดมีภาวะอารมณ์ขึ้นมาอีก และจะไม่มองสถานการณ์ในหนทางของความใจร้อน  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าจะมองสถานการณ์นั้นอย่างถูกต้อง เจ้าจะใช้วิจารณญาณแยกแยะและเข้ารับมือกับสถานการณ์นั้นโดยใช้พระวจนะของพระเจ้าและความจริง เจ้าจะมองพวกคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อเจ้าจากจุดยืนของมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ และเจ้าจะใช้หนทางที่พระเจ้าได้ทรงสอนเจ้า หนทางและหลักธรรมที่พระเจ้าได้ตรัสบอกเจ้าในการเข้ารับมือกับพวกคนเหล่านั้น  ยามที่เจ้าเข้ารับมือกับพวกเขาโดยใช้หนทางที่พระเจ้าได้ตรัสบอกเจ้า ความเกลียดชังและความโกรธจะไม่เกิดขึ้นในตัวเจ้าอีก แต่ในทางกลับกัน เจ้าจะมารู้จักความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ รู้จักโฉมหน้าของพวกปีศาจ อีกทั้งยืนยันและพิสูจน์รับรองว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงในหนทางที่ก้าวหน้าและลุ่มลึกขึ้นอย่างมาก  เมื่อเจ้าใช้พระวจนะของพระเจ้าและหนทางที่พระเจ้าได้ตรัสบอกเจ้า หนทางที่พระองค์ได้ทรงสอนเจ้าเพื่อมองเรื่องแบบนี้ เช่นนั้นแล้วเรื่องนี้ไม่เพียงแค่จะไม่ทำอันตรายเจ้าอีกและไม่เพียงแค่จะไม่เป็นเหตุให้ความเกลียดชังและความโกรธหยั่งลึกยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ในทางตรงข้าม นั่นจะเป็นเหตุให้ความเกลียดชังและความโกรธภายในห้วงลึกสุดของหัวใจเจ้าค่อยๆ บรรเทาลง และเมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์กับเรื่องประเภทนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วุฒิภาวะของเจ้าย่อมจะเติบโตขึ้น และอุปนิสัยของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลง

ส่วนวิธีที่เจ้าจะละวางความเกลียดชังและความโกรธในอดีตได้อย่างไรที่พวกเราเสวนากันมาตลอดนั้น แง่มุมหนึ่งก็คือต้องมองให้ชัดถึงสิ่งเหล่านี้ที่เรียกได้ว่าอมนุษย์ มองให้ชัดว่าแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขานั้นเป็นแก่นแท้ธรรมชาติของพวกมารและซาตาน แก่นแท้ของพวกเขาเป็นอันตรายต่อผู้คน แก่นแท้ของพวกเขามีอัตลักษณ์และมีแหล่งที่มาเดียวกันกับแก่นแท้ของพวกมาร ซาตาน และพญานาคใหญ่สีแดง พวกเขาวางกับดักเจ้า เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่เจ้า เหมือนกับที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามไม่มีผิด  ครั้นเจ้าเข้าใจประเด็นนี้ แล้วเจ้าจะไม่ละวางภาวะอารมณ์ของความเกลียดชังและความโกรธลงบ้างเลยหรือ?  (ละวาง)  คนบางคนกล่าวว่า “แค่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ยังไม่มากพอหรอก  บางครั้งแค่คิดถึงเรื่องนั้น ฉันก็เศร้าใจแล้ว!”  เจ้าควรทำสิ่งใดยามที่เจ้ารู้สึกเศร้าใจ?  เจ้าสามารถอยู่โดยไม่มีความโศกเศร้าเลยได้หรือ?  แผลเป็นทั้งหลายทิ้งร่องรอยไว้เสมอ แต่ร่องรอยเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ไม่ดีเสมอไป  ปรากฏการณ์ของความไม่เป็นธรรมเหล่านี้ในสังคม อีกทั้งผู้คน เหตุการณ์และสิ่งเหล่านี้นี่เองที่เป็นเหตุให้ความเกลียดชังและความโกรธเกิดขึ้นในตัวเจ้า เปิดโอกาสให้เจ้าสำนึกถึงความไม่เป็นธรรมในสังคม เปิดโอกาสให้เจ้าสำนึกถึงความประสงค์ร้าย ความมุ่งร้ายและความชั่วของมวลมนุษย์ และเปิดโอกาสให้เจ้าสำนึกถึงความไม่เป็นธรรมและความอ้างว้างในโลก ด้วยเหตุนั้นจึงเป็นเหตุให้เกิดความอยากที่จะโหยหาความสว่างและความถวิลหาพระผู้ช่วยให้รอดที่จะช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากความทุกข์นี้ที่เกิดขึ้นในตัวเจ้า  แล้วมีบริบทใดอยู่ในความอยากนี้หรือไม่?  (มี)  ความอยากนี้เกิดขึ้นง่ายๆ หรือไม่?  (ไม่)  หากเจ้าไม่เคยถูกทำร้ายท่ามกลางมวลมนุษย์หรือในสังคม เจ้าก็จะคิดว่ามีผู้คนที่ดีอยู่รอบตัวเจ้ามากมาย  หากเจ้าออกไปข้างนอกและสะดุดล้มแล้วใครบางคนเข้ามาช่วยพยุงเจ้าลุกขึ้น หรือเจ้าไปซื้อของแต่ไม่มีเงินพอแล้วคนที่อยู่ข้างๆ เจ้าก็ช่วยเหลือเจ้า หรือเจ้าทำกระเป๋าสตางค์หายและมีใครบางคนเจอแล้วมอบคืนให้กับเจ้า เจ้าก็จะคิดว่ามีคนดีมากมายอยู่รอบตัว  ในกรอบความคิดนี้และด้วยการที่เจ้ามีความเข้าใจต่อสังคมแบบนี้ เจ้าจะมีความเข้าใจมากแค่ไหนต่อความหมายของความรอดแห่งมวลมนุษย์ของพระเจ้า หรือความจำเป็นของการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการช่วยให้รอด?  ความอยากของเจ้าที่จะให้พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาและช่วยเจ้าให้รอดจากทะเลแห่งความทุกข์นั้นจะใหญ่หลวงเพียงใด?  เจ้าก็จะไม่ต้องการมากนักใช่หรือไม่?  นั่นคงจะเป็นแค่ความปรารถนาประเภทหนึ่ง ความเพ้อฝันประเภทหนึ่ง  ยิ่งใครบางคนก้าวผ่านความยากลำบากและความทุกข์ในโลก ทนทุกข์กับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมทุกรูปแบบมากเท่าไร หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ยิ่งใครบางคนซึ่งมีความเกลียดชังและความโกรธอันดิ่งลึกต่อมวลมนุษย์และสังคมเกิดขึ้นในตัวได้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมนี้และอยู่ท่ามกลางผู้คนนานขึ้นเท่าไร พวกเขาก็จะยิ่งปรารถนามากขึ้นเท่านั้นที่จะให้พระเจ้าทรงนำพายุคชั่วนี้ไปสู่ปลายทางโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ให้ทรงทำลายล้างมวลมนุษย์ชั่วนี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ให้ทรงช่วยพวกเขาให้รอดจากทะเลแห่งความทุกข์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ให้ทรงบังคับใช้โทษทัณฑ์อันสาสมกับพวกคนชั่วและทรงคุ้มครองคนดี—ใช่แบบนั้นหรือไม่?  (ใช่)  แล้วตอนนี้ ตรงจุดนี้ เจ้าก็ไตร่ตรองว่า “โอ ฉันต้องขอบคุณพวกปีศาจเหล่านั้นจริงๆ  ฉันต้องขอบคุณสำหรับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของพวกเขาและสำหรับการเลือกปฏิบัติต่อฉัน การดูถูกฉันและการกดขี่ฉัน  การประพฤติชั่วของพวกเขาและอันตรายที่พวกเขาก่อให้เกิดกับฉันนี่เองที่บังคับให้ฉันมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ทำให้ฉันไม่ทะยานอยากไปตามโลกหรือไปตามชีวิตท่ามกลางผู้คนเหล่านี้อีกต่อไป และทำให้ฉันเต็มใจมาสู่พระนิเวศของพระเจ้า มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เต็มใจสละตนเพื่อพระเจ้า อุทิศทั้งชีวิตของฉัน ดำรงชีวิตที่มีความหมายและไม่คบค้าสมาคมกับพวกคนชั่วอีกต่อไป  ไม่เช่นนั้นฉันก็คงจะยังเป็นเหมือนพวกเขา ทำตามกระแสนิยมทางโลก และไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลตอบแทน ชีวิตที่ดี ความยินดีแห่งเนื้อหนังและอนาคตที่สุดวิเศษ  ตอนนี้ฉันเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเดินไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยวนั่นอีกต่อไป  ฉันไม่มองพวกเขาด้วยความเป็นปฏิปักษ์อีกแล้ว  ฉันมองเห็นชัดเจนว่าพวกเขาเป็นใครมาตลอด  พวกเขาอยู่ตรงนั้นเพื่อทำงานรับใช้ เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นให้กับพระราชกิจของพระเจ้า  หากไม่มีพวกเขา ฉันก็คงไม่สามารถมองเห็นได้อย่างแน่ชัดว่าอะไรคือแก่นแท้ของโลกนี้และมวลมนุษย์ และจะยังคงคิดว่าโลกนี้และมวลมนุษย์ช่างวิเศษมากขึ้นทุกที  ตอนนี้ที่ฉันได้ก้าวผ่านความทุกข์นี้แล้ว ฉันจะไม่ฝากความทะเยอทะยานและความหวังของฉันไว้ในโลกนี้หรือในมือของผู้ยิ่งใหญ่คนใดอีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันหวังให้ราชอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง และหวังให้ความเป็นธรรมและความชอบธรรมของพระเจ้าเข้าครองอำนาจ”  โดยการใคร่ครวญในหนทางนี้ ภาวะอารมณ์แห่งความเกลียดชังและความโกรธของเจ้าก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงมิใช่หรือ?  (ใช่)  ภาวะอารมณ์เหล่านั้นผ่อนคลายลง  แล้วมุมมองและทัศนะของเจ้าที่มีต่อผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายในหัวใจของเจ้าไม่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงแล้วหรอกหรือ?  นี่แสดงนัยสำคัญว่าเส้นทางที่เจ้าจะเดินในภายภาคหน้า ตัวเลือกของเจ้าและวัตถุประสงค์ทั้งหลายของเจ้ากำลังค่อยๆ ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง และเจ้ากำลังค่อยๆ หันไปสู่การไล่ตามเสาะหาเป้าหมายและทิศทางที่ถูกต้องมิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้ารื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งเกิดขึ้นในอดีตที่ทำให้หัวใจเจ้าแตกสลายและเป็นเหตุให้เจ้าเกลียดโลก และเมื่อเจ้ามองเห็นความหมายและแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้นอย่างชัดเจนแล้ว หัวใจของเจ้าก็กลายเป็นเต็มไปด้วยความสำนึกบุญคุณต่อพระเจ้า  เมื่อเจ้ากลายเป็นเต็มไปด้วยความสำนึกบุญคุณ ถึงตอนนั้นเจ้าไม่อิ่มเอิบไปด้วยความชื่นชมยินดีหรอกหรือ?  ถึงตอนนั้นเจ้าไม่คิดหรือว่า “พวกผู้ไม่มีความเชื่อเหล่านั้นที่ไม่เชื่อในพระเจ้ายังคงถูกชักพาให้หลงผิด ถูกทำอันตราย และถูกซาตาน กษัตริย์ของพวกมารกลืนกินเสียเอง  ช่างน่าเวทนานัก!  ถ้าฉันไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่ได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ฉันก็คงเป็นเหมือนพวกเขาที่ไล่ตามไขว่คว้าทางโลก วิ่งหัวหมุนเพื่อพยายามให้ได้ชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะ ก้าวผ่านความทุกข์มากมายและฉันไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงครรลองเลย  ฉันคงจะอิ่มเอิบอยู่ในบาปที่มิอาจเลี่ยงหลบได้—น่าเศร้าอะไรเช่นนี้!  ตอนนี้ที่ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันเข้าใจความจริงและสามารถรู้เท่าทันเรื่องนี้  เส้นทางที่ผู้คนควรเดินตามก็คือเส้นทางในการไล่ตามเสาะหาความจริง—นี่มีค่าที่สุด มีความหมายที่สุด  ตอนนี้ที่พระเจ้าได้ทรงแสดงให้ฉันเห็นความพระทัยดีมีเมตตาเช่นนั้น เพื่อให้ฉันไม่จำเป็นต้องผ่านความทุกข์นั้นอีกต่อไป ฉันจะตั้งความมุ่งมั่นที่จะติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทาง ฟังพระวจนะของพระองค์ ดำเนินชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์ และไม่ดำเนินชีวิตอย่างที่ฉันเคยทำมาก่อนตอนที่ฉันยังไม่ได้ดำรงชีวิตเสมือนมนุษย์เลยแม้แต่น้อย”  เจ้าดูสิ ความทะเยอทะยานที่ดีได้เกิดขึ้นแล้ว ถูกต้องไหม?  เป้าหมายและทิศทางชีวิตที่ถูกต้องไม่ได้ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในความคิดและความตระหนักรู้ของผู้คนหรอกหรือ?  ตอนนี้พวกเขาสามารถเริ่มต้นบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตแล้วมิใช่หรือ?  (พวกเขาสามารถ)  ดังนั้นเมื่อเกิดภาวะอารมณ์ที่เป็นบวกและความทะเยอทะยานเหล่านี้ขึ้น ยังจำเป็นอยู่หรือไม่ที่จะต้องคิดเกี่ยวกับภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านั้น?  หลังจากที่คิดเรื่องภาวะอารมณ์เหล่านั้นจนทะลุปรุโปร่งชั่วขณะหนึ่งหรือคิดทบทวนกลับไปกลับมาหลายครั้งจนเจ้าเข้าใจภาวะอารมณ์เหล่านั้น เมื่อเรื่องเหล่านี้ไม่รบกวนจิตใจเจ้าหรือควบคุมเส้นทางที่เจ้าเดินอีกต่อไป เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมละวางภาวะอารมณ์แห่งความเกลียดชังและความโกรธเหล่านี้ไปโดยไม่รู้ตัว ภาวะอารมณ์เหล่านี้ย่อมไม่ครอบงำหัวใจของเจ้าอีกต่อไป และเมื่อเวลาผ่านไป เจ้าก็จะแก้ไขประเด็นปัญหาเรื่องอุปนิสัยเสื่อมทรามของเจ้าได้  เรื่องของการแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของเจ้าสัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (สัมพันธ์กัน)  และนั่นหมายความว่าเจ้าได้เริ่มต้นเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตแล้วใช่หรือไม่?  ไม่ลำบากยากเย็นเลยที่จะเริ่มเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง ก่อนอื่นเจ้าต้องละวางทัศนะต่างๆ ทั้งหมดที่มีต่อโลก ต่อความเป็นมนุษย์ของคนเรา และต่อมวลมนุษย์ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทั้งหลาย  เจ้าจะสามารถเข้าใจทัศนะเหล่านี้ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนได้อย่างไร?  เจ้าสามารถแก้ไขทัศนะเหล่านี้ได้อย่างไร?  ทัศนะเหล่านี้ที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทั้งหลายซ่อนเร้นอยู่ภายในภาวะอารมณ์ทั้งหลายของหัวใจเจ้า และภาวะอารมณ์เหล่านี้ชี้นำการตัดสินและการคิดเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของเจ้า ตลอดจนบุคลิกลักษณะของเจ้า วาทะและการกระทำของเจ้า แน่นอนว่ารวมไปถึงมโนธรรมและเหตุผลของเจ้า  ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ภาวะอารมณ์เหล่านั้นชี้นำและส่งอิทธิพลต่อวัตถุประสงค์ในชีวิตและเส้นทางที่เจ้าเดิน  เพราะฉะนั้นจงละวางภาวะอารมณ์ที่เป็นลบทั้งหมดลงเสีย และละวางภาวะอารมณ์ทั้งหมดที่ควบคุมอยู่เหนือเจ้า—นี่เป็นขั้นตอนแรกที่เจ้าควรปฏิบัติในการไล่ตามเสาะหาความจริง  อันดับแรกจงแก้ไขประเด็นปัญหาของภาวะอารมณ์ที่เป็นลบต่างๆ จงแก้ไขภาวะอารมณ์เหล่านั้นเมื่อเจ้าค้นพบมัน และจงอย่าทิ้งปัญหาไว้ข้างหลัง  เมื่อประเด็นปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไข  เจ้าก็จะไม่ถูกล่ามโซ่โดยการแบกภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ไปกับเจ้าในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าอีกต่อไป อีกทั้งเจ้าก็จะสามารถแสวงหาความจริงและแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามได้เมื่อเจ้าเปิดเผยมันออกมา  นี่เป็นสิ่งที่สัมฤทธิ์ง่ายอย่างนั้นหรือ?  อันที่จริงแล้ว นี่ไม่ง่ายขนาดนั้น

ระหว่างที่เรากำลังสามัคคีธรรมและชำแหละภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้มาจนถึงตอนนี้ พวกเจ้าได้ประยุกต์ใช้สิ่งที่เราพูดกับตัวเองบ้างหรือไม่?  คนบางคนพูดว่า “ฉันอายุน้อยและฉันก็ไม่มีประสบการณ์ชีวิตมากนัก  ฉันไม่เคยผ่านการชะงักงันหรือความล้มเหลวใด หรือได้รับประสบการณ์กับความชอกช้ำทางจิตใจใดเลย  นั่นก็หมายความว่าฉันไม่มีภาวะอารมณ์ที่เป็นลบอะไรเลยไม่ใช่หรือ?”  ทุกคนมีภาวะอารมณ์ที่เป็นลบ ทุกคนจะเผชิญความลำบากยากเย็นมากมายและจะหมิ่นเหม่ที่จะทำให้เกิดภาวะอารมณ์ที่เป็นลบขึ้น  ตัวอย่างเช่น เพราะภูมิหลังของกระแสนิยมชั่วของสังคมในยุคนี้ เด็กๆ มากมายจึงกำลังเติบโตขึ้นในครอบครัวแบบพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว บ้างขาดความรักของแม่ บ้างก็ขาดความรักของพ่อ  หากใครก็ตามขาดความรักของแม่หรือพ่อ ก็สามารถถือได้ว่าพวกเขาขาดอะไรบางอย่างไป  โดยไม่สำคัญว่าเจ้าอายุเท่าไรตอนที่เจ้าสูญเสียความรักของพ่อหรือของแม่ไป จากมุมมองของความเป็นมนุษย์ปกติ นั่นย่อมจะมีผลกระทบต่อเจ้าไม่มากก็น้อย  คนบางคนจะปิดตัวเอง บ้างจะรู้สึกมีปมด้อย บ้างจะกลายเป็นอารมณ์เสียง่าย บ้างจะมีความรู้สึกของความไม่สบายใจและความไม่มั่นคงปลอดภัย และบ้างก็จะเลือกปฏิบัติและหลีกเลี่ยงเพศตรงข้าม  ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม บรรดาคนที่เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมเฉพาะนี้ย่อมจะพัฒนาความผิดปกติบางอย่างขึ้นมาไม่มากก็น้อยภายในภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพวกเขา  พูดให้ทันสมัยก็คือ พวกเขาถูกบิดเบือนไปเล็กน้อย  ตัวอย่างเช่น พวกเด็กสาวที่เติบโตขึ้นมาโดยไม่มีความรักจากพ่อจะค่อนข้างไม่มีประสบการณ์ในเรื่องของพวกผู้ชาย  พวกเธอต้องเรียนรู้วิธีที่จะดูแลสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานของตัวเองตั้งแต่เยาว์วัยและถึงขั้นแบกภาระหนักอึ้งเรื่องการเงินของครอบครัวและงานสารพัดที่จำเป็นต้องปฏิบัติเหมือนที่แม่ของพวกเธอทำ โดยเรียนรู้ที่จะห่วงกังวลและดูแลสิ่งต่างๆ หรือปกป้องตัวเอง แม่และครอบครัวของพวกเธอไปโดยไม่รู้ตัว  พวกเธอมีความตระหนักรู้อันแรงกล้าเกี่ยวกับการปกป้องตัวเอง และจะมีความรู้สึกที่รุนแรงมากของความมีปมด้อย  ครั้นพวกเธอเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมเฉพาะเช่นนี้ พวกเธอจะรู้สึกอยู่ในส่วนลึกสุดของหัวใจราวกับว่าพวกเธอมีความขาดพร่องบางอย่างไปโดยไม่รู้ตัว และนี่คือความรู้สึกที่พวกเธอมี โดยไม่สำคัญว่าความรู้สึกนี้เคยส่งผลต่อการตัดสินหรือการตัดสินใจของพวกเธอในอดีตอย่างรุนแรงหรือไม่  โดยสรุปก็คือ ทันทีที่บุคคลหนึ่งเติบโตเต็มที่แล้ว ก็จะมีภาวะอารมณ์ที่เป็นลบบางอย่างซึ่งอยู่ตรงนั้นมานานแล้วคอยชี้นำความคิดของพวกเขา และย่อมจะมีเหตุผลของการที่ภาวะอารมณ์เหล่านั้นอยู่ตรงนั้นเสมอ  ตัวอย่างเช่น หากเด็กหนุ่มบางคนที่เติบโตในครอบครัวที่มีพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ไม่มีพ่อ มีแต่แม่ พวกเขาเรียนรู้จากวัยเด็กถึงวิธีที่จะรับผิดชอบงานบ้านควบคู่ไปกับแม่ของพวกเขา บุคลิกลักษณะของพวกเขาจึงมีลักษณะแบบแม่ในระดับหนึ่ง  พวกเขาเพลิดเพลินกับการดูแลเด็กผู้หญิงและรู้สึกเห็นใจพวกเธอ พวกเขารู้สึกเป็นพวกเดียวกับเด็กผู้หญิงและเพลิดเพลินกับการปกป้องพวกผู้หญิง และพวกเขาก็ค่อนข้างรู้สึกมีอคติต่อพวกผู้ชาย  มีบางคนถึงกับรู้สึกอยู่ลึกๆ ภายในถึงความไม่ชอบและความรังเกียจลางๆ บางอย่างที่มีต่อพวกผู้ชาย พวกเขาเลือกปฏิบัติต่อพวกผู้ชาย โดยเชื่อว่าพวกผู้ชายล้วนอ่อนแอและขาดความรับผิดชอบ และพวกผู้ชายไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม  แน่นอนว่ามีบางคนท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ที่ค่อนข้างปกติ  อย่างไรก็ตาม นั่นเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีบางคนซึ่งมีความคิดเฉพาะซึ่งไม่สมจริงหรือไม่เหมาะสมเกี่ยวกับผู้ชายหรือผู้หญิง และคนเหล่านี้ล้วนมีความบกพร่องและมีข้อผิดพลาดอยู่ในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  หากใครบางคนค้นพบว่าเจ้ามีปัญหาแบบนี้และพวกเขาก็ชี้ให้เจ้าเห็น หรือหากเจ้าค้นพบและรู้ด้วยตัวเองว่าเจ้ามีภาวะอารมณ์ซึ่งเป็นลบอย่างรุนแรงประเภทนี้โดยผ่านทางการตรวจสอบตนเอง อีกทั้งรู้ว่านั่นกำลังส่งผลต่อตัวเลือกและการปฏิบัติของเจ้าในการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมถึงวิธีที่เจ้าวางตัวและปฏิบัติตนแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ควรทบทวนและทำความรู้จักตนเอง  เจ้าควรใช้วิจารณญาณแยกแยะและแก้ไขภาวะอารมณ์ซึ่งเป็นลบนี้ในความสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้า เพียรพยายามที่จะละทิ้งการควบคุม อิทธิพลและพันธนาการทั้งหลายของภาวะอารมณ์ที่เป็นลบนี้ ต่อสู้เพื่อป้องกันไม่ให้ความยินดี ความโกรธ ความเศร้า ความชื่นบานยินดี การคิด การตัดสิน มโนธรรมและเหตุผลแห่งความเป็นมนุษย์ของเจ้าเริ่มถูกบิดเบือน ถูกชักนำไปสุดขั้วหรือถูกชักนำไปเกินขีดจำกัด  มีอะไรอีก?  ครั้นเจ้าได้พากเพียรที่จะป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เจ้าก็จะสามารถดำรงชีวิตที่ปกติกับมโนธรรมและเหตุผลแห่งความเป็นมนุษย์ที่ปกติ รวมทั้งกับสัญชาตญาณและเจตจำนงเสรีแห่งความเป็นมนุษย์ปกติที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่มนุษย์  นั่นคือเจ้าพากเพียรที่จะรักษาความคิด สัญชาตญาณ เจตจำนงเสรี ความสามารถในการตัดสิน รวมทั้งมโนธรรมและเหตุผลภายในขอบเขตแห่งความเป็นมนุษย์ปกติที่พระเจ้าทรงบัญญัติไว้  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าภาวะอารมณ์ซึ่งเป็นลบอันใดกำลังควบคุมเจ้าอยู่ เจ้าย่อมมีปัญหากับแง่มุมนั้นของความเป็นมนุษย์ที่ปกติของเจ้า  เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ ใช่หรือไม่?  (ใช่)

การไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คนนั้นสัมฤทธิ์ได้บนพื้นฐานของมโนธรรม เหตุผล สัญชาตญาณและเจตจำนงเสรีปกติของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และขอบเขตของภาวะอารมณ์แบบมนุษย์ที่ปกติ  เจ้าดูเถิด ภายในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติที่พระเจ้าทรงมอบให้กับมนุษย์นั้น ไม่มีอะไรที่สุดโต่ง ไม่มีอะไรที่เกินจำเป็น ไม่มีอะไรที่บิดเบือน และไม่มีความวิปริตหรือความผิดแผกของบุคลิกภาพเลย  การเกินจำเป็นสำแดงออกมาอย่างไร?  การคิดอยู่เสมอว่าตัวเจ้าไม่มีดีอะไร ว่าเจ้าไม่มีค่าเลย—นี่ไม่เกินไปหรอกหรือ?  นี่ไม่เป็นความเป็นจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  การยกย่องเชิดชูพวกผู้ชายอย่างมืดบอด การเชื่อว่าพวกผู้ชายนั้นดี ว่าผู้ชายมีความสามารถมากกว่าผู้หญิง ว่าผู้หญิงไร้ศักยภาพ ว่าผู้หญิงไม่มีดี ว่าพวกเธอไม่มีความสามารถเท่าพวกผู้ชายและพูดโดยรวมก็คือ พวกเธอไม่ดีเท่าพวกผู้ชาย—นี่ไม่เกินไปเช่นนั้นหรือ?  (เกินไป)  การทำสิ่งต่างๆ จนสุดโต่งสำแดงออกมาอย่างไร?  นั่นก็คือการต้องการที่จะไปไกลเกินกว่าสิ่งที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยสัญชาตญาณ และการต้องการที่จะทำเกินขีดจำกัดของตนเองอยู่เสมอ  คนบางคนเห็นผู้อื่นนอนหลับคืนละห้าชั่วโมง แล้วก็ยังคงสามารถทำงานทั้งวันได้อย่างปกติมาโดยตลอด ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็ต้องนอนคืนละสี่ชั่วโมง แล้วดูว่าพวกเขาจะทนได้กี่วัน  คนบางคนเห็นผู้อื่นกินอาหารวันละสองมื้อแล้วมีพลังงานอย่างล้นเหลือ สามารถทำงานได้ทั้งวัน ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็ต้องกินวันละมื้อเดียว—นี่ไม่เป็นอันตรายทางกายภาพหรอกหรือ?  การพยายามแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความสามารถเกินกว่าที่เป็นนั้น ทำไปเพื่ออะไร  เจ้ากำลังแข่งขันกับเนื้อหนังของตัวเองไปเพื่ออะไร?  คนบางคนในวัยห้าสิบกว่าๆ สูญเสียฟันไปและไม่สามารถเคี้ยวกระดูกหรือกัดอ้อยได้อีกแล้วด้วยซ้ำ  พวกเขาพูดว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเสียฟันไปสักสองซี่ก็ได้ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ฉันก็ยังจะเคี้ยวต่อไปอยู่ดี!  ฉันต้องเอาชนะความลำบากยากเย็นนี้  หากฉันไม่พยายามที่จะเอาชนะความลำบากยากเย็นนี้ เช่นนั้นฉันก็แค่อ่อนแอและไร้ประโยชน์!”  นี่ไม่ใช่การทำสิ่งทั้งหลายจนสุดโต่งหรอกหรือ?  (ใช่)  เจ้ารู้สึกว่าเจ้าจำเป็นต้องสัมฤทธิ์สิ่งซึ่งเจ้าไม่อาจสัมฤทธิ์ได้และสิ่งซึ่งความเป็นมนุษย์ของเจ้าไม่สามารถบรรลุได้โดยสัญชาตญาณ  เจ้าไม่สามารถบรรลุสิ่งเหล่านั้นด้วยความสามารถพิเศษ ปัญญา หรือวุฒิภาวะของเจ้า หรือด้วยสิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้เรียนรู้มา หรือด้วยอายุและเพศของเจ้า แต่ถึงแม้เจ้าไม่สามารถบรรลุสิ่งเหล่านั้นได้ เจ้าก็ยังรู้สึกว่าเจ้าต้องทำ  ผู้หญิงบางคนคุยเขื่องเกินจริงถึงความแข็งแรงของตนโดยกล่าวว่า “ผู้หญิงอย่างพวกเราสามารถทำได้แบบที่พวกผู้ชายทำ  พวกผู้ชายสร้างตึกได้ พวกเราก็สร้างได้ พวกผู้ชายขับเครื่องบินได้ พวกเราก็ทำได้ พวกผู้ชายเป็นนักมวยได้และพวกเราก็ทำได้ พวกผู้ชายแบกกระสอบหนักสองร้อยปอนด์ได้ และพวกเราก็ทำได้”  แต่สุดท้ายแล้ว พวกเธอก็ถูกบีบคั้นจากการนั้นมากจนพวกเธอถึงกับอาเจียนเป็นเลือด  พวกเธอยังจะพยายามแสดงความสามารถเกินกว่าที่พวกเธอมีอีกหรือไม่?  นี่ไม่สุดโต่งหรอกหรือ?  นี่ไม่เกินไปหรอกหรือ?  การสำแดงเหล่านี้ล้วนสุดโต่งและเกินตัว  บ่อยครั้งที่ผู้คนซึ่งไร้สาระพิจารณาปัญหาทั้งหลายและมองผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ อีกทั้งนี่ก็เป็นวิธีที่พวกเขาเข้ารับมือและแก้ไขประเด็นปัญหาทั้งหลาย  เพราะฉะนั้นหากผู้คนต้องการที่จะแก้ไขการสำแดงอันเกินตัวเหล่านี้ ก่อนอื่นพวกเขาต้องละวางและยุติสิ่งสุดโต่งเหล่านั้นเสียก่อน  ที่ร้ายแรงที่สุดในบรรดาสิ่งเหล่านี้ก็คือภาวะอารมณ์สุดโต่งสารพันภายในส่วนลึกสุดของหัวใจพวกเขา  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเฉพาะบางอย่าง ภาวะอารมณ์เหล่านี้เป็นเหตุให้พวกเขามีความคิดแบบสุดโต่งและใช้วิธีการแบบสุดโต่งอยู่เนืองนิตย์ นั่นจึงเป็นเหตุให้พวกเขาออกนอกลู่นอกทางไป  ภาวะอารมณ์สุดโต่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นเหตุให้ผู้คนดูโง่เขลา ไม่รู้เท่าทัน และเบาปัญญาเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขาออกนอกลู่นอกทางและทนทุกข์กับความสูญเสียอีกด้วย  พระเจ้าต้องประสงค์บุคคลปกติที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ต้องประสงค์ให้บุคคลไร้สาระ เกินตัว และสุดโต่งไล่ตามเสาะหาความจริง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า?  ผู้คนที่ไร้สาระและสุดโต่งนั้นไม่สามารถเข้าใจสิ่งทั้งหลายได้อย่างถูกต้อง นับประสาอะไรที่จะเข้าใจความจริงโดยผ่องแผ้ว  ผู้คนที่สุดโต่งและโน้มเอียงไปสู่ความบิดเบือนทั้งหลายใช้หนทางอันสุดโต่งทำความเข้าใจ เข้ารับมือ และปฏิบัติความจริงด้วยเช่นกัน—นี่อันตรายมากและสร้างความเดือดร้อนให้กับพวกเขา  พวกเขาจะทนทุกข์กับความสูญเสียอันใหญ่หลวง และนั่นเป็นการหมิ่นพระเกียรติพระเจ้าอย่างร้ายแรงอีกด้วย  พระเจ้าไม่ทรงจำเป็นที่จะต้องให้เจ้าทำเกินขีดจำกัดของตัวเอง หรือใช้วิธีการแบบหัวรุนแรงและสุดโต่งในการปฏิบัติความจริง  ในทางกลับกัน ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่ความเป็นมนุษย์ของเจ้าเป็นปกติในทุกแง่มุม และภายในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่เจ้าสามารถเข้าใจและสัมฤทธิ์ผลได้ พระองค์ต้องประสงค์ให้เจ้านำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ ปฏิบัติความจริง และทำได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้า  เป้าหมายสุดท้ายก็คือเพื่อเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเสื่อมทรามของเจ้า เพื่อที่จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและแก้ไขความคิดและทัศนะทั้งหลายของเจ้าให้ถูกต้อง เพื่อให้ความเข้าใจเกี่ยวกับอุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษย์และความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าของเจ้าลึกซึ้งมากขึ้นทุกที และด้วยเหตุนั้นจึงทำให้ความนบนอบของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าเป็นรูปธรรมและสัมพันธ์กับความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ—นี่คือวิธีที่เจ้าจะบรรลุความรอด

การสามัคคีธรรมถึงวิธีละวางภาวะอารมณ์ที่เป็นลบสารพัดมีความหมายสำหรับเราหรือไม่?  (มี)  อะไรคือจุดประสงค์ของเราในการทำเช่นนั้น?  นั่นก็คือเพื่อให้เจ้าสามารถใช้การจัดการที่ถูกต้องกับภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ สามารถปัดเป่าและแก้ไขภาวะอารมณ์เหล่านี้ในหนทางที่ถูกต้อง สามารถละทิ้งภาวะอารมณ์ที่ผิดๆ ซึ่งเป็นลบเหล่านี้ไว้เบื้องหลังและค่อยๆ มาถึงจุดที่เจ้าไม่กลายเป็นจมปลักอยู่กับภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้อีกต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยไม่สำคัญว่าภาวะอารมณ์ที่เป็นลบสารพัดเหล่านี้เกิดขึ้นนานมาแล้วหรือกำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ก็ตาม  เมื่อภาวะอารมณ์ที่เป็นลบสารพัดเกิดขึ้นอีกครั้ง เจ้าก็จะมีความตระหนักรู้และวิจารณญาณ เจ้าจะรู้จักอันตรายที่ภาวะอารมณ์เหล่านี้ทำกับเจ้า แน่นอนว่าเจ้าต้องค่อยๆ ละวางภาวะอารมณ์เหล่านี้ด้วยเช่นกัน  เมื่อเกิดภาวะอารมณ์เหล่านี้ขึ้น เจ้าจะสามารถนำความยับยั้งชั่งใจมาปฏิบัติและนำสติปัญญามาประยุกต์ใช้ และเจ้าจะสามารถละวางภาวะอารมณ์เหล่านี้หรือแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขและรับมือกับภาวะอารมณ์เหล่านี้ได้  ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ภาวะอารมณ์เหล่านี้ไม่ควรส่งผลต่อการนำหนทางที่ถูกต้อง ท่าทีที่ถูกต้อง และจุดยืนที่ถูกต้องมาใช้ในการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมถึงการวางตัวและปฏิบัติตน  ในหนทางนี้อุปสรรคกีดขวางและสิ่งปิดกั้นทั้งหลายตลอดเส้นทางในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าก็จะเริ่มน้อยลงทุกที เจ้าจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงภายในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ปกติที่พระเจ้าพึงประสงค์โดยปราศจากการรบกวนหรือมีการรบกวนน้อยลง และเจ้าก็จะแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามที่เจ้าเผยออกมาในสถานการณ์ทุกประเภท  ตอนนี้เจ้ามีหนทางปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีแก้ไขภาวะอารมณ์อันเป็นลบสารพัดหรือไม่?  ก่อนอื่นจงตรวจสอบตัวเองเกี่ยวกับความเสื่อมทรามที่เจ้าเผยออกมาและดูว่าภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้กำลังส่งอิทธิพลภายในตัวเจ้าหรือไม่ อีกทั้งดูว่าเจ้ากำลังนำภาวะอารมณ์ซึ่งเป็นลบเหล่านี้เข้ามาสู่วิธีที่เจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมถึงวิธีที่เจ้าวางตนและปฏิบัติตนหรือไม่  นอกจากนั้น จงตรวจสอบเรื่องทั้งหลายที่สลักลึกอยู่ในความทรงจำภายในห้วงลึกสุดของหัวใจเจ้า และดูว่าสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับเจ้าได้ทิ้งรอยแผลเป็นใดหรือตราประทับใดไว้ให้หรือไม่ และดูว่าเรื่องเหล่านั้นกำลังควบคุมเจ้าอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ใช้เส้นทางและวิธีการอันถูกต้องมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมถึงการวางตัวและปฏิบัติตนหรือไม่  ในหนทางนี้ เมื่อภาวะอารมณ์อันเป็นลบสารพัดซึ่งเกิดขึ้นในยามที่เจ้ารู้สึกเจ็บปวดในอดีตนั้นยังไม่ถูกขุดพบ เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าควรทำต่อไปคือการชำแหละ ใช้พิจารณญาณแยกแยะและแก้ไขสิ่งเหล่านั้นไปทีละอย่างตามความจริง  ตัวอย่างเช่น คนบางคนได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้กลายเป็นผู้นำมาหลายครั้ง แต่ก็มีหลายครั้งที่ถูกสับเปลี่ยนตำแหน่งหรือถูกมอบหมายหน้าที่ให้ใหม่ และภาวะอารมณ์ที่เป็นลบอย่างมากก็เกิดขึ้นในตัวพวกเขา  ตลอดกระบวนการนี้ของการได้รับเลื่อนตำแหน่ง แล้วก็สับเปลี่ยนตำแหน่งและมอบหมายหน้าที่ให้ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาก็ไม่เคยตระหนักเลยว่าเหตุใดเรื่องแบบนี้จึงกำลังเกิดขึ้น และด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่เคยรู้ข้อบกพร่องและจุดอ่อนของตัวเอง ความเสื่อมทรามของตัวเอง หรือรู้ว่าอะไรคือสาเหตุรากเหง้าของการกระทำผิดที่พวกเขาก่อขึ้น  พวกเขาไม่เคยแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้ ความฝังใจอย่างหนึ่งจึงถูกทิ้งลึกภายในตัวพวกเขา และพวกเขาก็คิดว่า “นี่คือวิธีที่พระนิเวศของพระเจ้าใช้ประโยชน์จากผู้คน  เวลาที่คุณกำลังถูกใช้ประโยชน์ คุณก็ถูกเชิดชู และเมื่อคุณไม่ถูกใช้ประโยชน์ คุณก็ถูกเตะออกไป”  ผู้คนที่มีความรู้สึกประเภทนี้อาจมีที่ในสังคมให้พวกเขาสามารถระบายออกได้ แต่ในพระนิเวศของพระเจ้า เจ้ารู้สึกว่าไม่มีสถานที่ให้พวกเจ้าสามารถระบายออก ไม่มีหนทางให้ระบายออก และไม่มีสภาพแวดล้อมให้ระบายออกเลย ดังนั้นแล้ว สิ่งเดียวที่เจ้าทำได้คือกล้ำกลืนลงไป  การกล้ำกลืนนี้ไม่ใช่การละวางจริงๆ แต่เป็นการกลบฝังไว้ลึกๆ ภายในเสียมากกว่า  มีคนบางคนที่คิดว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดี และหากพี่น้องชายหญิงของพวกเขามองเห็นสิ่งนี้ พี่น้องชายหญิงก็จะเลือกให้พวกเขาเป็นหัวหน้าอีกครั้ง มีบางคนด้วยเช่นกันที่ปรารถนาจะดำเนินหน้าที่พวกเขาต่อไปอย่างเงียบๆ และไม่ต้องการที่จะเป็นผู้นำอีก และพวกเขาก็พูดว่า “ฉันจะไม่เป็นผู้นำไม่ว่าใครจะเลื่อนตำแหน่งให้ฉันก็ตาม  ฉันไม่สามารถทนเสียหน้าได้ และฉันก็ไม่อาจทนความเจ็บปวดนั้นได้  ใครจะกลายเป็นผู้นำหรือใครถูกสับเปลี่ยนตำแหน่งก็ไม่เกี่ยวข้องกับฉัน  ฉันจะไม่เป็นผู้นำอีก ดังนั้นฉันก็จะไม่จำเป็นต้องสู้ทนความเจ็บปวดและความรู้สึกของการถูกโจมตีซึ่งมาจากการถูกสับเปลี่ยนตำแหน่ง  ฉันแค่จะทำงานของฉันให้ดีและยอมรับความรับผิดชอบนี้ และส่วนเรื่องที่ว่าบั้นปลายและปลายทางอะไรรอฉันอยู่นั้น ฉันขอมอบให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า—นั่นขึ้นอยู่กับพระเจ้า”  นี่เป็นภาวะอารมณ์ประเภทใดหรือ?  การพูดว่านั่นเป็นการมีปมด้อยก็ไม่ถูกต้องแม่นยำเสียทีเดียวนัก เราคิดว่านั่นเหมาะสมที่จะเรียกว่าความหดหู่—ความหดหู่ ความสิ้นหวัง การปิดตัวและเก็บกด  พวกเขาคิดว่า “พระนิเวศของพระเจ้าเป็นสถานที่ค้ำจุนความยุติธรรม และถึงอย่างนั้นฉันก็ยังถูกเลื่อนตำแหน่งแล้วก็ถูกสับเปลี่ยนตำแหน่ง  ฉันรู้สึกถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเหลือเกิน แต่ฉันก็ไม่มีทางโต้แย้งเลย ฉันจึงได้แต่ยอมจำนน!  นี่คือพระนิเวศของพระเจ้า ฉันจะไปโต้แย้งกรณีของฉันที่ไหนได้อีกเล่า?  ฉันชินกับการใช้ชีวิตอยู่แบบนี้  ไม่มีใครในโลกนึกถึงฉันมากนัก และในพระนิเวศของพระเจ้าก็เหมือนกัน  ฉันจะไม่คิดเด็ดขาดว่าสิ่งต่างๆ จะเป็นยังไงในอนาคต”  พวกเขาท้อแท้ใจตลอดทั้งวัน พวกเขาไม่อาจสนใจสิ่งใดได้เลย พวกเขาเพียงทำทุกสิ่งอย่างสุกเอาเผากิน พวกเขาทำสิ่งที่พอทำได้นิดหน่อยแล้วก็ไม่ทำอะไรอื่นอีก พวกเขาไม่ศึกษาเล่าเรียน พวกเขาไม่ใช้ความพยายาม พวกเขาไม่ครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งใด และพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคา  จนสุดท้ายพวกเขาก็หมดพลังงานไปอย่างรวดเร็ว ความกระตือรือร้นที่พวกเขามีในตอนต้นนั้นคลายตัวลง พวกเขาคิดว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย และคนที่พวกเขาเคยเป็นมาก่อนก็ตายไปแล้ว  นี่ไม่ใช่ความสิ้นหวังหรอกหรือ?  (ใช่)  ใครบางคนถามพวกเขาว่า “คุณรู้สึกยังไงที่ถูกสับเปลี่ยนตำแหน่ง?”  พวกเขาก็ตอบว่า “ก็ขีดความสามารถของฉันมันต่ำ  ฉันควรจะรู้สึกยังไงล่ะ?  ฉันไม่เข้าใจ”  และคนอื่นก็ถามพวกเขาว่า “ถ้าคุณจะถูกเลือกให้เป็นผู้นำอีก คุณจะอยากเป็นไหม?”  และพวกเขาก็ตอบว่า “อ๋อ ฉันจะอยากทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร?  มันเป็นจริงไปไม่ได้!  ขีดความสามารถของฉันต่ำและฉันไม่สามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้!”  การพูดว่าพวกเขาอยู่ในความท้อแท้สิ้นหวังและถอดใจไปแล้วนั้นไม่ตรงกับความจริงเสียทั้งหมด  พวกเขาแค่รู้สึกท้อแท้ใจ หดหู่ ปิดตัวและสิ้นหวังอยู่เสมอ  พวกเขาไม่ต้องการพูดถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจตนกับผู้ใด พวกเขาไม่ต้องการเปิดใจ และพวกเขาไม่ต้องการแก้ไขปัญหา ความลำบากยากเย็น สภาวะอันเสื่อมทรามและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง—พวกเขาก็แค่เอาแต่แสร้งทำเป็นหน้าชื่นตาบาน  นี่เป็นภาวะอารมณ์ใดหรือ?  (ความหดหู่)  หนำซ้ำพวกเขายังเกาะเกี่ยวอยู่กับแนวคิดที่ว่า “ฉันจะทำสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้ฉันทำ และจะทำงานหนักกับการงานอะไรก็ตามที่คริสตจักรจัดการเตรียมการให้ฉันทำ  ถ้าฉันไม่สามารถทำการงานนั้นให้เสร็จสิ้น ก็อย่าติเตียนฉันเพราะไม่ใช่ฉันที่เป็นคนทำให้ตัวเองมีขีดความสามารถต่ำ!”  ในข้อเท็จจริงแล้ว บุคคลเช่นนั้นเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และพวกเขามีปณิธาน  พวกเขาจะไม่มีวันละทิ้งพระเจ้า พวกเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งหน้าที่ของตนและพวกเขาก็จะติดตามพระเจ้าเสมอ  นั่นแค่เป็นการที่พวกเขาให้ความใส่ใจต่อการเข้าสู่ชีวิต หรือต่อการทบทวนตนเอง หรือต่อการแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขา  นี่เป็นประเด็นปัญหาใด?  พวกเขาสามารถได้รับความจริงโดยการเชื่อในหนทางนี้หรือไม่?  นี่สร้างความเดือดร้อนให้กับพวกเขาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ต่อให้พวกเขาจะต้องถูกทุบตีจนตายก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะพูดว่าพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า  ถึงอย่างนั้นก็ตาม เพราะรูปการณ์แวดล้อมเฉพาะบางอย่าง เพราะพวกเขาได้รับประสบการณ์กับสถานการณ์และฉากเหตุการณ์เฉพาะบางอย่าง และผู้คนเฉพาะบางคนได้พูดสิ่งต่างๆ บางอย่างกับพวกเขา พวกเขาได้ถูกบดขยี้และทำให้อับเฉาจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีก และไม่สามารถรวบรวมพลังงานใดขึ้นมาได้  นี่ไม่ได้แสดงว่าพวกเขามีภาวะอารมณ์ที่เป็นลบหรอกหรือ?  (ใช่)  การมีภาวะอารมณ์ที่เป็นลบพิสูจน์ให้เห็นว่ามีปัญหา และเมื่อมีปัญหาเจ้าก็ควรแก้ไขปัญหา  มีหนทางและเส้นทางในการแก้ไขปัญหาทั้งหลายที่สมควรถูกแก้ไขเสมอ—ปัญหาเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไขไม่ได้  นั่นก็แค่ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถเผชิญหน้ากับปัญหานั้นหรือไม่ และเจ้าต้องการแก้ไขหรือไม่  หากเจ้าต้องการ เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาใดที่ลำบากยากเย็นเสียจนไม่อาจแก้ไขได้  เจ้าจงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระองค์ และเจ้าก็สามารถแก้ไขทุกความลำบากยากเย็นได้  กระนั้นก็ตาม ความเศร้าใจ ความหดหู่ ความสิ้นหวังและภาวะเก็บกดของเจ้าไม่เพียงไม่ช่วยเจ้าแก้ไขปัญหาของเจ้า แต่ในทางตรงข้าม สิ่งเหล่านั้นสามารถเป็นเหตุให้ปัญหาทั้งหลายของเจ้ากลายเป็นร้ายแรงขึ้นและย่ำแย่ลงทุกที  พวกเจ้าเชื่อเรื่องนี้หรือไม่?  (เชื่อ)  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเจ้ากำลังเกาะเกี่ยวอยู่กับภาวะอารมณ์ใดในตอนนี้ หรือบัดนี้เจ้าได้ตกไปอยู่ในภาวะอารมณ์ใด เราก็หวังว่าเจ้าจะสามารถทิ้งความรู้สึกผิดๆ เหล่านี้ไว้เบื้องหลังเจ้า  ไม่ว่าเจ้ามีเหตุผลหรือข้อแก้ตัวอะไร ชั่วขณะที่เจ้าตกลงไปอยู่ในภาวะอารมณ์หนึ่งซึ่งผิดปกติ เจ้าก็ได้ตกลงไปอยู่ในภาวะอารมณ์ซึ่งสุดโต่งแล้ว  เมื่อเจ้าได้ตกลงไปอยู่ในภาวะอารมณ์หนึ่งอันสุดโต่งนี้แล้ว ภาวะอารมณ์นี้ย่อมจะควบคุมการไล่ตามเสาะหาของเจ้า อีกทั้งความตั้งใจแน่วแน่และความปรารถนาทั้งหลายของเจ้าอย่างแน่นอน รวมไปถึงเป้าหมายที่เจ้าไล่ตามเสาะหาในชีวิตด้วยเช่นกัน และผลสืบเนื่องของการนี้ร้ายแรงนัก

ท้ายที่สุด สิ่งที่เราอยากจะบอกพวกเจ้าก็คือ อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงตลอดชีวิตของเจ้า และทำลายความหวังที่จะได้รับความรอดของเจ้า  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  อารมณ์เช่นนี้ของเจ้าไม่เพียงแต่ไม่เป็นบวกเท่านั้น แต่หากจะพูดให้แม่นยำยิ่งขึ้น มันยังตรงกันข้ามกับพระเจ้าและความจริงอีกด้วย  เจ้าอาจคิดว่านี่เป็นอารมณ์อย่างหนึ่งในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า นี่ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ธรรมดาๆ แต่เป็นหนทางหนึ่งของการต่อต้านพระเจ้า  ผู้คนใช้อารมณ์ในแง่ลบเหล่านี้เป็นหนทางในการต่อต้านพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า และความจริง  ดังนั้น ในเมื่อเจ้าเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็ควรตรวจสอบตนเองอย่างละเอียดเพื่อดูว่ามีอารมณ์ในแง่ลบครอบงำหัวใจของเจ้า ทำให้เจ้าต่อต้านความจริงและต่อสู้กับพระเจ้าอย่างดื้อรั้นและโง่เขลาต่อไปหรือไม่  หากเจ้าได้ตระหนักอย่างแท้จริงผ่านการตรวจสอบตนเองแล้วว่าหัวใจของเจ้ายังคงถูกตีกรอบด้วยอารมณ์ในแง่ลบ เราก็ขอให้เจ้าปล่อยมือจากมันเสียก่อน  อย่าหาข้อแก้ตัวที่จะยึดติดกับมันอีกต่อไป และยิ่งไปกว่านั้น อย่าถือว่านั่นเป็นสภาวะจิตใจที่ปกติ มิฉะนั้นมันจะทำลายจุดหมายปลายทางในอนาคตและบั้นปลายของเจ้า และจะทำลายโอกาสและความหวังที่เจ้ามีในการไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับความรอด  วันนี้เราจะขอจบการสามัคคีธรรมไว้เพียงเท่านี้

24 กันยายน ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger