50. อะไรอยู่เบื้องหลังคำว่า “ภาพลักษณ์ที่ดี”

โดย เว่ยเฉิน ประเทศเกาหลีใต้

เดือนธันวาคมปี 2019 ฉันทำงานเป็นมัคทายกด้านข่าวประเสริฐในคริสตจักร  ผ่านไปสักพักฉันก็พบว่า เวลาผู้นำสังเกตเห็นปัญหาในการทำหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง พวกเขาจะชี้ให้เห็นแบบตรงๆ บางครั้งก็ใช้น้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดมาก  ฉันคิดว่าพวกเขาทำถูกแล้วที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาพวกนี้ แต่วิธีของพวกเขามันสร้างความอับอาย และอาจล่วงเกินผู้คนได้ง่ายๆ  ฉันไม่อยากเป็นแบบพวกเขา  เรื่องพวกนั้นต้องพูดอย่างมีชั้นเชิงกว่านี้ เพื่อให้ผู้คนยังมีความประทับใจในตัวเราอยู่  ถ้าทำแบบนั้น ฉันก็จะได้รับการสนับสนุนจากทุกคน และคงทำงานได้ง่ายขึ้น  แล้วในการเลือกตั้งครั้งหน้า ฉันอาจจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำก็ได้  พอคิดแบบนั้น ฉันก็ระมัดระวังในการโต้ตอบกับพี่น้องชายหญิงมาก  ฉันพยายามอย่างมากที่จะใช้ไหวพริบและไม่ทำร้ายความรู้สึกของใคร ทุกอย่างจะได้น่าพอใจมากขึ้น

ช่วงหนึ่ง ฉันสังเกตเห็นว่าพี่น้องหญิงเฉิงเลือกทำงานที่ง่ายกว่าและหลบเลี่ยงงานยากๆ และเธอก็เอาแต่ถอยหนีเวลาที่ต้องเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้คนที่มีมโนคติอันหลงผิดมากมาย หรือมีทัศนคติแย่ๆ  แถมหลังจากนั้น เธอก็ไม่เตรียมความจริงที่สัมพันธ์กันไปแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา  ฉันเห็นว่า เธอมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องต่อหน้าที่ของตัวเอง และเห็นว่าเธอคงไม่มีทางทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีได้หากยังเป็นแบบนั้นต่อไป  ฉันจะไปพูดเรื่องนี้ให้เธอฟังและแบ่งปันสามัคคีธรรม แต่ตอนที่ฉันกำลังจะส่งข้อความไปหาเธอ ฉันก็นึกขึ้นได้ ว่าถึงเธอจะถอยหนีเมื่อเผชิญความยากลำบาก แต่โดยทั่วไปเธอก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ลุล่วง  ถ้าฉันพูดถึงปัญหาของเธอไป เธออาจจะบอกว่าฉันเรียกร้องมากไป และทำให้เธอต่อต้านฉันได้  แล้วถ้าเกิดเธอไม่ยอมรับงานใดๆ ที่ฉันจัดแจงให้ในอนาคต ฉันจะทำอย่างไร?  ถ้าฉันทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่ดี เหล่าผู้นำจะไม่บอกว่าฉันไม่มีความสามารถสำหรับงานนี้หรอกหรือ?  ดังนั้นเพื่อจะไม่ล่วงเกินเธอ ฉันจึงเก็บปัญหาของเธอไว้เป็นความลับ และส่งข้อความไปให้กำลังใจเธอแทนว่า “บางคนที่เราแบ่งปันข่าวประเสริฐด้วยมีมโนคติอันหลงผิดมากมาย แต่พวกเขาก็เป็นผู้เชื่อแท้จริง  เราต้องมีความรักและอดทน รวมถึงอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้าให้มากขึ้น  ยิ่งเผชิญความยากลำบากมากเท่าไหร่ ความเชื่อของเราก็จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมมากขึ้น  เราถอยกลับไม่ได้เด็ดขาด”  ตอนนั้นเธอก็เห็นด้วย แต่เธอไม่เข้าใจปัญหาอะไรของตัวเองเลย เธอเอาแต่หันหน้าหนีจากเรื่องยากๆ  เธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย  แต่ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้ตระหนักถึงปัญหา และคิดว่าฉันทำได้ดีมากแล้ว  ทุกครั้งที่เจอเรื่องคล้ายๆ กัน ฉันก็รับมือแบบนั้น  ฉันไม่เคยจัดการผู้คน หรือเปิดโปงความเสื่อมทรามหรือข้อบกพร่องของพวกเขาเลย พี่น้องชายหญิงจึงล้วนมีความสุขที่ได้ทำงานกับฉัน และมาหาฉันเพื่อพูดคุยเรื่องสภาวะของพวกเขา  สิ่งนั้นยิ่งทำให้ฉันมั่นใจในวิธีการของตัวเองมากกว่าเดิม และคิดว่าพี่น้องชายหญิงชื่นชมฉัน คิดว่าทุกคนให้การสนับสนุนฉันจริงๆ

ต่อมา ฉันสังเกตว่าพี่น้องหญิงเซี่ยค่อนข้างโอหังและมองเห็นว่าตัวเองชอบธรรมเสมอ เธอหัวดื้อ และทำงานร่วมกับคนอื่นได้ไม่ดี และสิ่งนี้ก็กระทบต่องานข่าวประเสริฐของเรา ฉันคิดถึงเรื่องที่พี่น้องหญิงเซี่ยเป็นคนโอหังมาก แถมไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของคนอื่น ซึ่งก็กระทบต่อหน้าที่ของเธอ ฉันคิดว่าฉันควรยกปัญหามาคุยกับเธอ เธอจะได้ทำอะไรๆ ให้มันดีขึ้น แต่แล้วฉันก็สงสัยว่าถ้าฉันชี้ให้เห็นถึงปัญหา แต่เธอไม่ยอมรับ แถมกลับบึ้งตึงใส่ ฉันจะทำอย่างไร? ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ฉันได้ยินเธอประเมินฉันในทางที่ดี ฉันจึงกังวลว่าถ้าไปล่วงเกินเธอเข้า มันอาจจะทำลายภาพลักษณ์ดีๆ ในสายตาเธอได้ ถ้าความประทับใจที่เธอมีต่อฉันเปลี่ยนไป มันอาจกระทบต่อโอกาสในการเป็นผู้นำของฉันได้ หลังจากคิดให้ถี่ถ้วน ฉันก็ลงเอยด้วยการไม่พูดถึงความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของพี่น้องหญิงเซี่ย แต่กลับพูดออกไปว่า “ฉันเข้าใจการที่คุณไม่มีผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่หรือการที่เผชิญความยากลำบาก แต่คุณต้องทบทวนตัวเอง และคิดดูว่าเพราะอะไรเราต้องทำงานร่วมกับพี่น้องชายหญิงให้ดีด้วย” ฉันเลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาหลักแค่ให้คำแนะนำและกำลังใจเธอไปไม่กี่คำ หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผู้นำคนหนึ่งได้เข้ามาตรวจดูการทำงานกับฉัน ฉันได้พูดถึงเรื่องที่พี่น้องหญิงเซี่ยโอหังและชอบคิดว่าตัวเองชอบธรรมเสมอ รวมถึงเรื่องที่เธอทำงานกับคนอื่นได้ไม่ดี แล้วตอนที่พี่น้องหญิงเซี่ยเจอฉันอีกครั้ง เธอก็พูดว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนที่ผู้นำถามคุณเรื่องงานของพวกเรา ฉันเดินผ่านและบังเอิญได้ยินคุณพูดว่าฉันโอหังและชอบคิดว่าตัวเองชอบธรรมเสมอ แถมบอกว่าฉันทำงานกับคนอื่นได้ไม่ดี คุณรู้ดีว่าฉันมีปัญหาร้ายแรง แต่คุณไม่พูดอะไรกับฉันเลย กลับเอาแต่ทำตัวโอบอ้อมอารี เมื่อก่อนฉันสังเกตว่าคุณไม่เคยอารมณ์เสียหรือตำหนิใครเลย กลับปลอบโยนพวกเขาอยู่เสมอ ฉันคิดว่าคุณเป็นคนดีมากจริงๆ ตอนนี้ฉันตระหนักได้แล้วว่าคุณน่ะ ‘มีฝีมือ’ จริงๆคุณมีกลยุทธ์ของคุณ ถ้าให้พูดกันตรงๆ ก็คือคุณเป็นคนหน้าซื่อใจคด” พอเธอพูดออกมาตรงๆ ขนาดนี้ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงก่ำไปพักหนึ่งเลย คำว่า “หน้าซื่อใจคด” และ “กลยุทธ์” ฝังลงไปในสมองของฉัน ฉันผิดหวังมากและมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน วอนพระองค์ทรงนำฉันให้เข้าใจอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเอง

วันรุ่งขึ้นในช่วงเวลาเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้า “ความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเป็นที่ประจักษ์ภายนอกอยู่บ่อยครั้ง  เมื่อพูดกันว่าใครคนหนึ่งกลับกลอกและเจ้าคารมคมคายมาก นั่นก็คือความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  แล้วอะไรหรือคือลักษณะเฉพาะหลักของความเลว?  ความเลวก็คือ ในยามที่สิ่งที่ผู้คนพูดนั้นเสนาะหูเป็นพิเศษ ในยามที่ทุกอย่างดูเหมือนว่าถูกต้อง และไม่สามารถตำหนิติเตียนได้ และดีงามโดยไม่สำคัญว่าเจ้ามองดูสิ่งนั้นในหนทางใด แต่การกระทำของพวกเขานั้นเลวเป็นพิเศษ และลับๆ ล่อๆ เป็นอย่างสูง และไม่สามารถหยั่งรู้ได้โดยง่าย  บ่อยครั้งที่พวกเขาใช้คำพูดที่ถูกต้องและวลีที่ฟังดูดีบางอย่าง และใช้คำสอน ข้อโต้แย้ง และเทคนิคเฉพาะอย่างซึ่งอยู่ในแนวเดียวกับความรู้สึกของผู้คน เพื่อหลอกตาผู้คนเหล่านั้น พวกเขาแสร้งทำทีว่าจะไปทางหนึ่งแต่อันที่จริงแล้วไปอีกทาง โดยใช้การกระทำซึ่งดูเหมือนว่าดีและถูกต้อง อยู่ในแนวเดียวกับความรู้สึกของผู้คน และมีหลักธรรมเพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายลับๆ ทั้งหลายของพวกเขา  นี่คือความเลว  ผู้คนมักเชื่อว่านี่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับความเลวน้อยกว่า และชำแหละความรู้นี้น้อยกว่าเช่นกัน ความเลวนั้นอันที่จริงแล้วระบุแยกแยะได้ลำบากยากเย็นกว่าความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ด้วยเหตุที่ความเลวนั้นซ่อนเร้นกว่า และวิธีการและเทคนิคทั้งหลายที่เกี่ยวข้องนั้น ‘ฉลาดแยบยล’ มากกว่า  เมื่อผู้คนมีอุปนิสัยอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงภายในตัวพวกเขา เจ้ามักจะสามารถมองเห็นได้ภายในเวลาเพียงแค่สองหรือสามวันเท่านั้นว่า ผู้คนเหล่านั้นเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง หรือว่าการกระทำของพวกเขาและสิ่งทั้งหลายประเภทที่พวกเขาพูดนั้น บ่งชี้ถึงอุปนิสัยอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  แต่เมื่อพูดกันว่าใครคนหนึ่งเลว นี่ไม่ใช่บางสิ่งซึ่งสามารถหยั่งรู้ได้ในหนึ่งหรือสองวัน  ด้วยเหตุที่หากไม่มีสิ่งใดเลยที่มีนัยสำคัญหรือพิเศษเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาอันสั้น เมื่อฟังคำพูดของพวกเขาแต่เพียงอย่างเดียว เจ้าคงจะคิดว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ดีงาม ว่าพวกเขามีความสามารถที่จะเลิกล้มสิ่งทั้งหลายและสละตัวพวกเขาเองได้ ว่าพวกเขาเข้าใจสิ่งทั้งหลายฝ่ายจิตวิญญาณ และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดนั้นถูกต้อง และคงจะเป็นเวลาที่ยากเย็นสำหรับเจ้าในการบอกพวกเขาว่าจริงๆ แล้วพวกเขาคืออะไร  มีหลายคนที่พูดสิ่งที่ถูกต้อง ทำสิ่งที่ถูกต้อง และสามารถพรั่งพรูคำสอนได้คำแล้วคำเล่า  หลังจากอยู่กับบุคคลเช่นนั้นได้สองสามวัน เจ้าก็คิดว่าพวกเขาเป็นใครคนหนึ่งที่เข้าใจสิ่งทั้งหลายฝ่ายจิตวิญญาณ ที่มีหัวใจซึ่งรักพระเจ้า ที่ปฏิบัติตนด้วยมโนธรรมและสำนึกรับรู้  แต่แล้วเจ้าก็เริ่มไว้วางใจมอบหมายกิจทั้งหลายต่อพวกเขา และในไม่ช้าเจ้าก็ตระหนักว่าพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ ว่าพวกเขาเคลือบแฝงยิ่งกว่าผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเสียด้วยซ้ำ—ว่าพวกเขาคือบางสิ่งที่เลว  บ่อยครั้งที่พวกเขาเลือกคำพูดที่ถูกต้อง คำพูดซึ่งเหมาะเจาะกับความจริง ซึ่งอยู่ในแนวเดียวกับความรู้สึกของผู้คนและกับสภาวะความเป็นมนุษย์ คำพูดซึ่งฟังดูดี และคำพูดล่อลวงในการสนทนากับผู้คน ในด้านหนึ่งนั้นเพื่อสถาปนาตนเอง และในอีกด้านหนึ่งนั้นเพื่อหลอกลวงผู้อื่น เป็นการให้สถานะและเกียรติยศท่ามกลางผู้คนแก่พวกเขา ซึ่งทั้งหมดนั้นทำให้พวกที่ไม่รู้เท่าทัน ผู้ที่มีความเข้าใจอันตื้นเขินเกี่ยวกับความจริง ผู้ที่ไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลายฝ่ายจิตวิญญาณ และผู้ที่ขาดพร่องรากฐานในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้นเคลิบเคลิ้มอย่างง่ายดาย  นี่คือสิ่งที่ผู้คนที่มีอุปนิสัยเลวนั้นทำ(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (3)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  การค้ำจุนพฤติกรรมที่ต่อต้านพระวจนะของพระเจ้าของตัวฉันเอง ทำให้ฉันตระหนักได้ว่า อุปนิสัยชั่วของฉันกำลังขับเคลื่อนการกระทำของฉันอยู่  เวลาฉันเห็นปัญหาในหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง ที่กระทบต่องานของพวกเขา ฉันก็จะไม่เปิดโปงหรือพูดถึงปัญหาพวกนั้น ทำให้พวกเขาต่างพูดกันว่า ฉันเป็นคนดี และพูดถึงฉันในทางที่ดี  ฉันเห็นอย่างชัดเจนว่าพี่น้องหญิงเฉิงมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องต่อหน้าที่ของเธอ เห็นว่าเธอทำแต่สิ่งง่ายๆ และบ่ายเบี่ยงในสิ่งที่ยาก ฉันยังเห็นว่าพี่น้องหญิงเซี่ยโอหังและชอบคิดว่าตัวเองชอบธรรมเสมอ และเห็นว่ามันกระทบต่องานข่าวประเสริฐของคริสตจักรด้วย ฉันควรพูดถึงสิ่งเหล่านี้กับพวกเธอ และแบ่งปันสามัคคีธรรมเพื่อช่วยเหลือพวกเธอ แต่ฉันกลับห่วงว่าพวกเธอจะคิดอย่างไรกับฉัน ห่วงว่าพวกเธอจะไม่สนับสนุนฉันในการทำงาน แล้วถ้างานของฉันได้รับผลกระทบ เหล่าผู้นำก็จะมองฉันไม่ดี ฉันเลยพูดแต่สิ่งที่น่าฟังและเลี่ยงไปเพื่อให้กำลังใจพวกเธอ ทำแบบนี้ ฉันก็จะรักษาความสัมพันธ์กับพวกเธอและรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองไว้ได้ และพวกเธอก็จะชอบงานของฉันต่อไป—ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย ฉันเจ้าเล่ห์และแสร้งเมินเฉยมาก แถมยังหลอกลวงผู้คนมาตลอด ฉันหลอกลวงพวกเธอ ทำให้พวกเธอคิดว่าฉันใส่ใจและเข้าใจจริงๆ พวกเธอจะได้เคารพและเทิดทูนฉันมากๆ ตอนนั้นเองที่ฉันได้เห็นว่าตัวเองมีอุปนิสัยที่ชั่วและเจ้าเล่ห์ ถ้าไม่ได้พี่น้องหญิงเซี่ยที่พูดออกมา รวมถึงไม่ได้การเปิดเผยจากพระวจนะของพระเจ้า ฉันคงยังไม่เข้าใจอุปนิสัยชั่วของตัวเอง หรือนึกไม่ออกเลยว่ามันร้ายแรงแค่ไหน ฉันได้เห็นว่าการกระทำที่ผ่านมานั้นชั่วและน่ารังเกียจแค่ไหน เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับพระเจ้าและน่าขยะแขยงสำหรับคนอื่น!

ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าหลังจากนั้น  “ผู้นำคริสตจักรบางคนไม่ต่อว่าบรรดาพี่น้องชายหญิงที่พวกเขาเห็นว่าปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างไม่รอบคอบระมัดระวังและอย่างสุกเอาเผากิน แม้ว่าพวกเขาควรต่อว่า  เมื่อพวกเขาเห็นบางสิ่งที่เป็นภัยอย่างชัดเจนต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นและไม่ทำการสืบค้น เพื่อที่จะไม่ก่อให้เกิดการล่วงเกินต่อผู้อื่นแม้แต่น้อย  จุดประสงค์และเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาไม่ใช่เพื่อแสดงให้เห็นการคำนึงถึงจุดอ่อนของผู้อื่น—พวกเขารู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมว่าพวกเขาเจตนาสิ่งใด กล่าวคือ ‘หากฉันทำการนี้ต่อไป และไม่ก่อให้เกิดการล่วงเกินต่อผู้ใด พวกเขาก็จะคิดว่าฉันเป็นผู้นำที่ดี  พวกเขาจะมีข้อคิดเห็นที่ดีที่สูงส่งเกี่ยวกับฉัน  พวกเขาจะโปรดปรานฉันและชอบฉัน’  ไม่สำคัญว่าจะสร้างความเสียหายให้กับผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้ามากเพียงใด และไม่สำคัญว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะถูกยับยั้งมากเพียงใดในการเข้าไปสู่ชีวิตของพวกเขา หรือชีวิตคริสตจักรของพวกเขาจะถูกรบกวนมากเพียงใด ผู้คนเช่นนี้ก็ยืนกรานในปรัชญาเยี่ยงซาตานของพวกเขาในการไม่ก่อให้เกิดการล่วงละเมิด  ไม่มีสำนึกรับรู้แห่งการตำหนิตนเองในหัวใจของพวกเขาเลย อย่างเก่ง พวกเขาก็อาจพาดพิงถึงบางประเด็นปัญหาโดยไม่ตั้งใจผ่านๆ ไป แล้วก็จบเรื่องกับประเด็นปัญหานั้น  พวกเขาไม่สามัคคีธรรมความจริง อีกทั้งพวกเขาไม่ชี้ให้เห็นแก่นแท้ของปัญหาของผู้อื่น และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะชำแหละสภาวะของผู้คน  พวกเขาไม่นำทางผู้คนเข้าสู่ความจริงความเป็นจริง และพวกเขาไม่สื่อสารสิ่งที่น้ำพระทัยของพระเจ้าเป็น หรือความผิดทั้งหลายที่ผู้คนมักจะกระทำบ่อยครั้ง หรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามจำพวกที่ผู้คนเปิดเผยเลย  พวกเขาไม่แก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหล่านี้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับหลงระเริงเป็นนิตย์กับจุดอ่อนและความเป็นลบของผู้อื่น และแม้แต่ความไม่รอบคอบระมัดระวังและความไม่กระตือรือร้นของพวกเขา  อย่างคงเส้นคงวา พวกเขาปล่อยให้การกระทำและพฤติกรรมของผู้คนเหล่านี้ดำเนินไปโดยไม่ถูกตีตราสำหรับสิ่งที่พวกมันเป็น และแน่นอนว่าเพราะพวกเขาทำเช่นนั้นนั่นเอง ผู้คนส่วนใหญ่จึงมาคิดว่า ‘ผู้นำของพวกเราเปรียบเสมือนมารดาของพวกเรา  พวกเขามีความเข้าใจในจุดอ่อนของพวกเรามากกว่าพระเจ้าทรงมีด้วยซ้ำ  วุฒิภาวะของพวกเราอาจน้อยเกินไปที่จะทำได้ดีเทียบเท่าข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เราสามารถทำได้ดีเทียบเท่าข้อพึงประสงค์ของผู้นำของพวกเรา  พวกเขาเป็นผู้นำที่ดีสำหรับพวกเรา…’  หากผู้คนเก็บงำความคิดเช่นนี้ไว้—หากพวกเขามีสัมพันธภาพจำพวกนี้กับผู้นำของพวกเขา และมีความประทับใจเช่นนี้เกี่ยวกับพวกเขา และได้พัฒนาความรู้สึกแห่งการพึ่งพา การเลื่อมใส ความเคารพ และความรักใคร่บูชาเช่นนี้ต่อผู้นำของพวกเขาในหัวใจของพวกเขา—เช่นนั้นแล้ว ผู้นำควรที่จะรู้สึกอย่างไร?  หากในเรื่องนี้ พวกเขารู้สึกถึงการตำหนิตนเองบางส่วน ความไม่สบายใจบางส่วน และรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่ควรยึดติดสถานะหรือภาพลักษณ์ของพวกเขาในหัวใจของผู้อื่น  พวกเขาควรให้คำพยานต่อพระเจ้า และยกย่องพระองค์ เพื่อให้พระองค์ทรงมีที่สถิตในหัวใจของผู้คน และเพื่อให้ผู้คนเคารพพระเจ้าว่าทรงยิ่งใหญ่  ด้วยเหตุนั้นเท่านั้น หัวใจของพวกเขาจึงจะมีสันติสุขอย่างแท้จริง และผู้ที่ทำเช่นนั้นคือผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  อย่างไรก็ตาม หากนี่ไม่ใช่เป้าหมายเบื้องหลังการกระทำของพวกเขา และแทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับใช้วิธีการและเทคนิคเหล่านี้ในการล่อใจผู้คนให้ไถลห่างจากหนทางที่แท้จริงและละทิ้งความจริง โดยไปไกลถึงขั้นหลงระเริงกับการปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่รอบคอบระมัดระวัง อย่างสุกเอาเผากิน และขาดความรับผิดชอบของผู้คน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อยึดครองพื้นที่เฉพาะหนึ่งในหัวใจของผู้คน และได้รับความปรารถนาดีของพวกเขา นี่ไม่ใช่ความพยายามที่จะชนะใจผู้คนหรอกหรือ?  และนี่ไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายที่น่าชิงชังหรอกหรือ?  ช่างน่ารังเกียจนัก!(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (1)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พอได้เห็นสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยแล้ว ฉันก็ตระหนักได้ว่า โดยพื้นฐานแล้วการปฏิบัติตัวตามอุปนิสัยชั่วของฉัน มันคือการหลอกลวงและเอาชนะพวกเขา ด้วยความพยายามที่จะครอบครองและควบคุมพวกเขา  มันช่างขัดต่อพระเจ้าและเป็นสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ทำแน่นอน!  พอคิดแบบนี้ฉันก็อดกลัวไม่ได้ เพื่อที่จะอารักขาที่ของฉันในหัวใจผู้อื่น รวมถึงโอกาสในการได้รับเลือกเป็นผู้นำ พอฉันเห็นปัญหาในหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง ฉันก็ไม่เคยชี้ให้เห็นตรงๆ หรือสามัคคีธรรมตามความจริงเพื่อแก้ไขปัญหานั้น  ในทางกลับกัน ฉันเอาแต่พูดสิ่งที่น่าฟัง คนอื่นจะได้ชอบฉัน และมองว่าฉันเป็นคนที่ขี้เกรงใจและเปี่ยมด้วยความรัก  ฉันกำลังสะสมผู้ติดตามโดยไม่รู้ตัว และสุดท้าย คนที่ฉันได้หลอกลวงนั้น ไม่ใช่แค่ไม่เห็นถึงปัญหาของตัวเองและแก้ไขมัน แต่การเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาก็เสียหาย แถมพวกเขาถึงกับเคารพและเทิดทูนฉันด้วยซ้ำ  ฉันนี่มันชั่วและน่ารังเกียจจริงๆ!  การไม่คำนึงถึงชีวิตของพี่น้องชายหญิงโดยสิ้นเชิงของฉัน รวมถึงการโอนอ่อนผ่อนตามทั้งๆ ที่พวกเขาทำหน้าที่โดยพึ่งพาอุปนิสัยที่เสื่อมทรามนั้น ได้ส่งผลเสียต่องานของพวกเรา  ฉันรับบทเป็นลูกสมุนของซาตานเต็มตัว ก่อให้เกิดการหยุดชะงักและเป็นการบ่อนทำลายงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  พอตระหนักได้อย่างนี้ ฉันก็เริ่มเกลียดชังความเสื่อมทรามของตัวเองจากก้นบึ้งของหัวใจ  ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและกลับใจ  ฉันพูดไปว่า “โอ้พระเจ้า พระวจนะของพระองค์ทำให้ข้าพระองค์เห็นว่า อุปนิสัยชั่วของข้าพระองค์นั้นร้ายแรงแค่ไหน และข้าพระองค์กำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการเป็นศัตรูของพระคริสต์  ข้าพระองค์ต้องการกลับใจและละทิ้งแรงจูงใจส่วนตัว และหยุดทำตัวตามอุปนิสัยชั่วของข้าพระองค์เสียที”

หลังอธิษฐานเสร็จ ฉันก็นึกถึงถ้อยคำเหล่านี้จากพระเจ้า “พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงตรัสสั่งมนุษย์นั้นว่า ‘ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่’…ในพระวจนะสั้นๆ ที่พระเจ้าตรัสนี้ เจ้าสามารถเห็นสิ่งใดเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือไม่?  พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าเที่ยงแท้หรือไม่?  มีการหลอกลวงใดๆ หรือไม่?  มีความเท็จใดๆ หรือไม่?  มีการข่มขู่ใดๆ หรือไม่?  (ไม่มี)  พระเจ้าได้ตรัสบอกมนุษย์อย่างซื่อสัตย์ ตามความจริง และอย่างจริงใจถึงสิ่งที่เขาอาจกินได้และสิ่งที่เขาไม่อาจกินได้  พระเจ้าได้ตรัสอย่างชัดเจนและตรงๆ  มีความหมายซ่อนเร้นใดๆ อยู่ในพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?  พระวจนะเหล่านี้ไม่ตรงไปตรงมาหรอกหรือ?  มีความจำเป็นต้องคาดคะเนหรือไม่?  (ไม่)  ไม่มีความจำเป็นต้องคาดเดาเลย  ความหมายของพระวจนะเหล่านี้ชัดแจ้งในทันทีที่มอง  เมื่อได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ คนเรารู้สึกเข้าใจชัดเจนอย่างครบถ้วนถึงความหมายของมัน  นั่นคือ สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะตรัสและสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะแสดงออกนั้นมาจากพระทัยของพระองค์  สิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นสะอาด ตรงไปตรงมา และชัดเจน  ไม่มีสิ่งจูงใจแอบแฝง อีกทั้งไม่มีความหมายซ่อนเร้นใดๆ  พระองค์ตรัสกับมนุษย์โดยตรง ทรงบอกเขาถึงสิ่งที่เขาอาจกินได้และสิ่งที่เขาไม่อาจกินได้(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4)  ฉันอ่านพระวจนะนี้ และรู้สึกได้ว่าพระเจ้าแท้จริงทรงอยู่กับเราจริงๆ ตอนที่พระเจ้าตรัสสั่งกับอาดัม พระองค์ทรงระบุชัดเจนว่าอะไรที่กินได้และกินไม่ได้ เพื่อให้มนุษย์รู้ชัดว่าต้องทำอย่างไร  พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่มีอะไรที่สับสนหรือชวนเข้าใจผิด และไม่มีเลศนัยหรือการหลอกลวงใดๆ เลยด้วย  พระเจ้าทรงต้องประสงค์แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมวลมนุษย์  พระองค์ทรงนึกถึงพวกเราอย่างแท้จริง  พระองค์ได้ตรัสกับมนุษย์อย่างซื่อสัตย์ที่สุด  ฉันได้เห็นว่า แก่นแท้ของพระเจ้านั้นจริงใจ บริสุทธิ์ มีเมตตา และงดงาม  พระองค์ทรงควรค่าแก่ความไว้วางใจและความชื่นชมบูชาของเราจริงๆ  แต่ตัวฉันเองนั้น ฉันไม่ได้จริงใจกับพี่น้องชายหญิงเลย  ทุกสิ่งที่ฉันพูดและทำล้วนแปดเปื้อนแรงจูงใจส่วนตัว  ฉันเต็มไปด้วยการโกหกและความหลอกลวง  ฉันเอาแต่หลอกลวงและใช้ผู้คน จนสุดท้ายก็สร้างความเสียหายต่อพี่น้องชายหญิง  ฉันนี่มันชั่วจริงๆ!  พอคิดแบบนี้ ฉันรู้สึกผิดอย่างเหลือเชื่อ และเปี่ยมไปด้วยความเสียใจ  หลังจากนั้น ฉันได้ออกไปหาพี่น้องหญิงเซี่ยกับพี่น้องหญิงเฉิง และเปิดใจกับพวกเธอ เรื่องอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉัน  ฉันได้พูดถึงปัญหาที่เห็นในหน้าที่ของพวกเธอด้วย  พวกเธอไม่ได้มองฉันไม่ดีเลย แต่กลับบอกว่าการที่ฉันชี้ให้เห็นถึงปัญหาชัดๆ แบบนี้ คงช่วยให้พวกเธอเอากลับไปคิดได้ ไม่อย่างนั้นพวกเธอคงไม่ตระหนักว่าปัญหาที่มีมันร้ายแรงแค่ไหน  พวกเธอยังบอกด้วยว่า คราวหน้าถ้าเห็นปัญหาอีกก็บอกพวกเธอได้เลย  ฉันได้เห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างของพวกเธอหลังจากนั้น และพวกเธอก็เริ่มทำหน้าที่ได้ดีขึ้น  สิ่งนี้ทำให้ฉันมีความสุขมาก

ในการเฝ้าเดี่ยวของฉันหลังจากนั้น ฉันก็จดจ่อกับการหาทางแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉันในพระวจนะของพระเจ้า  ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนที่ว่า “ไม่ว่าตอนนี้เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไล่ตามเสาะหาช่วงระยะเริ่มแรกของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย ไม่สำคัญว่าเจ้าเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใด—เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้น…ตัวอย่างเช่น หากเจ้าลองพยายามที่จะปลอมแปลงตัวเจ้าเองด้วยคำพูดที่น่ายินดีอยู่เสมอ หากเจ้าพึงปรารถนาที่ทางในหัวใจของผู้อื่นอยู่เสมอและพึงปรารถนาที่จะทำให้ผู้อื่นเชิดชูบูชาเจ้า หากเจ้ามีความตั้งใจเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมหมายความว่า เจ้ากำลังถูกอุปนิสัยของเจ้าควบคุม  เจ้าควรพูดคำพูดที่น่ายินดีเหล่านี้หรือไม่?  (ไม่ควร)  หากเจ้าไม่พูดคำพูดเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าเพียงแค่กลั้นคำพูดเหล่านี้เอาไว้หรือไม่?  หากเจ้าพบการใช้วลีอันฉลาดยิ่งกว่า โดยที่การใช้วลีซึ่งแตกต่างออกไปทำให้ผู้คนอื่นๆ ไม่สามารถสืบหาความตั้งใจของเจ้าได้ นี่ก็ยังคงเป็นปัญหากับอุปนิสัยของเจ้า  อุปนิสัยใดหรือ?  อุปนิสัยของความชั่ว  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามง่ายที่จะแก้ไขหรือไม่?  การนี้เกี่ยวข้องกับธรรมชาติแก่นแท้ของคนเรา  ผู้คนมีแก่นแท้นี้ รากเหง้านี้ และนั่นต้องถูกขุดออกไปทีละน้อยๆ ต้องถูกขุดออกไปจากทุกสภาวะ จากความตั้งใจเบื้องหลังทุกคำพูดที่เจ้ากล่าว ต้องถูกชำแหละและทำความเข้าใจจากคำพูดที่เจ้ากล่าว เมื่อการตระหนักรู้เช่นนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และจิตวิญญาณของเจ้าแหลมคมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงได้(“เฉพาะเมื่อเจ้ารู้จักตนเองเท่านั้น เจ้าจึงสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “ทุกสิ่งที่เจ้าทำ ทุกการกระทำ ทุกเจตนา และทุกปฏิกิริยาควรได้รับการนำมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  แม้กระทั่งชีวิตฝ่ายวิญญาณประจำวันของเจ้า—คำอธิษฐาน ความใกล้ชิดต่อพระเจ้าของเจ้า วิธีการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของเจ้า การสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของเจ้า และชีวิตของเจ้าภายในคริสตจักร และการปรนนิบัติของเจ้าในการร่วมงานกัน—สามารถนำมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ได้  การปฏิบัติเช่นนี้นี่เองที่จะช่วยเจ้าให้สัมฤทธิ์ผลการเจริญเติบโตในชีวิต  กระบวนการการยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าเป็นกระบวนการของการชำระให้บริสุทธิ์  ยิ่งเจ้าสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็ยิ่งได้รับการชำระให้บริสุทธิ์มากขึ้นและสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ถูกชักนำให้ไปสู่การกระทำชั่ว และหัวใจของเจ้าจะมีชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์  ยิ่งเจ้ายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์มากเท่าใด การถูกดูหมิ่นเหยียดหยามของซาตานก็ใหญ่หลวงยิ่งขึ้นเท่านั้น และความสามารถของเจ้าในการละทิ้งเนื้อหนังก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น  ดังนั้น การยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าคือเส้นทางของการปฏิบัติที่ผู้คนควรติดตาม  ไม่สำคัญว่าเจ้าจะทำสิ่งใดก็ตาม แม้กระทั่งเมื่อพูดคุยกับพี่น้องชายหญิงของเจ้า เจ้าสามารถนำการกระทำของเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์และมุ่งหมายที่จะเชื่อฟังพระเจ้าพระองค์เองได้ นี่จะทำให้สิ่งที่เจ้าปฏิบัติถูกต้องมากขึ้นอย่างมาก  หากเพียงเจ้านำทุกสิ่งที่เจ้าทำมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าก็จะสามารถเป็นใครบางคนผู้ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้าได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงทำให้บรรดาผู้ที่สมดังพระทัยของพระองค์มีความเพียบพร้อม) เมื่อพิจารณาพระวจนะของพระเจ้า มันก็ชัดเจน ว่าในการเผชิญกับปัญหา ฉันต้องพินิจพิเคราะห์ความคิดของตัวเอง ทบทวนแรงจูงใจเบื้องหลังคำพูดและการกระทำของฉัน เอาคำพูดและการกระทำของฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ วิเคราะห์และรู้จักตัวเอง เวลาที่ฉันพบว่าตัวเองเปิดเผยอุปนิสัยชั่ว รวมถึงอธิษฐานและละทิ้งตัวเองอย่างไม่รีรอ  ด้วยวิธีนี้ ความเสื่อมทรามในแง่มุมนั้นของฉัน คงค่อยๆ ได้รับการชำระให้สะอาด

ต่อมา ฉันสังเกตว่ามีพี่สาวคนหนึ่งดูอ่อนแอ และไม่เต็มใจที่จะประสบกับความยากลำบากใดเลย  เธอจะหันหลังกลับทันทีที่เจอปัญหาในงานข่าวประเสริฐของตน  ฉันนึกขึ้นได้ ว่าเธอไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง และฉันต้องสามัคคีธรรมกับเธอทันทีเพื่อทำให้สิ่งต่างๆ กลับมาดีขึ้น  แต่จู่ๆ ฉันก็เกิดปัญหาขึ้นมาอีกครั้ง  ฉันคิดว่า หากฉันพูดถึงปัญหาของเธอไป เธออาจจะคิดว่าฉันแข็งกร้าวเกินไป และเธออาจจะต่อต้านและรังเกียจฉันได้  ฉันสงสัยว่าจะวางแผนอย่างไรดีเธอถึงจะรับได้ และไม่เกิดอคติกับฉัน  พอคิดแบบนี้ ฉันก็ตระหนักได้ ว่าฉันกำลังปกป้องสถานะและภาพลักษณ์ของตัวเองในหมู่พี่น้องชายหญิงอีกแล้ว  ฉันกล่าวคำอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในหัวใจว่า “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์พร้อมจะยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ และพร้อมละทิ้งแรงจูงใจส่วนตัวแล้ว  ข้าพระองค์อยากสามัคคีธรรมตามความจริงเพื่อช่วยเหลือพี่สาวและทำหน้าที่ของตนเอง”  หลังจากนั้น ฉันก็แบ่งปันสามัคคีธรรมกับพี่สาวคนนี้โดยชำแหละปัญหาของเธอ  ฉันได้รับสันติสุขในใจมากมายหลังนำสิ่งนี้มาปฏิบัติ  ตอนนี้ ฉันมีปัญญาแยกแยะเรื่องอุปนิสัยชั่วของตัวเองแล้ว และเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา ฉันก็จะแสวงหาความจริงและละทิ้งแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวของฉันอย่างมีสติ  ฉันสามารถประพฤติตัวตามพระวจนะของพระเจ้าได้แล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนสัมฤทธิ์ได้ได้โดยผ่านการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า  ฉันขอบคุณความรอดของพระเจ้ามากๆ!

ก่อนหน้า: 49. หนทางอันมหัศจรรย์ในการดำเนินชีวิต

ถัดไป: 51. ฉันได้เห็นความจริงของการเป็นคนชอบเอาใจผู้อื่นแล้ว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger