21. ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่า การทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วงหมายถึงสิ่งใด

โดย สวุนฉิว ประเทศเกาหลีใต้

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “อันที่จริง ผลการปฏิบัติงานของมนุษย์เป็นความสำเร็จลุล่วงทั้งหมดที่มีอยู่โดยธรรมชาติในตัวมนุษย์ กล่าวคือ ทั้งหมดที่เป็นไปได้สำหรับมนุษย์  เป็นเวลานี้เองที่หน้าที่ของเขาได้กระทำให้ลุล่วงแล้ว  ข้อบกพร่องต่างๆ ของมนุษย์ในระหว่างการปรนนิบัติของเขาจะค่อยๆ ลดลงผ่านประสบการณ์ที่ก้าวหน้าและกระบวนการการก้าวผ่านการพิพากษาของเขาข้อบกพร่องต่างๆ เหล่านี้ไม่ขัดขวางหรือส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของมนุษย์  พวกผู้ที่หยุดรับใช้หรือยอมแพ้และถอยกลับเพราะกลัวว่าอาจมีข้อบกพร่องในการรับใช้ของพวกเขานั้นขี้ขลาดที่สุดของคนทั้งหมด  หากผู้คนไม่สามารถแสดงออกในสิ่งที่พวกเขาควรจะแสดงออกในระหว่างการปรนนิบัติหรือการสัมฤทธิ์สิ่งที่เป็นไปได้โดยธรรมชาติสำหรับพวกเขา แต่กลับเล่นไปเรื่อยเปื่อยและเสแสร้งแสดงท่าทาง พวกเขาก็ได้สูญเสียภารกิจที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี  ผู้คนเช่นนี้เป็นสิ่งที่รู้จักกันว่าเป็น ‘คนที่มีคุณภาพปานกลาง’ พวกเขาเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์  ผู้คนเช่นนี้จะสามารถถูกเรียกอย่างเหมาะสมว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร?  พวกเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เสื่อมทรามซึ่งสุกใสที่ด้านนอกแต่เน่าเสียที่ด้านในหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์)  พระวจนะของพระเจ้าได้ช่วยให้ฉันเข้าใจว่า การทำหน้าที่ของพวกเรานั้น จริงๆ แล้วหมายความว่าอะไร  มันหมายความว่า ไม่สำคัญว่าพวกเรามีความสามารถพิเศษหรือมีพรสวรรค์แค่ไหน พวกเราก็ต้องทำให้ทุกสิ่งที่พวกเราเข้าใจได้แสดงบทบาทออกมาทั้งหมด  พวกเราไม่สามารถทำแบบมักง่าย หรือทำแบบขอไปทีได้  เราต้องคอยเพียรพยายามไปตามสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์  ในหนทางนั้น พวกเราจึงจะชดเชยจุดอ่อนหรือสิ่งที่ขาดตกบกพร่องใดๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราได้ และพวกเราก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

ไม่นานมานี้ คริสตจักรต้องการถ่ายทำวิดีโอการขับร้องเดี่ยวเพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะของพระเจ้า  ผู้นำทีมของพวกเราต้องการให้ฉันร้องนำและเล่นกีตาร์ให้กับหนึ่งบทเพลงในนั้น  ตอนที่เขาบอกฉันเรื่องนี้ ฉันก็ตื่นเต้นกังวลเล็กน้อย  การร้องเพลงและเล่นกีตาร์ไปด้วยนั้น ยากกว่าแค่ร้องเพลงเฉยๆ  แถมฉันยังเคยลองร้องเดี่ยวแบบนั้นมาก่อน แต่ในขณะที่ร้องนั้น ฉันก็จดจ่อกับการแสดงจนดีดผิดคอร์ด แต่พอฉันจดจ่อกับคอร์ด การแสดงของฉันก็ไม่ได้เรื่อง  สุดท้ายพวกเราก็ใช้ภาพที่ถ่ายมาไม่ได้  เมื่อเจอกับงานแบบเดิมอีก ฉันก็อยากจะปฏิเสธ แต่ฉันไม่คิดว่านั่นจะเป็นไปในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  พี่น้องชายหญิงของฉันต่างคิดว่าฉันเหมาะสมมากกับเพลงนั้น ฉันจึงคิดว่าฉันควรยอมรับและทำหน้าที่ของฉัน  ดังนั้นฉันจึงได้ยอมรับบทบาทนั้น  หลังจากฝึกซ้อมได้สองวัน ฉันก็เข้าใจส่วนของการร้องเพลงและการแสดงได้ค่อนข้างดี  แต่คอร์ดกีตาร์ค่อนข้างซับซ้อนและจำยาก พอเหลือแค่วันเดียวก่อนการถ่ายทำ ฉันก็เกิดความวิตกกังวลอย่างมาก  ฉันกลัวว่า ต่อให้ฉันฝึกฝนต่อไป มันก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ทันแล้ว และถ้าฉันฝึกซ้อมต่อไป มือของฉันจะไม่บวมหรือ?  ถึงจะลำบากลำบนไป ฉันก็อาจจะจำมันไม่ได้ด้วยซ้ำ  พอคิดแบบนั้น ฉันก็เลยไม่อยากยอมลงทุนลำบากเพื่อมัน  ฉันจึงพยายามคิดหาทางออกที่ลงตัวให้กับโจทย์ยากๆ นี้  ตอนนั้นเองฉันก็เกิดไอเดียว่า ฉันสามารถขอให้ตากล้องเลี่ยงไม่ถ่ายมือของฉันให้มากเกินไป แบบนั้นฉันก็จะไม่ต้องฝึกหนักกับคอร์ดที่น่ารำคาญพวกนี้  และพวกเราก็ยังสามารถถ่ายวิดีโอนั่นได้  นั่นดูน่าจะเป็นไอเดียที่ดี  แต่อันที่จริง ตอนเกิดไอเดียนี้ขึ้นมา ฉันก็ไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ เพราะมันรู้สึกเหมือนตัวเองขาดความรับผิดชอบ  มันจะเป็นอย่างไร ถ้าหากเกิดปัญหากับคอร์ดพวกนั้น แล้วพวกเราต้องถ่ายทำวิดีโอใหม่  แต่แล้วฉันก็คิดกับตัวเองว่า “เวลากระชั้นเข้ามาแล้วและเพลงนี้ก็ยากมากเลย ถ้าจะเล่นเพลงนี้ให้ดีก็คงต้องหน้าดำคร่ำเครียดมากเลยทีเดียว  ฉันแสดงเกินระดับความสามารถของตัวเองไม่ได้หรอก  อีกอย่าง การทำแบบนี้ก็เพื่อให้พวกเราได้วิดีโอออกมาโดยเร็วที่สุด  ทุกคนควรจะเข้าใจนะ”  หลังจากนั้น ฉันก็มุ่งเน้นที่การร้องเพลงและการแสดง โดยไม่ห่วงกังวลเรื่องคอร์ดมากเกินไป  ฉันคิดไปว่านั่นควรจะดีมากพอแล้ว

พอถึงเวลาถ่ายทำ ฉันขอพี่ชายที่เป็นคนถ่ายว่าไม่ให้จับภาพมือของฉันในระยะใกล้บ่อยเกินไปนัก  ฉันไม่คิดว่านั่นจะมีปัญหาอะไร  แต่ในวันต่อมา ผู้กำกับก็บอกว่าฉันเล่นบางคอร์ดผิด และถามฉันว่าเกิดอะไรขึ้น  ฉันรู้สึกผิดมากจนหน้าแดงก่ำขึ้นมา  ฉันคิดว่า “ไม่นะ นี่พวกเราจะต้องถ่ายทำใหม่กันหรือนี่?”  ฉันรีบไปถามฝ่ายตัดต่อว่ามีทางแก้ทางอื่นไหม  เขาส่ายหัวพูดว่า “ผมลองแล้ว ไม่ได้ผลเลย”  ถึงตรงนี้ ฉันก็รู้เลยว่าพวกเราคงต้องถ่ายทำใหม่  ฉันรู้สึกผิดที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนก่อปัญหานี้ขึ้นมา  ต่อมา เมื่อเรารวมตัวกันเพื่อหารือสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันบอกเหตุผลของฉันกับทุกคนสำหรับสิ่งที่ทำลงไป  พี่สาวคนหนึ่งตำหนิฉันว่า “ทำไมถึงไม่บอกพวกเรา ว่าคุณยังเล่นคอร์ดพวกนั้นไม่ได้?  ตอนนี้พวกเราต้องถ่ายทำกันใหม่หมด แล้วทั้งโปรเจกต์ก็ล่าช้าออกไป  นี่เป็นเพราะคุณชุ่ยและขาดความรับผิดชอบ!”  ฉันไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เธอพูดได้เลย  ฉันคิดว่า “ฉันก็ทำดีที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ?  ข้อเท็จจริงก็คือฉันไม่สามารถเล่นคอร์ดพวกนั้นได้ แล้วฉันก็ทำแบบนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าวิดีโอจะเสร็จอย่างรวดเร็ว  พวกเขาก็แค่ไม่ควรถ่ายมือของฉัน ถูกไหมล่ะ?”  ฉันแค่หาข้อแก้ตัว โดยไม่ทบทวนตัวเองเลย  แต่แล้วพี่สาวอีกคนก็บอกฉันว่า “ถ้าคุณกำลังมีปัญหา คุณก็ฝึกให้มากขึ้นได้นี่ ถึงการถ่ายทำจะถูกเลื่อนอีกไปอีกสองสามวันก็เถอะ  แต่คุณทำแค่ขายผ้าเอาหน้ารอดไปแบบนั้นไม่ได้  คุณเป็นนักร้องนำนะ—มันจะดูเป็นยังไงอย่างไรถ้าเราไม่มีภาพคุณเล่นกีตาร์น่ะ?  คุณขาดความรับผิดชอบและชุ่ยมากๆ!”  การได้ยินเธอพูดว่า “มากๆ” แบบนั้นแทงใจฉันจริงๆ  ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดว่า “ถ้าพี่น้องชายหญิงต่างคิดว่าฉันชุ่ยในหน้าที่กันหมด หรือว่าฉันอาจจะผิดจริง?  ฉันเองก็ต้องการให้การถ่ายทำเป็นไปด้วยดีเหมือนกัน แต่โปรเจกต์นี้ก็ล่าช้าออกไปและพวกเราต้องถ่ายทำใหม่เพราะคอร์ดของฉันผิด  แน่อยู่แล้วว่าฉันสมควรถูกตำหนิ”  พอคิดแบบนั้นฉันก็รู้สึกแย่  ฉันหยุดท้วงติงและเริ่มทบทวนตัวเอง

ต่อมาฉันก็พบบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าที่ดลใจฉันมาก บทตอนนั้นว่าไว้อย่างนี้คือ “สิ่งใดคือผลลัพธ์ของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างลวกๆ และรีบเร่ง และการปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้า อย่างไม่สลักสำคัญ?  นั่นเป็นการปฏิบัติงานที่แย่ต่อหน้าที่ของเจ้า แม้ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดีได้ก็ตาม—การปฏิบัติงานของเจ้าจะไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และพระเจ้าจะไม่พึงพอพระทัยกับท่าทีของเจ้าที่มีต่อหน้าที่ของเจ้า  หากเดิมทีเจ้าได้แสวงหาและร่วมมืออย่างเป็นปกติ หากเจ้าได้อุทิศความคิดทั้งหมดของเจ้าแก่หน้าที่นั้น หากเจ้าได้ใส่ หัวใจและดวงจิตของเจ้าเข้าไปในการทำหน้าที่นั้น และทุ่มความพยายามทั้งหมดของเจ้าให้กับหน้าที่นั้น และได้อุทิศการตรากตรำของเจ้าในช่วงเวลาหนึ่ง การเพียรพยายามของเจ้า และความคิดของเจ้าให้หน้าที่นั้น หรือได้อุทิศเวลาบางส่วนให้กับวัสดุอ้างอิง และหมายมั่น หมดทั้ง จิตใจและกายของเจ้ากับหน้าที่นั้น หากเจ้าได้มีความสามารถที่จะให้ความร่วมมือเช่นนั้น เช่นนั้นแล้วพระเจ้าคงจะทรงอยู่เบื้องหน้าเจ้าและนำทางเจ้า  เจ้าไม่จำเป็นต้องทุ่มเทพละกำลังมากมาย เมื่อเจ้าใช้ความพยายามทั้งหมด ในการร่วมมือ พระเจ้าย่อมจะทรงได้จัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเจ้าไว้แล้ว  หากเจ้าหัวหมอ และคิดคดทรยศ  และเมื่อผ่านการงานไปได้ครึ่งทาง เจ้ามีการเปลี่ยนใจและหลงเจิ่น เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงแสดงความสนพระทัยในตัวเจ้า เจ้าจะได้เสียโอกาสเหมาะนี้ไปแล้ว และพระเจ้าจะตรัสว่า ‘เจ้าไม่ดีพอ เจ้าไร้ประโยชน์  จงหลีกไปยืนอยู่ด้านข้าง  เจ้าชอบการเกียจคร้าน ไม่ใช่หรือ?  เจ้าชอบการมีเล่ห์ลวงและฉลาดแกมโกงไม่ใช่หรือ?  เจ้าชอบการหยุดพักหรือ?  เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นแล้ว ก็จงหยุดพัก’  พระเจ้าจะทรงให้พระคุณและโอกาสเหมาะนี้แก่บุคคลถัดไป  พวกเจ้าจะพูดอะไรเล่า  นี่คือความพ่ายแพ้หรือชัยชนะ?  นี่คือความพ่ายแพ้อันใหญ่หลวง!(“วิธีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการสะเพร่าและการสุกเอาเผากินเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสภาวะของฉันเอง  ฉันตกลงฝึกซ้อมเพื่อรับบทนำ แต่จริงๆ แล้วฉันไม่ได้ทำตามที่สัญญาเอาไว้  ฉันไม่ได้จัดการแก้ไขจุดอ่อนของตัวเองหรือมองหาข้อมูลเพื่อปรับปรุงคอร์ดของตัวเอง  ฉันหย่อนยานในฝึกซ้อม  เพราะฉันคิดว่ามันคงจะหนักเกินไป  ฉันอ้างว่าฉันไม่มีเวลา และขอให้ตากล้องเลี่ยงการถ่ายมือของฉันใกล้ๆ  ฉันนึกว่าจะเอาตัวรอดไปได้ แต่สุดท้ายกลับทำให้โปรเจกต์ล่าช้า เป็นการขาดความรับผิดชอบและชุ่ยของฉันจริงๆ!  เมื่อมีหน้าที่มาให้ฉันทำ ฉันก็ไม่ต้องการมานะพยายามที่จะเล่นเพลงให้ดีและเป็นพยานให้พระเจ้า  แต่ฉันกลับเลือกเส้นทางที่ลำบากน้อยที่สุด และตอนนี้พวกเราก็ต้องทำทุกอย่างใหม่หมด  ฉันขาดความรับผิดชอบขนาดนั้นได้อย่างไรนะ?  แค่ฝึกซ้อมมากขึ้นอีกนิด มานะพยายามมากขึ้นอีกหน่อย แล้วฉันก็คงไม่ได้ทำอันตรายต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ตอนนั้นฉันเกลียดตัวเองมากพอดู  ฉันคิดว่า “หากฉันได้โอกาสอีกครั้ง ฉันจะไม่สุกเอาเผากินแบบนั้นอีก  ต่อให้ฉันจำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อยกับการฝึกซ้อมคอร์ดพวกนั้น  ฉันก็จะทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ”

คนอื่นๆ ตัดสินใจให้เวลาฉันฝึกซ้อมอีกสองวัน  นี่ช่วยดลใจฉันจริงๆ และฉันขอบคุณพระเจ้าที่ให้โอกาสฉันชดเชยการฝ่าฝืนของตัวเอง  ในการฝึกซ้อมของฉันหลังจากนั้น ฉันทำงานหนักเพื่อจดจำคอร์ดทั้งหมด แต่ฉันรู้สึกเครียดมาก  ฉันกลัวว่าเทคนิคของตัวเองจะยังไม่ดีพอ และเวลาสองวันนั้นก็คงไม่มากพอให้ฉันเล่นได้ดีขึ้น  ฉันเริ่มรู้สึกวิตกกังวลอีกครั้ง แต่ยิ่งฉันกังวลมากขึ้นเท่าไร ฉันก็ยิ่งลืมมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งฉันลืม ฉันก็ยิ่งวิตกกังวล  เช้าวันนั้นผ่านไปเร็วมาก ฉันยังไม่สามารถเล่นเพลงนั้นได้ดีนัก และมือของฉันก็เจ็บ  ปกติฉันมักจะหยุดพักจากการฝึกซ้อมหลังจากมื้อเที่ยง  แต่ครั้งนี้ ฉันรู้ว่าฉันต้องฝึกต่อไป ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถหยุดพักได้ แต่ฉันต้องใช้ทุกชั่วขณะที่มีเพื่อเล่นคอร์ดให้ถูก  เมื่อฉันกำหนดใจได้ถูกต้อง พระเจ้าก็ทรงนำฉัน  บ่ายวันนั้น ฉันก็พบวิธีจดจำคอร์ดเป็นท่อนๆ ได้โดยไม่รู้ตัว!  มันเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ  แต่ฉันฝึกซ้อมมานานมากจนมือของฉันเริ่มบวม แล้วฉันก็ถูกทดลองให้หย่อนยานอีกครั้ง  พอฉันจับได้ว่าตัวเองกำลังคิดแบบนี้อีกแล้ว ฉันก็คิดถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ แล้วฉันก็รีบอ่านบทตอนนั้นที่ว่า “เมื่อเผชิญหน้ากับหน้าที่ที่จำเป็นต้องมีความพยายามและการใช้จ่ายของเจ้า และการนั้นพึงประสงค์ให้เจ้าทุ่มเทอุทิศกาย จิตใจ และเวลาของเจ้า เจ้าต้องไม่หน่วงเหนี่ยวสิ่งใดไว้ ไม่ซ่อนเร้นความฉลาดแยบยลหยุมหยิมของเจ้า หรือทิ้งเวลาให้สูญเปล่า  หากเจ้าทิ้งเวลาให้สูญเปล่า เอาแต่คอยคำนวณ หรือหัวหมอและคิดคดทรยศทรยศ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ถูกผูกมัดอยู่กับการงานที่แย่  เจ้าอาจจะพูดว่า ‘ไม่มีผู้ใดได้เห็นฉันปฏิบัติตนในลักษณะที่กะล่อน  เยี่ยมจริงเลย!’  นี่คือการคิดแบบไหนกัน?  เจ้าคิดว่าเจ้าได้ปิดหูปิดตาผู้คน และปิดพระเนตรพระกรรณพระเจ้าเช่นกัน  กระนั้นก็ตาม ในข้อเท็จจริงตามจริง พระเจ้าทรงรู้สิ่งที่เจ้าได้ทำไปแล้วหรือไม่?  (พระองค์ทรงรู้)  โดยทั่วไป ผู้คนที่มีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าในช่วงเวลายาวนานจะค้นหาจนพบเช่นกัน และจะพูดว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ลื่นไหลเสมอ ไม่มีวันขยัน และเพียงทุ่มความพยายามของเขาสักร้อยละห้าสิบหรือหกสิบเท่านั้น หรืออย่างมากที่สุดก็ร้อยละแปดสิบ  พวกเขาจะพูดว่าเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างในลักษณะที่งุนงงสับสนมาก แสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับสิ่งใดก็ตามที่เจ้ากำลังทำ เจ้าไม่มีสติในของงานของเจ้าเลยแม้แต่น้อย  หากเจ้าถูกทำให้ต้องทำบางสิ่ง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะทุ่มความพยายามของเจ้าไปสักเล็กน้อย หากใครบางคนวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เพื่อตรวจดูว่างานของเจ้านั้นดีเข้าขั้นหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ทำงานให้ดีขึ้นเล็กน้อย—แต่หากไม่มีใครวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เพื่อตรวจดู เจ้าก็ย่อหย่อนลงเล็กน้อย  หากเจ้าได้รับการจัดการ เช่นนั้นแล้วเจ้าจึงใส่หัวใจของเจ้าเข้าไปในงานนั้น มิฉะนั้นแล้ว เจ้าก็งีบหลับระหว่างงานอยู่เนืองนิตย์และพยายามที่หลบไปจากสิ่งใดก็ตามที่เจ้าสามารถทำได้ โดยทึกทักเอาว่าไม่มีผู้ใดจะสังเกตเห็น  เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็สังเกตเห็น  พวกเขาพูดว่า ‘บุคคลนี้พึ่งพาไม่ได้และไว้วางใจไม่ได้ หากท่านให้เขาปฏิบัติหน้าที่สำคัญ เขาจะจำเป็นต้องได้รับการกำกับดูแล  เขาสามารถทำกิจและการงานธรรมดาที่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรม แต่หากเจ้าให้เขาทำหน้าที่สำคัญยิ่งชีพอันใดให้ลุล่วง เขาจะมีแววมากที่สุดที่จะทำให้สิ่งนั้นมีอันยุ่งเหยิง และเมื่อนั้นเจ้าก็จะถูกตบตาไปแล้ว’  ผู้คนจะมองเห็นเขาทะลุปรุโปร่ง และเขาจะได้ทิ้งขว้างศักดิ์ศรีและความสัตย์สุจริตทั้งหมดไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว  หากไม่มีผู้ใดสามารถเชื่อใจเขาได้ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะสามารถได้อย่างไร?  พระเจ้าจะวางพระทัยมอบหมายกิจหลักอันใดให้เขาได้อย่างไร?  บุคคลเช่นนั้นไว้วางใจไม่ได้(“การเข้าสู่ชีวิตต้องเริ่มต้นด้วยประสบการณ์แห่งการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)

พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตระหนักว่า ฉันทำหน้าที่แบบสุกเอาเผากินแค่ไหน  ฉันชะล่าใจในการฝึกซ้อมคอร์ดพวกนั้นจนไปไม่ถึงมาตรฐานสูงสุด  ฉันไม่ได้กำลังทุ่มเทอย่างเต็มที่  ฉันกำลังทำพอผ่านๆ และขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ในหน้าที่ของตัวเอง  ฉันไม่มีความซื่อสัตย์  ฉันเป็นคนที่ไว้วางใจไม่ได้  ฉันมักจะคิดว่าตัวเองไฟแรงและทำงานหนักในหน้าที่เสมอ ว่าฉันมีความจงรักภักดีที่ไม่สิ้นสุด  แต่ตอนนี้ ฉันเห็นแล้วว่า ฉันไม่ได้มุ่งเน้นที่ผลลัพธ์ แต่แค่ขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ  นั่นจะเป็นการทำหน้าที่ของฉันได้อย่างไร?  หากฉันทำแบบนั้นต่อไป ใครจะกล้าไว้ใจฉันอีก?  ฉันจะสูญสิ้นความสัตย์สุจริตและเกียรติของฉันหรือ?  ฉันได้กระทำการฝ่าฝืนไปเมื่อครั้งก่อน  ฉันไม่ต้องการจะทำซ้ำอีก  มันไม่สำคัญว่าฉันจะมือบวมหรือเหน็ดเหนื่อยหรือไม่ ความสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรีของฉันนั้นสำคัญกว่า  ดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจฝึกซ้อมคอร์ดต่อไป ไม่ว่ามันจะเหน็ดเหนื่อยหรือลำบากยากเย็นแค่ไหนก็ตาม  เมื่อฉันตกลงปลงใจกลับใจอย่างแท้จริง ฉันก็ได้เห็นพระพรและการทรงนำของพระเจ้า  ในวันนั้นเอง ฉันฝึกซ้อมจนเลยเที่ยงคืน และสามารถจดจำคอร์ดได้เกือบทั้งหมด  วันต่อมาฉันฝึกซ้อมตลอดทั้งวันจนคุ้นเคยกับเพลงทั้งเพลง  ระหว่างการถ่ายทำ ฉันตั้งใจจดจ่อกับแต่ละขั้นตอน และอธิษฐานอย่างเงียบๆ พึ่งพาพระเจ้า  แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจ ที่พวกเราถ่ายทำทั้งหมดในเทคเดียว!  การได้เห็นว่าผลออกมาเป็นแบบนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกถึงสันติสุข  ฉันได้ลิ้มรสหอมหวานของการปฏิบัติความจริง

ต่อมาฉันได้รับหน้าที่แต่งเพลง  ฉันไม่ได้แต่งเพลงมานานแล้ว ฉันจึงขาดการฝึกฝนอยู่บ้าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ผ่านมา พวกเราทำเพลงร็อคกัน ซึ่งฉันไม่เคยทำมาก่อน ดังนั้นฉันจึงวิตกพอดู  แต่ฉันรู้ว่านี่เป็นหน้าที่ที่ฉันจำเป็นต้องทำให้ลุล่วงและฉันต้องทำให้ดีที่สุด  ดังนั้น ฉันจึงวางแผนที่จะแต่งให้เสร็จสองเพลงภายในปลายเดือนนั้น  ฉันทำงานล่วงเวลาเพื่อแต่งเพลงพวกนั้น และเวลาที่เหน็ดเหนื่อย ฉันก็ขอให้พระเจ้าทรงช่วยฉันละทิ้งเนื้อหนัง  ฉันบังเอิญนึกทำนองเพลงหนึ่งขึ้นมาได้ และแต่งมันจนจบเพลงอย่างรวดเร็ว  เมื่อฉันแต่งเสร็จ ฉันก็ให้พี่น้องชายหญิงของฉันฟัง  พวกเขาพูดว่ามันใช้ได้และมีสไตล์ถูกต้องตามแบบเพลงร็อค  แต่ในใจฉันกลับคิดว่า “หากฉันทำงานมากขึ้นและขัดเกลาทำนองเพลงประสานเสียง เพลงก็จะดีขึ้นไปอีก”  แต่ฉันก็เกิดเปลี่ยนใจ  ฉันไม่มีทิศทางที่ชัดเจนในตอนนั้น และฉันไม่อยากเรียกร้องเอากับตัวเองมากเกินไป  อีกอย่าง พี่น้องชายหญิงของฉันก็ไม่มีปัญหากับมัน  มันดีพอแล้ว  แถมฉันเพิ่งเรียนรู้วิธีแต่งเพลงประเภทนี้ ดังนั้นจึงเป็นปกติที่จะมีข้อติอยู่  ฉันจึงส่งมอบมันให้กับผู้นำทีม

ไม่กี่วันต่อมา เขาบอกฉันว่าฉันมาถูกทางแล้ว แต่ทำนองเพลงมันหยาบไปหน่อย  เขาแนะนำให้ฉันคิดเรื่องเนื้อเพลงเพิ่มอีกหน่อย  ฉันรู้สึกต่อต้านเรื่องนี้นิดหน่อยและคิดว่า “ฉันเพิ่งจะเรียนรู้วิธีแต่งเพลงประเภทนี้เอง คุณกำลังเรียกร้องจากฉันมากเกินไปแล้วนะ!”  ฉันใช้เวลากับมันมามากแล้ว และรอคำติชมของเขาอยู่อีกสองสามวัน  เวลาก็ได้ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน  พอเห็นว่าไม่มีความคืบหน้า ฉันเลยกังวลนิดหน่อย  การตรวจแก้งานประพันธ์จะต้องใช้ความมานะพยายามมาก และฉันไม่รู้ว่ามันจะออกมาอย่างไร  ดังนั้นฉันจึงเขียนทำนองเสียงขึ้นมาใหม่  ผู้นำทีมพูดว่า มันไม่ดีเลยและฟังดูเหมือนเพลงสำหรับเด็ก  ฉันรู้สึกหดหู่ใจมากจริงๆ  คิดว่า “ฉันทุ่มเทเต็มที่แล้ว แต่เพลงก็ยังไม่ผ่านสักเพลงเลย ฉันควรจะทำอย่างไรดี?”  ต่อมา ฉันเขียนทำนองเพลงอีกสองสามเพลง แต่ก็ไม่มีเพลงไหนได้รับการยอมรับเลย  ฉันเศร้าใจมาก  ฉันคิดถึงเรื่องที่ฉันตกลงใจแน่วแน่ที่จะแต่งให้ได้สองเพลงภายในสิ้นเดือน แต่ฉันยังแต่งไม่เสร็จสักเพลงด้วยซ้ำ  ฉันล้มเหลวในการทำหน้าที่ของตัวเอง  นี่ฉันไม่มีดีอะไรเลยหรือ?

ในการชุมนุมครั้งต่อมา หัวหน้าทีมเตือนความจำฉันว่า “งานประพันธ์ของคุณค่อนข้างไม่เหมือนใครและสไตล์ก็ดี แล้วทำไมถึงยังไม่มีงานไหนได้รับการอนุมัติเลยนะหรือ?  ก็คุณไม่ได้ให้ความสนใจกับเนื้อเพลงเลย ดังนั้นเนื้อร้องกับทำนองเพลงมันก็เลยไม่เข้ากัน  ยิ่งทุกครั้งที่คุณเปลี่ยนมัน มันก็ยิ่งแย่ลงไปอีก  นี่กำลังทำให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้านะ”  แล้วพี่ชายอีกคนหนึ่งก็เสริมว่า “คุณร้องเพลงไม่ดีเลยในการบันทึกเสียง  บางชิ้นงานไม่ตรงกับโน๊ตเพลงด้วยซ้ำ  คุณกำลังสะเพร่านะ!”  การถูกพี่น้องชายพวกนั้นจัดการและตำหนิ มันช่างน่าอดสู  ฉันอยากแทรกแผ่นดินหนีนัก  พอฉันกลับถึงบ้าน ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุกเอาเผากิน  ข้าพระองค์ไม่ได้อุทิศตัวเลย แต่ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร  โปรดทรงช่วยข้าพระองค์และทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด”

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะนี้ของพระเจ้า “การรับมือกับสิ่งทั้งหลายอย่างตลกคะนองและไร้ความรับผิดชอบเหลือเกินนั้น ไม่ใช่บางสิ่งที่อยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรอกหรือ?  สิ่งใดหรือ?  สิ่งนั้นก็คือคราบสกปรก ไม่ว่าในเรื่องอะไรทั้งหมด พวกเขาพูดว่า ‘นั่นถูกต้องแล้ว’ และ ‘ใกล้เคียงพอแล้ว’ นั่นคือท่าทีที่ว่า ‘อาจจะ’ ‘เป็นไปได้’ และ ‘สี่ในห้า’  พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายอย่างขอไปที พึงพอใจที่จะทำขั้นต่ำ และพึงพอใจที่จะมั่วไปเรื่อยๆ ตามที่พวกเขาสามารถทำได้ พวกเขาไม่เห็นประโยชน์ในการถือสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริงจังหรือการเพียรพยายามเพื่อความเที่ยงตรง และพวกเขาเห็นประโยชน์น้อยกว่านั้นในการแสวงหาหลักธรรมทั้งหลาย  นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่อยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรอกหรือ?  นั่นเป็นการสำแดงของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือ?  การเรียกสิ่งนั้นว่าความโอหังนั้นถูกต้อง และการเรียกสิ่งนั้นว่าเหลวแหลกก็เหมาะสมทั้งสิ้นด้วยเช่นกัน—แต่การที่จะจับภาพสิ่งนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ คำพูดเดียวที่จะทำได้ก็คือ ‘เป็นคราบสกปรก’  คราบสกปรกเช่นนั้นมีอยู่ในสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ว่าในเรื่องอะไรทั้งหมด พวกเขาก็ปรารถนาที่จะทำน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ปรารถนาที่จะเห็นสิ่งที่พวกเขาสามารถหลบรอดไปได้ และมีกลิ่นโชยวูบของเล่ห์ลวงในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ  พวกเขาโกงคนอื่นเมื่อพวกเขาสามารถทำได้ ทำอะไรลวกๆ เมื่อพวกเขามีความสามารถทำได้ และเกลียดที่จะใช้เวลาหรือความคิดให้มากในการพิจารณาเรื่องหนึ่งเรื่อง  ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการถูกเปิดโปงได้ และพวกเขาไม่ก่อให้เกิดปัญหา และพวกเขาไม่ได้ถูกเรียกให้มาอธิบาย พวกเขาก็คิดว่าทุกอย่างนั้นเรียบร้อย และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมั่วต่อไปข้างหน้า  สำหรับพวกเขา การทำการงานหนึ่งให้ดีนั้นยุ่งยากเกินกว่าจะคุ้มค่า  ผู้คนเช่นนั้นไม่เรียนรู้สิ่งใดให้เชี่ยวชาญเลย และพวกเขาไม่พยายามใช้ความสามารถอย่างหนักในการศึกษาของพวกเขา  พวกเขาต้องการเพียงได้รับเค้าโครงกว้างๆ ของหัวเรื่องเท่านั้น แล้วจากนั้นจึงเรียกตัวพวกเขาเองว่าช่ำชองในสิ่งนั้น แล้วจากนั้นจึงพึ่งพาการนี้เพื่อมั่วไปในหนทางของพวกเขาจนตลอดรอดฝั่งไปได้  นี่ไม่ใช่ท่าทีที่ผู้คนมีต่อสิ่งทั้งหลายหรอกหรือ?  นั่นใช่ท่าทีที่ดีหรือไม่?  ท่าทีจำพวกนี้ซึ่งผู้คนเช่นนั้นนำเอาไปใช้กับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายนั้นอยู่ในคำพูดไม่กี่คำก็คือ ‘มั่วจนตลอดรอดฝั่งไปได้’ และคราบสกปรกเช่นนั้นมีอยู่ในมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งหมด(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (9)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “คนเราสามารถบอกความแตกต่างระหว่างผู้คนซึ่งมีสูงศักดิ์และผู้คนซึ่งต่ำช้าได้อย่างไร?  แค่ดูที่ท่าทีและลักษณะของพวกเขาในการที่พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย—ดูที่วิธีที่พวกเขาปฏิบัติตน วิธีที่พวกเขารับมือกับสิ่งทั้งหลาย และวิธีที่พวกเขาประพฤติตนเมื่อประเด็นปัญหาทั้งหลายเกิดขึ้น  ผู้คนที่มีบุคลิกลักษณะและศักดิ์ศรีนั้นพิถีพิถัน เคร่งครัด และขยันหมั่นเพียรในการกระทำของพวกเขา และพวกเขาเต็มใจที่จะทำการพลีอุทิศ  ผู้คนที่ปราศจากบุคลิกลักษณะและศักดิ์ศรีนั้นจับจดและหละหลวมในการกระทำของพวกเขา ทำเล่ห์กลอยู่เสมอ ต้องการอยู่เสมอที่จะแค่มั่วจนตลอดรอดฝั่งไปได้  พวกเขาไม่เรียนรู้ทักษะใดที่จะเชี่ยวชาญ และไม่สำคัญว่าพวกเขาจะศึกษานานเพียงใด พวกเขายังคงประหลาดใจสับสนโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในเรื่องทั้งหลายเกี่ยวกับทักษะหรืออาชีพ  หากเจ้าไม่กดดันเพื่อเอาคำตอบจากพวกเขา ทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าเรียบร้อยดี แต่ทันทีที่เจ้ากดดัน พวกเขาก็ตื่นตระหนก—เหงื่อชุ่มคิ้วของพวกเขา และพวกเขาไม่มีการตอบสนอง  เหล่านี้คือผู้คนที่มี บุคลิกลักษณะต่ำต้อย(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (9)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พอได้อ่านบทตอนนี้เท่านั้น ฉันถึงตระหนักได้ว่า ฉันสะเพร่าในหน้าที่ของตัวเอง เพราะมีบางอย่างที่เป็นเดนมนุษย์ในตัวฉัน  ฉันอยากทำทุกอย่างให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้โดยไม่สนใจคุณภาพงานของตัวเองเลย  ฉันไม่ต้องการแสวงหาหลักธรรมของความจริงและทำหน้าที่ของฉันตามที่พระเจ้าทรงเรียกร้อง  เมื่อฉันคิดเกี่ยวกับครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทำวิดีโอหรือแต่งเพลง เมื่อไรก็ตามที่ฉันเจอกับปัญหาที่ต้องใช้ความมานะพยายาม เมื่อไรก็ตามที่ฉันจำเป็นต้องยอมลงทุนลำบาก ฉันก็จะใช้ความมานะพยายามขั้นต่ำที่สุด  ฉันไม่พยายามปรับปรุงหรือทำงานหนักขึ้น  ที่จริงแล้ว ฉันรู้ว่าถ้าฉันทำงานหนักขึ้นและตั้งอกตั้งใจมากขึ้น ฉันก็จะทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีขึ้น  แต่ฉันเคยแต่ทำขั้นต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เท่านั้น โดยตามใจตัวเองเสมอ  ฉันจึงไม่สามารถรุดหน้าในการงาน หรือเป็นพยานให้พระเจ้าผ่านทางหน้าที่ของฉันได้ และผลลัพธ์คือ ฉันเอาแต่ทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า  ฉันจะพูดได้อย่างไรว่าฉันทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว?  ฉันกำลังกีดขวางงานของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างชัดเจน  ตอนนั้นเองที่ฉันเห็นว่าความเป็นเดนมนุษย์ของฉันนั้นร้ายแรงแค่ไหน  ฉันขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ฉันเอ้อระเหยลอยชาย ฉันพยายามหลอกพระเจ้า  ฉันขาดบุคคิกลักษณะและศักดิ์ศรี  พระเจ้าโปรดบรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง ผู้แสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงเมื่อเผชิญความยากลำบากและทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงตามที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์  พวกเขามีเกียรติและความสัตย์สุจริต และมีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า  เทียบกับพวกเขาแล้ว ฉันไม่เหมาะที่จะถูกเรียกว่ามนุษย์เลย  ฉันรู้สึกละอายใจ  ตอนนั้นเอง ฉันก็ได้เข้าใจว่า พระเจ้ากำลังทรงช่วยฉันให้รอดผ่านการที่บรรดาพี่น้องชายตัดแต่งและจัดการฉัน  ไม่อย่างนั้น ฉันคงจะขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ในหนทางนี้เสมอ  ฉันคงไม่มีวันทำหน้าที่ตัวเองให้ดี  ฉันคงทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก และถูกพระเจ้าทรงขับออกไป

ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมว่า “พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการทรงกระทำเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ และความร่วมมือของมนุษย์ก็ได้รับการถวายเพื่อประโยชน์ของการบริหารจัดการของพระเจ้า  หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงกระทำทุกสิ่งที่พระองค์ควรทรงกระทำแล้ว มนุษย์พึงต้องทุ่มเทในการปฏิบัติของเขาและร่วมมือกับพระเจ้า  ในพระราชกิจของพระเจ้า มนุษย์ควรทุ่มเทจนสุดความพยายาม ควรมอบถวายความจงรักภักดีของเขา และไม่ควรปล่อยตัวปล่อยใจไปกับมโนคติที่หลงผิดมากมาย หรือนั่งนิ่งเฉยและรอความตาย  พระเจ้าสามารถทรงเสียสละพระองค์เองเพื่อมนุษย์ แล้วเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถถวายความจงรักภักดีของเขาแด่พระเจ้าเล่า?  พระเจ้าทรงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับมนุษย์ แล้วเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถถวายความร่วมมือสักเล็กน้อยบ้างเล่า?  พระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อมวลมนุษย์ แล้วเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถทำหน้าที่บางอย่างของตนเพื่อประโยชน์แห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าเล่า?  พระราชกิจของพระเจ้าได้มาไกลถึงขนาดนี้ แม้กระนั้น พวกเจ้าก็ยังเพียงมองเห็นแต่ไม่ลงมือทำ พวกเจ้าได้ยินแต่ไม่ขยับตัว  ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่เป้าหมายของความพินาศหรอกหรือ?  พระเจ้าได้ทรงอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์แก่มนุษย์ แล้วเหตุใดวันนี้มนุษย์จึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างจริงจังจริงใจบ้าง?  สำหรับพระเจ้า พระราชกิจของพระองค์คือลำดับความสำคัญแรกของพระองค์ และพระราชกิจในการบริหารจัดการของพระองค์ย่อมมีความสำคัญที่สุด  สำหรับมนุษย์ การนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติและทำให้ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าลุล่วงคือลำดับความสำคัญแรกของเขา  พวกเจ้าทั้งหมดควรเข้าใจสิ่งนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์)  การนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าดลใจฉันอย่างมาก  พระเจ้ามีพระทัยและพระดำริเดียวต่อมนุษย์ พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองครั้งเพื่อช่วยมนุษยชาติซึ่งถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามให้รอด  พระองค์ทรงถูกหมิ่นเหยียดหยาม ไม่เป็นที่ยอมรับจากคนสองยุคนั้น และทรงทนทุกข์อย่างมาก  เมื่อได้ทรงเผชิญความเสื่อมทรามอย่างถลำลึกของพวกเราและความไม่ยินดียินร้ายไร้สำนึกของพวกเรา พระเจ้าก็ทรงไม่เคยทอดทิ้งพวกเรา  พระองค์ยังทรงแสดงความจริงเพื่อช่วยพวกเราให้รอด  ขีดความสามารถของพวกเรานั้นขาดพร่อง และพวกเราก็ยอมรับความจริงได้เชื่องช้า แต่พระเจ้าก็ทรงสามัคคีธรรมกับพวกเราอย่างจริงใจและถ้วนทั่วมาก  บางครั้งพระองค์ทรงใช้การอุปมาอุปไมยและตัวอย่าง และทรงเล่าเรื่องราวเพื่อทรงนำพวกเรา จากทุกมุม และในทุกหนทาง  นี่ก็เพื่อให้พวกเราสามารถเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความจริงได้  พระเจ้าทรงรับผิดชอบชีวิตของพวกเรา และพระองค์จะไม่ทรงหยุดพักจนกว่าพระองค์จะทรงทำให้พวกเราครบบริบูรณ์แล้ว  การมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าและเจตนารมย์อันแรงกล้าของพระองค์ช่างเป็นแรงบันดาลใจจริงๆ  แต่เมื่อฉันคิดถึงว่าฉันปฏิบัติต่อพระเจ้าและฉันเข้าหาหน้าที่ของตัวเองอย่างไร  ฉันก็เต็มไปด้วยความเสียใจ  ฉันไม่ต้องการทำหน้าที่แบบขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ อีกแล้ว  ฉันไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน ถามพระองค์ว่า ฉันจะสามารถเลิกสะเพร่าและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีจริงๆ ได้อย่างไร

แล้วฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกล่าวว่า “หน้าที่คืออะไรหรือ?  มันก็คือพระบัญชาหนึ่งซึ่งพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่ผู้คน  ดังนั้นแล้ว เจ้าควรทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงอย่างไรหรือ?  ก็โดยการปฏิบัติตนอย่างสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์และมาตรฐานทั้งหลายของพระเจ้า และโดยการมีพื้นฐานของพฤติกรรมของเจ้าอยู่บนความจริงหลักธรรมมากกว่าที่จะอยู่บนความอยากได้อยากมีตามความชอบส่วนตัวของมนุษย์  ในหนทางนี้ การลุล่วงของเจ้าในหน้าที่ทั้งหลายของเจ้าย่อมขึ้นไปถึงมาตรฐาน(“โดยการแสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดี” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “การจริงจังต่อการปฏิบัติหน้าที่หมายถึงสิ่งใดหรือ?  การจริงจังกับการปฏิบัติหน้าที่มิใช่หมายถึงการใช้ความพยายามเล็กน้อยหรือการทนทุกข์กับความทรมานทางกายบางอย่าง  สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือว่า ในหัวใจของเจ้ามีพระเจ้าและมีภาระหนึ่งอยู่  ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าต้องให้น้ำหนักความสำคัญของหน้าที่ของเจ้า และจากนั้นก็พกพาภาระและความรับผิดชอบนี้ไปในทุกสิ่งที่เจ้าทำและใส่หัวใจเข้าไปในสิ่งนั้น  เจ้าต้องทำให้ตัวเองมีค่าคู่ควรต่อภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้า ตลอดจนทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำไปเพื่อเจ้า และความหวังทั้งหลายของพระองค์ที่ทรงมีต่อเจ้า  เฉพาะการทำดังนั้นเท่านั้นจึงเป็นการมีความจริงจัง  ไม่มีประโยชน์ในการที่เจ้าแสร้งทำท่าขยับเคลื่อนไหวตบตา เจ้าอาจใช้เล่ห์เพทุบายกับผู้คนได้ แต่เจ้าไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้  หากไม่มีราคาจริงและไม่มีความจงรักภักดีในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ขึ้นไปไม่ถึงมาตรฐาน(“การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีอย่างน้อยที่สุดพึงต้องมีมโนธรรม” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะนี้นำความชัดเจนมาสู่หัวใจของฉัน  พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายหน้าที่ให้แก่พวกเรา  พวกเราต้องทำตามที่พระองค์ทรงเรียกร้องและปฏิบัติตนตามความจริง  พวกเราไม่สามารถเลือกเฟ้นหรือทำตามความอยากได้อยากมีของพวกเราเองอย่างมืดบอด  พวกเราต้องทำหน้าที่ของพวกเราให้ได้มาตรฐานเฉพาะระดับหนึ่ง  แค่ดูเหมือนทำงานหนักนั้นยังไม่พอ  เรื่องหลักคือการมีความรู้สึกรับผิดชอบ เป็นคนที่ขยันขันแข็งและตั้งใจจริง เพื่อแสวงหา ไตร่ตรอง และหาหนทางปรับปรุงตน  แล้วพวกเราก็ย่อมสามารถทำหน้าที่ของพวกเราและทำให้พระเจ้าทรงยินดีได้  ต่อมา ตอนที่ฉันกำลังแต่งเพลง  ฉันวิเคราะห์เนื้อร้องอย่างระมัดระวัง และพบสองสามเพลงที่แสดงความรู้สึกคล้ายๆ กัน ฉันคิดหนักว่า คนอื่นใช้ท่วงทำนองแสดงความรู้สึกประเภทนี้อย่างไร  หลังจากจับความเข้าใจความหมายของเนื้อเพลง อารมณ์เพลง และทิศทางของทำนองเพลงได้ ฉันก็เริ่มประพันธ์เพลง  ฉันขอคำแนะนำจากพี่น้องชายหญิงหลังจากนั้น ตรวจแก้งานประพันธ์สองครั้ง แล้วจากนั้นมันก็พร้อม  แค่สัปดาห์เดียวก็เสร็จ  งานประพันธ์อีกชิ้นหนึ่งที่ฉันตรวจแก้ก็ผ่านเช่นกัน  เมื่อฉันเห็นว่าการทำงานประพันธ์พวกนั้นให้เสร็จใช้เวลาน้อยแค่ไหน ฉันก็ยิ่งรู้สึกสำนึกผิดและเสียใจที่ก่อนหน้านั้นได้พยายามขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ  ฉันได้เห็นว่าฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างร้ายแรงแค่ไหน  ความเป็นเดนมนุษย์ของฉันนั้นเลวร้ายแค่ไหน และฉันเคยทำงานสะเพร่าแค่ไหน  ขอบคุณการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ที่ให้พี่น้องชายหญิงจัดการฉัน ในที่สุดฉันก็สามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของฉัน และปฏิบัติหน้าที่ของฉันด้วยความอุทิศตนได้ ขอขอบคุณความรอดของพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 20. การปฏิบัติความจริงคือกุญแจสำคัญสู่การร่วมมือที่สามัคคีกัน

ถัดไป: 22. ในที่สุดฉันก็ได้เรียนรู้วิธีทำหน้าที่ให้ลุล่วง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger