การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (9)

พวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อเรื่องการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมกันมาสักพักหนึ่งแล้ว  ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา”  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ซึ่งเป็นข้อกำหนดอีกข้อหนึ่งที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์  คำกล่าวนี้เกี่ยวพันกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนในแง่ใดบ้าง?  คำกล่าวนี้ต้องการให้ผู้คนมีความเอื้ออารีและยอมผ่อนปรนไช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่เป็นข้อกำหนดเรื่องความใจกว้างของความเป็นมนุษย์  อะไรคือหลักเกณฑ์ของข้อกำหนดนี้?  จุดสำคัญอยู่ตรงไหน?  (จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้)  ถูกต้อง นั่นก็คือเจ้าควรเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ และไม่ควรรุนแรงจนไม่เหลือทางออกให้ผู้คน  คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้กำหนดให้ผู้คนเอื้ออารีและไม่ถือสาหาความเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  แล้วเวลาคบค้าสมาคมกับผู้คนหรือทำธุระของเจ้า ถ้าเกิดข้อพิพาท ความขัดแย้ง หรือความบาดหมางขึ้นมา ก็จงอย่าเรียกร้องมากเกินไป อย่าทำอะไรเลยเถิดหรือแข็งกร้าวเกินไปเวลาจัดการฝ่ายที่ล่วงเกิน  จงเมตตาเมื่อจำเป็น ใจกว้างเมื่อจำเป็น คำนึงถึงโลก และคำนึงถึงมวลมนุษย์  ผู้คนใจกว้างกันขนาดนั้นหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนไม่ได้ใจกว้างกันขนาดนั้น  ผู้คนไม่แน่ใจว่าสัญชาตญาณของมนุษย์สามารถทานทนเรื่องแบบนี้ได้มากเพียงใด และเรื่องแบบนี้เป็นปกติกันถึงขั้นไหน  แล้วท่าทีทั่วไปที่คนปกติมีต่อคนที่ทำร้ายตน มองตนด้วยความไม่เป็นมิตร หรือล่วงล้ำผลประโยชน์ของตนย่อมเป็นเช่นไร?  ย่อมเกลียดชัง  เมื่อความเกลียดชังเกิดขึ้นในหัวใจของผู้คน พวกเขาจะสามารถ “เมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” กันหรือไม่?  นี่ทำได้ไม่ง่าย และผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถทำได้  เมื่อพูดถึงผู้คนส่วนใหญ่ พวกเขาสามารถพึ่งพามโนธรรมและสำนึกที่พวกเขามีในความเป็นมนุษย์ของตนเพื่อมาเมตตาอีกฝ่ายและลืมเรื่องทั้งหมดได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แต่การพูดว่าทำไม่ได้ก็ไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด  ทำไมจึงไม่ถูกต้องทั้งหมด?  ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าปัญหาคืออะไร เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือสำคัญขนาดไหน  อีกประการหนึ่ง ปัญหาทั้งหลายมีระดับความร้ายแรงต่างกัน ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่าปัญหานี้ร้ายแรงเพียงใด  ถ้ามีคนใช้วาจาทำร้ายเจ้าเป็นครั้งคราวเท่านั้น เช่นนั้นแล้วถ้าเจ้าเป็นคนที่มีมโนธรรมและสำนึก เจ้าย่อมจะคิดว่า “ไม่ใช่ว่าเขามีใจปองร้าย  เขาไม่ได้หมายความอย่างที่พูด เขาแค่พูดไม่คิดเท่านั้น  เห็นแก่ที่พวกเราไปด้วยกันได้ดีมาหลายปี เห็นแก่คนนี้คนนั้น หรือเห็นแก่เรื่องนี้ไม่ก็เรื่องนั้น ฉันจะไม่ถือสาเขาในเรื่องนี้  เหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้’  ที่เขาพูดมาเป็นเพียงความคิดเห็นอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ทำร้ายความภาคภูมิใจหรือทำให้ผลประโยชน์ของฉันเสียหายแต่อย่างใด และยิ่งไม่ได้ส่งผลต่อสถานะหรือโอกาสในอนาคตของฉัน ดังนั้นฉันจะมองข้ามความเห็นนี้ไป”  เมื่อเผชิญหน้าเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ผู้คนสามารถยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  แต่ถ้ามีใครบางคนทำให้ผลประโยชน์ที่สำคัญยิ่งของเจ้าเสียหาย หรือทำร้ายครอบครัวของเจ้า หรือความเสียหายที่พวกเขาก่อนั้นส่งผลต่อชีวิตของเจ้าทั้งชีวิต เจ้าจะยังคงยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ได้หรือไม่?  ตัวอย่างเช่น ถ้ามีใครฆ่าพ่อแม่ของเจ้าและต้องการที่จะฆ่าล้างครอบครัวที่เหลืออยู่ของเจ้า เจ้าจะใช้คำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” กับคนแบบนั้นได้หรือ?  (ไม่ได้)  คนที่มีเลือดเนื้อตามปกติย่อมจะไม่สามารถทำได้  คำกล่าวนี้ไม่สามารถยับยั้งความเกลียดชังที่ฝังลึกอยู่ในตัวผู้คนได้เลย และแน่นอนว่ายิ่งไม่สามารถมีอิทธิพลต่อท่าทีและความคิดเห็นของผู้คนในเรื่องนี้  ถ้ามีคนทำให้ผลประโยชน์ของเจ้าเสียหายหรือมีผลต่อความสำเร็จในอนาคตของเจ้า ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ก็ตาม หรือทำร้ายร่างกายเจ้า จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ทิ้งให้เจ้าพิการหรือมีแผลเป็น หรือทำให้เกิดเงื้อมเงาทาบทับจิตใจและในส่วนลึกของหัวใจของเจ้า เจ้าจะสามารถยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เจ้าไม่อาจทำเช่นนั้นได้  ดังนั้น วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดให้ผู้คนมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ยอมผ่อนปรนและเอื้ออารี แต่ผู้คนสามารถทำเช่นนั้นได้หรือ?  นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย  ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องนี้ทำร้ายและส่งผลต่ออีกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมากเพียงใด และมโนธรรมและสำนึกของอีกฝ่ายสามารถทานทนเรื่องนี้ได้หรือไม่  ถ้าไม่มีความเสียหายใหญ่หลวงเกิดขึ้น และอีกฝ่ายสามารถทนได้ และความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้พ้นวิสัยที่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะสามารถทานทนได้ ซึ่งหมายความว่าในฐานะผู้ใหญ่ที่ปกติ พวกเขาสามารถอดทนกับเรื่องเหล่านี้ได้ ความขุ่นเคืองและความเกลียดชังก็สามารถสลายไปได้ และค่อนข้างที่จะปล่อยผ่านได้ง่าย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็สามารถยอมผ่อนปรนและเมตตาอีกฝ่ายได้  เจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้โดยไม่ต้องมีคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมจากวัฒนธรรมดั้งเดิมมาเหนี่ยวรั้งเจ้าไว้ สอนเจ้า หรือนำเจ้าว่าควรทำอย่างไร เพราะนี่คือสิ่งที่มีอยู่แล้วตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติและเป็นเรื่องที่สัมฤทธิ์ได้  ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้ทำร้ายเจ้ามากเกินไป หรือส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเจ้าทั้งทางกาย ทางใจ และทางจิตวิญญาณ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถทำเช่นนี้ได้โดยง่าย  อย่างไรก็ตาม ถ้าเรื่องนี้มีผลกระทบใหญ่โตต่อเจ้าทั้งทางกาย ทางใจ และทางจิตวิญญาณ จนทำให้เจ้าเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิต มักจะทำให้เจ้าหดหู่และขัดเคือง และตัวเจ้าก็มักจะรู้สึกหม่นหมองและสิ้นหวังเพราะเรื่องนี้ และมันทำให้เจ้ามองเผ่าพันธุ์มนุษย์และโลกนี้ด้วยความไม่เป็นมิตร เจ้าไม่มีสันติหรือความสุขในหัวใจของตน และเจ้าก็ดำเนินชีวิตแทบจะทั้งชีวิตของเจ้าอยู่ในความเกลียดชัง ซึ่งหมายความว่าถ้าเรื่องนี้พ้นวิสัยที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติจะสามารถทานทนได้ เช่นนั้นแล้วในฐานะคนที่มีมโนธรรมและสำนึก ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้  ถ้าบางคนสามารถทำเช่นนี้ได้ ก็ถือเป็นกรณีพิเศษ แต่เรื่องนี้ต้องเป็นไปตามสิ่งใด?  ต้องผ่านเงื่อนไขแบบใดบ้าง?  บางคนบอกว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ควรนับถือศาสนาพุทธและปล่อยความเกลียดชังนั้นไปเพื่อบรรลุพุทธิภาวะ”  นี่อาจเป็นเส้นทางไปสู่การหลุดพ้นในหมู่ผู้คนทั่วไป แต่ก็เป็นเพียงการหลุดพ้นเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม คำว่า “หลุดพ้น” นี้หมายถึงอะไร?  หมายถึงการหลีกเลี่ยงข้อพิพาท ความเกลียดชัง และการฆ่าฟันทางโลก และเป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า “เมื่อไม่เห็นก็ไม่นึกถึง”  ถ้าเจ้าหลบหลีกเรื่องแบบนี้และไม่อาจมองเห็นได้ เช่นนั้นแล้วเรื่องเหล่านี้ก็จะมีผลต่อความรู้สึกส่วนลึกของเจ้าเล็กน้อย และจะค่อยๆ จางหายไปจากความทรงจำของเจ้าเมื่อเวลาผ่านไป  แต่นั่นไม่ใช่การยึดถือตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  ผู้คนไม่สามารถเมตตา หรือให้อภัยและอดทนต่อเรื่องนี้ และปล่อยผ่านไปอย่างถาวรได้  เรื่องเหล่านี้เพียงจางหายไปจากส่วนลึกสุดในหัวใจของผู้คนเท่านั้น และพวกเขาก็ไม่ใส่ใจในเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป  หรือไม่ก็เป็นเพราะหลักคำสอนทางพุทธศาสนาบางข้อเท่านั้น ผู้คนถึงได้เลิกใช้ชีวิตอยู่ในความเกลียดชังและเลิกหมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกรักและเกลียดชังทางโลกกันอย่างเสียไม่ได้  นี่เป็นเพียงการบังคับตัวเองให้นิ่งดูดายและอยู่ห่างจากที่ที่มีความขัดแย้งและความบาดหมางซึ่งเต็มไปด้วยความรักและความเกลียดชังนี้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคนเราสามารถนำคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ไปใช้  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?  ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับคนคนหนึ่ง ซึ่งทำร้ายร่างกาย จิตใจ และดวงจิตของพวกเขาอย่างร้ายแรง เช่น ความกดดันหรืออาการบาดเจ็บที่สุดจะทนได้ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถในเรื่องใดบ้างก็ตาม พวกเขาย่อมจะไม่สามารถทนได้  ที่ว่า “ไม่สามารถทนได้” เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่าความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แนวคิด และทัศนะของผู้คนไม่สามารถต้านทานหรือสลายเรื่องเหล่านี้ได้  ในภาษามนุษย์อาจพูดได้ว่าพวกเขาไม่สามารถทนได้ นี่พ้นขีดความอดทนของมนุษย์ไปแล้ว  ในภาษาของผู้เชื่ออาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเพียงแต่ไม่สามารถเข้าใจ มองทะลุ หรือยอมรับเรื่องนี้ได้  แล้วเมื่อไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะต้านทานหรือกำจัดความรู้สึกเกลียดชังเหล่านี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”?  (ไม่ได้)  การไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้แฝงความนัยว่าอย่างไร?  ว่าความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่มีความใจกว้างแบบนี้  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าใครบางคนฆ่าพ่อแม่ของเจ้า และฆ่าล้างครอบครัวของเจ้า เจ้าจะปล่อยเรื่องแบบนี้ให้ผ่านไปได้หรือ?  เป็นไปได้หรือที่จะสลายความเกลียดชังนี้?  เจ้าจะมองศัตรูเหมือนมองคนทั่วไป หรือคิดกับศัตรูเหมือนคิดกับคนทั่วไปโดยที่ไม่มีความรู้สึกอะไรในร่างกาย จิตใจ หรือวิญญาณของเจ้าได้หรือ?  (ไม่ได้)  ไม่มีใครทำได้ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเชื่อในศาสนาพุทธและรู้เห็นกรรมด้วยตาของตนเอง พวกเขาถึงจะสามารถเลิกล้มแนวคิดที่จะฆ่าล้างแค้นได้  บางคนบอกว่า “ฉันเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีงาม ดังนั้นถ้าใครฆ่าพ่อแม่ของฉัน ฉันย่อมเมตตาเขาได้และจะไม่หาทางแก้แค้นเพราะฉันเป็นผู้ที่เชื่อในกรรมอย่างมาก  คำกล่าวที่ว่า ‘การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้’ สรุปความได้ตรงมากคือ ถ้าการแก้แค้นก่อให้เกิดการแก้แค้น ก็ย่อมจะไม่มีวันสิ้นสุดจริงไหม?  นอกจากนี้ เขาก็ยอมรับความผิดพลาดของเขาแล้ว ถึงกับคุกเข่ากราบขอให้ฉันยกโทษ  ตอนนี้แค้นนี้ได้รับการชำระแล้ว ฉันจะปรานีเขา!”  ผู้คนเอื้ออารีกันได้ขนาดนี้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขาทำไม่ได้แบบนี้  ถ้าวางสิ่งที่เจ้าอาจจะทำเมื่อเจ้าจับตัวเขาได้เอาไว้ก่อน แม้กระทั่งก่อนที่เจ้าจะจับเขาได้ สิ่งที่เจ้าคิดได้ตลอดเวลาอยู่ทุกวี่วันย่อมมีแต่การแก้แค้น  เพราะเรื่องนี้ทำร้ายเจ้าอย่างมากและส่งผลต่อเจ้ามากมายนัก ในฐานะคนปกติ แน่นอนว่าเจ้าจะไม่มีวันลืมได้ลงตราบเท่าที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่  แม้ในความฝัน เจ้าก็จะมองเห็นภาพครอบครัวของตนถูกฆ่าและเห็นตัวเจ้าเองแก้แค้นได้สำเร็จ  เรื่องนี้สามารถส่งผลต่อเจ้าไปตลอดชีวิตจวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย  ความเกลียดชังเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจปล่อยไปได้โดยแท้  แน่นอนว่ายังมีกรณีที่ร้ายแรงน้อยกว่านี้เล็กน้อย  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีคนตบหน้าเจ้าในที่สาธารณะ ทำให้เจ้าอับอายและขายหน้าต่อหน้าทุกคน และดูถูกเจ้าอย่างไม่มีเหตุผล  ตั้งแต่นั้นมาผู้คนมากมายก็ชำเลืองมองเจ้าด้วยสายตาที่มีอคติและถึงกับเยาะเย้ยเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกอับอายที่จะอยู่ร่วมกับผู้คน  นี่ร้ายแรงน้อยกว่าการฆ่าพ่อแม่และสมาชิกครอบครัวของเจ้าอย่างมาก  ถึงกระนั้นก็ยากที่จะยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” เพราะสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเจ้านี้พ้นวิสัยที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติจะทานทนได้ไปแล้ว  สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำร้ายร่างกายและจิตใจของเจ้าอย่างมาก และทำให้ศักดิ์ศรีและบุคลิกของเจ้าเสื่อมเสียเป็นอย่างมาก  เจ้าไม่มีทางลืมเลือนหรือปล่อยผ่านเรื่องเหล่านี้ไปได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่เจ้าจะยึดปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”—ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ปกติ

เมื่อพิจารณาแง่มุมที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปเมื่อครู่ คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ซึ่งอ้างอิงกันในวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม ย่อมเป็นคำสอนที่ห้ามปรามและให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คน  สามารถแก้ไขได้เฉพาะความบาดหมางเล็กๆ และความขัดแย้งที่ไม่สลักสำคัญเท่านั้น แต่ไม่มีผลอะไรเมื่อเป็นเรื่องของผู้คนที่เก็บงำความเกลียดชังลึกๆ เอาไว้  แท้จริงแล้วผู้คนที่ออกข้อกำหนดนี้เข้าใจความเป็นคนของมนุษย์หรือไม่?  อาจกล่าวได้ว่าผู้คนที่ออกข้อกำหนดนี้ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามโนธรรมและสำนึกของมนุษย์มีขีดความอดทนมากเท่าใด  เพียงแต่การเสนอแนะทฤษฎีนี้สามารถทำให้พวกเขาดูเจนโลกและประเสริฐ ทั้งยังได้รับความเห็นชอบและคำเยินยอจากผู้คน  ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขารู้ดียิ่งว่าถ้ามีใครทำให้คนคนหนึ่งเสียศักดิ์ศรีหรือความเป็นตัวเอง ทำลายผลประโยชน์ของพวกเขา หรือแม้กระทั่งส่งผลต่อความสำเร็จในอนาคตและชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว ในแง่ของความเป็นมนุษย์ ฝ่ายที่ถูกล่วงเกินย่อมต้องเอาคืน  ไม่ว่าเขาจะมีมโนธรรมและสำนึกมากเพียงใด เขาก็จะไม่ยอมอยู่เฉย  อย่างมากก็ต่างออกไปในเรื่องระดับและวิธีการแก้แค้นของเขาเท่านั้น  ในสังคมจริง ในสภาพแวดล้อมและบริบททางสังคมที่มืดมนและชั่วอย่างยิ่งที่ผู้คนอาศัยอยู่และไร้ซึ่งสิทธิมนุษยชนนี้ ผู้คนไม่เคยหยุดต่อสู้และเข่นฆ่ากันเพียงเพราะพวกเขาสามารถแก้แค้นเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาถูกทำร้าย  ยิ่งพวกเขาถูกทำร้ายสาหัส พวกเขาก็ยิ่งอยากแก้แค้น และวิธีการที่พวกเขาใช้แก้แค้นก็จะยิ่งโหดร้าย  แล้วแนวโน้มทั่วไปในสังคมนี้ย่อมจะเป็นเช่นไร?  จะเกิดอะไรขึ้นกับสัมพันธภาพระหว่างผู้คน?  สังคมนี้จะไม่เต็มไปด้วยการฆ่าฟันและแก้แค้นหรอกหรือ?  เพราะฉะนั้น คนที่ออกข้อกำหนดนี้จึงกำลังบอกผู้คนด้วยวิธีที่อ้อมค้อมมากๆ ว่าอย่าแก้แค้น โดยใช้คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้คือ—“การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”—มาฉุดรั้งพฤติกรรมของพวกเขา  เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนทนทุกข์กับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือถูกหยามความเป็นตัวเอง หรือถูกทำให้เสียศักดิ์ศรี คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ย่อมมีอิทธิพลต่อผู้คนเหล่านั้นโดยทำให้พวกเขาคิดทบทวนก่อนลงมือ และหยุดยั้งพวกเขาไม่ให้หุนหันพลันแล่นและตอบโต้แรงเกินไป  ถ้าผู้คนในสังคมนี้อยากแก้แค้นทุกครั้งที่พวกเขาทนทุกข์กับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติที่มาจากรัฐ จากสังคม หรือผู้คนที่พวกเขาไปมาหาสู่ด้วย เช่นนั้นแล้วการบริหารจัดการเผ่าพันธุ์มนุษย์และสังคมนี้ก็ย่อมจะเป็นเรื่องยากมิใช่หรือ?  ที่ใดก็ตามที่มีคนอยู่กันมากๆ การต่อสู้ย่อมจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการล้างแค้นก็จะกลายเป็นเหตุการณ์ปกติ  แล้วเผ่าพันธุ์มนุษย์และสังคมนี้ย่อมจะตกอยู่ในความอลหม่านมิใช่หรือ?  (ใช่)  สังคมที่อยู่ในความอลหม่านนั้นง่ายต่อการที่นักปกครองจะบริหารจัดการหรือไม่?  (ไม่ง่าย)  ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เรียกกันว่านักการศึกษาและนักคิดทางสังคมจึงเสนอแนะคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” เพื่อเตือนสติและให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คน เพื่อที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมหรือถูกเลือกปฏิบัติ ถูกหยาม หรือถึงกับถูกทารุณกรรมหรือเหยียบย่ำ และไม่ว่าจะทนทุกข์ทางจิตวิญญาณหรือทางกายมากเพียงใด สิ่งแรกที่พวกเขานึกถึงย่อมไม่ใช่การเอาคืน แต่เป็นคติดั้งเดิมด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้คือ “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ทำให้พวกเขายอมรับการห้ามปรามจากคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว อันเป็นการยับยั้งความคิดและพฤติกรรมของพวกเขา สลายความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อผู้อื่น ต่อรัฐ และสังคมได้อย่างมีประสิทธิผล  เมื่อความไม่เป็นมิตรและความเดือดดาลที่ความเป็นมนุษย์จำเป็นต้องมี รวมทั้งความคิดที่จะปกป้องศักดิ์ศรีของตนตามสัญชาตญาณนั้นสูญสลายไป การฟาดฟันและล้างแค้นกันระหว่างผู้คนในสังคมนี้ย่อมจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญใช่หรือไม่?  (ใช่)  ตัวอย่างเช่น บางคนบอกว่า “เลิกทำอย่างนี้กันเถอะ การรอมชอมจะช่วยสลายความขัดแย้งได้ง่ายขึ้นมาก  ว่ากันว่า ‘การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้’  เขามีเหตุผลในการฆ่าครอบครัวของฉัน  การจะทะเลาะกันได้ต้องมีคนสองฝ่าย และทั้งสองฝ่ายต่างก็ยึดมั่นในเหตุผลของตน  นอกจากนี้ ครอบครัวของฉันก็ตายไปหลายปีแล้ว จะรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาอีกทำไม?  จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้—ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะเอื้ออารีก่อนถึงจะปล่อยมือจากความเกลียดชังได้ และเฉพาะเมื่อพวกเขาปล่อยมือจากความเกลียดชังแล้วเท่านั้น พวกเขาถึงจะมีความสุขในชีวิตได้”  ยังมีคนอื่นที่พูดว่า “เรื่องผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป  ถ้าเขาไม่ถือสาฉันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือมองฉันด้วยความไม่เป็นมิตรเหมือนแต่ก่อน แบบนั้นฉันก็จะไม่ทะเลาะกับเขาเช่นกัน และพวกเราก็แค่มาเริ่มต้นกันใหม่  เหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้’”  ถ้าคนแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จู่ๆ ก็ดึงตัวเองเอาไว้ในตอนที่พวกเขากำลังจะลงมือแก้แค้นพอดี เช่นนั้นแล้วคำพูด การกระทำ และหลักทฤษฎีของพวกเขาโดยแก่นแท้แล้วย่อมเกิดจากอิทธิพลของแนวคิดและทัศนะอย่าง “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ทั้งสิ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ยังมีคนอื่นอีกที่พูดว่า “ทะเลาะกันไปทำไม?  ทั้งที่คุณเป็นแบบอย่างของคนที่น่าชื่นชม แต่แม้กับเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้กลับปล่อยผ่านไม่ได้!  คนที่ยิ่งใหญ่บางคนยังมีหัวใจที่กว้างใหญ่พอให้ลงไปแล่นเรือได้เลย  อย่างน้อยที่สุดก็ควรทำใจให้กว้างๆ หน่อย!  ผู้คนควรมีความเอื้ออารีในชีวิตบ้างไม่ใช่หรือ?  ถอยออกมาก้าวหนึ่งและมองภาพรวมเถิด ดีกว่าถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  การโต้เถียงไปมาทั้งหมดนี้ดูแล้วน่าหัวร่อ”  คำกล่าวและแนวคิดเหล่านี้สรุปท่าทีอย่างหนึ่งที่มนุษย์มีต่อเรื่องราวทางโลก เป็นเพียงท่าทีที่เกิดจากคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” และคำกล่าวอื่นๆ ในทำนองเดียวกันตามคติดั้งเดิมทางด้านศีลธรรมเท่านั้น  ผู้คนได้รับการปลูกฝังและได้รับอิทธิพลจากคำกล่าวเหล่านี้ และรู้สึกว่าคำกล่าวเหล่านี้มีบทบาทในการเตือนสติและให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คนอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงถือว่าคำกล่าวเหล่านี้คือสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะควร

ทำไมผู้คนถึงปล่อยมือจากความเกลียดชังได้?  สาเหตุสำคัญมีอะไรบ้าง?  ในด้านหนึ่ง พวกเขาได้รับอิทธิพลจากคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า—“การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  อีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็กังวลกับความคิดที่ว่าถ้าพวกเขาถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกลียดชังผู้อื่นตลอดเวลา และไม่ยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่น พวกเขาก็จะไม่สามารถมีที่ยืนในสังคม ถูกความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่กล่าวโทษ และจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องจำใจกล้ำกลืนความโกรธของตนอย่างเสียมิได้  ในด้านหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญชาตญาณของมนุษย์ ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ย่อมไม่สามารถทนรับการกดขี่ การทำร้ายที่ไร้สติ และการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมทั้งหมดนี้ได้  กล่าวคือ ในความเป็นมนุษย์ ผู้คนไม่สามารถทนรับสิ่งเหล่านี้  เพราะฉะนั้น การออกข้อกำหนดกับใครก็ตามว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” จึงไม่ยุติธรรมและไร้มนุษยธรรม  ในทางกลับกัน เห็นได้ชัดว่าแนวคิดและทัศนะเช่นนี้บิดเบือนหรือส่งผลต่อทัศนะและมุมมองของผู้คนในเรื่องเหล่านี้ด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถปฏิบัติต่อเรื่องราวทำนองนี้ได้อย่างถูกควร และกลับถือว่าคำกล่าวอย่าง “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ถูกต้องและเป็นบวก  เมื่อผู้คนได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม และเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกความเห็นส่วนรวมกล่าวโทษ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเก็บงำคำสบประมาทและการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมที่พวกเขาพบเจอเอาไว้ และรอโอกาสตอบโต้  แม้ภายนอกพวกเขาจะพูดสิ่งที่ฟังดูดี เช่น “‘การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้’  ไม่เป็นไร ไม่มีประโยชน์ที่จะตอบโต้ เรื่องก็ผ่านไปแล้ว” แต่สัญชาตญาณของมนุษย์ย่อมทำให้พวกเขาไม่มีวันลืมความเสียหายที่เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดขึ้นกับตน กล่าวคือ ความเสียหายที่เกิดกับร่างกายและจิตใจของพวกเขานั้นย่อมจะไม่มีวันลบเลือนหรือจางหายไปได้  เมื่อผู้คนพูดว่า “จงลืมความเกลียดชังเสียเถิด เรื่องนี้จบลงและผ่านไปแล้ว” นั่นเป็นเพียงหน้าฉากที่ก่อเกิดจากอิทธิพลและการถูกแนวคิดและทัศนะอย่าง “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ควบคุมเอาไว้เท่านั้น  แน่นอนว่าผู้คนย่อมถูกแนวคิดและทัศนะเช่นนี้ตีกรอบเอาไว้เช่นกัน ตราบใดที่พวกเขาคิดว่าถ้าพวกเขาปฏิบัติตามไม่สำเร็จ ถ้าพวกเขาไม่มีหัวใจหรือความใจกว้างที่จะเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ ตราบนั้นพวกเขาย่อมจะถูกทุกคนดูแคลนและกล่าวโทษ และยิ่งถูกเลือกปฏิบัติมากขึ้นในสังคมหรือในชุมชนของตน  ผลสืบเนื่องของการถูกเลือกปฏิบัติย่อมเป็นเช่นไร?  เมื่อเจ้าติดต่อผู้คนและทำธุระของเจ้า ผู้คนก็จะพูดกันว่า “ผู้ชายคนนี้ใจแคบและชอบอาฆาต เวลาติดต่อเจรจากับเขา ระวังตัวด้วย!”  เวลาเจ้าทำธุระของตนภายในชุมชน นี่ย่อมส่งผลให้มีอุปสรรคเพิ่มเข้ามา  ทำไมถึงมีอุปสรรคเพิ่มเข้ามา?  เพราะสังคมโดยรวมได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะ เช่น “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  จารีตของสังคมโดยรวมเคารพการคิดอ่านแบบนี้ และการคิดอ่านแบบนี้ก็ตีกรอบ ครอบงำ และควบคุมสังคมทั้งหมดเอาไว้ ดังนั้นถ้าเจ้าไม่สามารถปฏิบัติตามนี้ได้ ก็เป็นเรื่องยากที่จะมีที่ยืนในสังคมและอยู่รอดในชุมชนของตน  เพราะฉะนั้น บางคนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมจำนนต่อจารีตทางสังคมเช่นนี้ ทำตามคำกล่าวและทัศนะอย่าง “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” มีชีวิตที่น่าเวทนา  เมื่อพิจารณาตามปรากฏการณ์เหล่านี้ คนที่เรียกกันว่าผู้มีศีลธรรมย่อมมีจุดมุ่งหมายและเจตนาบางอย่างในการประดิษฐ์คำกล่าวด้านแนวคิดและทัศนะทางศีลธรรมเหล่านี้ขึ้นมามิใช่หรือ?  พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อให้มนุษย์ดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น ได้รับการปลดปล่อยทางกาย ใจ และจิตวิญญาณมากขึ้นใช่หรือไม่?  หรือเพื่อให้ผู้คนดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น?  เห็นได้ชัดทีเดียวว่าไม่ใช่  คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ไม่ได้สนองความต้องการของความเป็นมนุษย์ที่ปกติในตัวผู้คนแต่อย่างใด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำกล่าวเหล่านี้ไม่ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อทำให้ผู้คนใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  แต่คำกล่าวทั้งหมดกลับสนองความทะเยอทะยานของชนชั้นปกครองที่จะควบคุมผู้คนและทำให้อำนาจของตนมีเสถียรภาพ  คำกล่าวเหล่านี้รับใช้ชนชั้นปกครอง และประดิษฐ์ขึ้นเพื่อให้ชนชั้นปกครองสามารถรักษาระเบียบสังคมและจารีตทางสังคมเอาไว้ได้ โดยใช้สิ่งเหล่านี้ตีกรอบทุกคน ทุกครอบครัว ทุกปัจเจก ทุกชุมชน ทุกกลุ่ม รวมทั้งสังคมที่ประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ ทั้งหมด  ในสังคมเช่นนี้ ภายใต้การปลูกฝัง อิทธิพล และการพร่ำสอนแนวคิดและทัศนะทางศีลธรรมดังกล่าวนี้นี่เองที่แนวคิดและทัศนะกระแสหลักทางศีลธรรมของสังคมถือกำเนิดและเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา  การก่อรูปก่อร่างของหลักศีลธรรมทางสังคมและจารีตทางสังคมนี้ไม่ได้เอื้อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่รอดมากขึ้น ไม่ได้เอื้อต่อความก้าวหน้าและการชำระความคิดอ่านของมนุษย์ให้บริสุทธิ์มากขึ้น และไม่ได้เอื้อต่อการยกระดับมนุษยชาติมากขึ้น  ในทางตรงกันข้าม เพราะแนวคิดและทัศนะทางศีลธรรมเหล่านี้ถือกำเนิดขึ้นมา การคิดอ่านของมนุษย์จึงถูกตีกรอบให้อยู่ภายในขอบเขตที่ควบคุมได้  ดังนั้น ใครได้ประโยชน์ในที่สุด?  ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์หรือไม่?  หรือว่าเป็นชนชั้นปกครอง?  (ชนชั้นปกครอง)  ถูกต้อง เป็นชนชั้นปกครองที่ได้ประโยชน์ในที่สุด  เมื่อมีคัมภีร์ศีลธรรมเหล่านี้เป็นหลักการสำหรับการคิดอ่านและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม มนุษย์จึงปกครองง่ายขึ้น มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะเป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง บงการง่ายขึ้น ใช้คำกล่าวต่างๆ ในคัมภีร์ศีลธรรมทั้งหลายมากำกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำได้ง่ายขึ้น และถูกระบบสังคม หลักศีลธรรมทางสังคม จารีตทางสังคม และความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่กำกับได้ง่ายขึ้น  เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนที่อยู่ใต้อาณัติของระบบสังคม สภาพแวดล้อมทางศีลธรรม และจารีตทางสังคมเดียวกัน โดยพื้นฐานแล้วย่อมมีแนวคิดและทัศนะที่เป็นเอกฉันท์ และมีบรรทัดฐานที่เป็นเอกฉันท์ว่าพวกเขาควรวางตัวอย่างไร ในระดับหนึ่ง เพราะแนวคิดและทัศนะของพวกเขาได้ผ่านการประมวลผลและถูกทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันโดยคนที่เรียกกันว่าผู้มีศีลธรรม นักคิด และนักการศึกษาเหล่านี้  คำว่า “เป็นเอกฉันท์” นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าทุกคนที่ถูกปกครอง—รวมถึงความคิดและความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพวกเขา—ได้ถูกคำกล่าวจากคัมภีร์ศีลธรรมเหล่านี้หลอมรวมและตีกรอบ  ความคิดของผู้คนถูกควบคุม และในเวลาเดียวกันปากและสมองของพวกเขาก็ถูกควบคุมด้วย  ทุกคนถูกบังคับให้ยอมรับแนวคิดและทัศนะทางศีลธรรมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม ในทางหนึ่งก็ใช้แนวคิดและทัศนะเหล่านี้ตัดสินและตีกรอบพฤติกรรมของตนเอง และอีกทางหนึ่งก็ใช้ตัดสินผู้อื่นและสังคมนี้  แน่นอนว่าพร้อมกันนั้นพวกเขาก็ถูกควบคุมโดยมติของคนส่วนใหญ่ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่คำกล่าวจากคัมภีร์ศีลธรรมอีกด้วย  ถ้าเจ้าคิดว่าวิธีที่เจ้าใช้ทำสิ่งต่างๆ ขัดแย้งกับคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” เจ้าย่อมรู้สึกว้าวุ่นและไม่สบายใจอย่างยิ่ง และไม่นานเจ้าย่อมคิดขึ้นมาว่า “ถ้าฉันไม่สามารถเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ ถ้าฉันหยุมหยิมและใจแคบเหมือนคนตัวเล็กใจแคบในนิยาย และฉันไม่สามารถปล่อยมือจากความเกลียดชังได้แม้แต่น้อย กลับเอาติดตัวไปด้วยตลอดเวลา ฉันจะถูกหัวเราะเยาะหรือเปล่า? ฉันจะถูกเพื่อนร่วมงานและเพื่อนฝูงเลือกปฏิบัติไหม?”  ดังนั้น เจ้าจึงต้องแกล้งทำตัวเอื้ออารีเป็นพิเศษ  ถ้าผู้คนมีพฤติกรรมเหล่านี้ นี่ย่อมหมายความว่าพวกเขาถูกความเห็นของคนส่วนใหญ่ควบคุมอยู่ใช่หรือไม่?  (ใช่)  พูดตามความเป็นจริงก็คือ ลึกลงไปในหัวใจของเจ้ามีโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น กล่าวคือ ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่และการกล่าวโทษจากสังคมโดยรวมเป็นเหมือนโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นสำหรับเจ้า  ตัวอย่างเช่น บางคนรู้ว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นดี เมื่อเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็จะสามารถได้รับความรอด และการเชื่อในพระเจ้าย่อมหมายถึงการเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องและไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี แต่พอพวกเขามาเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรก พวกเขากลับไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้ หรือรับรู้ความเชื่อของตน ถึงขั้นที่ไม่กล้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยซ้ำ  ทำไมพวกเขาถึงไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้ให้ผู้คนรู้?  เป็นเพราะพวกเขาได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมโดยรวมใช่หรือไม่?  (ใช่)  แล้วสภาพแวดล้อมโดยรวมนี้มีผลกระทบต่อเจ้าและควบคุมอะไรเจ้าไว้บ้าง? ทำไมเจ้าถึงไม่กล้ายอมรับว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า?  ทำไมเจ้าถึงไม่กล้าแม้แต่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ?  นอกเหนือจากกรณีพิเศษ เช่น ประเทศเผด็จการที่ผู้เชื่อถูกข่มเหงแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งก็คือเจ้าทนรับคำกล่าวต่างๆ ที่มาจากความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ไม่ไหว  ตัวอย่างเช่น บางคนบอกว่าเมื่อเจ้าเริ่มเชื่อในศาสนา เจ้าย่อมไม่สนใจไยดีครอบครัวของตน บ้างก็ตีตราเจ้าว่าเป็นปีศาจ บอกว่าผู้เชื่อในศาสนาอยากเป็นอมตะและปลีกตัวออกจากสังคม คนอื่นๆ ก็บอกว่าผู้เชื่อสามารถอยู่ได้โดยไม่กิน และถึงไม่นอนติดต่อกันหลายวันก็ไม่รู้สึกเหนื่อย และยังมีคนอื่นอีกที่พูดสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้  ในตอนแรกเจ้าไม่กล้ายอมรับว่าตนเชื่อในพระเจ้าเพราะเจ้าได้รับผลกระทบจากข้อคิดเห็นเหล่านี้มิใช่หรือ?  ข้อคิดเห็นเหล่านี้ภายในสภาพแวดล้อมทางสังคมโดยรวมส่งผลต่อเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในระดับหนึ่ง ข้อคิดเห็นเหล่านี้ส่งผลต่ออารมณ์ของเจ้าและทำร้ายความภาคภูมิใจของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่กล้ายอมรับอย่างเปิดเผยว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า  เนื่องจากสังคมนี้ไม่เป็นมิตรและเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้คนที่มีความเชื่อและผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และบางคนก็ถึงกับกล่าวคำสบประมาทอันต่ำทรามและออกความเห็นที่ใส่ร้ายป้ายสีซึ่งเจ้าเหลือจะทนได้ เจ้าจึงไม่กล้ายอมรับอย่างเปิดเผยว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า และต้องแอบออกไปชุมนุมอย่างลับๆ เหมือนขโมย  เจ้ากลัวว่าคนอื่นจะพูดจาใส่ร้ายถ้าพวกเขารู้เข้า ดังนั้นเจ้าจึงได้แต่ข่มความขุ่นเคืองของตนเอาไว้  เจ้าสู้ทนความปวดร้าวมากมายอยู่เงียบๆ เช่นนี้ แต่การทุกข์ทนกับความปวดร้าวทั้งหมดนี้สอนใจเจ้าอย่างมาก เจ้าได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ชัดเจนในหลายๆ เรื่อง และเข้าใจความจริงบางประการ

เมื่อครู่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันอย่างละเอียดถึงคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  ในแง่ของความเป็นมนุษย์ คำกล่าวนี้บ่งชี้การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมขั้นต่ำสุดที่คนเราควรมีในเรื่องของความเอื้อเฟื้อและความใจกว้าง  ข้อเท็จจริงก็คือเมื่อมองดูความเสียหายและผลกระทบที่มีต่อสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรี ความซื่อตรง และความเป็นมนุษย์ของผู้คนแล้ว การเอาแต่ใช้คำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” ซึ่งเป็นศัพท์เฉพาะในวงการใต้ดินของพวกโจรผู้ร้ายที่ปล้นชิงทรัพย์ มาปลอบใจและตีกรอบผู้คนนั้น เป็นการดูหมิ่นผู้คนที่มีมโนธรรมและสำนึกเป็นอย่างยิ่ง ไร้ซึ่งมนุษยธรรมและไร้ศีลธรรม  ความเป็นมนุษย์ที่ปกติมีความเบิกบาน ความโกรธ ความเศร้า และความสุขอยู่ในตัวเอง  เราจะไม่พูดถึงความเบิกบาน ความเศร้า และความสุขอีกแล้ว  ส่วนความโกรธนั้นเป็นภาวะอารมณ์อีกอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ความโกรธเกิดขึ้นและสำแดงตัวออกมาตามปกติภายใต้รูปการณ์แวดล้อมใดบ้าง?  เมื่อความเดือดดาลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติสำแดงตัวให้เห็น—นั่นก็คือเวลาที่ความซื่อตรง ศักดิ์ศรี ผลประโยชน์ วิญญาณ และจิตใจของผู้คนถูกทำร้าย ถูกเหยียบย่ำไว้ใต้เท้า และถูกดูหมิ่น พวกเขาย่อมจะโกรธเป็นธรรมดาตามสัญชาตญาณ เกิดความขุ่นเคืองหรือแม้กระทั่งความเกลียดชัง—นี่คือสาเหตุที่ทำให้เกิดความโกรธ และเป็นการสำแดงความโกรธออกมาโดยเฉพาะ  บางคนโกรธอย่างไม่มีเหตุผล  เรื่องเล็กเรื่องน้อยก็สามารถยั่วยุให้พวกเขาเดือดได้ หรือบางคนบังเอิญพูดอะไรบางอย่างที่ทำร้ายความรู้สึกของพวกเขา และนั่นก็สามารถทำให้ดวงตาของพวกเขาแดงฉานด้วยความโมโหได้  พวกเขาอารมณ์ร้อนเกินไปมิใช่หรือ?  สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรสัมพันธ์กับจิตวิญญาณ ความซื่อตรง ศักดิ์ศรี สิทธิมนุษยชน หรือโลกฝ่ายวิญญาณของพวกเขาเลย แต่พวกเขาก็สามารถบันดาลโทสะได้ในทันที ซึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาอารมณ์ร้อนเหลือเกิน  การแสดงความรู้สึกโกรธเคืองต่ออะไรก็ได้ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องปกติ  สิ่งที่พวกเรากำลังพูดถึงในที่นี้คือความขุ่นเคือง ความโกรธ ความเดือดดาล และความเกลียดชังที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติสำแดงออกมา  เหล่านี้คือปฏิกิริยาบางอย่างตามสัญชาตญาณของผู้คน  เมื่อความซื่อตรง ศักดิ์ศรี สิทธิมนุษยชน และจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งถูกเหยียบย่ำ ดูถูก หรือทำร้าย คนคนนั้นย่อมขุ่นเคือง  ความขุ่นเคืองนี้ไม่ใช่อารมณ์ฉุนเฉียวชั่วแล่น หรือความรู้สึกชั่วขณะ แต่เป็นปฏิกิริยาปกติของมนุษย์ที่เกิดขึ้นเมื่อใดก็ตามที่ความซื่อตรง ศักดิ์ศรี และจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งถูกทำร้ายจนบอบช้ำ  ในเมื่อนี่เป็นปฏิกิริยาที่ปกติของมนุษย์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าปฏิกิริยานี้ชอบธรรมและสมเหตุสมผล ดังนั้นจึงไม่ใช่อาชญากรรม และไม่จำเป็นต้องถูกควบคุม  สำหรับปัญหาที่ทำร้ายผู้คนได้ถึงระดับนี้ ควรมีการแก้ไขและจัดการอย่างเที่ยงธรรม  ถ้าไม่สามารถแก้ไขเรื่องราวได้อย่างสมเหตุสมผลหรือจัดการได้อย่างยุติธรรม และผู้คนก็ถูกคาดหวังอย่างไม่มีเหตุผลให้ปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” นี่ย่อมไร้ศีลธรรมและไร้มนุษยธรรมต่อเหยื่อ และเป็นเรื่องที่ผู้คนควรตระหนักรู้

สำหรับคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” พวกเราได้พูดคุยกันในประเด็นใดไปแล้วบ้าง?  พวกเรามาสรุปกันเถิด  แก่นแท้ของคำกล่าวนี้ก็เหมือนกับคำกล่าวอื่นๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  คำกล่าวทั้งหมดนี้ล้วนรับใช้ชนชั้นปกครองและจารีตทางสังคม—ไม่ได้คิดขึ้นมาโดยเริ่มจากแง่มุมของความเป็นมนุษย์  การพูดว่าคัมภีร์ศีลธรรมเหล่านี้รับใช้ชนชั้นปกครองและจารีตทางสังคมอาจพ้นวิสัยของเรื่องที่พวกเจ้าควรเข้าใจและควรที่จะสามารถเข้าใจได้ผ่านทางความเชื่อที่พวกเจ้ามีในพระเจ้าอยู่บ้าง แม้จะค่อนข้างเข้าใจได้สำหรับผู้ที่พอจะรู้อะไรบ้างทางด้านการเมือง สังคมศาสตร์ และความคิดอ่านของมนุษย์ก็ตาม  แล้วตามมุมมองของมนุษยชาติ กล่าวคือ ตามมุมมองของเจ้าเอง เจ้าควรรับมือเรื่องดังกล่าวอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยถูกจับกุม คุมขัง และถูกทรมานเพราะความเชื่อของเจ้า  พญานาคใหญ่สีแดงไม่ยอมให้เจ้าได้หลับได้นอนอยู่หลายวันหลายคืน และทรมานเจ้าปางตาย  ไม่ว่าเจ้าจะเป็นชายหรือหญิง ร่างกายและจิตใจของเจ้าย่อมทุกข์ทนกับการถูกทารุณกรรมและทรมานสารพัดอย่าง และเจ้ายังถูกมารพวกนั้นใช้ภาษาที่หมิ่นประมาทและโสมมสารพัดรูปแบบมาถากถาง เยาะเย้ย และโจมตีอีกด้วย  หลังจากทุกข์ทรมานแบบนี้ เจ้ารู้สึกอย่างไรต่อประเทศนี้และรัฐบาลนี้?  (เกลียดชัง)  นี่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง เป็นความเกลียดชังต่อระบบสังคมนี้ ความเกลียดชังต่อพรรครัฐบาลนี้ และความเกลียดชังต่อประเทศนี้  ทุกครั้งที่เห็นตำรวจรัฐ เจ้าเคยรู้สึกนับถืออย่างยิ่ง แต่หลังจากที่ถูกพวกเขาข่มเหง ทรมาน และหมิ่นเกียรติ ความรู้สึกเคารพนับถือในอดีตก็หายไป และหัวใจของเจ้าก็เต็มไปด้วยคำคำเดียวคือ—เกลียดชัง  เกลียดชังที่พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ เกลียดชังที่พวกเขาทำผิดทำนองคลองธรรมอย่างสิ้นเชิง และเกลียดชังที่พวกเขาเป็นเดรัจฉาน เป็นหมู่มาร และเหล่าซาตาน  แม้ว่าเจ้าจะทนทุกข์แสนสาหัสจากการถูกตำรวจรัฐทรมาน หลู่เกียรติ และดูหมิ่น แต่เจ้าก็ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา ได้เห็นว่าพวกเขาล้วนเป็นสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ และเป็นมารที่เกลียดชังความจริงและเกลียดชังพระเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อพวกเขา  นี่ไม่ใช่ความเกลียดชังส่วนตัวหรือความคับข้องหมองใจส่วนตัว นี่คือผลจากการมองเห็นแก่นแท้อันชั่วของพวกเขาอย่างชัดเจน  ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจินตนาการ สรุป หรือกำหนดเอาเอง แต่เป็นความทรงจำทั้งหมดของการที่พวกเขาถากถางเจ้า หมิ่นเกียรติเจ้า และข่มเหงเจ้า—รวมถึงกิริยาท่าทาง การกระทำ และคำพูดทั้งหมดของพวกเขา—ซึ่งทำให้หัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง  นี่ปกติใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อเจ้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ถ้ามีใครบางคนบอกเจ้าว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้  อย่ามีชีวิตอยู่ในความเกลียดชังเลย  วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการความเกลียดชังก็คือสลายมันไป” เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  (ขยะแขยง)  นอกจากขยะแขยงแล้ว เจ้ายังรู้สึกเช่นไรได้อีก?  อย่างนั้นจงบอกเราเถิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะสลายความเกลียดชังนี้?  (ไม่ได้)  สลายไม่ได้  ความเกลียดชังที่ไม่อาจทำใจรับได้ จะให้สลายได้อย่างไร?  ถ้ามีใครใช้คำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” มาชักชวนให้เจ้าปล่อยมือจากความเกลียดชังที่มี เจ้าจะปล่อยมือได้หรือไม่?  เจ้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?  ปฏิกิริยาแรกของเจ้าย่อมจะเป็นว่า “คำกล่าวที่ว่า ‘การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้’ นี้เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระทั้งสิ้น เป็นความคิดเห็นที่ไม่มีความรับผิดชอบของคนที่ยืนดูอยู่เฉยๆ!  ผู้คนที่เผยแพร่แนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมนี้ข่มเหงคริสตชนและคนดีกันทุกวี่วัน—คำพูดเหล่านี้ตีกรอบและส่งผลต่อพวกเขาบ้างไหม?  พวกเขาจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะขับไล่หรือทำลายล้างคริสตชนทุกคนจนหมด!  พวกเขาคือหมู่มารและเหล่าซาตานที่ปลอมตัวมา  ทารุณกรรมผู้คนในยามที่ยังมีชีวิตอยู่ จากนั้นเมื่อผู้คนตายแล้ว พวกเขาก็พูดจาแสดงความเห็นอกเห็นใจอยู่สองสามคำเพื่อชักพาให้ผู้อื่นหลงเชื่อ  นี่เลวมากมิใช่หรือ?”  เจ้าย่อมจะมีปฏิกิริยาและรู้สึกเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าย่อมจะรู้สึกแบบนี้อย่างแน่นอน เกลียดใครก็ตามที่พยายามชักชวนเจ้า จนถึงขั้นที่อยากสาปแช่งพวกเขาด้วยซ้ำ  แต่คนบางคนก็ไม่เข้าใจ  พวกเขาถามว่า “ทำไมคุณทำอย่างนี้?  นี่คือความจงเกลียดจงชังไม่ใช่หรือ?  เป็นความมุ่งร้ายไม่ใช่หรือ?”  เหล่านี้เป็นความเห็นที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบของคนที่ยืนดูอยู่เฉยๆ  เจ้าย่อมจะย้อนให้ว่า “ฉันเป็นมนุษย์ มีศักดิ์ศรีและมีความซื่อตรง แต่พวกเขาไม่ได้ทำกับฉันอย่างมนุษย์  กลับทำเหมือนฉันเป็นเดรัจฉานหรือสัตว์ร้าย ก้าวล่วงศักดิ์ศรีและความซื่อตรงของฉันอย่างมาก  คนที่มุ่งร้ายคือพวกเขาไม่ใช่หรือ?  คุณยอมรับความมุ่งร้ายของพวกเขาอยู่ในที แต่พอพวกเราต้านทานและเกลียดชังพวกเขา คุณกลับกล่าวโทษพวกเราในเรื่องนี้  นั่นย่อมทำให้คุณเป็นเช่นไร?  คนที่เลวคือคุณเองไม่ใช่หรือ?  พวกเขาทำกับพวกเราเหมือนไม่ใช่มนุษย์ ทรมานพวกเรา แต่คุณยังคงบอกให้พวกเราค้ำชูการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ และตอบแทนความชั่วด้วยความดี  คุณเอาแต่พูดจาไร้สาระไม่ใช่หรือ?  ความเป็นมนุษย์ของคุณนั้นปกติอยู่หรือเปล่า?  คุณเสแสร้งและหน้าซื่อใจคด  คุณไม่เพียงมุ่งร้ายอย่างยิ่งเท่านั้น แต่ยังเลวและไม่มีความละอายอีกด้วย!”  ดังนั้น เมื่อมีใครปลอบใจเจ้าด้วยการพูดว่า “ลืมไปเสียเถิด มันจบแล้ว อย่าเก็บความคับข้องเอาไว้  ถ้าคุณเป็นคนหยุมหยิมแบบนี้อยู่เสมอ ในที่สุดคนที่เจ็บก็จะเป็นตัวคุณเอง  ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยมือจากความเกลียดชัง และหัดเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?  เจ้าจะไม่คิดหรอกหรือว่า “วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมทั้งหมดนี้เป็นเพียงเครื่องมือที่ชนชั้นปกครองใช้ควบคุมและชักพาผู้คนให้หลงผิด  ตัวพวกเขาเองไม่เคยถูกแนวคิดและทัศนะเหล่านี้ควบคุม แต่กลับชักพาให้ผู้คนหลงผิดและทำร้ายผู้คนอย่างเหี้ยมโหดทุกวัน  คนที่มีศักดิ์ศรีและซื่อตรงอย่างฉันกลับถูกปั่นหัวเล่นและทารุณกรรมเหมือนเป็นเดรัจฉานหรือสัตว์ร้าย  ฉันทุกข์ทนกับคำสบประมาทและการด้อยค่ามากมายเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา ถูกทรมาน ถูกลิดรอนศักดิ์ศรีและความซื่อตรง เพื่อให้ฉันดูไม่เหมือนคนด้วยซ้ำ  แต่คุณกลับพูดถึงหลักศีลธรรมอย่างนั้นหรือ?  คุณเป็นใครถึงมาพูดเรื่องที่ฟังดูสูงส่งอย่างนี้?  การที่ฉันถูกเหยียดหยามนั้นครั้งเดียวก็มากพอแล้วไม่ใช่หรือ คุณอยากให้พวกเขาเหยียดหยามฉันอีกครั้งหรือไร?  ไม่มีทางที่ฉันจะปล่อยมือจากความเกลียดชังนี้!”  นี่คือสิ่งที่สำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือสิ่งที่สำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  บางคนกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่เป็นการยุยงให้เกิดความเกลียดชัง”  ถ้าเป็นเช่นนั้น ใครกันที่ทำให้คนคนนี้มีพฤติกรรมและความเกลียดชังนี้?  เจ้ารู้หรือไม่?  ถ้าพวกเขาไม่ได้ถูกพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงอย่างทารุณ พวกเขาจะประพฤติตนเช่นนี้หรือไม่?  พวกเขาถูกข่มเหงและพูดความในใจออกมาเท่านั้น—นั่นเป็นการยุยงให้เกิดความเกลียดชังได้อย่างไร?  ระบอบซาตานข่มเหงผู้คนกันแบบนี้ แต่พวกเขากลับไม่ยอมให้ผู้คนพูดความในใจออกมา?  ซาตานข่มเหงผู้คนแถมยังอยากให้พวกเขาหุบปาก  มันไม่ยอมให้พวกเขาเกลียดชังหรือต้านทาน  นั่นเป็นการใช้เหตุผลแบบใด?  ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรต่อต้านการกดขี่และการเบียดเบียนมิใช่หรือ?  พวกเขาควรนบนอบแต่โดยดีเท่านั้นหรือ?  ซาตานทำร้ายและทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามมานานหลายพันปีแล้ว  เมื่อผู้เชื่อเข้าใจความจริง พวกเขาก็ควรตื่นขึ้น ต้านทานซาตาน เปิดโปงมัน เกลียดชังมัน และกบฏต่อมัน  นี่คือความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เป็นเรื่องธรรมดาและชอบธรรมอย่างที่สุด  นี่คือการกระทำที่ดีงามและชอบธรรมซึ่งความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรที่จะสามารถทำได้ และนี่ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสรรเสริญ

ไม่ว่าจะมองมุมไหน คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติด้านศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ไร้มนุษยธรรมและน่าขยะแขยงมาก  คำกล่าวนี้บอกให้ผู้คนในชนชั้นผู้ถูกปกครองไม่ต้านทานการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมใดๆ—โดยไม่คำนึงถึงการโจมตี การทำให้เสื่อมเสีย หรือการบาดเจ็บใดๆ ที่พวกเขาได้รับจากความซื่อตรง ศักดิ์ศรี และสิทธิมนุษยชน—แต่ยอมจำนนโดยดีต่อการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมนั้นเสีย  พวกเขาไม่ควรแก้แค้น หรือคิดเกี่ยวกับสิ่งที่น่าชัง นับประสาอะไรกับการตอบโต้ แต่ต้องทำให้แน่ใจว่าจะเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้  นี่ไม่ไร้มนุษยธรรมหรือ?  เห็นได้ชัดมากว่านี่ไร้มนุษยธรรม  เพราะว่าการนี้พึงต้องให้ชนชั้นที่ถูกปกครอง—ผู้คนธรรมดา—ทำทั้งหมดนี้และประพฤติปฏิบัติตนด้วยการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมประเภทนี้ การประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของชนชั้นปกครองก็ไม่ควรเกินเลยข้อกำหนดนี้หรือไม่?  นี่เป็นบางสิ่งที่พวกเขาควรจะต้องทำยิ่งขึ้นหรือไม่?  พวกเขาทำสิ่งนี้แล้วหรือไม่?  พวกเขาสามารถทำได้หรือไม่?  พวกเขาใช้คำกล่าวนี้หน่วงเหนี่ยวตนเองและประเมินวัดตนเองหรือไม่?  พวกเขาใช้คำกล่าวนี้ในการปฏิบัติต่อผู้คนของพวกเขา ผู้คนที่พวกเขาปกครองหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่เคยทำเช่นนี้  พวกเขาเพียงบอกให้ผู้คนของตนไม่คำนึงถึงสังคมนี้ ประเทศนี้ หรือชนชั้นปกครองด้วยความไม่เป็นมิตร และไม่ว่าผู้คนจะประสบทุกข์กับการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมอะไรในสังคมหรือในชุมชนของตน และไม่ว่าผู้คนจะทุกข์ทนทางร่างกาย ทางจิตใจ และทางจิตวิญญาณมากแค่ไหน พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้  ในทางกลับกัน ถ้าผู้คนธรรมดา—สามัญชนในสายตาของพวกเขา—บอกพวกเขาว่า “ไม่” หรือเก็บงำข้อคิดเห็นและปากเสียงที่เห็นแย้งใดๆ เกี่ยวกับสถานะ การปกครอง และสิทธิอำนาจของชนชั้นปกครอง พวกเขาจะถูกจัดการอย่างเข้มงวด และถึงกับถูกลงโทษอย่างรุนแรง  นี่คือการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ชนชั้นปกครองที่สนับสนุน “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ต่อผู้คนควรมีหรือไม่?  ถ้าในหมู่ผู้คนธรรมดาของชนชั้นผู้ถูกปกครองมีปัญหาเพียงเล็กน้อย หรือมีการขยับตำแหน่งเพียงเล็กน้อย หรือถ้ามีการต่อต้านพวกเขาในความคิดของผู้คนแม้เพียงเล็กน้อย เช่นนั้นแล้วมันก็จะถูกตัดไฟแต่ต้นลม  พวกเขาควบคุมหัวใจและจิตใจของผู้คน และบังคับผู้คนให้ยอมจำนนต่อพวกเขาอย่างไม่ประนีประนอม  เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า “เมื่อจักรพรรดิสั่งให้ข้าราชบริพารตาย พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตาย” และ “แผ่นดินใต้ฟ้าทั้งหมดเป็นของกษัตริย์ ผู้คนทั้งหมดในโลกเป็นข้าราชบริพารของกษัตริย์”  ไม่มีผิด  ใจความสำคัญของมันก็คือทุกสิ่งที่นักปกครองทำถูกต้อง และผู้คนควรจะถูกเขาหลอกให้หลงกล ควบคุม ดูหมิ่น เล่น เหยียบย่ำ และกัดกินในที่สุด และไม่ว่าชนชั้นปกครองจะทำอะไรพวกเขาก็ถูกต้อง และตราบเท่าที่ผู้คนมีชีวิต พวกเขาต้องเป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง และต้องไม่คิดคดต่อกษัตริย์  ไม่ว่ากษัตริย์จะไม่ดีแค่ไหน ไม่ว่าการปกครองของเขาจะไม่ดีแค่ไหน ผู้คนธรรมดาต้องไม่พูดว่า “ไม่” และต้องไม่เก็บงำความคิดต้านทาน และต้องเชื่อฟังอย่างสิ้นเชิง  ในเมื่อ “ผู้คนทั้งหมดในโลกเป็นข้าราชบริพารของกษัตริย์” หมายความว่าสามัญชนที่กษัตริย์ปกครองเป็นข้าราชบริพารของพระองค์ เช่นนั้นแล้วกษัตริย์จึงไม่ควรเป็นแบบอย่างตามคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” แก่ผู้คนทั่วไปอย่างนั้นหรือ?  เนื่องจากผู้คนทั่วไปโง่เขลา ไม่รู้เท่าทัน ไม่รู้เรื่องรู้ราว และไม่เข้าใจกฎหมาย พวกเขาจึงทำสิ่งที่ผิดกฎหมายและเป็นอาชญากรรมบ่อยๆ  ดังนั้นกษัตริย์จึงไม่ควรเป็นคนแรกจากทั้งหมดที่ใช้คำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” หรือ?  การเมตตาผู้คนธรรมดาเท่ากับที่เขาเมตตาลูกหลานของตน—นั่นคือสิ่งที่กษัตริย์ควรทำมิใช่หรือ?  กษัตริย์ไม่ควรมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เช่นนี้อีกด้วยหรือไม่?  (ควร)  แล้วเขาทำข้อกำหนดนี้กับตนเองหรือไม่?  (ไม่)  เมื่อกษัตริย์สั่งให้ปราบปรามความเชื่อทางศาสนา พวกเขาพึงต้องให้ตนเองยึดติดคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” หรือไม่?  เมื่อกองทัพและกองตำรวจของพวกเขาข่มเหงและทรมานคริสตชนอย่างโหดเหี้ยม พวกเขาขอให้รัฐบาลของตนยึดติดคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” หรือไม่?  พวกเขาไม่เคยขอให้รัฐบาลหรือกองกำลังตำรวจของตนทำเช่นนั้น  แต่กลับรบเร้าและบังคับรัฐบาลและกองกำลังตำรวจให้ปราบปรามความเชื่อทางศาสนาอย่างเข้มงวด และถึงกับออกคำสั่งในแนวของ “จงตีพวกเขาให้ตายด้วยนิรโทษกรรม” และ “จงทำลายพวกเขาโดยไม่ส่งเสียงเลย” ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากษัตริย์แห่งโลกชั่วนี้เป็นมาร พวกเขาคือกษัตริย์มาร พวกเขาคือซาตาน  พวกเขาอนุญาตให้เจ้าหน้าที่จุดไฟเท่านั้น แต่ไม่อนุญาตให้ผู้คนจุดตะเกียงเสียด้วยซ้ำ  พวกเขาใช้คำกล่าวดั้งเดิมด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้หน่วงเหนี่ยวและจำกัดควบคุมผู้คน ด้วยกลัวว่าผู้คนจะลุกขึ้นต่อต้านพวกเขา  ดังนั้นชนชั้นปกครองจึงใช้คำกล่าวทุกประเภทด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมหลอกผู้คนให้หลงกล  พวกเขามีจุดประสงค์เดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือจำกัดควบคุมและผูกมัดมือและเท้าของผู้คน เพื่อที่ผู้คนจะยอมจำนนต่อการปกครองของพวกเขา และพวกเขาไม่ต้องยอมทนต่อการต้านทาน  พวกเขาใช้ทฤษฎีด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้หลอกลวงและทำให้ผู้คนมึนงง ตบตาพวกเขาจนพวกเขาอาจก้มกราบและเป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง  ไม่ว่าชนชั้นปกครองจะรอดตัวและเหยียบย่ำผู้คนมากแค่ไหน ไม่ว่าพวกเขาจะบีบคั้นและหาประโยชน์จากผู้คนมากแค่ไหน ผู้คนก็สามารถยอมจำนนแต่โดยดีเท่านั้น และไม่สามารถต้านทานได้เลย  แม้แต่เวลาที่เผชิญหน้าความตาย ผู้คนก็เพียงสามารถเลือกที่จะหลบหนีเท่านั้น  พวกเขาไม่สามารถต้านทาน และไม่กล้าเก็บงำความคิดที่จะต่อต้านเสียด้วยซ้ำ  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะมองจอบและเคียว หรือเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ข้างตัว หรือแม้แต่นำมีดพกและกรรไกรตัดเล็บติดตัวไปด้วย โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นพลเมืองที่เชื่อฟัง และพวกเขาจะยอมจำนนต่อการปกครองของกษัตริย์เสมอ และจงรักภักดีต่อกษัตริย์ตลอดกาล  ความจงรักภักดีของพวกเขาควรแผ่ขยายออกไปแค่ไหน?  ไม่มีใครกล้าพูดว่า “ในฐานะประชาชน พวกเราต้องใช้แนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมกำกับดูแลและหน่วงเหนี่ยวกษัตริย์ของพวกเรา” และไม่มีใครกล้าเสนอแนะข้อคิดเห็นที่ต่างออกไปแม้เพียงเล็กน้อยเมื่อได้รู้ว่ากษัตริย์กำลังทำชั่ว ไม่เช่นนั้นนั่นจะทำให้พวกเขาถูกฆ่า  เห็นได้ชัดมากว่านักปกครองมองตนเองไม่เพียงเป็นกษัตริย์ของผู้คนเท่านั้น แต่ยังเป็นอธิปไตยและผู้ควบคุมประชาชนอีกด้วย  ในประวัติศาสตร์จีน จักรพรรดิเหล่านี้เรียกตัวเองว่า “เทียนจื่อ”  “เทียนจื่อ” มีความหมายว่าอะไร?  หมายความว่าบุตรแห่งสวรรค์ชั้นฟ้า หรือเรียกสั้นๆ ว่า “บุตรแห่งสวรรค์”  ทำไมพวกเขาถึงไม่เรียกตัวเองว่า “บุตรแห่งแผ่นดินโลก”?  ถ้าพวกเขาเกิดบนแผ่นดินโลก พวกเขาก็ควรเป็นบุตรของแผ่นดินโลก และในเมื่อเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเกิดบนแผ่นดินโลก ทำไมถึงเรียกตนเองว่า “บุตรแห่งสวรรค์”?  จุดประสงค์ของการเรียกตนเองว่าบุตรแห่งสวรรค์คืออะไร?  พวกเขาต้องการดูถูกสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและสามัญชนเหล่านี้ใช่หรือไม่?  วิธีที่พวกเขาปกครองคือการควบคุมผู้คนด้วยอำนาจและสถานะเหนือสิ่งอื่นใด  กล่าวคือเมื่อพวกเขาเถลิงอำนาจและกลายเป็นจักรพรรดิ พวกเขาคิดว่าไม่เป็นไรที่จะปฏิบัติต่อผู้คนอย่างหยาบคาย และผู้คนเสี่ยงที่จะถูกประหารชีวิตเพราะแสดงท่าทีนิ่งเฉยแม้เพียงเล็กน้อย  นั่นคือที่มาของชื่อ “บุตรแห่งสวรรค์”  ถ้าจักรพรรดิพูดว่าเขาเป็นบุตรแห่งแผ่นดินโลก เขาก็จะดูเหมือนมีสถานะที่ต่ำต้อย และจะไม่มีบารมีที่เขาอ้างว่ากษัตริย์ควรมี และเขาจะไม่สามารถขู่ขวัญชนชั้นผู้ถูกปกครองได้  ดังนั้นเขาจึงเพิ่มเดิมพันโดยอ้างว่าเขาเป็นบุตรแห่งสวรรค์ และต้องการเป็นตัวแทนของสวรรค์  เขาสามารถเป็นตัวแทนของสวรรค์ได้หรือ?  เขามีแก่นแท้นั้นหรือไม่?  ถ้าคนเรายืนกรานที่จะเป็นตัวแทนของสวรรค์โดยไม่มีแก่นแท้ที่จะทำเช่นนั้น นั่นถือเป็นการเสแสร้ง  ในด้านหนึ่ง นักปกครองเหล่านี้คำนึงถึงสวรรค์และพระเจ้าด้วยความไม่เป็นมิตร แต่ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาเป็นบุตรแห่งสวรรค์ และพวกเขาได้รับมอบอำนาจจากสวรรค์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การปกครองของตน  นี่ไม่ไร้ยางอายหรือ?  เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเหล่านี้ จุดประสงค์ของคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ซึ่งถูกเผยแพร่ในหมู่มวลมนุษย์ก็เพื่อจำกัดควบคุมการขบคิดตามปกติของผู้คน ผูกมัดมือและเท้าของผู้คน จำกัดควบคุมพฤติกรรมของผู้คน และแม้แต่จำกัดควบคุมความคิด ทัศนะ และการแสดงออกต่างๆ ของผู้คนภายในขอบเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เมื่อพิจารณารากเหง้าของสิ่งนี้ จุดประสงค์ของสิ่งเหล่านี้คือการก่อร่างจารีตประเพณีทางสังคมและหลักศีลธรรมทางสังคมที่ดี  แน่นอนว่าโดยการสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ สิ่งเหล่านี้ยังสนองความมักใหญ่ใฝ่สูงของชนชั้นปกครองที่จะปกครองไปนานๆ อีกด้วย แต่ไม่ว่าพวกเขาจะปกครองอย่างไร สุดท้ายแล้วเหยื่อก็คือมวลมนุษย์  มวลมนุษย์ถูกจำกัดขอบเขตและได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิม  ผู้คนไม่เพียงสูญเสียโอกาสที่จะได้ยินข่าวประเสริฐและรับความรอดจากพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังสูญเสียโอกาสที่จะแสวงหาความจริงและเดินในเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตอีกด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้การควบคุมของนักปกครอง ผู้คนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับพิษ ความนอกรีตและเหตุผลวิบัติหลายประเภท และสิ่งที่เป็นลบอื่นๆ ที่มาจากซาตาน  ในช่วงไม่กี่พันปีที่แล้วของประวัติศาสตร์อันยาวนานของมวลมนุษย์ ซาตานได้ให้การศึกษา พร่ำสอน และลวงมวลมนุษย์ให้หลงกลโดยการเผยแพร่ความรู้และกระจายทฤษฎีเชิงอุดมการณ์ต่างๆ ส่งผลให้ผู้คนหลายรุ่นได้รับอิทธิพลและถูกจำกัดควบคุมอย่างลุ่มลึกโดยแนวคิดและมุมมองเหล่านี้  แน่นอนว่าภายใต้อิทธิพลของแนวคิดและมุมมองจากซาตานเหล่านี้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนรุนแรงขึ้นและร้ายแรงขึ้น  กล่าวคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนได้รับการส่งเสริมและ “ทำให้สูงส่ง” บนพื้นฐานนี้ และหยั่งรากลึกในหัวใจของผู้คน ทำให้พวกเขาปฏิเสธพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า และจมลึกลงไปในบาปที่พวกเขาไม่สามารถถอนตัวเองออกมาได้  ในส่วนของการก่อร่างคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้—“การประหารชีวิตไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากทำให้ศีรษะกลิ้ง จงเมตตาเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้”—รวมทั้งจุดมุ่งหมายในการเสนอแนะข้อกำหนดนี้ ความเสียหายที่ผู้คนถูกกระทำตั้งแต่คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ได้ก่อร่างขึ้น และแง่มุมอื่นๆ ทั้งหมด พวกเราจะไม่สามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้ตอนนี้ และพวกคุณสามารถใช้เวลาในภายหลังใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้เพิ่มเติมด้วยตนเอง

ชาวจีนไม่ใช่ไม่คุ้นเคยกับคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีอิทธิพลต่อผู้คนในชั่วข้ามคืน  คุณมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมประเภทนี้ คุณได้รับการศึกษาเชิงอุดมการณ์ประเภทนี้เกี่ยวกับแง่มุมทั้งหลายของวัฒนธรรมดั้งเดิมและหลักศีลธรรม และคุณคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ แต่คุณก็ไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งเหล่านี้สามารถส่งผลลัพธ์ที่เป็นลบอย่างใหญ่หลวง  สิ่งเหล่านี้จะขัดขวางคุณไม่ให้เชื่อในพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงมากแค่ไหน หรือสิ่งเหล่านี้จะมีอิทธิพลหรือขัดขวางมากแค่ไหนในเส้นทางที่คุณเดินในอนาคต?  พวกคุณตระหนักรู้ประเด็นเหล่านี้หรือไม่?  พวกคุณควรใคร่ครวญและวินิจฉัยเพิ่มเติมในหัวข้อที่เราได้สามัคคีธรรมกันในวันนี้ เพื่อทำความเข้าใจอย่างถ้วนทั่วในบทบาทที่วัฒนธรรมดั้งเดิมเล่นในการให้ความรู้แก่มวลมนุษย์ ว่าคืออะไรกันแน่ และผู้คนควรปฏิบัติต่อสิ่งนี้ให้ถูกต้องอย่างไร  คำพูดเหล่านี้ที่เราได้สามัคคีธรรมกันข้างต้นเอื้ออำนวยและเป็นประโยชน์สำหรับคุณในการทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ในวัฒนธรรมดั้งเดิม  แน่นอนว่าความเข้าใจนี้ไม่เพียงเป็นความเข้าใจในวัฒนธรรมดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังเป็นความเข้าใจในการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอีกด้วย และวิธีและวิถีทางต่างๆ ที่ซาตานใช้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม และแม้กระทั่งทัศนะต่างๆ ที่มันปลูกฝังในผู้คนโดยเฉพาะ รวมทั้งวิธีและวิถีทาง ทัศนะ มุมมอง จุดยืน และอื่นๆ ที่มันใช้ปฏิบัติต่อโลกและมวลมนุษย์  หลังจากได้รับความเข้าใจอย่างถ้วนทั่วในสิ่งต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิม สิ่งที่พวกคุณควรทำไม่ใช่เพียงหลีกเลี่ยงและปฏิเสธคำกล่าวและทัศนะต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิม  แต่คุณกลับควรเข้าใจและชำแหละให้เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นว่าอันตรายใด การจำกัดควบคุมใด และพันธนาการใดที่คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่คุณยึดปฏิบัติตามและค้ำจุนได้ก่อให้เกิดกับคุณ และบทบาทใดที่พวกเขาเล่นในการส่งผลกระทบ รบกวน และขัดขวางความคิดและทัศนะของคุณในการวางตัวคุณเอง รวมทั้งการที่คุณยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง และส่งผลให้คุณล่าช้าในการยอมรับความจริง เข้าใจความจริง ปฏิบัติความจริง และเชื่อฟังพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์และอย่างแน่นอนที่สุด  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้คนควรคิดทบทวนและตระหนักรู้โดยแน่แท้  คุณไม่สามารถเลี่ยงหนีหรือปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ไปเฉยๆ คุณต้องสามารถวินิจฉัยและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถ้วนทั่ว เพื่อให้คุณสามารถปลดปล่อยจิตใจของคุณให้เป็นอิสระอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่ลวงโลกและทำให้หลงผิดเหล่านี้ในวัฒนธรรมดั้งเดิม  ต่อให้คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมบางคำไม่หยั่งรากลึกในตัวคุณ แต่สำแดงตนให้เห็นเป็นครั้งคราวในการขบคิดและมโนคติอันหลงผิดของคุณ คำกล่าวเหล่านี้ก็ยังคงสามารถรบกวนคุณในช่วงเวลาสั้นๆ หรือในระหว่างเหตุการณ์เดียว  หากคุณไม่สามารถวินิจฉัยได้อย่างชัดเจน คุณอาจยังคงถือว่าคำกล่าวและทัศนะบางอย่างเป็นสิ่งที่เป็นบวกหรือใกล้เคียงความจริงมากๆ และนี่เป็นบางสิ่งที่เป็นปัญหาอย่างมาก  มีคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมบางคำที่คุณชอบมากภายในใจ  คุณไม่เพียงเห็นด้วยกับสิ่งเหล่านั้นในหัวใจของคุณ แต่คุณยังรู้สึกด้วยว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถระบายในที่สาธารณะ ผู้คนจะสนใจที่จะได้ยินสิ่งเหล่านั้น และพวกเขาจะยอมรับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นบวก  คำกล่าวเหล่านี้เป็นคำกล่าวที่คุณจะปล่อยวางยากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย  แม้ว่าคุณจะไม่ได้ยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง แต่คุณตระหนักรู้ภายในว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เป็นบวกในหัวใจของคุณ และสิ่งเหล่านี้หยั่งรากลงในหัวใจของคุณและกลายเป็นชีวิตของคุณโดยไม่รู้สึกตัว  เมื่อคุณมาเชื่อในพระเจ้าและยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติเพื่อรบกวนคุณและขัดขวางคุณไม่ให้ยอมรับความจริง  เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ขัดขวางผู้คนไม่ให้ไล่ตามเสาะหาความจริง  ถ้าคุณไม่สามารถวินิจฉัยสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ก็เป็นการง่ายที่จะสับสนปนเปสิ่งเหล่านี้กับความจริง และจัดให้มีสถานะเดียวกัน ซึ่งสามารถมีผลลัพธ์ที่เป็นลบต่อผู้คนได้  อาจเป็นไปได้ว่าคุณไม่ได้ปฏิบัติต่อคำกล่าวเหล่านี้—เช่น “จงอย่านำเงินที่เจ้าเก็บได้มาใส่ในกระเป๋า” “จงได้รับความหรรษายินดีจากการช่วยเหลือผู้อื่น” และ “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น”—ในฐานะความจริง และคุณไม่ถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นมาตรฐานสำหรับประเมินวัดการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของคุณเอง และคุณไม่ไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นในฐานะจุดหมายสำหรับการวางตัวคุณเอง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ได้รับอิทธิพลและถูกทำให้เสื่อมทรามโดยวัฒนธรรมดั้งเดิม  อาจเป็นไปได้อีกด้วยว่าคุณเป็นคนที่ไม่แยแสรายละเอียดที่ไม่สลักสำคัญ ตราบเท่าที่คุณไม่สนใจว่าคุณจะนำเงินที่คุณเก็บได้มาใส่ในกระเป๋าหรือไม่ หรือคุณจะได้รับความหรรษายินดีจากการช่วยเหลือผู้อื่นหรือไม่  แต่คุณต้องเข้าใจและชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งหนึ่ง นั่นคือคุณมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมประเภทนี้และอยู่ภายใต้อิทธิพลของการศึกษาเชิงอุดมการณ์และวัฒนธรรมดั้งเดิม ดังนั้นคุณจะทำตามคำกล่าวเหล่านี้ที่มวลมนุษย์สนับสนุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะเลือกใช้บางส่วนเป็นอย่างน้อยเป็นมาตรฐานของคุณสำหรับประเมินวัดการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  นี่คือสิ่งที่คุณควรคิดทบทวนอย่างรอบคอบ  อาจเป็นไปได้อีกด้วยว่าคุณไม่ได้เลือกใช้คำกล่าวเช่น “จงอย่านำเงินที่เจ้าเก็บได้มาใส่ในกระเป๋า” หรือ “จงได้รับความหรรษายินดีจากการช่วยเหลือผู้อื่น” เป็นมาตรฐานของคุณสำหรับประเมินวัดการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม แต่ลึกลงไปในหัวใจของคุณ คุณคิดว่าคำกล่าวอื่นๆ เช่น “ฉันจะยอมรับกระสุนแทนเพื่อน” สูงส่งเป็นพิเศษ และกลายเป็นหลักปรัชญาที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณ หรือกลายเป็นเกณฑ์กำหนดสูงสุดที่คุณใช้มองผู้คนและสิ่งต่างๆ และวางตัวคุณเองและลงมือทำ  นี่แสดงให้เห็นอะไร?  แม้ว่าลึกลงไปในหัวใจของคุณ คุณไม่เจตนาเคารพหรือทำตามวัฒนธรรมดั้งเดิม หลักปรัชญาของการวางตัว วิธีที่คุณวางตัวคุณเอง และจุดหมายชีวิตของคุณ รวมทั้งหลักธรรมทั้งหลาย ผลสรุป และหลักปรัชญาสำหรับจุดหมายชีวิตที่คุณไล่ตามเสาะหาไม่ได้เป็นอิสระจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเลย  สิ่งเหล่านั้นไม่หลุดรอดจากคุณค่าแห่งความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะสม ปัญญา และความน่าไว้วางใจที่มวลมนุษย์ค้ำจุน หรือหลักปรัชญาด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมบางประการที่มวลมนุษย์สนับสนุน—คุณไม่ได้หลีกหนีจากขอบเขตจำกัดเหล่านี้เลย  กล่าวง่ายๆ ก็คือตราบใดที่คุณเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม เป็นมนุษย์ที่มีชีวิต และคุณกินอาหารของโลกมนุษย์ เช่นนั้นแล้วหลักธรรมแห่งการวางตัวและชีวิตที่คุณทำตามก็ไม่มากไปกว่าหลักธรรมและหลักปรัชญาสำหรับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้  พวกคุณควรเข้าใจคำพูดที่ฉันพูดเหล่านี้และปัญหาที่ฉันเปิดโปงเหล่านี้  แต่ทว่าบางทีคุณอาจคิดว่าคุณไม่มีปัญหาเหล่านี้ ดังนั้นคุณจึงไม่สนใจสิ่งที่ฉันพูด  ข้อเท็จจริงก็คือผู้คนล้วนมีปัญหาเหล่านี้ในระดับที่แตกต่างกัน ไม่ว่าคุณจะตระหนักหรือไม่ และนี่คือบางสิ่งที่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงควรคิดทบทวนและเข้าใจอย่างรอบคอบ1

พวกเราเพิ่งพูดกันไปว่าคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” นี้เป็นข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมวลมนุษย์  พวกเรายังใช้คำกล่าวนี้ชำแหละปัญหาบางข้อและผลกระทบบางประการที่คำกล่าวนี้มีต่อมวลมนุษย์  คำกล่าวนี้พาให้มวลมนุษย์รู้จักแนวคิดและทัศนะบางอย่างที่ไม่ก่อให้เกิดผลดี และมีผลเชิงลบบางอย่างต่อการไล่ตามเสาะหาและการอยู่รอดของผู้คน ซึ่งผู้คนควรตระหนักรู้  ดังนั้นผู้เชื่อควรทำความเข้าใจปัญหาเรื่องความเอื้ออารีและความใจกว้างในความเป็นมนุษย์ว่าอย่างไร?  คนเราจะสามารถทำความเข้าใจปัญหาเหล่านี้ตามมุมมองของพระเจ้ากันอย่างถูกต้องและเป็นบวกได้อย่างไร?  นี่เป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจด้วยมิใช่หรือ?  (ใช่)  แท้จริงแล้วการทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก  เจ้าไม่จำเป็นต้องเดา หรือค้นคว้าวิจัยข้อมูลใดๆ  เพียงเรียนรู้จากสิ่งที่พระเจ้าตรัสและพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในหมู่ผู้คน และจากพระอุปนิสัยของพระเจ้าดังที่แสดงไว้ในการที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนทุกประเภทในลักษณะต่างๆ กัน พวกเราก็จะสามารถรู้ได้อย่างแม่นยำว่าพระเจ้าทรงมีความคิดเห็นเช่นไรต่อคำกล่าวและทัศนะเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม และแท้จริงแล้วเจตนารมณ์ของพระองค์คืออะไร  เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์และทัศนะของพระเจ้าแล้ว ผู้คนก็ควรมีเส้นทางที่จะใช้ไล่ตามเสาะหาความจริง  คำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า” ซึ่งผู้คนยึดถือกันนั้น หมายความว่าเมื่อหัวของคนคนหนึ่งถูกตัดและหล่นลงพื้น นั่นคือตอนจบของเรื่องและไม่ควรไล่ตามอีกต่อไป  นี่คือมุมมองแบบหนึ่งมิใช่หรือ?  เป็นมุมมองที่ผู้คนยึดถือกันทั่วไปมิใช่หรือ?  นี่หมายความว่าเมื่อคนคนหนึ่งมาถึงวาระสุดท้ายในชีวิตทางกายภาพของตน ชีวิตนั้นย่อมจบสิ้นแล้ว  สิ่งไม่ดีทั้งปวงที่คนคนนั้นทำไว้ในชีวิตของตน ความรัก ความเกลียดชัง ความหลงใหล และความเป็นอริทั้งมวลที่พวกเขาเคยประสบ ย่อมถูกประกาศให้สิ้นสุดลงในตอนนั้นด้วย และชีวิตนั้นก็ถือว่าสิ้นสุดแล้ว  ผู้คนเชื่อกันเช่นนี้ แต่เมื่อพิจารณาจากพระวจนะของพระเจ้าและเครื่องบ่งชี้ต่างๆ ในการกระทำของพระเจ้า นี่ใช่หลักธรรมในการกระทำของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ดังนั้น อะไรคือหลักธรรมในการกระทำของพระเจ้า?  พระเจ้าทรงใช้หลักการอะไรทำสิ่งทั้งหลายดังกล่าว?  บางคนกล่าวว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้ตามกฎการปกครองของพระองค์ ซึ่งก็ถูกต้อง แต่ไม่ใช่ภาพที่สมบูรณ์  ในด้านหนึ่งก็เป็นไปตามกฎการปกครองของพระองค์ แต่อีกด้านหนึ่ง พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนทุกประเภทตามอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์—นี่จึงเป็นภาพที่สมบูรณ์  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ถ้าคนคนหนึ่งถูกประหารและหัวของพวกเขาหล่นลงพื้น ชีวิตของคนคนนั้นสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่?  (ไม่)  ถ้าอย่างนั้นพระเจ้าทรงจบชีวิตของคนคนหนึ่งอย่างไร?  นี่ใช่วิธีที่พระเจ้าทรงจัดการคนคนหนึ่งหรือไม่?  (ไม่ใช่)  วิธีที่พระเจ้าทรงใช้จัดการคนไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ใช่เพียงประหารพวกเขาด้วยการตัดหัวแล้วเป็นอันจบ  ย่อมมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด มีความสอดคล้องและคงเส้นคงวาในวิธีที่พระเจ้าทรงใช้จัดการมวลมนุษย์  นับแต่เวลาที่ดวงจิตกลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ จนถึงเวลาที่ดวงจิตนั้นกลับคืนสู่โลกวิญญาณหลังจากสิ้นสุดชีวิตทางกายภาพของบุคคลดังกล่าวแล้ว ไม่ว่าจะไปตามครรลองใด จะในโลกวิญญาณหรือในโลกวัตถุ ดวงจิตนั้นก็ต้องอยู่ภายใต้การจัดการของพระเจ้า  ในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะได้รับรางวัลหรือถูกลงโทษย่อมขึ้นอยู่กับกฎการปกครองของพระเจ้า และย่อมมีกฎเกณฑ์ของสวรรค์  นี่หมายความว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อคนคนหนึ่งอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับโชคชะตาชั่วชีวิตที่พระองค์ทรงลิขิตไว้ให้แต่ละบุคคล  เมื่อโชคชะตาของคนเราสิ้นสุดลง พวกเขาจะอยู่ภายใต้การดำเนินการตามธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงตราไว้และกฎเกณฑ์ของสวรรค์เรื่องการลงโทษคนชั่วและให้รางวัลคนดี  ถ้าใครทำความชั่วในโลกไว้มาก เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องถูกลงโทษอย่างหนัก ถ้าไม่ได้ทำความชั่วมากนักและแม้กระทั่งทำความดีไว้บ้าง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ควรได้รางวัล  ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถกลับมาเกิดใหม่ต่อไปอีกหรือไม่ และจะเกิดใหม่เป็นมนุษย์หรือเดรัจฉาน ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของพวกเขาในชีวิตนี้  ทำไมเราจึงสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้?  เพราะต่อท้ายคำกล่าวที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า” ยังมีอีกวลีหนึ่งคือ “จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  พระเจ้าไม่ทรงมีวิธีการพูดหรือทำสิ่งต่างๆ ในแบบที่พยายามเกลี่ยเรื่องให้เบาลงอย่างไร้หลักธรรม  การกระทำของพระเจ้าย่อมมีการเผยให้เห็นผ่านทางวิธีจัดการสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตั้งแต่ต้นจนจบของพระองค์ ซึ่งล้วนทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าพระเจ้าคือผู้ที่ครองอธิปไตยเหนือโชคชะตาของมนุษย์ จัดวางเรียบเรียงและจัดแจงเตรียมโชคชะตาของมนุษย์ แล้วจากนั้นจึงลงโทษคนชั่วและให้รางวัลคนดีตามพฤติกรรมของแต่ละคน ตัดสินลงโทษไปตามสมควร  แล้วตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้นั้น ผู้คนควรถูกลงโทษไม่ว่าจะนานกี่ปีและเกิดใหม่กี่ครั้งก็ตาม ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาทำชั่วมากเท่าใด และโลกวิญญาณย่อมดำเนินการในเรื่องนี้ตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้ โดยไม่มีความเบี่ยงเบนแม้แต่น้อย  ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ และใครก็ตามที่เปลี่ยนแปลง ย่อมละเมิดกฎเกณฑ์ของสวรรค์ที่พระเจ้าทรงบัญญัติไว้ และย่อมจะถูกลงโทษโดยไม่มีข้อยกเว้น  ในสายพระเนตรของพระเจ้า กฎเกณฑ์เหล่านี้ของสวรรค์เป็นสิ่งที่มิอาจละเมิดได้  นี่หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าใครก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะทำความชั่วอะไรไว้ หรือละเมิดกฎเกณฑ์และข้อบังคับข้อใดของสวรรค์ก็ตาม ย่อมจะถูกจัดการในที่สุดโดยไม่มีการรอมชอม  ไม่เหมือนกฎหมายของโลก—ซึ่งมีการรอลงอาญา หรือมีคนช่วยไกล่เกลี่ยได้ หรือผู้พิพากษาอาจทำตามความรู้สึกของตนและทำตัวใจดีมีเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ เพื่อให้คนคนนั้นไม่ถูกตัดสินว่าก่ออาชญากรรมจริงและถูกลงโทษตามนั้น—สิ่งต่างๆ ในโลกวิญญาณไม่ได้เป็นเช่นนี้  พระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อชีวิตทั้งในอดีตและปัจจุบันของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายอย่างเข้มงวดตามธรรมบัญญัติที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ ซึ่งก็คือกฎเกณฑ์ของสวรรค์  ไม่ว่าการกระทำผิดของผู้คนจะร้ายแรงหรือเล็กน้อยเพียงใด หรือความดีของพวกเขาจะยิ่งใหญ่หรือไร้นัยสำคัญเพียงใดก็ไม่สำคัญ ไม่ว่าการกระทำผิดหรือความดีของคนเหล่านั้นจะดำเนินมานานเพียงใด หรือเกิดไปนานเท่าใดแล้วก็ไม่สำคัญ  ทั้งหมดนี้ไม่มีเรื่องใดเปลี่ยนแปลงวิถีที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างทรงปฏิบัติต่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา  กล่าวคือ กฎเกณฑ์ของสวรรค์ที่พระเจ้าทรงวางไว้นั้นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  นี่คือหลักธรรมเบื้องหลังการกระทำของพระเจ้าและเบื้องหลังวิธีการที่พระองค์ทรงทำสิ่งต่างๆ  นับตั้งแต่มนุษย์ถือกำเนิดเกิดมาและพระเจ้าก็เริ่มทรงพระราชกิจในหมู่พวกเขา กฎการปกครองที่พระองค์ทรงตราไว้ ซึ่งก็คือกฎเกณฑ์ของสวรรค์นั้น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  เพราะฉะนั้น ในท้ายที่สุดพระเจ้าย่อมจะมีวิธีจัดการการกระทำผิด ความประพฤติดี และความประพฤติชั่วทุกประเภทของมวลมนุษย์  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดต้องจ่ายราคาที่เหมาะสมกับการกระทำและพฤติกรรมของตน  อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งมวลย่อมถูกพระเจ้าลงโทษเพราะการกบฏต่อพระเจ้า ความประพฤติชั่วที่พวกเขาทำ และการกระทำผิดที่พวกเขาหลงเหลือไว้เบื้องหลัง ไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงจงเกลียดจงชังผู้คน  พระเจ้าไม่ใช่สมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์  พระเจ้าก็คือพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดถูกลงโทษไม่ใช่เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างทรงเกลียดชังผู้คน แต่เพราะพวกเขาละเมิดกฎเกณฑ์ของสวรรค์ ข้อบังคับ ธรรมบัญญัติ และพระบัญญัติที่พระเจ้าทรงวางเอาไว้ และข้อเท็จจริงนี้ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้  เมื่อมองจากมุมนี้ ในสายพระเนตรของพระเจ้าย่อมไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่า “การเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  พวกเจ้าอาจไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เรากำลังพูดอย่างถ่องแท้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดก็คือให้พวกเจ้ารู้ไว้ว่าพระเจ้าไม่ทรงมีความเกลียดชัง มีแต่เพียงกฎเกณฑ์ของสวรรค์ กฎการปกครอง ธรรมบัญญัติ พระอุปนิสัยของพระองค์ พระพิโรธและบารมีของพระองค์ซึ่งไม่ทนยอมรับการล่วงเกินเท่านั้น  เพราะฉะนั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้าจึงไม่มีเรื่องทำนอง “เมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  เจ้าไม่ควรใช้ข้อกำหนดที่บอกให้เมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้มาประเมินพระเจ้า และไม่ควรพินิจพิเคราะห์พระเจ้าตามข้อกำหนดนี้  คำว่า “พินิจพิเคราะห์พระเจ้า” หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าบางครั้งเมื่อพระเจ้าทรงแสดงความกรุณาและความยอมผ่อนปรนต่อผู้คน บางคนก็จะพูดว่า “ดูเถิด พระเจ้าทรงดีงาม พระเจ้าทรงรักผู้คน พระองค์ทรงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ ทรงยอมผ่อนปรนให้มนุษย์อย่างแท้จริง พระเจ้าทรงใจกว้างอย่างที่สุด พระทัยกว้างกว่าจิตใจของมนุษย์มาก และใหญ่กว่าจิตใจของพวกนายกรัฐมนตรีเสียอีก!”  การพูดแบบนั้นถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ถ้าเจ้าสรรเสริญพระเจ้าแบบนี้ นี่ใช่เรื่องที่สมควรพูดหรือไม่?  (ไม่สมควร)  การพูดจาแบบนี้ผิดและไม่อาจใช้กับพระเจ้าได้  มนุษย์พยายามที่จะเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ เพื่อแสดงความใจกว้างและความยอมผ่อนปรนของตน และโอ้อวดว่าตนนั้นเป็นคนที่ยอมผ่อนปรน มีใจเอื้ออารี และเป็นคนที่มีคุณธรรมอันประเสริฐ  ส่วนพระเจ้านั้น ในแก่นแท้ของพระเจ้ามีความกรุณาและความยอมผ่อนปรน  ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนคือแก่นแท้ของพระเจ้า  แต่แก่นแท้ของพระเจ้าไม่ใช่ความเอื้ออารีและความยอมผ่อนปรนที่มนุษย์แสดงให้เห็นด้วยการเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้  สองสิ่งนี้ต่างกัน  ในการเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้นั้น จุดมุ่งหมายของมนุษย์ก็คือการทำให้ผู้คนพูดถึงตนในทางที่ดีว่าตนนั้นใจกว้าง รู้ความควรไม่ควร และเป็นคนดี  นอกจากนี้ยังเป็นเพราะแรงกดดันทางสังคมและเป็นไปเพื่อความอยู่รอด  ผู้คนเพียงแต่แสดงความเอื้อเฟื้อเล็กน้อยและความใจกว้างต่อผู้อื่นบ้างเพื่อให้สัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายหนึ่งๆ ไม่ใช่เพื่อที่จะยึดถือหรือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของมโนธรรม แต่เพื่อทำให้ผู้คนยอมรับนับถือและเคารพบูชาตน หรือเพราะเป็นส่วนหนึ่งของเหตุจูงใจที่แฝงเร้นหรือเล่ห์เหลี่ยมบางอย่าง  ไม่มีความบริสุทธิ์ในการกระทำของพวกเขา  แล้วพระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ เช่น การเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้หรือไม่?  พระเจ้าไม่ทรงทำเรื่องแบบนั้น  บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าทรงแสดงความเมตตาต่อผู้คนด้วยไม่ใช่หรือ?  แล้วเมื่อพระองค์ทรงทำเช่นนั้น พระองค์ก็กำลังทรงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ?”  ไม่ใช่ มีความแตกต่างที่ผู้คนควรทำความเข้าใจในที่นี้  ผู้คนควรเข้าใจว่าอย่างไร?  ว่าเมื่อผู้คนทำตามคำกล่าวที่ว่า “จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” พวกเขาทำกันอย่างไม่มีหลักธรรม  พวกเขาทำไปเพราะยอมจำนนต่อแรงกดดันของสังคมและความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ และเพื่อเสแสร้งว่าตนนั้นเป็นคนดี  ผู้คนจำใจทำเช่นนี้เพราะมีจุดมุ่งหมายที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านี้ พลางสวมหน้ากากของความหน้าซื่อใจคดเพื่ออวดตนว่าเป็นคนดี  หรือบางทีพวกเขาอาจจะถูกรูปการณ์แวดล้อมบีบบังคับ และอยากแก้แค้น แต่ทำไม่ได้ และในสถานการณ์อย่างนี้ที่ไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาจึงจำใจปฏิบัติตามหลักปรัชญาข้อนี้  นี่ไม่ได้มาจากการพรั่งพรูแก่นแท้ภายในตัวพวกเขาออกมา  ผู้คนที่ทำเช่นนี้ได้ไม่ใช่คนดีจริง หรือคนที่รักสิ่งที่เป็นบวกอย่างแท้จริง  ดังนั้นการที่พระเจ้าทรงยอมผ่อนปรนและเปี่ยมกรุณาต่อผู้คน แตกต่างจากการที่ผู้คนปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” อย่างไร?  จงบอกเราเถิดว่ามีความแตกต่างอย่างไรบ้าง  (มีหลักธรรมในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ  ตัวอย่างเช่น ชาวนีนะเวห์ได้รับความยอมผ่อนปรนจากพระเจ้าหลังจากที่พวกเขากลับใจอย่างแท้จริง  จากเรื่องนี้พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่ามีหลักธรรมอยู่ในการกระทำของพระเจ้า และพวกเรายังมองเห็นได้อีกด้วยว่าในแก่นแท้ของพระเจ้ามีความกรุณาและความยอมผ่อนปรนให้แก่ผู้คน)  พูดได้ดี  ในที่นี้มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่สองประการ  ประเด็นที่พวกเจ้าเพิ่งเอ่ยถึงไปนั้นสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งก็คือมีหลักธรรมในสิ่งที่พระเจ้าทำ  มีเส้นแบ่งและขอบเขตที่ชัดเจนในทุกสิ่งที่พระเจ้าทำ และเส้นแบ่งและขอบเขตนี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถเข้าใจได้  ข้อเท็จจริงก็คือมีหลักธรรมบางอย่างอยู่ในทุกสิ่งที่พระเจ้าทำ  ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงแสดงความเมตตาต่อการกระทำผิดของชาวนีนะเวห์  เมื่อชาวนีนะเวห์ปล่อยมือจากความชั่วของตนและกลับใจอย่างแท้จริง พระเจ้าก็ทรงให้อภัยพวกเขาและสัญญาว่าจะไม่ทำลายเมืองนี้อีก  นี่คือหลักธรรมเบื้องหลังการกระทำของพระเจ้า  ในที่นี้จะสามารถทำความเข้าใจหลักธรรมนี้ได้ว่าอย่างไร?  นี่คือเส้นตาย  สามารถกล่าวตามความเข้าใจและวิธีพูดจาของมนุษย์ได้ว่านี่คือขีดจำกัดของพระเจ้า  ตราบใดที่ชาวนีนะเวห์ละทิ้งความชั่วในมือของตน เลิกใช้ชีวิตอยู่ในบาป เลิกตัดขาดจากพระเจ้าเหมือนที่เคยทำ และสามารถกลับใจต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริง การกลับใจที่แท้จริงนี้คือเส้นตายที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา  ถ้าพวกเขาสามารถสัมฤทธิ์การกลับใจได้จริง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงเมตตาพวกเขา  ในทางตรงกันข้าม ถ้าพวกเขาไม่สามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง พระเจ้าจะทรงทบทวนอีกครั้งหรือไม่?  การตัดสินพระทัยและแผนการก่อนหน้านี้ของพระเจ้าที่จะทำลายเมืองนี้จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าประทานทางเลือกแก่พวกเขาไว้สองทาง ทางแรกคือทำความชั่วของตนต่อไปและเผชิญความย่อยยับ ซึ่งในกรณีนี้เมืองทั้งเมืองย่อมจะถูกทำลายล้าง ทางที่สองคือปล่อยมือจากความชั่วของตน กลับใจต่อพระองค์อย่างแท้จริงโดยห่มผ้ากระสอบและนั่งในกองเถ้า และสารภาพบาปของตนต่อพระองค์จากก้นบึ้งของหัวใจ ซึ่งในกรณีนี้พระองค์ก็จะทรงเมตตาพวกเขา และไม่ว่าพวกเขาจะทำความชั่วอะไรมาก่อน หรือการทำชั่วของพวกเขาจะร้ายแรงเพียงใดก็ตาม  พระองค์ย่อมจะตัดสินพระทัยไม่ทำลายเมืองนี้เพราะพวกเขากลับใจ  พระเจ้าประทานทางเลือกแก่พวกเขาสองทาง และแทนที่จะเลือกทางแรก พวกเขานั้นเลือกทางที่สอง—ซึ่งก็คือการกลับใจต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงโดยห่มผ้ากระสอบและนั่งในกองเถ้า  ผลสุดท้ายเป็นเช่นไร?  พวกเขาทำให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยได้สำเร็จ นั่นคือ ทรงพิจารณาใหม่ เปลี่ยนแผนการของพระองค์ เมตตาพวกเขา และเว้นจากการทำลายเมืองนี้  นี่คือหลักธรรมที่พระเจ้าใช้ทรงพระราชกิจมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือหลักธรรมที่พระเจ้าใช้ทรงพระราชกิจ  ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องสำคัญยิ่งอีกจุดหนึ่ง ซึ่งก็คือในแก่นแท้ของพระเจ้ามีความรักและความกรุณา แต่ก็แน่นอนว่ามีความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการล่วงเกินของมนุษย์ และความโกรธอีกด้วย  ในกรณีของการทำลายล้างเมืองนีนะเวห์นั้นมีการเผยให้เห็นแก่นแท้ทั้งสองด้านนี้ของพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความประพฤติที่ชั่วของผู้คนเหล่านี้ แก่นแท้ที่เป็นพระพิโรธของพระเจ้าก็สำแดงและเผยตัวออกมา  มีหลักธรรมอยู่ในพระพิโรธของพระเจ้าหรือไม่?  (มี)  พูดง่ายๆ ก็คือหลักธรรมนี้มีอยู่ว่าความกริ้วของพระเจ้านี้มีหลักการ  ไม่ใช่การกริ้วหรือเดือดดาลแบบไม่แยกแยะ และยิ่งไม่ใช่ความรู้สึกอย่างหนึ่งด้วย  แต่เป็นอุปนิสัยที่เกิดขึ้นและเผยให้เห็นตามธรรมชาติ ภายในบริบทบางอย่าง  พระพิโรธและบารมีของพระเจ้าไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน  ในภาษามนุษย์ นี่หมายความว่าพระเจ้ากริ้วและเดือดดาลเมื่อทอดพระเนตรเห็นการประพฤติชั่วของชาวนีนะเวห์  กล่าวให้แน่ชัดก็คือ พระเจ้ากริ้วเพราะพระองค์ทรงมีด้านที่ไม่ทนยอมรับการล่วงเกินของผู้คน ดังนั้นเมื่อได้เห็นการประพฤติชั่วของผู้คน เห็นการอุบัติและบังเกิดของสิ่งที่เป็นลบ พระเจ้าย่อมจะเผยพระพิโรธของพระองค์เป็นธรรมดา  แล้วถ้าพระเจ้าเผยพระพิโรธออกมา พระองค์จะทรงทำลายเมืองนี้ทันทีหรือไม่?  (ไม่)  พวกเจ้าย่อมจะสามารถเห็นได้ดังนี้ว่ามีหลักธรรมในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ  นี่ไม่ใช่ว่าเมื่อพระเจ้ากริ้ว พระองค์จะตรัสว่า “เรามีสิทธิอำนาจ เราจะทำลายเจ้า!  ไม่ว่าสถานการณ์ของเจ้าจะคับขันเช่นไร เราก็จะไม่ให้โอกาสเจ้า!”  ไม่ใช่เช่นนั้นเลย  พระเจ้าทรงทำอย่างไร?  พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ ต่อเนื่องกันเป็นขั้นๆ  แล้วผู้คนควรตีความสิ่งเหล่านี้อย่างไร?  สิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนนั้นล้วนเป็นไปตามพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะพระพิโรธของพระองค์เท่านั้น  ซึ่งหมายความว่าพระพิโรธของพระเจ้าไม่ใช่ความมุทะลุ  ไม่เหมือนความมุทะลุของมนุษย์ที่พูดด้วยความหุนหันพลันแล่นว่า “ฉันมีอำนาจ ฉันจะฆ่าแก ฉันจะจัดการแก” หรือแบบที่พญานาคใหญ่สีแดงพูดว่า “ถ้าจับแกได้ ฉันจะฆ่าแก จะซ้อมแกให้ตายโดยที่ไม่ต้องรับผิด”  ซาตานและพวกมารทำสิ่งต่างๆ แบบนี้  ความมุทะลุก็มาจากซาตานและพวกมาร  ในพระพิโรธของพระเจ้านั้นไม่มีความมุทะลุ  การไร้ซึ่งความมุทะลุของพระองค์สำแดงออกมาอย่างไร?  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าชาวนีนะเวห์เสื่อมทรามเพียงใด พระองค์ก็กริ้วและเดือดดาล  แต่พอกริ้วแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ทรงทำลายชาวเมืองโดยไม่ตรัสอะไรสักคำเพียงเพราะทรงมีแก่นแท้แห่งพระพิโรธ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระองค์กลับส่งโยนาห์ไปแจ้งให้ชาวเมืองนีนะเวห์รู้ถึงสิ่งที่พระองค์กำลังจะทรงทำต่อไป โดยบอกพวกเขาว่าพระองค์จะทรงทำอะไรและเพราะเหตุใด เพื่อให้พวกเขาเข้าใจชัดแจ้งและให้พวกเขาพอจะมีความหวังบ้าง  ข้อเท็จจริงนี้บอกมวลมนุษย์ว่าพระเจ้าเผยพระพิโรธก็เพราะเกิดเรื่องที่เป็นลบและชั่ว แต่พระพิโรธของพระเจ้าแตกต่างจากความมุทะลุของมวลมนุษย์ และแตกต่างจากความรู้สึกของมนุษย์  บางคนถามว่า “พระพิโรธของพระเจ้าแตกต่างจากความมุทะลุและความรู้สึกของมนุษย์  แล้วพระพิโรธของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ควบคุมได้หรือไม่?”  คำว่าควบคุมได้ไม่ใช่คำที่ถูกต้องที่จะใช้ในที่นี้ ไม่สมควรที่จะพูดแบบนี้  กล่าวให้ถูกต้องก็คือมีหลักธรรมอยู่ในพระพิโรธของพระเจ้า  ในพระพิโรธของพระองค์ พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ เป็นขั้นๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นเพิ่มเติมว่ามีความจริงและหลักธรรมในการกระทำของพระองค์ และพร้อมกันนั้นก็บอกให้มวลมนุษย์รู้ด้วยว่า นอกจากพระพิโรธของพระองค์แล้ว พระเจ้าทรงมีความกรุณาและความรักอีกด้วย  เมื่อพระเจ้าทรงทุ่มเทความกรุณาและความรักให้แก่มวลมนุษย์ มวลมนุษย์ได้ประโยชน์อะไรบ้าง?  กล่าวคือ ถ้าผู้คนสารภาพบาปของตนและกลับใจตามแบบที่พระเจ้าทรงสอน พวกเขาก็สามารถได้รับโอกาสแห่งชีวิตจากพระเจ้า รวมทั้งความหวังและความเป็นไปได้ที่จะอยู่รอด  นี่หมายความว่าผู้คนสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยการอนุญาตจากพระเจ้า โดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาต้องสารภาพและกลับใจอย่างแท้จริงแล้ว จากนั้นพวกเขาก็จะสามารถได้รับสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา  มีหลักธรรมอยู่ในถ้อยแถลงทั้งหมดที่เป็นขั้นเป็นตอนนี้มิใช่หรือ?  เจ้าดูเอาเถิด เบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่างและพระราชกิจทุกประเภทที่พระเจ้าทรงทำนั้น หากใช้ภาษาของมนุษย์ก็ย่อมกล่าวว่ามีเหตุผลและความละเอียดถี่ถ้วน หรือหากใช้พระวจนะของพระเจ้าก็ว่ามีความจริงและหลักธรรม  ซึ่งแตกต่างจากวิธีที่มวลมนุษย์ใช้ทำสิ่งต่างๆ และยิ่งไม่มีความมุทะลุของมวลมนุษย์ปลอมปนอีกด้วย  บางคนกล่าวว่า “พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสงบและไม่หุนหันพลันแล่น!”  เป็นเช่นนี้หรือไม่?  ไม่ได้เป็นเช่นนี้ ไม่สามารถพูดได้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าสงบ สำรวม และไม่หุนหันพลันแล่น—มวลมนุษย์ประเมินและบรรยายพระอุปนิสัยกันแบบนี้  มีความจริงและหลักธรรมในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ  ไม่ว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมีหลักการพื้นฐาน และหลักการพื้นฐานนี้ก็คือความจริงและเป็นพระอุปนิสัยของพระเจ้า

ในการจัดการชาวนีนะเวห์ พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ ต่อเนื่องกันเป็นขั้นเป็นตอน  เริ่มแรกพระองค์ทรงส่งโยนาห์ไปบอกชาวนีนะเวห์ว่า “อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย” (โยนาห์ 3:4)  เวลาสี่สิบวันนี้นานหรือไม่?  เท่ากับหนึ่งเดือนสิบวันพอดี ซึ่งเป็นเวลาที่นานทีเดียว นานพอที่ผู้คนจะคิดและตรึกตรองกันสักระยะหนึ่ง และกลับใจได้อย่างแท้จริง  ถ้าเป็นสี่ชั่วโมงหรือสี่วัน นั่นคงไม่นานพอที่จะกลับใจ  แต่พระเจ้าทรงให้เวลาสี่สิบวัน ซึ่งยาวนานมากและเกินพอ  เมืองเมืองหนึ่งจะใหญ่โตได้ถึงเพียงไหน?  โยนาห์เดินวนไปทั่วเมืองจากฟากหนึ่งไปจนสุดอีกฟากหนึ่ง และแจ้งให้ทุกคนรู้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน เพื่อให้ประชาชนทุกคนและทุกครัวเรือนได้รับข่าวสารนั้น  สี่สิบวันนั้นนานเกินพอสำหรับการเตรียมผ้ากระสอบหรือกองเถ้า รวมทั้งการจัดเตรียมอื่นๆ ที่จำเป็น  พวกเจ้ามองเห็นอะไรจากสิ่งเหล่านี้บ้าง?  พระเจ้าทรงให้เวลาชาวนีนะเวห์มากพอที่จะให้พวกเขารู้ว่าพระองค์กำลังจะทรงทำลายเมืองของพวกเขา และให้พวกเขาเตรียมตัว ตรวจสอบ และทบทวนตนเอง  กล่าวด้วยภาษาของมนุษย์ก็คือ พระเจ้าทรงทำทุกสิ่งที่พระองค์สามารถทำได้และพึงทำแล้ว  ระยะเวลาสี่สิบวันนั้นเพียงพอแล้ว ถึงขั้นให้ทุกคน—ตั้งแต่กษัตริย์ลงไปจนถึงประชาชนทั่วไป—มีเวลาพอที่จะคิดทบทวนและเตรียมตัว  ในด้านหนึ่งก็สามารถเห็นได้จากเรื่องนี้ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเพื่อผู้คนก็คือการแสดงให้เห็นความยอมผ่อนปรน และในอีกด้านหนึ่งก็ย่อมเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงห่วงใยผู้คนอยู่ในพระทัยของพระองค์ และมีความรักที่แท้จริงให้แก่พวกเขา  พระกรุณาและความรักของพระเจ้ามีอยู่จริง โดยไม่มีการเสแสร้งใดๆ และพระทัยของพระองค์ก็สัตย์ซื่อ ไร้ซึ่งการเสแสร้งใดๆ  และเพื่อให้ผู้คนมีโอกาสกลับใจ พระองค์จึงทรงให้เวลาพวกเขาสี่สิบวัน  สี่สิบวันนั้นบรรจุความยอมผ่อนปรนและความรักของพระเจ้าเอาไว้  สี่สิบวันนั้นยาวนานพอที่จะพิสูจน์และทำให้ผู้คนมองเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าพระเจ้าทรงห่วงใยและรักผู้คนอย่างแท้จริง และความกรุณาและความรักของพระเจ้ามีอยู่จริง ไร้ซึ่งการเสแสร้ง  ย่อมจะมีบางคนถามว่า “ก่อนหน้านี้พระองค์ตรัสไว้ไม่ใช่หรือว่าพระเจ้าไม่ทรงรักผู้คน พระองค์ทรงเกลียดผู้คน?  นั่นขัดแย้งกับสิ่งที่พระองค์เพิ่งตรัสไปไม่ใช่หรือ?”  นี่ขัดแย้งกันหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าทรงห่วงใยผู้คนอยู่ในพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงมีแก่นแท้ที่เป็นความรัก  นี่ต่างจากการพูดว่าพระเจ้าทรงรักผู้คนหรือไม่?  (ต่าง)  ต่างกันอย่างไร?  ที่จริงแล้วพระเจ้าทรงรักหรือเกลียดผู้คน?  (พระองค์ทรงรักผู้คน)  เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมพระเจ้าถึงยังคงสาปแช่ง ตีสอน และพิพากษาผู้คน?  ถ้าพวกเจ้าไม่ชัดเจนในเรื่องบางอย่างที่สำคัญยิ่ง พวกเจ้าก็ต้องเข้าใจเรื่องนั้นผิดแล้ว  นี่คือความขัดแย้งระหว่างเจ้ากับพระเจ้าใช่หรือไม่?  ถ้านี่คือเรื่องที่เจ้าเข้าใจไม่ชัดเจน ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดช่องว่างขึ้นระหว่างเจ้ากับพระเจ้ามิใช่หรือ?  จงบอกเราเถิดว่าถ้าพระเจ้าทรงรักผู้คน พระเจ้าทรงเกลียดมนุษย์ด้วยหรือไม่?  ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนนั้นมีความเชื่อมโยงกับความเกลียดชังที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนหรือไม่?  ความเกลียดชังที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนนั้นมีความเชื่อมโยงกับความรักที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนหรือไม่?  (ไม่มี)  แล้วทำไมพระเจ้าถึงทรงรักผู้คน?  พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยผู้คนให้รอด—นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์มิใช่หรือ?  ถ้าพวกเจ้าไม่รู้เรื่องนี้ก็น่าเวทนานัก!  ถ้าพวกเจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมพระเจ้าถึงทรงรักผู้คน เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเรื่องน่าหัวร่อ  จงบอกเราเถิดว่าความรักที่แม่มีต่อลูกมาจากไหน?  (สัญชาตญาณ)  ถูกต้อง  ความรักของแม่เกิดจากสัญชาตญาณ  ดังนั้นความรักนี้ขึ้นอยู่กับว่าลูกดีหรือเลวหรือไม่?  (ไม่)  ตัวอย่างเช่น ต่อให้ลูกซุกซนมากและบางครั้งก็ทำให้แม่รำคาญ แต่สุดท้ายแม่ก็ยังคงรักลูก  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?  ลักษณะที่แม่ปฏิบัติต่อลูกของตนนี้เกิดจากสัญชาตญาณที่มาพร้อมกับบทบาทของการเป็นแม่  และเพราะความรักตามสัญชาตญาณของแม่ ความรักที่แม่มีต่อลูกจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าลูกดีหรือเลว  บางคนกล่าวว่า “ในเมื่อแม่รักลูกโดยสัญชาตญาณ ทำไมแม่ยังคงตีลูก?  ทำไมแม่ยังคงเกลียดชังลูก?  ทำไมบางครั้งแม่ถึงโกรธและดุว่าลูกอยู่อีก?  แล้วทำไมบางครั้งแม่ถึงโกรธมากจนไม่อยากข้องเกี่ยวกับลูกอีกแล้ว?  พระองค์ตรัสไว้ไม่ใช่หรือว่าแม่มีความรัก และแม่ย่อมรักลูกของตน?  แล้วแม่ไร้หัวใจขนาดนี้ได้อย่างไร?”  นี่ใช่เรื่องที่ขัดแย้งกันหรือไม่?  นี่ไม่ใช่เรื่องที่ขัดแย้งกัน  คนเป็นแม่จะปฏิบัติต่อลูกอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับท่าทีที่ลูกมีต่อแม่และพฤติกรรมของลูกเอง  แต่ไม่ว่าแม่จะปฏิบัติต่อลูกอย่างไร ต่อให้แม่ตีลูกและเกลียดชังลูก นี่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการมีอยู่ของความรักของแม่  ในทำนองเดียวกัน ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเกิดจากอะไร?  (พระเจ้าทรงมีแก่นแท้ที่เป็นความรัก)  ถูกต้อง  ในที่สุดพวกเจ้าก็เข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว  ประเด็นสำคัญในที่นี้ก็คือพระเจ้าทรงมีแก่นแท้ที่เป็นความรัก  สาเหตุที่พระเจ้าทรงรักและห่วงใยผู้คนก็เพราะว่าในด้านหนึ่ง พระเจ้าทรงมีแก่นแท้ที่เป็นความรัก  ภายในความรักนี้มีความกรุณา ความเมตตา ความยอมผ่อนปรน และความอดทน  แน่นอนว่ายังมีสิ่งที่สำแดงถึงความเอาใจใส่ และบางครั้งก็มีความกังวลและความเศร้า เป็นต้น  ทั้งหมดนี้เป็นไปตามแก่นแท้ของพระเจ้า  นี่เป็นการมองเรื่องนี้จากมุมมองที่เป็นความเห็นส่วนตัว  ส่วนมุมมองตามความเป็นจริงนั้น มนุษย์คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา เป็นเหมือนลูกที่เกิดจากแม่ของตนนั่นเอง แม่ก็ย่อมดูแลห่วงใยเขาเป็นธรรมดา และมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างแม่ลูกที่ตัดไม่ขาด  แม้ว่ามนุษย์และพระเจ้าจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดดังที่มนุษย์กล่าวไว้ แต่พระเจ้าก็ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ทรงดูแลห่วงใยและรู้สึกรักใคร่เอ็นดูพวกเขา  พระเจ้าอยากให้มนุษย์ดีงามและเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง แต่การได้เห็นพวกเขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เดินไปบนเส้นทางของความชั่ว และทนทุกข์ ทำให้พระเจ้าโศกเศร้าและปวดร้าว  นี่เป็นเรื่องปกติใช่หรือไม่?  พระเจ้าทรงมีปฏิกิริยา มีความรู้สึก และมีการสำแดงสิ่งเหล่านี้ให้เห็น ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะแก่นแท้ของพระเจ้า และไม่สามารถแยกออกจากสัมพันธภาพที่ก่อเกิดจากการสร้างมนุษย์ของพระเจ้า  ทั้งหมดนี้เป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ทั้งสิ้น  บางคนกล่าวว่า “ในเมื่อแก่นแท้ของพระเจ้ามีความรัก ทำไมพระเจ้าถึงยังเกลียดชังผู้คนอยู่ดี?  พระเจ้าทรงห่วงใยผู้คนไม่ใช่หรือ?  แล้วทำไมพระองค์ถึงยังคงเกลียดชังพวกเขา?”  ตรงจุดนี้มีข้อเท็จจริงอีกอย่างซึ่งก็คือ อุปนิสัย แก่นแท้ และแง่มุมอื่นๆ ของผู้คนเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้าและความจริง ดังนั้นสิ่งที่ผู้คนสำแดงและเผยให้เห็นเบื้องหน้าพระเจ้าจึงทำให้พระองค์ขัดเคืองและเป็นที่ชิงชังของพระองค์  เมื่อเวลาผ่านไป อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนก็ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ บาปของพวกเขาร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็ทำตัวดื้อแพ่งอย่างยิ่ง แน่นอนว่าไม่สำนึกกลับใจ และไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย  พวกเขากับพระเจ้าไปกันไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงกระตุ้นความเกลียดชังของพระองค์  แล้วความเกลียดชังของพระเจ้ามาจากไหน?  ทำไมถึงเกิดขึ้น?  ความเกลียดชังของพระองค์เกิดขึ้นก็เพราะพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและบริสุทธิ์ ความเกลียดชังของพระเจ้าจึงถูกแก่นแท้ของพระองค์กระตุ้นให้เกิดขึ้น  พระเจ้าทรงชิงชังความชั่ว รังเกียจสิ่งที่เป็นลบ และเกลียดกลุ่มอิทธิพลชั่วและเรื่องชั่วทั้งหลาย  เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงเกลียดเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้  ดังนั้นความรักและความเกลียดชังที่พระเจ้าทรงเผยให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเห็นจึงปกติและเป็นไปตามแก่นแท้ของพระองค์  ไม่มีอะไรขัดแย้งกันเลย  บางคนถามว่า “ถ้าอย่างนั้น แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงรักหรือเกลียดชังผู้คน?”  เจ้าจะตอบว่าอย่างไร?  (ขึ้นอยู่กับท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า หรือขึ้นอยู่กับว่าผู้คนกลับใจอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง)  โดยทั่วไปแล้วย่อมเป็นเช่นนี้ แต่ไม่ถูกต้องทีเดียวนัก  ทำไมถึงไม่ถูกต้อง?  พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าจำเป็นต้องรักผู้คนหรือไม่?  (ไม่)  พระวจนะที่พระเจ้าตรัสแก่มวลมนุษย์และพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำในตัวผู้คนคือสิ่งที่สำแดงพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าออกมาตามธรรมชาติ  พระเจ้าทรงมีหลักธรรมของพระองค์ พระองค์ไม่จำเป็นต้องรักผู้คน แต่พระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องเกลียดชังผู้คนเช่นกัน  สิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนทำก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริง เดินตามหนทางของพระองค์ วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระองค์  พระเจ้าไม่จำเป็นต้องรักผู้คน แต่พระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องเกลียดชังผู้คนเช่นกัน  นี่เป็นข้อเท็จจริง และผู้คนก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้  เมื่อกี้พวกเจ้าเพิ่งพูดไปว่าพระเจ้าทรงรักหรือเกลียดชังผู้คนตามพฤติกรรมของพวกเขา  ทำไมการกล่าวแบบนี้ถึงไม่ถูกต้อง?  พระเจ้าไม่จำเป็นต้องรักเจ้า และแน่นอนว่าพระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องเกลียดชังเจ้า  พระเจ้าอาจจะไม่สนพระทัยเจ้าด้วยซ้ำไป  ไม่ว่าเจ้าจะไล่ตามเสาะหาความจริง วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า หรือไม่ยอมรับความจริง ถึงกับต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า ในที่สุดพระองค์ก็จะทรงตอบแทนทุกคนตามสิ่งที่พวกเขาทำลงไป  คนที่ทำดีย่อมจะได้รับรางวัล ส่วนคนที่ทำชั่วก็จะถูกลงโทษ  นี่เรียกว่าการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างยุติธรรมและเท่าเทียม  กล่าวคือ ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าไม่มีเหตุผลที่จะเรียกร้องว่าพระเจ้าควรปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร  เมื่อเจ้าปฏิบัติต่อพระเจ้าและความจริงด้วยความถวิลหา และไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็คิดไปว่าพระองค์ต้องรักเจ้า แต่ถ้าพระเจ้าไม่สนพระทัยและไม่ได้รักเจ้า เจ้าก็รู้สึกว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า  หรือพอเจ้ากบฏต่อพระเจ้า เจ้าก็คิดว่าพระองค์ต้องเกลียดชังและลงโทษเจ้า แต่ถ้าพระองค์ทรงเฉยเสีย เจ้ากลับรู้สึกว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า  การคิดแบบนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  สัมพันธภาพระหว่างผู้คน เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก ก็สามารถประเมินได้ด้วยวิธีนี้—กล่าวคือ ความรักหรือความเกลียดชังที่พ่อแม่มีต่อลูกๆ ของตนนั้นบางครั้งก็เป็นไปตามพฤติกรรมของลูก—แต่สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าใช้วิธีนี้มาประเมินไม่ได้  สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเป็นสัมพันธภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้าง และไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแต่อย่างใด  เป็นสัมพันธภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้างเท่านั้น  เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงไม่สามารถเรียกร้องให้พระเจ้ารักพวกเขา หรือประกาศว่าพระองค์ทรงรู้สึกอย่างไรกับตน  เหล่านี้เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผล  ทัศนะแบบนี้ผิดและไม่ถูกต้อง ผู้คนไม่สามารถเรียกร้องเช่นนี้ได้  ดังนั้นเมื่อมองดูเรื่องนี้ในตอนนี้ แท้จริงแล้วมนุษย์มีความเข้าใจที่ถูกต้องในความรักของพระเจ้าหรือไม่?  ความเข้าใจที่พวกเขามีก่อนหน้านี้ไม่ถูกต้องใช่หรือไม่?  (ใช่)  การที่พระเจ้าจะทรงรักหรือเกลียดชังผู้คนนั้นมีหลักธรรมอยู่  ถ้าพฤติกรรมหรือการไล่ตามเสาะหาของมนุษย์สอดคล้องกับความจริงและเป็นที่ชื่นชอบของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระองค์ย่อมทรงเห็นชอบกับสิ่งนั้น  อย่างไรก็ตาม ผู้คนมีแก่นแท้ที่เสื่อมทราม สามารถเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากได้อยากมีที่พวกเขาคิดว่าถูกต้องหรือชอบใจ  นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชังและไม่ทรงเห็นชอบ แต่นี่เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผู้คนคิด—ว่าพระเจ้าจะประทานรางวัลมากมายแก่ผู้คนทุกครั้งที่พระองค์ทรงเห็นชอบในตัวพวกเขา หรือจะทรงบ่มวินัยและลงโทษผู้คนทุกครั้งที่พระองค์ไม่ทรงเห็นชอบ—หาเป็นเช่นนั้นไม่  มีหลักธรรมในการกระทำของพระเจ้า  นี่กล่าวถึงแก่นแท้ของพระเจ้า และผู้คนต้องทำความเข้าใจแก่นแท้ของพระองค์ในลักษณะนี้

เมื่อกี้เราเพิ่งตั้งคำถามและสามัคคีธรรมเรื่องหลักธรรมในการกระทำของพระเจ้าและเรื่องแก่นแท้ของพระเจ้า  เราเพิ่งถามไปว่าอย่างไร?  (พระเจ้าเพิ่งถามว่าความยอมผ่อนปรนและความกรุณาที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คน ต่างจากการเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ของมนุษย์อย่างไร  จากนั้นพระองค์ก็สามัคคีธรรมว่าพระเจ้าไม่ทรงกระทำการตามปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกข้อนี้  พระเจ้าทรงจัดการเรื่องการกระทำผิดของผู้คนโดยยึดตามหลักสองประการ ได้แก่ หนึ่งนั้นย่อมมีหลักธรรมในสิ่งที่พระเจ้าทำ ส่วนอีกด้านหนึ่งย่อมมีทั้งความกรุณาและความพิโรธอยู่ในแก่นแท้ของพระเจ้า)  นั่นคือการทำความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างแท้จริง  หลักธรรมของพระเจ้าในการทำสิ่งต่างๆ เช่นนี้เป็นไปตามแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์ และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ซึ่งเป็นปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกที่มวลมนุษย์ทำตามกันเลย  การกระทำของผู้คนยึดตามปรัชญาของซาตานและถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานกำกับเอาไว้  การกระทำของพระเจ้าคือการสำแดงให้เห็นพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์  ในแก่นแท้ของพระเจ้านั้นมีความรัก ความกรุณา และแน่นอนว่ามีความเกลียดชัง  ดังนั้น คราวนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าพระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นไรต่อความประพฤติอันชั่วของมนุษย์ รวมทั้งการกบฏและการทรยศในรูปแบบต่างๆ ของพวกเขา?  ท่าทีของพระเจ้ามีพื้นฐานมาจากอะไร?  เกิดจากแก่นแท้ของพระองค์ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในแก่นแท้ของพระเจ้านั้นมีความกรุณา ความรัก และความพิโรธ  แก่นแท้ของพระเจ้าก็คือความชอบธรรม และหลักธรรมแห่งการกระทำของพระเจ้าก็ถือกำเนิดจากแก่นแท้นี้เอง  ดังนั้น แท้จริงแล้วหลักธรรมแห่งการกระทำของพระเจ้ามีว่าอย่างไร?  ประทานความกรุณาอย่างล้นเหลือและสำแดงความพิโรธให้หนักหน่วง  แน่นอนว่านี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ซึ่งมนุษย์ถือปฏิบัติกันและดูเป็นหลักปรัชญาที่ประเสริฐมาก แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้ากลับไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึง  ในฐานะผู้เชื่อ ด้านหนึ่งนั้นพวกเจ้าไม่อาจตัดสินแก่นแท้ กิจการ และหลักธรรมในการกระทำของพระเจ้าตามหลักปรัชญาข้อนี้ได้  นอกจากนี้ ถ้ามองในแง่ของผู้คนแล้ว พวกเขาไม่ควรยึดถือปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกข้อนี้ พวกเขาควรมีหลักธรรมว่าจะเลือกอย่างไรเวลาเกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นกับตน และควรรับมือเรื่องเหล่านั้นอย่างไร  หลักธรรมนี้มีว่าอย่างไร?  ผู้คนไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้า จึงแน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถทำทุกสิ่งโดยมีหลักธรรมที่ชัดเจนอย่างพระเจ้า หรือยืนบนสวรรค์คอยให้โอกาสและเมตตาคนทุกผู้  ผู้คนทำเช่นนี้ไม่ได้  เมื่อเป็นดังนี้ เจ้าควรทำอย่างไรเวลาพบเจอเรื่องที่กวนใจเจ้า ทำร้ายความรู้สึก หรือหยามศักดิ์ศรี หยามความเป็นตัวเจ้า หรือถึงกับทำร้ายหัวใจและดวงจิตของเจ้า?  ถ้าเจ้าปฏิบัติตามคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมพยายามเกลี่ยเรื่องให้เบาลงโดยไม่สนใจหลักธรรม ทำตัวเอาใจผู้คน และเจ้าย่อมรู้สึกว่าการเอาตัวรอดในโลกนี้ไม่ง่ายเลย เจ้าจะสร้างศัตรูไม่ได้และต้องพยายามล่วงเกินผู้คนให้น้อยลงหรือไม่ล่วงเกินเป็นอันขาด พยายามเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้ ตัดสินใจไม่ได้ทุกครั้งไป ยึดทางสายกลาง ไม่พาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม และเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเอง  นี่คือปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลก ไม่ใช่หลักธรรมที่พระเจ้าทรงสอนมวลมนุษย์  แล้วหลักธรรมที่พระเจ้าทรงสอนผู้คนมีว่าอย่างไร?  การไล่ตามเสาะหาความจริงมีคำจำกัดความว่าอย่างไร?  มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการ ตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  ถ้าเกิดเรื่องที่กระตุ้นความเกลียดชังในตัวเจ้า เจ้าจะมองเรื่องนี้อย่างไร?  เจ้าจะมองเรื่องนี้ตามหลักการใด?  (ตามพระวจนะของพระเจ้า)  ถูกต้อง  ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าควรมองเรื่องเหล่านี้ตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะทำได้แต่เพียงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้เท่านั้น ข่มความขุ่นเคือง ยอมอ่อนข้อ และรอเวลา พลางหาโอกาสเอาคืน—นี่คือเส้นทางที่เจ้าจะใช้  ถ้าเจ้าอยากไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าต้องมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า ถามตัวเจ้าเองว่า “ทำไมคนคนนี้ถึงทำกับฉันแบบนี้?  เกิดเรื่องแบบนี้กับฉันได้อย่างไร?  เพราะอะไรถึงมีผลลัพธ์แบบนี้ได้?”  ควรมองเรื่องแบบนี้ตามพระวจนะของพระเจ้า  สิ่งแรกที่ต้องทำคือสามารถน้อมรับเรื่องนี้จากพระเจ้า และยอมรับได้อย่างแข็งขันว่าเรื่องนี้มาจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และเป็นผลดีต่อเจ้า  การที่จะน้อมรับเรื่องนี้จากพระเจ้านั้น ก่อนอื่นเจ้าต้องมองว่านี่เป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและกำกับดูแลอยู่  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นใต้ดวงอาทิตย์ ทุกอย่างที่เจ้ารู้สึกได้ ทั้งหมดที่เจ้ามองเห็นได้ ทุกอย่างที่เจ้าสามารถได้ยิน—ล้วนเกิดขึ้นเพราะพระเจ้าทรงอนุญาตทั้งสิ้น  เมื่อเจ้าน้อมรับเรื่องนี้จากพระเจ้าแล้ว จงประเมินเรื่องนี้ตามพระวจนะของพระเจ้า และค้นหาว่าคนที่ก่อเรื่องไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เป็นคนเช่นไร และแก่นแท้ของเรื่องนี้คืออะไร โดยไม่ต้องไปสนใจว่าพวกเขาพูดอะไรบ้างหรือทำร้ายเจ้าหรือไม่ ความรู้สึกของเจ้าถูกเล่นงานหรือความเป็นตัวเจ้าถูกเหยียบย่ำหรือไม่  ก่อนอื่นจงดูว่าคนคนนี้เป็นคนชั่วหรือเป็นคนที่เสื่อมทรามทั่วไป แยกแยะเสียก่อนว่า ตามพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พวกเขาเป็นคนจำพวกใด จากนั้นจึงใช้วิจารณญาณและปฏิบัติต่อเรื่องนี้ตามพระวจนะของพระเจ้า  เหล่านี้คือขั้นตอนที่ถูกต้องที่ควรใช้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ก่อนอื่นจงน้อมรับเรื่องนี้จากพระเจ้า แล้วมองผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตามพระวจนะของพระองค์ ระบุออกมาว่าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิงทั่วไป เป็นคนชั่ว ศัตรูของพระคริสต์ ผู้ปราศจากความเชื่อ พวกวิญญาณชั่ว พวกปีศาจโสมม หรือสายลับของพญานาคใหญ่สีแดง แล้วสิ่งที่พวกเขาทำนั้นเป็นการแสดงความเสื่อมทรามทั่วไป หรือเป็นการทำชั่วที่มีเจตนาจงใจก่อกวนและขัดขวาง  ควรระบุทั้งหมดนี้ออกมาโดยเปรียบเทียบกับพระวจนะของพระเจ้า  การประเมินเรื่องราวตามพระวจนะของพระเจ้านั้นคือวิธีที่ถูกต้องและตรงตามข้อเท็จจริงที่สุด  ควรแยกแยะผู้คนและรับมือเรื่องราวต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าควรใคร่ครวญว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำร้ายความรู้สึกของฉันอย่างมากและทิ้งเงื้อมเงาครอบคลุมฉันเอาไว้  แต่การเกิดเรื่องนี้ขึ้นสอนใจฉันเพื่อการเข้าสู่ชีวิตของฉันเองอย่างไรบ้าง?  น้ำพระทัยของพระเจ้าคืออะไร?”  นี่ย่อมนำเจ้าไปหาประเด็นสำคัญของเรื่องซึ่งเจ้าควรขบคิดและทำความเข้าใจ—นี่คือการเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง  เจ้าต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยการครุ่นคิดว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นนี้สร้างความบอบช้ำให้กับหัวใจและดวงจิตของฉัน  ฉันรู้สึกเจ็บและปวดร้าว แต่ฉันจะคิดลบและมัวนึกตำหนิไม่ได้  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการใช้วิจารณญาณ แยกแยะ และตัดสินตามพระวจนะของพระเจ้าว่าแท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นผลดีต่อฉันหรือไม่  ถ้าเรื่องนี้เกิดจากการบ่มวินัยของพระเจ้า และเป็นผลดีต่อการเข้าสู่ชีวิตของฉันและการทำความเข้าใจตัวฉันเอง เช่นนั้นแล้วฉันก็ควรน้อมรับและนบนอบสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นการทดลองที่มาจากซาตาน เช่นนั้นฉันก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและรับมือเรื่องนี้ด้วยปัญญา”  การแสวงหาและคิดอ่านเช่นนี้ใช่การเข้าสู่ที่เป็นบวกหรือไม่?  นี่ใช่การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  (ใช่)  ต่อไป ไม่ว่าพวกเจ้าจะรับมือเรื่องอะไรอยู่ หรือเกิดปัญหาอะไรขึ้นในการคบค้าสมาคมกับผู้คนก็ตาม พวกเจ้าควรมองหาพระวจนะของพระเจ้าในส่วนที่เกี่ยวข้องมาแก้ปัญหาเหล่านั้น  จุดประสงค์ของการกระทำที่เป็นขั้นเป็นตอนทั้งหมดนี้คืออะไร?  จุดประสงค์คือการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้มุมมองและจุดยืนของเจ้าในเรื่องของผู้คนและสิ่งทั้งหลายแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง  จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อให้เป็นที่นับหน้าถือตาและรักษาหน้าให้เป็นที่ยกย่อง หรือให้เกิดความสมัครสมานในประเทศและสังคม อันเป็นการสร้างความพอใจให้แก่ชนชั้นปกครอง แต่เพื่อให้ดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง จะได้ทำให้พระเจ้าพอพระทัยและถวายพระสิริแด่พระผู้สร้าง  ด้วยการปฏิบัติตนเช่นนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะทำตัวสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ทุกประการ  เพราะฉะนั้น เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิม  เจ้าไม่จำเป็นต้องตรึกตรองว่า “พอเกิดเรื่องอย่างนี้กับฉัน ฉันควรปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า ‘การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้’ หรือไม่?  ถ้าทำตามนั้นไม่ได้ คนส่วนใหญ่จะคิดกับฉันอย่างไร?”  เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้หลักศีลธรรมเหล่านี้มาตีกรอบและควบคุมตัวเอง  แต่เจ้าควรใช้มุมมองของคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และปฏิบัติต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามหนทางที่พระเจ้าตรัสบอกให้เจ้าใช้ไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่คือวิถีชีวิตที่ใหม่หมดเลยมิใช่หรือ?  นี่คือทัศนะเกี่ยวกับชีวิตและเป้าหมายในชีวิตที่ใหม่หมดทุกอย่างเลยมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเจ้าใช้วิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องคอยเตือนตัวเองว่า “ถ้าฉันอยากโอบอ้อมอารีและมีที่ยืนในหมู่ผู้คน ฉันก็ต้องทำอย่างนี้หรืออย่างนั้น” เจ้าไม่จำเป็นต้องเคี่ยวเข็ญตัวเองเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตในทางตรงข้ามกับเจตจำนงของตน และความเป็นมนุษย์ของเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องถูกทำให้บิดเบี้ยวอย่างนั้น  แต่เจ้ากลับจะน้อมรับสภาพแวดล้อม ผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายที่มาจากพระเจ้าอย่างเป็นธรรมชาติและด้วยความเต็มใจ ไม่เพียงเท่านั้น เจ้ายังจะได้ประโยชน์ที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนจากทั้งหมดนั้นอีกด้วย  ในการรับมือเรื่องจำพวกที่กระตุ้นความเกลียดชังในตัวเจ้า เจ้าย่อมเรียนรู้ที่จะแยกแยะผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้าแล้วว่าแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นเช่นไร รวมทั้งใช้วิจารณญาณแยกแยะและรับมือเรื่องราวดังกล่าวตามพระวจนะของพระเจ้า  หลังจากมีประสบการณ์ พบเจอเรื่องต่างๆ และดิ้นรนพยายามอยู่ระยะหนึ่ง เจ้าย่อมจะค้นพบหลักธรรมความจริงของการรับมือเรื่องแบบนั้นแล้ว และเรียนรู้แล้วว่าควรใช้หลักธรรมความจริงเช่นใดมารับมือผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายดังกล่าว  นี่คือการเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องมิใช่หรือ?  เมื่อทำแบบนี้ ความเป็นมนุษย์ของเจ้าย่อมจะดีขึ้นแล้ว เพราะเจ้าใช้เส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นคือ เจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตตามมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์เท่านั้นอีกต่อไป และเมื่อเกิดเรื่องราวขึ้น เจ้าก็ไม่ได้มองเรื่องเหล่านั้นด้วยการคิดอ่านและมุมมองที่เป็นไปตามมโนธรรมและเหตุผลเท่านั้น แต่เพราะเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้ามามาก และมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าจึงเข้าใจความจริงบางประการ และเกิดความเข้าใจที่แท้จริงในพระเจ้า—ซึ่งก็คือพระผู้สร้างอยู่บ้าง  แน่นอนว่านี่คือการเก็บเกี่ยวอันอุดม ซึ่งจะทำให้เจ้าได้รับทั้งความจริงและชีวิต  ตามมโนธรรมและเหตุผลของเจ้านั้น เจ้าย่อมเรียนรู้ที่จะใช้พระวจนะของพระเจ้าและความจริงมาเผชิญหน้าและแก้ปัญหาทั้งปวงที่เจ้าประสบ และค่อยๆ มาใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า  มนุษย์แบบนี้ย่อมเป็นเช่นไร?  พวกเขาเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่?  มนุษย์แบบนี้ย่อมเข้าใกล้การเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติตามที่พระเจ้ากำหนดยิ่งขึ้นทุกที และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมค่อยๆ สามารถสัมฤทธิ์ผลในพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้าดังที่คาดไว้  เมื่อผู้คนสามารถยอมรับความจริงและใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าได้ การมีชีวิตเช่นนี้ย่อมง่ายเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีความปวดร้าวใดๆ แม้แต่น้อย  แต่สำหรับผู้คนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนตามวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้น ทุกสิ่งที่พวกเขาทำย่อมตรงข้ามกับเจตจำนงของตนเอง หน้าซื่อใจคดอย่างยิ่ง และสิ่งที่เผยออกมาจากความเป็นมนุษย์ของพวกเขาย่อมบิดเบี้ยวและผิดปกติมาก  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะพวกเขาไม่พูดสิ่งที่ตนคิด  ปากของพวกเขากล่าวว่า “จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” แต่หัวใจของพวกเขากลับพูดว่า “ฉันยังไม่หมดเรื่องกับเธอ  สัตบุรุษแก้แค้น ไม่มีวันสายเกินไป”—นี่สวนทางกับเจตจำนงของพวกเขาเองมิใช่หรือ?  (ใช่)  คำว่า “บิดเบี้ยว” หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าภายนอกนั้นพวกเขาพูดแต่เรื่องความเมตตากรุณาและความมีศีลธรรม แต่ลับหลังผู้อื่น พวกเขากลับทำเรื่องเลวร้ายสารพัดอย่าง เช่น การผิดประเวณีและปล้นทรัพย์  การพูดเรื่องความเมตตากรุณาและความมีศีลธรรมให้ได้ยินทั้งหมดนี้เป็นเพียงหน้ากากเท่านั้น หัวใจของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความชั่วทุกชนิด แนวคิดและมุมมองที่น่าชิงชังทุกรูปแบบ โสมมอย่างไร้ที่เปรียบ น่ารังเกียจอย่างยิ่ง จิตใจต่ำทราม และมีแต่ความน่าละอาย  นี่คือความหมายของคำว่าบิดเบี้ยว  ภาษาสมัยใหม่เรียกความบิดเบี้ยวว่าความวิปริต  พวกเขาทุกคนวิปริตอย่างหนัก แต่ยังคงแสร้งทำตัวเป็นคนดีทุกกระเบียดนิ้วต่อหน้าผู้อื่น รู้จักโลก เป็นสัตบุรุษ และมีเกียรติ  แท้จริงแล้วพวกเขาไม่มีความละอาย พวกเขาชั่วกันขนาดนั้น!  เส้นทางที่พระเจ้าทรงชี้ให้แก่ผู้คนไม่ได้ทำให้เจ้าดำเนินชีวิตแบบนี้ แต่ทำให้เจ้าสามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้องตามที่พระเจ้าทรงชี้ให้แก่ผู้คนและในทุกสิ่งที่เจ้าทำไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าพระเจ้าหรือผู้อื่น  ต่อให้เจ้าพบเจอเรื่องราวที่ทำร้ายผลประโยชน์ของเจ้าหรือเป็นเรื่องที่เจ้าไม่ชอบใจ หรือถึงกับมีผลต่อเจ้าไปชั่วชีวิต เจ้าก็ต้องมีหลักธรรมในการรับมือเรื่องเหล่านี้  ตัวอย่างเช่น เจ้าต้องปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงที่แท้จริงด้วยความรัก เรียนรู้ที่จะยอมผ่อนปรน ช่วยเหลือและเกื้อหนุนพวกเขา  ดังนั้นเจ้าควรทำเช่นไรกับศัตรูของพระเจ้า ศัตรูของพระคริสต์ พวกคนชั่วและผู้ปราศจากความเชื่อ หรือคนสอดแนมและสายลับที่แทรกซืมเข้ามาในคริสตจักร?  เจ้าควรปฏิเสธพวกเขาอย่างเด็ดขาด  ขั้นตอนก็คือให้ชี้ตัวและเปิดโปงออกมา เกลียดชัง และในที่สุดก็ปฏิเสธไป  พระนิเวศของพระเจ้ามีกฎการปกครองและข้อบังคับอยู่  เมื่อเป็นเรื่องของศัตรูพระคริสต์ คนชั่ว ผู้ปราศจากความเชื่อ และคนที่เป็นพวกเดียวกับมารทั้งหลาย ซาตาน และพวกวิญญาณชั่ว พวกเขาย่อมไม่เต็มใจที่จะทำงานปรนนิบัติ ดังนั้นจงตัดพวกเขาออกจากพระนิเวศของพระเจ้าตลอดไป  จากนั้นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  (ปฏิเสธพวกเขา)  ถูกต้อง พวกเจ้าควรปฏิเสธพวกเขา จงปฏิเสธพวกเขาตลอดกาล  บางคนกล่าวว่า “การปฏิเสธเป็นเพียงคำคำหนึ่งเท่านั้น  สมมุติว่าในทางทฤษฎีพวกคุณปฏิเสธพวกเขาไป แล้วเอาเข้าจริงในชีวิตจริงพวกคุณทำเช่นนั้นกันอย่างไร?”  การต่อต้านพวกเขาแบบไม่อาจปรองดองกันได้นี้ดีหรือไม่?  ไม่ต้องทำให้ตัวเองเหน็ดเหนื่อยโดยไม่จำเป็นอย่างนั้น  พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องต่อต้านพวกเขาแบบไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับพวกเขาจนตายกันไปข้าง และไม่จำเป็นต้องสาปแช่งพวกเขาลับหลัง  เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรเหล่านี้เลย  เพียงส่วนลึกในหัวใจของเจ้าไม่ไปข้องเกี่ยวกับพวกเขา และอย่าไปติดต่อเจรจากับพวกเขาภายใต้รูปการณ์ที่ปกติก็พอ  ในรูปการณ์พิเศษและในยามที่เจ้าไม่มีทางเลือก เจ้าจะพูดคุยกับพวกเขาตามปกติก็ได้ แต่หลังจากนั้นจงอยู่ห่างจากพวกเขาทันทีที่มีโอกาส และอย่าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของพวกเขา  นี่หมายถึงการปฏิเสธพวกเขาจากก้นบึ้งของหัวใจของเจ้า ไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างพี่น้องชายหญิงหรือสมาชิกครอบครัวของพระเจ้า และไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างผู้เชื่อ  สำหรับผู้ที่เกลียดชังพระเจ้าและความจริง จงใจก่อกวนและขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า หรือพยายามทำลายพระราชกิจของพระเจ้า พวกเจ้าไม่เพียงต้องอธิษฐานขอให้พระเจ้าสาปแช่งพวกเขาเท่านั้น แต่ต้องพันธนาการและควบคุมพวกเขาไว้ตลอดกาล ปฏิเสธพวกเขาไปอย่างถาวร  การทำเช่นนี้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่?  ย่อมเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกประการ  การรับมือผู้คนเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องแสดงจุดยืนและมีหลักธรรม  การแสดงจุดยืนและมีหลักธรรมหมายถึงอะไร?  หมายถึงการมองเห็นแก่นแท้ของพวกเขาอย่างชัดแจ้ง ไม่มองพวกเขาในฐานะผู้เชื่อเป็นอันขาด และไม่มองพวกเขาในฐานะพี่น้องชายหญิงอย่างเด็ดขาด  พวกเขาคือพวกมาร พวกเขาคือเหล่าซาตาน  นี่ไม่ใช่เรื่องของการยกโทษหรือไม่ยกโทษให้พวกเขา แต่เป็นเรื่องของการไม่เอาตัวเจ้าเข้าไปข้องเกี่ยวและปฏิเสธพวกเขาอย่างเบ็ดเสร็จ  นี่ย่อมชอบด้วยเหตุผลและสอดคล้องกับความจริงโดยสมบูรณ์  บางคนกล่าวว่า “การที่ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าทำอะไรแบบนี้ย่อมโหดมากไม่ใช่หรือ?”  (ไม่)  นี่คือความหมายของการแสดงจุดยืนและมีหลักธรรม  พวกเราทำทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกให้ทำ  พวกเราเมตตาทุกคนที่พระเจ้าตรัสบอกให้พวกเราเมตตา และพวกเราก็ดูหมิ่นทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสบอกให้พวกเราดูหมิ่น  ในยุคธรรมบัญญัตินั้น ผู้ที่ละเมิดธรรมบัญญัติและพระบัญญัติถูกประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรขว้างด้วยหินจนตาย แต่ทุกวันนี้ ในยุคราชอาณาจักร พระเจ้าทรงมีกฎการปกครอง และพระองค์ก็ทรงขับไล่และเอาตัวผู้คนเฉพาะที่เป็นพวกเดียวกับหมู่มารและซาตานออกไป  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและกฎการปกครองที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ โดยไม่ละเมิดพระวจนะและกฎเหล่านั้น ไม่ถูกมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์กำกับหรือครอบงำ และไม่กลัวการถูกผู้คนที่เคร่งศาสนาตัดสินและกล่าวโทษ  การทำตามพระวจนะของพระเจ้าคือสิ่งที่เป็นธรรมชาติและชอบด้วยเหตุผลอย่างที่สุด  ตลอดเวลาจงเชื่อแต่เพียงว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และวาจาของมนุษย์ไม่ใช่ความจริงไม่ว่าจะฟังดูดีเพียงใดก็ตาม  ผู้คนต้องมีความเชื่อเช่นนี้  ผู้คนควรมีความเชื่อเช่นนี้ในพระเจ้า และพวกเขาควรมีท่าทีที่นบนอบเช่นนี้ด้วย  นี่เป็นเรื่องของท่าที

พวกเราพูดถึงคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” และเรื่องของหลักธรรมในการกระทำของพระเจ้ากันมาพอสมควรแล้ว  เมื่อเป็นเรื่องราวที่ทำร้ายผู้คนอย่างที่กล่าวมา ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจหลักธรรมของการรับมือเรื่องราวเหล่านั้นซึ่งพระเจ้าทรงสอนผู้คนเอาไว้แล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เป็นอันว่าพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ผู้คนทำตัวมุทะลุเวลารับมือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตน และยิ่งไม่ให้ใช้หลักศีลธรรมของมนุษย์มารับมือเรื่องราวใดๆ  หลักธรรมที่พระเจ้าตรัสบอกผู้คนคืออะไร?  หลักธรรมที่ผู้คนควรปฏิบัติตามมีว่าอย่างไร?  (จงมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า)  ถูกต้อง จงมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ต้องรับมือเรื่องนั้นตามพระวจนะของพระเจ้า เพราะในทุกเรื่องและทุกสิ่งย่อมมีมูลเหตุอยู่เบื้องหลังทุกอย่างที่เกิดขึ้น รวมทั้งทุกคนหรือเรื่องราวใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้และทรงมีอธิปไตยเหนือทั้งหมดนั้น  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอาจมีผลสุดท้ายที่เป็นบวกหรือเป็นลบ และความแตกต่างระหว่างผลลัพธ์สองอย่างนี้ย่อมขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของผู้คนและเส้นทางที่พวกเขาเดิน  ถ้าเจ้าเลือกที่จะปฏิบัติต่อเรื่องราวทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วผลสุดท้ายย่อมเป็นบวก ถ้าเจ้าเลือกที่จะปฏิบัติต่อเรื่องราวทั้งหลายตามวิถีทางของเนื้อหนังและความมุทะลุ รวมทั้งคำกล่าว แนวคิด และทัศนะนานัปการที่มาจากผู้คน เช่นนั้นแล้วผลสุดท้ายย่อมเป็นผลที่เกิดจากความมุทะลุและการคิดลบอย่างแน่นอน  สิ่งที่เกิดจากความมุทะลุและการคิดลบนั้น ถ้าเกี่ยวพันกับการทำร้ายศักดิ์ศรี ร่างกาย ดวงจิต ผลประโยชน์ และอื่นๆ ของผู้คน ท้ายที่สุดแล้วก็ย่อมจะเหลือไว้แต่ความเกลียดชังและเงื้อมเงาเหนือผู้คนซึ่งพวกเขาจะไม่มีวันสามารถขจัดไปได้  ด้วยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะค้นพบสาเหตุเบื้องหลังผู้คน เรื่องราว และสิ่งต่างๆ ที่คนเราพบเจอ และด้วยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะมองเห็นแก่นแท้ของผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายดังกล่าวได้อย่างชัดเจน  แน่นอนว่าด้วยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถรับมือและแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้คน เรื่องราว และสิ่งต่างๆ ที่ตนพบเจอในความเป็นจริงได้อย่างถูกต้อง  ในที่สุดนี่ก็จะทำให้ผู้คนสามารถได้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ชีวิตของพวกเขาจะค่อยๆ เติบโต อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาย่อมจะเปลี่ยนแปลง และพร้อมกันนั้นในสภาวะดังกล่าว พวกเขาก็จะค้นพบทิศทางชีวิตที่ถูกต้อง วิถีชีวิตที่ถูกต้อง ทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับชีวิต มีเป้าหมายและเส้นทางที่ถูกต้องให้ไล่ตาม  โดยรวมแล้วพวกเราเสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมเรื่องคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “การประหารชีวิตมีแต่ทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” กันแล้ว  คำกล่าวนี้ค่อนข้างตื้นเขิน แต่เมื่อชำแหละตามความจริง แก่นแท้ของมันกลับไม่ง่ายเท่าใดนัก  ส่วนเรื่องที่ว่าผู้คนควรทำอย่างไรในเรื่องนี้และควรรับมือสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไร ก็ยิ่งไม่ง่ายเข้าไปใหญ่  นี่เกี่ยวพันกับการที่ว่าผู้คนสามารถแสวงหาและไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และแน่นอนว่ายิ่งเกี่ยวพันกับความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของผู้คนและความรอดของผู้คนมากขึ้นด้วย  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าปัญหาเหล่านี้จะง่ายหรือซับซ้อน ตื้นเขินหรือลุ่มลึก ก็ควรดำเนินการกับปัญหาเหล่านี้อย่างถูกต้องและจริงจัง  สิ่งที่เกี่ยวพันกับความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของผู้คนหรือเกี่ยวข้องกับความรอดของผู้คนนั้นไม่มีอะไรเป็นเรื่องเล็กน้อย ทุกสิ่งล้วนจำเป็นอย่างยิ่งและสำคัญ  เราหวังว่านับแต่นี้ไป ในชีวิตประจำวันของพวกเจ้า พวกเจ้าจะขุดคุ้ยคำกล่าวและทัศนะต่างๆ เกี่ยวกับความมีศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมในความคิดอ่านและจิตสำนึกของตนขึ้นมา ชำแหละและแยกแยะตามพระวจนะของพระเจ้าว่าแท้จริงแล้วทั้งหมดนั้นคืออะไร เพื่อให้พวกเจ้าสามารถค่อยๆ ทำความเข้าใจและแก้ไขได้ วางทิศทางและเป้าหมายในชีวิตใหม่หมด และเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนได้อย่างสิ้นเชิง  เอาละ พวกเรามาสิ้นสุดสามัคคีธรรมของวันนี้กันเท่านี้เถิด  ลาก่อน!

23 เมษายน ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: สิ่งใดคือการไล่ตามเสาะหาความจริง (8)

ถัดไป: สิ่งใดคือการไล่ตามเสาะหาความจริง (10)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger