การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (9)

ชำแหละสิ่งที่ผู้คนยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม

II. คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิม

ญ. ชำแหละคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”

พวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อเรื่องการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมกันมาสักพักหนึ่งแล้ว  ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา”  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ซึ่งเป็นข้อกำหนดอีกข้อหนึ่งที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์  คำกล่าวนี้เกี่ยวพันกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนในแง่ใดบ้าง?  คำกล่าวนี้ต้องการให้ผู้คนมีความเอื้ออารีและยอมผ่อนปรนไช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่เป็นข้อกำหนดเรื่องความใจกว้างของความเป็นมนุษย์  อะไรคือหลักเกณฑ์ของข้อกำหนดนี้?  จุดสำคัญอยู่ตรงไหน?  (จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้)  ถูกต้อง นั่นก็คือเจ้าควรเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ และไม่ควรรุนแรงจนไม่เหลือทางออกให้ผู้คน  คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้กำหนดให้ผู้คนเอื้ออารีและไม่ถือสาหาความเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  แล้วเวลาคบค้าสมาคมกับผู้คนหรือทำธุระของเจ้า ถ้าเกิดข้อพิพาท ความขัดแย้ง หรือความบาดหมางขึ้นมา ก็จงอย่าเรียกร้องมากเกินไป อย่าทำอะไรเลยเถิดหรือแข็งกร้าวเกินไปเวลาจัดการฝ่ายที่ล่วงเกิน  จงเมตตาเมื่อจำเป็น ใจกว้างเมื่อจำเป็น คำนึงถึงโลก และคำนึงถึงมวลมนุษย์  ผู้คนใจกว้างกันขนาดนั้นหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนไม่ได้ใจกว้างกันขนาดนั้น  ผู้คนไม่แน่ใจว่าสัญชาตญาณของมนุษย์สามารถทานทนเรื่องแบบนี้ได้มากเพียงใด และเรื่องแบบนี้เป็นปกติกันถึงขั้นไหน  แล้วท่าทีทั่วไปที่คนปกติมีต่อคนที่ทำร้ายตน มองตนด้วยความไม่เป็นมิตร หรือล่วงล้ำผลประโยชน์ของตนย่อมเป็นเช่นไร?  ย่อมเกลียดชัง  เมื่อความเกลียดชังเกิดขึ้นในหัวใจของผู้คน พวกเขาจะสามารถ “เมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” กันหรือไม่?  นี่ทำได้ไม่ง่าย และผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถทำได้  เมื่อพูดถึงผู้คนส่วนใหญ่ พวกเขาสามารถพึ่งพามโนธรรมและสำนึกที่พวกเขามีในความเป็นมนุษย์ของตนเพื่อมาเมตตาอีกฝ่ายและลืมเรื่องทั้งหมดได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แต่การพูดว่าทำไม่ได้ก็ไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด  ทำไมจึงไม่ถูกต้องทั้งหมด?  ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าปัญหาคืออะไร เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือสำคัญขนาดไหน  อีกประการหนึ่ง ปัญหาทั้งหลายมีระดับความร้ายแรงต่างกัน ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่าปัญหานี้ร้ายแรงเพียงใด  ถ้ามีคนใช้วาจาทำร้ายเจ้าเป็นครั้งคราวเท่านั้น เช่นนั้นแล้วถ้าเจ้าเป็นคนที่มีมโนธรรมและสำนึก เจ้าย่อมจะคิดว่า “ไม่ใช่ว่าเขามีใจปองร้าย  เขาไม่ได้หมายความอย่างที่พูด เขาแค่พูดไม่คิดเท่านั้น  เห็นแก่ที่พวกเราไปด้วยกันได้ดีมาหลายปี เห็นแก่คนนี้คนนั้น หรือเห็นแก่เรื่องนี้ไม่ก็เรื่องนั้น ฉันจะไม่ถือสาเขาในเรื่องนี้  เหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้’  ที่เขาพูดมาเป็นเพียงความคิดเห็นอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ทำร้ายความภาคภูมิใจหรือทำให้ผลประโยชน์ของฉันเสียหายแต่อย่างใด และยิ่งไม่ได้ส่งผลต่อสถานะหรือโอกาสในอนาคตของฉัน ดังนั้นฉันจะมองข้ามความเห็นนี้ไป”  เมื่อเผชิญหน้าเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ผู้คนสามารถยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  แต่ถ้ามีใครบางคนทำให้ผลประโยชน์ที่สำคัญยิ่งของเจ้าเสียหาย หรือทำร้ายครอบครัวของเจ้า หรือความเสียหายที่พวกเขาก่อนั้นส่งผลต่อชีวิตของเจ้าทั้งชีวิต เจ้าจะยังคงยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ได้หรือไม่?  ตัวอย่างเช่น ถ้ามีใครฆ่าพ่อแม่ของเจ้าและต้องการที่จะฆ่าล้างครอบครัวที่เหลืออยู่ของเจ้า เจ้าจะใช้คำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” กับคนแบบนั้นได้หรือ?  (ไม่ได้)  คนที่มีเลือดเนื้อตามปกติย่อมจะไม่สามารถทำได้  คำกล่าวนี้ไม่สามารถยับยั้งความเกลียดชังที่ฝังลึกอยู่ในตัวผู้คนได้เลย และแน่นอนว่ายิ่งไม่สามารถมีอิทธิพลต่อท่าทีและความคิดเห็นของผู้คนในเรื่องนี้  ถ้ามีคนทำให้ผลประโยชน์ของเจ้าเสียหายหรือมีผลต่อความสำเร็จในอนาคตของเจ้า ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ก็ตาม หรือทำร้ายร่างกายเจ้า จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ทิ้งให้เจ้าพิการหรือมีแผลเป็น หรือทำให้เกิดเงื้อมเงาทาบทับจิตใจและในส่วนลึกของหัวใจของเจ้า เจ้าจะสามารถยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เจ้าไม่อาจทำเช่นนั้นได้  ดังนั้น วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดให้ผู้คนมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ยอมผ่อนปรนและเอื้ออารี แต่ผู้คนสามารถทำเช่นนั้นได้หรือ?  นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย  ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องนี้ทำร้ายและส่งผลต่ออีกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมากเพียงใด และมโนธรรมและสำนึกของอีกฝ่ายสามารถทานทนเรื่องนี้ได้หรือไม่  ถ้าไม่มีความเสียหายใหญ่หลวงเกิดขึ้น และอีกฝ่ายสามารถทนได้ และความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้พ้นวิสัยที่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะสามารถทานทนได้ ซึ่งหมายความว่าในฐานะผู้ใหญ่ที่ปกติ พวกเขาสามารถอดทนกับเรื่องเหล่านี้ได้ ความขุ่นเคืองและความเกลียดชังก็สามารถสลายไปได้ และค่อนข้างที่จะปล่อยผ่านได้ง่าย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็สามารถยอมผ่อนปรนและเมตตาอีกฝ่ายได้  เจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้โดยไม่ต้องมีคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมจากวัฒนธรรมดั้งเดิมมาเหนี่ยวรั้งเจ้าไว้ สอนเจ้า หรือนำเจ้าว่าควรทำอย่างไร เพราะนี่คือสิ่งที่มีอยู่แล้วตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติและเป็นเรื่องที่สัมฤทธิ์ได้  ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้ทำร้ายเจ้ามากเกินไป หรือส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเจ้าทั้งทางกาย ทางใจ และทางจิตวิญญาณ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถทำเช่นนี้ได้โดยง่าย  อย่างไรก็ตาม ถ้าเรื่องนี้มีผลกระทบใหญ่โตต่อเจ้าทั้งทางกาย ทางใจ และทางจิตวิญญาณ จนทำให้เจ้าเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิต มักจะทำให้เจ้าหดหู่และขัดเคือง และตัวเจ้าก็มักจะรู้สึกหม่นหมองและสิ้นหวังเพราะเรื่องนี้ และมันทำให้เจ้ามองเผ่าพันธุ์มนุษย์และโลกนี้ด้วยความไม่เป็นมิตร เจ้าไม่มีสันติหรือความสุขในหัวใจของตน และเจ้าก็ดำเนินชีวิตแทบจะทั้งชีวิตของเจ้าอยู่ในความเกลียดชัง ซึ่งหมายความว่าถ้าเรื่องนี้พ้นวิสัยที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติจะสามารถทานทนได้ เช่นนั้นแล้วในฐานะคนที่มีมโนธรรมและสำนึก ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้  ถ้าบางคนสามารถทำเช่นนี้ได้ ก็ถือเป็นกรณีพิเศษ แต่เรื่องนี้ต้องเป็นไปตามสิ่งใด?  ต้องผ่านเงื่อนไขแบบใดบ้าง?  บางคนบอกว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ควรนับถือศาสนาพุทธและปล่อยความเกลียดชังนั้นไปเพื่อบรรลุพุทธิภาวะ”  นี่อาจเป็นเส้นทางไปสู่การหลุดพ้นในหมู่ผู้คนทั่วไป แต่ก็เป็นเพียงการหลุดพ้นเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม คำว่า “หลุดพ้น” นี้หมายถึงอะไร?  หมายถึงการหลีกเลี่ยงข้อพิพาท ความเกลียดชัง และการฆ่าฟันทางโลก และเป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า “เมื่อไม่เห็นก็ไม่นึกถึง”  ถ้าเจ้าหลบหลีกเรื่องแบบนี้และไม่อาจมองเห็นได้ เช่นนั้นแล้วเรื่องเหล่านี้ก็จะมีผลต่อความรู้สึกส่วนลึกของเจ้าเล็กน้อย และจะค่อยๆ จางหายไปจากความทรงจำของเจ้าเมื่อเวลาผ่านไป  แต่นั่นไม่ใช่การยึดถือตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  ผู้คนไม่สามารถเมตตา หรือให้อภัยและอดทนต่อเรื่องนี้ และปล่อยผ่านไปอย่างถาวรได้  เรื่องเหล่านี้เพียงจางหายไปจากส่วนลึกสุดในหัวใจของผู้คนเท่านั้น และพวกเขาก็ไม่ใส่ใจในเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป  หรือไม่ก็เป็นเพราะหลักคำสอนทางพุทธศาสนาบางข้อเท่านั้น ผู้คนถึงได้เลิกใช้ชีวิตอยู่ในความเกลียดชังและเลิกหมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกรักและเกลียดชังทางโลกกันอย่างเสียไม่ได้  นี่เป็นเพียงการบังคับตัวเองให้นิ่งดูดายและอยู่ห่างจากที่ที่มีความขัดแย้งและความบาดหมางซึ่งเต็มไปด้วยความรักและความเกลียดชังนี้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคนเราสามารถนำคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ไปใช้  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?  ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับคนคนหนึ่ง ซึ่งทำร้ายร่างกาย จิตใจ และดวงจิตของพวกเขาอย่างร้ายแรง เช่น ความกดดันหรืออาการบาดเจ็บที่สุดจะทนได้ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถในเรื่องใดบ้างก็ตาม พวกเขาย่อมจะไม่สามารถทนได้  ที่ว่า “ไม่สามารถทนได้” เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่าความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แนวคิด และทัศนะของผู้คนไม่สามารถต้านทานหรือสลายเรื่องเหล่านี้ได้  ในภาษามนุษย์อาจพูดได้ว่าพวกเขาไม่สามารถทนได้ นี่พ้นขีดความอดทนของมนุษย์ไปแล้ว  ในภาษาของผู้เชื่ออาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเพียงแต่ไม่สามารถเข้าใจ มองทะลุ หรือยอมรับเรื่องนี้ได้  แล้วเมื่อไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะต้านทานหรือกำจัดความรู้สึกเกลียดชังเหล่านี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”?  (ไม่ได้)  การไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้แฝงความนัยว่าอย่างไร?  ว่าความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่มีความใจกว้างแบบนี้  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าใครบางคนฆ่าพ่อแม่ของเจ้า และฆ่าล้างครอบครัวของเจ้า เจ้าจะปล่อยเรื่องแบบนี้ให้ผ่านไปได้หรือ?  เป็นไปได้หรือที่จะสลายความเกลียดชังนี้?  เจ้าจะมองศัตรูเหมือนมองคนทั่วไป หรือคิดกับศัตรูเหมือนคิดกับคนทั่วไปโดยที่ไม่มีความรู้สึกอะไรในร่างกาย จิตใจ หรือวิญญาณของเจ้าได้หรือ?  (ไม่ได้)  ไม่มีใครทำได้ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเชื่อในศาสนาพุทธและรู้เห็นกรรมด้วยตาของตนเอง พวกเขาถึงจะสามารถเลิกล้มแนวคิดที่จะฆ่าล้างแค้นได้  บางคนบอกว่า “ฉันเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีงาม ดังนั้นถ้าใครฆ่าพ่อแม่ของฉัน ฉันย่อมเมตตาเขาได้และจะไม่หาทางแก้แค้นเพราะฉันเป็นผู้ที่เชื่อในกรรมอย่างมาก  คำกล่าวที่ว่า ‘การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้’ สรุปความได้ตรงมากคือ ถ้าการแก้แค้นก่อให้เกิดการแก้แค้น ก็ย่อมจะไม่มีวันสิ้นสุดจริงไหม?  นอกจากนี้ เขาก็ยอมรับความผิดพลาดของเขาแล้ว ถึงกับคุกเข่ากราบขอให้ฉันยกโทษ  ตอนนี้แค้นนี้ได้รับการชำระแล้ว ฉันจะปรานีเขา!”  ผู้คนเอื้ออารีกันได้ขนาดนี้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขาทำไม่ได้แบบนี้  ถ้าวางสิ่งที่เจ้าอาจจะทำเมื่อเจ้าจับตัวเขาได้เอาไว้ก่อน แม้กระทั่งก่อนที่เจ้าจะจับเขาได้ สิ่งที่เจ้าคิดได้ตลอดเวลาอยู่ทุกวี่วันย่อมมีแต่การแก้แค้น  เพราะเรื่องนี้ทำร้ายเจ้าอย่างมากและส่งผลต่อเจ้ามากมายนัก ในฐานะคนปกติ แน่นอนว่าเจ้าจะไม่มีวันลืมได้ลงตราบเท่าที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่  แม้ในความฝัน เจ้าก็จะมองเห็นภาพครอบครัวของตนถูกฆ่าและเห็นตัวเจ้าเองแก้แค้นได้สำเร็จ  เรื่องนี้สามารถส่งผลต่อเจ้าไปตลอดชีวิตจวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย  ความเกลียดชังเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจปล่อยไปได้โดยแท้  แน่นอนว่ายังมีกรณีที่ร้ายแรงน้อยกว่านี้เล็กน้อย  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีคนตบหน้าเจ้าในที่สาธารณะ ทำให้เจ้าอับอายและขายหน้าต่อหน้าทุกคน และดูถูกเจ้าอย่างไม่มีเหตุผล  ตั้งแต่นั้นมาผู้คนมากมายก็ชำเลืองมองเจ้าด้วยสายตาที่มีอคติและถึงกับเยาะเย้ยเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกอับอายที่จะอยู่ร่วมกับผู้คน  นี่ร้ายแรงน้อยกว่าการฆ่าพ่อแม่และสมาชิกครอบครัวของเจ้าอย่างมาก  ถึงกระนั้นก็ยากที่จะยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” เพราะสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเจ้านี้พ้นวิสัยที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติจะทานทนได้ไปแล้ว  สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำร้ายร่างกายและจิตใจของเจ้าอย่างมาก และทำให้ศักดิ์ศรีและบุคลิกของเจ้าเสื่อมเสียเป็นอย่างมาก  เจ้าไม่มีทางลืมเลือนหรือปล่อยผ่านเรื่องเหล่านี้ไปได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่เจ้าจะยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”—ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ปกติ

เมื่อพิจารณาแง่มุมที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปเมื่อครู่ คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ซึ่งอ้างอิงกันในวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม ย่อมเป็นคำสอนที่ห้ามปรามและให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คน  สามารถแก้ไขได้เฉพาะความบาดหมางเล็กๆ และความขัดแย้งที่ไม่สลักสำคัญเท่านั้น แต่ไม่มีผลอะไรเมื่อเป็นเรื่องของผู้คนที่เก็บงำความเกลียดชังลึกๆ เอาไว้  แท้จริงแล้วผู้คนที่ออกข้อกำหนดนี้เข้าใจความเป็นคนของมนุษย์หรือไม่?  อาจกล่าวได้ว่าผู้คนที่ออกข้อกำหนดนี้ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามโนธรรมและสำนึกของมนุษย์มีขีดความอดทนมากเท่าใด  เพียงแต่การเสนอแนะทฤษฎีนี้สามารถทำให้พวกเขาดูเจนโลกและประเสริฐ ทั้งยังได้รับความเห็นชอบและคำเยินยอจากผู้คน  ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขารู้ดียิ่งว่าถ้ามีใครทำให้คนคนหนึ่งเสียศักดิ์ศรีหรือความเป็นตัวเอง ทำลายผลประโยชน์ของพวกเขา หรือแม้กระทั่งส่งผลต่อความสำเร็จในอนาคตและชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว ในแง่ของความเป็นมนุษย์ ฝ่ายที่ถูกล่วงเกินย่อมต้องเอาคืน  ไม่ว่าเขาจะมีมโนธรรมและสำนึกมากเพียงใด เขาก็จะไม่ยอมอยู่เฉย  อย่างมากก็ต่างออกไปในเรื่องระดับและวิธีการแก้แค้นของเขาเท่านั้น  ในสังคมจริง ในสภาพแวดล้อมและบริบททางสังคมที่มืดมนและชั่วอย่างยิ่งที่ผู้คนอาศัยอยู่และไร้ซึ่งสิทธิมนุษยชนนี้ ผู้คนไม่เคยหยุดต่อสู้และเข่นฆ่ากันเพียงเพราะพวกเขาสามารถแก้แค้นเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาถูกทำร้าย  ยิ่งพวกเขาถูกทำร้ายสาหัส พวกเขาก็ยิ่งอยากแก้แค้น และวิธีการที่พวกเขาใช้แก้แค้นก็จะยิ่งโหดร้าย  แล้วแนวโน้มทั่วไปในสังคมนี้ย่อมจะเป็นเช่นไร?  จะเกิดอะไรขึ้นกับสัมพันธภาพระหว่างผู้คน?  สังคมนี้จะไม่เต็มไปด้วยการฆ่าฟันและแก้แค้นหรอกหรือ?  เพราะฉะนั้น คนที่ออกข้อกำหนดนี้จึงกำลังบอกผู้คนด้วยวิธีที่อ้อมค้อมมากๆ ว่าอย่าแก้แค้น โดยใช้คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้คือ—“การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”—มาฉุดรั้งพฤติกรรมของพวกเขา  เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนทนทุกข์กับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือถูกหยามความเป็นตัวเอง หรือถูกทำให้เสียศักดิ์ศรี คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ย่อมมีอิทธิพลต่อผู้คนเหล่านั้นโดยทำให้พวกเขาคิดทบทวนก่อนลงมือ และหยุดยั้งพวกเขาไม่ให้หุนหันพลันแล่นและตอบโต้แรงเกินไป  ถ้าผู้คนในสังคมนี้อยากแก้แค้นทุกครั้งที่พวกเขาทนทุกข์กับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติที่มาจากรัฐ จากสังคม หรือผู้คนที่พวกเขาไปมาหาสู่ด้วย เช่นนั้นแล้วการบริหารจัดการเผ่าพันธุ์มนุษย์และสังคมนี้ก็ย่อมจะเป็นเรื่องยากมิใช่หรือ?  ที่ใดก็ตามที่มีคนอยู่กันมากๆ การต่อสู้ย่อมจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการล้างแค้นก็จะกลายเป็นเหตุการณ์ปกติ  แล้วเผ่าพันธุ์มนุษย์และสังคมนี้ย่อมจะตกอยู่ในความอลหม่านมิใช่หรือ?  (ใช่)  สังคมที่อยู่ในความอลหม่านนั้นง่ายต่อการที่นักปกครองจะบริหารจัดการหรือไม่?  (ไม่ง่าย)  ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เรียกกันว่านักการศึกษาและนักคิดทางสังคมจึงเสนอแนะคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” เพื่อเตือนสติและให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คน เพื่อที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมหรือถูกเลือกปฏิบัติ ถูกหยาม หรือถึงกับถูกทารุณกรรมหรือเหยียบย่ำ และไม่ว่าจะทนทุกข์ทางจิตวิญญาณหรือทางกายมากเพียงใด สิ่งแรกที่พวกเขานึกถึงย่อมไม่ใช่การเอาคืน แต่เป็นคติดั้งเดิมด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้คือ “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ทำให้พวกเขายอมรับการห้ามปรามจากคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว อันเป็นการยับยั้งความคิดและพฤติกรรมของพวกเขา สลายความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อผู้อื่น ต่อรัฐ และสังคมได้อย่างมีประสิทธิผล  เมื่อความไม่เป็นมิตรและความเดือดดาลที่ความเป็นมนุษย์จำเป็นต้องมี รวมทั้งความคิดที่จะปกป้องศักดิ์ศรีของตนตามสัญชาตญาณนั้นสูญสลายไป การฟาดฟันและล้างแค้นกันระหว่างผู้คนในสังคมนี้ย่อมจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญใช่หรือไม่?  (ใช่)  ตัวอย่างเช่น บางคนบอกว่า “เลิกทำอย่างนี้กันเถอะ การรอมชอมจะช่วยสลายความขัดแย้งได้ง่ายขึ้นมาก  ว่ากันว่า ‘การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้’  เขามีเหตุผลในการฆ่าครอบครัวของฉัน  การจะทะเลาะกันได้ต้องมีคนสองฝ่าย และทั้งสองฝ่ายต่างก็ยึดมั่นในเหตุผลของตน  นอกจากนี้ ครอบครัวของฉันก็ตายไปหลายปีแล้ว จะรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาอีกทำไม?  จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้—ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะเอื้ออารีก่อนถึงจะปล่อยมือจากความเกลียดชังได้ และเฉพาะเมื่อพวกเขาปล่อยมือจากความเกลียดชังแล้วเท่านั้น พวกเขาถึงจะมีความสุขในชีวิตได้”  ยังมีคนอื่นที่พูดว่า “เรื่องผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป  ถ้าเขาไม่ถือสาฉันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือมองฉันด้วยความไม่เป็นมิตรเหมือนแต่ก่อน แบบนั้นฉันก็จะไม่ทะเลาะกับเขาเช่นกัน และพวกเราก็แค่มาเริ่มต้นกันใหม่  เหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้’”  ถ้าคนแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จู่ๆ ก็ดึงตัวเองเอาไว้ในตอนที่พวกเขากำลังจะลงมือแก้แค้นพอดี เช่นนั้นแล้วคำพูด การกระทำ และหลักทฤษฎีของพวกเขาโดยแก่นแท้แล้วย่อมเกิดจากอิทธิพลของแนวคิดและทัศนะอย่าง “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ทั้งสิ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ยังมีคนอื่นอีกที่พูดว่า “ทะเลาะกันไปทำไม?  ทั้งที่คุณเป็นแบบอย่างของคนที่น่าชื่นชม แต่แม้กับเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้กลับปล่อยผ่านไม่ได้!  คนที่ยิ่งใหญ่บางคนยังมีหัวใจที่กว้างใหญ่พอให้ลงไปแล่นเรือได้เลย  อย่างน้อยที่สุดก็ควรทำใจให้กว้างๆ หน่อย!  ผู้คนควรมีความเอื้ออารีในชีวิตบ้างไม่ใช่หรือ?  ถอยออกมาก้าวหนึ่งและมองภาพรวมเถิด ดีกว่าถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  การโต้เถียงไปมาทั้งหมดนี้ดูแล้วน่าหัวร่อ”  คำกล่าวและแนวคิดเหล่านี้สรุปท่าทีอย่างหนึ่งที่มนุษย์มีต่อเรื่องราวทางโลก เป็นเพียงท่าทีที่เกิดจากคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” และคำกล่าวอื่นๆ ในทำนองเดียวกันตามคติดั้งเดิมทางด้านศีลธรรมเท่านั้น  ผู้คนได้รับการปลูกฝังและได้รับอิทธิพลจากคำกล่าวเหล่านี้ และรู้สึกว่าคำกล่าวเหล่านี้มีบทบาทในการเตือนสติและให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คนอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงถือว่าคำกล่าวเหล่านี้คือสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะควร

ทำไมผู้คนถึงปล่อยมือจากความเกลียดชังได้?  สาเหตุสำคัญมีอะไรบ้าง?  ในด้านหนึ่ง พวกเขาได้รับอิทธิพลจากคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า—“การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  อีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็กังวลกับความคิดที่ว่าถ้าพวกเขาถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกลียดชังผู้อื่นตลอดเวลา และไม่ยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่น พวกเขาก็จะไม่สามารถมีที่ยืนในสังคม ถูกความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่กล่าวโทษ และจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องจำใจกล้ำกลืนความโกรธของตนอย่างเสียมิได้  ในด้านหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญชาตญาณของมนุษย์ ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ย่อมไม่สามารถทนรับการกดขี่ การทำร้ายที่ไร้สติ และการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมทั้งหมดนี้ได้  กล่าวคือ ในความเป็นมนุษย์ ผู้คนไม่สามารถทนรับสิ่งเหล่านี้  เพราะฉะนั้น การออกข้อกำหนดกับใครก็ตามว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” จึงไม่ยุติธรรมและไร้มนุษยธรรม  ในทางกลับกัน เห็นได้ชัดว่าแนวคิดและทัศนะเช่นนี้บิดเบือนหรือส่งผลต่อทัศนะและมุมมองของผู้คนในเรื่องเหล่านี้ด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถปฏิบัติต่อเรื่องราวทำนองนี้ได้อย่างถูกควร และกลับถือว่าคำกล่าวอย่าง “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ถูกต้องและเป็นบวก  เมื่อผู้คนได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม และเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกความเห็นส่วนรวมกล่าวโทษ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเก็บงำคำสบประมาทและการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมที่พวกเขาพบเจอเอาไว้ และรอโอกาสตอบโต้  แม้ภายนอกพวกเขาจะพูดสิ่งที่ฟังดูดี เช่น “‘การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้’  ไม่เป็นไร ไม่มีประโยชน์ที่จะตอบโต้ เรื่องก็ผ่านไปแล้ว” แต่สัญชาตญาณของมนุษย์ย่อมทำให้พวกเขาไม่มีวันลืมความเสียหายที่เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดขึ้นกับตน กล่าวคือ ความเสียหายที่เกิดกับร่างกายและจิตใจของพวกเขานั้นย่อมจะไม่มีวันลบเลือนหรือจางหายไปได้  เมื่อผู้คนพูดว่า “จงลืมความเกลียดชังเสียเถิด เรื่องนี้จบลงและผ่านไปแล้ว” นั่นเป็นเพียงหน้าฉากที่ก่อเกิดจากอิทธิพลและการถูกแนวคิดและทัศนะอย่าง “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ควบคุมเอาไว้เท่านั้น  แน่นอนว่าผู้คนย่อมถูกแนวคิดและทัศนะเช่นนี้ตีกรอบเอาไว้เช่นกัน ตราบใดที่พวกเขาคิดว่าถ้าพวกเขาปฏิบัติตามไม่สำเร็จ ถ้าพวกเขาไม่มีหัวใจหรือความใจกว้างที่จะเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ ตราบนั้นพวกเขาย่อมจะถูกทุกคนดูแคลนและกล่าวโทษ และยิ่งถูกเลือกปฏิบัติมากขึ้นในสังคมหรือในชุมชนของตน  ผลสืบเนื่องของการถูกเลือกปฏิบัติย่อมเป็นเช่นไร?  เมื่อเจ้าติดต่อผู้คนและทำธุระของเจ้า ผู้คนก็จะพูดกันว่า “ผู้ชายคนนี้ใจแคบและชอบอาฆาต เวลาติดต่อเจรจากับเขา ระวังตัวด้วย!”  เวลาเจ้าทำธุระของตนภายในชุมชน นี่ย่อมส่งผลให้มีอุปสรรคเพิ่มเข้ามา  ทำไมถึงมีอุปสรรคเพิ่มเข้ามา?  เพราะสังคมโดยรวมได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะ เช่น “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  จารีตของสังคมโดยรวมเคารพการคิดอ่านแบบนี้ และการคิดอ่านแบบนี้ก็ตีกรอบ ครอบงำ และควบคุมสังคมทั้งหมดเอาไว้ ดังนั้นถ้าเจ้าไม่สามารถปฏิบัติตามนี้ได้ ก็เป็นเรื่องยากที่จะมีที่ยืนในสังคมและอยู่รอดในชุมชนของตน  เพราะฉะนั้น บางคนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมจำนนต่อจารีตทางสังคมเช่นนี้ ทำตามคำกล่าวและทัศนะอย่าง “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” มีชีวิตที่น่าเวทนา  เมื่อพิจารณาตามปรากฏการณ์เหล่านี้ คนที่เรียกกันว่าผู้มีศีลธรรมย่อมมีจุดมุ่งหมายและเจตนาบางอย่างในการประดิษฐ์คำกล่าวด้านแนวคิดและทัศนะทางศีลธรรมเหล่านี้ขึ้นมามิใช่หรือ?  พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อให้มนุษย์ดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น ได้รับการปลดปล่อยทางกาย ใจ และจิตวิญญาณมากขึ้นใช่หรือไม่?  หรือเพื่อให้ผู้คนดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น?  เห็นได้ชัดทีเดียวว่าไม่ใช่  คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ไม่ได้สนองความต้องการของความเป็นมนุษย์ที่ปกติในตัวผู้คนแต่อย่างใด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำกล่าวเหล่านี้ไม่ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อทำให้ผู้คนใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  แต่คำกล่าวทั้งหมดกลับสนองความทะเยอทะยานของชนชั้นปกครองที่จะควบคุมผู้คนและทำให้อำนาจของตนมีเสถียรภาพ  คำกล่าวเหล่านี้รับใช้ชนชั้นปกครอง และประดิษฐ์ขึ้นเพื่อให้ชนชั้นปกครองสามารถรักษาระเบียบสังคมและจารีตทางสังคมเอาไว้ได้ โดยใช้สิ่งเหล่านี้ตีกรอบทุกคน ทุกครอบครัว ทุกปัจเจก ทุกชุมชน ทุกกลุ่ม รวมทั้งสังคมที่ประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ ทั้งหมด  ในสังคมเช่นนี้ ภายใต้การปลูกฝัง อิทธิพล และการพร่ำสอนแนวคิดและทัศนะทางศีลธรรมดังกล่าวนี้นี่เองที่แนวคิดและทัศนะกระแสหลักทางศีลธรรมของสังคมถือกำเนิดและเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา  การก่อรูปก่อร่างของหลักศีลธรรมทางสังคมและจารีตทางสังคมนี้ไม่ได้เอื้อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่รอดมากขึ้น ไม่ได้เอื้อต่อความก้าวหน้าและการชำระความคิดอ่านของมนุษย์ให้บริสุทธิ์มากขึ้น และไม่ได้เอื้อต่อการยกระดับมนุษยชาติมากขึ้น  ในทางตรงกันข้าม เพราะแนวคิดและทัศนะทางศีลธรรมเหล่านี้ถือกำเนิดขึ้นมา การคิดอ่านของมนุษย์จึงถูกตีกรอบให้อยู่ภายในขอบเขตที่ควบคุมได้  ดังนั้น ใครได้ประโยชน์ในที่สุด?  ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์หรือไม่?  หรือว่าเป็นชนชั้นปกครอง?  (ชนชั้นปกครอง)  ถูกต้อง เป็นชนชั้นปกครองที่ได้ประโยชน์ในที่สุด  เมื่อมีคัมภีร์ศีลธรรมเหล่านี้เป็นหลักการสำหรับการคิดอ่านและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม มนุษย์จึงปกครองง่ายขึ้น มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะเป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง บงการง่ายขึ้น ใช้คำกล่าวต่างๆ ในคัมภีร์ศีลธรรมทั้งหลายมากำกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำได้ง่ายขึ้น และถูกระบบสังคม หลักศีลธรรมทางสังคม จารีตทางสังคม และความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่กำกับได้ง่ายขึ้น  เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนที่อยู่ใต้อาณัติของระบบสังคม สภาพแวดล้อมทางศีลธรรม และจารีตทางสังคมเดียวกัน โดยพื้นฐานแล้วย่อมมีแนวคิดและทัศนะที่เป็นเอกฉันท์ และมีบรรทัดฐานที่เป็นเอกฉันท์ว่าพวกเขาควรวางตัวอย่างไร ในระดับหนึ่ง เพราะแนวคิดและทัศนะของพวกเขาได้ผ่านการประมวลผลและถูกทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันโดยคนที่เรียกกันว่าผู้มีศีลธรรม นักคิด และนักการศึกษาเหล่านี้  คำว่า “เป็นเอกฉันท์” นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าทุกคนที่ถูกปกครอง—รวมถึงความคิดและความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพวกเขา—ได้ถูกคำกล่าวจากคัมภีร์ศีลธรรมเหล่านี้หลอมรวมและตีกรอบ  ความคิดของผู้คนถูกควบคุม และในเวลาเดียวกันปากและสมองของพวกเขาก็ถูกควบคุมด้วย  ทุกคนถูกบังคับให้ยอมรับแนวคิดและทัศนะทางศีลธรรมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม ในทางหนึ่งก็ใช้แนวคิดและทัศนะเหล่านี้ตัดสินและตีกรอบพฤติกรรมของตนเอง และอีกทางหนึ่งก็ใช้ตัดสินผู้อื่นและสังคมนี้  แน่นอนว่าพร้อมกันนั้นพวกเขาก็ถูกควบคุมโดยมติของคนส่วนใหญ่ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่คำกล่าวจากคัมภีร์ศีลธรรมอีกด้วย  ถ้าเจ้าคิดว่าวิธีที่เจ้าใช้ทำสิ่งต่างๆ ขัดแย้งกับคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” เจ้าย่อมรู้สึกว้าวุ่นและไม่สบายใจอย่างยิ่ง และไม่นานเจ้าย่อมคิดขึ้นมาว่า “ถ้าฉันไม่สามารถเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ ถ้าฉันหยุมหยิมและใจแคบเหมือนคนตัวเล็กใจแคบในนิยาย และฉันไม่สามารถปล่อยมือจากความเกลียดชังได้แม้แต่น้อย กลับเอาติดตัวไปด้วยตลอดเวลา ฉันจะถูกหัวเราะเยาะหรือเปล่า? ฉันจะถูกเพื่อนร่วมงานและเพื่อนฝูงเลือกปฏิบัติไหม?”  ดังนั้น เจ้าจึงต้องแกล้งทำตัวเอื้ออารีเป็นพิเศษ  ถ้าผู้คนมีพฤติกรรมเหล่านี้ นี่ย่อมหมายความว่าพวกเขาถูกความเห็นของคนส่วนใหญ่ควบคุมอยู่ใช่หรือไม่?  (ใช่)  พูดตามความเป็นจริงก็คือ ลึกลงไปในหัวใจของเจ้ามีโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น กล่าวคือ ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่และการกล่าวโทษจากสังคมโดยรวมเป็นเหมือนโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นสำหรับเจ้า  ตัวอย่างเช่น บางคนรู้ว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นดี เมื่อเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็จะสามารถได้รับความรอด และการเชื่อในพระเจ้าย่อมหมายถึงการเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องและไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี แต่พอพวกเขามาเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรก พวกเขากลับไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้ หรือรับรู้ความเชื่อของตน ถึงขั้นที่ไม่กล้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยซ้ำ  ทำไมพวกเขาถึงไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้ให้ผู้คนรู้?  เป็นเพราะพวกเขาได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมโดยรวมใช่หรือไม่?  (ใช่)  แล้วสภาพแวดล้อมโดยรวมนี้มีผลกระทบต่อเจ้าและควบคุมอะไรเจ้าไว้บ้าง? ทำไมเจ้าถึงไม่กล้ายอมรับว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า?  ทำไมเจ้าถึงไม่กล้าแม้แต่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ?  นอกเหนือจากกรณีพิเศษ เช่น ประเทศเผด็จการที่ผู้เชื่อถูกข่มเหงแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งก็คือเจ้าทนรับคำกล่าวต่างๆ ที่มาจากความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ไม่ไหว  ตัวอย่างเช่น บางคนบอกว่าเมื่อเจ้าเริ่มเชื่อในศาสนา เจ้าย่อมไม่สนใจไยดีครอบครัวของตน บ้างก็ตีตราเจ้าว่าเป็นปีศาจ บอกว่าผู้เชื่อในศาสนาอยากเป็นอมตะและปลีกตัวออกจากสังคม คนอื่นๆ ก็บอกว่าผู้เชื่อสามารถอยู่ได้โดยไม่กิน และถึงไม่นอนติดต่อกันหลายวันก็ไม่รู้สึกเหนื่อย และยังมีคนอื่นอีกที่พูดสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้  ในตอนแรกเจ้าไม่กล้ายอมรับว่าตนเชื่อในพระเจ้าเพราะเจ้าได้รับผลกระทบจากข้อคิดเห็นเหล่านี้มิใช่หรือ?  ข้อคิดเห็นเหล่านี้ภายในสภาพแวดล้อมทางสังคมโดยรวมส่งผลต่อเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในระดับหนึ่ง ข้อคิดเห็นเหล่านี้ส่งผลต่ออารมณ์ของเจ้าและทำร้ายความภาคภูมิใจของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่กล้ายอมรับอย่างเปิดเผยว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า  เนื่องจากสังคมนี้ไม่เป็นมิตรและเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้คนที่มีความเชื่อและผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และบางคนก็ถึงกับกล่าวคำสบประมาทอันต่ำทรามและออกความเห็นที่ใส่ร้ายป้ายสีซึ่งเจ้าเหลือจะทนได้ เจ้าจึงไม่กล้ายอมรับอย่างเปิดเผยว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า และต้องแอบออกไปชุมนุมอย่างลับๆ เหมือนขโมย  เจ้ากลัวว่าคนอื่นจะพูดจาใส่ร้ายถ้าพวกเขารู้เข้า ดังนั้นเจ้าจึงได้แต่ข่มความขุ่นเคืองของตนเอาไว้  เจ้าสู้ทนความปวดร้าวมากมายอยู่เงียบๆ เช่นนี้ แต่การทุกข์ทนกับความปวดร้าวทั้งหมดนี้สอนใจเจ้าอย่างมาก เจ้าได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ชัดเจนในหลายๆ เรื่อง และเข้าใจความจริงบางประการ

เมื่อครู่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันอย่างละเอียดถึงคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  ในแง่ของความเป็นมนุษย์ คำกล่าวนี้บ่งชี้การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมขั้นต่ำสุดที่คนเราควรมีในเรื่องของความเอื้อเฟื้อและความใจกว้าง  ข้อเท็จจริงก็คือเมื่อมองดูความเสียหายและผลกระทบที่มีต่อสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรี ความซื่อตรง และความเป็นมนุษย์ของผู้คนแล้ว การเอาแต่ใช้คำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ซึ่งเป็นศัพท์เฉพาะในวงการใต้ดินของพวกโจรผู้ร้ายที่ปล้นชิงทรัพย์ มาปลอบใจและตีกรอบผู้คนนั้น เป็นการดูหมิ่นผู้คนที่มีมโนธรรมและสำนึกเป็นอย่างยิ่ง ไร้ซึ่งมนุษยธรรมและไร้ศีลธรรม  ความเป็นมนุษย์ที่ปกติมีความเบิกบาน ความโกรธ ความเศร้า และความสุขอยู่ในตัวเอง  เราจะไม่พูดถึงความเบิกบาน ความเศร้า และความสุขอีกแล้ว  ส่วนความโกรธนั้นเป็นภาวะอารมณ์อีกอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ความโกรธเกิดขึ้นและสำแดงตัวออกมาตามปกติภายใต้รูปการณ์แวดล้อมใดบ้าง?  เมื่อความเดือดดาลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติสำแดงตัวให้เห็น—นั่นก็คือเวลาที่ความซื่อตรง ศักดิ์ศรี ผลประโยชน์ วิญญาณ และจิตใจของผู้คนถูกทำร้าย ถูกเหยียบย่ำไว้ใต้เท้า และถูกดูหมิ่น พวกเขาย่อมจะโกรธเป็นธรรมดาตามสัญชาตญาณ เกิดความขุ่นเคืองหรือแม้กระทั่งความเกลียดชัง—นี่คือสาเหตุที่ทำให้เกิดความโกรธ และเป็นการสำแดงความโกรธออกมาโดยเฉพาะ  บางคนโกรธอย่างไม่มีเหตุผล  เรื่องเล็กเรื่องน้อยก็สามารถยั่วยุให้พวกเขาเดือดได้ หรือบางคนบังเอิญพูดอะไรบางอย่างที่ทำร้ายความรู้สึกของพวกเขา และนั่นก็สามารถทำให้ดวงตาของพวกเขาแดงฉานด้วยความโมโหได้  พวกเขาอารมณ์ร้อนเกินไปมิใช่หรือ?  สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรสัมพันธ์กับจิตวิญญาณ ความซื่อตรง ศักดิ์ศรี สิทธิมนุษยชน หรือโลกฝ่ายวิญญาณของพวกเขาเลย แต่พวกเขาก็สามารถบันดาลโทสะได้ในทันที ซึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาอารมณ์ร้อนเหลือเกิน  การแสดงความรู้สึกโกรธเคืองต่ออะไรก็ได้ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องปกติ  สิ่งที่พวกเรากำลังพูดถึงในที่นี้คือความขุ่นเคือง ความโกรธ ความเดือดดาล และความเกลียดชังที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติสำแดงออกมา  เหล่านี้คือปฏิกิริยาบางอย่างตามสัญชาตญาณของผู้คน  เมื่อความซื่อตรง ศักดิ์ศรี สิทธิมนุษยชน และจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งถูกเหยียบย่ำ ดูถูก หรือทำร้าย คนคนนั้นย่อมขุ่นเคือง  ความขุ่นเคืองนี้ไม่ใช่อารมณ์ฉุนเฉียวชั่วแล่น หรือความรู้สึกชั่วขณะ แต่เป็นปฏิกิริยาปกติของมนุษย์ที่เกิดขึ้นเมื่อใดก็ตามที่ความซื่อตรง ศักดิ์ศรี และจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งถูกทำร้ายจนบอบช้ำ  ในเมื่อนี่เป็นปฏิกิริยาที่ปกติของมนุษย์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าปฏิกิริยานี้ชอบธรรมและสมเหตุสมผล ดังนั้นจึงไม่ใช่อาชญากรรม และไม่จำเป็นต้องถูกควบคุม  สำหรับปัญหาที่ทำร้ายผู้คนได้ถึงระดับนี้ ควรมีการแก้ไขและจัดการอย่างเที่ยงธรรม  ถ้าไม่สามารถแก้ไขเรื่องราวได้อย่างสมเหตุสมผลหรือจัดการได้อย่างยุติธรรม และผู้คนก็ถูกคาดหวังอย่างไม่มีเหตุผลให้ปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” นี่ย่อมไร้ศีลธรรมและไร้มนุษยธรรมต่อเหยื่อ และเป็นเรื่องที่ผู้คนควรตระหนักรู้

สำหรับคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” พวกเราได้พูดคุยกันในประเด็นใดไปแล้วบ้าง?  พวกเรามาสรุปกันเถิด  แก่นแท้ของคำกล่าวนี้ก็เหมือนกับคำกล่าวอื่นๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  คำกล่าวทั้งหมดนี้ล้วนรับใช้ชนชั้นปกครองและจารีตทางสังคม—ไม่ได้คิดขึ้นมาโดยเริ่มจากแง่มุมของความเป็นมนุษย์  การพูดว่าคัมภีร์ศีลธรรมเหล่านี้รับใช้ชนชั้นปกครองและจารีตทางสังคมอาจพ้นวิสัยของเรื่องที่พวกเจ้าควรเข้าใจและควรที่จะสามารถเข้าใจได้ผ่านทางความเชื่อที่พวกเจ้ามีในพระเจ้าอยู่บ้าง แม้จะค่อนข้างเข้าใจได้สำหรับผู้ที่พอจะรู้อะไรบ้างทางด้านการเมือง สังคมศาสตร์ และความคิดอ่านของมนุษย์ก็ตาม  แล้วตามมุมมองของมนุษยชาติ กล่าวคือ ตามมุมมองของเจ้าเอง เจ้าควรรับมือเรื่องดังกล่าวอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยถูกจับกุม คุมขัง และถูกทรมานเพราะความเชื่อของเจ้า  พญานาคใหญ่สีแดงไม่ยอมให้เจ้าได้หลับได้นอนอยู่หลายวันหลายคืน และทรมานเจ้าปางตาย  ไม่ว่าเจ้าจะเป็นชายหรือหญิง ร่างกายและจิตใจของเจ้าย่อมทุกข์ทนกับการถูกทารุณกรรมและทรมานสารพัดอย่าง และเจ้ายังถูกมารพวกนั้นใช้ภาษาที่หมิ่นประมาทและโสมมสารพัดรูปแบบมาถากถาง เยาะเย้ย และโจมตีอีกด้วย  หลังจากทุกข์ทรมานแบบนี้ เจ้ารู้สึกอย่างไรต่อประเทศนี้และรัฐบาลนี้?  (เกลียดชัง)  นี่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง เป็นความเกลียดชังต่อระบบสังคมนี้ ความเกลียดชังต่อพรรครัฐบาลนี้ และความเกลียดชังต่อประเทศนี้  ทุกครั้งที่เห็นตำรวจรัฐ เจ้าเคยรู้สึกนับถืออย่างยิ่ง แต่หลังจากที่ถูกพวกเขาข่มเหง ทรมาน และหมิ่นเกียรติ ความรู้สึกเคารพนับถือในอดีตก็หายไป และหัวใจของเจ้าก็เต็มไปด้วยคำคำเดียวคือ—เกลียดชัง  เกลียดชังที่พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ เกลียดชังที่พวกเขาทำผิดทำนองคลองธรรมอย่างสิ้นเชิง และเกลียดชังที่พวกเขาเป็นเดรัจฉาน เป็นหมู่มาร และเหล่าซาตาน  แม้ว่าเจ้าจะทนทุกข์แสนสาหัสจากการถูกตำรวจรัฐทรมาน หลู่เกียรติ และดูหมิ่น แต่เจ้าก็ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา ได้เห็นว่าพวกเขาล้วนเป็นสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ และเป็นมารที่เกลียดชังความจริงและเกลียดชังพระเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อพวกเขา  นี่ไม่ใช่ความเกลียดชังส่วนตัวหรือความคับข้องหมองใจส่วนตัว นี่คือผลจากการมองเห็นแก่นแท้อันชั่วของพวกเขาอย่างชัดเจน  ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจินตนาการ สรุป หรือกำหนดเอาเอง แต่เป็นความทรงจำทั้งหมดของการที่พวกเขาถากถางเจ้า หมิ่นเกียรติเจ้า และข่มเหงเจ้า—รวมถึงกิริยาท่าทาง การกระทำ และคำพูดทั้งหมดของพวกเขา—ซึ่งทำให้หัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง  นี่ปกติใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อเจ้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ถ้ามีใครบางคนบอกเจ้าว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้  อย่ามีชีวิตอยู่ในความเกลียดชังเลย  วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการความเกลียดชังก็คือสลายมันไป” เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  (ขยะแขยง)  นอกจากขยะแขยงแล้ว เจ้ายังรู้สึกเช่นไรได้อีก?  อย่างนั้นจงบอกเราเถิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะสลายความเกลียดชังนี้?  (ไม่ได้)  สลายไม่ได้  ความเกลียดชังที่ไม่อาจทำใจรับได้ จะให้สลายได้อย่างไร?  ถ้ามีใครใช้คำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” มาชักชวนให้เจ้าปล่อยมือจากความเกลียดชังที่มี เจ้าจะปล่อยมือได้หรือไม่?  เจ้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?  ปฏิกิริยาแรกของเจ้าย่อมจะเป็นว่า “คำกล่าวที่ว่า ‘การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้’ นี้เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระทั้งสิ้น เป็นความคิดเห็นที่ไม่มีความรับผิดชอบของคนที่ยืนดูอยู่เฉยๆ!  ผู้คนที่เผยแพร่แนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมนี้ข่มเหงคริสตชนและคนดีกันทุกวี่วัน—คำพูดเหล่านี้ตีกรอบและส่งผลต่อพวกเขาบ้างไหม?  พวกเขาจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะขับไล่หรือทำลายล้างคริสตชนทุกคนจนหมด!  พวกเขาคือหมู่มารและเหล่าซาตานที่ปลอมตัวมา  ทารุณกรรมผู้คนในยามที่ยังมีชีวิตอยู่ จากนั้นเมื่อผู้คนตายแล้ว พวกเขาก็พูดจาแสดงความเห็นอกเห็นใจอยู่สองสามคำเพื่อชักพาให้ผู้อื่นหลงเชื่อ  นี่เลวมากมิใช่หรือ?”  เจ้าย่อมจะมีปฏิกิริยาและรู้สึกเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าย่อมจะรู้สึกแบบนี้อย่างแน่นอน เกลียดใครก็ตามที่พยายามชักชวนเจ้า จนถึงขั้นที่อยากสาปแช่งพวกเขาด้วยซ้ำ  แต่คนบางคนก็ไม่เข้าใจ  พวกเขาถามว่า “ทำไมคุณทำอย่างนี้?  นี่คือความจงเกลียดจงชังไม่ใช่หรือ?  เป็นความมุ่งร้ายไม่ใช่หรือ?”  เหล่านี้เป็นความเห็นที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบของคนที่ยืนดูอยู่เฉยๆ  เจ้าย่อมจะย้อนให้ว่า “ฉันเป็นมนุษย์ มีศักดิ์ศรีและมีความซื่อตรง แต่พวกเขาไม่ได้ทำกับฉันอย่างมนุษย์  กลับทำเหมือนฉันเป็นเดรัจฉานหรือสัตว์ร้าย ก้าวล่วงศักดิ์ศรีและความซื่อตรงของฉันอย่างมาก  คนที่มุ่งร้ายคือพวกเขาไม่ใช่หรือ?  คุณยอมรับความมุ่งร้ายของพวกเขาอยู่ในที แต่พอพวกเราต้านทานและเกลียดชังพวกเขา คุณกลับกล่าวโทษพวกเราในเรื่องนี้  นั่นย่อมทำให้คุณเป็นเช่นไร?  คนที่เลวคือคุณเองไม่ใช่หรือ?  พวกเขาทำกับพวกเราเหมือนไม่ใช่มนุษย์ ทรมานพวกเรา แต่คุณยังคงบอกให้พวกเราค้ำชูการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ และตอบแทนความชั่วด้วยความดี  คุณเอาแต่พูดจาไร้สาระไม่ใช่หรือ?  ความเป็นมนุษย์ของคุณนั้นปกติอยู่หรือเปล่า?  คุณเสแสร้งและหน้าซื่อใจคด  คุณไม่เพียงมุ่งร้ายอย่างยิ่งเท่านั้น แต่ยังเลวและไม่มีความละอายอีกด้วย!”  ดังนั้น เมื่อมีใครปลอบใจเจ้าด้วยการพูดว่า “ลืมไปเสียเถิด มันจบแล้ว อย่าเก็บความคับข้องเอาไว้  ถ้าคุณเป็นคนหยุมหยิมแบบนี้อยู่เสมอ ในที่สุดคนที่เจ็บก็จะเป็นตัวคุณเอง  ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยมือจากความเกลียดชัง และหัดเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?  เจ้าจะไม่คิดหรอกหรือว่า “วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมทั้งหมดนี้เป็นเพียงเครื่องมือที่ชนชั้นปกครองใช้ควบคุมและชักพาผู้คนให้หลงผิด  ตัวพวกเขาเองไม่เคยถูกแนวคิดและทัศนะเหล่านี้ควบคุม แต่กลับชักพาให้ผู้คนหลงผิดและทำร้ายผู้คนอย่างเหี้ยมโหดทุกวัน  คนที่มีศักดิ์ศรีและซื่อตรงอย่างฉันกลับถูกปั่นหัวเล่นและทารุณกรรมเหมือนเป็นเดรัจฉานหรือสัตว์ร้าย  ฉันทุกข์ทนกับคำสบประมาทและการด้อยค่ามากมายเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา ถูกทรมาน ถูกลิดรอนศักดิ์ศรีและความซื่อตรง เพื่อให้ฉันดูไม่เหมือนคนด้วยซ้ำ  แต่คุณกลับพูดถึงหลักศีลธรรมอย่างนั้นหรือ?  คุณเป็นใครถึงมาพูดเรื่องที่ฟังดูสูงส่งอย่างนี้?  การที่ฉันถูกเหยียดหยามนั้นครั้งเดียวก็มากพอแล้วไม่ใช่หรือ คุณอยากให้พวกเขาเหยียดหยามฉันอีกครั้งหรือไร?  ไม่มีทางที่ฉันจะปล่อยมือจากความเกลียดชังนี้!”  นี่คือสิ่งที่สำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือสิ่งที่สำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  บางคนกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่เป็นการยุยงให้เกิดความเกลียดชัง”  ถ้าเป็นเช่นนั้น ใครกันที่ทำให้คนคนนี้มีพฤติกรรมและความเกลียดชังนี้?  เจ้ารู้หรือไม่?  ถ้าพวกเขาไม่ได้ถูกพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงอย่างทารุณ พวกเขาจะประพฤติตนเช่นนี้หรือไม่?  พวกเขาถูกข่มเหงและพูดความในใจออกมาเท่านั้น—นั่นเป็นการยุยงให้เกิดความเกลียดชังได้อย่างไร?  ระบอบซาตานข่มเหงผู้คนกันแบบนี้ แต่พวกเขากลับไม่ยอมให้ผู้คนพูดความในใจออกมา?  ซาตานข่มเหงผู้คนแถมยังอยากให้พวกเขาหุบปาก  มันไม่ยอมให้พวกเขาเกลียดชังหรือต้านทาน  นั่นเป็นการใช้เหตุผลแบบใด?  ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรต่อต้านการกดขี่และการเบียดเบียนมิใช่หรือ?  พวกเขาควรนบนอบแต่โดยดีเท่านั้นหรือ?  ซาตานทำร้ายและทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามมานานหลายพันปีแล้ว  เมื่อผู้เชื่อเข้าใจความจริง พวกเขาก็ควรตื่นขึ้น ต้านทานซาตาน เปิดโปงมัน เกลียดชังมัน และกบฏต่อมัน  นี่คือความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เป็นเรื่องธรรมดาและชอบธรรมอย่างที่สุด  นี่คือการกระทำที่ดีงามและชอบธรรมซึ่งความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรที่จะสามารถทำได้ และนี่ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสรรเสริญ

ไม่ว่าจะมองมุมไหน คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติด้านศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ไร้มนุษยธรรมและน่าขยะแขยงมาก  คำกล่าวนี้บอกให้ผู้คนในชนชั้นผู้ถูกปกครองไม่ต้านทานการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมใดๆ—โดยไม่คำนึงถึงการโจมตี การทำให้เสื่อมเสีย หรือการบาดเจ็บใดๆ ที่พวกเขาได้รับจากความซื่อตรง ศักดิ์ศรี และสิทธิมนุษยชน—แต่ยอมจำนนโดยดีต่อการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมนั้นเสีย  พวกเขาไม่ควรแก้แค้น หรือคิดเกี่ยวกับสิ่งที่น่าชัง นับประสาอะไรกับการตอบโต้ แต่ต้องทำให้แน่ใจว่าจะเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้  นี่ไม่ไร้มนุษยธรรมหรือ?  เห็นได้ชัดมากว่านี่ไร้มนุษยธรรม  เพราะว่าการนี้พึงต้องให้ชนชั้นที่ถูกปกครอง—ผู้คนธรรมดา—ทำทั้งหมดนี้และประพฤติปฏิบัติตนด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมประเภทนี้ การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของชนชั้นปกครองก็ไม่ควรเกินเลยข้อกำหนดนี้หรือไม่?  นี่เป็นบางสิ่งที่พวกเขาควรจะต้องทำยิ่งขึ้นหรือไม่?  พวกเขาทำสิ่งนี้แล้วหรือไม่?  พวกเขาสามารถทำได้หรือไม่?  พวกเขาใช้คำกล่าวนี้หน่วงเหนี่ยวตนเองและประเมินวัดตนเองหรือไม่?  พวกเขาใช้คำกล่าวนี้ในการปฏิบัติต่อผู้คนของพวกเขา ผู้คนที่พวกเขาปกครองหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่เคยทำเช่นนี้  พวกเขาเพียงบอกให้ผู้คนของตนไม่คำนึงถึงสังคมนี้ ประเทศนี้ หรือชนชั้นปกครองด้วยความไม่เป็นมิตร และไม่ว่าผู้คนจะประสบทุกข์กับการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมอะไรในสังคมหรือในชุมชนของตน และไม่ว่าผู้คนจะทุกข์ทนทางร่างกาย ทางจิตใจ และทางจิตวิญญาณมากแค่ไหน พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้  ในทางกลับกัน ถ้าผู้คนธรรมดา—สามัญชนในสายตาของพวกเขา—บอกพวกเขาว่า “ไม่” หรือเก็บงำข้อคิดเห็นและปากเสียงที่เห็นแย้งใดๆ เกี่ยวกับสถานะ การปกครอง และสิทธิอำนาจของชนชั้นปกครอง พวกเขาจะถูกจัดการอย่างเข้มงวด และถึงกับถูกลงโทษอย่างรุนแรง  นี่คือการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ชนชั้นปกครองที่สนับสนุน “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ต่อผู้คนควรมีหรือไม่?  ถ้าในหมู่ผู้คนธรรมดาของชนชั้นผู้ถูกปกครองมีปัญหาเพียงเล็กน้อย หรือมีการขยับตำแหน่งเพียงเล็กน้อย หรือถ้ามีการต่อต้านพวกเขาในความคิดของผู้คนแม้เพียงเล็กน้อย เช่นนั้นแล้วมันก็จะถูกตัดไฟแต่ต้นลม  พวกเขาควบคุมหัวใจและจิตใจของผู้คน และบังคับผู้คนให้ยอมจำนนต่อพวกเขาอย่างไม่ประนีประนอม  เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า “เมื่อจักรพรรดิสั่งให้ข้าราชบริพารตาย พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตาย” และ “แผ่นดินใต้ฟ้าทั้งหมดเป็นของกษัตริย์ ผู้คนทั้งหมดในโลกเป็นข้าราชบริพารของกษัตริย์”  ไม่มีผิด  ใจความสำคัญของมันก็คือทุกสิ่งที่นักปกครองทำถูกต้อง และผู้คนควรจะถูกเขาหลอกให้หลงกล ควบคุม ดูหมิ่น เล่น เหยียบย่ำ และกัดกินในที่สุด และไม่ว่าชนชั้นปกครองจะทำอะไรพวกเขาก็ถูกต้อง และตราบเท่าที่ผู้คนมีชีวิต พวกเขาต้องเป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง และต้องไม่คิดคดต่อกษัตริย์  ไม่ว่ากษัตริย์จะไม่ดีแค่ไหน ไม่ว่าการปกครองของเขาจะไม่ดีแค่ไหน ผู้คนธรรมดาต้องไม่พูดว่า “ไม่” และต้องไม่เก็บงำความคิดต้านทาน และต้องเชื่อฟังอย่างสิ้นเชิง  ในเมื่อ “ผู้คนทั้งหมดในโลกเป็นข้าราชบริพารของกษัตริย์” หมายความว่าสามัญชนที่กษัตริย์ปกครองเป็นข้าราชบริพารของพระองค์ เช่นนั้นแล้วกษัตริย์จึงไม่ควรเป็นแบบอย่างตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” แก่ผู้คนทั่วไปอย่างนั้นหรือ?  เนื่องจากผู้คนทั่วไปโง่เขลา ไม่รู้เท่าทัน ไม่รู้เรื่องรู้ราว และไม่เข้าใจกฎหมาย พวกเขาจึงทำสิ่งที่ผิดกฎหมายและเป็นอาชญากรรมบ่อยๆ  ดังนั้นกษัตริย์จึงไม่ควรเป็นคนแรกจากทั้งหมดที่ใช้คำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” หรือ?  การเมตตาผู้คนธรรมดาเท่ากับที่เขาเมตตาลูกหลานของตน—นั่นคือสิ่งที่กษัตริย์ควรทำมิใช่หรือ?  กษัตริย์ไม่ควรมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เช่นนี้อีกด้วยหรือไม่?  (ควร)  แล้วเขาทำข้อกำหนดนี้กับตนเองหรือไม่?  (ไม่)  เมื่อกษัตริย์สั่งให้ปราบปรามความเชื่อทางศาสนา พวกเขาพึงต้องให้ตนเองยึดติดคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” หรือไม่?  เมื่อกองทัพและกองตำรวจของพวกเขาข่มเหงและทรมานคริสตชนอย่างโหดเหี้ยม พวกเขาขอให้รัฐบาลของตนยึดติดคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” หรือไม่?  พวกเขาไม่เคยขอให้รัฐบาลหรือกองกำลังตำรวจของตนทำเช่นนั้น  แต่กลับรบเร้าและบังคับรัฐบาลและกองกำลังตำรวจให้ปราบปรามความเชื่อทางศาสนาอย่างเข้มงวด และถึงกับออกคำสั่งในแนวของ “จงตีพวกเขาให้ตายด้วยนิรโทษกรรม” และ “จงทำลายพวกเขาโดยไม่ส่งเสียงเลย” ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากษัตริย์แห่งโลกชั่วนี้เป็นมาร พวกเขาคือกษัตริย์มาร พวกเขาคือซาตาน  พวกเขาอนุญาตให้เจ้าหน้าที่จุดไฟเท่านั้น แต่ไม่อนุญาตให้ผู้คนจุดตะเกียงเสียด้วยซ้ำ  พวกเขาใช้คำกล่าวดั้งเดิมด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้หน่วงเหนี่ยวและจำกัดควบคุมผู้คน ด้วยกลัวว่าผู้คนจะลุกขึ้นต่อต้านพวกเขา  ดังนั้นชนชั้นปกครองจึงใช้คำกล่าวทุกประเภทด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมหลอกผู้คนให้หลงกล  พวกเขามีจุดประสงค์เดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือจำกัดควบคุมและผูกมัดมือและเท้าของผู้คน เพื่อที่ผู้คนจะยอมจำนนต่อการปกครองของพวกเขา และพวกเขาไม่ต้องยอมทนต่อการต้านทาน  พวกเขาใช้ทฤษฎีด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้หลอกลวงและทำให้ผู้คนมึนงง ตบตาพวกเขาจนพวกเขาอาจก้มกราบและเป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง  ไม่ว่าชนชั้นปกครองจะรอดตัวและเหยียบย่ำผู้คนมากแค่ไหน ไม่ว่าพวกเขาจะบีบคั้นและหาประโยชน์จากผู้คนมากแค่ไหน ผู้คนก็สามารถยอมจำนนแต่โดยดีเท่านั้น และไม่สามารถต้านทานได้เลย  แม้แต่เวลาที่เผชิญหน้าความตาย ผู้คนก็เพียงสามารถเลือกที่จะหลบหนีเท่านั้น  พวกเขาไม่สามารถต้านทาน และไม่กล้าเก็บงำความคิดที่จะต่อต้านเสียด้วยซ้ำ  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะมองจอบและเคียว หรือเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ข้างตัว หรือแม้แต่นำมีดพกและกรรไกรตัดเล็บติดตัวไปด้วย โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง และพวกเขาจะยอมจำนนต่อการปกครองของกษัตริย์เสมอ และจงรักภักดีต่อกษัตริย์ตลอดกาล  ความจงรักภักดีของพวกเขาควรแผ่ขยายออกไปแค่ไหน?  ไม่มีใครกล้าพูดว่า “ในฐานะประชาชน พวกเราต้องใช้แนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมกำกับดูแลและหน่วงเหนี่ยวกษัตริย์ของพวกเรา” และไม่มีใครกล้าเสนอแนะข้อคิดเห็นที่ต่างออกไปแม้เพียงเล็กน้อยเมื่อได้รู้ว่ากษัตริย์กำลังทำชั่ว ไม่เช่นนั้นนั่นจะทำให้พวกเขาถูกฆ่า  เห็นได้ชัดมากว่านักปกครองมองตนเองไม่เพียงเป็นกษัตริย์ของผู้คนเท่านั้น แต่ยังเป็นอธิปไตยและผู้ควบคุมประชาชนอีกด้วย  ในประวัติศาสตร์จีน จักรพรรดิเหล่านี้เรียกตัวเองว่า “เทียนจื่อ”  “เทียนจื่อ” มีความหมายว่าอะไร?  หมายความว่าบุตรแห่งสวรรค์ชั้นฟ้า หรือเรียกสั้นๆ ว่า “บุตรแห่งสวรรค์”  ทำไมพวกเขาถึงไม่เรียกตัวเองว่า “บุตรแห่งแผ่นดินโลก”?  ถ้าพวกเขาเกิดบนแผ่นดินโลก พวกเขาก็ควรเป็นบุตรของแผ่นดินโลก และในเมื่อเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเกิดบนแผ่นดินโลก ทำไมถึงเรียกตนเองว่า “บุตรแห่งสวรรค์”?  จุดประสงค์ของการเรียกตนเองว่าบุตรแห่งสวรรค์คืออะไร?  พวกเขาต้องการดูถูกสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและสามัญชนเหล่านี้ใช่หรือไม่?  วิธีที่พวกเขาปกครองคือการควบคุมผู้คนด้วยอำนาจและสถานะเหนือสิ่งอื่นใด  กล่าวคือเมื่อพวกเขาเถลิงอำนาจและกลายเป็นจักรพรรดิ พวกเขาคิดว่าไม่เป็นไรที่จะปฏิบัติต่อผู้คนอย่างหยาบคาย และผู้คนเสี่ยงที่จะถูกประหารชีวิตเพราะแสดงท่าทีนิ่งเฉยแม้เพียงเล็กน้อย  นั่นคือที่มาของชื่อ “บุตรแห่งสวรรค์”  ถ้าจักรพรรดิพูดว่าเขาเป็นบุตรแห่งแผ่นดินโลก เขาก็จะดูเหมือนมีสถานะที่ต่ำต้อย และจะไม่มีบารมีที่เขาอ้างว่ากษัตริย์ควรมี และเขาจะไม่สามารถขู่ขวัญชนชั้นผู้ถูกปกครองได้  ดังนั้นเขาจึงเพิ่มเดิมพันโดยอ้างว่าเขาเป็นบุตรแห่งสวรรค์ และต้องการเป็นตัวแทนของสวรรค์  เขาสามารถเป็นตัวแทนของสวรรค์ได้หรือ?  เขามีแก่นแท้นั้นหรือไม่?  ถ้าคนเรายืนกรานที่จะเป็นตัวแทนของสวรรค์โดยไม่มีแก่นแท้ที่จะทำเช่นนั้น นั่นถือเป็นการเสแสร้ง  ในด้านหนึ่ง นักปกครองเหล่านี้คำนึงถึงสวรรค์และพระเจ้าด้วยความไม่เป็นมิตร แต่ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาเป็นบุตรแห่งสวรรค์ และพวกเขาได้รับมอบอำนาจจากสวรรค์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การปกครองของตน  นี่ไม่ไร้ยางอายหรือ?  เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเหล่านี้ จุดประสงค์ของคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ซึ่งถูกเผยแพร่ในหมู่มวลมนุษย์ก็เพื่อจำกัดควบคุมการขบคิดตามปกติของผู้คน ผูกมัดมือและเท้าของผู้คน จำกัดควบคุมพฤติกรรมของผู้คน และแม้แต่จำกัดควบคุมความคิด ทัศนะ และการแสดงออกต่างๆ ของผู้คนภายในขอบเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เมื่อพิจารณารากเหง้าของสิ่งนี้ จุดประสงค์ของสิ่งเหล่านี้คือการก่อร่างจารีตประเพณีทางสังคมและหลักศีลธรรมทางสังคมที่ดี  แน่นอนว่าโดยการสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ สิ่งเหล่านี้ยังสนองความมักใหญ่ใฝ่สูงของชนชั้นปกครองที่จะปกครองไปนานๆ อีกด้วย แต่ไม่ว่าพวกเขาจะปกครองอย่างไร สุดท้ายแล้วเหยื่อก็คือมวลมนุษย์  มวลมนุษย์ถูกจำกัดขอบเขตและได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิม  ผู้คนไม่เพียงสูญเสียโอกาสที่จะได้ยินข่าวประเสริฐและรับความรอดจากพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังสูญเสียโอกาสที่จะแสวงหาความจริงและเดินในเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตอีกด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้การควบคุมของนักปกครอง ผู้คนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับพิษ ความนอกรีตและเหตุผลวิบัติหลายประเภท และสิ่งที่เป็นลบอื่นๆ ที่มาจากซาตาน  ในช่วงไม่กี่พันปีที่แล้วของประวัติศาสตร์อันยาวนานของมวลมนุษย์ ซาตานได้ให้การศึกษา พร่ำสอน และลวงมวลมนุษย์ให้หลงกลโดยการเผยแพร่ความรู้และกระจายทฤษฎีเชิงอุดมการณ์ต่างๆ ส่งผลให้ผู้คนหลายรุ่นได้รับอิทธิพลและถูกจำกัดควบคุมอย่างลุ่มลึกโดยแนวคิดและมุมมองเหล่านี้  แน่นอนว่าภายใต้อิทธิพลของแนวคิดและมุมมองจากซาตานเหล่านี้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนรุนแรงขึ้นและร้ายแรงขึ้น  กล่าวคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนได้รับการส่งเสริมและ “ทำให้สูงส่ง” บนพื้นฐานนี้ และหยั่งรากลึกในหัวใจของผู้คน ทำให้พวกเขาปฏิเสธพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า และจมลึกลงไปในบาปที่พวกเขาไม่สามารถถอนตัวเองออกมาได้  ในส่วนของการก่อร่างคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้—“การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้”—รวมทั้งจุดมุ่งหมายในการเสนอแนะข้อกำหนดนี้ ความเสียหายที่ผู้คนถูกกระทำตั้งแต่คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ได้ก่อร่างขึ้น และแง่มุมอื่นๆ ทั้งหมด พวกเราจะไม่สามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้ตอนนี้ และพวกคุณสามารถใช้เวลาในภายหลังใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้เพิ่มเติมด้วยตนเอง

ชาวจีนไม่ใช่ไม่คุ้นเคยกับคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีอิทธิพลต่อผู้คนในชั่วข้ามคืน  คุณมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมประเภทนี้ คุณได้รับการศึกษาเชิงอุดมการณ์ประเภทนี้เกี่ยวกับแง่มุมทั้งหลายของวัฒนธรรมดั้งเดิมและหลักศีลธรรม และคุณคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ แต่คุณก็ไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งเหล่านี้สามารถส่งผลลัพธ์ที่เป็นลบอย่างใหญ่หลวง  สิ่งเหล่านี้จะขัดขวางคุณไม่ให้เชื่อในพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงมากแค่ไหน หรือสิ่งเหล่านี้จะมีอิทธิพลหรือขัดขวางมากแค่ไหนในเส้นทางที่คุณเดินในอนาคต?  พวกคุณตระหนักรู้ประเด็นเหล่านี้หรือไม่?  พวกคุณควรใคร่ครวญและวินิจฉัยเพิ่มเติมในหัวข้อที่เราได้สามัคคีธรรมกันในวันนี้ เพื่อทำความเข้าใจอย่างถ้วนทั่วในบทบาทที่วัฒนธรรมดั้งเดิมเล่นในการให้ความรู้แก่มวลมนุษย์ ว่าคืออะไรกันแน่ และผู้คนควรปฏิบัติต่อสิ่งนี้ให้ถูกต้องอย่างไร  คำพูดเหล่านี้ที่เราได้สามัคคีธรรมกันข้างต้นเอื้ออำนวยและเป็นประโยชน์สำหรับคุณในการทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ในวัฒนธรรมดั้งเดิม  แน่นอนว่าความเข้าใจนี้ไม่เพียงเป็นความเข้าใจในวัฒนธรรมดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังเป็นความเข้าใจในการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอีกด้วย และวิธีและวิถีทางต่างๆ ที่ซาตานใช้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม และแม้กระทั่งทัศนะต่างๆ ที่มันปลูกฝังในผู้คนโดยเฉพาะ รวมทั้งวิธีและวิถีทาง ทัศนะ มุมมอง จุดยืน และอื่นๆ ที่มันใช้ปฏิบัติต่อโลกและมวลมนุษย์  หลังจากได้รับความเข้าใจอย่างถ้วนทั่วในสิ่งต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิม สิ่งที่พวกคุณควรทำไม่ใช่เพียงหลีกเลี่ยงและปฏิเสธคำกล่าวและทัศนะต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิม  แต่คุณกลับควรเข้าใจและชำแหละให้เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นว่าอันตรายใด การจำกัดควบคุมใด และพันธนาการใดที่คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่คุณยึดปฏิบัติตามและค้ำจุนได้ก่อให้เกิดกับคุณ และบทบาทใดที่พวกเขาเล่นในการส่งผลกระทบ รบกวน และขัดขวางความคิดและทัศนะของคุณในการวางตัวคุณเอง รวมทั้งการที่คุณยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง และส่งผลให้คุณล่าช้าในการยอมรับความจริง เข้าใจความจริง ปฏิบัติความจริง และเชื่อฟังพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์และอย่างแน่นอนที่สุด  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้คนควรคิดทบทวนและตระหนักรู้โดยแน่แท้  คุณไม่สามารถเลี่ยงหนีหรือปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ไปเฉยๆ คุณต้องสามารถวินิจฉัยและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถ้วนทั่ว เพื่อให้คุณสามารถปลดปล่อยจิตใจของคุณให้เป็นอิสระอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่ลวงโลกและทำให้หลงผิดเหล่านี้ในวัฒนธรรมดั้งเดิม  ต่อให้คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมบางคำไม่หยั่งรากลึกในตัวคุณ แต่สำแดงตนให้เห็นเป็นครั้งคราวในการขบคิดและมโนคติอันหลงผิดของคุณ คำกล่าวเหล่านี้ก็ยังคงสามารถรบกวนคุณในช่วงเวลาสั้นๆ หรือในระหว่างเหตุการณ์เดียว  หากคุณไม่สามารถวินิจฉัยได้อย่างชัดเจน คุณอาจยังคงถือว่าคำกล่าวและทัศนะบางอย่างเป็นสิ่งที่เป็นบวกหรือใกล้เคียงความจริงมากๆ และนี่เป็นบางสิ่งที่เป็นปัญหาอย่างมาก  มีคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมบางคำที่คุณชอบมากภายในใจ  คุณไม่เพียงเห็นด้วยกับสิ่งเหล่านั้นในหัวใจของคุณ แต่คุณยังรู้สึกด้วยว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถระบายในที่สาธารณะ ผู้คนจะสนใจที่จะได้ยินสิ่งเหล่านั้น และพวกเขาจะยอมรับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นบวก  คำกล่าวเหล่านี้เป็นคำกล่าวที่คุณจะปล่อยวางยากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย  แม้ว่าคุณจะไม่ได้ยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง แต่คุณตระหนักรู้ภายในว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เป็นบวกในหัวใจของคุณ และสิ่งเหล่านี้หยั่งรากลงในหัวใจของคุณและกลายเป็นชีวิตของคุณโดยไม่รู้สึกตัว  เมื่อคุณมาเชื่อในพระเจ้าและยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติเพื่อรบกวนคุณและขัดขวางคุณไม่ให้ยอมรับความจริง  เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ขัดขวางผู้คนไม่ให้ไล่ตามเสาะหาความจริง  ถ้าคุณไม่สามารถวินิจฉัยสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ก็เป็นการง่ายที่จะสับสนปนเปสิ่งเหล่านี้กับความจริง และจัดให้มีสถานะเดียวกัน ซึ่งสามารถมีผลลัพธ์ที่เป็นลบต่อผู้คนได้  อาจเป็นไปได้ว่าคุณไม่ได้ปฏิบัติต่อคำกล่าวเหล่านี้—เช่น “จงอย่านำเงินที่เจ้าเก็บได้มาใส่ในกระเป๋า” “จงได้รับความหรรษายินดีจากการช่วยเหลือผู้อื่น” และ “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น”—ในฐานะความจริง และคุณไม่ถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นมาตรฐานสำหรับประเมินวัดการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของคุณเอง และคุณไม่ไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นในฐานะจุดหมายสำหรับการวางตัวคุณเอง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ได้รับอิทธิพลและถูกทำให้เสื่อมทรามโดยวัฒนธรรมดั้งเดิม  อาจเป็นไปได้อีกด้วยว่าคุณเป็นคนที่ไม่แยแสรายละเอียดที่ไม่สลักสำคัญ ตราบเท่าที่คุณไม่สนใจว่าคุณจะนำเงินที่คุณเก็บได้มาใส่ในกระเป๋าหรือไม่ หรือคุณจะได้รับความหรรษายินดีจากการช่วยเหลือผู้อื่นหรือไม่  แต่คุณต้องเข้าใจและชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งหนึ่ง นั่นคือคุณมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมประเภทนี้และอยู่ภายใต้อิทธิพลของการศึกษาเชิงอุดมการณ์และวัฒนธรรมดั้งเดิม ดังนั้นคุณจะทำตามคำกล่าวเหล่านี้ที่มวลมนุษย์สนับสนุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะเลือกใช้บางส่วนเป็นอย่างน้อยเป็นมาตรฐานของคุณสำหรับประเมินวัดการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  นี่คือสิ่งที่คุณควรคิดทบทวนอย่างรอบคอบ  อาจเป็นไปได้อีกด้วยว่าคุณไม่ได้เลือกใช้คำกล่าวเช่น “จงอย่านำเงินที่เจ้าเก็บได้มาใส่ในกระเป๋า” หรือ “จงได้รับความหรรษายินดีจากการช่วยเหลือผู้อื่น” เป็นมาตรฐานของคุณสำหรับประเมินวัดการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม แต่ลึกลงไปในหัวใจของคุณ คุณคิดว่าคำกล่าวอื่นๆ เช่น “ฉันจะยอมรับกระสุนแทนเพื่อน” สูงส่งเป็นพิเศษ และกลายเป็นหลักปรัชญาที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณ หรือกลายเป็นเกณฑ์กำหนดสูงสุดที่คุณใช้มองผู้คนและสิ่งต่างๆ และวางตัวคุณเองและลงมือทำ  นี่แสดงให้เห็นอะไร?  แม้ว่าลึกลงไปในหัวใจของคุณ คุณไม่เจตนาเคารพหรือทำตามวัฒนธรรมดั้งเดิม หลักปรัชญาของการวางตัว วิธีที่คุณวางตัวคุณเอง และจุดหมายชีวิตของคุณ รวมทั้งหลักธรรมทั้งหลาย ผลสรุป และหลักปรัชญาสำหรับจุดหมายชีวิตที่คุณไล่ตามเสาะหาไม่ได้เป็นอิสระจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเลย  สิ่งเหล่านั้นไม่หลุดรอดจากคุณค่าแห่งความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะสม ปัญญา และความน่าไว้วางใจที่มวลมนุษย์ค้ำจุน หรือหลักปรัชญาด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมบางประการที่มวลมนุษย์สนับสนุน—คุณไม่ได้หลีกหนีจากขอบเขตจำกัดเหล่านี้เลย  กล่าวง่ายๆ ก็คือตราบใดที่คุณเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม เป็นมนุษย์ที่มีชีวิต และคุณกินอาหารของโลกมนุษย์ เช่นนั้นแล้วหลักธรรมแห่งการวางตัวและชีวิตที่คุณทำตามก็ไม่มากไปกว่าหลักธรรมและหลักปรัชญาสำหรับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้  พวกคุณควรเข้าใจคำพูดที่ฉันพูดเหล่านี้และปัญหาที่ฉันเปิดโปงเหล่านี้  แต่ทว่าบางทีคุณอาจคิดว่าคุณไม่มีปัญหาเหล่านี้ ดังนั้นคุณจึงไม่สนใจสิ่งที่ฉันพูด  ข้อเท็จจริงก็คือผู้คนล้วนมีปัญหาเหล่านี้ในระดับที่แตกต่างกัน ไม่ว่าคุณจะตระหนักหรือไม่ และนี่คือบางสิ่งที่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงควรคิดทบทวนและเข้าใจอย่างรอบคอบ1

พวกเราเพิ่งพูดกันไปว่าคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” นี้เป็นข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมวลมนุษย์  พวกเรายังใช้คำกล่าวนี้ชำแหละปัญหาบางข้อและผลกระทบบางประการที่คำกล่าวนี้มีต่อมวลมนุษย์  คำกล่าวนี้พาให้มวลมนุษย์รู้จักแนวคิดและทัศนะบางอย่างที่ไม่ก่อให้เกิดผลดี และมีผลเชิงลบบางอย่างต่อการไล่ตามเสาะหาและการอยู่รอดของผู้คน ซึ่งผู้คนควรตระหนักรู้  ดังนั้นผู้เชื่อควรทำความเข้าใจปัญหาเรื่องความเอื้ออารีและความใจกว้างในความเป็นมนุษย์ว่าอย่างไร?  คนเราจะสามารถทำความเข้าใจปัญหาเหล่านี้ตามมุมมองของพระเจ้ากันอย่างถูกต้องและเป็นบวกได้อย่างไร?  นี่เป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจด้วยมิใช่หรือ?  (ใช่)  แท้จริงแล้วการทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก  เจ้าไม่จำเป็นต้องเดา หรือค้นคว้าวิจัยข้อมูลใดๆ  เพียงเรียนรู้จากสิ่งที่พระเจ้าตรัสและพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในหมู่ผู้คน และจากพระอุปนิสัยของพระเจ้าดังที่แสดงไว้ในการที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนทุกประเภทในลักษณะต่างๆ กัน พวกเราก็จะสามารถรู้ได้อย่างแม่นยำว่าพระเจ้าทรงมีความคิดเห็นเช่นไรต่อคำกล่าวและทัศนะเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม และแท้จริงแล้วเจตนารมณ์ของพระองค์คืออะไร  เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์และทัศนะของพระเจ้าแล้ว ผู้คนก็ควรมีเส้นทางที่จะใช้ไล่ตามเสาะหาความจริง  คำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า” ซึ่งผู้คนยึดถือกันนั้น หมายความว่าเมื่อหัวของคนคนหนึ่งถูกตัดและหล่นลงพื้น นั่นคือตอนจบของเรื่องและไม่ควรไล่ตามอีกต่อไป  นี่คือมุมมองแบบหนึ่งมิใช่หรือ?  เป็นมุมมองที่ผู้คนยึดถือกันทั่วไปมิใช่หรือ?  นี่หมายความว่าเมื่อคนคนหนึ่งมาถึงวาระสุดท้ายในชีวิตทางกายภาพของตน ชีวิตนั้นย่อมจบสิ้นแล้ว  สิ่งไม่ดีทั้งปวงที่คนคนนั้นทำไว้ในชีวิตของตน ความรัก ความเกลียดชัง ความหลงใหล และความเป็นอริทั้งมวลที่พวกเขาเคยประสบ ย่อมถูกประกาศให้สิ้นสุดลงในตอนนั้นด้วย และชีวิตนั้นก็ถือว่าสิ้นสุดแล้ว  ผู้คนเชื่อกันเช่นนี้ แต่เมื่อพิจารณาจากพระวจนะของพระเจ้าและเครื่องบ่งชี้ต่างๆ ในการกระทำของพระเจ้า นี่ใช่หลักธรรมในการกระทำของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ดังนั้น อะไรคือหลักธรรมในการกระทำของพระเจ้า?  พระเจ้าทรงใช้หลักการอะไรทำสิ่งทั้งหลายดังกล่าว?  บางคนกล่าวว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้ตามกฎการปกครองของพระองค์ ซึ่งก็ถูกต้อง แต่ไม่ใช่ภาพที่สมบูรณ์  ในด้านหนึ่งก็เป็นไปตามกฎการปกครองของพระองค์ แต่อีกด้านหนึ่ง พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนทุกประเภทตามอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์—นี่จึงเป็นภาพที่สมบูรณ์  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ถ้าคนคนหนึ่งถูกประหารและหัวของพวกเขาหล่นลงพื้น ชีวิตของคนคนนั้นสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่?  (ไม่)  ถ้าอย่างนั้นพระเจ้าทรงจบชีวิตของคนคนหนึ่งอย่างไร?  นี่ใช่วิธีที่พระเจ้าทรงจัดการคนคนหนึ่งหรือไม่?  (ไม่ใช่)  วิธีที่พระเจ้าทรงใช้จัดการคนไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ใช่เพียงประหารพวกเขาด้วยการตัดหัวแล้วเป็นอันจบ  ย่อมมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด มีความสอดคล้องและคงเส้นคงวาในวิธีที่พระเจ้าทรงใช้จัดการมวลมนุษย์  นับแต่เวลาที่ดวงจิตกลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ จนถึงเวลาที่ดวงจิตนั้นกลับคืนสู่โลกวิญญาณหลังจากสิ้นสุดชีวิตทางกายภาพของบุคคลดังกล่าวแล้ว ไม่ว่าจะไปตามครรลองใด จะในโลกวิญญาณหรือในโลกวัตถุ ดวงจิตนั้นก็ต้องอยู่ภายใต้การจัดการของพระเจ้า  ในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะได้รับรางวัลหรือถูกลงโทษย่อมขึ้นอยู่กับกฎการปกครองของพระเจ้า และย่อมมีกฎเกณฑ์ของสวรรค์  นี่หมายความว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อคนคนหนึ่งอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับโชคชะตาชั่วชีวิตที่พระองค์ทรงลิขิตไว้ให้แต่ละบุคคล  เมื่อโชคชะตาของคนเราสิ้นสุดลง พวกเขาจะอยู่ภายใต้การดำเนินการตามธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงตราไว้และกฎเกณฑ์ของสวรรค์เรื่องการลงโทษคนชั่วและให้รางวัลคนดี  ถ้าใครทำความชั่วในโลกไว้มาก เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องถูกลงโทษอย่างหนัก ถ้าไม่ได้ทำความชั่วมากนักและแม้กระทั่งทำความดีไว้บ้าง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ควรได้รางวัล  ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถกลับมาเกิดใหม่ต่อไปอีกหรือไม่ และจะเกิดใหม่เป็นมนุษย์หรือเดรัจฉาน ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของพวกเขาในชีวิตนี้  ทำไมเราจึงสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้?  เพราะต่อท้ายคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า” ยังมีอีกวลีหนึ่งคือ “จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  พระเจ้าไม่ทรงมีวิธีการพูดหรือทำสิ่งต่างๆ ในแบบที่พยายามเกลี่ยเรื่องให้เบาลงอย่างไร้หลักธรรม  การกระทำของพระเจ้าย่อมมีการเผยให้เห็นผ่านทางวิธีจัดการสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตั้งแต่ต้นจนจบของพระองค์ ซึ่งล้วนทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าพระเจ้าคือผู้ที่ครองอธิปไตยเหนือโชคชะตาของมนุษย์ จัดวางเรียบเรียงและจัดแจงเตรียมโชคชะตาของมนุษย์ แล้วจากนั้นจึงลงโทษคนชั่วและให้รางวัลคนดีตามพฤติกรรมของแต่ละคน ตัดสินลงโทษไปตามสมควร  แล้วตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้นั้น ผู้คนควรถูกลงโทษไม่ว่าจะนานกี่ปีและเกิดใหม่กี่ครั้งก็ตาม ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาทำชั่วมากเท่าใด และโลกวิญญาณย่อมดำเนินการในเรื่องนี้ตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้ โดยไม่มีความเบี่ยงเบนแม้แต่น้อย  ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ และใครก็ตามที่เปลี่ยนแปลง ย่อมละเมิดกฎเกณฑ์ของสวรรค์ที่พระเจ้าทรงบัญญัติไว้ และย่อมจะถูกลงโทษโดยไม่มีข้อยกเว้น  ในสายพระเนตรของพระเจ้า กฎเกณฑ์เหล่านี้ของสวรรค์เป็นสิ่งที่มิอาจละเมิดได้  นี่หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าใครก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะทำความชั่วอะไรไว้ หรือละเมิดกฎเกณฑ์และข้อบังคับข้อใดของสวรรค์ก็ตาม ย่อมจะถูกจัดการในที่สุดโดยไม่มีการรอมชอม  ไม่เหมือนกฎหมายของโลก—ซึ่งมีการรอลงอาญา หรือมีคนช่วยไกล่เกลี่ยได้ หรือผู้พิพากษาอาจทำตามความรู้สึกของตนและทำตัวใจดีมีเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ เพื่อให้คนคนนั้นไม่ถูกตัดสินว่าก่ออาชญากรรมจริงและถูกลงโทษตามนั้น—สิ่งต่างๆ ในโลกวิญญาณไม่ได้เป็นเช่นนี้  พระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อชีวิตทั้งในอดีตและปัจจุบันของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายอย่างเข้มงวดตามธรรมบัญญัติที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ ซึ่งก็คือกฎเกณฑ์ของสวรรค์  ไม่ว่าการกระทำผิดของผู้คนจะร้ายแรงหรือเล็กน้อยเพียงใด หรือความดีของพวกเขาจะยิ่งใหญ่หรือไร้นัยสำคัญเพียงใดก็ไม่สำคัญ ไม่ว่าการกระทำผิดหรือความดีของคนเหล่านั้นจะดำเนินมานานเพียงใด หรือเกิดไปนานเท่าใดแล้วก็ไม่สำคัญ  ทั้งหมดนี้ไม่มีเรื่องใดเปลี่ยนแปลงวิถีที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างทรงปฏิบัติต่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา  กล่าวคือ กฎเกณฑ์ของสวรรค์ที่พระเจ้าทรงวางไว้นั้นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  นี่คือหลักธรรมเบื้องหลังการกระทำของพระเจ้าและเบื้องหลังวิธีการที่พระองค์ทรงทำสิ่งต่างๆ  นับตั้งแต่มนุษย์ถือกำเนิดเกิดมาและพระเจ้าก็เริ่มทรงพระราชกิจในหมู่พวกเขา กฎการปกครองที่พระองค์ทรงตราไว้ ซึ่งก็คือกฎเกณฑ์ของสวรรค์นั้น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  เพราะฉะนั้น ในท้ายที่สุดพระเจ้าย่อมจะมีวิธีจัดการการกระทำผิด ความประพฤติดี และความประพฤติชั่วทุกประเภทของมวลมนุษย์  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดต้องจ่ายราคาที่เหมาะสมกับการกระทำและพฤติกรรมของตน  อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งมวลย่อมถูกพระเจ้าลงโทษเพราะการกบฏต่อพระเจ้า ความประพฤติชั่วที่พวกเขาทำ และการกระทำผิดที่พวกเขาหลงเหลือไว้เบื้องหลัง ไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงจงเกลียดจงชังผู้คน  พระเจ้าไม่ใช่สมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์  พระเจ้าก็คือพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดถูกลงโทษไม่ใช่เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างทรงเกลียดชังผู้คน แต่เพราะพวกเขาละเมิดกฎเกณฑ์ของสวรรค์ ข้อบังคับ ธรรมบัญญัติ และพระบัญญัติที่พระเจ้าทรงวางเอาไว้ และข้อเท็จจริงนี้ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้  เมื่อมองจากมุมนี้ ในสายพระเนตรของพระเจ้าย่อมไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่า “การเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  พวกเจ้าอาจไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เรากำลังพูดอย่างถ่องแท้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดก็คือให้พวกเจ้ารู้ไว้ว่าพระเจ้าไม่ทรงมีความเกลียดชัง มีแต่เพียงกฎเกณฑ์ของสวรรค์ กฎการปกครอง ธรรมบัญญัติ พระอุปนิสัยของพระองค์ พระพิโรธและบารมีของพระองค์ซึ่งไม่ทนยอมรับการล่วงเกินเท่านั้น  เพราะฉะนั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้าจึงไม่มีเรื่องทำนอง “เมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  เจ้าไม่ควรใช้ข้อกำหนดที่บอกให้เมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้มาประเมินพระเจ้า และไม่ควรพินิจพิเคราะห์พระเจ้าตามข้อกำหนดนี้  คำว่า “พินิจพิเคราะห์พระเจ้า” หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าบางครั้งเมื่อพระเจ้าทรงแสดงความกรุณาและความยอมผ่อนปรนต่อผู้คน บางคนก็จะพูดว่า “ดูเถิด พระเจ้าทรงดีงาม พระเจ้าทรงรักผู้คน พระองค์ทรงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ ทรงยอมผ่อนปรนให้มนุษย์อย่างแท้จริง พระเจ้าทรงใจกว้างอย่างที่สุด พระทัยกว้างกว่าจิตใจของมนุษย์มาก และใหญ่กว่าจิตใจของพวกนายกรัฐมนตรีเสียอีก!”  การพูดแบบนั้นถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ถ้าเจ้าสรรเสริญพระเจ้าแบบนี้ นี่ใช่เรื่องที่สมควรพูดหรือไม่?  (ไม่สมควร)  การพูดจาแบบนี้ผิดและไม่อาจใช้กับพระเจ้าได้  มนุษย์พยายามที่จะเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ เพื่อแสดงความใจกว้างและความยอมผ่อนปรนของตน และโอ้อวดว่าตนนั้นเป็นคนที่ยอมผ่อนปรน มีใจเอื้ออารี และเป็นคนที่มีคุณธรรมอันประเสริฐ  ส่วนพระเจ้านั้น ในแก่นแท้ของพระเจ้ามีความกรุณาและความยอมผ่อนปรน  ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนคือแก่นแท้ของพระเจ้า  แต่แก่นแท้ของพระเจ้าไม่ใช่ความเอื้ออารีและความยอมผ่อนปรนที่มนุษย์แสดงให้เห็นด้วยการเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้  สองสิ่งนี้ต่างกัน  ในการเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้นั้น จุดมุ่งหมายของมนุษย์ก็คือการทำให้ผู้คนพูดถึงตนในทางที่ดีว่าตนนั้นใจกว้าง รู้ความควรไม่ควร และเป็นคนดี  นอกจากนี้ยังเป็นเพราะแรงกดดันทางสังคมและเป็นไปเพื่อความอยู่รอด  ผู้คนเพียงแต่แสดงความเอื้อเฟื้อเล็กน้อยและความใจกว้างต่อผู้อื่นบ้างเพื่อให้สัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายหนึ่งๆ ไม่ใช่เพื่อที่จะยึดถือหรือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของมโนธรรม แต่เพื่อทำให้ผู้คนยอมรับนับถือและเคารพบูชาตน หรือเพราะเป็นส่วนหนึ่งของเหตุจูงใจที่แฝงเร้นหรือเล่ห์เหลี่ยมบางอย่าง  ไม่มีความบริสุทธิ์ในการกระทำของพวกเขา  แล้วพระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ เช่น การเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้หรือไม่?  พระเจ้าไม่ทรงทำเรื่องแบบนั้น  บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าทรงแสดงความเมตตาต่อผู้คนด้วยไม่ใช่หรือ?  แล้วเมื่อพระองค์ทรงทำเช่นนั้น พระองค์ก็กำลังทรงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ?”  ไม่ใช่ มีความแตกต่างที่ผู้คนควรทำความเข้าใจในที่นี้  ผู้คนควรเข้าใจว่าอย่างไร?  ว่าเมื่อผู้คนทำตามคำกล่าวที่ว่า “จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” พวกเขาทำกันอย่างไม่มีหลักธรรม  พวกเขาทำไปเพราะยอมจำนนต่อแรงกดดันของสังคมและความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ และเพื่อเสแสร้งว่าตนนั้นเป็นคนดี  ผู้คนจำใจทำเช่นนี้เพราะมีจุดมุ่งหมายที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านี้ พลางสวมหน้ากากของความหน้าซื่อใจคดเพื่ออวดตนว่าเป็นคนดี  หรือบางทีพวกเขาอาจจะถูกรูปการณ์แวดล้อมบีบบังคับ และอยากแก้แค้น แต่ทำไม่ได้ และในสถานการณ์อย่างนี้ที่ไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาจึงจำใจปฏิบัติตามหลักปรัชญาข้อนี้  นี่ไม่ได้มาจากการพรั่งพรูแก่นแท้ภายในตัวพวกเขาออกมา  ผู้คนที่ทำเช่นนี้ได้ไม่ใช่คนดีจริง หรือคนที่รักสิ่งที่เป็นบวกอย่างแท้จริง  ดังนั้นการที่พระเจ้าทรงยอมผ่อนปรนและเปี่ยมกรุณาต่อผู้คน แตกต่างจากการที่ผู้คนปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” อย่างไร?  จงบอกเราเถิดว่ามีความแตกต่างอย่างไรบ้าง  (มีหลักธรรมในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ  ตัวอย่างเช่น ชาวนีนะเวห์ได้รับความยอมผ่อนปรนจากพระเจ้าหลังจากที่พวกเขากลับใจอย่างแท้จริง  จากเรื่องนี้พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่ามีหลักธรรมอยู่ในการกระทำของพระเจ้า และพวกเรายังมองเห็นได้อีกด้วยว่าในแก่นแท้ของพระเจ้ามีความกรุณาและความยอมผ่อนปรนให้แก่ผู้คน)  พูดได้ดี  ในที่นี้มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่สองประการ  ประเด็นที่พวกเจ้าเพิ่งเอ่ยถึงไปนั้นสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งก็คือมีหลักธรรมในสิ่งที่พระเจ้าทำ  มีเส้นแบ่งและขอบเขตที่ชัดเจนในทุกสิ่งที่พระเจ้าทำ และเส้นแบ่งและขอบเขตนี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถเข้าใจได้  ข้อเท็จจริงก็คือมีหลักธรรมบางอย่างอยู่ในทุกสิ่งที่พระเจ้าทำ  ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงแสดงความเมตตาต่อการกระทำผิดของชาวนีนะเวห์  เมื่อชาวนีนะเวห์ปล่อยมือจากความชั่วของตนและกลับใจอย่างแท้จริง พระเจ้าก็ทรงให้อภัยพวกเขาและสัญญาว่าจะไม่ทำลายเมืองนี้อีก  นี่คือหลักธรรมเบื้องหลังการกระทำของพระเจ้า  ในที่นี้จะสามารถทำความเข้าใจหลักธรรมนี้ได้ว่าอย่างไร?  นี่คือเส้นตาย  สามารถกล่าวตามความเข้าใจและวิธีพูดจาของมนุษย์ได้ว่านี่คือขีดจำกัดของพระเจ้า  ตราบใดที่ชาวนีนะเวห์ละทิ้งความชั่วในมือของตน เลิกใช้ชีวิตอยู่ในบาป เลิกตัดขาดจากพระเจ้าเหมือนที่เคยทำ และสามารถกลับใจต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริง การกลับใจที่แท้จริงนี้คือเส้นตายที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา  ถ้าพวกเขาสามารถสัมฤทธิ์การกลับใจได้จริง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงเมตตาพวกเขา  ในทางตรงกันข้าม ถ้าพวกเขาไม่สามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง พระเจ้าจะทรงทบทวนอีกครั้งหรือไม่?  การตัดสินพระทัยและแผนการก่อนหน้านี้ของพระเจ้าที่จะทำลายเมืองนี้จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าประทานทางเลือกแก่พวกเขาไว้สองทาง ทางแรกคือทำความชั่วของตนต่อไปและเผชิญความย่อยยับ ซึ่งในกรณีนี้เมืองทั้งเมืองย่อมจะถูกทำลายล้าง ทางที่สองคือปล่อยมือจากความชั่วของตน กลับใจต่อพระองค์อย่างแท้จริงโดยห่มผ้ากระสอบและนั่งในกองเถ้า และสารภาพบาปของตนต่อพระองค์จากก้นบึ้งของหัวใจ ซึ่งในกรณีนี้พระองค์ก็จะทรงเมตตาพวกเขา และไม่ว่าพวกเขาจะทำความชั่วอะไรมาก่อน หรือการทำชั่วของพวกเขาจะร้ายแรงเพียงใดก็ตาม  พระองค์ย่อมจะตัดสินพระทัยไม่ทำลายเมืองนี้เพราะพวกเขากลับใจ  พระเจ้าประทานทางเลือกแก่พวกเขาสองทาง และแทนที่จะเลือกทางแรก พวกเขานั้นเลือกทางที่สอง—ซึ่งก็คือการกลับใจต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงโดยห่มผ้ากระสอบและนั่งในกองเถ้า  ผลสุดท้ายเป็นเช่นไร?  พวกเขาทำให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยได้สำเร็จ นั่นคือ ทรงพิจารณาใหม่ เปลี่ยนแผนการของพระองค์ เมตตาพวกเขา และเว้นจากการทำลายเมืองนี้  นี่คือหลักธรรมที่พระเจ้าใช้ทรงพระราชกิจมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือหลักธรรมที่พระเจ้าใช้ทรงพระราชกิจ  ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องสำคัญยิ่งอีกจุดหนึ่ง ซึ่งก็คือในแก่นแท้ของพระเจ้ามีความรักและความกรุณา แต่ก็แน่นอนว่ามีความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการล่วงเกินของมนุษย์ และความโกรธอีกด้วย  ในกรณีของการทำลายล้างเมืองนีนะเวห์นั้นมีการเผยให้เห็นแก่นแท้ทั้งสองด้านนี้ของพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความประพฤติที่ชั่วของผู้คนเหล่านี้ แก่นแท้ที่เป็นพระพิโรธของพระเจ้าก็สำแดงและเผยตัวออกมา  มีหลักธรรมอยู่ในพระพิโรธของพระเจ้าหรือไม่?  (มี)  พูดง่ายๆ ก็คือหลักธรรมนี้มีอยู่ว่าความกริ้วของพระเจ้านี้มีหลักการ  ไม่ใช่การกริ้วหรือเดือดดาลแบบไม่แยกแยะ และยิ่งไม่ใช่ความรู้สึกอย่างหนึ่งด้วย  แต่เป็นอุปนิสัยที่เกิดขึ้นและเผยให้เห็นตามธรรมชาติ ภายในบริบทบางอย่าง  พระพิโรธและบารมีของพระเจ้าไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน  ในภาษามนุษย์ นี่หมายความว่าพระเจ้ากริ้วและเดือดดาลเมื่อทอดพระเนตรเห็นการประพฤติชั่วของชาวนีนะเวห์  กล่าวให้แน่ชัดก็คือ พระเจ้ากริ้วเพราะพระองค์ทรงมีด้านที่ไม่ทนยอมรับการล่วงเกินของผู้คน ดังนั้นเมื่อได้เห็นการประพฤติชั่วของผู้คน เห็นการอุบัติและบังเกิดของสิ่งที่เป็นลบ พระเจ้าย่อมจะเผยพระพิโรธของพระองค์เป็นธรรมดา  แล้วถ้าพระเจ้าเผยพระพิโรธออกมา พระองค์จะทรงทำลายเมืองนี้ทันทีหรือไม่?  (ไม่)  พวกเจ้าย่อมจะสามารถเห็นได้ดังนี้ว่ามีหลักธรรมในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ  นี่ไม่ใช่ว่าเมื่อพระเจ้ากริ้ว พระองค์จะตรัสว่า “เรามีสิทธิอำนาจ เราจะทำลายเจ้า!  ไม่ว่าสถานการณ์ของเจ้าจะคับขันเช่นไร เราก็จะไม่ให้โอกาสเจ้า!”  ไม่ใช่เช่นนั้นเลย  พระเจ้าทรงทำอย่างไร?  พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ ต่อเนื่องกันเป็นขั้นๆ  แล้วผู้คนควรตีความสิ่งเหล่านี้อย่างไร?  สิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนนั้นล้วนเป็นไปตามพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะพระพิโรธของพระองค์เท่านั้น  ซึ่งหมายความว่าพระพิโรธของพระเจ้าไม่ใช่ความมุทะลุ  ไม่เหมือนความมุทะลุของมนุษย์ที่พูดด้วยความหุนหันพลันแล่นว่า “ฉันมีอำนาจ ฉันจะฆ่าแก ฉันจะจัดการแก” หรือแบบที่พญานาคใหญ่สีแดงพูดว่า “ถ้าจับแกได้ ฉันจะฆ่าแก จะซ้อมแกให้ตายโดยที่ไม่ต้องรับผิด”  ซาตานและพวกมารทำสิ่งต่างๆ แบบนี้  ความมุทะลุก็มาจากซาตานและพวกมาร  ในพระพิโรธของพระเจ้านั้นไม่มีความมุทะลุ  การไร้ซึ่งความมุทะลุของพระองค์สำแดงออกมาอย่างไร?  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าชาวนีนะเวห์เสื่อมทรามเพียงใด พระองค์ก็กริ้วและเดือดดาล  แต่พอกริ้วแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ทรงทำลายชาวเมืองโดยไม่ตรัสอะไรสักคำเพียงเพราะทรงมีแก่นแท้แห่งพระพิโรธ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระองค์กลับส่งโยนาห์ไปแจ้งให้ชาวเมืองนีนะเวห์รู้ถึงสิ่งที่พระองค์กำลังจะทรงทำต่อไป โดยบอกพวกเขาว่าพระองค์จะทรงทำอะไรและเพราะเหตุใด เพื่อให้พวกเขาเข้าใจชัดแจ้งและให้พวกเขาพอจะมีความหวังบ้าง  ข้อเท็จจริงนี้บอกมวลมนุษย์ว่าพระเจ้าเผยพระพิโรธก็เพราะเกิดเรื่องที่เป็นลบและชั่ว แต่พระพิโรธของพระเจ้าแตกต่างจากความมุทะลุของมวลมนุษย์ และแตกต่างจากความรู้สึกของมนุษย์  บางคนถามว่า “พระพิโรธของพระเจ้าแตกต่างจากความมุทะลุและความรู้สึกของมนุษย์  แล้วพระพิโรธของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ควบคุมได้หรือไม่?”  คำว่าควบคุมได้ไม่ใช่คำที่ถูกต้องที่จะใช้ในที่นี้ ไม่สมควรที่จะพูดแบบนี้  กล่าวให้ถูกต้องก็คือมีหลักธรรมอยู่ในพระพิโรธของพระเจ้า  ในพระพิโรธของพระองค์ พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ เป็นขั้นๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นเพิ่มเติมว่ามีความจริงและหลักธรรมในการกระทำของพระองค์ และพร้อมกันนั้นก็บอกให้มวลมนุษย์รู้ด้วยว่า นอกจากพระพิโรธของพระองค์แล้ว พระเจ้าทรงมีความกรุณาและความรักอีกด้วย  เมื่อพระเจ้าทรงทุ่มเทความกรุณาและความรักให้แก่มวลมนุษย์ มวลมนุษย์ได้ประโยชน์อะไรบ้าง?  กล่าวคือ ถ้าผู้คนสารภาพบาปของตนและกลับใจตามแบบที่พระเจ้าทรงสอน พวกเขาก็สามารถได้รับโอกาสแห่งชีวิตจากพระเจ้า รวมทั้งความหวังและความเป็นไปได้ที่จะอยู่รอด  นี่หมายความว่าผู้คนสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยการอนุญาตจากพระเจ้า โดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาต้องสารภาพและกลับใจอย่างแท้จริงแล้ว จากนั้นพวกเขาก็จะสามารถได้รับสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา  มีหลักธรรมอยู่ในถ้อยแถลงทั้งหมดที่เป็นขั้นเป็นตอนนี้มิใช่หรือ?  เจ้าดูเอาเถิด เบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่างและพระราชกิจทุกประเภทที่พระเจ้าทรงทำนั้น หากใช้ภาษาของมนุษย์ก็ย่อมกล่าวว่ามีเหตุผลและความละเอียดถี่ถ้วน หรือหากใช้พระวจนะของพระเจ้าก็ว่ามีความจริงและหลักธรรม  ซึ่งแตกต่างจากวิธีที่มวลมนุษย์ใช้ทำสิ่งต่างๆ และยิ่งไม่มีความมุทะลุของมวลมนุษย์ปลอมปนอีกด้วย  บางคนกล่าวว่า “พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสงบและไม่หุนหันพลันแล่น!”  เป็นเช่นนี้หรือไม่?  ไม่ได้เป็นเช่นนี้ ไม่สามารถพูดได้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าสงบ สำรวม และไม่หุนหันพลันแล่น—มวลมนุษย์ประเมินและบรรยายพระอุปนิสัยกันแบบนี้  มีความจริงและหลักธรรมในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ  ไม่ว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมีหลักการพื้นฐาน และหลักการพื้นฐานนี้ก็คือความจริงและเป็นพระอุปนิสัยของพระเจ้า

ในการจัดการชาวนีนะเวห์ พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ ต่อเนื่องกันเป็นขั้นเป็นตอน  เริ่มแรกพระองค์ทรงส่งโยนาห์ไปบอกชาวนีนะเวห์ว่า “อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย” (โยนาห์ 3:4)  เวลาสี่สิบวันนี้นานหรือไม่?  เท่ากับหนึ่งเดือนสิบวันพอดี ซึ่งเป็นเวลาที่นานทีเดียว นานพอที่ผู้คนจะคิดและตรึกตรองกันสักระยะหนึ่ง และกลับใจได้อย่างแท้จริง  ถ้าเป็นสี่ชั่วโมงหรือสี่วัน นั่นคงไม่นานพอที่จะกลับใจ  แต่พระเจ้าทรงให้เวลาสี่สิบวัน ซึ่งยาวนานมากและเกินพอ  เมืองเมืองหนึ่งจะใหญ่โตได้ถึงเพียงไหน?  โยนาห์เดินวนไปทั่วเมืองจากฟากหนึ่งไปจนสุดอีกฟากหนึ่ง และแจ้งให้ทุกคนรู้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน เพื่อให้ประชาชนทุกคนและทุกครัวเรือนได้รับข่าวสารนั้น  สี่สิบวันนั้นนานเกินพอสำหรับการเตรียมผ้ากระสอบหรือกองเถ้า รวมทั้งการจัดเตรียมอื่นๆ ที่จำเป็น  พวกเจ้ามองเห็นอะไรจากสิ่งเหล่านี้บ้าง?  พระเจ้าทรงให้เวลาชาวนีนะเวห์มากพอที่จะให้พวกเขารู้ว่าพระองค์กำลังจะทรงทำลายเมืองของพวกเขา และให้พวกเขาเตรียมตัว ตรวจสอบ และทบทวนตนเอง  กล่าวด้วยภาษาของมนุษย์ก็คือ พระเจ้าทรงทำทุกสิ่งที่พระองค์สามารถทำได้และพึงทำแล้ว  ระยะเวลาสี่สิบวันนั้นเพียงพอแล้ว ถึงขั้นให้ทุกคน—ตั้งแต่กษัตริย์ลงไปจนถึงประชาชนทั่วไป—มีเวลาพอที่จะคิดทบทวนและเตรียมตัว  ในด้านหนึ่งก็สามารถเห็นได้จากเรื่องนี้ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเพื่อผู้คนก็คือการแสดงให้เห็นความยอมผ่อนปรน และในอีกด้านหนึ่งก็ย่อมเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงห่วงใยผู้คนอยู่ในพระทัยของพระองค์ และมีความรักที่แท้จริงให้แก่พวกเขา  พระกรุณาและความรักของพระเจ้ามีอยู่จริง โดยไม่มีการเสแสร้งใดๆ และพระทัยของพระองค์ก็สัตย์ซื่อ ไร้ซึ่งการเสแสร้งใดๆ  และเพื่อให้ผู้คนมีโอกาสกลับใจ พระองค์จึงทรงให้เวลาพวกเขาสี่สิบวัน  สี่สิบวันนั้นบรรจุความยอมผ่อนปรนและความรักของพระเจ้าเอาไว้  สี่สิบวันนั้นยาวนานพอที่จะพิสูจน์และทำให้ผู้คนมองเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าพระเจ้าทรงห่วงใยและรักผู้คนอย่างแท้จริง และความกรุณาและความรักของพระเจ้ามีอยู่จริง ไร้ซึ่งการเสแสร้ง  ย่อมจะมีบางคนถามว่า “ก่อนหน้านี้พระองค์ตรัสไว้ไม่ใช่หรือว่าพระเจ้าไม่ทรงรักผู้คน พระองค์ทรงเกลียดผู้คน?  นั่นขัดแย้งกับสิ่งที่พระองค์เพิ่งตรัสไปไม่ใช่หรือ?”  นี่ขัดแย้งกันหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าทรงห่วงใยผู้คนอยู่ในพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงมีแก่นแท้ที่เป็นความรัก  นี่ต่างจากการพูดว่าพระเจ้าทรงรักผู้คนหรือไม่?  (ต่าง)  ต่างกันอย่างไร?  ที่จริงแล้วพระเจ้าทรงรักหรือเกลียดผู้คน?  (พระองค์ทรงรักผู้คน)  เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมพระเจ้าถึงยังคงสาปแช่ง ตีสอน และพิพากษาผู้คน?  ถ้าพวกเจ้าไม่ชัดเจนในเรื่องบางอย่างที่สำคัญยิ่ง พวกเจ้าก็ต้องเข้าใจเรื่องนั้นผิดแล้ว  นี่คือความขัดแย้งระหว่างเจ้ากับพระเจ้าใช่หรือไม่?  ถ้านี่คือเรื่องที่เจ้าเข้าใจไม่ชัดเจน ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดช่องว่างขึ้นระหว่างเจ้ากับพระเจ้ามิใช่หรือ?  จงบอกเราเถิดว่าถ้าพระเจ้าทรงรักผู้คน พระเจ้าทรงเกลียดมนุษย์ด้วยหรือไม่?  ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนนั้นมีความเชื่อมโยงกับความเกลียดชังที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนหรือไม่?  ความเกลียดชังที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนนั้นมีความเชื่อมโยงกับความรักที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนหรือไม่?  (ไม่มี)  แล้วทำไมพระเจ้าถึงทรงรักผู้คน?  พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยผู้คนให้รอด—นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์มิใช่หรือ?  ถ้าพวกเจ้าไม่รู้เรื่องนี้ก็น่าเวทนานัก!  ถ้าพวกเจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมพระเจ้าถึงทรงรักผู้คน เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเรื่องน่าหัวร่อ  จงบอกเราเถิดว่าความรักที่แม่มีต่อลูกมาจากไหน?  (สัญชาตญาณ)  ถูกต้อง  ความรักของแม่เกิดจากสัญชาตญาณ  ดังนั้นความรักนี้ขึ้นอยู่กับว่าลูกดีหรือเลวหรือไม่?  (ไม่)  ตัวอย่างเช่น ต่อให้ลูกซุกซนมากและบางครั้งก็ทำให้แม่รำคาญ แต่สุดท้ายแม่ก็ยังคงรักลูก  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?  ลักษณะที่แม่ปฏิบัติต่อลูกของตนนี้เกิดจากสัญชาตญาณที่มาพร้อมกับบทบาทของการเป็นแม่  และเพราะความรักตามสัญชาตญาณของแม่ ความรักที่แม่มีต่อลูกจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าลูกดีหรือเลว  บางคนกล่าวว่า “ในเมื่อแม่รักลูกโดยสัญชาตญาณ ทำไมแม่ยังคงตีลูก?  ทำไมแม่ยังคงเกลียดชังลูก?  ทำไมบางครั้งแม่ถึงโกรธและดุว่าลูกอยู่อีก?  แล้วทำไมบางครั้งแม่ถึงโกรธมากจนไม่อยากข้องเกี่ยวกับลูกอีกแล้ว?  พระองค์ตรัสไว้ไม่ใช่หรือว่าแม่มีความรัก และแม่ย่อมรักลูกของตน?  แล้วแม่ไร้หัวใจขนาดนี้ได้อย่างไร?”  นี่ใช่เรื่องที่ขัดแย้งกันหรือไม่?  นี่ไม่ใช่เรื่องที่ขัดแย้งกัน  คนเป็นแม่จะปฏิบัติต่อลูกอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับท่าทีที่ลูกมีต่อแม่และพฤติกรรมของลูกเอง  แต่ไม่ว่าแม่จะปฏิบัติต่อลูกอย่างไร ต่อให้แม่ตีลูกและเกลียดชังลูก นี่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการมีอยู่ของความรักของแม่  ในทำนองเดียวกัน ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเกิดจากอะไร?  (พระเจ้าทรงมีแก่นแท้ที่เป็นความรัก)  ถูกต้อง  ในที่สุดพวกเจ้าก็เข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว  ประเด็นสำคัญในที่นี้ก็คือพระเจ้าทรงมีแก่นแท้ที่เป็นความรัก  สาเหตุที่พระเจ้าทรงรักและห่วงใยผู้คนก็เพราะว่าในด้านหนึ่ง พระเจ้าทรงมีแก่นแท้ที่เป็นความรัก  ภายในความรักนี้มีความกรุณา ความเมตตา ความยอมผ่อนปรน และความอดทน  แน่นอนว่ายังมีสิ่งที่สำแดงถึงความเอาใจใส่ และบางครั้งก็มีความกังวลและความเศร้า เป็นต้น  ทั้งหมดนี้เป็นไปตามแก่นแท้ของพระเจ้า  นี่เป็นการมองเรื่องนี้จากมุมมองที่เป็นความเห็นส่วนตัว  ส่วนมุมมองตามความเป็นจริงนั้น มนุษย์คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา เป็นเหมือนลูกที่เกิดจากแม่ของตนนั่นเอง แม่ก็ย่อมดูแลห่วงใยเขาเป็นธรรมดา และมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างแม่ลูกที่ตัดไม่ขาด  แม้ว่ามนุษย์และพระเจ้าจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดดังที่มนุษย์กล่าวไว้ แต่พระเจ้าก็ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ทรงดูแลห่วงใยและรู้สึกรักใคร่เอ็นดูพวกเขา  พระเจ้าอยากให้มนุษย์ดีงามและเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง แต่การได้เห็นพวกเขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เดินไปบนเส้นทางของความชั่ว และทนทุกข์ ทำให้พระเจ้าโศกเศร้าและปวดร้าว  นี่เป็นเรื่องปกติใช่หรือไม่?  พระเจ้าทรงมีปฏิกิริยา มีความรู้สึก และมีการสำแดงสิ่งเหล่านี้ให้เห็น ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะแก่นแท้ของพระเจ้า และไม่สามารถแยกออกจากสัมพันธภาพที่ก่อเกิดจากการสร้างมนุษย์ของพระเจ้า  ทั้งหมดนี้เป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ทั้งสิ้น  บางคนกล่าวว่า “ในเมื่อแก่นแท้ของพระเจ้ามีความรัก ทำไมพระเจ้าถึงยังเกลียดชังผู้คนอยู่ดี?  พระเจ้าทรงห่วงใยผู้คนไม่ใช่หรือ?  แล้วทำไมพระองค์ถึงยังคงเกลียดชังพวกเขา?”  ตรงจุดนี้มีข้อเท็จจริงอีกอย่างซึ่งก็คือ อุปนิสัย แก่นแท้ และแง่มุมอื่นๆ ของผู้คนเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้าและความจริง ดังนั้นสิ่งที่ผู้คนสำแดงและเผยให้เห็นเบื้องหน้าพระเจ้าจึงทำให้พระองค์ขัดเคืองและเป็นที่ชิงชังของพระองค์  เมื่อเวลาผ่านไป อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนก็ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ บาปของพวกเขาร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็ทำตัวดื้อแพ่งอย่างยิ่ง แน่นอนว่าไม่สำนึกกลับใจ และไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย  พวกเขากับพระเจ้าไปกันไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงกระตุ้นความเกลียดชังของพระองค์  แล้วความเกลียดชังของพระเจ้ามาจากไหน?  ทำไมถึงเกิดขึ้น?  ความเกลียดชังของพระองค์เกิดขึ้นก็เพราะพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและบริสุทธิ์ ความเกลียดชังของพระเจ้าจึงถูกแก่นแท้ของพระองค์กระตุ้นให้เกิดขึ้น  พระเจ้าทรงชิงชังความชั่ว รังเกียจสิ่งที่เป็นลบ และเกลียดกลุ่มอิทธิพลชั่วและเรื่องชั่วทั้งหลาย  เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงเกลียดเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้  ดังนั้นความรักและความเกลียดชังที่พระเจ้าทรงเผยให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเห็นจึงปกติและเป็นไปตามแก่นแท้ของพระองค์  ไม่มีอะไรขัดแย้งกันเลย  บางคนถามว่า “ถ้าอย่างนั้น แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงรักหรือเกลียดชังผู้คน?”  เจ้าจะตอบว่าอย่างไร?  (ขึ้นอยู่กับท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า หรือขึ้นอยู่กับว่าผู้คนกลับใจอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง)  โดยทั่วไปแล้วย่อมเป็นเช่นนี้ แต่ไม่ถูกต้องทีเดียวนัก  ทำไมถึงไม่ถูกต้อง?  พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าจำเป็นต้องรักผู้คนหรือไม่?  (ไม่)  พระวจนะที่พระเจ้าตรัสแก่มวลมนุษย์และพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำในตัวผู้คนคือสิ่งที่สำแดงพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าออกมาตามธรรมชาติ  พระเจ้าทรงมีหลักธรรมของพระองค์ พระองค์ไม่จำเป็นต้องรักผู้คน แต่พระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องเกลียดชังผู้คนเช่นกัน  สิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนทำก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริง เดินตามหนทางของพระองค์ วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระองค์  พระเจ้าไม่จำเป็นต้องรักผู้คน แต่พระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องเกลียดชังผู้คนเช่นกัน  นี่เป็นข้อเท็จจริง และผู้คนก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้  เมื่อกี้พวกเจ้าเพิ่งพูดไปว่าพระเจ้าทรงรักหรือเกลียดชังผู้คนตามพฤติกรรมของพวกเขา  ทำไมการกล่าวแบบนี้ถึงไม่ถูกต้อง?  พระเจ้าไม่จำเป็นต้องรักเจ้า และแน่นอนว่าพระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องเกลียดชังเจ้า  พระเจ้าอาจจะไม่สนพระทัยเจ้าด้วยซ้ำไป  ไม่ว่าเจ้าจะไล่ตามเสาะหาความจริง วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า หรือไม่ยอมรับความจริง ถึงกับต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า ในที่สุดพระองค์ก็จะทรงตอบแทนทุกคนตามสิ่งที่พวกเขาทำลงไป  คนที่ทำดีย่อมจะได้รับรางวัล ส่วนคนที่ทำชั่วก็จะถูกลงโทษ  นี่เรียกว่าการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างยุติธรรมและเท่าเทียม  กล่าวคือ ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าไม่มีเหตุผลที่จะเรียกร้องว่าพระเจ้าควรปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร  เมื่อเจ้าปฏิบัติต่อพระเจ้าและความจริงด้วยความถวิลหา และไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็คิดไปว่าพระองค์ต้องรักเจ้า แต่ถ้าพระเจ้าไม่สนพระทัยและไม่ได้รักเจ้า เจ้าก็รู้สึกว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า  หรือพอเจ้ากบฏต่อพระเจ้า เจ้าก็คิดว่าพระองค์ต้องเกลียดชังและลงโทษเจ้า แต่ถ้าพระองค์ทรงเฉยเสีย เจ้ากลับรู้สึกว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า  การคิดแบบนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  สัมพันธภาพระหว่างผู้คน เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก ก็สามารถประเมินได้ด้วยวิธีนี้—กล่าวคือ ความรักหรือความเกลียดชังที่พ่อแม่มีต่อลูกๆ ของตนนั้นบางครั้งก็เป็นไปตามพฤติกรรมของลูก—แต่สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าใช้วิธีนี้มาประเมินไม่ได้  สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเป็นสัมพันธภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้าง และไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแต่อย่างใด  เป็นสัมพันธภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้างเท่านั้น  เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงไม่สามารถเรียกร้องให้พระเจ้ารักพวกเขา หรือประกาศว่าพระองค์ทรงรู้สึกอย่างไรกับตน  เหล่านี้เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผล  ทัศนะแบบนี้ผิดและไม่ถูกต้อง ผู้คนไม่สามารถเรียกร้องเช่นนี้ได้  ดังนั้นเมื่อมองดูเรื่องนี้ในตอนนี้ แท้จริงแล้วมนุษย์มีความเข้าใจที่ถูกต้องในความรักของพระเจ้าหรือไม่?  ความเข้าใจที่พวกเขามีก่อนหน้านี้ไม่ถูกต้องใช่หรือไม่?  (ใช่)  การที่พระเจ้าจะทรงรักหรือเกลียดชังผู้คนนั้นมีหลักธรรมอยู่  ถ้าพฤติกรรมหรือการไล่ตามเสาะหาของมนุษย์สอดคล้องกับความจริงและเป็นที่ชื่นชอบของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระองค์ย่อมทรงเห็นชอบกับสิ่งนั้น  อย่างไรก็ตาม ผู้คนมีแก่นแท้ที่เสื่อมทราม สามารถเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากได้อยากมีที่พวกเขาคิดว่าถูกต้องหรือชอบใจ  นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชังและไม่ทรงเห็นชอบ แต่นี่เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผู้คนคิด—ว่าพระเจ้าจะประทานรางวัลมากมายแก่ผู้คนทุกครั้งที่พระองค์ทรงเห็นชอบในตัวพวกเขา หรือจะทรงบ่มวินัยและลงโทษผู้คนทุกครั้งที่พระองค์ไม่ทรงเห็นชอบ—หาเป็นเช่นนั้นไม่  มีหลักธรรมในการกระทำของพระเจ้า  นี่กล่าวถึงแก่นแท้ของพระเจ้า และผู้คนต้องทำความเข้าใจแก่นแท้ของพระองค์ในลักษณะนี้

เมื่อกี้เราเพิ่งตั้งคำถามและสามัคคีธรรมเรื่องหลักธรรมในการกระทำของพระเจ้าและเรื่องแก่นแท้ของพระเจ้า  เราเพิ่งถามไปว่าอย่างไร?  (พระเจ้าเพิ่งถามว่าความยอมผ่อนปรนและความกรุณาที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คน ต่างจากการเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ของมนุษย์อย่างไร  จากนั้นพระองค์ก็สามัคคีธรรมว่าพระเจ้าไม่ทรงกระทำการตามปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกข้อนี้  พระเจ้าทรงจัดการเรื่องการกระทำผิดของผู้คนโดยยึดตามหลักสองประการ ได้แก่ หนึ่งนั้นย่อมมีหลักธรรมในสิ่งที่พระเจ้าทำ ส่วนอีกด้านหนึ่งย่อมมีทั้งความกรุณาและความพิโรธอยู่ในแก่นแท้ของพระเจ้า)  นั่นคือการทำความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างแท้จริง  หลักธรรมของพระเจ้าในการทำสิ่งต่างๆ เช่นนี้เป็นไปตามแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์ และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ซึ่งเป็นปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกที่มวลมนุษย์ทำตามกันเลย  การกระทำของผู้คนยึดตามปรัชญาของซาตานและถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานกำกับเอาไว้  การกระทำของพระเจ้าคือการสำแดงให้เห็นพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์  ในแก่นแท้ของพระเจ้านั้นมีความรัก ความกรุณา และแน่นอนว่ามีความเกลียดชัง  ดังนั้น คราวนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าพระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นไรต่อความประพฤติอันชั่วของมนุษย์ รวมทั้งการกบฏและการทรยศในรูปแบบต่างๆ ของพวกเขา?  ท่าทีของพระเจ้ามีพื้นฐานมาจากอะไร?  เกิดจากแก่นแท้ของพระองค์ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในแก่นแท้ของพระเจ้านั้นมีความกรุณา ความรัก และความพิโรธ  แก่นแท้ของพระเจ้าก็คือความชอบธรรม และหลักธรรมแห่งการกระทำของพระเจ้าก็ถือกำเนิดจากแก่นแท้นี้เอง  ดังนั้น แท้จริงแล้วหลักธรรมแห่งการกระทำของพระเจ้ามีว่าอย่างไร?  ประทานความกรุณาอย่างล้นเหลือและสำแดงความพิโรธให้หนักหน่วง  แน่นอนว่านี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ซึ่งมนุษย์ถือปฏิบัติกันและดูเป็นหลักปรัชญาที่ประเสริฐมาก แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้ากลับไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึง  ในฐานะผู้เชื่อ ด้านหนึ่งนั้นพวกเจ้าไม่อาจตัดสินแก่นแท้ กิจการ และหลักธรรมในการกระทำของพระเจ้าตามหลักปรัชญาข้อนี้ได้  นอกจากนี้ ถ้ามองในแง่ของผู้คนแล้ว พวกเขาไม่ควรยึดถือปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกข้อนี้ พวกเขาควรมีหลักธรรมว่าจะเลือกอย่างไรเวลาเกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นกับตน และควรรับมือเรื่องเหล่านั้นอย่างไร  หลักธรรมนี้มีว่าอย่างไร?  ผู้คนไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้า จึงแน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถทำทุกสิ่งโดยมีหลักธรรมที่ชัดเจนอย่างพระเจ้า หรือยืนบนสวรรค์คอยให้โอกาสและเมตตาคนทุกผู้  ผู้คนทำเช่นนี้ไม่ได้  เมื่อเป็นดังนี้ เจ้าควรทำอย่างไรเวลาพบเจอเรื่องที่กวนใจเจ้า ทำร้ายความรู้สึก หรือหยามศักดิ์ศรี หยามความเป็นตัวเจ้า หรือถึงกับทำร้ายหัวใจและดวงจิตของเจ้า?  ถ้าเจ้าปฏิบัติตามคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมพยายามเกลี่ยเรื่องให้เบาลงโดยไม่สนใจหลักธรรม ทำตัวเอาใจผู้คน และเจ้าย่อมรู้สึกว่าการเอาตัวรอดในโลกนี้ไม่ง่ายเลย เจ้าจะสร้างศัตรูไม่ได้และต้องพยายามล่วงเกินผู้คนให้น้อยลงหรือไม่ล่วงเกินเป็นอันขาด พยายามเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ ตัดสินใจไม่ได้ทุกครั้งไป ยึดทางสายกลาง ไม่พาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม และเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเอง  นี่คือปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลก ไม่ใช่หลักธรรมที่พระเจ้าทรงสอนมวลมนุษย์  แล้วหลักธรรมที่พระเจ้าทรงสอนผู้คนมีว่าอย่างไร?  การไล่ตามเสาะหาความจริงมีคำจำกัดความว่าอย่างไร?  มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการ ตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  ถ้าเกิดเรื่องที่กระตุ้นความเกลียดชังในตัวเจ้า เจ้าจะมองเรื่องนี้อย่างไร?  เจ้าจะมองเรื่องนี้ตามหลักการใด?  (ตามพระวจนะของพระเจ้า)  ถูกต้อง  ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าควรมองเรื่องเหล่านี้ตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะทำได้แต่เพียงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้เท่านั้น ข่มความขุ่นเคือง ยอมอ่อนข้อ และรอเวลา พลางหาโอกาสเอาคืน—นี่คือเส้นทางที่เจ้าจะใช้  ถ้าเจ้าอยากไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าต้องมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า ถามตัวเจ้าเองว่า “ทำไมคนคนนี้ถึงทำกับฉันแบบนี้?  เกิดเรื่องแบบนี้กับฉันได้อย่างไร?  เพราะอะไรถึงมีผลลัพธ์แบบนี้ได้?”  ควรมองเรื่องแบบนี้ตามพระวจนะของพระเจ้า  สิ่งแรกที่ต้องทำคือสามารถน้อมรับเรื่องนี้จากพระเจ้า และยอมรับได้อย่างแข็งขันว่าเรื่องนี้มาจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และเป็นผลดีต่อเจ้า  การที่จะน้อมรับเรื่องนี้จากพระเจ้านั้น ก่อนอื่นเจ้าต้องมองว่านี่เป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและกำกับดูแลอยู่  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นใต้ดวงอาทิตย์ ทุกอย่างที่เจ้ารู้สึกได้ ทั้งหมดที่เจ้ามองเห็นได้ ทุกอย่างที่เจ้าสามารถได้ยิน—ล้วนเกิดขึ้นเพราะพระเจ้าทรงอนุญาตทั้งสิ้น  เมื่อเจ้าน้อมรับเรื่องนี้จากพระเจ้าแล้ว จงประเมินเรื่องนี้ตามพระวจนะของพระเจ้า และค้นหาว่าคนที่ก่อเรื่องไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เป็นคนเช่นไร และแก่นแท้ของเรื่องนี้คืออะไร โดยไม่ต้องไปสนใจว่าพวกเขาพูดอะไรบ้างหรือทำร้ายเจ้าหรือไม่ หัวใจและดวงจิตของเจ้าถูกเล่นงานหรือความเป็นตัวเจ้าถูกเหยียบย่ำหรือไม่  ก่อนอื่นจงดูว่าคนคนนี้เป็นคนชั่วหรือเป็นคนที่เสื่อมทรามทั่วไป แยกแยะเสียก่อนว่า ตามพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พวกเขาเป็นคนจำพวกใด จากนั้นจึงใช้วิจารณญาณและปฏิบัติต่อเรื่องนี้ตามพระวจนะของพระเจ้า  เหล่านี้คือขั้นตอนที่ถูกต้องที่ควรใช้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ก่อนอื่นจงน้อมรับเรื่องนี้จากพระเจ้า แล้วมองผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตามพระวจนะของพระองค์ ระบุออกมาว่าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิงทั่วไป เป็นคนชั่ว ศัตรูของพระคริสต์ ผู้ไม่เชื่อ พวกวิญญาณชั่ว พวกปีศาจโสมม หรือสายลับของพญานาคใหญ่สีแดง แล้วสิ่งที่พวกเขาทำนั้นเป็นการแสดงความเสื่อมทรามทั่วไป หรือเป็นการทำชั่วที่มีเจตนาจงใจก่อกวนและขัดขวาง  ควรระบุทั้งหมดนี้ออกมาโดยเปรียบเทียบกับพระวจนะของพระเจ้า  การประเมินเรื่องราวตามพระวจนะของพระเจ้านั้นคือวิธีที่ถูกต้องและตรงตามข้อเท็จจริงที่สุด  ควรแยกแยะผู้คนและรับมือเรื่องราวต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าควรใคร่ครวญว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำร้ายหัวใจและดวงจิตของฉันอย่างมากและทิ้งเงื้อมเงาครอบฉันเอาไว้  แต่การเกิดเรื่องนี้ขึ้นสอนใจฉันเพื่อการเข้าสู่ชีวิตของฉันเองอย่างไรบ้าง?  เจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร?”  นี่ย่อมนำเจ้าไปหาประเด็นสำคัญของเรื่องซึ่งเจ้าควรขบคิดและทำความเข้าใจ—นี่คือการเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง  เจ้าต้องแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าด้วยการครุ่นคิดว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นนี้สร้างความบอบช้ำให้กับหัวใจและดวงจิตของฉัน  ฉันรู้สึกเจ็บและปวดร้าว แต่ฉันจะคิดลบและมัวนึกตำหนิไม่ได้  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการใช้วิจารณญาณ แยกแยะ และตัดสินตามพระวจนะของพระเจ้าว่าแท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นผลดีต่อฉันหรือไม่  ถ้าเรื่องนี้เกิดจากการบ่มวินัยของพระเจ้า และเป็นผลดีต่อการเข้าสู่ชีวิตของฉันและการทำความเข้าใจตัวฉันเอง เช่นนั้นแล้วฉันก็ควรน้อมรับและนบนอบสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นการทดลองที่มาจากซาตาน เช่นนั้นฉันก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและรับมือเรื่องนี้ด้วยปัญญา”  การแสวงหาและคิดอ่านเช่นนี้ใช่การเข้าสู่ที่เป็นบวกหรือไม่?  นี่ใช่การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  (ใช่)  ต่อไป ไม่ว่าพวกเจ้าจะรับมือเรื่องอะไรอยู่ หรือเกิดปัญหาอะไรขึ้นในการคบค้าสมาคมกับผู้คนก็ตาม พวกเจ้าควรมองหาพระวจนะของพระเจ้าในส่วนที่เกี่ยวข้องมาแก้ปัญหาเหล่านั้น  จุดประสงค์ของการกระทำที่เป็นขั้นเป็นตอนทั้งหมดนี้คืออะไร?  จุดประสงค์คือการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้มุมมองและจุดยืนของเจ้าในเรื่องของผู้คนและสิ่งทั้งหลายแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง  จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อให้เป็นที่นับหน้าถือตาและรักษาหน้าให้เป็นที่ยกย่อง หรือให้เกิดความสมัครสมานในประเทศและสังคม อันเป็นการสร้างความพอใจให้แก่ชนชั้นปกครอง แต่เพื่อให้ดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง จะได้ทำให้พระเจ้าพอพระทัยและถวายพระสิริแด่พระผู้สร้าง  ด้วยการปฏิบัติตนเช่นนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะทำตัวสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ทุกประการ  เพราะฉะนั้น เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิม  เจ้าไม่จำเป็นต้องตรึกตรองว่า “พอเกิดเรื่องอย่างนี้กับฉัน ฉันควรปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า ‘การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้’ หรือไม่?  ถ้าทำตามนั้นไม่ได้ คนส่วนใหญ่จะคิดกับฉันอย่างไร?”  เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้หลักศีลธรรมเหล่านี้มาตีกรอบและควบคุมตัวเอง  แต่เจ้าควรใช้มุมมองของคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และปฏิบัติต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามหนทางที่พระเจ้าตรัสบอกให้เจ้าใช้ไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่คือวิถีชีวิตที่ใหม่หมดเลยมิใช่หรือ?  นี่คือทัศนะเกี่ยวกับชีวิตและเป้าหมายในชีวิตที่ใหม่หมดทุกอย่างเลยมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเจ้าใช้วิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องคอยเตือนตัวเองว่า “ถ้าฉันอยากโอบอ้อมอารีและมีที่ยืนในหมู่ผู้คน ฉันก็ต้องทำอย่างนี้หรืออย่างนั้น” เจ้าไม่จำเป็นต้องเคี่ยวเข็ญตัวเองเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตในทางตรงข้ามกับเจตจำนงของตน และความเป็นมนุษย์ของเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องถูกทำให้บิดเบี้ยวอย่างนั้น  แต่เจ้ากลับจะน้อมรับสภาพแวดล้อม ผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายที่มาจากพระเจ้าอย่างเป็นธรรมชาติและด้วยความเต็มใจ ไม่เพียงเท่านั้น เจ้ายังจะได้ประโยชน์ที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนจากทั้งหมดนั้นอีกด้วย  ในการรับมือเรื่องจำพวกที่กระตุ้นความเกลียดชังในตัวเจ้า เจ้าย่อมเรียนรู้ที่จะแยกแยะผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้าแล้วว่าแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นเช่นไร รวมทั้งใช้วิจารณญาณแยกแยะและรับมือเรื่องราวดังกล่าวตามพระวจนะของพระเจ้า  หลังจากมีประสบการณ์ พบเจอเรื่องต่างๆ และดิ้นรนพยายามอยู่ระยะหนึ่ง เจ้าย่อมจะค้นพบหลักธรรมความจริงของการรับมือเรื่องแบบนั้นแล้ว และเรียนรู้แล้วว่าควรใช้หลักธรรมความจริงเช่นใดมารับมือผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายดังกล่าว  นี่คือการเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องมิใช่หรือ?  เมื่อทำแบบนี้ ความเป็นมนุษย์ของเจ้าย่อมจะดีขึ้นแล้ว เพราะเจ้าใช้เส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นคือ เจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตตามมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์เท่านั้นอีกต่อไป และเมื่อเกิดเรื่องราวขึ้น เจ้าก็ไม่ได้มองเรื่องเหล่านั้นด้วยการคิดอ่านและมุมมองที่เป็นไปตามมโนธรรมและเหตุผลเท่านั้น แต่เพราะเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้ามามาก และมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าจึงเข้าใจความจริงบางประการ และเกิดความเข้าใจที่แท้จริงในพระเจ้า—ซึ่งก็คือพระผู้สร้างอยู่บ้าง  แน่นอนว่านี่คือการเก็บเกี่ยวอันอุดม ซึ่งจะทำให้เจ้าได้รับทั้งความจริงและชีวิต  ตามมโนธรรมและเหตุผลของเจ้านั้น เจ้าย่อมเรียนรู้ที่จะใช้พระวจนะของพระเจ้าและความจริงมาเผชิญหน้าและแก้ปัญหาทั้งปวงที่เจ้าประสบ และค่อยๆ มาใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า  มนุษย์แบบนี้ย่อมเป็นเช่นไร?  พวกเขาเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  มนุษย์แบบนี้ย่อมเข้าใกล้การเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติตามที่พระเจ้ากำหนดยิ่งขึ้นทุกที และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมค่อยๆ สามารถสัมฤทธิ์ผลในพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้าดังที่คาดไว้  เมื่อผู้คนสามารถยอมรับความจริงและใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าได้ การมีชีวิตเช่นนี้ย่อมง่ายเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีความปวดร้าวใดๆ แม้แต่น้อย  แต่สำหรับผู้คนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนตามวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้น ทุกสิ่งที่พวกเขาทำย่อมตรงข้ามกับเจตจำนงของตนเอง หน้าซื่อใจคดอย่างยิ่ง และสิ่งที่เผยออกมาจากความเป็นมนุษย์ของพวกเขาย่อมบิดเบี้ยวและผิดปกติมาก  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะพวกเขาไม่พูดสิ่งที่ตนคิด  ปากของพวกเขากล่าวว่า “จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” แต่หัวใจของพวกเขากลับพูดว่า “ฉันยังไม่หมดเรื่องกับเธอ  สัตบุรุษแก้แค้น ไม่มีวันสายเกินไป”—นี่สวนทางกับเจตจำนงของพวกเขาเองมิใช่หรือ?  (ใช่)  คำว่า “บิดเบี้ยว” หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าภายนอกนั้นพวกเขาพูดแต่เรื่องความเมตตากรุณาและความมีศีลธรรม แต่ลับหลังผู้อื่น พวกเขากลับทำเรื่องเลวร้ายสารพัดอย่าง เช่น การผิดประเวณีและปล้นทรัพย์  การพูดเรื่องความเมตตากรุณาและความมีศีลธรรมให้ได้ยินทั้งหมดนี้เป็นเพียงหน้ากากเท่านั้น หัวใจของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความชั่วทุกชนิด แนวคิดและมุมมองที่น่าชิงชังทุกรูปแบบ โสมมอย่างไร้ที่เปรียบ น่ารังเกียจอย่างยิ่ง จิตใจต่ำทราม และมีแต่ความน่าละอาย  นี่คือความหมายของคำว่าบิดเบี้ยว  ภาษาสมัยใหม่เรียกความบิดเบี้ยวว่าความวิปริต  พวกเขาทุกคนวิปริตอย่างหนัก แต่ยังคงแสร้งทำตัวเป็นคนดีทุกกระเบียดนิ้วต่อหน้าผู้อื่น รู้จักโลก เป็นสัตบุรุษ และมีเกียรติ  แท้จริงแล้วพวกเขาไม่มีความละอาย พวกเขาชั่วกันขนาดนั้น!  เส้นทางที่พระเจ้าทรงชี้ให้แก่ผู้คนไม่ได้ทำให้เจ้าดำเนินชีวิตแบบนี้ แต่ทำให้เจ้าสามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้องตามที่พระเจ้าทรงชี้ให้แก่ผู้คนและในทุกสิ่งที่เจ้าทำไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าพระเจ้าหรือผู้อื่น  ต่อให้เจ้าพบเจอเรื่องราวที่ทำร้ายผลประโยชน์ของเจ้าหรือเป็นเรื่องที่เจ้าไม่ชอบใจ หรือถึงกับมีผลต่อเจ้าไปชั่วชีวิต เจ้าก็ต้องมีหลักธรรมในการรับมือเรื่องเหล่านี้  ตัวอย่างเช่น เจ้าต้องปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงที่แท้จริงด้วยความรัก เรียนรู้ที่จะยอมผ่อนปรน ช่วยเหลือและเกื้อหนุนพวกเขา  ดังนั้นเจ้าควรทำเช่นไรกับศัตรูของพระเจ้า ศัตรูของพระคริสต์ พวกคนชั่วและผู้ไม่เชื่อ หรือคนสอดแนมและสายลับที่แทรกซืมเข้ามาในคริสตจักร?  เจ้าควรปฏิเสธพวกเขาอย่างเด็ดขาด  ขั้นตอนก็คือให้ชี้ตัวและเปิดโปงออกมา เกลียดชัง และในที่สุดก็ปฏิเสธไป  พระนิเวศของพระเจ้ามีกฎการปกครองและข้อบังคับอยู่  เมื่อเป็นเรื่องของศัตรูพระคริสต์ คนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ และคนที่เป็นพวกเดียวกับมารทั้งหลาย ซาตาน และพวกวิญญาณชั่ว พวกเขาย่อมไม่เต็มใจที่จะออกแรงทำงาน ดังนั้นจงตัดพวกเขาออกจากพระนิเวศของพระเจ้าตลอดไป  จากนั้นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  (ปฏิเสธพวกเขา)  ถูกต้อง พวกเจ้าควรปฏิเสธพวกเขา จงปฏิเสธพวกเขาตลอดกาล  บางคนกล่าวว่า “การปฏิเสธเป็นเพียงคำคำหนึ่งเท่านั้น  สมมุติว่าในทางทฤษฎีพวกคุณปฏิเสธพวกเขาไป แล้วเอาเข้าจริงในชีวิตจริงพวกคุณทำเช่นนั้นกันอย่างไร?”  การต่อต้านพวกเขาแบบไม่อาจปรองดองกันได้นี้ดีหรือไม่?  ไม่ต้องทำให้ตัวเองเหน็ดเหนื่อยโดยไม่จำเป็นอย่างนั้น  พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องต่อต้านพวกเขาแบบไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับพวกเขาจนตายกันไปข้าง และไม่จำเป็นต้องสาปแช่งพวกเขาลับหลัง  เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรเหล่านี้เลย  เพียงส่วนลึกในหัวใจของเจ้าไม่ไปข้องเกี่ยวกับพวกเขา และอย่าไปติดต่อเจรจากับพวกเขาภายใต้รูปการณ์ที่ปกติก็พอ  ในรูปการณ์พิเศษและในยามที่เจ้าไม่มีทางเลือก เจ้าจะพูดคุยกับพวกเขาตามปกติก็ได้ แต่หลังจากนั้นจงอยู่ห่างจากพวกเขาทันทีที่มีโอกาส และอย่าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของพวกเขา  นี่หมายถึงการปฏิเสธพวกเขาจากก้นบึ้งของหัวใจของเจ้า ไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างพี่น้องชายหญิงหรือสมาชิกครอบครัวของพระเจ้า และไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างผู้เชื่อ  สำหรับผู้ที่เกลียดชังพระเจ้าและความจริง จงใจก่อกวนและขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า หรือพยายามทำลายพระราชกิจของพระเจ้า พวกเจ้าไม่เพียงต้องอธิษฐานขอให้พระเจ้าสาปแช่งพวกเขาเท่านั้น แต่ต้องพันธนาการและควบคุมพวกเขาไว้ตลอดกาล ปฏิเสธพวกเขาไปอย่างถาวร  การทำเช่นนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  ย่อมเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าทุกประการ  การรับมือผู้คนเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องแสดงจุดยืนและมีหลักธรรม  การแสดงจุดยืนและมีหลักธรรมหมายถึงอะไร?  หมายถึงการมองเห็นแก่นแท้ของพวกเขาอย่างชัดแจ้ง ไม่มองพวกเขาในฐานะผู้เชื่อเป็นอันขาด และไม่มองพวกเขาในฐานะพี่น้องชายหญิงอย่างเด็ดขาด  พวกเขาคือพวกมาร พวกเขาคือเหล่าซาตาน  นี่ไม่ใช่เรื่องของการยกโทษหรือไม่ยกโทษให้พวกเขา แต่เป็นเรื่องของการไม่เอาตัวเจ้าเข้าไปข้องเกี่ยวและปฏิเสธพวกเขาอย่างเบ็ดเสร็จ  นี่ย่อมชอบด้วยเหตุผลและสอดคล้องกับความจริงโดยสมบูรณ์  บางคนกล่าวว่า “การที่ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าทำอะไรแบบนี้ย่อมโหดมากไม่ใช่หรือ?”  (ไม่)  นี่คือความหมายของการแสดงจุดยืนและมีหลักธรรม  พวกเราทำทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกให้ทำ  พวกเราเมตตาทุกคนที่พระเจ้าตรัสบอกให้พวกเราเมตตา และพวกเราก็ดูหมิ่นทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสบอกให้พวกเราดูหมิ่น  ในยุคธรรมบัญญัตินั้น ผู้ที่ละเมิดธรรมบัญญัติและพระบัญญัติถูกประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรขว้างด้วยหินจนตาย แต่ทุกวันนี้ ในยุคราชอาณาจักร พระเจ้าทรงมีกฎการปกครอง และพระองค์ก็ทรงขับไล่และเอาตัวผู้คนเฉพาะที่เป็นพวกเดียวกับหมู่มารและซาตานออกไป  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและกฎการปกครองที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ โดยไม่ละเมิดพระวจนะและกฎเหล่านั้น ไม่ถูกมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ตีกรอบหรือครอบงำ และไม่กลัวการถูกผู้คนที่เคร่งศาสนาตัดสินและกล่าวโทษ  การทำตามพระวจนะของพระเจ้าคือสิ่งที่เป็นธรรมชาติและชอบด้วยเหตุผลอย่างที่สุด  ตลอดเวลาจงเชื่อแต่เพียงว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และวาจาของมนุษย์ไม่ใช่ความจริงไม่ว่าจะฟังดูดีเพียงใดก็ตาม  ผู้คนต้องมีความเชื่อเช่นนี้  ผู้คนควรมีความเชื่อเช่นนี้ในพระเจ้า และพวกเขาควรมีท่าทีที่นบนอบเช่นนี้ด้วย  นี่เป็นเรื่องของท่าที

พวกเราพูดถึงคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” และเรื่องของหลักธรรมในการกระทำของพระเจ้ากันมาพอสมควรแล้ว  เมื่อเป็นเรื่องราวที่ทำร้ายผู้คนอย่างที่กล่าวมา ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจหลักธรรมของการรับมือเรื่องราวเหล่านั้นซึ่งพระเจ้าทรงสอนผู้คนเอาไว้แล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เป็นอันว่าพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ผู้คนทำตัวมุทะลุเวลารับมือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตน และยิ่งไม่ให้ใช้หลักศีลธรรมของมนุษย์มารับมือเรื่องราวใดๆ  หลักธรรมที่พระเจ้าตรัสบอกผู้คนคืออะไร?  หลักธรรมที่ผู้คนควรปฏิบัติตามมีว่าอย่างไร?  (จงมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า)  ถูกต้อง จงมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ต้องรับมือเรื่องนั้นตามพระวจนะของพระเจ้า เพราะในทุกเรื่องและทุกสิ่งย่อมมีมูลเหตุอยู่เบื้องหลังทุกอย่างที่เกิดขึ้น รวมทั้งทุกคนหรือเรื่องราวใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้และทรงมีอธิปไตยเหนือทั้งหมดนั้น  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอาจมีผลสุดท้ายที่เป็นบวกหรือเป็นลบ และความแตกต่างระหว่างผลลัพธ์สองอย่างนี้ย่อมขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของผู้คนและเส้นทางที่พวกเขาเดิน  ถ้าเจ้าเลือกที่จะปฏิบัติต่อเรื่องราวทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วผลสุดท้ายย่อมเป็นบวก ถ้าเจ้าเลือกที่จะปฏิบัติต่อเรื่องราวทั้งหลายตามวิถีทางของเนื้อหนังและความมุทะลุ รวมทั้งคำกล่าว แนวคิด และทัศนะนานัปการที่มาจากผู้คน เช่นนั้นแล้วผลสุดท้ายย่อมเป็นผลที่เกิดจากความมุทะลุและการคิดลบอย่างแน่นอน  สิ่งที่เกิดจากความมุทะลุและการคิดลบนั้น ถ้าเกี่ยวพันกับการทำร้ายศักดิ์ศรี ร่างกาย ดวงจิต ผลประโยชน์ และอื่นๆ ของผู้คน ท้ายที่สุดแล้วก็ย่อมจะเหลือไว้แต่ความเกลียดชังและเงื้อมเงาเหนือผู้คนซึ่งพวกเขาจะไม่มีวันสามารถขจัดไปได้  ด้วยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะค้นพบสาเหตุเบื้องหลังผู้คน เรื่องราว และสิ่งต่างๆ ที่คนเราพบเจอ และด้วยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะมองเห็นแก่นแท้ของผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายดังกล่าวได้อย่างชัดเจน  แน่นอนว่าด้วยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถรับมือและแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้คน เรื่องราว และสิ่งต่างๆ ที่ตนพบเจอในความเป็นจริงได้อย่างถูกต้อง  ในที่สุดนี่ก็จะทำให้ผู้คนสามารถได้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ชีวิตของพวกเขาจะค่อยๆ เติบโต อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาย่อมจะเปลี่ยนแปลง และพร้อมกันนั้นในสภาวะดังกล่าว พวกเขาก็จะค้นพบทิศทางชีวิตที่ถูกต้อง วิถีชีวิตที่ถูกต้อง ทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับชีวิต มีเป้าหมายและเส้นทางที่ถูกต้องให้ไล่ตาม  โดยรวมแล้วพวกเราเสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมเรื่องคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” กันแล้ว  คำกล่าวนี้ค่อนข้างตื้นเขิน แต่เมื่อชำแหละตามความจริง แก่นแท้ของมันกลับไม่ง่ายเท่าใดนัก  ส่วนเรื่องที่ว่าผู้คนควรทำอย่างไรในเรื่องนี้และควรรับมือสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไร ก็ยิ่งไม่ง่ายเข้าไปใหญ่  นี่เกี่ยวพันกับการที่ว่าผู้คนสามารถแสวงหาและไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และแน่นอนว่ายิ่งเกี่ยวพันกับความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของผู้คนและความรอดของผู้คนมากขึ้นด้วย  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าปัญหาเหล่านี้จะง่ายหรือซับซ้อน ตื้นเขินหรือลุ่มลึก ก็ควรดำเนินการกับปัญหาเหล่านี้อย่างถูกต้องและจริงจัง  สิ่งที่เกี่ยวพันกับความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของผู้คนหรือเกี่ยวข้องกับความรอดของผู้คนนั้นไม่มีอะไรเป็นเรื่องเล็กน้อย ทุกสิ่งล้วนจำเป็นอย่างยิ่งและสำคัญ  เราหวังว่านับแต่นี้ไป ในชีวิตประจำวันของพวกเจ้า พวกเจ้าจะขุดคุ้ยคำกล่าวและทัศนะต่างๆ เกี่ยวกับความมีศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมในความคิดอ่านและจิตสำนึกของตนขึ้นมา ชำแหละและแยกแยะตามพระวจนะของพระเจ้าว่าแท้จริงแล้วทั้งหมดนั้นคืออะไร เพื่อให้พวกเจ้าสามารถค่อยๆ ทำความเข้าใจและแก้ไขได้ วางทิศทางและเป้าหมายในชีวิตใหม่หมด และเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนได้อย่างสิ้นเชิง  เอาละ พวกเรามาสิ้นสุดสามัคคีธรรมของวันนี้กันเท่านี้เถิด  ลาก่อน!

23 เมษายน ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (8)

ถัดไป: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (10)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger