สิ่งใดคือการไล่ตามเสาะหาความจริง (9)
พวกเราได้สามัคคีธรรมกันในหัวข้อเรื่องการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมมาสักพักหนึ่งแล้ว ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมกันเกี่ยวกับคำกล่าวที่ว่า “หากเจ้าโบยตีผู้อื่นจงอย่าโบยตีพวกเขาที่ใบหน้า หากเจ้าเปิดโปงผู้อื่นจงอย่าเปิดโปงข้อบกพร่องของพวกเขา” วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ซึ่งเป็นข้อกำหนดของวัฒนธรรมดั้งเดิมอีกหนึ่งข้อสำหรับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ คำกล่าวนี้เกี่ยวพันกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนในแง่มุมใดบ้าง? คำกล่าวนี้ต้องการให้ผู้คนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และยอมผ่อนปรนไช่หรือไม่? (ใช่) นี่เป็นข้อกำหนดที่สัมพันธ์กับความใจกว้างของสภาวะความเป็นมนุษย์ อะไรคือเกณฑ์กำหนดสำหรับข้อกำหนดนี้? จุดสำคัญอยู่ตรงไหน? (จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้) ถูกต้อง นั่นก็คือคุณควรเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ และไม่ควรก้าวร้าวมากเสียจนทิ้งให้ผู้คนไม่มีทางออก คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้กำหนดให้ผู้คนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และไม่ถือเรื่องความคับข้องใจเล็กๆ น้อยๆ เมื่อคบค้าสมาคมกับผู้คนหรือยุ่งอยู่กับธุรกิจของคุณ หากมีความบาดหมางหรือความขัดแย้งหรือความขุ่นเคืองเกิดขึ้น จงอย่าเรียกร้องมากเกินไป เลยเถิดหรือแข็งกร้าวในการจัดการกับฝ่ายที่ล่วงเกิน จงเมตตายามจำเป็น ใจกว้างยามจำเป็น และคำนึงถึงโลกและคำนึงถึงมวลมนุษย์ ผู้คนมีความใจกว้างอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นหรือไม่? (ไม่มี) ผู้คนไม่มีความใจกว้างอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ผู้คนไม่แน่ใจว่าความสามารถของสัญชาตญาณมนุษย์ในการทานทนสิ่งประเภทนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด และมีความปกติถึงขั้นใด อะไรคือท่าทีพื้นฐานที่ผู้คนที่ปกติมีต่อใครบางคนที่ทำร้ายคุณ มองคุณด้วยความไม่เป็นมิตร หรือละเมิดผลประโยชน์ของคุณ? คือความเกลียดชัง เมื่อความเกลียดชังเกิดขึ้นในหัวใจของผู้คน พวกเขาสามารถ “เมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ได้หรือ? นี่สัมฤทธิ์ไม่ง่ายเลย และผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้ เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนส่วนใหญ่ พวกเขาสามารถพึ่งพามโนธรรมและสำนึกที่พวกเขามีในสภาวะความเป็นมนุษย์ของตนเพื่อเมตตาบุคคลอื่นและลืมเรื่องแย่ๆ ไปให้สิ้นได้หรือ? (ไม่ได้) แต่ก็ไม่ถูกต้องแม่นยำทั้งหมดที่จะพูดว่าไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้ ทำไมจึงไม่ถูกต้องแม่นยำทั้งหมด? ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าอะไรคือประเด็นปัญหา และสิ่งนั้นเล็กน้อยหรือสำคัญแค่ไหน อีกอย่างหนึ่ง ปัญหาทั้งหลายมีระดับความร้ายแรงที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่าปัญหาร้ายแรงแค่ไหน หากมีใครบางคนทำร้ายคุณด้วยคำพูดของพวกเขาเพียงบางครั้งบางคราว เช่นนั้นแล้วหากคุณเป็นใครบางคนที่มีมโนธรรมและสำนึก คุณก็จะคิดว่า “ไม่ใช่ว่าเขาเต็มไปด้วยความปองร้าย เขาไม่ได้หมายความอย่างที่พูด เขาแค่ปากไวไม่ไตร่ตรองก่อน เพื่อเห็นแก่หลายปีที่ผ่านมาที่พวกเราได้อยู่ด้วยกัน เพื่อเห็นแก่สิ่งนั้น หรือเพื่อเห็นแก่บางสิ่งหรืออะไรอย่างนั้น ฉันจะไม่ใช้สิ่งนั้นต่อต้านเขา ดังคำกล่าวที่ว่า ‘การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้’ นี่เป็นเพียงความเห็นหนึ่ง ไม่ได้ทำร้ายความภาคภูมิใจของฉันหรือทำให้ผลประโยชน์ของฉันเสียหายแต่อย่างใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลกระทบต่อสถานะหรือความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของฉัน ดังนั้นฉันจะมองข้ามความเห็นนี้ไป” เมื่อเผชิญหน้าเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ผู้คนสามารถยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” แต่หากมีใครบางคนทำให้ผลประโยชน์ที่สำคัญยิ่งของคุณ หรือครอบครัวของคุณเสียหาย หรือความเสียหายที่พวกเขาทำแก่คุณมีผลกระทบต่อชีวิตทั้งหมดของคุณ คุณจะยังคงสามารถยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ได้หรือ? ตัวอย่างเช่น หากมีใครบางคนฆ่าพ่อแม่ของคุณและต้องการฆ่าครอบครัวที่เหลือของคุณ คุณจะสามารถใช้คำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” กับคนแบบนั้นได้หรือ? (ไม่ ฉันทำไม่ได้) บุคคลปกติคนใดที่มีเลือดเนื้อจะไม่สามารถทำได้ คำกล่าวนี้ไม่สามารถยับยั้งความเกลียดชังที่ฝังลึกของผู้คนได้เลย และแน่นอนว่ายิ่งไม่สามารถมีอิทธิพลต่อท่าทีและข้อคิดเห็นของผู้คนในเรื่องนี้ หากมีใครบางคนทำให้ผลประโยชน์ของคุณเสียหายหรือส่งผลกระทบต่อความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของคุณ อย่างจงใจหรือไม่ก็ตาม หรือทำร้ายร่างกายคุณ โดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ทิ้งให้คุณพิการหรือเป็นแผลเป็น หรือสร้างเงาดำเหนือจิตใจของคุณและในส่วนลึกของหัวใจของคุณ คุณจะสามารถยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ได้หรือ? (ไม่ได้) คุณไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นวัฒนธรรมดั้งเดิมพึงต้องการให้ผู้คนยอมผ่อนปรนและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของตน แต่ผู้คนสามารถทำเช่นนั้นได้หรือ? สิ่งนี้ทำไม่ง่าย ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องนี้ได้ทำร้ายและส่งผลกระทบต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องมากแค่ไหน และมโนธรรมและสำนึกของพวกเขาสามารถทานทนเรื่องนี้ได้หรือไม่ หากไม่มีความเสียหายใหญ่หลวงเกิดขึ้น และบุคคลนั้นสามารถทานทนได้ และเรื่องนั้นไม่เกินเลยสิ่งที่สภาวะความเป็นมนุษย์ทานทนได้ ซึ่งหมายความว่าในฐานะผู้ใหญ่ที่ปกติ พวกเขาสามารถอดทนกับสิ่งเหล่านี้ได้ และความขุ่นเคืองและความเกลียดชังก็สามารถทำให้หมดไปได้ และค่อนข้างจะปล่อยวางได้ง่าย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็สามารถยอมผ่อนปรนและเมตตาอีกฝ่ายได้ คุณสามารถทำเช่นนี้ได้โดยไม่ต้องมีคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมจากวัฒนธรรมดั้งเดิมมาเหนี่ยวรั้งคุณ สอนคุณ หรือนำคุณในสิ่งที่ต้องทำ เพราะนี่เป็นบางสิ่งที่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติมีและสิ่งนี้สามารถสัมฤทธิ์ได้ ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้ทำร้ายคุณลึกเกินไป หรือส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อคุณ ทั้งทางกาย ทางจิตใจ และทางจิตวิญญาณ เช่นนั้นแล้วคุณก็สามารถทำสิ่งนี้ได้โดยง่าย อย่างไรก็ตามถ้าเรื่องนี้มีผลกระทบใหญ่หลวงต่อคุณทั้งทางกาย ทางจิตใจ และทางจิตวิญญาณ จนทำให้คุณเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิต และทำให้คุณซึมเศร้าและขุ่นเคือง และคุณรู้สึกหดหู่และสิ้นหวังบ่อยๆ เพราะเรื่องนี้ และมันทำให้คุณมองเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้และโลกนี้ด้วยความไม่เป็นมิตร และคุณไม่มีสันติสุขหรือความสุขในหัวใจของคุณ และคุณใช้ชีวิตแทบทั้งหมดของคุณในความเกลียดชัง กล่าวคือถ้าเรื่องนี้ไปเกินเลยสิ่งที่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถทานทนได้ เช่นนั้นแล้วในฐานะใครบางคนที่มีมโนธรรมและสำนึก จึงเป็นการยากมากที่จะเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ หากผู้คนบางคนสามารถทำเช่นนี้ได้ก็ถือเป็นกรณีที่ดีเป็นพิเศษ แต่การนี้ต้องเป็นไปตามสิ่งใด? ต้องลุล่วงเงื่อนไขประเภทใดบ้าง? ผู้คนบางคนบอกว่า “เช่นนั้นแล้วพวกเขาควรยอมรับพระพุทธศาสนาและปล่อยวางความเกลียดชังเพื่อบรรลุพุทธภาวะ” นี่อาจเป็นเส้นทางสู่การปลดปล่อยในหมู่ผู้คนทั่วไป แต่นี่เป็นเพียงการปลดปล่อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามคำว่า “การปลดปล่อย” นี้หมายถึงอะไร? หมายถึงการหลบหลีกให้พ้นจากความบาดหมางทางโลก ความเกลียดชัง และการฆ่าฟัน และเทียบเท่ากับคำกล่าวที่ว่า “เมื่อไม่เห็นก็ไม่นึกถึง” หากคุณหลบหลีกให้พ้นจากเรื่องเหล่านั้น และมองไม่เห็นเรื่องเหล่านั้นแล้ว เรื่องเหล่านั้นก็จะมีผลกระทบเล็กน้อยต่อความรู้สึกในส่วนในสุดของคุณ และจะค่อยๆ จางหายไปจากความทรงจำของคุณเมื่อเวลาผ่านไป แต่นั่นไม่ใช่การยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ผู้คนไม่สามารถเมตตา หรือให้อภัย และอดทนต่อเรื่องนี้ และปล่อยวางเรื่องนี้อย่างถาวรได้ เรื่องเหล่านี้เพียงจางหายไปจากส่วนในสุดของหัวใจผู้คนเท่านั้น และพวกเขาก็ไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป หรือว่านี่เป็นเพียงเพราะหลักคำสอนทางพุทธศาสนาบางข้อที่ทำให้ผู้คนเลิกใช้ชีวิตในความเกลียดชังและจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกรักและเกลียดชังทางโลกเหล่านี้อย่างไม่เต็มใจ นี่เป็นเพียงการบังคับตัวเองอย่างเฉื่อยชาให้อยู่ห่างจากสถานที่ที่มีความขัดแย้งและการวิวาทเหล่านี้ซึ่งเต็มไปด้วยความรักและความเกลียดชัง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคนเราสามารถนำคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” มาใช้ได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เท่าที่เกี่ยวข้องกับสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับบุคคลผู้หนึ่ง ทำให้ร่างกาย จิตใจ และดวงจิตของพวกเขาได้รับอันตรายร้ายแรง เช่น ความกดดันหรือความบาดเจ็บที่สุดจะทน เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขาจะมีความจุมากเพียงใดก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถทนได้ ฉันหมายถึงอะไรในวลีที่ว่า “ไม่สามารถทนได้”? ฉันหมายถึงว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แนวคิด และทัศนะของผู้คนไม่สามารถต้านทานหรือกำจัดสิ่งเหล่านี้ได้ ในภาษาของมวลมนุษย์อาจพูดได้ว่าพวกเขาไม่สามารถทนได้ ว่านี่ไปเกินกว่าขีดต่ำสุดของความอดทนของมนุษย์ ในภาษาของผู้เชื่อ อาจพูดได้ว่าพวกเขาเพียงไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ มองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง หรือยอมรับได้ ดังนั้น เพราะไม่มีหนทางที่เป็นไปได้ที่จะต้านทานหรือกำจัดความรู้สึกเกลียดชังเหล่านี้ เป็นไปได้ไหมที่จะยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้”? (ไม่ได้) อะไรคือความหมายโดยนัยของการไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งนี้? กล่าวคือ สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่มีความใจกว้างประเภทนี้ ตัวอย่างเช่น สมมติว่าใครบางคนฆ่าพ่อแม่ของคุณ และกวาดล้างทั้งครอบครัวของคุณ คุณจะปล่อยเรื่องแบบนี้ไปได้หรือ? เป็นไปได้หรือที่จะกำจัดความเกลียดชังนั้น? คุณจะมองศัตรูเหมือนมองคนทั่วไป หรือคิดกับศัตรูเหมือนคิดกับคนทั่วไปโดยไม่มีความรู้สึกในร่างกาย จิตใจ หรือวิญญาณของคุณเลยได้หรือ? (ไม่ได้) ไม่มีใครทำได้เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระพุทธศาสนาและรู้เห็นกรรมด้วยตาตนเองเพื่อที่พวกเขาจะสามารถเลิกล้มแนวคิดฆ่าล้างแค้นได้ ผู้คนบางคนพูดว่า “ฉันมีอัธยาศัยดี ดังนั้นถ้าใครฆ่าพ่อแม่ของฉัน ฉันก็จะเมตตาเขาได้และจะไม่แก้แค้นเขาเพราะฉันเป็นผู้เชื่อในกรรมอย่างมาก คำกล่าวที่ว่า ‘การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้’ สรุปความได้ดีเยี่ยม ถ้าการแก้แค้นแพร่พันธุ์การแก้แค้น การแก้แค้นก็จะไม่มีวันสิ้นสุดใช่ไหม? นอกจากนี้ เขาได้ยอมรับความผิดพลาดของเขาแล้ว และคุกเข่าขอร้องให้ฉันยกโทษให้ด้วยซ้ำ ตอนนี้ปัญหาถูกแก้ไขแล้ว ฉันจะเมตตาเขา!” ผู้คนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้ขนาดนี้หรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาทำเช่นนี้ไม่ได้ เมื่อละวางสิ่งที่คุณอาจจะทำเมื่อคุณจับเขาได้ แม้แต่ก่อนที่คุณจะจับเขา สิ่งที่คุณคิดได้ตลอดเวลาทุกวันคือการแก้แค้น เพราะเรื่องนี้ได้ทำร้ายคุณอย่างมากและส่งผลกระทบต่อคุณอย่างมาก ในฐานะคนปกติ คุณจะไม่มีวันลืมมันได้อย่างแน่นอนตราบเท่าที่คุณยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่ในความฝัน คุณจะได้เห็นภาพครอบครัวของคุณถูกฆ่าและตัวคุณเองกำลังแก้แค้น เรื่องนี้สามารถส่งผลกระทบต่อคุณไปตลอดชีวิตจนกระทั่งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ความเกลียดชังเช่นนี้ไม่สามารถปล่อยวางได้ก็เท่านั้น แน่นอนว่ายังมีกรณีที่ร้ายแรงน้อยกว่ากรณีนี้เล็กน้อย ตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีคนตบหน้าคุณในที่สาธารณะ ทำให้คุณขายหน้าและอับอายต่อหน้าทุกคน และดูถูกคุณโดยไม่มีเหตุผล ตั้งแต่นั้นมา ผู้คนมากมายก็มองคุณด้วยสายตาที่มีอคติและแม้กระทั่งเยาะเย้ยคุณ ดังนั้นคุณจึงรู้สึกละอายใจที่ต้องอยู่ใกล้ผู้คน นี่ร้ายแรงน้อยกว่าการฆ่าพ่อแม่และสมาชิกครอบครัวของคุณมาก ถึงกระนั้น เป็นการยากที่จะยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” เพราะสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับคุณอยู่เลยขอบเขตที่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติทานทนได้ไปแล้ว พวกเขาทำให้คุณได้รับอันตรายทางร่างกายและจิตใจอย่างมาก และทำให้ศักดิ์ศรีและบุคลิกลักษณะของคุณเสียหายอย่างมาก คุณไม่มีทางสามารถลืมพวกเขาหรือปล่อยพวกเขาไปได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับคุณที่จะยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้”—ซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติ
เมื่อพิจารณาแง่มุมเหล่านี้ที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันเมื่อสักครู่ คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ซึ่งถูกอ้างอิงในวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม เป็นคำสอนที่เหนี่ยวรั้งและให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คน คำกล่าวนี้สามารถแก้ไขความบาดหมางเล็กๆ และความความขัดแย้งที่ไม่สลักสำคัญได้เท่านั้น แต่ไม่มีผลกระทบแต่อย่างใดเมื่อเป็นเรื่องของผู้คนที่เก็บงำความเกลียดชังลึกๆ ผู้คนที่เสนอแนะข้อกำหนดนี้เข้าใจสภาวะความเป็นมนุษย์ของมนุษย์จริงๆ หรือ? คนเราสามารถพูดได้ว่าผู้คนที่เสนอแนะข้อกำหนดนี้ไม่ได้ไม่รู้ว่าขอบเขตความอดทนที่มโนธรรมและสำนึกของมนุษย์มีกว้างใหญ่เพียงใด เพียงแต่การเสนอแนะทฤษฎีนี้สามารถทำให้พวกเขาดูเหมือนเชี่ยวชาญเรื่องทางโลกและสูงศักดิ์ และได้รับความเห็นชอบและคำเยินยอจากผู้คน ข้อเท็จจริงคือพวกเขารู้ดีว่าถ้ามีใครทำให้ศักดิ์ศรีหรือบุคลิกลักษณะของบุคคลผู้หนึ่งเสียหาย ทำลายผลประโยชน์ของพวกเขา หรือแม้แต่ส่งผลกระทบต่อความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตและชีวิตของพวกเขาทั้งหมด เช่นนั้นแล้วจากมุมมองของสภาวะความเป็นมนุษย์ ฝ่ายที่ถูกล่วงเกินต้องแก้แค้น ไม่ว่าเขาจะมีมโนธรรมและสำนึกมากแค่ไหน เขาจะไม่ยอมอยู่เฉย อย่างมากมีเพียงระดับและวิธีการแก้แค้นของเขาเท่านั้นที่แตกต่าง ในสังคมที่เป็นจริงนี้ ในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่มืดมนและชั่วอย่างที่สุดนี้ และบริบททางสังคมที่ผู้คนอาศัยอยู่ ที่ซึ่งไม่มีสิทธิมนุษยชนดำรงอยู่ ผู้คนไม่เคยหยุดต่อสู้และเข่นฆ่ากัน เพียงเพราะพวกเขาสามารถแก้แค้นเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาถูกทำร้าย ยิ่งพวกเขาบาดเจ็บสาหัสมากเท่าไร พวเขาก็อยากแก้แค้นมากขึ้นเท่านั้น และวิธีการที่พวกเขาใช้แก้แค้นก็ยิ่งโหดร้ายมากขึ้นเท่านั้น แล้วแนวโน้มที่มีอยู่ทั่วไปในสังคมนี้จะเป็นแบบไหนล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นกับสัมพันธภาพระหว่างผู้คน? สังคมนี้จะไม่เต็มไปด้วยการฆ่าและการแก้แค้นหรือ? เพราะฉะนั้น บุคคลที่เสนอแนะข้อกำหนดนี้จึงกำลังบอกผู้คนด้วยวิธีที่อ้อมค้อมมากๆ ว่าอย่าแก้แค้น โดยใช้คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้—“การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้”—เพื่อหน่วงเหนี่ยวพฤติกรรมของพวกเขา เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนประสบทุกข์จากการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือบุคลิกลักษณะของพวกเขาถูกดูหมิ่น หรือศักดิ์ศรีของพวกเขาถูกทำให้เสียหาย คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้จะมีอิทธิพลต่อผู้คนเหล่านั้นโดยทำให้พวกเขาคิดทบทวนก่อนลงมือทำ และหยุดยั้งพวกเขาไม่ให้หุนหันพลันแล่นและมีปฏิกิริยาแรงเกินไป ถ้าผู้คนในสังคมนี้ต้องการแก้แค้นทุกครั้งที่ประสบทุกข์กับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ไม่ว่าการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมนั้นจะมาจากภาครัฐ จากสังคม หรือจากผู้คนที่พวกเขาเข้าไปติดต่อด้วย เช่นนั้นแล้วเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้และสังคมนี้ก็จะจัดการยากหรือ? ที่ใดก็ตามที่มีฝูงชน การต่อสู้ย่อมจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการฆ่าล้างแค้นก็จะกลายเป็นเหตุการณ์ปกติ แล้วเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้และสังคมนี้จะไม่อลหม่านหรือ? (ใช่) สังคมที่อลหม่านย่อมง่ายที่นักปกครองจะจัดการมิใช่หรือ? (ไม่ มันจัดการไม่ง่าย) ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เรียกว่านักการศึกษาและนักคิดเหล่านี้จึงเสนอแนะคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” เพื่อเตือนสติและให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คน เพื่อว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมหรือมีอคติ ถูกดูถูก หรือแม้แต่ถูกข่มเหงหรือเหยียบย่ำ และไม่ว่าพวกเขาจะทนทุกข์ทางวิญญาณหรือทางกายมากเพียงใด พวกเขาจะไม่คิดแก้แค้นเป็นสิ่งแรก แต่กลับนึกถึงคติพจน์ดั้งเดิมด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ทำให้พวกเขายอมรับการยับยั้งโดยคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้ยับยั้งความคิดและพฤติกรรมของพวกเขา และกำจัดความเกลียดชังที่พวกเขาเก็บงำต่อผู้อื่น ต่อภาครัฐ และต่อสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อความไม่เป็นมิตรและความเดือดดาลที่สภาวะความเป็นมนุษย์จำเป็นต้องมีและความคิดตามสัญชาตญาณในการปกป้องศักดิ์ศรีของตนเหล่านี้ถูกกำจัด การดิ้นรนต่อสู้และการฆ่าล้างแค้นระหว่างผู้คนในสังคมนี้จะลดลงในระดับที่มีนัยสำคัญหรือไม่? (ใช่) ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนพูดว่า “เลิกทำกันเถอะ การประนีประนอมจะทำให้ความขัดแย้งแก้ไขง่ายดายขึ้นมาก ว่ากันว่า ‘การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้’ เขามีเหตุผลที่จะฆ่าครอบครัวของฉัน การทะเลาะกันต้องใช้คนสองคน และทั้งสองฝ่ายต่างยึดมั่นในเหตุผลของตน นอกจากนี้ ครอบครัวของฉันก็ตายไปหลายปีแล้ว แล้วจะรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาอีกทำไม? จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้—ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ก่อนที่พวกเขาจะปล่อยวางความเกลียดชังได้ และเฉพาะเมื่อพวกเขาปล่อยวางความเกลียดชังเท่านั้นที่พวกเขาจะมีความสุขในชีวิตได้” ยังมีผู้คนอื่นๆ ที่พูดว่า “แล้วก็แล้วกันไป ถ้าเขาไม่มีความคับข้องใจเล็กๆ น้อยๆ กับฉันหรือมองฉันด้วยความไม่เป็นมิตรเหมือนเมื่อก่อน เช่นนั้นแล้วฉันก็จะไม่ทะเลาะกับเขาเช่นกัน และพวกเราจะเปลี่ยนไปเป็นคนใหม่ ดังคำกล่าวที่ว่า ‘การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้’” หากผู้คนเช่นนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร จู่ๆ ก็ควบคุมตัวเองในขณะที่พวกเขากำลังจะแก้แค้น เช่นนั้นแล้วคำพูด การกระทำ และพื้นฐานทางทฤษฎีของพวกเขาทั้งหมดโดยแก่นแท้แล้วไม่ได้เกิดจากอิทธิพลของแนวคิดและทัศนะ เช่น “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” หรือ? (ใช่) ยังมีอีกคนอื่นอีกที่พูดว่า “ทะเลาะกันทำไม? เป็นตัวอย่างที่ดีของบุรุษที่คุณเป็น คุณปล่อยวางเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ! บุรุษที่ยิ่งใหญ่บางคนมีหัวใจที่ใหญ่พอที่จะขับเรือใบสักลำ อย่างน้อยที่สุดจงเปิดที่ว่างให้ความใจกว้างสักหน่อย! ผู้คนไม่ควรมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในชีวิตบ้างหรือ? จงถอยมาหนึ่งก้าวและมองภาพรวม แทนที่จะเก็บงำความคับข้องใจเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ การโต้เถียงไปมาทั้งหมดนี้น่าหัวเราะเวลาชม” คำกล่าวและแนวคิดเหล่านี้สรุปท่าทีของมนุษย์ประเภทหนึ่งต่อเรื่องทางโลก ท่าทีที่เพียงมาจาก “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” และคำกล่าวอื่นๆ ในทำนองเดียวกันจากคติพจน์ดั้งเดิมด้านศีลธรรม ผู้คนได้รับการปลูกฝังและได้รับอิทธิพลจากคำกล่าวเหล่านี้ และรู้สึกว่าพวกเขาเล่นบทบาทบางอย่างในการเตือนสติและให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คน ดังนั้นพวกเขาจึงถือว่าคำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม
ทำไมผู้คนถึงสามารถปล่อยวางความเกลียดชังได้? สาเหตุหลักคืออะไร? ในด้านหนึ่ง พวกเขาได้รับอิทธิพลจากคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้—“การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ในทางกลับกัน พวกเขากังวลกับความคิดที่ว่าถ้าพวกเขาถือเรื่องความคับข้องใจเล็กๆ น้อยๆ เกลียดชังผู้อื่นตลอดเวลา และไม่ยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น พวกเขาก็จะไม่สามารถมีที่ยืนในสังคม และจะถูกมติมหาชนประณาม และถูกผู้คนหัวเราะเยาะ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องกล้ำกลืนความโกรธของตนอย่างจำใจและไม่เต็มใจ ในด้านหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญชาตญาณของมนุษย์ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ไม่สามารถทนการบีบคั้น การทำร้ายที่ไร้สำนึก และการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมทั้งหมดนี้ได้ กล่าวคือ สภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนไม่มีความสามารถทนสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ยุติธรรมและไร้มนุษยธรรมที่จะเสนอแนะข้อกำหนดที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” กับใครก็ตาม ในทางกลับกัน เห็นได้ชัดว่าแนวคิดและทัศนะเช่นนี้ส่งผลกระทบหรือบิดเบือนทัศนะและมุมมองของผู้คนในเรื่องเหล่านี้อีกด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถปฏิบัติต่อเรื่องเช่นนี้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และกลับถือว่าคำกล่าวเช่น “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” เป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นบวกแทน เมื่อผู้คนถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมเพื่อหลีกเลี่ยงการประณามจากมติมหาชน พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเก็บงำการดูหมิ่นและการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมที่พวกเขาประสบทุกข์ และรอโอกาสตอบโต้ แม้ว่าพวกเขาจะพูดสิ่งที่ฟังเพราะ เช่น “‘การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้’ ไม่เป็นไร ไม่มีประโยชน์ที่จะตอบโต้ มันเป็นอดีตไปแล้ว” ออกมาดังๆ แต่สัญชาตญาณของมนุษย์ป้องกันพวกเขาไม่ให้มีวันลืมความเสียหายที่เหตุการณ์นี้ได้ทำต่อพวกเขา กล่าวคือความเสียหายที่มันได้ทำกับร่างกายและจิตใจของพวกเขาไม่สามารถลบหรือจางหายไปได้ เมื่อผู้คนพูดว่า “จงลืมความเกลียดชังเสีย เรื่องนี้จบสิ้นแล้ว กลายเป็นอดีตไปแล้ว” นั่นเป็นเพียงหน้าฉากที่ก่อร่างขึ้นจากการจำกัดควบคุมและอิทธิพลของแนวคิดและทัศนะเช่น “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” เท่านั้น แน่นอนว่าผู้คนถูกแนวคิดและทัศนะเช่นนี้จำกัดขอบเขตด้วยเช่นกัน ตราบเท่าที่พวกเขาคิดว่าถ้าพวกเขานำไปปฏิบัติไม่สำเร็จ ถ้าพวกเขาไม่มีใจหรือความใจกว้างที่จะเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะถูกทุกคนดูแคลนและประณาม และถูกเลือกปฏิบัติมากขึ้นไปอีกในสังคมหรือในชุมชนของตน ผลสืบเนื่องของการถูกเลือกปฏิบัติคืออะไร? นั่นคือเมื่อคุณมาติดต่อกับผู้คนและดำเนินธุรกิจของคุณ ผู้คนจะพูดว่า “ผู้ชายคนนี้ใจแคบและอาฆาตมาดร้าย จงรอบคอบระมัดระวังเวลารับมือเขา!” มันกลายเป็นอุปสรรคเพิ่มเติมอย่างได้ผลเมื่อคุณดำเนินธุรกิจภายในชุมชน ทำไมถึงมีอุปสรรคเพิ่มเติมนี้? เพราะสังคมโดยรวมได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะเช่น “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” จารีตประเพณีของสังคมโดยรวมเคารพการขบคิดเช่นนี้ และสังคมทั้งหมดถูกสิ่งนั้นจำกัดขอบเขต ครอบงำ และควบคุม ดังนั้นถ้าคุณไม่สามารถนำสิ่งนี้ไปปฏิบัติได้ ก็จะเป็นการยากที่จะได้รับที่ยืนในสังคม และอยู่รอดภายในชุมชนของคุณ เพราะฉะนั้น ผู้คนบางคนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมจำนนต่อจารีตประเพณีทางสังคมเช่นนี้ และทำตามคำกล่าวและทัศนะเช่น “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ดำเนินชีวิตอย่างน่าเวทนา เมื่อพิจารณาปรากฏการณ์เหล่านี้ คนที่เรียกกันว่าผู้มีศีลธรรมมีจุดมุ่งหมายและความตั้งใจบางอย่างในการเสนอแนะคำกล่าวด้านแนวคิดและทัศนะทางศีลธรรมเหล่านี้มิใช่หรือ? พวกเขาทำสิ่งนั้นเพื่อให้มนุษย์สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างอิสระมากขึ้น และร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของพวกเขาได้รับการปลดปล่อยมากขึ้นใช่หรือไม่? หรือเพื่อให้ผู้คนสามารถดำเนินชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น? เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ไม่ได้สนองความต้องการที่จำเป็นของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติเลย และคำกล่าวเหล่านี้ไม่ได้ถูกเสนอแนะเพื่อทำให้ผู้คนใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างแน่นอน แต่คำกล่าวเหล่านี้ทั้งหมดกลับสนองความมักใหญ่ใฝ่สูงของชนชั้นปกครองในการควบคุมผู้คนและสร้างความมั่นคงให้กับอำนาจของตนเอง คำกล่าวเหล่านี้รับใช้ชนชั้นปกครอง และถูกเสนอแนะเพื่อให้ชนชั้นปกครองสามารถรักษาระเบียบสังคมและจารีตประเพณีทางสังคมไว้ได้ โดยใช้สิ่งเหล่านี้จำกัดควบคุมทุกคน ทุกครอบครัว ทุกปัจเจกบุคคล ทุกชุมชน ทุกกลุ่ม และสังคมที่ก่อร่างโดยกลุ่มต่างๆ ทั้งหมด ในสังคมเช่นนี้นั่นเอง ภายใต้การปลูกฝัง อิทธิพล และการพร่ำสอนแนวคิดและทัศนะทางศีลธรรมเช่นนี้ ที่แนวคิดและทัศนะทางศีลธรรมกระแสหลักของสังคมอุบัติและเป็นรูปเป็นร่างขึ้น การก่อร่างหลักศีลธรรมทางสังคมและจารีตประเพณีทางสังคมนี้ไม่เอื้ออำนวยมากขึ้นต่อการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ อีกทั้งยังไม่เอื้ออำนวยมากขึ้นต่อความก้าวหน้าและการชำระความคิดของมนุษย์ให้บริสุทธิ์ และไม่เอื้ออำนวยมากขึ้นต่อการยกระดับมนุษยชาติ ในทางตรงกันข้าม เนื่องจากการอุบัติของแนวคิดและทัศนะทางศีลธรรมเหล่านี้ การขบคิดของมนุษย์จึงถูกจำกัดควบคุมให้อยู่ภายในขอบเขตที่ควบคุมได้ ดังนั้นใครได้ประโยชน์ในที่สุด? เผ่าพันธุ์มนุษย์ใช่ไหม? หรือชนชั้นปกครอง? (ชนชั้นปกครอง) ถูกต้อง เป็นชนชั้นปกครองที่จะได้ประโยชน์ในที่สุด ด้วยบทคัมภีร์ทางศีลธรรมเหล่านี้เป็นพื้นฐานของการขบคิดและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม มนุษย์จึงปกครองง่ายขึ้น มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะเป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง บงการง่ายขึ้น ถูกคำกล่าวต่างๆ ในบทคัมภีร์ทางศีลธรรมควบคุมง่ายขึ้นในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ และถูกระบบสังคม หลักศีลธรรมทางสังคม จารีตประเพณีทางสังคม และมติมหาชนควบคุมง่ายขึ้น ด้วยวิธีนี้ ในระดับหนึ่ง ผู้คนที่อยู่ใต้อาณัติของระบบสังคม สภาพแวดล้อมทางศีลธรรม และจารีตประเพณีทางสังคมเดียวกัน โดยพื้นฐานแล้วมีแนวคิดและทัศนะที่เป็นเอกฉันท์ และมีผลสรุปที่เป็นเอกฉันท์ว่าพวกเขาควรวางตัวอย่างไร เพราะแนวคิดและทัศนะของพวกเขาได้ก้าวผ่านการประมวลผลและสร้างมาตรฐานโดยคนที่เรียกกันว่าผู้มีศีลธรรม นักคิด และนักการศึกษาเหล่านี้ คำว่า “เป็นเอกฉันท์” นี้หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าทุกคนที่ถูกปกครอง—รวมถึงความคิดและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพวกเขา—ได้ถูกคำกล่าวเหล่านี้จากบทคัมภีร์ทางศีลธรรมหลอมรวมและจำกัดควบคุม ความคิดของผู้คนถูกจำกัด และในเวลาเดียวกันปากและสมองของพวกเขาก็ถูกจำกัดด้วย ทุกคนถูกบังคับให้ยอมรับแนวคิดและทัศนะทางศีลธรรมจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ เพื่อใช้ในการตัดสินและจำกัดควบคุมพฤติกรรมของตนเองในด้านหนึ่ง และตัดสินผู้อื่นและสังคมนี้ในอีกด้านหนึ่ง แน่นอนว่าในขณะเดียวกันพวกเขายังถูกควบคุมโดยมติมหาชนซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่คำกล่าวเหล่านี้จากบทคัมภีร์ทางศีลธรรมอีกด้วย ถ้าคุณคิดว่าวิธีที่คุณทำสิ่งต่างๆ ขัดแย้งกับคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” คุณก็รู้สึกเสียใจและไม่สบายใจอย่างยิ่ง และไม่นานคุณก็เกิดความคิดว่า “ถ้าฉันไม่เมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ ถ้าฉันหยุมหยิมและใจแคบเหมือนคนตัวเล็กใจแคบในนิยาย และฉันไม่สามารถปล่อยวางความเกลียดชังได้แม้แต่น้อย แต่นำมันติดตัวไปด้วยตลอดเวลา ฉันจะถูกหัวเราะเยาะไหม? ฉันจะถูกเพื่อนร่วมงานและเพื่อนๆ เลือกปฏิบัติไหม?” ดังนั้นคุณจึงต้องแกล้งทำเป็นเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นพิเศษ ถ้าผู้คนมีพฤติกรรมแบบนี้จะหมายความว่าพวกเขาถูกมติมหาชนควบคุมใช่หรือไม่? (ใช่) พูดอย่างเป็นกลาง ลึกลงไปในหัวใจของคุณมีโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น กล่าวคือมติมหาชนและการประณามของสังคมทั้งหมดเป็นเหมือนโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นสำหรับคุณ ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนรู้ว่าเป็นการดีที่เชื่อในพระเจ้า และผ่านทางการเชื่อในพระเจ้าพวกเขาสามารถบรรลุความรอดได้ และการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงการเดินในเส้นทางที่ถูกต้องและไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี แต่เมื่อพวกเขามาเชื่อในพระเจ้าครั้งแรก พวกเขาไม่กล้าเปิดกว้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือยอมรับในความเชื่อของพวกเขา จนถึงจุดที่ไม่กล้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยซ้ำ ทำไมพวกเขาถึงไม่กล้าเปิดกว้างเกี่ยวกับเรื่องนี้และให้คนอื่นรู้ล่ะ? เป็นเพราะพวกเขาได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมโดยรวมใช่หรือไม่? (ใช่) แล้วผลกระทบและการจำกัดควบคุมที่สภาพแวดล้อมโดยรวมนี้มีต่อคุณคืออะไร? ทำไมคุณถึงไม่กล้ายอมรับว่าคุณเชื่อในพระเจ้า? ทำไมคุณถึงไม่กล้าแม้แต่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ? นอกจากกรณีพิเศษเช่นประเทศเผด็จการที่ซึ่งผู้คนที่มีความเชื่อถูกข่มเหง อีกเหตุผลหนึ่งคือคำกล่าวต่างๆ ที่มาจากมติมหาชนมากเกินไปที่คุณจะทน ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนบอกว่าเมื่อคุณเริ่มเชื่อในศาสนา คุณจะไม่สนใจใยดีครอบครัวของคุณ ผู้คนบางคนถือว่าคุณเป็นปีศาจ บอกว่าผู้เชื่อในศาสนาต้องการเป็นอมตะ และแยกตัวจากสังคม คนอื่นๆ บอกว่าผู้เชื่อสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องกิน และไม่ต้องนอนนานหลายวันติดต่อกันโดยไม่รู้สึกเหนื่อย และยังมีคนอื่นๆ พูดสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้อีก ในตอนเริ่มแรกคุณไม่กล้ายอมรับว่าคุณเชื่อในพระเจ้าเพราะคุณได้รับผลกระทบจากข้อคิดเห็นเหล่านี้ใช่หรือไม่? ข้อคิดเห็นเหล่านี้ภายในสภาพแวดล้อมทางสังคมโดยรวมมีผลกระทบต่อคุณใช่หรือไม่? (ใช่) ในระดับหนึ่ง ข้อคิดเห็นเหล่านี้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของคุณและทำร้ายความภาคภูมิใจของคุณ ดังนั้นคุณจึงไม่กล้ายอมรับอย่างเปิดเผยว่าคุณเชื่อในพระเจ้า เนื่องจากสังคมนี้ไม่เป็นมิตรและเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้คนที่มีความเชื่อและผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า และผู้คนบางคนถึงกับเปล่งถ้อยคำดูถูกอันต่ำทรามและความเห็นหมิ่นประมาทที่เกินจะทน คุณจึงไม่กล้ายอมรับอย่างเปิดเผยว่าคุณเชื่อในพระเจ้า และต้องแอบออกไปชุมนุมอย่างลับๆ เหมือนขโมย คุณกลัวว่าคนอื่นจะพูดจาใส่ร้ายถ้าพวกเขารู้ขึ้นมา ดังนั้นสิ่งที่คุณทำได้คืออดกลั้นความขุ่นเคืองของคุณ ด้วยวิธีนี้ คุณได้สู้ทนความปวดร้าวมากมายอย่างเงียบๆ แต่การทุกข์ทนกับความปวดร้าวทั้งหมดนี้เสริมสร้างกันอย่างมาก และคุณได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ชัดเจนในหลายเรื่อง และเข้าใจความจริงบางประการ
เมื่อสักครู่พวกเราได้สามัคคีธรรมอย่างครอบคลุมถึงคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” จากมุมมองของสภาวะความเป็นมนุษย์ คำกล่าวนี้ระบุการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมขั้นต่ำที่คนเราควรมีในแง่ของความเอื้อเฟื้อและความใจกว้าง ข้อเท็จจริงคือเมื่อคำนึงถึงความเสียหายและผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรี ความซื่อตรง และสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คน การใช้เพียงคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ซึ่งเป็นคำศัพท์เฉพาะกลุ่มของพวกโจรผู้ร้าย เพื่อปลอบโยนและจำกัดควบคุมผู้คนเป็นการดูหมิ่นอย่างมากต่อผู้คนที่มีมโนธรรมและสำนึก และไร้มนุษยธรรมและผิดศีลธรรม สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติมีความยินดี ความโกรธ ความโศกเศร้า และความสุขในตัวเอง ฉันจะไม่พูดถึงความยินดี ความเสียใจ และความสุขมากไปกว่านี้ ความโกรธก็เป็นภาวะอารมณ์ที่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติมีเช่นกัน ความโกรธเกิดขึ้นและสำแดงตัวเองออกมาตามปกติภายใต้รูปการณ์แวดล้อมใดบ้าง? เมื่อความเดือดดาลของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติสำแดงตน—นั่นคือเมื่อความซื่อตรง ศักดิ์ศรี ผลประโยชน์ และจิตวิญญาณและจิตใจของผู้คนถูกทำร้าย เหยียบย่ำและถูกดูหมิ่น พวกเขาจะโกรธเป็นธรรมดาและโดยสัญชาตญาณ ก่อให้เกิดความขุ่นเคืองหรือแม้แต่ความเกลียดชัง—นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ความโกรธเกิดขึ้น และนี่เป็นการสำแดงที่เฉพาะเจาะจงของสิ่งนั้น ผู้คนบางคนโกรธโดยไม่มีเหตุผล เรื่องเล็กน้อยสามารถยั่วยุให้พวกเขาโกรธได้ หรือใครบางคนบังเอิญพูดบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้พวกเขาเจ็บปวด และสามารถทำให้เกิดม่านหมอกสีแดงแห่งความโกรธที่ด้านหน้าดวงตาของพวกเขา พวกเขาใจร้อนเกินไปมิใช่หรือ? สิ่งเหล่านี้ไม่สัมพันธ์กับจิตวิญญาณ ความซื่อตรง ศักดิ์ศรี สิทธิมนุษยชน หรือโลกฝ่ายวิญญาณของพวกเขาเลย แต่พวกเขาสามารถบันดาลโทสะได้ในพริบตาเดียว ซึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาใจร้อนเหลือเกิน มันไม่ปกติที่จะแสดงความรู้สึกโกรธเคืองต่อทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่เรากำลังพูดถึงตรงนี้คือความขุ่นเคือง ความโกรธ ความเดือดดาล และความเกลียดชังที่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติสำแดง เหล่านี้คือปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณบางอย่างของผู้คน เมื่อความซื่อตรง ศักดิ์ศรี สิทธิมนุษยชน และจิตวิญญาณของบุคคลถูกเหยียบย่ำ ดูถูก หรือทำร้าย บุคคลนั้นก็จะขุ่นเคือง ความขุ่นเคืองนี้ไม่ใช่อารมณ์ฉุนเฉียวชั่วแล่น หรือความรู้สึกชั่วขณะ แต่เป็นปฏิกิริยาที่ปกติของมนุษย์เมื่อใดก็ตามที่ความซื่อตรง ศักดิ์ศรี และจิตวิญญาณของบุคคลถูกทำร้าย ในเมื่อนี่เป็นปฏิกิริยาที่ปกติของมนุษย์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าปฏิกิริยานี้ชอบธรรมและสมเหตุสมผล ดังนั้นจึงไม่ใช่อาชญากรรม และไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดควบคุม สำหรับปัญหาที่ทำร้ายผู้คนถึงระดับนี้ ควรแก้ไขและจัดการอย่างยุติธรรม ถ้าเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างสมเหตุสมผล หรือจัดการได้อย่างยุติธรรม และผู้คนถูกคาดหวังอย่างไม่สมเหตุสมผลให้นำคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ไปปฏิบัติ เรื่องนี้ก็ผิดศีลธรรมและไร้มนุษยธรรมต่อเหยื่อ และเป็นบางสิ่งที่ผู้คนควรตระหนักรู้
เราได้พูดคุยกันในประเด็นใดบ้างเกี่ยวกับคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้”? เรามาสรุปกัน แก่นแท้ของคำกล่าวนี้เป็นอย่างเดียวกันกับคำกล่าวอื่นๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม คำกล่าวเหล่านี้ล้วนรับใช้ชนชั้นปกครองและจารีตประเพณีทางสังคม—คำกล่าวเหล่านี้ไม่ได้ถูกเสนอแนะโดยเริ่มจากมุมมองของสภาวะความเป็นมนุษย์ การพูดว่าบทคัมภีร์ทางศีลธรรมเหล่านี้รับใช้ชนชั้นปกครองและจารีตประเพณีทางสังคมอาจค่อนข้างอยู่เหนือโพ้นขอบเขตของสิ่งที่คุณควรเข้าใจและสามารถบรรลุได้โดยผ่านทางความเชื่อที่คุณมีในพระเจ้า แม้ว่าจะค่อนข้างสามารถบรรลุได้สำหรับผู้ที่รู้บางสิ่งเกี่ยวกับการเมือง สังคมศาสตร์ และความคิดของมนุษย์ จากมุมมองของสภาวะความเป็นมนุษย์ กล่าวคือจากมุมมองของคุณเอง คุณควรจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างไร? ตัวอย่างเช่น สมมติว่าก่อนหน้านี้คุณถูกจับกุม ถูกคุมขัง และถูกทรมานเพราะความเชื่อของคุณ นานหลายวันหลายคืนที่พญานาคใหญ่สีแดงไม่ปล่อยให้คุณหลับ และทรมานคุณจนเกือบตาย ไม่ว่าคุณจะเป็นชายหรือหญิง ร่างกายและจิตใจของคุณทุกข์ทนกับการถูกทารุณและทรมานทุกประเภท และคุณยังถูกดูหมิ่น เยาะเย้ย และโจมตีโดยมารเหล่านั้นที่ใช้ภาษาที่สกปรกและดูเป็นการหยามหมิ่นทุกรูปแบบอีกด้วย หลังจากทุกข์ทนกับการทรมานนี้ คุณรู้สึกอย่างไรต่อประเทศนี้และรัฐบาลชุดนี้? (ความเกลียดชัง) นี่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง ความเกลียดชังต่อระบบสังคมนี้ ความเกลียดชังต่อพรรครัฐบาลนี้ และความเกลียดชังต่อประเทศนี้ คุณเคยรู้สึกสำนึกเคารพอันยิ่งใหญ่ทุกครั้งที่เห็นตำรวจรัฐ แต่หลังจากที่ถูกพวกเขาข่มเหง ทรมาน และทำให้แปดเปื้อน สำนึกเคารพในอดีตนั้นก็หายไป และหัวใจของคุณก็เต็มไปด้วยคำคำเดียว—ความเกลียดชัง ความเกลียดชังสำหรับการขาดสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ความเกลียดชังสำหรับความไร้ศีลธรรมอย่างสิ้นเชิงของพวกเขา และความเกลียดชังที่พวกเขาทำตัวเหมือนเดรัจฉานและมารซาตาน แม้ว่าคุณทนทุกข์แสนสาหัสจากการถูกตำรวจรัฐทรมาน ทำให้แปดเปื้อน และดูหมิ่น แต่คุณก็ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา และได้เห็นว่าพวกเขาล้วนเป็นสัตว์ป่าในคราบของมนุษย์ และเป็นมารที่เกลียดชังความจริงและเกลียดชังพระเจ้า ดังนั้นคุณจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อพวกเขา นี่ไม่ใช่ความเกลียดชังส่วนตัวหรือความคับข้องใจส่วนตัว แต่เป็นผลจากการเห็นแก่นแท้ที่ชั่วของพวกเขาอย่างชัดเจน นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่คุณจินตนาการ อนุมาน หรือกำหนดไว้ แต่เป็นความทรงจำเหล่านั้นทั้งหมดในเรื่องที่พวกเขาดูถูกคุณ ทำให้คุณแปดเปื้อน และข่มเหงคุณ—รวมถึงกิริยาท่าทาง การกระทำ และคำพูดทั้งหมดของพวกเขา—ที่เติมเต็มหัวใจของคุณด้วยความเกลียดชัง นี่ปกติใช่หรือไม่? (ใช่) เมื่อคุณเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ถ้ามีใครบางคนพูดกับคุณว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ จงอย่ามีชีวิตอยู่ในความเกลียดชัง การกำจัดความเกลียดชังเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการมัน” คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินสิ่งนี้ (ขยะแขยง) คุณจะเป็นอะไรได้อีกนอกจากขยะแขยง? ดังนั้นจงบอกฉันเถิดว่าเป็นไปได้ไหมที่จะกำจัดความเกลียดชังนี้? (ไม่ได้) มันไม่สามารถถูกกำจัดได้ ความเกลียดชังที่ไม่สามารถประนีประนอมได้จะถูกกำจัดได้อย่างไร? ถ้าใครก็ตามใช้คำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” เพื่อชักนำคุณให้หล่อยวางความเกลียดชังของคุณ คุณจะสามารถปล่อยวางได้หรือ? คุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? ปฏิกิริยาแรกของคุณจะเป็น “คำกล่าว ‘การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้’ ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลหลอกลวง เป็นความเห็นที่ไม่รับผิดชอบจากคนมุงดูที่อยู่เฉย! ผู้คนเหล่านี้ที่เผยแพร่แนวคิดและทัศนะด้านวัฒนธรรมดั้งเดิมข่มเหงคริสตชนและคนดีทุกวัน—พวกเขาถูกคำพูดเหล่านี้จำกัดควบคุมและกระทบหรือไม่? พวกเขาจะไม่หยุดจนกระทั่งพวกเขาได้กำจัดหรือทำลายล้างคำพูดเหล่านี้ทุกคำ! พวกเขาคือมารซาตานที่ปลอมตัวมา พวกเขาทำทารุณผู้คนขณะที่ยังมีชีวิต จากนั้นเมื่อพวกผู้คนตาย พวกเขาก็พูดไม่กี่คำแสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อตบตาผู้อื่น นี่ไม่เลวร้ายเหลือเกินหรอกหรือ?” คุณจะไม่มีปฏิกิริยาและรู้สึกเช่นนี้หรือ? (ใช่) คุณจะรู้สึกแบบนี้อย่างแน่นอน เกลียดใครก็ตามที่พยายามชักนำคุณ จนถึงขั้นอยากสาปแช่งพวกเขาเสียด้วยซ้ำ แต่บางคนไม่เข้าใจ พวกเขาพูดว่า “ทำไมคุณถึงทำเช่นนี้? นี่ไม่น่ารังเกียจหรือ? นี่ไม่มุ่งร้ายหรือ?” เหล่านี้เป็นความเห็นที่ขาดความรับผิดชอบจากคนมุงดูที่อยู่เฉย คุณจะสวนคำไปว่า “ฉันเป็นมนุษย์ ฉันมีศักดิ์ศรีและความซื่อตรง แต่พวกเขาไม่ปฏิบัติต่อฉันเหมือนมนุษย์ พวกเขากลับปฏิบัติต่อฉันเหมือนเดรัจฉานหรือสัตว์ป่า ซึ่งล่วงเกินความซื่อตรงและศักดิ์ศรีของฉันอย่างมาก ไม่ใช่พวกเขาหรอกหรือที่มุ่งร้าย? คุณยอมรับความมุ่งร้ายของพวกเขาโดยดุษณี แต่เมื่อพวกเราต้านทานและเกลียดชังพวกเขา คุณก็จะประณามพวกเราในเรื่องนี้ ดังนั้นนั่นทำให้คุณเป็นอะไร? เป็นคุณมิใช่หรือที่ชั่วร้าย? พวกเขาไม่ปฏิบัติต่อพวกเราเหมือนมนุษย์ พวกเขาทรมานพวกเรา แต่คุณยังคงบอกพวกเราให้ค้ำจุนการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ และตอบแทนความชั่วด้วยความดี คุณไม่ได้แค่พูดเรื่องเหลวไหลหรอกหรือ? สภาวะความเป็นมนุษย์ของคุณปกติหรือไม่? คุณเป็นนักปลอมแปลงและคนหน้าซื่อใจคด คุณไม่เพียงมุ่งร้ายอย่างที่สุดเท่านั้น แต่คุณยังชั่วร้ายและไร้ยางอายอีกด้วย!” ดังนั้น เมื่อมีใครมาปลอบใจคุณด้วยการพูดว่า “จงลืมมันไปเสีย มันจบแล้ว อย่าเก็บความขุ่นเคืองไว้ ถ้าคุณเป็นคนหยุมหยิมแบบนี้อยู่เสมอ คุณก็จะเป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บในที่สุด ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวางความเกลียดชัง และฝึกฝนที่จะเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” คุณจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้? คุณจะไม่คิดว่า “วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมทั้งหมดนี้เป็นเพียงเครื่องมือที่ชนชั้นปกครองใช้ตบตาและควบคุมผู้คน พวกเขาเองไม่เคยถูกแนวคิดและทัศนะเหล่านี้จำกัดควบคุม แต่ตบตาและทำร้ายผู้คนอย่างเหี้ยมโหดทุกวัน ฉันเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีและซื่อตรงที่ถูกเล่นและข่มเหงเยี่ยงเดรัจฉานหรือสัตว์ป่า ฉันทุกข์ทนกับการดูหมิ่นและการทำให้เสื่อมเสียมากมายเหลือเกินต่อหน้าพวกเขา และถูกทรมานและตัดขาดจากศักดิ์ศรีและความซื่อตรงของฉัน เพื่อที่ฉันไม่ปรากฏเหมือนว่าเป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำ แต่คุณก็ยังคงพูดถึงหลักศีลธรรมอีกหรือ? คุณเป็นใครถึงได้พูดสิ่งที่ฟังดูสูงส่งเช่นนี้? การที่ฉันถูกเหยียดหยามหนึ่งครั้งไม่พอหรือ คุณต้องการให้พวกเขาเหยียดหยามฉันอีกครั้งหรือ? ไม่มีทางที่ฉันจะปล่อยวางความเกลียดชังนี้!” นี่เป็นการสำแดงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติใช่หรือไม่? (ใช่) นี่คือการสำแดงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ผู้คนบางคนพูดว่า “นี่ไม่ใช่การสำแดงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่เป็นการยั่วยุความเกลียดชัง” ในกรณีนี้ใครก่อให้เกิดพฤติกรรมของบุคคลผู้นี้และความเกลียดชังนี้? คุณรู้หรือไม่? ถ้าพวกเขาไม่ได้ถูกพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงอย่างทารุณ พวกเขาจะประพฤติตนเช่นนี้หรือไม่? พวกเขาถูกข่มเหงและแค่พูดสิ่งที่อยู่ในใจ—นั่นยั่วยุความเกลียดชังอย่างไร? ระบอบซาตานข่มเหงผู้คนเช่นนี้ แต่พวกเขาไม่ยอมให้ผู้คนพูดความในใจของตน? ซาตานข่มเหงผู้คนแต่ยังต้องการปิดปากพวกเขาไว้ ไม่อนุญาตให้พวกเขาเกลียดชังหรือต้านทาน นั่นเป็นการใช้เหตุผลแบบใด? ผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่ควรต่อต้านการกดขี่และการแสวงหาผลประโยชน์ใช่หรือไม่? พวกเขาควรนบนอบโดยดีหรือไม่? ซาตานได้ทำร้ายและทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามมาเป็นเวลาหลายพันปี เมื่อผู้เชื่อเข้าใจความจริง พวกเขาก็ควรตื่นขึ้น ต้านทานซาตาน เปิดโปงมัน เกลียดชังมัน และละทิ้งมัน นี่คือสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเป็นธรรมดาและชอบธรรมอย่างที่สุด นี่คือการกระทำที่ดีและชอบธรรมที่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรสามารถทำได้ และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสรรเสริญ
ไม่ว่าจะมองมุมไหน คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติด้านศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ไร้มนุษยธรรมและน่าขยะแขยงมาก คำกล่าวนี้บอกให้ผู้คนในชนชั้นผู้ถูกปกครองไม่ต้านทานการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมใดๆ—โดยไม่คำนึงถึงการโจมตี การทำให้เสื่อมเสีย หรือการบาดเจ็บใดๆ ที่พวกเขาได้รับจากความซื่อตรง ศักดิ์ศรี และสิทธิมนุษยชน—แต่ยอมจำนนโดยดีต่อการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมนั้นเสีย พวกเขาไม่ควรแก้แค้น หรือคิดเกี่ยวกับสิ่งที่น่าชัง นับประสาอะไรกับการตอบโต้ แต่ต้องทำให้แน่ใจว่าจะเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ นี่ไม่ไร้มนุษยธรรมหรือ? เห็นได้ชัดมากว่านี่ไร้มนุษยธรรม เพราะว่าการนี้พึงต้องให้ชนชั้นที่ถูกปกครอง—ผู้คนธรรมดา—ทำทั้งหมดนี้และประพฤติปฏิบัติตนด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมประเภทนี้ การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของชนชั้นปกครองก็ไม่ควรเกินเลยข้อกำหนดนี้หรือไม่? นี่เป็นบางสิ่งที่พวกเขาควรจะต้องทำยิ่งขึ้นหรือไม่? พวกเขาทำสิ่งนี้แล้วหรือไม่? พวกเขาสามารถทำได้หรือไม่? พวกเขาใช้คำกล่าวนี้หน่วงเหนี่ยวตนเองและประเมินวัดตนเองหรือไม่? พวกเขาใช้คำกล่าวนี้ในการปฏิบัติต่อผู้คนของพวกเขา ผู้คนที่พวกเขาปกครองหรือไม่? (ไม่) พวกเขาไม่เคยทำเช่นนี้ พวกเขาเพียงบอกให้ผู้คนของตนไม่คำนึงถึงสังคมนี้ ประเทศนี้ หรือชนชั้นปกครองด้วยความไม่เป็นมิตร และไม่ว่าผู้คนจะประสบทุกข์กับการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมอะไรในสังคมหรือในชุมชนของตน และไม่ว่าผู้คนจะทุกข์ทนทางร่างกาย ทางจิตใจ และทางจิตวิญญาณมากแค่ไหน พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ ในทางกลับกัน ถ้าผู้คนธรรมดา—สามัญชนในสายตาของพวกเขา—บอกพวกเขาว่า “ไม่” หรือเก็บงำข้อคิดเห็นและปากเสียงที่เห็นแย้งใดๆ เกี่ยวกับสถานะ การปกครอง และสิทธิอำนาจของชนชั้นปกครอง พวกเขาจะถูกจัดการอย่างเข้มงวด และถึงกับถูกลงโทษอย่างรุนแรง นี่คือการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ชนชั้นปกครองที่สนับสนุน “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ต่อผู้คนควรมีหรือไม่? ถ้าในหมู่ผู้คนธรรมดาของชนชั้นผู้ถูกปกครองมีปัญหาเพียงเล็กน้อย หรือมีการขยับตำแหน่งเพียงเล็กน้อย หรือถ้ามีการต่อต้านพวกเขาในความคิดของผู้คนแม้เพียงเล็กน้อย เช่นนั้นแล้วมันก็จะถูกตัดไฟแต่ต้นลม พวกเขาควบคุมหัวใจและจิตใจของผู้คน และบังคับผู้คนให้ยอมจำนนต่อพวกเขาอย่างไม่ประนีประนอม เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า “เมื่อจักรพรรดิสั่งให้ข้าราชบริพารตาย พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตาย” และ “แผ่นดินใต้ฟ้าทั้งหมดเป็นของกษัตริย์ ผู้คนทั้งหมดในโลกเป็นข้าราชบริพารของกษัตริย์” ไม่มีผิด ใจความสำคัญของมันก็คือทุกสิ่งที่นักปกครองทำถูกต้อง และผู้คนควรจะถูกเขาหลอกให้หลงกล ควบคุม ดูหมิ่น เล่น เหยียบย่ำ และกัดกินในที่สุด และไม่ว่าชนชั้นปกครองจะทำอะไรพวกเขาก็ถูกต้อง และตราบเท่าที่ผู้คนมีชีวิต พวกเขาต้องเป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง และต้องไม่คิดคดต่อกษัตริย์ ไม่ว่ากษัตริย์จะไม่ดีแค่ไหน ไม่ว่าการปกครองของเขาจะไม่ดีแค่ไหน ผู้คนธรรมดาต้องไม่พูดว่า “ไม่” และต้องไม่เก็บงำความคิดต้านทาน และต้องเชื่อฟังอย่างสิ้นเชิง ในเมื่อ “ผู้คนทั้งหมดในโลกเป็นข้าราชบริพารของกษัตริย์” หมายความว่าสามัญชนที่กษัตริย์ปกครองเป็นข้าราชบริพารของพระองค์ เช่นนั้นแล้วกษัตริย์จึงไม่ควรเป็นแบบอย่างตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” แก่ผู้คนทั่วไปอย่างนั้นหรือ? เนื่องจากผู้คนทั่วไปโง่เขลา ไม่รู้เท่าทัน ไม่รู้เรื่องรู้ราว และไม่เข้าใจกฎหมาย พวกเขาจึงทำสิ่งที่ผิดกฎหมายและเป็นอาชญากรรมบ่อยๆ ดังนั้นกษัตริย์จึงไม่ควรเป็นคนแรกจากทั้งหมดที่ใช้คำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” หรือ? การเมตตาผู้คนธรรมดาเท่ากับที่เขาเมตตาลูกหลานของตน—นั่นคือสิ่งที่กษัตริย์ควรทำมิใช่หรือ? กษัตริย์ไม่ควรมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เช่นนี้อีกด้วยหรือไม่? (ควร) แล้วเขาทำข้อกำหนดนี้กับตนเองหรือไม่? (ไม่) เมื่อกษัตริย์สั่งให้ปราบปรามความเชื่อทางศาสนา พวกเขาพึงต้องให้ตนเองยึดติดคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” หรือไม่? เมื่อกองทัพและกองตำรวจของพวกเขาข่มเหงและทรมานคริสตชนอย่างโหดเหี้ยม พวกเขาขอให้รัฐบาลของตนยึดติดคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” หรือไม่? พวกเขาไม่เคยขอให้รัฐบาลหรือกองกำลังตำรวจของตนทำเช่นนั้น แต่กลับรบเร้าและบังคับรัฐบาลและกองกำลังตำรวจให้ปราบปรามความเชื่อทางศาสนาอย่างเข้มงวด และถึงกับออกคำสั่งในแนวของ “จงตีพวกเขาให้ตายด้วยนิรโทษกรรม” และ “จงทำลายพวกเขาโดยไม่ส่งเสียงเลย” ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากษัตริย์แห่งโลกชั่วนี้เป็นมาร พวกเขาคือกษัตริย์มาร พวกเขาคือซาตาน พวกเขาอนุญาตให้เจ้าหน้าที่จุดไฟเท่านั้น แต่ไม่อนุญาตให้ผู้คนจุดตะเกียงเสียด้วยซ้ำ พวกเขาใช้คำกล่าวดั้งเดิมด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้หน่วงเหนี่ยวและจำกัดควบคุมผู้คน ด้วยกลัวว่าผู้คนจะลุกขึ้นต่อต้านพวกเขา ดังนั้นชนชั้นปกครองจึงใช้คำกล่าวทุกประเภทด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมหลอกผู้คนให้หลงกล พวกเขามีจุดประสงค์เดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือจำกัดควบคุมและผูกมัดมือและเท้าของผู้คน เพื่อที่ผู้คนจะยอมจำนนต่อการปกครองของพวกเขา และพวกเขาไม่ต้องยอมทนต่อการต้านทาน พวกเขาใช้ทฤษฎีด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้หลอกลวงและทำให้ผู้คนมึนงง ตบตาพวกเขาจนพวกเขาอาจก้มกราบและเป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง ไม่ว่าชนชั้นปกครองจะรอดตัวและเหยียบย่ำผู้คนมากแค่ไหน ไม่ว่าพวกเขาจะบีบคั้นและหาประโยชน์จากผู้คนมากแค่ไหน ผู้คนก็สามารถยอมจำนนแต่โดยดีเท่านั้น และไม่สามารถต้านทานได้เลย แม้แต่เวลาที่เผชิญหน้าความตาย ผู้คนก็เพียงสามารถเลือกที่จะหลบหนีเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถต้านทาน และไม่กล้าเก็บงำความคิดที่จะต่อต้านเสียด้วยซ้ำ พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะมองจอบและเคียว หรือเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ข้างตัว หรือแม้แต่นำมีดพกและกรรไกรตัดเล็บติดตัวไปด้วย โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง และพวกเขาจะยอมจำนนต่อการปกครองของกษัตริย์เสมอ และจงรักภักดีต่อกษัตริย์ตลอดกาล ความจงรักภักดีของพวกเขาควรแผ่ขยายออกไปแค่ไหน? ไม่มีใครกล้าพูดว่า “ในฐานะประชาชน พวกเราต้องใช้แนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมกำกับดูแลและหน่วงเหนี่ยวกษัตริย์ของพวกเรา” และไม่มีใครกล้าเสนอแนะข้อคิดเห็นที่ต่างออกไปแม้เพียงเล็กน้อยเมื่อได้รู้ว่ากษัตริย์กำลังทำชั่ว ไม่เช่นนั้นนั่นจะทำให้พวกเขาถูกฆ่า เห็นได้ชัดมากว่านักปกครองมองตนเองไม่เพียงเป็นกษัตริย์ของผู้คนเท่านั้น แต่ยังเป็นอธิปไตยและผู้ควบคุมประชาชนอีกด้วย ในประวัติศาสตร์จีน จักรพรรดิเหล่านี้เรียกตัวเองว่า “เทียนจื่อ” “เทียนจื่อ” มีความหมายว่าอะไร? หมายความว่าบุตรแห่งสวรรค์ชั้นฟ้า หรือเรียกสั้นๆ ว่า “บุตรแห่งสวรรค์” ทำไมพวกเขาถึงไม่เรียกตัวเองว่า “บุตรแห่งแผ่นดินโลก”? ถ้าพวกเขาเกิดบนแผ่นดินโลก พวกเขาก็ควรเป็นบุตรของแผ่นดินโลก และในเมื่อเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเกิดบนแผ่นดินโลก ทำไมถึงเรียกตนเองว่า “บุตรแห่งสวรรค์”? จุดประสงค์ของการเรียกตนเองว่าบุตรแห่งสวรรค์คืออะไร? พวกเขาต้องการดูถูกสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและสามัญชนเหล่านี้ใช่หรือไม่? วิธีที่พวกเขาปกครองคือการควบคุมผู้คนด้วยอำนาจและสถานะเหนือสิ่งอื่นใด กล่าวคือเมื่อพวกเขาเถลิงอำนาจและกลายเป็นจักรพรรดิ พวกเขาคิดว่าไม่เป็นไรที่จะปฏิบัติต่อผู้คนอย่างหยาบคาย และผู้คนเสี่ยงที่จะถูกประหารชีวิตเพราะแสดงท่าทีนิ่งเฉยแม้เพียงเล็กน้อย นั่นคือที่มาของชื่อ “บุตรแห่งสวรรค์” ถ้าจักรพรรดิพูดว่าเขาเป็นบุตรแห่งแผ่นดินโลก เขาก็จะดูเหมือนมีสถานะที่ต่ำต้อย และจะไม่มีบารมีที่เขาอ้างว่ากษัตริย์ควรมี และเขาจะไม่สามารถขู่ขวัญชนชั้นผู้ถูกปกครองได้ ดังนั้นเขาจึงเพิ่มเดิมพันโดยอ้างว่าเขาเป็นบุตรแห่งสวรรค์ และต้องการเป็นตัวแทนของสวรรค์ เขาสามารถเป็นตัวแทนของสวรรค์ได้หรือ? เขามีแก่นแท้นั้นหรือไม่? ถ้าคนเรายืนกรานที่จะเป็นตัวแทนของสวรรค์โดยไม่มีแก่นแท้ที่จะทำเช่นนั้น นั่นถือเป็นการเสแสร้ง ในด้านหนึ่ง นักปกครองเหล่านี้คำนึงถึงสวรรค์และพระเจ้าด้วยความไม่เป็นมิตร แต่ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาเป็นบุตรแห่งสวรรค์ และพวกเขาได้รับมอบอำนาจจากสวรรค์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การปกครองของตน นี่ไม่ไร้ยางอายหรือ? เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเหล่านี้ จุดประสงค์ของคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ซึ่งถูกเผยแพร่ในหมู่มวลมนุษย์ก็เพื่อจำกัดควบคุมการขบคิดตามปกติของผู้คน ผูกมัดมือและเท้าของผู้คน จำกัดควบคุมพฤติกรรมของผู้คน และแม้แต่จำกัดควบคุมความคิด ทัศนะ และการแสดงออกต่างๆ ของผู้คนภายในขอบเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เมื่อพิจารณารากเหง้าของสิ่งนี้ จุดประสงค์ของสิ่งเหล่านี้คือการก่อร่างจารีตประเพณีทางสังคมและหลักศีลธรรมทางสังคมที่ดี แน่นอนว่าโดยการสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ สิ่งเหล่านี้ยังสนองความมักใหญ่ใฝ่สูงของชนชั้นปกครองที่จะปกครองไปนานๆ อีกด้วย แต่ไม่ว่าพวกเขาจะปกครองอย่างไร สุดท้ายแล้วเหยื่อก็คือมวลมนุษย์ มวลมนุษย์ถูกจำกัดขอบเขตและได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิม ผู้คนไม่เพียงสูญเสียโอกาสที่จะได้ยินข่าวประเสริฐและรับความรอดจากพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังสูญเสียโอกาสที่จะแสวงหาความจริงและเดินในเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้การควบคุมของนักปกครอง ผู้คนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับพิษ ความนอกรีตและเหตุผลวิบัติหลายประเภท และสิ่งที่เป็นลบอื่นๆ ที่มาจากซาตาน ในช่วงไม่กี่พันปีที่แล้วของประวัติศาสตร์อันยาวนานของมวลมนุษย์ ซาตานได้ให้การศึกษา พร่ำสอน และลวงมวลมนุษย์ให้หลงกลโดยการเผยแพร่ความรู้และกระจายทฤษฎีเชิงอุดมการณ์ต่างๆ ส่งผลให้ผู้คนหลายรุ่นได้รับอิทธิพลและถูกจำกัดควบคุมอย่างลุ่มลึกโดยแนวคิดและมุมมองเหล่านี้ แน่นอนว่าภายใต้อิทธิพลของแนวคิดและมุมมองจากซาตานเหล่านี้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนรุนแรงขึ้นและร้ายแรงขึ้น กล่าวคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนได้รับการส่งเสริมและ “ทำให้สูงส่ง” บนพื้นฐานนี้ และหยั่งรากลึกในหัวใจของผู้คน ทำให้พวกเขาปฏิเสธพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า และจมลึกลงไปในบาปที่พวกเขาไม่สามารถถอนตัวเองออกมาได้ ในส่วนของการก่อร่างคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้—“การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้”—รวมทั้งจุดมุ่งหมายในการเสนอแนะข้อกำหนดนี้ ความเสียหายที่ผู้คนถูกกระทำตั้งแต่คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ได้ก่อร่างขึ้น และแง่มุมอื่นๆ ทั้งหมด พวกเราจะไม่สามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้ตอนนี้ และพวกคุณสามารถใช้เวลาในภายหลังใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้เพิ่มเติมด้วยตนเอง
ชาวจีนไม่ใช่ไม่คุ้นเคยกับคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีอิทธิพลต่อผู้คนในชั่วข้ามคืน คุณมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมประเภทนี้ คุณได้รับการศึกษาเชิงอุดมการณ์ประเภทนี้เกี่ยวกับแง่มุมทั้งหลายของวัฒนธรรมดั้งเดิมและหลักศีลธรรม และคุณคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ แต่คุณก็ไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งเหล่านี้สามารถส่งผลลัพธ์ที่เป็นลบอย่างใหญ่หลวง สิ่งเหล่านี้จะขัดขวางคุณไม่ให้เชื่อในพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงมากแค่ไหน หรือสิ่งเหล่านี้จะมีอิทธิพลหรือขัดขวางมากแค่ไหนในเส้นทางที่คุณเดินในอนาคต? พวกคุณตระหนักรู้ประเด็นเหล่านี้หรือไม่? พวกคุณควรใคร่ครวญและวินิจฉัยเพิ่มเติมในหัวข้อที่เราได้สามัคคีธรรมกันในวันนี้ เพื่อทำความเข้าใจอย่างถ้วนทั่วในบทบาทที่วัฒนธรรมดั้งเดิมเล่นในการให้ความรู้แก่มวลมนุษย์ ว่าคืออะไรกันแน่ และผู้คนควรปฏิบัติต่อสิ่งนี้ให้ถูกต้องอย่างไร คำพูดเหล่านี้ที่เราได้สามัคคีธรรมกันข้างต้นเอื้ออำนวยและเป็นประโยชน์สำหรับคุณในการทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ในวัฒนธรรมดั้งเดิม แน่นอนว่าความเข้าใจนี้ไม่เพียงเป็นความเข้าใจในวัฒนธรรมดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังเป็นความเข้าใจในการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอีกด้วย และวิธีและวิถีทางต่างๆ ที่ซาตานใช้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม และแม้กระทั่งทัศนะต่างๆ ที่มันปลูกฝังในผู้คนโดยเฉพาะ รวมทั้งวิธีและวิถีทาง ทัศนะ มุมมอง จุดยืน และอื่นๆ ที่มันใช้ปฏิบัติต่อโลกและมวลมนุษย์ หลังจากได้รับความเข้าใจอย่างถ้วนทั่วในสิ่งต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิม สิ่งที่พวกคุณควรทำไม่ใช่เพียงหลีกเลี่ยงและปฏิเสธคำกล่าวและทัศนะต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่คุณกลับควรเข้าใจและชำแหละให้เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นว่าอันตรายใด การจำกัดควบคุมใด และพันธนาการใดที่คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่คุณยึดปฏิบัติตามและค้ำจุนได้ก่อให้เกิดกับคุณ และบทบาทใดที่พวกเขาเล่นในการส่งผลกระทบ รบกวน และขัดขวางความคิดและทัศนะของคุณในการวางตัวคุณเอง รวมทั้งการที่คุณยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง และส่งผลให้คุณล่าช้าในการยอมรับความจริง เข้าใจความจริง ปฏิบัติความจริง และเชื่อฟังพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์และอย่างแน่นอนที่สุด สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้คนควรคิดทบทวนและตระหนักรู้โดยแน่แท้ คุณไม่สามารถเลี่ยงหนีหรือปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ไปเฉยๆ คุณต้องสามารถวินิจฉัยและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถ้วนทั่ว เพื่อให้คุณสามารถปลดปล่อยจิตใจของคุณให้เป็นอิสระอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่ลวงโลกและทำให้หลงผิดเหล่านี้ในวัฒนธรรมดั้งเดิม ต่อให้คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมบางคำไม่หยั่งรากลึกในตัวคุณ แต่สำแดงตนให้เห็นเป็นครั้งคราวในการขบคิดและมโนคติอันหลงผิดของคุณ คำกล่าวเหล่านี้ก็ยังคงสามารถรบกวนคุณในช่วงเวลาสั้นๆ หรือในระหว่างเหตุการณ์เดียว หากคุณไม่สามารถวินิจฉัยได้อย่างชัดเจน คุณอาจยังคงถือว่าคำกล่าวและทัศนะบางอย่างเป็นสิ่งที่เป็นบวกหรือใกล้เคียงความจริงมากๆ และนี่เป็นบางสิ่งที่เป็นปัญหาอย่างมาก มีคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมบางคำที่คุณชอบมากภายในใจ คุณไม่เพียงเห็นด้วยกับสิ่งเหล่านั้นในหัวใจของคุณ แต่คุณยังรู้สึกด้วยว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถระบายในที่สาธารณะ ผู้คนจะสนใจที่จะได้ยินสิ่งเหล่านั้น และพวกเขาจะยอมรับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นบวก คำกล่าวเหล่านี้เป็นคำกล่าวที่คุณจะปล่อยวางยากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าคุณจะไม่ได้ยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง แต่คุณตระหนักรู้ภายในว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เป็นบวกในหัวใจของคุณ และสิ่งเหล่านี้หยั่งรากลงในหัวใจของคุณและกลายเป็นชีวิตของคุณโดยไม่รู้สึกตัว เมื่อคุณมาเชื่อในพระเจ้าและยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติเพื่อรบกวนคุณและขัดขวางคุณไม่ให้ยอมรับความจริง เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ขัดขวางผู้คนไม่ให้ไล่ตามเสาะหาความจริง ถ้าคุณไม่สามารถวินิจฉัยสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ก็เป็นการง่ายที่จะสับสนปนเปสิ่งเหล่านี้กับความจริง และจัดให้มีสถานะเดียวกัน ซึ่งสามารถมีผลลัพธ์ที่เป็นลบต่อผู้คนได้ อาจเป็นไปได้ว่าคุณไม่ได้ปฏิบัติต่อคำกล่าวเหล่านี้—เช่น “จงอย่านำเงินที่เจ้าเก็บได้มาใส่ในกระเป๋า” “จงได้รับความหรรษายินดีจากการช่วยเหลือผู้อื่น” และ “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น”—ในฐานะความจริง และคุณไม่ถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นมาตรฐานสำหรับประเมินวัดการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของคุณเอง และคุณไม่ไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นในฐานะจุดหมายสำหรับการวางตัวคุณเอง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ได้รับอิทธิพลและถูกทำให้เสื่อมทรามโดยวัฒนธรรมดั้งเดิม อาจเป็นไปได้อีกด้วยว่าคุณเป็นคนที่ไม่แยแสรายละเอียดที่ไม่สลักสำคัญ ตราบเท่าที่คุณไม่สนใจว่าคุณจะนำเงินที่คุณเก็บได้มาใส่ในกระเป๋าหรือไม่ หรือคุณจะได้รับความหรรษายินดีจากการช่วยเหลือผู้อื่นหรือไม่ แต่คุณต้องเข้าใจและชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งหนึ่ง นั่นคือคุณมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมประเภทนี้และอยู่ภายใต้อิทธิพลของการศึกษาเชิงอุดมการณ์และวัฒนธรรมดั้งเดิม ดังนั้นคุณจะทำตามคำกล่าวเหล่านี้ที่มวลมนุษย์สนับสนุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะเลือกใช้บางส่วนเป็นอย่างน้อยเป็นมาตรฐานของคุณสำหรับประเมินวัดการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม นี่คือสิ่งที่คุณควรคิดทบทวนอย่างรอบคอบ อาจเป็นไปได้อีกด้วยว่าคุณไม่ได้เลือกใช้คำกล่าวเช่น “จงอย่านำเงินที่เจ้าเก็บได้มาใส่ในกระเป๋า” หรือ “จงได้รับความหรรษายินดีจากการช่วยเหลือผู้อื่น” เป็นมาตรฐานของคุณสำหรับประเมินวัดการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม แต่ลึกลงไปในหัวใจของคุณ คุณคิดว่าคำกล่าวอื่นๆ เช่น “ฉันจะยอมรับกระสุนแทนเพื่อน” สูงส่งเป็นพิเศษ และกลายเป็นหลักปรัชญาที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณ หรือกลายเป็นเกณฑ์กำหนดสูงสุดที่คุณใช้มองผู้คนและสิ่งต่างๆ และวางตัวคุณเองและลงมือทำ นี่แสดงให้เห็นอะไร? แม้ว่าลึกลงไปในหัวใจของคุณ คุณไม่เจตนาเคารพหรือทำตามวัฒนธรรมดั้งเดิม หลักปรัชญาของการวางตัว วิธีที่คุณวางตัวคุณเอง และจุดหมายชีวิตของคุณ รวมทั้งหลักธรรมทั้งหลาย ผลสรุป และหลักปรัชญาสำหรับจุดหมายชีวิตที่คุณไล่ตามเสาะหาไม่ได้เป็นอิสระจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเลย สิ่งเหล่านั้นไม่หลุดรอดจากคุณค่าแห่งความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะสม ปัญญา และความน่าไว้วางใจที่มวลมนุษย์ค้ำจุน หรือหลักปรัชญาด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมบางประการที่มวลมนุษย์สนับสนุน—คุณไม่ได้หลีกหนีจากขอบเขตจำกัดเหล่านี้เลย กล่าวง่ายๆ ก็คือตราบใดที่คุณเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม เป็นมนุษย์ที่มีชีวิต และคุณกินอาหารของโลกมนุษย์ เช่นนั้นแล้วหลักธรรมแห่งการวางตัวและชีวิตที่คุณทำตามก็ไม่มากไปกว่าหลักธรรมและหลักปรัชญาสำหรับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ พวกคุณควรเข้าใจคำพูดที่ฉันพูดเหล่านี้และปัญหาที่ฉันเปิดโปงเหล่านี้ แต่ทว่าบางทีคุณอาจคิดว่าคุณไม่มีปัญหาเหล่านี้ ดังนั้นคุณจึงไม่สนใจสิ่งที่ฉันพูด ข้อเท็จจริงก็คือผู้คนล้วนมีปัญหาเหล่านี้ในระดับที่แตกต่างกัน ไม่ว่าคุณจะตระหนักหรือไม่ และนี่คือบางสิ่งที่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงควรคิดทบทวนและเข้าใจอย่างรอบคอบ1
เมื่อสักครู่พวกเราพูดว่าคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” เป็นข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมวลมนุษย์ พวกเรายังได้ชำแหละปัญหาบางข้อด้วยคำกล่าวนี้ และผลกระทบบางประการที่คำกล่าวนี้มีต่อมวลมนุษย์ คำกล่าวนี้ได้แนะนำมวลมนุษย์ให้รู้จักแนวคิดและทัศนะที่ไม่เหมาะสม และมีผลกระทบที่เป็นลบบางอย่างต่อการไล่ตามเสาะหาและการอยู่รอดของผู้คน ซึ่งผู้คนควรตระหนักรู้ ดังนั้นผู้เชื่อควรเข้าใจปัญหาที่เกี่ยวกับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความใจกว้างในสภาวะความเป็นมนุษย์อย่างไร? คนเราสามารถเข้าใจสิ่งเหล่านั้นจากมุมมองของพระเจ้าอย่างถูกต้องและเป็นบวกได้อย่างไร? สิ่งนี้ควรเข้าใจด้วยมิใช่หรือ? (ใช่) อันที่จริงการเข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก คุณไม่จำเป็นต้องเดา หรือค้นคว้าวิจัยข้อมูลใดๆ เพียงโดยการเรียนรู้จากสิ่งที่พระเจ้าตรัสและพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในหมู่ผู้คน และจากพระอุปนิสัยของพระเจ้าดังที่แสดงไว้ในหนทางต่างๆ ที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนทุกประเภท พวกเราสามารถรู้ได้อย่างแม่นยำว่าพระเจ้าทรงมีข้อคิดเห็นอย่างไรต่อคำกล่าวและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ และเจตนารมณ์ของพระองค์คืออะไรกันแน่ โดยการพิจารณาเจตนารมณ์และทัศนะของพระเจ้า ผู้คนควรมีเส้นทางที่ใช้ไล่ตามเสาะหาความจริง คำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง” ซึ่งผู้คนยึดติด หมายความว่าเมื่อศีรษะของบุคคลผู้หนึ่งถูกตัดและหล่นลงที่พื้น นั่นคือตอนจบของเรื่องและไม่ควรไล่ตามต่อไปอีก นี่ไม่ใช่มุมมองประเภทหนึ่งหรือ? นี่ไม่ใช่มุมมองที่ผู้คนยึดถือกันทั่วไปหรือ? นี่หมายความว่าเมื่อบุคคลผู้หนึ่งมาถึงปลายทางของชีวิตทางกายภาพของตน ชีวิตนั้นก็จบสิ้นแล้ว สิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดที่บุคคลผู้นั้นทำในชีวิตของตน และความรัก ความเกลียดชัง ความหลงใหล และความเป็นศัตรูทั้งหมดที่พวกเขาเคยประสบ ถูกประกาศว่าสิ้นสุดลงทันที และชีวิตนั้นก็ถือว่าสิ้นสุดแล้ว ผู้คนเชื่อเช่นนี้ แต่จากการพิจารณาพระวจนะของพระเจ้าและหมายสำคัญต่างๆ เกี่ยวกับกิจการของพระเจ้าทั้งหมด นี่เป็นหลักธรรมแห่งกิจการของพระเจ้าใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) ดังนั้นอะไรคือหลักธรรมแห่งกิจการของพระเจ้า? พระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้บนพื้นฐานอะไร? ผู้คนบางคนพูดว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้ตามกฤษฎีกาบริหารของพระองค์ ซึ่งถูกต้อง แต่ไม่ใช่ภาพที่ครบบริบูรณ์ ในด้านหนึ่ง มันเป็นไปตามกฤษฎีกาบริหารของพระองค์ แต่ในอีกด้านหนึ่ง พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนทุกประเภทตามอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์—นี่คือภาพที่ครบบริบูรณ์ ในสายพระเนตรของพระเจ้า ถ้าบุคคลผู้หนึ่งถูกฆ่าและศีรษะของพวกเขาหล่นลงที่พื้น ชีวิตของบุคคลผู้นั้นก็สิ้นสุดลงแล้วใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) ดังนั้นพระเจ้าจะทรงยุติชีวิตของบุคคลด้วยวิธีไหน? นี่เป็นวิธีที่พระเจ้าทรงจัดการบุคคลใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) วิธีที่พระเจ้าทรงจัดการบุคคลใดๆ ไม่ใช่แค่การฆ่าพวกเขาโดยการตัดศีรษะและก็จบเท่านั้น มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ความต่อเนื่องและความมั่นคงแน่นอนในวิธีที่พระเจ้าจัดการมวลมนุษย์ ตั้งแต่เวลาที่ดวงจิตกลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ จนถึงเวลาที่ดวงจิตนั้นกลับคืนสู่โลกฝ่ายวิญญาณหลังจากสิ้นสุดชีวิตทางกายภาพของบุคคลนั้น ไม่ว่าจะเป็นไปตามครรลองใด ไม่ว่าจะในโลกฝ่ายวิญญาณหรือในโลกวัตถุ นั่นจะต้องอยู่ภายใต้การจัดการของพระเจ้า ในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรางวัลหรือการลงโทษก็ขึ้นอยู่กับกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า และยังมีกฎเกณฑ์ของสวรรค์ นี่หมายความว่าวิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อบุคคลผู้หนึ่งขึ้นอยู่กับโชคชะตาของชีวิตทั้งหมดที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ให้แต่ละบุคคล หลังจากโชคชะตาของบุคคลสิ้นสุดลง พวกเขาจะต้องได้รับการจัดการตามธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์ของสวรรค์ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้เพื่อลงโทษความชั่วและให้รางวัลความดี ถ้าบุคคลผู้นี้ได้ทำความชั่วมากมายในโลก เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องก้าวผ่านการลงโทษอย่างหนัก ถ้าบุคคลผู้นี้ไม่ได้ทำความชั่วมากนักและถึงกับได้ทำความดีไว้บ้าง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ควรได้รับรางวัล ไม่ว่าพวกเขาสามารถกลับมาเกิดใหม่ต่อไปได้หรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาจะเกิดใหม่เป็นมนุษย์หรือเดรัจฉานก็ขึ้นอยู่กับผลงานของพวกเขาในชีวิตนี้ ทำไมฉันจึงสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้? เพราะต่อท้ายคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง” มีอีกวลีหนึ่งคือ “จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” พระเจ้าทรงไม่มีวิธีการพูดหรือทำสิ่งต่างๆ เช่นนี้ที่พยายามทำให้สิ่งต่างๆ เบาบางลงอย่างไร้หลักธรรม กิจการของพระเจ้าได้รับการเปิดเผยในวิธีที่พระองค์ทรงจัดการสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งล้วนทำให้ผู้คนสามารถเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้กุมอธิปไตยเหนือโชคชะตาของมนุษย์ จัดวางเรียบเรียงและจัดแจงเตรียมการโชคชะตาของมนุษย์ แล้วจึงลงโทษความชั่วและให้รางวัลความดีตามพฤติกรรมของบุคคล ลงโทษในที่ที่สมควรลงโทษ ตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ บุคคลควรถูกลงโทษกี่ปีหรือกี่ชาติก็ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่พวกเขาทำชั่ว และโลกฝ่ายวิญญาณก็ดำเนินการนี้ตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยไม่เบี่ยงเบนแม้แต่น้อย ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้ และใครก็ตามที่ทำเช่นนั้นละเมิดกฎเกณฑ์ของสวรรค์ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ และจะถูกลงโทษโดยไม่มีข้อยกเว้น ในสายพระเนตรของพระเจ้า กฎเกณฑ์ของสวรรค์เหล่านี้ละเมิดไม่ได้ นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าบุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาได้ทำความชั่วอะไร หรือพวกเขาได้ละเมิดกฎเกณฑ์และข้อบังคับของสวรรค์ข้อใด จะถูกจัดการอย่างไม่ประนีประนอมในที่สุด ไม่เหมือนกฎหมายของโลก—ซึ่งมีการรอลงอาญา หรือใครบางคนช่วยไกล่เกลี่ย หรือผู้พิพากษาอาจทำตามอำเภอใจและใช้ความใจดีโดยเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ เพื่อที่บุคคลผู้นั้นจะไม่ถูกตัดสินว่าก่ออาชญากรรมและจะไม่ถูกลงโทษตามนั้น—นี่ไม่ใช่วิธีที่สิ่งต่างๆ ทำงานในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อชีวิตทั้งในอดีตและปัจจุบันของสรรพสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างเข้มงวดตามธรรมบัญญัติที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ กล่าวคือกฎเกณฑ์ของสวรรค์ ไม่สำคัญว่าการฝ่าฝืนของบุคคลจะร้ายแรงหรือไม่สำคัญเพียงใด หรือความดีของพวกเขาจะยิ่งใหญ่หรือไม่สำคัญแค่ไหน และไม่สำคัญว่าการฝ่าฝืนหรือความดีของบุคคลนั้นมีมานานแค่ไหน หรือเกิดขึ้นนานแค่ไหน ไม่มีสิ่งไหนเปลี่ยนแปลงวิธีที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างทรงปฏิบัติต่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น กล่าวคือ กฎเกณฑ์ของสวรรค์ที่พระเจ้าทรงทำขึ้นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นี่คือหลักธรรมเบื้องหลังกิจการของพระเจ้าและวิธีที่พระองค์ทรงทำสิ่งต่างๆ นับตั้งแต่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นและพระเจ้าเริ่มทรงพระราชกิจในหมู่พวกเขา กฤษฎีกาบริหารที่พระองค์ทรงทำขึ้น นั่นคือกฎเกณฑ์ของสวรรค์ ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นในท้ายที่สุดพระเจ้าก็จะทรงมีวิธีจัดการการฝ่าฝืน ความประพฤติดี และความประพฤติชั่วทุกประเภทของมวลมนุษย์ สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดต้องจ่ายราคาตามกำหนดสำหรับการกระทำและพฤติกรรมของตน อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างถูกพระเจ้าลงโทษเพราะไม่เชื่อฟังพระเจ้า ความประพฤติชั่วที่พวกเขาทำ และการฝ่าฝืนที่พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลัง แทนที่จะเป็นเพราะพระเจ้าทรงเต็มไปด้วยความเกลียดชังผู้คน พระเจ้าทรงไม่ใช่สมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดถูกลงโทษไม่ใช่เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างทรงเกลียดชังผู้คน แต่เพราะพวกเขาได้ละเมิดกฎเกณฑ์ของสวรรค์ ข้อบังคับ ธรรมบัญญัติ และพระบัญญัติที่พระเจ้าทรงกำหนดขึ้น และข้อเท็จจริงนี้ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ จากทัศนคตินี้ ในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีสิ่งใดเหมือน “การเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” พวกคุณอาจไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันพูดอย่างเต็มที่มากนัก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร จุดมุ่งหมายสูงสุดคือเพื่อให้พวกคุณรู้ว่าพระเจ้าทรงไม่มีความเกลียดชัง มีเพียงกฎเกณฑ์ของสวรรค์ กฤษฎีกาบริหาร ธรรมบัญญัติ พระอุปนิสัยของพระองค์ และพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์เท่านั้นที่ไม่ทนยอมรับการกระทำผิด เพราะฉะนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้าจึงไม่มีสิ่งเช่นนี้ที่ว่า “การเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” คุณไม่ควรประเมินวัดพระเจ้าตามข้อกำหนดที่จะต้องเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ และไม่ควรพินิจพิเคราะห์พระเจ้าด้วยข้อกำหนดนี้ “พินิจพิเคราะห์พระเจ้า” หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าบางครั้งเมื่อพระเจ้าทรงแสดงความกรุณาและความยอมผ่อนปรนต่อผู้คน บางคนจะพูดว่า “ดูเถิด พระเจ้าประเสริฐ พระเจ้าทรงรักผู้คน พระองค์ทรงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ พระองค์ทรงยอมผ่อนปรนต่อมนุษย์อย่างแท้จริง พระเจ้าทรงมีจิตใจที่กว้างที่สุด กว้างกว่าจิตใจของมนุษย์อย่างมาก และใหญ่กว่าจิตใจของนายกรัฐมนตรีเสียด้วยซ้ำ!” พูดแบบนั้นถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูก) ถ้าคุณสรรเสริญพระเจ้าแบบนี้ สิ่งนี้สมควรพูดหรือไม่? (ไม่ มันไม่สมควร) การพูดในลักษณะนี้ผิดและไม่สามารถใช้กับพระเจ้าได้ มนุษย์พยายามเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ เพื่อแสดงความใจกว้างและความยอมผ่อนปรนของตน และโอ้อวดว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ยอมผ่อนปรนและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมอันสูงส่ง สำหรับพระเจ้า มีความกรุณาและความยอมผ่อนปรนในเนื้อแท้ของพระเจ้า ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนเป็นเนื้อแท้ของพระเจ้า แต่เนื้อแท้ของพระเจ้าไม่ใช่อย่างเดียวกันกับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความยอมผ่อนปรนที่มนุษย์แสดงให้เห็นโดยการเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ นี่คือสองสิ่งที่แตกต่างกัน ในการเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ จุดมุ่งหมายของมนุษย์คือการทำให้ผู้คนพูดสิ่งดีๆ เกี่ยวกับตน พูดว่าพวกเขามีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความสง่างาม และพวกเขาเป็นคนดี ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเพราะแรงกดดันทางสังคมเพื่อความอยู่รอด ผู้คนเพียงแค่แสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เล็กน้อยและความใจกว้างเล็กน้อยต่อผู้อื่นเพื่อให้สัมฤทธิ์จุดมุ่งหมาย เพื่อไม่ยึดติดหรือถือปฏิบัติตามเกณฑ์กำหนดของมโนธรรม แต่เพื่อทำให้ผู้คนยอมรับนับถือและเคารพบูชาตน หรือเพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุจูงใจที่ซ่อนเร้นหรือเล่ห์กระเท่ห์บางอย่าง ไม่มีความบริสุทธิ์ในการกระทำของพวกเขา ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงทำสิ่งต่างๆ เช่นการเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ใช่หรือไม่? พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งต่างๆ เช่นนั้น ผู้คนบางคนพูดว่า “พระเจ้าไม่ทรงเมตตามนุษย์ด้วยหรือ? ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงทำเช่นนั้น พระองค์ไม่ได้กำลังทรงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้หรือ?” ไม่ใช่ มีความแตกต่างที่ตรงนี้ที่ผู้คนควรเข้าใจ อะไรคือสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจ? สิ่งนั้นคือเมื่อผู้คนใช้คำกล่าวที่ว่า “เมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” พวกเขาทำไปโดยไม่มีหลักธรรม พวกเขาทำไปเพราะพวกเขาพ่ายแพ้แรงกดดันทางสังคมและมติมหาชน และเสแสร้งว่าพวกเขาเป็นคนดี ด้วยจุดมุ่งหมายที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านี้และในขณะที่สวมหน้ากากหน้าซื่อใจคดเพื่อโอ้อวดตนว่าเป็นคนดี ผู้คนจึงทำเช่นนี้อย่างไม่เต็มใจ หรือบางทีพวกเขาอาจถูกรูปการณ์แวดล้อมบังคับ และต้องการแก้แค้นแต่ทำไม่ได้ และในสถานการณ์นี้ซึ่งไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาจึงฝืนใจยึดปฏิบัติตามหลักปรัชญาข้อนี้ มันไม่ได้มาจากการพรั่งพรูออกมาของแก่นแท้ภายในของพวกเขา ผู้คนที่สามารถทำสิ่งนี้ได้ไม่ใช่คนดีอย่างแท้จริง หรือคนที่รักสิ่งที่เป็นบวกอย่างแท้จริง ดังนั้นอะไรคือความแตกต่างระหว่างพระเจ้าที่ทรงยอมผ่อนปรนและกรุณาต่อผู้คน กับผู้คนที่นำคำกล่าวที่ว่า “เมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” มาปฏิบัติ? จงบอกเราเถิดว่ามีความแตกต่างอะไรบ้าง (มีหลักธรรมต่างๆ ในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ตัวอย่างเช่น ชาวนีนะเวห์ได้รับความยอมผ่อนปรนจากพระเจ้าหลังจากที่พวกเขากลับใจอย่างแท้จริง จากเรื่องนี้ เราสามารถมองเห็นได้ว่ากิจการของพระเจ้ามีหลักธรรม และเรายังสามารถเห็นได้ว่าในเนื้อแท้ของพระเจ้ามีความกรุณาและความยอมผ่อนปรนต่อผู้คน) พูดได้ดี มีความแตกต่างหลักอยู่สองประการที่ตรงนี้ ประเด็นที่พวกคุณเอ่ยถึงเมื่อกี้นี้สำคัญยิ่งยวด ซึ่งก็คือมีหลักธรรมในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ มีอาณาเขตและวงเขตที่ชัดเจนสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำ และอาณาเขตและวงเขตนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถเข้าใจได้ ข้อเท็จจริงก็คือมีหลักธรรมบางอย่างในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำ ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงแสดงความเมตตาต่อชาวนีนะเวห์สำหรับการฝ่าฝืนของพวกเขา เมื่อชาวนีนะเวห์ปล่อยวางความชั่วของพวกเขาและกลับใจอย่างแท้จริง พระเจ้าก็ทรงให้อภัยพวกเขาและสัญญาว่าจะไม่ทำลายเมืองนี้อีก นี่คือหลักธรรมเบื้องหลังกิจการของพระเจ้า หลักธรรมนี้สามารถเข้าใจได้อย่างไรที่ตรงนี้? นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ตามความเข้าใจและวิธีพูดของมนุษย์ สามารถกล่าวได้ว่านี่คือสิ่งสำคัญที่สุดของพระเจ้า ตราบเท่าที่ชาวนีนะเวห์ปล่อยวางความชั่วในมือของตน และเลิกใช้ชีวิตในบาปและเลิกตัดขาดจากพระเจ้าเหมือนที่เคยทำ และสามารถกลับใจต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริง การกลับใจใหม่ที่แท้จริงนี้คือสิ่งสำคัญที่สุดที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาสามารถสัมฤทธิ์การกลับใจใหม่ที่แท้จริงได้ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงเมตตาต่อพวกเขา ในทางตรงกันข้าม ถ้าพวกเขาสัมฤทธิ์การกลับใจใหม่ที่แท้จริงไม่สำเร็จ พระเจ้าจะทรงพิจารณาใหม่หรือไม่? การตัดสินใจและแผนการของพระเจ้าก่อนหน้านี้ที่จะทำลายเมืองนี้จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่? (ไม่) พระเจ้าทรงประทานทางเลือกแก่พวกเขาสองทาง ทางแรกคือไปต่อกับหนทางชั่วของตนและเผชิญหน้ากับความย่อยยับ ซึ่งในกรณีนี้เมืองทั้งเมืองจะถูกลบล้าง ทางที่สองคือปล่อยวางความชั่วของพวกเขา กลับใจอย่างแท้จริงต่อระองค์โดยสวมผ้ากระสอบและเถ้าถ่าน และสารภาพบาปของตนต่อพระองค์จากก้นบึ้งของหัวใจของตน ซึ่งในกรณีนี้พระองค์จะทรงเมตตาพวกเขา และไม่ว่าพวกเขาได้ทำชั่วอะไรมาก่อนก็ตาม หรือการทำชั่วของพวกเขารุนแรงแค่ไหนก็ตาม พระองค์จะทรงตัดสินพระทัยไม่ทำลายเมืองนี้เพราะพวกเขากลับใจ พระเจ้าประทานทางเลือกให้พวกเขาสองทาง และแทนที่จะเลือกทางเลือกแรก พวกเขาเลือกทางเลือกที่สอง—กลับใจอย่างแท้จริงต่อพระเจ้าโดยสวมผ้ากระสอบและเถ้าถ่าน ผลลัพธ์สุดท้ายคืออะไร? พวกเขาทำให้พระเจ้าทรงเปลี่ยนพระทัยของพระองค์สำเร็จ นั่นคือพิจารณาใหม่ เปลี่ยนแผนการของพระองค์ เมตตาพวกเขา และงดเว้นการทำลายเมืองนี้ นี่เป็นหลักธรรมที่พระเจ้าทรงใช้ทำงานมิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือหลักธรรมที่พระเจ้าทรงใช้ทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีจุดสำคัญยิ่งยวดอีกจุดหนึ่ง ซึ่งก็คือในเนื้อแท้ของพระเจ้ามีความรักและความกรุณา แต่แน่นอนว่ามีความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการล่วงเกินของมนุษย์ และความโกรธอีกด้วย ในกรณีการทำลายล้างเมืองนีนะเวห์ เนื้อแท้ของพระเจ้าทั้งสองแง่มุมนี้ได้รับการเปิดเผย เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นการทำชั่วของผู้คนเหล่านี้ เนื้อแท้แห่งพระพิโรธของพระเจ้าก็สำแดงตนและถูกเปิดเผย มีหลักธรรมในพระพิโรธของพระเจ้าหรือไม่? (มี) พูดง่ายๆ ก็คือหลักธรรมนี้กล่าวว่ามีพื้นฐานสำหรับพระพิโรธของพระเจ้า นี่ไม่ใช่การโกรธหรือเดือดดาลอย่างไม่เลือกหน้า อีกทั้งไม่ใช่ความรู้สึกประเภทหนึ่งด้วย ตรงกันข้ามนี่เป็นอุปนิสัยที่เกิดขึ้นและถูกเปิดเผยตามธรรมชาติภายในบริบทหนึ่ง พระพิโรธและพระบารมีของพระเจ้าไม่ยอมผ่อนปรนต่อการล่วงเกิน ในภาษาของมนุษย์ นี่หมายความว่าพระเจ้าทรงพระพิโรธและเดือดดาลเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นการทำชั่วของชาวนีนะเวห์ พูดอย่างแม่นยำแล้วก็คือพระเจ้าทรงพระพิโรธเพราะพระองค์ทรงมีด้านที่ไม่ยอมผ่อนปรนต่อการล่วงเกินของผู้คน ดังนั้นเมื่อได้เห็นการทำชั่วของผู้คน และการเกิดขึ้นและการบังเกิดสิ่งที่เป็นลบ พระเจ้าจะทรงเปิดเผยพระพิโรธของพระองค์ตามธรรมชาติ ดังนั้นถ้าพระพิโรธของพระเจ้าถูกเปิดเผย พระองค์จะทรงทำลายเมืองนี้ทันทีหรือไม่? (ไม่) นี่คือวิธีที่คุณสามารถเห็นได้ว่ามีหลักธรรมในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ นี่ไม่ใช่กรณีที่เมื่อพระเจ้าทรงพระพิโรธ พระองค์จะตรัสว่า “เรามีสิทธิอำนาจ เราจะทำลายเจ้า! ไม่ว่าสภาวะลำบากใจของเจ้าจะเป็นเช่นไร เราจะไม่ให้โอกาสเจ้า!” นั่นไม่ใช่วิธีที่มันเป็น พระเจ้าทรงทำสิ่งใด? พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ ติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ผู้คนควรตีความสิ่งเหล่านี้อย่างไร? สิ่งต่อเนื่องต่างๆ ที่พระเจ้าทรงทำล้วนเป็นไปตามพระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นตามพระพิโรธของพระองค์ล้วนๆ กล่าวคือพระพิโรธของพระเจ้าไม่ใช่ความหุนหันพลันแล่น ไม่เหมือนความหุนหันพลันแล่นของมนุษย์ที่พูดด้วยอารมณ์วู่วามว่า “ฉันมีสิทธิ ฉันจะฆ่าคุณ ฉันจะจัดการคุณ” หรือแบบที่พญานาคใหญ่สีแดงพูดว่า “ถ้าข้าจับเจ้าได้ ข้าจะฆ่าเจ้าและทุบตีเจ้าให้ตายโดยไม่มีผลสืบเนื่อง” นี่คือวิธีที่ซาตานและมารทำสิ่งต่างๆ ความหุนหันพลันแล่นมาจากซาตานและมาร ในพระพิโรธของพระเจ้าไม่มีความหุนหันพลันแล่น การไร้ซึ่งความหุนหันพลันแล่นของพระองค์สำแดงตนให้เห็นในลักษณะไหน? เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าชาวนีนะเวห์เสื่อมทรามแค่ไหน พระองค์ก็ทรงพระพิโรธและเดือดดาล แต่หลังจากที่ทรงพระพิโรธ พระองค์ไม่ได้ทรงทำลายพวกเขาโดยไม่ตรัสสักคำเนื่องจากการดำรงอยู่ของเนื้อแท้แห่งพระพิโรธของพระองค์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระองค์กลับทรงส่งโยนาห์ไปแจ้งให้ชาวเมืองนีนะเวห์รู้ถึงสิ่งที่พระองค์กำลังจะทรงทำถัดไป บอกพวกเขาว่าพระองค์จะทรงทำอะไรและทำไม เพื่อที่พวกเขาจะได้กระจ่างและให้ความหวังอันริบหรี่แก่พวกเขา ข้อเท็จจริงนี้บอกมวลมนุษย์ว่าพระพิโรธของพระเจ้าถูกเปิดเผยเนื่องจากการปรากฏของสิ่งที่เป็นลบและชั่ว แต่พระพิโรธของพระเจ้าแตกต่างจากความหุนหันพลันแล่นของมวลมนุษย์ และแตกต่างจากความรู้สึกของมนุษย์ ผู้คนบางคนพูดว่า “พระพิโรธของพระเจ้าแตกต่างจากความหุนหันพลันแล่นและความรู้สึกของมนุษย์ พระพิโรธของพระเจ้าสามารถควบคุมได้หรือ?” ไม่ คำว่าสามารถควบคุมได้ไม่ใช่คำที่ถูกต้องที่จะใช้ที่ตรงนี้ ไม่สมควรที่จะพูดแบบนี้ พูดให้ถูกก็คือมีหลักธรรมในพระพิโรธของพระเจ้า ในพระพิโรธของพระองค์ พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ ติดต่อกันอย่างต่อเนื่องซึ่งพิสูจน์เพิ่มเติมว่ามีความจริงและหลักธรรมในกิจการของพระองค์ และในเวลาเดียวกันก็ยังแจ้งให้มวลมนุษย์รู้ด้วยว่า นอกจากพระพิโรธของพระองค์แล้ว พระเจ้ายังทรงมีความกรุณาและความรักอีกด้วย เมื่อความกรุณาและความรักของพระเจ้าถูกทุ่มเทให้แก่มวลมนุษย์ มวลมนุษย์ได้รับประโยชน์อะไรบ้าง? กล่าวคือถ้าผู้คนสารภาพบาปของตนและกลับใจตามลักษณะที่พระเจ้าทรงสอน พวกเขาก็สามารถได้รับโอกาสแห่งชีวิตจากพระเจ้า และความหวังและความเป็นไปได้ในการอยู่รอด นี่หมายความว่าผู้คนสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยการอนุญาตจากพระเจ้า โดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาได้สารภาพและกลับใจอย่างแท้จริงแล้ว จากนั้นพวกเขาก็จะสามารถรับพระสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขาได้ ไม่มีหลักธรรมใดในถ้อยแถลงที่ติดต่อกันอย่างต่อเนื่องทั้งหมดนี้เลยหรือ? คุณก็เห็น ว่าเบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่างและพระราชกิจทุกประเภทที่พระเจ้าทรงทำ มีเหตุผลและความพิถีพิถันเมื่อใช้ภาษาของมนุษย์ หรือมีความจริงและหลักธรรมเมื่อใช้พระวจนะของพระเจ้า มันแตกต่างจากวิธีที่มวลมนุษย์ทำสิ่งต่างๆ และยิ่งไม่มีการปลอมปนด้วยความหุนหันพลันแล่นของมวลมนุษย์อีกด้วย ผู้คนบางคนกล่าวว่า “พระอุปนิสัยของพระเจ้าสงบและไม่หุนหันพลันแล่น!” เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่? ไม่ใช่ ไม่สามารถพูดได้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าสงบ สำรวม และไม่หุนหันพลันแล่น—นี่เป็นวิธีที่มวลมนุษย์ประเมินวัดและบรรยายสิ่งนี้ มีความจริงและหลักธรรมในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงทำอะไร สิ่งนั้นย่อมมีพื้นฐานอยู่ และพื้นฐานนี้ก็คือความจริงและเป็นพระอุปนิสัยของพระเจ้า
ในการจัดการชาวนีนะเวห์ พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ ติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง แรกที่สุด พระองค์ทรงส่งโยนาห์ไปบอกชาวนีนะเวห์ว่า “อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย!” (โยนาห์ 3:4) สี่สิบวันนานไหม? มันคือหนึ่งเดือนกับสิบวันพอดี ซึ่งเป็นเวลาที่นานทีเดียว เพียงพอสำหรับผู้คนที่จะคิดและทบทวนสักพักหนึ่ง และสัมฤทธิ์การกลับใจใหม่ที่แท้จริง ถ้าเป็นสี่ชั่วโมงหรือสี่วัน นั่นคงไม่นานพอที่จะกลับใจ แต่พระเจ้าทรงให้สี่สิบวัน ซึ่งเป็นเวลาที่ยาวนานมากและมากเกินพอ เมืองเมืองหนึ่งสามารถใหญ่โตได้แค่ไหน? โยนาห์เดินวนไปทั่วเมืองจากปลายหนึ่งไปอีกปลายหนึ่ง และแจ้งให้ทุกคนรู้ภายในไม่กี่วัน เพื่อให้ประชาชนทุกคนและทุกครัวเรือนได้รับข่าวสารนั้น สี่สิบวันนั้นมากเกินพอแล้วสำหรับการเตรียมผ้ากระสอบหรือเถ้าถ่าน และการเตรียมการอื่นๆ ที่จำเป็น คุณเห็นอะไรจากสิ่งเหล่านี้? พระเจ้าทรงให้เวลาชาวนีนะเวห์อย่างเพียงพอเพื่อให้พวกเขารู้ว่าพระองค์กำลังจะทรงทำลายเมืองของพวกเขา และให้พวกเขาตระเตรียม คิดทบทวน และตรวจสอบตนเอง ในภาษาของมนุษย์ พระเจ้าทรงทำทั้งหมดที่พระองค์ทรงสามารถทำได้และควรจะทำ ระยะเวลาสี่สิบวันนั้นเพียงพอแล้ว ตราบเท่าที่ให้ทุกคน—ตั้งแต่กษัตริย์ลงไปจนถึงประชาชนทั่วไป—มีเวลาเพียงพอที่จะคิดทบทวนและตระเตรียม ในด้านหนึ่ง จากนี่จะเห็นได้ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเพื่อผู้คนคือการแสดงให้เห็นความยอมผ่อนปรน และในอีกด้านหนึ่ง จะเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงดูแลห่วงใยผู้คนในพระทัยของพระองค์ และมีความรักที่แท้จริงต่อพวกเขา พระกรุณาและความรักของพระเจ้ามีอยู่จริง โดยไม่ต้องเสแสร้งใดๆ และพระทัยของพระองค์สัตย์ซื่อ ไม่มีการเสแสร้งใดๆ เพื่อให้ผู้คนมีโอกาสกลับใจ พระองค์จึงทรงให้เวลาพวกเขาสี่สิบวัน สี่สิบวันนั้นห่อหุ้มความยอมผ่อนปรนและความรักของพระเจ้าเอาไว้ สี่สิบวันนั้นนานเพียงพอที่จะพิสูจน์และทำให้ผู้คนเห็นอย่างเต็มที่ว่าพระเจ้าทรงห่วงใยและรักผู้คนอย่างแท้จริง และความกรุณาและความรักของพระเจ้ามีอยู่จริง โดยไม่มีการเสแสร้งใดๆ บางคนจะพูดว่า “ก่อนหน้านี้คุณไม่ได้บอกหรือว่าพระเจ้าไม่ทรงรักผู้คน แต่พระองค์ทรงเกลียดผู้คน? นั่นไม่ขัดแย้งสิ่งที่คุณพูดเมื่อกี้หรือ?” นี่ใช่ความขัดแย้งหรือไม่? (ไม่ ไม่ใช่) พระเจ้าทรงดูแลห่วงใยผู้คนในพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงมีเนื้อแท้ของความรัก นี่แตกต่างจากการพูดว่าพระเจ้าทรงรักผู้คนหรือไม่? (แตกต่าง) แตกต่างกันอย่างไร? อันที่จริงแล้วพระเจ้าทรงรักผู้คนหรือเกลียดผู้คน? (พระองค์ทรงรักผู้คน) แล้วทำไมพระเจ้าทรงยังคงสาปแช่งและตีสอนและตัดสินผู้คน? ถ้ามีบางสิ่งที่สำคัญเหลือเกินไม่ชัดเจนสำหรับพวกคุณ พวกคุณคงต้องเข้าใจผิดไปแล้ว นี่ใช่ความขัดแย้งระหว่างคุณกับพระเจ้าหรือไม่? ถ้านี่ใช่บางสิ่งที่คุณไม่ชัดเจน ก็น่าจะมีช่องว่างเกิดขึ้นระหว่างคุณกับพระเจ้ามิใช่หรือ? จงบอกเราเถิดว่าถ้าพระเจ้าทรงรักผู้คน พระเจ้าทรงเกลียดมนุษย์ด้วยหรือไม่? ความรักของพระเจ้าต่อผู้คนส่งผลต่อความเกลียดชังที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนหรือไม่? ความเกลียดชังของพระเจ้าต่อผู้คนส่งผลต่อความรักที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนหรือไม่? (ไม่) แล้วทำไมพระเจ้าจึงทรงรักผู้คน? พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยผู้คนให้รอด—นี่ไม่ใช่ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์หรือ? จะน่าเวทนาแค่ไหนถ้าพวกคุณไม่รู้เรื่องนั้น! ถ้าคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงรักผู้คน เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเรื่องน่าหัวร่อ จงบอกเราเถิดว่าความรักที่แม่มีต่อลูกมาจากไหน? (สัญชาตญาณ) ถูกต้อง ความรักของแม่มาจากสัญชาตญาณ ดังนั้นความรักนี้ขึ้นอยู่กับว่าลูกเป็นคนดีหรือชั่วหรือไม่? (ไม่ ไม่ใช่) ตัวอย่างเช่น ต่อให้ลูกซุกซนมากและบางครั้งก็ทำให้แม่รำคาญ แต่สุดท้ายเธอก็ยังคงรักเขา ทำไมเป็นอย่างนั้น? วิธีที่เธอปฏิบัติต่อลูกของเธอนี้มาจากสัญชาตญาณในบทบาทแม่ของเธอ เพราะความรักของแม่ตามสัญชาตญาณที่เธอมีนี้ ความรักที่เธอมีต่อลูกจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าลูกเป็นคนดีหรือชั่ว ผู้คนบางคนพูดว่า “ในเมื่อแม่รักลูกโดยสัญชาตญาณ ทำไมเธอยังคงตีลูก? ทำไมเธอถึงยังคงเกลียดชังเขา? ทำไมบางครั้งเธอถึงยังคงโกรธและดุเขา? แล้วทำไมบางครั้งเธอถึงโกรธมากเสียจนเธอไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว? คุณไม่ได้พูดหรือว่าแม่มีความรัก และเธอรักลูกของเธอ? ดังนั้นเธอสามารถไร้ใจขนาดนี้ได้อย่างไร?” นี่ใช่ความขัดแย้งหรือไม่? ไม่ นี่ไม่ใช่ความขัดแย้ง วิธีที่แม่ปฏิบัติต่อลูกขึ้นอยู่กับท่าทีที่ลูกมีต่อแม่และพฤติกรรมของลูก แต่ไม่ว่าเธอปฏิบัติต่อลูกอย่างไร ต่อให้เธอตีเขาและเกลียดชังเขา นี่ก็ไม่ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของความรักของแม่ที่เธอมี ในทำนองเดียวกัน ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนมาจากอะไร? (พระเจ้าทรงมีเนื้อแท้ของความรัก) ถูกต้อง ในที่สุดคุณก็ทำให้มันชัดเจนแล้ว ประเด็นสำคัญที่ตรงนี้คือพระเจ้าทรงมีเนื้อแท้ของความรัก เหตุผลที่พระเจ้าทรงรักและดูแลห่วงใยผู้คนก็คือในด้านหนึ่ง พระเจ้าทรงมีเนื้อแท้ของความรัก ภายในความรักนี้มีความกรุณา ความเมตตา ความยอมผ่อนปรน และความอดทน แน่นอนว่ายังมีการสำแดงความเป็นห่วง และบางครั้งก็มีความกังวลและความโศกเศร้า เป็นต้น ทั้งหมดนี้ถูกเนื้อแท้ของพระเจ้ากำหนด นี่คือการมองเรื่องนี้จากทัศนคติส่วนตัว จากทัศนคติที่เป็นกลาง มนุษย์ถูกพระเจ้าทรงสร้าง เหมือนการที่เด็กเกิดจากแม่ของเขาไม่มีผิด และแม่ก็ดูแลห่วงใยเขาเป็นธรรมดา และมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ตัดไม่ขาดระหว่างพวกเขา แม้ว่ามนุษย์และพระเจ้าไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเหล่านี้ แต่ก็อย่างที่มนุษย์กล่าวไว้ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ และพระองค์ทรงดูแลห่วงใยพวกเขาและรู้สึกถึงความรักใคร่เอ็นดูต่อพวกเขา พระเจ้าทรงต้องการให้มนุษย์เป็นคนดีและเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง แต่การได้เห็นพวกเขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เดินในเส้นทางของความชั่ว และทนทุกข์ ทำให้พระเจ้าทรงโศกเศร้าและปวดร้าว นี่เป็นเรื่องปกติใช่หรือไม่? พระเจ้าทรงมีปฏิกิริยา ความรู้สึก และการสำแดงเหล่านี้ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเนื้อแท้ของพระเจ้า และไม่สามารถแยกออกจากสัมพันธภาพที่ก่อร่างขึ้นโดยการสร้างมนุษย์ของพระเจ้า เหล่านี้ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นกลาง ผู้คนบางคนพูดว่า “ในเมื่อเนื้อแท้ของพระเจ้ามีความรัก ทำไมพระเจ้าจึงทรงยังคงเกลียดชังผู้คน? พระเจ้าไม่ทรงดูแลห่วงใยผู้คนหรือ? ทำไมพระองค์ถึงทรงยังคงเกลียดชังพวกเขา?” นอกจากนี้ยังมีข้อเท็จจริงที่เป็นกลางที่ตรงนี้ ซึ่งก็คืออุปนิสัย แก่นแท้ และแง่มุมอื่นๆ ของผู้คนเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้าและความจริง ดังนั้นสิ่งที่ผู้คนสำแดงให้เห็นและเปิดเผยเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทำให้พระองค์ทรงขัดเคืองและน่าชิงชังสำหรับพระองค์ เมื่อเวลาผ่านไป อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ บาปของพวกเขาร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาไม่ยอมอ่อนข้ออย่างที่สุด ไม่รู้สึกผิดอย่างแน่วแน่ และไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย พวกเขาไม่ลงรอยกับพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นความเกลียดชังของพระองค์จึงปะทุขึ้น ดังนั้นความเกลียดชังของพระเจ้ามาจากไหน? ทำไมมันถึงเกิดขึ้น? มันเกิดขึ้นเพราะพระอุปนิสัยของพระเจ้าชอบธรรมและศักดิ์สิทธิ์ และความเกลียดของพระเจ้าถูกเนื้อแท้ของพระองค์กระตุ้น พระเจ้าทรงชิงชังความชั่ว รังเกียจสิ่งที่เป็นลบ และเกลียดกำลังบังคับที่ชั่วร้ายและสิ่งที่ชั่ว เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงเกลียดเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้ ดังนั้นความรักและความเกลียดชังที่พระเจ้าทรงเปิดเผยต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างจึงปกติและถูกเนื้อแท้ของพระองค์กำหนด ไม่มีความขัดแย้งเลย ผู้คนบางคนถามว่า “อันที่จริงแล้วพระเจ้าทรงรักหรือเกลียดชังผู้คน?” คุณจะตอบคำถามนี้ว่าอย่างไร? (มันขึ้นอยู่กับท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า หรือการที่ผู้คนกลับใจอย่างแท้จริงแล้วหรือไม่) โดยพื้นฐานแล้วนี่เป็นเรื่องจริง แต่ไม่ถูกต้องแม่นยำนัก ทำไมถึงไม่ถูกต้องแม่นยำ? พวกคุณคิดว่าพระเจ้าทรงจำเป็นต้องรักผู้คนหรือ? (ไม่ใช่) พระวจนะของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์และพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำในผู้คนเป็นการสำแดงพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระเจ้าตามธรรมชาติ พระเจ้าทรงมีหลักธรรมของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องรักผู้คน แต่พระองค์ก็ไม่ทรงจำเป็นต้องเกลียดชังผู้คนเช่นกัน สิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนทำคือการไล่ตามเสาะหาความจริง ทำตามหนทางของพระองค์ และวางตัวและปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องรักผู้คน แต่พระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องเกลียดชังผู้คนเช่นกัน นี่เป็นข้อเท็จจริง และผู้คนต้องเข้าใจมัน เมื่อกี้พวกคุณพูดว่าพระเจ้าทรงรักหรือเกลียดชังผู้คนตามพฤติกรรมของพวกเขา ทำไมการพูดแบบนี้ถึงไม่ถูกต้องแม่นยำ? พระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องรักคุณ และพระองค์ก็ไม่ทรงจำเป็นต้องเกลียดชังคุณด้วย พระเจ้าอาจถึงกับทรงเพิกเฉยต่อคุณ ไม่ว่าคุณจะไล่ตามเสาะหาความจริง และวางตัวและปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ หรือคุณไม่ยอมรับความจริง และถึงกับไม่เชื่อฟังและต้านทานพระเจ้าหรือไม่ ในที่สุดแล้วพระองค์ก็จะทรงชดใช้ทุกคนตามสิ่งที่พวกเขาได้ทำ คนที่ทำดีจะได้รับรางวัล ส่วนคนที่ทำชั่วจะถูกลงโทษ นี่เรียกว่าการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างยุติธรรมและเท่าเทียม กล่าวคือในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง คุณไม่มีเหตุผลที่จะเรียกร้องให้พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อคุณอย่างไร เมื่อคุณปฏิบัติต่อพระเจ้าและความจริงด้วยการถวิลหา และไล่ตามเสาะหาความจริง คุณคิดว่าพระองค์ทรงต้องรักคุณ แต่ถ้าพระเจ้าทรงเพิกเฉยต่อคุณและไม่รักคุณ คุณก็รู้สึกว่าพระองค์ไม่ทรงใช่พระเจ้า หรือเมื่อคุณไม่เชื่อฟังพระเจ้า คุณก็คิดว่าพระองค์ทรงต้องเกลียดชังคุณและลงโทษคุณ แต่ถ้าพระองค์ทรงเพิกเฉยต่อคุณ คุณก็จะรู้สึกว่าพระองค์ไม่ทรงใช่พระเจ้า ถูกต้องไหมที่คิดแบบนี้? (ไม่ ไม่ถูกต้อง) สัมพันธภาพระหว่างผู้คน เช่น สัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่กับลูกหลาน สามารถประเมินค่าได้ด้วยวิธีนี้—กล่าวคือความรักหรือความเกลียดชังที่พ่อแม่มีต่อลูกหลานบางครั้งขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของลูกหลาน—แต่สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าไม่สามารถประเมินค่าได้ด้วยวิธีนี้ สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเป็นสัมพันธภาพระหว่างสิ่งที่ทรงสร้างกับพระผู้สร้าง และไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแต่อย่างใด นี่เป็นสัมพันธภาพระหว่างสิ่งที่ทรงสร้างกับพระผู้สร้างเท่านั้น เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงไม่สามารถเรียกร้องให้พระเจ้าทรงรักพวกเขา หรือประกาศว่าพระองค์ทรงยืนที่ไหนกับพวกเขา เหล่านี้เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผล ทัศนะประเภทนี้ผิดและไม่ถูกต้อง ผู้คนไม่สามารถเรียกร้องเช่นนี้ได้ ดังนั้นเมื่อมองดูเรื่องนี้ในตอนนี้ อันที่จริงแล้วมนุษย์มีความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับความรักของพระเจ้าหรือไม่? ความเข้าใจก่อนหน้านี้ของพวกเขาไม่ถูกต้องแม่นยำใช่หรือไม่? (ใช่) มีหลักธรรมในการที่พระเจ้าทรงรักหรือเกลียดชังผู้คน ถ้าพฤติกรรมหรือการไล่ตามเสาะหาของมนุษย์สอดคล้องกับความจริงและเป็นที่ชื่นชอบของพระเจ้า พระองค์ก็ทรงเห็นชอบสิ่งนั้น อย่างไรก็ตาม ผู้คนมีแก่นแท้ที่เสื่อมทรามและสามารถเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความปรารถนาที่พวกเขาคิดว่าถูกต้องหรือที่พวกเขาชอบ นั่นคือบางสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชังและไม่ทรงเห็นชอบ แต่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผู้คนคิด—ซึ่งก็คือพระเจ้าจะทรงโปรยปรายรางวัลแก่ผู้คนทุกครั้งที่พระองค์ทรงเห็นชอบกับพวกเขา หรือบ่มวินัยและลงโทษผู้คนทุกครั้งที่พระองค์ไม่ทรงเห็นชอบ—หาเป็นเช่นนี้ไม่ มีหลักธรรมในกิจการของพระเจ้า นี่พูดถึงเนื้อแท้ของพระเจ้า และผู้คนต้องเข้าใจสิ่งนี้ในลักษณะนี้
เมื่อกี้ฉันตั้งคำถามและสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมแห่งกิจการของพระเจ้าและเนื้อแท้ของพระเจ้า อะไรคือคำถามที่ฉันเพิ่งถามไป? (พระเจ้าเพียงตรัสถามถึงความแตกต่างระหว่างความยอมผ่อนปรนและความกรุณาของพระองค์สำหรับผู้คนกับการปฏิบัติของมนุษย์ในการเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ หลังจากนั้น คุณสามัคคีธรรมว่าพระเจ้าไม่ทรงกระทำการตามปรัชญาสำหรับการดำรงชีวิตนี้ พระเจ้าทรงจัดการการฝ่าฝืนของผู้คนตามแง่มุมสองประการเป็นหลัก ในด้านหนึ่ง มีหลักธรรมในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ และในอีกด้านหนึ่ง ในเนื้อแท้ของพระเจ้ามีทั้งความกรุณาและพระพิโรธ) อันที่จริงนั่นเป็นวิธีที่ถูกต้องในการเข้าใจเรื่องนี้ หลักธรรมของพระเจ้าสำหรับทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้เป็นไปตามเนื้อแท้ของพระองค์และพระอุปนิสัยของพระองค์ และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับการเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ ซึ่งเป็นปรัชญาสำหรับการดำรงชีวิตที่มวลมนุษย์ปฏิบัติตาม การกระทำของผู้คนเป็นไปตามปรัชญาของซาตาน และถูกอุปนิสัยของซาตานปกครอง กิจการของพระเจ้าคือการสำแดงพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์ ในเนื้อแท้ของพระเจ้ามีความรัก ความกรุณา และแน่นอน ความเกลียดชัง ดังนั้นตอนนี้คุณเข้าใจหรือยังว่าอะไรคือท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อการทำชั่วของมนุษย์ และการไม่เชื่อฟังและการทรยศในรูปแบบต่างๆ ของมนุษย์? อะไรคือพื้นฐานของท่าทีของพระเจ้า? ท่าทีนี้ถูกเนื้อแท้ของพระองค์สร้างขึ้นหรือ? (ใช่) ในเนื้อแท้ของพระเจ้ามีความกรุณา ความรัก และพระพิโรธ เนื้อแท้ของพระเจ้าคือความชอบธรรม และจากเนื้อแท้นี้เองที่หลักธรรมแห่งกิจการของพระเจ้าเกิดขึ้นมา ดังนั้นอะไรคือหลักธรรมแห่งกิจการของพระเจ้ากันแน่? ประทานความกรุณาอย่างท่วมท้น และระบายพระพิโรธอย่างลึกล้ำ นี่ไม่เกี่ยวข้องโดยเด็ดขาดกับการเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ ซึ่งถูกปฏิบัติในหมู่มนุษย์ และมีรูปลักษณ์ของการเป็นหลักปรัชญาที่สูงส่งมาก แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า นี่ไม่ควรค่าที่จะเอ่ยถึง ในฐานะผู้เชื่อ ในด้านหนึ่ง คุณไม่สามารถตัดสินเนื้อแท้ กิจการ และหลักธรรมแห่งกิจการของพระองค์ตามหลักปรัชญานี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น จากมุมมองของตนเอง ผู้คนไม่ควรยึดตามปรัชญาสำหรับการดำรงชีวิตนี้ พวกเขาควรมีหลักธรรมสำหรับวิธีเลือกเมื่อสิ่งต่างๆ บังเกิดแก่ตนและวิธีจัดการสิ่งเหล่านี้ อะไรคือหลักธรรมนี้? ผู้คนไม่มีเนื้อแท้ของพระเจ้า และแน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยหลักธรรมที่ชัดเจนเหมือนที่พระเจ้าทรงทำ หรือยืนขึ้นสูงและแจกจ่ายโอกาส และเมตตาต่อทุกคน ผู้คนไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เช่นนั้นแล้วคุณควรทำอย่างไรเมื่อเผชิญกับสิ่งที่รบกวนคุณ ทำร้ายคุณ หรือดูหมิ่นศักดิ์ศรี บุคลิกลักษณะของคุณ หรือแม้แต่ทำร้ายหัวใจและดวงจิตของคุณ? ถ้าคุณยึดตามคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” เช่นนั้นแล้วคุณพยายามทำให้สิ่งต่างๆ บรรเทาลงโดยไม่คำนึงถึงหลักธรรม และเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่น และคุณรู้สึกว่าการเอาตัวรอดในโลกนี้ไม่ง่าย และรู้สึกว่าคุณไม่สามารถสร้างศัตรูได้และต้องพยายามล่วงเกินผู้คนน้อยลงหรือไม่ล่วงเกินเลย และเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ ตัดสินใจไม่ถูกในทุกโอกาส เดินสายกลาง ไม่พาตนเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายใดๆ และเรียนรู้ที่จะปกป้องตนเอง นี่คือปรัชญาสำหรับการดำรงชีวิตมิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือปรัชญาสำหรับการดำรงชีวิตมากกว่าจะเป็นหลักธรรมที่พระเจ้าทรงสอนมวลมนุษย์ ดังนั้นอะไรคือหลักธรรมที่พระเจ้าทรงสอนผู้คน? การไล่ตามเสาะหาความจริงถูกนิยามไว้อย่างไร? คือการมองดูผู้คนและสิ่งต่างๆ การวางตัวและการปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างเต็มที่ โดยมีความจริงเป็นเกณฑ์กำหนด ถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้นซึ่งกระตุ้นความเกลียดชังของคุณ คุณจะมองดูสิ่งนี้อย่างไร? คุณจะมองดูสิ่งนี้บนพื้นฐานอะไร? (บนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า) ถูกต้อง ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะมองดูสิ่งเหล่านี้ตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร เช่นนั้นแล้วคุณก็เพียงแค่สามารถเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ สะกดกลั้นความขุ่นเคืองของคุณ รอมชอมและรอคอยจังหวะเหมาะพร้อมกับแสวงหาโอกาสที่จะตอบโต้—นี่คือเส้นทางที่คุณจะใช้ ถ้าคุณต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงคุณต้องมองดูผู้คนและสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า พลางถามตนเองว่า “ทำไมบุคคลผู้นี้จึงปฏิบัติต่อฉันแบบนี้? สิ่งนี้เกิดขึ้นกับฉันได้อย่างไร? ทำไมจึงมีจุดจบเช่นนี้ได้?” สิ่งเหล่านี้ควรถูกมองดูตามพระวจนะของพระเจ้า สิ่งแรกที่ต้องทำคือสามารถยอมรับเรื่องนี้จากพระเจ้า และยอมรับอย่างแข็งขันว่าเรื่องนี้มาจากพระเจ้า และเป็นบางสิ่งที่เอื้ออำนวยและเป็นประโยชน์ต่อคุณ เพื่อยอมรับเรื่องนี้จากพระเจ้า ก่อนอื่นคุณต้องมองว่าเรื่องนี้ถูกพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและกำกับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ทั้งหมดที่คุณรู้สึกได้ ทั้งหมดที่คุณมองเห็นได้ ทั้งหมดที่คุณได้ยินได้ฟัง—ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยการอนุญาตของพระเจ้า หลังจากที่คุณยอมรับเรื่องนี้จากพระเจ้า จงประเมินวัดเรื่องนี้กับพระวจนะของพระเจ้า และหาให้พบว่าใครก็ตามที่ทำสิ่งนี้เป็นบุคคลประเภทไหน และอะไรคือแก่นแท้ของเรื่องนี้ ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดหรือทำได้ทำร้ายคุณหรือไม่ ไม่ว่าความรู้สึกของคุณถูกกระทบกระเทือนหรือไม่ หรือไม่ว่าบุคลิกลักษณะของคุณถูกเหยียบย่ำหรือไม่ ก่อนอื่นจงมองดูว่าบุคคลผู้นั้นเป็นคนเลวหรือคนธรรมดาสามัญที่เสื่อมทราม วินิจฉัยพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาเป็นตามพระวจนะของพระเจ้าเสียก่อน แล้วจึงวินิจฉัยและปฏิบัติต่อเรื่องนี้ตามพระวจนะของพระเจ้า เหล่านี้คือขั้นตอนที่ถูกต้องที่ต้องทำมิใช่หรือ? (ใช่) ก่อนอื่นจงยอมรับเรื่องนี้จากพระเจ้า และมองดูผู้คนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ตามพระวจนะของพระองค์ เพื่อกำหนดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิงธรรมดาสามัญ คนเลว ศัตรูของพระคริสต์ ผู้ปราศจากความเชื่อ วิญญาณชั่ว ปีศาจสกปรก หรือสายลับของพญานาคใหญ่สีแดง และสิ่งที่พวกเขาทำคือการแสดงความเสื่อมทรามโดยทั่วไป หรือเป็นความประพฤติชั่วที่จงใจก่อกวนและชะงัก ทั้งหมดนี้ควรกำหนดโดยการเปรียบเทียบกับพระวจนะของพระเจ้า การประเมินวัดสิ่งต่างๆ กับพระวจนะของพระเจ้าเป็นวิธีที่ถูกต้องแม่นยำและเป็นกลางที่สุด ผู้คนควรถูกบอกความแตกต่าง และเรื่องต่างๆ ควรถูกจัดการตามพระวจนะของพระเจ้า คุณควรไตร่ตรองว่า “เหตุการณ์นี้ทำร้ายความรู้สึกของฉันอย่างมาก และทิ้งเงามืดไว้เหนือตัวฉัน แต่การเกิดเหตุการณ์นี้ได้ทำอะไรเพื่อเสริมสร้างฉันในการเข้าสู่ชีวิต? อะไรคือน้ำพระทัยของพระเจ้า?” นี่นำคุณไปสู่ประเด็นสำคัญของเรื่องซึ่งคุณควรคิดออกและเข้าใจ—นี่คือการเดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง คุณต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยคิดว่า “เหตุการณ์นี้ทำให้หัวใจและดวงจิตของฉันบอบช้ำ ฉันรู้สึกปวดร้าวและเจ็บปวด แต่ฉันไม่สามารถคิดลบและน่าตำหนิได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการวินิจฉัย บอกความแตกต่าง และตัดสินใจว่าเหตุการณ์นี้เป็นประโยชน์ต่อฉันจริงๆ หรือไม่ ตามพระวจนะของพระเจ้า ถ้านี่มาจากการบ่มวินัยของพระเจ้า และเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของฉันและความเข้าใจในตนเองของฉัน เช่นนั้นแล้วฉันควรยอมรับและนบนอบสิ่งนั้น ถ้าสิ่งนั้นเป็นการทดลองจากซาตาน เช่นนั้นแล้วฉันก็ควรอธิษฐานต่อพระเจ้าและปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างมีปัญญา” การแสวงหาและการขบคิดแบบนี้คือการเข้าสู่ที่เป็นบวกหรือไม่? นี่คือการมองผู้คนและสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้าใช่หรือไม่? (ใช่) ประการต่อมา ไม่ว่าคุณกำลังจัดการเรื่องอะไรก็ตาม หรือมีปัญหาอะไรก็ตามเกิดขึ้นในการคบค้าสมาคมของคุณกับผู้คน คุณควรมองหาพระวจนะของพระเจ้าที่เข้าประเด็นเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น อะไรคือจุดประสงค์ของการกระทำติดต่อกันอย่างต่อเนื่องทั้งหมดนี้? จุดประสงค์ก็คือเพื่อมองผู้คนและสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้มุมมองและจุดยืนของคุณเกี่ยวกับผู้คนและสิ่งทั้งหลายต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง จุดประสงค์มิใช่เพื่อให้ได้รับชื่อเสียงที่ดีและรักษาหน้าให้ได้รับการเคารพอย่างสูง หรือเพื่อก่อให้เกิดความปรองดองในประเทศและสังคม และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชนชั้นปกครองพึงพอใจ แต่เพื่อใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ส่งผลให้พระเจ้าพึงพอพระมัยและถวายพระสิริแด่พระผู้สร้าง โดยการปฏิบัติในหนทางนี้เท่านั้น คุณจึงจะสามารถเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิม คุณไม่จำเป็นต้องไตร่ตรองว่า “เมื่อเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นกับฉัน ฉันก็ไม่ควรนำคำกล่าวที่ว่า ‘การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้’ ไปปฏิบัติใช่หรือไม่? ถ้าฉันทำเช่นนั้นไม่ได้ แล้วมติมหาชนจะคิดอย่างไรกับฉัน?” คุณไม่จำเป็นต้องใช้หลักปรัชญาทางศีลธรรมเหล่านี้เพื่อบังคับใจและควบคุมตนเอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้นคุณควรเลือกใช้มุมมองของใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และปฏิบัติต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ ตามวิธีที่พระเจ้าตรัสบอกคุณให้ไล่ตามเสาะหาความจริง นี่คือรูปแบบการดำรงอยู่ที่ใหม่ทั้งหมดมิใช่หรือ? นี่คือทัศนะชีวิตและจุดหมายชีวิตที่ใหม่ทั้งหมดมิใช่หรือ? (ใช่) เมื่อคุณเลือกใช้วิธีนี้มองผู้คนและสิ่งต่างๆ คุณก็ไม่จำเป็นต้องจงใจบอกตัวเองว่า “ฉันต้องทำสิ่งนี้หรือไม่ก็สิ่งนั้นถ้าฉันต้องการที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และได้มีที่ยืนในหมู่ผู้คน” คุณไม่จำเป็นต้องเข้มงวดกับตัวเองมากนัก คุณไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตตรงกันข้ามกับเจตจำนงของตนเอง และสภาวะความเป็นมนุษย์ของคุณไม่จำเป็นต้องถูกบิดเบือนมากนัก แทนที่จะเป็นเช่นนั้นคุณจะยอมรับสภาพแวดล้อม ผู้คน เรื่อง และสิ่งต่างๆ เหล่านี้ซึ่งมาจากพระเจ้าอย่างเป็นธรรมชาติและอย่างเต็มใจ ไม่เพียงเท่านั้นแต่คุณยังสามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรที่คาดไม่ถึงจากสิ่งเหล่านี้ได้อีกด้วย ในการจัดการสิ่งเหล่านี้ที่กระตุ้นคุณให้เกลียดชัง คุณจะได้เรียนรู้ที่จะวินิจฉัยผู้คนในสิ่งที่พวกเขาเป็นจริงๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า และวินิจฉัยและจัดการสิ่งเหล่านี้ตามพระวจนะของพระเจ้า หลังจากก้าวผ่านประสบการณ์ การเผชิญหน้า และการดิ้นรนต่อสู้มาระยะหนึ่ง คุณจะได้พบหลักธรรมความจริงสำหรับจัดการสิ่งเหล่านี้ และเรียนรู้ว่าจะใช้หลักธรรมความจริงประเภทใดเวลาจัดการผู้คน เรื่อง และสิ่งต่างๆ เหล่านี้ นี่คือการเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องมิใช่หรือ? ด้วยวิธีนี้ สภาวะความเป็นมนุษย์ของคุณจะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น เพราะว่าคุณเดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นคือคุณไม่ได้ดำเนินชีวิตตามมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์ของคุณจริงๆ อีกต่อไป และเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น คุณไม่มองสิ่งเหล่านั้นด้วยการขบคิดและมุมมองตามมโนธรรมและเหตุผลเท่านั้น แต่ในทางกลับกันเป็นเพราะคุณได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมาย และมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าจริงๆ คุณเข้าใจความจริงบางประการ และได้รับความเข้าใจที่เป็นจริงบางประการเกี่ยวกับพระเจ้า—พระผู้สร้าง นี่เป็นการเก็บเกี่ยวพืชผลที่อุดมสมบูรณ์อย่างแน่นอน ซึ่งคุณจะได้รับทั้งความจริงและชีวิตจากสิ่งนี้ ตามมโนธรรมและเหตุผลของคุณ คุณจะได้เรียนรู้ที่จะใช้พระวจนะของพระเจ้าและความจริงเพื่อเผชิญหน้าและแก้ไขปัญหาทั้งหมดที่คุณเผชิญ และค่อยๆ มาใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า มนุษย์เช่นนี้เป็นเหมือนอะไร? พวกเขาเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่? มนุษย์เช่นนี้เข้าใกล้การกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติพอที่พระเจ้าทรงประสงค์มากขึ้นเรื่อยๆ และในการทำเช่นนั้นจะค่อยๆ สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้า เมื่อผู้คนสามารถยอมรับความจริงและใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า การใช้ชีวิตแบบนี้ก็จะง่ายดายเสียเหลือเกิน โดยไม่ปวดร้าวแม้แต่น้อย แต่สำหรับผู้คนที่ได้รับการศึกษาด้านวัฒนธรรมดั้งเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำตรงข้ามกับเจตจำนงของตนเหลือเกิน หน้าซื่อใจคดเหลือเกิน และสิ่งต่างๆ ที่สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเปิดเผยก็บิดเบี้ยวและผิดปกติเหลือเกิน ทำไมเป็นเช่นนี้? เพราะพวกเขาไม่พูดสิ่งที่ตนคิด ริมฝีปากของพวกเขาพูดว่า “จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” แต่หัวใจของพวกเขาพูดว่า “ฉันยังไม่เสร็จธุระกับคุณ ไม่เคยสายเกินไปสำหรับสุภาพบุรุษที่จะแก้แค้น”—นี่ตรงข้ามกับเจตจำนงของพวกเขาเองมิใช่หรือ? (ใช่) “บิดเบี้ยว” หมายความว่าอะไร? หมายความว่าภายนอกพวกเขาไม่พูดคุยถึงสิ่งใดนอกจากความเมตตากรุณาและหลักศีลธรรม แต่ลับหลังผู้อื่นพวกเขาทำสิ่งที่เลวทุกรูปแบบ เช่น การล่วงประเวณีและการฉกชิงทรัพย์ การพูดคุยภายนอกเกี่ยวกับความเมตตากรุณาและหลักศีลธรรมทั้งหมดนี้เป็นเพียงหน้ากาก และหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความชั่วทุกประเภท แนวคิดและมุมมองที่น่ารังเกียจทุกรูปแบบ นี่สกปรกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ น่ารังเกียจเหลือเกิน มีจิตใจต่ำ และน่าละอาย นี่คือสิ่งที่บิดเบี้ยวหมายถึง ในภาษาสมัยใหม่ การบิดเบี้ยวเรียกว่าความผิดประหลาด พวกเขาทั้งหมดผิดประหลาดยิ่งนัก แต่ก็ยังคงเสแสร้งทำเป็นว่าน่านับถือ เชี่ยวชาญเรื่องทางโลก เป็นสุภาพบุรุษ และมีเกียรติต่อหน้าผู้อื่น พวกเขาไม่มีความละอายเลยจริงๆ พวกเขาชั่วเหลือเกิน! เส้นทางที่พระเจ้าทรงชี้ให้ผู้คนเห็นไม่ใช่เพื่อทำให้คุณใช้ชีวิตเช่นนี้ แต่เพื่อทำให้คุณสามารถปฏิบัติตามหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้องซึ่งพระเจ้าได้ชี้ให้ผู้คนเห็นในสิ่งใดก็ตามที่คุณทำ ไม่ว่าจะเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือต่อหน้าคนอื่นๆ ต่อให้คุณเผชิญกับสิ่งที่ทำให้ผลประโยชน์ของคุณเสียหาย หรือที่คุณไม่เป็นชอบ หรือที่ถึงกับมีผลกระทบต่อคุณตลอดชีวิต คุณก็ต้องมีหลักธรรมในการจัดการเรื่องเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น คุณต้องปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงจริงๆ ด้วยความรัก และเรียนรู้ที่จะยอมผ่อนปรน ช่วยเหลือ และสนับสนุนพวกเขา ดังนั้นคุณควรทำอย่างไรกับศัตรูของพระเจ้า ศัตรูของพระคริสต์ คนเลวและผู้ปราศจากความเชื่อ หรือสายลับและสายสืบที่แทรกซึมเข้าไปในคริสตจักร? คุณควรปฏิเสธพวกเขาอย่างถาวร กระบวนการนี้เป็นกระบวนการระบุชี้และเปิดโปง รู้สึกเกลียดชัง และปฏิเสธในที่สุด พระนิเวศของพระเจ้ามีกฤษฎีกาและข้อบังคับด้านบริหาร เมื่อเป็นเรื่องของศัตรูของพระคริสต์ คนเลว ผู้ปราศจากความเชื่อ และผู้ที่เป็นจำพวกเดียวกันกับมาร ซาตาน และวิญญาณชั่ว พวกเขาไม่เต็มใจให้การปรนนิบัติ ดังนั้นจงตัดพวกเขาออกไปจากพระนิเวศของพระเจ้าตลอดกาล เช่นนั้นแล้วประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร? (ปฏิเสธพวกเขา) ถูกต้อง คุณควรปฏิเสธพวกเขา ปฏิเสธพวกเขาตลอดกาล ผู้คนบางคนพูดว่า “การปฏิเสธไม่ใช่แค่คำพูดคำหนึ่ง สมมุติว่าคุณปฏิเสธพวกเขาในทางทฤษฎี เช่นนั้นแล้วคุณจะทำสิ่งนี้จริงๆ ในชีวิตจริงอย่างไร?” การต่อต้านพวกเขาอย่างไม่ยอมผ่อนปรนใช้ได้หรือไม่? ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวคุณเองเหนื่อยเปล่าๆ เช่นนั้น คุณไม่จำเป็นต้องต่อต้านพวกเขาอย่างไม่ยอมผ่อนปรน คุณไม่จำเป็นต้องต่อสู้พวกเขาจนตาย และคุณไม่จำเป็นต้องสาปแช่งพวกเขาลับหลัง คุณไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเหล่านี้แต่อย่างใด แค่แยกตนเองจากสิ่งเหล่านั้นลึกลงไปในหัวใจของคุณ และไม่ติดต่อกับพวกเขาภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่ปกติ ในรูปการณ์แวดล้อมพิเศษและเมื่อคุณไม่มีทางเลือกอื่น คุณสามารถพูดคุยกับพวกเขาได้ตามปกติ แต่หลบพวกเขาให้พ้นทันทีที่มีโอกาส และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจธุระใดๆ ของพวกเขา นี่หมายถึงการปฏิเสธพวกเขาจากก้นบึ้งของหัวใจของคุณ ไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนพี่น้องชายหญิงหรือสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า และไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะผู้เชื่อ สำหรับผู้ที่เกลียดชังพระเจ้าและความจริง ผู้ที่จงใจรบกวนและชะงักพระราชกิจของพระเจ้า หรือผู้ที่พยายามทำลายพระราชกิจของพระเจ้า คุณไม่เพียงต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าให้สาปแช่งพวกเขาเท่านั้น แต่ยังต้องมัดและเหนี่ยวรั้งพวกเขาไว้ตลอดกาล และปฏิเสธพวกเขาอย่างถาวรอีกด้วย การทำเช่นนี้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่? นี่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ การจัดการผู้คนเหล่านี้จำเป็นต้องยืนหยัดและมีหลักธรรม การยืนหยัดและการมีหลักธรรมหมายถึงอะไร? หมายถึงการมองเห็นแก่นแท้ของพวกเขาอย่างชัดเจน ไม่มองพวกเขาเป็นผู้เชื่ออย่างเด็ดขาด และไม่มองพวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิงโดยสิ้นเชิง พวกเขาเป็นมาร พวกเขาเป็นซาตาน นี่ไม่ใช่เรื่องของการให้อภัยหรือไม่ให้อภัยพวกเขา แต่เป็นการแยกตัวคุณเองออกมาและปฏิเสธพวกเขาอย่างถาวร นี่มีความชอบธรรมและสอดคล้องกับความจริงอย่างครบบริบูรณ์ ผู้คนบางคนพูดว่า “การที่คนที่เชื่อในพระเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ไม่โหดเหี้ยมเหลือเกินหรอกหรือ?” (ไม่) นี่คือสิ่งที่การยืนหยัดและการมีหลักธรรมหมายถึง พวกเราทำสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัสบอกให้พวกเราทำ พวกเราเมตตาใครก็ตามที่พระเจ้าตรัสบอกให้พวกเราเมตตา และพวกเราดูหมิ่นสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัสบอกให้พวกเราดูหมิ่น ในยุคธรรมบัญญัติ ผู้ที่ละเมิดธรรมบัญญัติและพระบัญญัติถูกประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรปาหินจนตาย แต่วันนี้ ในยุคราชอาณาจักร พระเจ้าทรงมีกฤษฎีกาบริหาร และพระองค์เพียงแต่ชำระสะสางและขับไล่ผู้คนที่เป็นจำพวกเดียวกันกับมารและซาตาน ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องนำพระวจนะของพระเจ้าและกฤษฎีกาบริหารที่พระองค์ทรงออกไปปฏิบัติและเชื่อฟังโดยไม่ละเมิดสิ่งเหล่านี้ โดยไม่ถูกมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ปกครองหรือครอบงำ และโดยไม่กลัวที่จะถูกคนเคร่งศาสนาตัดสินและกล่าวโทษ การปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าเป็นบางสิ่งที่เป็นธรรมชาติและชอบธรรมอย่างที่สุด ตลอดเวลาจงเชื่อเพียงว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และคำพูดของมนุษย์ไม่ใช่ความจริง ไม่ว่าจะฟังดูดีแค่ไหนก็ตาม ผู้คนต้องมีความเชื่อนี้ ผู้คนควรมีความเชื่อนี้ในพระเจ้า และพวกเขาควรมีท่าทีของการเชื่อฟังนี้เช่นกัน นี่เป็นเรื่องของท่าที
พวกเราได้พูดพอแล้วไม่มากก็น้อยเกี่ยวกับคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” และเกี่ยวกับหลักธรรมแห่งกิจการของพระเจ้า เมื่อเป็นเรื่องต่างๆ เหล่านี้เช่นเรื่องที่ทำร้ายผู้คน ตอนนี้พวกคุณเข้าใจหลักธรรมในการจัดการพวกเขาซึ่งพระเจ้าทรงสอนผู้คนแล้วหรือไม่? (เข้าใจแล้ว) นี่เป็นว่าพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ผู้คนหุนหันพลันแล่นในการจัดการเรื่องต่างๆ ที่บังเกิดแก่พวกเขา ไม่ต้องพูดถึงการใช้หลักเกณฑ์ทางศีลธรรมของมนุษย์เพื่อจัดการเรื่องใดๆ ก็ตาม อะไรคือหลักธรรมที่พระเจ้าตรัสบอกผู้คน? ผู้คนควรปฏิบัติตามหลักธรรมอะไร? (มองดูผู้คนและสิ่งต่างๆ และวางตัวและปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า) ถูกต้อง มองดูผู้คนและสิ่งต่างๆ และวางตัวและปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องจัดการตามพระวจนะของพระเจ้า เพราะในทุกเรื่องและทุกสิ่งมีสาเหตุรากเบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น และบุคคลหรือเรื่องใดๆ ที่อุบัติขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้พระเจ้าทรงจัดเตรียมและมีอธิปไตยเหนือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นอาจมีจุดจบสุดท้ายที่เป็นบวกหรือลบก็ได้ และความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของผู้คนและเส้นทางที่พวกเขาเดิน ถ้าคุณเลือกที่จะปฏิบัติต่อเรื่องต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วจุดจบสุดท้ายจะเป็นบวก ถ้าคุณเลือกที่จะปฏิบัติต่อเรื่องต่างๆ ด้วยวิถีทางเนื้อหนังและความหุนหันพลันแล่น และคำกล่าว แนวคิดและทัศนะต่างๆ ทั้งหมดที่มาจากผู้คน เช่นนั้นแล้วจุดจบสุดท้ายจะเป็นจุดจบสุดท้ายของความหุนหันพลันแล่นและความเป็นลบอย่างแน่นอน สิ่งที่มีความหุนหันพลันแล่นและความเป็นลบเหล่านั้น ถ้าเกี่ยวพันกับการทำร้ายศักดิ์ศรี ร่างกาย ดวงจิต ผลประโยชน์ และอื่นๆ ของผู้คน ในที่สุดก็จะเหลือเพียงความเกลียดชังและความหดหู่ไว้กับผู้คนที่พวกเขาไม่มีวันสามารถกำจัดไปได้ โดยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะสามารถพบสาเหตุของผู้คน เรื่อง และสิ่งต่างๆ ที่คนเราเผชิญได้ และโดยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะเป็นไปได้ที่จะเห็นแก่นแท้ของผู้คน เรื่อง และสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างชัดเจน แน่นอนว่าโดยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นผู้คนจึงสามารถจัดการและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้คน เรื่อง และสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาเผชิญในความเป็นจริงได้อย่างถูกต้อง ในท้ายที่สุด นี่จะทำให้ผู้คนสามารถได้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสร้าง ชีวิตของพวกเขาจะค่อยๆ เติบโต อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะเปลี่ยนไป และในเวลาเดียวกัน พวกเขาจะพบทิศทางที่ถูกต้องในชีวิต ทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับชีวิต รูปแบบการดำรงอยู่ที่ถูกต้อง และจุดหมายและเส้นทางที่ถูกต้องเพื่อการไล่ตามเสาะหาในสภาพแวดล้อมเหล่านั้น โดยพื้นฐานแล้วพวกเราได้เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” คำกล่าวนี้ค่อนข้างผิวเผิน แต่เมื่อชำแหละตามความจริง แก่นแท้ของคำกล่าวนี้ไม่เรียบง่ายนัก สำหรับสิ่งที่ผู้คนควรทำในเรื่องนี้และวิธีจัดการสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งเรียบง่ายกว่าเสียอีก นี่สัมพันธ์กับการที่ผู้คนสามารถแสวงหาและไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่ และแน่นอนว่ายังสัมพันธ์มากขึ้นไปอีกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของผู้คนและความรอดของผู้คนอีกด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าปัญหาเหล่านี้จะเรียบง่ายหรือซับซ้อน ผิวเผินหรือลุ่มลึก ก็ควรได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้องและจริงจัง ไม่มีสิ่งใดที่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของผู้คนหรือที่เกี่ยวพันกับความรอดของผู้คนเป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นวิกฤติและสำคัญ ฉันหวังว่าต่อจากนี้ไป ในชีวิตประจำวันของพวกคุณ พวกคุณจะขุดเอาคำกล่าวและทัศนะต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวกับหลักศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมออกไปเสียจากความคิดและความรู้สึกตัวของพวกคุณ และชำแหละและวินิจฉัยสิ่งเหล่านั้นในสิ่งที่สิ่งเหล่านั้นเป็นจริงๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้คุณสามารถค่อยๆ เข้าใจและแก้ไขสิ่งเหล่านั้น เลือกใช้ทิศทางและจุดหมายในชีวิตใหม่ทั้งหมด และเปลี่ยนรูปแบบการดำรงอยู่ของคุณโดยสิ้นเชิง เอาละ พวกเรามาจบการสามัคคีธรรมของวันนี้กันที่ตรงนี้ ลาก่อน!
23 เมษายน ค.ศ. 2022