สิ่งใดคือการไล่ตามเสาะหาความจริง (8)

ครั้งที่แล้ว เราได้สามัคคีธรรมถึงถ้อยแถลงสี่ข้อของวัฒนธรรมดั้งเดิมด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  จงบอกเราเถิดว่าถ้อยแถลงเหล่านั้นมีอะไรบ้าง  (“ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับนั้นควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” “จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น” “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” และ “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้”)  พวกเจ้าเข้าใจชัดเจนหรือไม่ว่าควรชำแหละและเข้าใจสิ่งใดในถ้อยแถลงแต่ละข้อ?  ถ้อยแถลงทุกข้อในวัฒนธรรมดั้งเดิมสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับชีวิตจริงของผู้คนและวิธีที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตน  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้อยแถลงแห่งวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้มีอิทธิพลบางอย่างเหนือชีวิตจริงของผู้คนและหนทางที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตน  หลักการในคำพูด การกระทำและการประพฤติปฏิบัติตนของผู้คนในชีวิตจริงโดยพื้นฐานแล้วได้มาจากถ้อยแถลงและมุมมองเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม  ชัดเจนว่าอิทธิพลและการพร่ำสอนผู้คนของวัฒนธรรมดั้งเดิมไหลลึกพอสมควร  หลังจากที่เราได้สามัคคีธรรมเสร็จสิ้นในการชุมนุมครั้งก่อน พวกเจ้าได้ใคร่ครวญและสามัคคีธรรมกันเพิ่มเติมบ้างหรือไม่?  (พวกเราได้สามัคคีธรรมและพอจะเข้าใจถ้อยแถลงเรื่องการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้บ้าง พวกเราสามารถปรับเปลี่ยนทัศนะและมุมมองของตนในเรื่องเหล่านี้เล็กน้อย แต่ยังคงไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้)  ส่วนหนึ่งของการสัมฤทธิ์ความเข้าใจอย่างถ่องแท้คือเจ้าต้องทำความเข้าใจตามสิ่งที่เราสามัคคีธรรมเอาไว้ อีกส่วนหนึ่งคือเจ้าต้องทำความเข้าใจตามมุมมองที่เจ้ามีในชีวิตจริง รวมทั้งความคิดและการกระทำที่เกิดขึ้นเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า  ลำพังการฟังคำเทศนาเพียงอย่างเดียวแทบจะไม่เพียงพอ  จุดประสงค์ของการฟังคำเทศนาคือเพื่อให้ตระหนักรู้สิ่งที่เป็นลบในชีวิตจริงได้ สามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นลบได้ถูกต้องแม่นยำขึ้น แล้วก็สามารถเข้าใจสิ่งที่เป็นบวกและมีความเข้าใจที่ถ่องแท้ในสิ่งเหล่านั้น เพื่อให้พระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นเกณฑ์กำหนดวิธีประพฤติตนและวางตัวในชีวิตจริง  ในแง่หนึ่ง การใช้วิจารณญาณกับสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้มีผลเป็นการแก้ไขพฤติกรรมและการวางตัวของผู้คนเท่าที่การใช้วิจารณญาณนั้นจะสามารถแก้ไขแนวคิด มุมมอง และท่าทีผิดๆ ที่ผู้คนมีต่อเหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ได้ ยิ่งไปกว่านั้นในบทบาทด้านบวก การใช้วิจารณญาณสามารถทำให้ผู้คนเลือกใช้หนทางและวิธีการที่ถูกต้อง รวมทั้งเลือกใช้หลักธรรมที่ถูกต้องสำหรับการปฏิบัติเมื่อเป็นเรื่องของทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ และในการวางตัวและการกระทำของพวกเขาด้วย  นี่คือจุดประสงค์และผลลัพธ์ตามเจตนาของการสามัคคีธรรมและการชำแหละถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้

สองครั้งแล้วที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นข้อกำหนดการประพฤติปฏิบัติทางด้านศีลธรรมของผู้คนที่เกิดขึ้นในบริบทขนาดใหญ่ทางสังคม  ในระดับบุคคลนั้น ถ้อยแถลงเหล่านี้สามารถบังคับและควบคุมพฤติกรรมของผู้คนได้ถึงจุดหนึ่ง จากมุมมองที่กว้างขึ้น ถ้อยแถลงเหล่านี้มีเจตนาที่จะสร้างลักษณะร่วมอันดีในสังคม และแน่นอนว่าเพื่อทำให้นักปกครองทั้งหลายสามารถปกครองประชาชนได้ดีขึ้น  หากผู้คนมีแนวคิดของตนเอง สามารถคิดอ่านได้อย่างอิสระ และแสวงหาจนพบมาตรฐานการวางตัวในเชิงศีลธรรมของพวกเขาเอง หรือหากพวกเขาสามารถแสดงความคิดเห็นของตน ดำเนินชีวิตตามแนวคิดของตน วางตัวตามที่พวกเขาเห็นควร และใช้หนทางของพวกเขาเองในการมองสิ่งทั้งหลาย มองผู้คน สังคมของตน และประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีหรือสัญญาณที่ดีสำหรับนักปกครอง เพราะย่อมคุกคามฐานะในการปกครองของพวกเขาโดยตรง  กล่าวสั้นๆ คือ ถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วได้รับการเสนอแนะโดยผู้ที่เรียกกันว่านักศีลธรรม นักคิด และนักการศึกษาเพื่อเป็นหนทางในการเอาใจและตามใจนักปกครอง โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถใช้แนวคิดและทฤษฎีเหล่านี้ รวมทั้งความมีหน้ามีตาและเกียรติยศของพวกเขาเอง ในการรับใช้นักปกครอง  โดยพื้นฐานแล้วนี่คือธรรมชาติของถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมทั้งหมดที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันไป จุดประสงค์ของถ้อยแถลงเหล่านี้เป็นเพียงเพื่อจำกัดความคิด การประพฤติปฏิบัติทางด้านศีลธรรม และทัศนะที่ผู้คนมีต่อสิ่งต่างๆ ให้อยู่ในขอบเขตทางศีลธรรมที่ผู้คนคิดว่าดีขึ้น เป็นบวกมากขึ้น และสูงส่งขึ้นเล็กน้อย เพื่อที่จะลดความขัดแย้งระหว่างผู้คน มีความปรองดองในปฏิสัมพันธ์ของพวกเขา และก่อให้เกิดความสงบสุข อันเป็นประโยชน์ต่ออำนาจครอบครองที่นักปกครองมีเหนือผู้คน นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความมั่นคงให้แก่สถานะของชนชั้นปกครองและธำรงรักษาความปรองดองและเสถียรภาพทางสังคมอีกด้วย  ดังนั้น ผู้คนที่พัฒนามาตรฐานการประพฤติปฏิบัติทางด้านศีลธรรมนี้จึงได้ทุกสิ่งที่พวกเขาปรารถนา ซึ่งก็คือการที่ชนชั้นปกครองมองเห็นคุณค่าและมอบหมายตำแหน่งที่สำคัญให้  นี่เป็นเส้นทางอาชีพที่พวกเขาใฝ่ฝันและคาดหวังกันมาก และต่อให้พวกเขาไม่สามารถเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็จะถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคนและได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์  ลองคิดดูเถิด—มีผู้ใดบ้างที่เสนอแนะถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้แล้วไม่ได้รับความเคารพจากสังคมแห่งนี้?  ผู้ใดไม่ได้รับความเลื่อมใสจากเผ่าพันธุ์มนุษย์?  แม้กระทั่งทุกวันนี้ในหมู่ชาวจีน ผู้ที่เรียกกันว่านักคิด นักการศึกษาและนักศีลธรรมเหล่านี้ เช่น ขงจื๊อ เม่งจื๊อ เล่าจื๊อ หานเฟย์จื่อ และคนอื่นๆ ก็ยังเป็นที่นิยมมิเสื่อมคลาย ได้รับการยกย่องอย่างสูง และเป็นที่เคารพ  แน่นอนว่าพวกเราได้ระบุถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมไปไม่กี่ข้อ และตัวอย่างที่ให้ไว้ก็เป็นเพียงบางส่วนของถ้อยแถลงที่ใช้กันมากเท่านั้น  แม้ว่าถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้จะมาจากผู้คนมากมาย แต่แนวคิดและมุมมองที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่เรียกกันว่าผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้ สอดคล้องกับความต้องการของนักปกครองและชนชั้นปกครองทั้งสิ้น มโนทัศน์ด้านการปกครองและแนวคิดหลักๆ ของพวกเขานั้นล้วนเหมือนกันคือ เพื่อกำหนดบรรทัดฐานทางศีลธรรมบางประการสำหรับการวางตัวและการกระทำให้มนุษย์ปฏิบัติตามเพื่อให้คนเหล่านี้ประพฤติตนดี ทำคุณงามความดีให้แก่สังคมและประเทศของตนโดยดี และใช้ชีวิตอย่างว่าง่ายในหมู่พวกพ้องของตน—โดยพื้นฐานแล้วทั้งหมดก็มีเท่านั้น  ไม่ว่าถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้จะมีที่มาจากราชวงศ์ใดหรือบุคคลใด แนวคิดและมุมมองของพวกเขาก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือเพื่อรับใช้ชนชั้นปกครอง และเพื่อล่อลวงและควบคุมมวลมนุษย์

พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมไปแปดข้อแล้ว  โดยพื้นฐานแล้วธรรมชาติของถ้อยแถลงแปดข้อนี้ก็คือข้อกำหนดให้ผู้คนละทิ้งความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวและเจตจำนงของตน แล้วรับใช้สังคม เผ่าพันธุ์มนุษย์ และประเทศของตนแทน ตลอดจนสัมฤทธิ์ความไม่เห็นแก่ตัว  ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าจะมีการเสนอแนะถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น” “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” และ “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น” ให้แก่กลุ่มใด ทุกข้อล้วนประสงค์ให้ผู้คนยับยั้งชั่งใจ—ยับยั้งความอยากได้อยากมีและการประพฤติปฏิบัติที่ผิดศีลธรรมของตน—และยึดถือมุมมองทางด้านอุดมการณ์และศีลธรรมตามที่นิยมกัน  ไม่ว่าถ้อยแถลงเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อมวลมนุษย์มากเพียงใด และไม่ว่าอิทธิพลนั้นจะเป็นบวกหรือเป็นลบก็ตาม หากจะกล่าวให้กระชับ จุดมุ่งหมายของผู้ที่เรียกกันว่านักศีลธรรมเหล่านี้ก็คือการควบคุมและกำกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนด้วยการเสนอแนะถ้อยแถลงดังกล่าว เพื่อที่ผู้คนจะได้มีหลักเกณฑ์พื้นฐานว่าพวกเขาควรวางตัวและกระทำการอย่างไร ควรมองผู้คนและสิ่งต่างๆ อย่างไร และควรรับรู้สังคมและประเทศของตนว่าอย่างไร  เมื่อมองในแง่บวก การประดิษฐ์ถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ มีบทบาทในการควบคุมและกำกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษยชาติในระดับหนึ่ง  แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามความเป็นจริงแล้ว การประดิษฐ์ถ้อยแถลงดังกล่าวได้ชี้นำให้ผู้คนโอบรับความคิดและมุมมองบางอย่างที่ไม่จริงใจและเสแสร้ง ทำให้ผู้คนที่ได้รับอิทธิพลและการพร่ำสอนจากวัฒนธรรมดั้งเดิมยิ่งยอกย้อนมากขึ้น กลิ้งกลอกมากขึ้น เสแสร้งเก่งขึ้น และยึดถือความคิดอ่านของตนมากขึ้น  เนื่องด้วยอิทธิพลและการพร่ำสอนของวัฒนธรรมดั้งเดิม ผู้คนจึงค่อยๆ ปฏิบัติตามทัศนะและถ้อยแถลงผิดๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิมในฐานะสิ่งที่เป็นบวก และเคารพบูชาผู้ทรงคุณวุฒิและบุคคลสำคัญที่ล่อลวงผู้คนเหล่านี้ว่าเป็นธรรมิกชน  เมื่อผู้คนหลงผิด จิตใจของพวกเขาย่อมเลอะเลือน ด้านชา และเซื่องซึม  พวกเขาไม่รู้ว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติเป็นเช่นไร หรือผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรไล่ตามเสาะหาและยึดปฏิบัติตามสิ่งใด  พวกเขาไม่รู้ว่าผู้คนควรดำรงชีวิตในโลกนี้อย่างไร หรือพวกเขาควรเลือกใช้รูปแบบหรือกฎเกณฑ์การดำรงอยู่แบบใด และยิ่งไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายที่ถูกต้องเหมาะสมในการดำรงอยู่ของมนุษย์คืออะไร  เนื่องด้วยอิทธิพล การพร่ำสอน และแม้กระทั่งการจำกัดขอบเขตของวัฒนธรรมดั้งเดิม สิ่งต่างๆ ที่เป็นบวก ข้อกำหนด และกฎเกณฑ์จากพระเจ้าจึงถูกระงับเอาไว้  ในแง่นี้ ถ้อยแถลงส่วนใหญ่ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมจึงล่อลวงและมีอิทธิพลต่อการคิดอ่านของผู้คนอย่างลึกซึ้ง จำกัดขอบเขตความคิดของพวกเขาและพาพวกเขาออกนอกลู่นอกทาง ห่างจากเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต และไกลจากข้อกำหนดของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ  นี่หมายความว่ายิ่งเจ้าได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและมุมมองต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมมากขึ้นเท่าใด ถูกสิ่งเหล่านี้พร่ำสอนนานขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งไถลห่างจากความคิด ความมุ่งมาดปรารถนา จุดหมายที่ต้องไล่ตามเสาะหา และกฎเกณฑ์แห่งการดำรงอยู่ซึ่งผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมีมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็จะยิ่งไถลห่างจากมาตรฐานที่พระเจ้าทรงประสงค์จากผู้คนมากขึ้นเท่านั้นด้วย  เมื่อถูกแนวคิดจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้แพร่เชื้อ ล้างสมอง และพร่ำสอน ผู้คนจึงเลือกใช้แนวคิดเหล่านี้เป็นหลักเกณฑ์ ถึงกับมองว่าแนวคิดเหล่านี้คือความจริง และเป็นเกณฑ์กำหนดสำหรับการมองผู้คนและสิ่งต่างๆ การวางตัว และการกระทำ  ผู้คนไม่คิดหรือสงสัยว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่อีกต่อไป และพวกเขาก็ไม่ทำสิ่งใดเกินกว่าที่ถ้อยแถลงของวัฒนธรรมดั้งเดิมระบุไว้เกี่ยวกับความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ เพื่อคิดเอาว่าพวกเขาควรที่จะดำรงชีวิตอย่างไร  ผู้คนไม่รู้จักทำเช่นนั้นและพวกเขาก็ไม่คิดที่จะทำเช่นนั้นด้วย  เหตุใดพวกเขาจึงไม่คิดที่จะทำเช่นนั้น?  เพราะความคิดของผู้คนถูกยึดครองและเต็มไปด้วยคัมภีร์ทางศีลธรรมเหล่านี้ที่ประกาศความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ  แม้ว่าผู้คนมากมายจะเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้และอ่านพระคัมภีร์ แต่พวกเขายังคงเอาพระวจนะของพระเจ้าและความจริงไปสับสนกับถ้อยแถลงมากมายด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม ซึ่งเป็นถ้อยแถลงที่เกิดจากความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ  บางคนถึงกับมองว่าถ้อยแถลงเหล่านี้ในวัฒนธรรมดั้งเดิมมีมากมายที่เป็นคัมภีร์เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นบวก และพวกเขาก็อ้างว่าถ้อยแถลงเหล่านี้คือความจริง ประกาศและส่งเสริมถ้อยแถลงเหล่านี้ในฐานะความจริง และไปไกลถึงขั้นยกถ้อยแถลงเหล่านี้มาใช้เป็นหนทางสั่งสอนผู้อื่น  นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก เป็นบางสิ่งที่พระเจ้าไม่ต้องการทอดพระเนตรเห็น และเป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์ขัดเคืองพระทัย  ดังนั้นทุกคนที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายสามารถมองทะลุและวินิจฉัยสิ่งต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างชัดเจนหรือไม่?  ไม่จำเป็นต้องทำได้  ต้องมีบางคนที่ยังคงเคารพบูชาและเห็นชอบในสิ่งต่างๆ ที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาการ  หากพิษเหล่านี้ของซาตานไม่ถูกกำจัดให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง ก็จะเป็นการยากที่ผู้คนจะเข้าใจและได้รับความจริง  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องมองข้อเท็จจริงข้อหนึ่งออกอย่างทะลุปรุโปร่งซึ่งก็คือ พระวจนะของพระเจ้าคือพระวจนะของพระเจ้า ความจริงคือความจริง และคำพูดของมนุษย์ก็คือคำพูดของมนุษย์  ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือเป็นคำพูดของมนุษย์ และวัฒนธรรมดั้งเดิมก็เป็นคำพูดของมนุษย์  คำพูดของมนุษย์ไม่ใช่ความจริงอย่างเด็ดขาด และจะไม่มีวันกลายเป็นความจริง  นี่คือข้อเท็จจริง  ไม่ว่าผู้คนจะเข้าใจความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือในความคิดและทัศนะของตนมากเพียงใด สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถแทนที่พระวจนะของพระเจ้าได้ ไม่ว่าคุณค่าเช่นนี้จะได้รับการตรวจสอบและยืนยันว่าถูกต้องเพียงใด ตลอดระยะเวลาหลายพันปีของการดำรงอยู่ของมนุษย์ คุณค่าเหล่านี้ก็ไม่สามารถกลายเป็นพระวจนะของพระเจ้าหรือแทนที่พระวจนะได้ และยิ่งไม่สามารถนำมาสับสนกับพระวจนะของพระเจ้า  ต่อให้ถ้อยแถลงเกี่ยวกับความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือสอดคล้องกับมโนธรรมและเหตุผลของผู้คน ถ้อยแถลงเหล่านี้ก็ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า ไม่สามารถแทนที่พระวจนะของพระองค์ และยิ่งไม่อาจเรียกว่าความจริงได้  ถ้อยแถลงและข้อกำหนดเกี่ยวกับความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือในวัฒนธรรมดั้งเดิมรับใช้สังคมและชนชั้นปกครองเท่านั้น  ถ้อยแถลงและข้อกำหนดเหล่านี้มีไว้เพื่อควบคุมและกำกับพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้นเพื่อให้สัมฤทธิ์ลักษณะร่วมอันดียิ่งขึ้นในสังคม ซึ่งเอื้อต่อการรักษาอำนาจของชนชั้นปกครองให้มีเสถียรภาพ  แน่นอนว่าไม่ว่าเจ้าจะยึดปฏิบัติตามคุณค่าของความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือได้ดีเพียงใด เจ้าก็จะไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ เจ้าจะไม่สามารถเชื่อฟังพระเจ้า และในท้ายที่สุดเจ้าย่อมจะไม่กลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดีพอ  ไม่ว่าเจ้าจะยึดปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้ดีเพียงใด หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ตามมาตรฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับ  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะเป็นสิ่งใดในสายพระเนตรของพระเจ้า?  เจ้าจะยังคงเป็นผู้ไม่เชื่อและเป็นของซาตาน  คนที่เชื่อกันว่ามีคุณสมบัติอันโดดเด่นทางศีลธรรมและมีจริยธรรมอันสูงส่งนั้นมีมโนธรรมและสำนึกของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  พวกเขายอมรับความจริงได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  พวกเขาสามารถเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอนที่สุด!  เพราะสิ่งที่พวกเขาเคารพบูชาคือซาตาน พวกมาร ธรรมิกชนเสแสร้ง และวิสุทธิชนเทียมเท็จ  ลึกลงไปในหัวใจและกระดูกของพวกเขา พวกเขาเบื่อหน่ายและเกลียดชังความจริง  เพราะฉะนั้นพวกเขาย่อมต้องเป็นผู้คนที่ต้านทานพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระองค์  ผู้คนที่เคารพบูชามารซาตานคือผู้คนที่โอหัง ทะนงตน และไร้สำนึกอย่างที่สุด—เป็นพวกที่เสื่อมเสียของเผ่าพันธุ์มนุษย์ กระดูกของพวกเขาเต็มไปด้วยพิษของซาตาน เต็มไปด้วยความนอกรีตและเหตุผลวิบัติของซาตาน  ทันทีที่พวกเขาเห็นพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ดวงตาของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและพวกเขามีแต่ความโกรธ เผยให้เห็นใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของมารตนหนึ่ง  เพราะฉะนั้นผู้ที่เคารพวัฒนธรรมดั้งเดิมและเชื่ออย่างมืดบอดในเหตุผลวิบัติตามจารีตดังกล่าว อันได้แก่ ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ จึงเบื่อหน่ายและเกลียดชังความจริง  พวกเขาไม่มีสำนึกของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติเลย และพวกเขาจะไม่มีวันยอมรับความจริง  เรื่องของวัฒนธรรมดั้งเดิมและถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่เกี่ยวกับความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ ไม่สอดคล้องกับความจริงหรือพระวจนะของพระเจ้าเลย  ไม่ว่าผู้คนจะนำคุณค่าเหล่านี้ไปปฏิบัติอย่างถูกต้องเพียงใด หรือค้ำชูคุณค่าเหล่านี้ดีเพียงใด ก็ไม่เหมือนการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  นี่เป็นเพราะผู้คนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม  นั่นคือข้อเท็จจริงของเรื่องนี้  พวกเขาเต็มไปด้วยคำสอนทุกประเภทของซาตาน และคำสอนที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” ก็ได้กลายเป็นธรรมชาติและแก่นแท้ของผู้คนไปแล้ว  ไม่ว่าเจ้าจะทำให้คำสอนเหล่านี้ฟังดูดีเพียงใด ภาษาที่เจ้าใช้จะสูงส่งเพียงใด หรือทฤษฎีของเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ถ้อยแถลงเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมย่อมไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้  ต่อให้เจ้ายึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์แต่ละข้อที่บังคับใช้ ตามคุณค่าของความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือในวัฒนธรรมดั้งเดิม เจ้าก็ประพฤติดีเพียงภายนอกเท่านั้น  แต่เมื่อเป็นเรื่องของการเชื่อในพระเจ้า ติดตามพระองค์  ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเชื่อฟังพระเจ้า รวมทั้งท่าทีและทัศนะที่เจ้ามีต่อพระองค์และความจริง คุณค่าเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมกลับไม่มีประโยชน์เลย  คุณค่าเหล่านี้ไม่สามารถควบคุมความเป็นกบฏของเจ้า หรือพลิกมโนคติอันหลงผิดที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้า หรือแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คนได้ นับประสาอะไรที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องผู้คนไม่เอาใจใส่และสุกเอาเผากินในการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้  คุณค่าเหล่านี้ไม่ได้ช่วยควบคุมพฤติกรรมที่เสื่อมทรามของผู้คนแต่อย่างใด และโดยพื้นฐานแล้วคุณค่าเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำให้ผู้คนใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้

ตอนที่เพิ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าความเชื่อเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก  พวกเขาคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้าหมายถึงการเรียนรู้ที่จะอดทนและยอมผ่อนปรน เต็มใจที่จะบริจาค เต็มใจช่วยเหลือผู้อื่น เรียนรู้ที่จะถูกประเมินตามคำพูดและการกระทำของตน ไม่เป็นคนโอหังเกินไป หรือแข็งกร้าวกับผู้อื่นมากไป  พวกเขารู้สึกว่าหากพวกเขาประพฤติปฏิบัติตนแบบนี้ พระเจ้าย่อมจะพอพระทัย และพวกเขาก็จะไม่ถูกตัดแต่งขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน  หากพวกเขาทำหน้าที่ผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาจะไม่ถูกแทนที่หรือขับออกไป  พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาจะได้รับความรอดเป็นแน่  แท้จริงแล้วการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องที่เรียบง่ายเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนจำนวนไม่น้อยมีทัศนะเช่นนี้ แต่ในที่สุด แนวคิด มุมมอง และหนทางที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตนในชีวิตล้วนลงเอยด้วยความล้มเหลว  ท้ายที่สุดแล้วบางคนที่ไม่รู้ที่ทางของตนในจักรวาลก็สรุปทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในประโยคเดียวว่า “ฉันกลายเป็นความล้มเหลวในฐานะมนุษย์!”  พวกเขานึกว่าการวางตัวในฐานะมนุษย์หมายถึงการยึดคุณค่าของความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ  แต่นั่นสามารถเรียกได้ว่าเป็นการวางตัวในฐานะมนุษย์กระนั้นหรือ?  นั่นไม่ใช่การวางตัวในฐานะมนุษย์ แต่เป็นการวางตัวของปีศาจ  ส่วนผู้คนที่พูดว่า “ฉันกลายเป็นความล้มเหลวในฐานะมนุษย์” เราขอถามว่าเจ้าเคยวางตัวในฐานะมนุษย์บ้างหรือยัง?  เจ้ายังไม่เคยพยายามวางตัวเป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเจ้าจะพูดได้อย่างไรว่า “ฉันกลายเป็นความล้มเหลวในฐานะมนุษย์”?  นี่คือความล้มเหลวของคุณค่าทางวัฒนธรรมดั้งเดิม อาทิ ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ ในอันที่จะทำหน้าที่ของมันในตัวผู้คน ไม่ใช่ความล้มเหลวของเจ้าในการวางตัวเป็นมนุษย์  เมื่อผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้า แน่นอนว่าคุณค่าดังกล่าวอันได้แก่ ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ ย่อมไม่มีประโยชน์และใช้ไม่ได้อีกต่อไป  ก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว ผู้คนก็ลงเอยด้วยการสรุปว่า “แย่ละ ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ—สิ่งเหล่านี้ใช้ไม่ได้ผล!  ฉันเคยนึกว่าการวางตัวเป็นเรื่องง่าย และการเชื่อในพระเจ้าก็ง่ายมากเช่นกัน ไม่ได้ซับซ้อนมากนัก  ฉันเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าตลอดมาฉันมองการเชื่อในพระเจ้าง่ายเกินไป”  หลังจากฟังคำเทศนามานาน พวกเขาก็ตระหนักในที่สุดว่าผู้คนไม่อาจไม่เข้าใจความจริงได้  หากผู้คนไม่เข้าใจความจริงบางเรื่อง พวกเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะผิดพลาดในเรื่องนั้นๆ ถูกตัดแต่ง ล้มเหลว แล้วจึงถูกพิพากษาและตีสอน  สิ่งที่พวกเขาเคยเชื่อมาก่อนว่าถูกต้อง ดีงาม เป็นบวก และประเสริฐ ย่อมสิ้นนัยสำคัญและกลายเป็นสิ่งไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าความจริง  ถ้อยแถลงต่างๆ เกี่ยวกับความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ ล้วนมีอิทธิพลบางอย่างต่อความคิดและมุมมองของผู้คน รวมทั้งวิธีการและลู่ทางที่พวกเขาใช้ดำเนินกิจธุระของตน  หากไม่มีพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเข้ามาเกี่ยวข้อง และมวลมนุษย์ใช้ชีวิตตามที่เป็นอยู่ต่อไปภายใต้อำนาจของซาตาน เช่นนั้นแล้ว ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ อันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างเป็นบวก ก็จะมีบทบาทเชิงบวกเล็กน้อยอยู่ในการคิดอ่านของผู้คน รวมทั้งในสภาพแวดล้อมและลักษณะโดยรวมของสังคม  อย่างน้อยที่สุด สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ยุยงให้ผู้คนทำชั่ว ฆ่าคน วางเพลิง หรือเที่ยวข่มขืนและปล้นชิง  อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยผู้คนให้รอด สิ่งเหล่านี้—ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ—กลับไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับความจริง หนทาง หรือชีวิตที่พระเจ้าต้องการประทานแก่มวลมนุษย์  และเรื่องก็ไม่ได้มีอยู่เท่านั้น กล่าวคือ เมื่อมองดูแนวคิดต่างๆ ที่มีคุณค่าเหล่านี้ซึ่งก็คือความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ คอยสนับสนุน ดูข้อกำหนดที่คุณค่าเหล่านี้มีต่อการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน อิทธิพลและการควบคุมที่คุณค่าเหล่านี้มีต่อการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน ไม่มีคุณค่าใดเลยที่มีบทบาทในการนำผู้คนกลับมาหาพระเจ้าหรือนำพวกเขาให้ก้าวไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง  แต่กลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางผู้คนไม่ให้ไล่ตามเสาะหาและยอมรับความจริง  ถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่พวกเราสามัคคีธรรมและชำแหละกันไปก่อนหน้านี้คือ—จงอย่านำเงินที่เจ้าเก็บได้มาใส่กระเป๋า จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่น จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้—ในสามัคคีธรรม พวกเราได้ทำให้ถ้อยแถลงเหล่านี้ชัดเจนโดยรวม และอย่างน้อยทุกคนก็เข้าใจความหมายโดยทั่วไปของถ้อยแถลงเหล่านี้  ข้อเท็จจริงก็คือไม่ว่าถ้อยแถลงเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในแง่มุมใด ถ้อยแถลงเหล่านี้ก็จำกัดการคิดอ่านของผู้คน  หากเจ้าไม่สามารถแยกแยะเรื่องเช่นนี้ได้ ไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของถ้อยแถลงเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน และไม่ปรับเปลี่ยนทัศนะที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้ให้ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถปล่อยมือจากถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ หรือขจัดอิทธิพลที่ถ้อยแถลงเหล่านี้มีต่อเจ้าให้หมดไปจากตัวเองได้  หากเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ ก็ยากที่เจ้าจะยอมรับความจริงจากพระเจ้า ยอมรับหลักเกณฑ์ในพระวจนะของพระเจ้า และข้อกำหนดจำเพาะที่พระผู้สร้างทรงมีต่อการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน และยากที่จะยึดถือและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าในฐานะที่เป็นหลักธรรมและหลักเกณฑ์ของความจริง  นี่เป็นปัญหาร้ายแรงมิใช่หรือ?

วันนี้ พวกเรามาสามัคคีธรรมและชำแหละถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อถัดไปกันต่อเถิด นั่นคือ “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา”  นี่อธิบายการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นตามที่ซาตานพร่ำสอนผู้คนเอาไว้  นี่หมายความว่าเมื่อเจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เจ้าต้องให้พวกเขามีทางหนีทีไล่บ้าง  เจ้าไม่ควรแข็งกร้าวกับผู้อื่นเกินไป เจ้าไม่สามารถหยิบยกความผิดในอดีตของพวกเขาขึ้นมาพูด เจ้าต้องรักษาศักดิ์ศรีของพวกเขา ไม่สามารถทำลายสัมพันธภาพที่ดีกับพวกเขา เจ้าต้องใจกว้างให้อภัยพวกเขา เหล่านี้เป็นต้น  คำกล่าวด้านศีลธรรมนี้โดยมากแล้วบรรยายปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกซึ่งบงการปฏิสัมพันธ์ในหมู่มนุษย์  มีหลักปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกข้อหนึ่งที่กล่าวว่า “การไม่พูดถึงข้อเสียของเพื่อนสนิท ย่อมทำให้มิตรภาพยืนยาวและดีงาม”  นี่หมายความว่า เพื่อรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรเอาไว้ คนเราต้องนิ่งเงียบในเรื่องปัญหาของเพื่อน ต่อให้พวกเขามองเห็นปัญหาเหล่านั้นชัดเจนก็ตาม—ซึ่งก็คือพวกเขาควรยึดปฏิบัติตามหลักของการไม่ชกหน้าผู้คนหรือพูดถึงข้อบกพร่องของพวกเขา  พวกเขาต้องหลอกลวงกัน ซ่อนตัวจากอีกฝ่าย ร่วมกันวางแผนร้าย และแม้พวกเขาจะรู้อย่างชัดแจ้งว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบใด แต่พวกเขาก็ไม่พูดออกมาตรงๆ กลับใช้วิธีการอันฉลาดแกมโกงเพื่อรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรเอาไว้  ทำไมคนเราถึงอยากรักษาสัมพันธภาพเช่นนี้เอาไว้?  นี่เป็นเรื่องของการไม่อยากสร้างศัตรูในสังคม ภายในกลุ่มของตน ซึ่งย่อมจะหมายถึงการทำให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายบ่อยๆ  เมื่อรู้ว่าหลังจากที่เจ้าพูดถึงข้อบกพร่องหรือทำร้ายความรู้สึกของใครบางคนแล้ว พวกเขาจะพลอยกลายเป็นศัตรูของเจ้าและทำร้ายเจ้า และเจ้าก็ไม่อยากพาตนเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น เจ้าก็ใช้หลักปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา”  เมื่อเป็นเช่นนี้ หากคนสองคนมีสัมพันธภาพแบบนี้ นับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนแท้กันหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่ใช่เพื่อนแท้ และยิ่งไม่ใช่คนรู้ใจกัน  ดังนั้น แท้จริงแล้วนี่เป็นสัมพันธภาพชนิดใด?  เป็นสัมพันธภาพขั้นพื้นฐานทางสังคมมิใช่หรือ?  (ใช่)  ในสัมพันธภาพทางสังคมเช่นนี้ ผู้คนไม่สามารถแสดงความรู้สึกของตน หรือมีการแลกเปลี่ยนที่ลงลึก หรือพูดทุกสิ่งที่พวกเขาอยากพูดได้  พวกเขาไม่สามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจ หรือปัญหาที่พวกเขาเห็นในตัวอีกฝ่าย หรือคำพูดที่จะเป็นประโยชน์ต่ออีกฝ่ายออกมาดังๆ ได้  พวกเขากลับหยิบยกสิ่งดีๆ ขึ้นมาพูดเพื่อรักษาความโปรดปรานของอีกฝ่าย  พวกเขาไม่กล้าพูดความจริงหรือค้ำชูหลักธรรม เกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นไม่ชอบหน้าตน  เมื่อไม่มีใครคอยคุกคาม คนคนนั้นย่อมมีชีวิตที่ค่อนข้างสบายและสงบสุขมิใช่หรือ?  นี่คือเป้าหมายของผู้คนในการส่งเสริมคำกล่าวที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” มิใช่หรือ?  (ใช่)  ชัดเจนว่านี่คือวิธีดำรงชีวิตที่ฉลาดแกมโกงและหลอกลวงโดยมีความระแวดระวังเป็นองค์ประกอบ ซึ่งจุดหมายก็คือเพื่อรักษาตัวให้รอด  ผู้คนที่ใช้ชีวิตแบบนี้ไม่มีคนรู้ใจ ไม่มีเพื่อนสนิทที่พวกเขาสามารถพูดเรื่องอะไรก็ได้ที่ตนอยากพูด  พวกเขาคอยระแวดระวังกัน ต่างฝ่ายต่างช่วงใช้กัน และมีกลยุทธ์ แต่ละฝ่ายต่างก็กอบโกยสิ่งที่ตนต้องการจากสัมพันธภาพนี้  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  เมื่อดูมูลเหตุแล้ว จุดหมายของคำกล่าวที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” ก็คือการไม่ล่วงเกินผู้อื่นและไม่สร้างศัตรู ปกป้องตนเองโดยไม่ทำร้ายใคร  นี่เป็นกลวิธีและแนวทางที่คนเราใช้ป้องกันตนเองจากการถูกทำร้าย  เมื่อพิจารณาแก่นแท้ของกลวิธีดังกล่าวจากหลายๆ แง่มุม การกำหนดให้ผู้คนมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแบบ “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” นั้นเป็นข้อกำหนดที่ประเสริฐหรือไม่?  ใช่ข้อกำหนดที่เป็นบวกหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้ว ข้อกำหนดนี้สอนอะไรแก่ผู้คน?  สอนว่าเจ้าต้องไม่ล่วงเกินหรือทำร้ายใคร มิฉะนั้นในที่สุดเจ้าเองจะเจ็บตัว และเจ้าไม่ควรไว้ใจใครอีกด้วย  ถ้าเจ้าทำร้ายเพื่อนที่ดีของเจ้าไม่ว่าคนใด มิตรภาพก็จะเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ กล่าวคือ พวกเขาจะเปลี่ยนจากการเป็นเพื่อนสนิทที่ดีของเจ้าไปเป็นคนแปลกหน้าหรือศัตรู  การสอนผู้คนให้ปฏิบัติตนเช่นนี้สามารถแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?  ด้วยการทำตัวแบบนี้ ต่อให้เจ้าไม่สร้างศัตรูและถึงกับหมดศัตรูไปบ้าง แต่นี่จะทำให้ผู้อื่นเลื่อมใสเจ้า เห็นชอบในตัวเจ้า และให้เจ้าเป็นเพื่อนตลอดไปกระนั้นหรือ?  นี่ทำได้ตามมาตรฐานของการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมโดยสมบูรณ์แล้วหรือ?  อย่างเก่งที่สุดนี่ก็เป็นเพียงปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกเท่านั้น  การทำตามถ้อยแถลงและวิธีปฏิบัติเช่นนี้จะถือว่าเป็นการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ดีได้หรือไม่?  ไม่ได้เลย  พ่อแม่บางคนอบรมสั่งสอนลูกๆ ของตนกันแบบนี้  ถ้าลูกของพวกเขาถูกชกต่อยนอกบ้าน พวกเขาย่อมบอกลูกว่า “เจ้าเด็กอ่อนแอ  ทำไมถึงไม่สู้ตอบ?  ถ้าเขาชกลูก ก็เตะเขาไปสิ!”  นี่ใช่หนทางที่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่เรียกว่าอะไร?  นี่เรียกว่าการยุยง  จุดประสงค์ของการยุยงคืออะไร?  เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียและเพื่อเอาเปรียบผู้อื่น  ถ้ามีคนชกเจ้า ก็ย่อมจะเจ็บตัวสักสองวันเป็นอย่างมาก แล้วจากนั้นถ้าเจ้าเตะพวกเขา ผลที่ตามมาจะไม่ยิ่งร้ายแรงหรอกหรือ?  แล้วใครคือคนที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้?  (พ่อแม่ที่คอยยุยง)  ดังนั้น ลักษณะของถ้อยแถลงที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” จึงคล้ายคลึงกับเรื่องนี้อยู่บ้างมิใช่หรือ?  ถูกต้องหรือไม่ที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นตามถ้อยแถลงข้อนี้?  (ไม่ถูกต้อง)  ไม่ถูกต้อง  เมื่อมองมุมนี้ นี่คือการยุยงผู้คนมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่สอนผู้คนหรือไม่ว่าให้ใช้ปัญญาเวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น สอนให้สามารถแยกแยะผู้คนได้ มองผู้คนและสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนโดยใช้ปัญญาได้?  นี่สอนเจ้าหรือไม่ว่าหากพบพานคนดี คนที่มีความเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความจริงใจ ช่วยเหลือพวกเขาถ้าเจ้าทำได้ และถ้าเจ้าทำไม่ได้ เช่นนั้นแล้วก็ควรยอมผ่อนปรนและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกควร เรียนรู้ที่จะผ่อนปรนให้กับข้อบกพร่องของพวกเขา อดทนต่อความเข้าใจผิดและการตัดสินที่พวกเขามีต่อเจ้า ตลอดจนเรียนรู้จากจุดแข็งและคุณสมบัติที่ดีของพวกเขา?  นี่ใช่สิ่งที่คำกล่าวนี้สอนผู้คนหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วเมื่อคำกล่าวนี้สอนผู้คนเช่นนี้ ลงท้ายย่อมเกิดอะไรขึ้น?  ทำให้ผู้คนซื่อสัตย์ขึ้น หรือว่าหลอกลวงมากขึ้น?  ย่อมส่งผลให้ผู้คนหลอกลวงมากขึ้น หัวใจของผู้คนยิ่งแยกห่างจากกัน ระยะห่างระหว่างผู้คนก็กว้างขึ้น และสัมพันธภาพของผู้คนย่อมกลายเป็นเรื่องซับซ้อน นี่ก็คือความซับซ้อนในสัมพันธภาพทางสังคมของผู้คน  การสื่อสารจากใจถึงใจในหมู่ผู้คนสูญหายไป และวิธีคิดที่คอยระวังกันและกันก็เกิดขึ้น  เมื่อเป็นเช่นนี้ สัมพันธภาพของผู้คนจะยังคงเป็นปกติได้หรือไม่?  บรรยากาศทางสังคมจะดีขึ้นหรือไม่?  (ไม่)  นั่นจึงเป็นสาเหตุที่คำกล่าวว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” นี้ผิดอย่างชัดเจน  การสอนผู้คนให้ทำเช่นนี้ไม่สามารถทำให้พวกเขาใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้ ยิ่งไปกว่านั้นการสอนเช่นนี้ก็ไม่สามารถทำให้ผู้คนเปิดเผย เที่ยงธรรม หรือตรงไปตรงมาได้  และแน่นอนว่าไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งใดที่เป็นบวก

คำกล่าวที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” อ้างถึงการกระทำสองอย่าง อย่างหนึ่งคือการชกต่อย และอีกอย่างคือการวิจารณ์  ในปฏิสัมพันธ์ที่ผู้คนมีกับผู้อื่นตามปกติ การชกใครสักคนนี้ถูกหรือผิด?  (ผิด)  การชกคนใช่พฤติกรรมและสิ่งที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือไม่?  (ไม่ใช่)  การชกผู้คนย่อมผิดแน่นอนไม่ว่าเจ้าจะชกพวกเขาที่ใบหน้าหรือที่อื่นก็ตาม  ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า” จึงผิดในตัวมันเอง  ตามคำกล่าวนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่าการชกหน้าผู้อื่นไม่ถูกต้อง แต่กลับถูกต้องที่จะชกส่วนอื่น เพราะว่าใบหน้านั้นพอชกแล้วจะแดง บวม และเป็นแผล  นี่ทำให้คนคนนั้นดูไม่ดีและดูไม่ได้ และยังแสดงให้เห็นด้วยว่าเจ้าปฏิบัติต่อผู้คนอย่างหยาบคายมาก ไร้มารยาท และต่ำช้า  แล้วการต่อยผู้คนที่ส่วนอื่นนั้นประเสริฐหรือไม่?  ไม่—นั่นก็ไม่ได้สูงส่งเช่นกัน  อันที่จริง คำกล่าวนี้ไม่ได้มุ่งเน้นว่าควรชกคนตรงส่วนใด แต่เน้นคำว่า “ชก” นั่นเอง  เวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ถ้าเจ้าเผชิญหน้าและจัดการปัญหาด้วยการชกผู้อื่นอยู่เสมอ วิธีการของเจ้าย่อมผิดในตัวมันเอง  นี่เป็นการทำไปด้วยความมุทะลุและไม่เป็นไปตามมโนธรรมและเหตุผลในความเป็นมนุษย์ของคนเรา และแน่นอนว่ายิ่งไม่ใช่การปฏิบัติความจริงหรือการยึดปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง  บางคนไม่ได้เล่นงานศักดิ์ศรีของผู้อื่นเมื่ออยู่ต่อหน้า—พวกเขาระมัดระวังสิ่งที่ตนพูดและเว้นจากการชกหน้าผู้อื่น แต่กลับใช้เล่ห์สกปรกลับหลัง จับมือกันบนโต๊ะ แต่กลับเตะอีกฝ่ายใต้โต๊ะ พูดสิ่งดีๆ ต่อหน้า แต่คบคิดกันเล่นงานอีกฝ่ายลับหลัง คอยจับผิดเพื่อใช้เล่นงานอีกฝ่าย รอโอกาสแก้แค้น ใส่ร้ายและวางกลอุบาย กระจายข่าวลือ หรือวางแผนสร้างความขัดแย้งและใช้ผู้อื่นหาเรื่องอีกฝ่าย  วิธีการที่ร้ายกาจเหล่านี้ดีกว่าการชกหน้าคนมากสักเพียงใดหรือ?  วิธีการเหล่านี้ร้ายแรงกว่าการชกหน้าคนด้วยซ้ำมิใช่หรือ?  ร้ายกาจ เหี้ยมโหด และไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ยิ่งกว่าเสียอีกมิใช่หรือ? (ใช่)  เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้อยแถลงที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า” โดยตัวมันเองจึงไร้ความหมาย  ตัวมุมมองเองก็ผิด และมีนัยของการเสแสร้งที่เทียมเท็จ  นี่เป็นวิธีการที่หน้าซื่อใจคดซึ่งทำให้ยิ่งน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง และน่าชังมากขึ้น  ตอนนี้พวกเราเห็นชัดเจนแล้วว่าการชกผู้คนนั้นทำไปด้วยความมุทะลุ  เจ้าชกคนเพราะเหตุใด?  กฎหมายให้อำนาจทำเช่นนั้นหรือเป็นสิทธิ์ที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า?  ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง  ดังนั้น ทำไมถึงชกต่อยผู้คน?  ถ้าเจ้าเข้ากับใครบางคนได้ตามปกติ เจ้าก็สามารถผูกมิตรและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาได้โดยใช้วิธีที่ถูกต้อง  ถ้าเจ้าไม่สามารถเข้ากับพวกเขาได้ เจ้าก็แยกตัวไปตามทางของเจ้าได้โดยไม่จำเป็นต้องลงมือทำอะไรที่มุทะลุหรือต่อยตีกัน  นี่ควรเป็นสิ่งที่ผู้คนทำกันภายในขอบเขตของมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์  ทันทีที่เจ้ากระทำการอย่างมุทะลุ ต่อให้เจ้าไม่ชกหน้าคน แต่ชกที่อื่น นี่ก็เป็นปัญหาที่ร้ายแรง  ไม่ใช่การมีปฏิสัมพันธ์ที่ปกติ  นี่คือการมีปฏิสัมพันธ์กันของศัตรู ไม่ใช่การมีปฏิสัมพันธ์กันตามปกติของผู้คน  ในสำนึกของความเป็นมนุษย์แล้ว นี่เป็นสิ่งที่เหลือรับ  คำว่า “วิจารณ์” ในคำกล่าวที่ว่า “เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” นั้นดีหรือไม่ดี?  คำว่า “วิจารณ์” มีด้านที่หมายถึงการเผยหรือเปิดโปงผู้คนในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่มี)  ตามความเข้าใจที่เรามีต่อคำว่า “วิจารณ์” ในภาษามนุษย์ คำนี้ไม่ได้หมายความเช่นนั้น  แก่นแท้ของคำนี้คือการเปิดโปงในรูปแบบที่ค่อนข้างมุ่งร้าย หมายถึงการเผยปัญหาและข้อบกพร่องของผู้คนออกมา หรือเรื่องราวและพฤติกรรมบางอย่างที่ผู้อื่นไม่รู้ หรือแผนร้าย แนวคิด หรือทัศนะบางอย่างที่ดำเนินการอยู่เบื้องหลัง  นี่คือความหมายของคำว่า “วิจารณ์” ในคำกล่าวที่ว่า “เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา”  ถ้าคนสองคนไปกันได้ดีและเป็นคนที่รู้ใจกัน ไม่มีกำแพงขวางกั้นระหว่างพวกเขา ต่างคนต่างก็หวังที่จะทำประโยชน์และช่วยเหลืออีกฝ่าย เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะเป็นการดีที่สุดที่พวกเขาจะนั่งลงแจกแจงปัญหาของแต่ละฝ่ายอย่างเปิดเผยและจริงใจ  เช่นนี้จึงถูกควร และไม่ใช่การวิจารณ์ข้อบกพร่องของผู้อื่น  ถ้าเจ้าพบเจอปัญหาของผู้อื่น แต่เห็นว่าพวกเขายังไม่สามารถยอมรับคำแนะนำจากเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วก็จงอย่าพูดสิ่งใดเลยเพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะหรือขัดแย้งกัน  ถ้าเจ้าอยากช่วยเหลือพวกเขา เจ้าก็ขอความเห็นและถามพวกเขาก่อนได้ว่า “ฉันเห็นว่าคุณมีปัญหานิดหน่อย และฉันหวังจะให้คำแนะนำบางอย่างแก่คุณ  ฉันไม่รู้ว่าคุณจะยอมรับได้หรือไม่  ถ้าคุณยอมรับได้ ฉันก็จะบอกคุณ  ถ้าคุณยอมรับไม่ได้ ฉันจะเก็บไว้กับตัวก่อนและจะไม่พูดอะไร”  หากพวกเขาพูดว่า “ฉันเชื่อใจคุณ  อะไรก็ตามที่คุณจำต้องพูด ย่อมจะไม่ล้ำเส้น ฉันยอมรับได้” นั่นก็หมายความว่าเจ้าได้รับอนุญาตแล้ว และเจ้าก็สามารถสื่อสารปัญหาของพวกเขาให้พวกเขาฟังทีละข้อ  พวกเขาไม่เพียงจะยอมรับทุกสิ่งที่เจ้าพูด แต่ยังได้ประโยชน์จากการทำเช่นนี้ด้วย และพวกเจ้าทั้งสองก็จะยังคงรักษาสัมพันธภาพที่ปกติไว้ได้  นั่นคือการปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างถูกต้อง และไม่ใช่การวิจารณ์ข้อบกพร่องของผู้อื่น  การไม่ “วิจารณ์ข้อบกพร่องของผู้อื่น” ตามคำกล่าวที่พูดถึงอยู่นี้หมายถึงอะไร?  หมายถึงการไม่พูดถึงความขาดตกบกพร่องของผู้อื่น ไม่พูดถึงปัญหาที่พวกเขาห้ามพูดเป็นอันขาด ไม่เปิดโปงแก่นแท้ของปัญหาของพวกเขา และไม่วิจารณ์แก่นแท้นั้นอย่างโจ่งแจ้งมากนัก  นี่หมายถึงการให้ข้อสังเกตบางอย่างในระดับที่ผิวเผินก็พอ พูดสิ่งที่ทุกคนพูดกัน  พูดสิ่งที่คนคนนั้นรู้ได้อยู่แล้ว และไม่เปิดเผยข้อผิดพลาดที่คนคนนั้นทำไว้ก่อนหน้านี้หรือประเด็นที่ละเอียดอ่อน  คนคนนั้นจะได้ประโยชน์อะไรหากเจ้าทำเช่นนี้?  บางทีเจ้าอาจจะไม่ได้ล่วงเกินพวกเขาหรือทำให้พวกเขากลายเป็นศัตรู แต่สิ่งที่เจ้าทำลงไปก็ไม่ได้ช่วยหรือให้ประโยชน์แก่พวกเขาเลย  เพราะฉะนั้น วลีที่ว่า “อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของผู้อื่น” จึงเป็นการหลบหลีกและเป็นการใช้เล่ห์เหลี่ยมรูปแบบหนึ่งซึ่งไม่เปิดโอกาสให้ผู้คนปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ  คนเราอาจกล่าวได้ว่าการทำเช่นนี้คือการเก็บงำเจตนาอันชั่วเอาไว้ ไม่ใช่การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างถูกต้อง  ผู้ไม่เชื่อถึงกับมองว่าวลี “เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” คือสิ่งที่ผู้มีศีลธรรมอันประเสริฐควรทำ  ชัดเจนว่านี่คือการมีปฏิบัติสัมพันธ์กับผู้อื่นในลักษณะที่หลอกลวง ซึ่งผู้คนใช้ปกป้องตนเอง ไม่ใช่รูปแบบของการมีปฏิสัมพันธ์ที่ถูกควรแต่อย่างใด  การไม่วิจารณ์ข้อบกพร่องของผู้อื่นนั้นย่อมไม่จริงใจ และการวิจารณ์ข้อบกพร่องของผู้อื่นก็อาจมีเจตนาแอบแฝง  โดยทั่วไปแล้ว เจ้าสามารถเห็นผู้คนวิจารณ์ข้อบกพร่องของกันและกันภายใต้สถานการณ์ใดบ้าง?  มีตัวอย่างดังนี้คือ ในสังคม หากผู้สมัครสองคนลงสมัครชิงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง พวกเขาจะวิจารณ์ข้อบกพร่องของกันและกัน  คนหนึ่งจะพูดว่า “คุณทำเรื่องบางอย่างที่ไม่ดี และคุณก็ยักยอกเงินไปมากตั้งไม่รู้เท่าไร” ส่วนอีกคนก็จะพูดว่า “คุณทำร้ายคนไปตั้งมากมายไม่รู้เท่าไร”  พวกเขาเปิดโปงเรื่องแบบนี้ของอีกฝ่าย  นี่คือการวิจารณ์ข้อบกพร่องของผู้อื่นมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกที่วิจารณ์ข้อบกพร่องของอีกฝ่ายบนเวทีการเมืองก็คือคู่ต่อสู้ทางการเมือง แต่พอคนธรรมดาทำเช่นนั้น พวกเขากลับเป็นศัตรูกัน  ในภาษาทั่วไป คนเราย่อมจะพูดว่าสองคนนี้ไปกันไม่ได้  เมื่อใดก็ตามที่พบกัน พวกเขาก็เริ่มเถียงกัน วิจารณ์ข้อบกพร่องของกันและกัน ตัดสินและกล่าวโทษกัน ถึงกับปั้นน้ำเป็นตัวและสร้างข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จ  ตราบใดที่กิจธุระของอีกฝ่ายมีสิ่งที่น่าสงสัย พวกเขาย่อมจะเปิดโปงและกล่าวโทษอีกฝ่ายในเรื่องนั้น  ถ้าผู้คนวิจารณ์กันในเรื่องต่างๆ มากมาย แต่เว้นข้อบกพร่องของผู้อื่น นั่นใช่การกระทำอันประเสริฐหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นั่นไม่ใช่การกระทำอันประเสริฐ แต่ผู้คนยังคงมองว่าหลักการนี้คือการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอันประเสริฐและให้การสรรเสริญ ซึ่งน่ารังเกียจอย่างยิ่ง!  คำกล่าวที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” โดยตัวมันเองแล้วล้มเหลวที่จะสนับสนุนสิ่งที่เป็นบวก  ไม่เหมือนคำกล่าวที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” และ “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” ซึ่งอย่างน้อยก็สนับสนุนการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่คู่ควรแก่การสรรเสริญ  สำนวนที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” เป็นถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ยุยงให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นลบและไม่มีบทบาทเชิงบวกในตัวผู้คนเลย  ถ้อยแถลงนี้ไม่ได้บอกผู้คนว่าหนทางหรือหลักธรรมที่ถูกต้องของการประพฤติปฏิบัติตนในชีวิตบนโลกนี้คืออะไร  ไม่ได้ให้ข้อมูลเช่นนี้เลย  มีแต่บอกผู้คนว่าอย่าชกหน้าผู้อื่น ราวกับว่านอกจากใบหน้าแล้ว จะชกพวกเขาตรงไหนก็ได้  ตราบใดที่พวกเขายังคงหายใจอยู่ ก็จงชกพวกเขาตามใจชอบ ทิ้งให้พวกเขาฟกช้ำดำเขียว บาดเจ็บสาหัส หรือถึงกับปางตาย  และเมื่อผู้คนขัดแย้งกัน เมื่อศัตรูหรือคู่แข่งทางการเมืองพบเจอกัน พวกเขาก็สามารถวิจารณ์อีกฝ่ายในเรื่องใดก็ได้ ตราบใดที่ไม่วิจารณ์ข้อบกพร่องของกันและกัน  นี่เป็นวิธีการแบบใด?  ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเองก็ไม่เห็นชอบกับคำกล่าวนี้อย่างมากใช่หรือไม่?  (ใช่)  สมมุติว่าคนสองคนมีข้อพิพาทและเริ่มโต้เถียงกัน  หนึ่งในนั้นพูดว่า “ฉันรู้ว่าสามีของคุณไม่ใช่พ่อของลูกคุณ” และอีกคนก็พูดว่า “ฉันรู้ว่าธุรกิจครอบครัวของคุณใช้เล่ห์อะไรบ้างในการหาเงิน”  บางคนออกความเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาที่พวกเขาทะเลาะกันว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา  ดูพวกเขาที่ต่างคนต่างขุดคุ้ยข้อบกพร่องไม่กี่อย่างและความลับที่เป็นปมในใจของอีกฝ่ายขึ้นมาและทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่สิ  ช่างเป็นพฤติกรรมที่ใจแคบ!  และไม่ซื่อตรงอย่างยิ่งอีกด้วย  อย่างน้อยคุณก็สามารถให้เกียรติผู้คนได้บ้าง ไม่อย่างนั้นในอนาคต พวกเขาจะประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรได้?”  การออกความเห็นแบบนี้ถูกหรือผิด?  (ผิด)  นี่ให้ผลที่เป็นบวกแม้สักนิดหรือไม่?  มีส่วนใดที่สอดคล้องกับความจริงแม้สักนิดหรือไม่?  (ไม่มี)  ผู้คนต้องมีแนวคิดและมุมมองเช่นใดถึงจะให้ความเห็นแบบนี้?  ความเห็นเช่นนี้มาจากคนที่มีสำนึกของความยุติธรรมและเข้าใจความจริงหรือไม่?  (ไม่)  ความเห็นเช่นนี้เกิดจากหลักการแบบใด?  ความเห็นเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะถูกแนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” ครอบงำไว้หมดแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ความเห็นเหล่านี้ล้วนยึดตามแนวคิดและมุมมองนี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม

ในเรื่องของความขัดแย้งระหว่างคนสองคนที่พวกเราเพิ่งเสวนากันไปนั้น หากพวกเจ้าพิจารณาเรื่องนี้จากมุมมองของคนที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ควรปฏิบัติต่อเรื่องนี้อย่างไร ตามพระวจนะของพระเจ้าโดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ใช่หรือไม่?  นี่คือปัญหาที่ผู้คนควรตรึกตรองมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เป็นเรื่องที่พวกเจ้าควรคิดทบทวน  ผู้เชื่อควรยึดปฏิบัติตามหลักธรรมข้อใดบ้าง?  พวกเขาต้องมองดูผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นในหมู่พี่น้องชายหญิง พวกเขาก็ต้องยอมผ่อนปรน อดทนต่อกัน และปฏิบัติต่อกันด้วยความรัก  พวกเขาต้องคิดทบทวนและเกิดความตระหนักรู้ในตนเองเสียก่อน จากนั้นจึงแก้ปัญหาดังกล่าวตามความจริงในพระวจนะของพระเจ้า จนถึงขั้นที่พวกเขาตระหนักรู้ความผิดพลาดของตน สามารถกบฏต่อเนื้อหนัง และปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักธรรมความจริง  ด้วยวิธีนี้พวกเขาย่อมจะแก้ปัญหาที่ต้นตอ  พวกเจ้าควรเข้าใจปัญหานี้อย่างถ่องแท้  คำกล่าวที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” ไม่ใช่มาตรฐานที่จะใช้วัดความเป็นมนุษย์ แต่เป็นเพียงปรัชญาพื้นฐานสำหรับการติดต่อเจรจาทางโลก เป็นปรัชญาที่ไม่สามารถห้ามปรามพฤติกรรมที่เสื่อมทรามของผู้คนได้แต่อย่างใด  คำกล่าวนี้ไม่มีความหมายอะไร และผู้เชื่อก็ไม่จำเป็นต้องยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เช่นนี้  ผู้คนควรมีปฏิสัมพันธ์กันตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง  นั่นคือสิ่งที่ผู้เชื่อต้องยึดปฏิบัติตาม  ถ้าผู้คนเชื่อในพระเจ้า แต่ก็เชื่อตามทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมและปรัชญาของซาตานอยู่ดี และใช้แนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” มาประเมินผู้คนและกวดขันผู้อื่น หรือเรียกร้องให้ตนเองทำสิ่งต่างๆ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไร้สาระและผิดประหลาด และเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ  คำกล่าวที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” เป็นปรัชญาของซาตานในเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงของตน ซึ่งไม่สามารถแก้ไขต้นตอของปัญหาที่สำคัญด้านสัมพันธภาพระหว่างบุคคลได้  เพราะฉะนั้น คำกล่าวนี้จึงเป็นกฎเกณฑ์ที่ตื้นเขินที่สุด เป็นปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกที่ตื้นเขินที่สุด  ห่างไกลจากมาตรฐานของหลักธรรมความจริงมากนัก และการยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ตื้นเขินเช่นนี้ก็ไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งใดได้ และไร้ความหมายอย่างยิ่ง  พูดแบบนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างพี่น้องชายหญิง ควรใช้อะไรเป็นหลักธรรมในการพิจารณาและสะสางเรื่องนี้?  ควรยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของวัฒนธรรมดั้งเดิม หรือใช้ความจริงในพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักธรรม?  จงบอกมุมมองของพวกเจ้ามาเถิด  (ก่อนอื่น พวกเราควรชำแหละและทำความรู้จักธรรมชาติของข้อพิพาทและข้อกล่าวหาอันมุทะลุที่พวกเขามีต่อกัน โดยดูตามพระวจนะของพระเจ้า ตระหนักรู้ว่าสิ่งเหล่านี้คือการพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา  จากนั้นพวกเราควรสามัคคีธรรมกับพวกเขาถึงเส้นทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง  พวกเขาควรปฏิบัติต่อกันด้วยความรัก ควรมีมโนธรรมและเหตุผล และสิ่งที่พวกเขาพูดและทำก็ต้องเสริมสร้างอีกฝ่าย ไม่ใช่ทำร้ายกัน  ถ้าอีกฝ่ายมีข้อบกพร่องหรือทำเรื่องที่ผิดพลาดลงไป พวกเขาก็ควรรับมืออย่างถูกต้องด้วยการให้ความช่วยเหลือถ้าทำได้ ไม่ใช่เล่นงาน ตัดสิน หรือกล่าวโทษอีกฝ่าย)  นี่คือการช่วยเหลือผู้คนรูปแบบหนึ่ง  แล้วจะพูดสิ่งใดได้บ้างเพื่อช่วยเหลือพวกเขาและสลายข้อพิพาท?  (พวกเขาโต้เถียงกันในคริสตจักร และการทำเช่นนี้โดยตัวมันเองก็ไม่คู่ควรกับธรรมิกชนและไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้า  ดังนั้นพวกเราจึงสามารถสามัคคีธรรมกับพวกเขาโดยพูดว่า “เมื่อพวกคุณพบว่าใครบางคนมีปัญหา ถ้าทำได้ก็ช่วยเหลือเถิด  ถ้าช่วยไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องโต้เถียง มิฉะนั้นจะรบกวนชีวิตคริสตจักร และถ้าคุณยังขืนทำทั้งที่มีการตักเตือนซ้ำๆ คริสตจักรก็จะจัดการเรื่องนี้ตามกฎการปกครอง”)  ดูเหมือนพวกเจ้าทุกคนรู้จักจัดการผู้คนที่รบกวนชีวิตคริสตจักรกันตามหลักธรรมแล้ว แต่พวกเจ้ายังไม่ค่อยรู้วิธีจัดการข้อพิพาทระหว่างผู้คน หรือรู้ว่าควรใช้พระวจนะของพระเจ้าส่วนใดมาจัดการข้อพิพาทเหล่านี้—พวกเจ้ายังคงไม่รู้วิธีใช้พระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงมาแก้ปัญหา  ในเรื่องนี้ แต่ละฝ่ายเองมีปัญหาอะไรอยู่แล้วบ้าง?  พวกเขาทั้งคู่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในเมื่อทั้งคู่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ก็จงดูว่าแต่ละคนพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามชนิดใดออกมาตอนที่เกิดข้อพิพาท และอะไรคือต้นเหตุ  จงระบุอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พรั่งพรูออกมา แล้วจากนั้นก็ใช้พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงและชำแหละอุปนิสัยเหล่านั้น เพื่อให้พวกเขาทั้งคู่กลับมาอยู่เบื้องหน้าพระเจ้าและเกิดความตระหนักรู้ในตนเองตามพระวจนะของพระเจ้า  แล้วอะไรคือเรื่องสำคัญที่เจ้าควรสามัคคีธรรมกับพวกเขา?  เจ้าอาจจะพูดเรื่องบางอย่าง เช่น “ถ้าพวกคุณสองคนรับรู้ว่าตนเองคือผู้ติดตามพระเจ้า เช่นนั้นก็อย่าเถียงกัน เพราะการโต้เถียงไม่สามารถแก้ปัญหาได้  อย่าปฏิบัติต่อผู้คนที่ติดตามและเชื่อในพระเจ้าในลักษณะนั้น และอย่าปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงในลักษณะเดียวกับที่ผู้ไม่เชื่อปฏิบัติต่อผู้คน  การทำเช่นนั้นไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร?  พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนมาก นั่นคือจงให้อภัย ยอมผ่อนปรน อดทน และรักกันไว้  ถ้าคุณเห็นว่าอีกฝ่ายมีปัญหาร้ายแรง และคุณไม่พอใจในสิ่งที่พวกเขาทำลงไป คุณก็ควรสามัคคีธรรมเรื่องนี้ด้วยเหตุผลและให้เกิดประสิทธิผล ด้วยท่าทีที่ให้อภัย ยอมผ่อนปรน และอดทน  ถ้าคนคนนั้นตัดสินใจยอมรับเรื่องนี้จากพระเจ้าได้ก็ย่อมเป็นการดีกว่า  ถ้าพวกเขาไม่สามารถยอมรับสิ่งที่พระเจ้าตรัสได้ เช่นนั้นคุณก็ย่อมจะลุล่วงความรับผิดชอบของคุณแล้วอยู่ดี และไม่จำเป็นต้องโจมตีพวกเขาด้วยความมุทะลุ  เมื่อพี่น้องชายหญิงเถียงกันและพูดถึงข้อบกพร่องของกันและกัน นั่นย่อมเป็นพฤติกรรมที่ไม่คู่ควรกับธรรมิกชน และไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  ไม่ใช่วิธีที่ผู้เชื่อควรประพฤติตัว  และในส่วนของคนที่ถูกกล่าวหา ต่อให้คุณคิดว่าคุณได้กระทำการอย่างสมเหตุสมผลแล้วและไม่ควรถูกอีกฝ่ายตำหนิ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น คุณก็ควรปล่อยมือจากอคติส่วนตัว และเผชิญหน้าปัญหาและข้อกล่าวหาของอีกฝ่ายอย่างสงบและเปิดกว้าง  คุณไม่ควรตอบโต้ด้วยความมุทะลุแต่อย่างใด  ถ้าพวกคุณทั้งคู่โมโหจนอยู่ในสภาวะที่มุทะลุและไม่สามารถควบคุมตนเองได้ คุณก็ควรเริ่มด้วยการพาตัวเองออกจากสถานการณ์นั้น  สงบสติอารมณ์และไม่ไล่ตามเรื่องนั้นอีก จะได้ไม่ติดบ่วงของซาตานและตกอยู่ในการทดลองของซาตาน  คุณสามารถอธิษฐานเป็นการส่วนตัว มาอยู่เบื้องหน้าพระเจ้าเพื่อแสวงหาความช่วยเหลือจากพระองค์ และพยายามใช้พระวจนะของพระเจ้าแก้ไขปัญหาของคุณ  เมื่อคุณทั้งคู่สามารถสงบสติอารมณ์และปฏิบัติต่อกันอย่างสงบและมีเหตุผล ไม่ทำอะไรหรือพูดจาด้วยความมุทะลุ เมื่อนั้นพวกคุณก็จะมาสามัคคีธรรมถึงเรื่องที่พิพาทกันได้ จนกระทั่งพวกคุณเกิดความเห็นพ้องต้องกัน กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระวจนะของพระเจ้า และพบทางออกของปัญหานั้น”  การพูดเช่นนี้ย่อมจะเหมาะสมมิใช่หรือ?  (ใช่)  ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าเมื่อคนสองคนโต้เถียงกัน ทั้งคู่ย่อมพรั่งพรูอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนออกมา และพรั่งพรูความมุทะลุของตนออกมา  นี่เป็นพฤติกรรมเยี่ยงซาตานทั้งสิ้น  ไม่มีใครถูกหรือผิด และไม่มีพฤติกรรมของคนไหนสอดคล้องกับความจริง  ถ้าเจ้าสามารถพิจารณาและจัดการปัญหาตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงได้ พวกเจ้าก็คงจะไม่มีข้อพิพาท  ถ้ามีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถมองดูผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าได้ ข้อพิพาทก็คงจะไม่เกิดขึ้น  เพราะฉะนั้น ถ้าคนสองคนวิจารณ์ข้อบกพร่องของกันและกัน และชกหน้ากัน เช่นนั้นแล้วคนเหล่านี้ก็เป็นคนโฉดที่มุทะลุทั้งคู่  ไม่มีอะไรดี ไม่มีฝ่ายใดถูก และไม่มีฝ่ายใดผิด  หลักของการประเมินถูกผิดคืออะไร?  นี่ขึ้นอยู่กับมุมมองและจุดยืนที่เจ้าเลือกใช้ในเรื่องนี้ อะไรคือเหตุจูงใจของเจ้า เจ้ามีหลักการตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ และสิ่งที่เจ้าทำนั้นสอดคล้องกับความจริงหรือไม่  เห็นได้ชัดว่าเหตุจูงใจเบื้องหลังข้อพิพาทของพวกเจ้าคือการกำราบและทำให้อีกฝ่ายแพ้อย่างหมดรูป  พวกเจ้าเปิดโปงและทำร้ายกันด้วยคำพูดที่ร้ายกาจ  ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าเปิดโปงจะถูกต้องหรือไม่ หรือประเด็นที่พวกเจ้ามีข้อพิพาทกันนั้นจะถูกต้องหรือไม่ ก็ไม่สำคัญ—เพราะพวกเจ้าไม่ได้จัดการเรื่องนี้ตามพระวจนะของพระเจ้าโดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของพวกเจ้า สิ่งที่พวกเจ้าพรั่งพรูออกมาก็คือความมุทะลุของตนเอง วิธีการและหลักการในการกระทำของพวกเจ้าก็ล้วนเป็นไปตามความมุทะลุ ถูกอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานบีบให้ทำเช่นนั้น เพราะฉะนั้น ไม่ว่าฝ่ายใดถูก หรือฝ่ายใดได้เปรียบและฝ่ายใดเสียเปรียบ ข้อเท็จจริงก็คือพวกเจ้าทั้งคู่ผิดและต้องรับผิดชอบ  วิธีที่พวกเจ้าใช้จัดการเรื่องนี้ไม่ได้เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า  พวกเจ้าทั้งคู่ควรสงบสติอารมณ์และพิจารณาปัญหาของตนเองอย่างรอบคอบ  เฉพาะเมื่อพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายมีสันติสุขเบื้องหน้าพระเจ้าได้และจัดการแก้ปัญหาด้วยความสุขุมเยือกเย็นได้เท่านั้น พวกเจ้าจึงจะสามารถนั่งลงสามัคคีธรรมเรื่องนั้นอย่างสงบและสำรวมได้  ตราบใดที่ทัศนะที่คนทั้งคู่มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและกระทำการของพวกเขา เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง ตราบนั้นไม่ว่าแนวคิดและมุมมองที่พวกเขามีในเรื่องหนึ่งๆ จะแตกต่างกันเพียงใด แท้จริงแล้วย่อมไม่มีความแตกต่างที่แท้จริงให้พูดถึง และย่อมไม่มีปัญหา  ตราบใดที่พวกเขาจัดการความแตกต่างของพวกตนโดยมีพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเป็นหลักธรรมของตน ตราบนั้นแน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะเข้ากันได้และแก้ไขความแตกต่างระหว่างกันได้ในท้ายที่สุด  นี่ใช่วิธีที่พวกเจ้าใช้จัดการปัญหาหรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเจ้าไม่รู้วิธีใช้ความจริงแก้ปัญหาโดยแท้ รู้แต่วิธีหันไปบังคับใช้กฎในการปกครอง  แล้วข้อสรุปสำคัญที่จะใช้จัดการเรื่องทั้งหมดนี้มีว่าอย่างไร?  นี่ไม่ใช่การให้ผู้คนมองข้ามความแตกต่างระหว่างกัน แต่ให้แก้ไขความแตกต่างเหล่านั้นในทางที่ถูกต้องและสัมฤทธิ์ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  หลักการสำหรับแก้ไขความแตกต่างคืออะไร?  (พระวจนะของพระเจ้า)  ถูกต้อง นั่นคือ จงมองหาหลักการในพระวจนะของพระเจ้า  นี่ไม่ใช่การวิเคราะห์ว่าใครถูกใครผิด ใครเหนือกว่าและใครด้อยกว่า หรือใครชอบด้วยเหตุผลและใครไม่ชอบด้วยเหตุผล  แต่เป็นเรื่องของการแก้ปัญหาด้านแนวคิดและมุมมองของผู้คน ซึ่งหมายถึงการแก้ไขแนวคิดและมุมมองที่ผิดของผู้คน รวมทั้งวิธีผิดๆ ในการจัดการเรื่องหนึ่งๆ  ด้วยการค้นหาหลักการในพระวจนะของพระเจ้าและทำความเข้าใจหลักธรรมความจริงเท่านั้น ปัญหาต่างๆ จึงจะสามารถได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง และผู้คนก็จะใช้ชีวิตกันอย่างสมัครสมานโดยแท้ บรรลุความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้  มิฉะนั้นแล้ว หากเจ้าใช้ถ้อยแถลงของวัฒนธรรมดั้งเดิมและวิธีการอย่างเช่น “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” มาจัดการสิ่งต่างๆ ปัญหาย่อมจะไม่มีวันได้รับการแก้ไข หรืออย่างน้อยความแตกต่างทางแนวคิดและมุมมองของผู้คนก็จะไม่ได้รับการแก้ไข  เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะค้นหาหลักการในพระวจนะของพระเจ้า  พระวจนะของพระเจ้าคือความจริงทั้งสิ้น และไม่มีสิ่งใดที่ขัดแย้งกันในพระวจนะ  พระวจนะคือหลักเกณฑ์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในการประเมินผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลาย  หากทุกคนค้นพบหลักการในพระวจนะของพระเจ้า และทัศนคติที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ กลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ในพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ย่อมง่ายที่ผู้คนจะเห็นพ้องต้องกันมิใช่หรือ?  หากทุกคนยอมรับความจริงได้ ความแตกต่างระหว่างผู้คนจะยังคงมีอยู่หรือไม่?  จะยังคงมีข้อพิพาทอยู่หรือไม่?  ยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้แนวคิด มุมมอง และถ้อยแถลง เช่น “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” มาเป็นข้อห้ามในหมู่ผู้คนอยู่หรือไม่?  ย่อมจะไม่มีความจำเป็น เพราะพระวจนะของพระเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้  ไม่ว่าผู้คนจะไม่ลงรอยกันเรื่องอะไร หรือมีมุมมองที่แตกต่างกันมากเพียงใด ทั้งหมดนี้ควรถูกนำมาเบื้องหน้าพระเจ้า วินิจฉัยและชำแหละตามพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อนั้นก็ย่อมเป็นไปได้ที่จะตัดสินว่าเรื่องเหล่านี้ตรงตามความจริงหรือไม่  เมื่อผู้คนเข้าใจความจริงแล้ว พวกเขาก็จะสามารถมองเห็นว่าแนวคิดและมุมมองส่วนใหญ่ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามมาจากวัฒนธรรมดั้งเดิม จากผู้ทรงคุณวุฒิและบุคคลสำคัญที่ผู้คนเคารพบูชา—แต่ต้นตอของสิ่งเหล่านี้มาจากปรัชญาของซาตาน  เพราะฉะนั้น แนวคิดและมุมมองที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้จึงแก้ไขได้ง่ายโดยแท้  เหตุใดเราจึงพูดว่าสิ่งเหล่านี้แก้ไขง่าย?  เพราะหากเจ้าใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นเครื่องชี้วัดแนวคิดและมุมมองของมนุษย์ เจ้าย่อมจะพบว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนบิดเบี้ยว ฟังไม่ขึ้น และยึดถือไม่ได้  ถ้าผู้คนยอมรับความจริงได้ ก็จะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้ง่าย และเพราะเหตุนั้นก็จะสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้  หลังจากแก้ปัญหาแล้ว ย่อมทำอะไรได้?  ทุกคนย่อมสามารถปล่อยมือจากความคิดเห็น แนวคิด และมุมมองส่วนตัวที่มีอยู่ได้  ไม่ว่าเจ้าจะคิดว่าสิ่งเหล่านั้นประเสริฐและถูกต้องเพียงใด ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะแพร่หลายในหมู่ผู้คนมานานเพียงใด ตราบใดที่สิ่งเหล่านั้นไม่สอดคล้องกับความจริง เจ้าก็ควรปฏิเสธและทิ้งไปเสีย  ในที่สุด เมื่อทุกคนรับเอาพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นหลักการของตนและปฏิเสธทุกสิ่งที่มาจากผู้คน แนวคิดและมุมมองของพวกเขาย่อมจะกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อแนวคิดและมุมมองที่คอยกำหนดทัศนะที่คนทั้งหลายมีต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ รวมทั้งการวางตนและกระทำการของพวกเขา ประสานเป็นหนึ่งเดียวกันหมด เมื่อนั้นระหว่างผู้คนจะมีความแตกต่างอันใดอีก?  อย่างมากที่สุดก็จะมีความแตกต่างอยู่บ้างในเรื่องอาหารการกินและนิสัยการใช้ชีวิต  แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน เส้นทางที่พวกเขาเดิน และแก่นแท้ของมวลมนุษย์โดยแท้ ถ้าทุกคนใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการและใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน พวกเขาย่อมจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นชาวตะวันออกหรือชาวตะวันตก สูงวัยหรือเยาว์วัย ชายหรือหญิง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นปัญญาชน คนทำงาน หรือชาวนา ก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่เจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ตามความจริงในพระวจนะของพระเจ้า การต่อสู้และความขัดแย้งระหว่างผู้คนจะยังคงมีอยู่อีกหรือไม่?  ย่อมจะไม่มี  ดังนั้นจะยังสามารถใช้ข้อกำหนดที่เหมือนเด็กไม่รู้จักโต เช่น “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” มาเป็นหนทางแก้ไขข้อพิพาทของผู้คนได้อีกหรือไม่?  ข้อกำหนดเหล่านี้จะยังสามารถเป็นคติที่ผู้คนยึดปฏิบัติตามเวลามีปฏิสัมพันธ์กันหรือไม่?  กฎเกณฑ์ที่ตื้นเขินเช่นนี้ไม่มีคุณค่าต่อมวลมนุษย์ และไม่สามารถส่งผลต่อทัศนะที่คนเรามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและกระทำการของคนเราในชีวิตประจำวันได้  ลองคิดดูเถิดว่าย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  และเพราะสิ่งเหล่านี้ห่างไกลความจริงเกินไป และไม่มีผลต่อทัศนะที่คนเรามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย หรือการวางตนและกระทำการของคนเราแต่อย่างใด จึงควรที่จะเลิกใช้อย่างถาวร

เมื่อพิจารณาสิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปข้างต้นแล้ว สามารถพูดได้อย่างแน่นอนหรือไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าและความจริงคือหลักเกณฑ์ที่ใช้ประเมินผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งปวง และวัฒนธรรมดั้งเดิม รวมทั้งคัมภีร์ศีลธรรมของมนุษยชาติก็ยึดถือไม่ได้ และไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึงต่อหน้าพระวจนะของพระเจ้าและความจริง?  (พูดได้)  สำหรับข้อกำหนดทางศีลธรรมอัน “ประเสริฐ” ที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” ซึ่งมวลมนุษย์ให้ความเคารพ ผู้คนควรพิจารณาด้วยมุมมองและทัศนคติแบบใด?  ควรเคารพบูชาและเชื่อฟังคำกล่าวเช่นนี้ต่อไปหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้วต้องตัดขาดจากคำกล่าวเช่นนี้อย่างไร?  จงเริ่มด้วยการไม่ทำตัวมุทะลุหรือหุนหันพลันแล่นเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับเจ้า  จงปฏิบัติต่อทุกคนและทุกสิ่งอย่างถูกต้อง สงบสติอารมณ์ มาอยู่เบื้องหน้าพระเจ้า แสวงหาหลักธรรมความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และค้นหาเส้นทางปฏิบัติ เพื่อให้เจ้าสามารถปฏิบัติต่อผู้คนและเหตุการณ์ต่างๆ ได้ตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ แทนที่จะถูกคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” ตีตรวนหรือควบคุมเอาไว้  การใช้ชีวิตแบบนี้ย่อมจะง่ายกว่าและชื่นบานกว่ามิใช่หรือ?  ถ้าผู้คนไม่ยอมรับความจริง พวกเขาก็ไม่มีทางเป็นอิสระจากการควบคุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในกลุ่มที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วย  อาจมีคนที่เจ้าไม่ได้รังแก แต่พวกเขากลับอยากรังแกเจ้า  เจ้าอยากเข้ากับใครบางคนได้ดี แต่พวกเขากลับสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าอยู่เสมอ  เจ้าเฝ้าระวังผู้คนบางคนและหลีกเลี่ยงพวกเขา แต่พวกเขาก็ไล่ล่าและตามรังควานเจ้าต่อไปอยู่ดี  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความจริงและไม่มีหลักการตามพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าทำได้ย่อมจะมีแต่การดิ้นรนต่อสู้กับพวกเขาต่อไปจนกว่าจะถึงที่สุด  ถ้าเกิดเจ้าพบเจอคนพาลที่น่าเกรงขาม เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าตนเองไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำกล่าวที่ว่า “สัตบุรุษแก้แค้น ไม่มีคำว่าสายเกินไป”  เจ้าจะรอโอกาสที่เหมาะสมในการแก้แค้นเขา ใช้วิธีการที่ชาญฉลาดโค่นล้มเขา  ไม่เพียงเจ้าจะสามารถระบายความคับข้องใจของเจ้าได้เท่านั้น แต่เจ้ายังจะทำให้ทุกคนปรบมือให้แก่สำนึกแห่งความยุติธรรมของเจ้า และทำให้พวกเขาคิดว่าเจ้าเป็นสัตบุรุษและเขาคนนั้นเป็นวายร้ายอีกด้วย  เจ้าคิดอย่างไรกับวิธีการนี้?  นี่ใช่การวางตัวที่ถูกต้องในโลกนี้หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้ว  ดังนั้นใครคือคนดี สัตบุรุษหรือว่าวายร้าย?  (ไม่ดีทั้งคู่)  สัตบุรุษที่ผู้ไม่เชื่อเทิดทูนนั้นตกคำอธิบายไปหนึ่งคำ นั่นคือ “เทียมเท็จ”  พวกเขาเป็น “สัตบุรุษเทียมเท็จ”  ดังนั้น ไม่ว่าพวกเจ้าจะทำสิ่งใด จงอย่าเป็นสัตบุรุษ เพราะสัตบุรุษทุกคนล้วนเสแสร้ง  แล้วคนเราต้องประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง?  เป็นการดีหรือไม่ที่จะทำตัวเป็น “สัตบุรุษที่แท้จริง” ซึ่ง “เวลาชกผู้อื่น ก็ไม่ได้ชกหน้า และเวลาวิจารณ์ผู้อื่น ก็ไม่ได้วิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา”?  (ไม่ดี)  สัตบุรุษและผู้คนที่มีชื่อเสียงล้วนจอมปลอมและหลอกลวงกันทุกคน เป็นสัตบุรุษเทียมเท็จ  พวกเขาสามารถลงนรกได้ทุกคน!  เช่นนั้นแล้วคนเราควรวางตัวอย่างไร?  เป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  ด้วยการวางตัวเช่นนี้เท่านั้น คนเราจึงจะเป็นคนที่แท้จริงได้  นี่ใช่วิธีที่ถูกต้องหรือไม่?  (ใช่)  เจ้าควรทำอย่างไรหากมีใครบางคนคอยวิจารณ์ข้อบกพร่องของเจ้าอยู่เรื่อย?  เจ้าอาจพูดว่า “ถ้าคุณวิจารณ์ฉัน ฉันก็จะวิจารณ์คุณด้วย!”  การเพ่งเล็งกันแบบนี้ดีหรือไม่?  นี่ใช่วิธีที่ผู้คนควรวางตัว กระทำการ และปฏิบัติต่อผู้อื่นหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ตามคำสอนแล้ว ผู้คนอาจรู้ว่าพวกเขาไม่ควรทำแบบนี้ แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงไม่สามารถเอาชนะการทดลองและกับดักเช่นนี้ได้  อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าไม่เคยได้ยินใครวิจารณ์ข้อบกพร่องของเจ้า หรือเพ่งเล็งเจ้า หรือตัดสินเจ้าลับหลัง—แต่เมื่อเจ้าได้ยินใครบางคนพูดอะไรทำนองนี้ เจ้าย่อมจะทนไม่ได้  หัวใจของเจ้าจะเต้นเร็วขึ้น และความหัวร้อนของเจ้าก็จะพรั่งพรูออกมา เจ้าจะพูดว่า “คุณกล้าดีอย่างไรมาวิจารณ์ฉัน?  ถ้าคุณใจร้ายกับฉัน ฉันก็จะเล่นงานคุณ!  ถ้าคุณวิจารณ์ข้อบกพร่องของฉัน ก็อย่าคิดว่าฉันจะไม่วิจารณ์เรื่องที่แทงใจดำของคุณ!”  คนอื่นก็พูดว่า “มีคำกล่าวอยู่ว่า ‘เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา’ ดังนั้นฉันจะไม่วิจารณ์ข้อบกพร่องของคุณ แต่ฉันจะหาวิธีอื่นจัดการคุณและทำให้คุณยโสน้อยลงบ้าง  มาดูกันว่าใครแกร่ง!”  วิธีการเหล่านี้ดีหรือไม่?  (ไม่ดี)  แทบทุกคนเลยถ้าพวกเขาพบว่ามีใครบางคนวิจารณ์ตน ตัดสิน หรือพูดถึงตนลับหลังในทางไม่ดี ปฏิกิริยาแรกที่พวกเขามีย่อมจะเป็นความโกรธ  พวกเขาจะเต็มไปด้วยความเดือดดาล กินไม่ได้นอนไม่หลับ—และหากพวกเขาหลับลง พวกเขาก็จะถึงกับสบถออกมาในฝัน!  ความมุทะลุของพวกเขาไม่มีขอบเขต!  นี่เป็นเรื่องเล็กมาก แต่พวกเขาก็ปล่อยผ่านไม่ได้  นี่คือผลกระทบที่ความมุทะลุมีต่อผู้คน เป็นผลชั่วที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามกลายเป็นชีวิตของใครบางคน โดยมากแล้วย่อมแสดงตัวให้เห็นอย่างไร?  ย่อมแสดงให้เห็นตอนที่คนคนนั้นเผชิญสิ่งที่ตนเห็นแล้วไม่พอใจ สิ่งนั้นส่งผลต่อความรู้สึกของเขาก่อน จากนั้นความมุทะลุของคนคนนั้นก็จะระเบิดออกมา  และเมื่อเป็นเช่นนั้น คนคนนั้นย่อมจะดำเนินชีวิตด้วยความมุทะลุ และมองเรื่องนี้ตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  ทัศนะทางปรัชญาของซาตานจะเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาก็จะเริ่มคิดหาหนทางและวิธีการที่ตนจะใช้แก้แค้น ดังนั้นจึงตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมา  แนวคิดและมุมมองที่ผู้คนมีต่อการจัดการปัญหาเช่นนี้ หนทางและวิธีการที่พวกเขาคิดขึ้นมา และแม้กระทั่งความรู้สึกและความมุทะลุของพวกเขาล้วนเกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  แล้วในกรณีนี้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง?  แน่นอนว่าอย่างแรกคือการปองร้าย ตามด้วยความโอหัง การหลอกลวง ความเลว การดื้อแพ่ง การรังเกียจความจริง และการเกลียดชังความจริง  ในบรรดาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ ความโอหังอาจมีอิทธิพลน้อยที่สุด  เมื่อเป็นเช่นนั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่สามารถครอบงำความรู้สึกและความคิดอ่านของคนคนหนึ่งมากที่สุด และสามารถกำหนดว่าพวกเขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรในท้ายที่สุด ย่อมมีอะไรบ้าง?  มีการปองร้าย การดื้อแพ่ง การรังเกียจความจริง และการเกลียดชังความจริง  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้พันธนาการคนไว้อย่างแน่นหนา และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในตาข่ายของซาตานกัน  ตาข่ายของซาตานเกิดขึ้นได้อย่างไร?  เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมิใช่หรือ?  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าถักทอตาข่ายสารพัดชนิดของซาตานไว้ให้เจ้า  ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าได้ยินว่ามีคนกำลังทำบางสิ่ง เช่น ตัดสินเจ้า สาปแช่งเจ้า หรือวิจารณ์ข้อบกพร่องของเจ้าลับหลัง เจ้าก็ปล่อยให้ปรัชญาของซาตานและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานกลายเป็นชีวิตของเจ้า มีอำนาจครอบงำความคิด ทัศนะ และความรู้สึกของเจ้า ส่งผลให้เกิดการกระทำหลายอย่างที่ต่อเนื่องกัน  การกระทำอันเสื่อมทรามเหล่านี้โดยมากแล้วเป็นผลมาจากการที่เจ้ามีธรรมชาติและอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมของเจ้าจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่เจ้าถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานพันธนาการ ควบคุม และครอบงำเอาไว้ ทุกสิ่งที่เจ้าใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ทุกสิ่งที่เจ้าเผยออกมา และทุกสิ่งที่เจ้าแสดงให้เห็น—หรือความรู้สึกของเจ้า ความคิดและทัศนะ หนทางและวิธีการที่เจ้าใช้ทำสิ่งต่างๆ—ย่อมเป็นของซาตานทั้งสิ้น  สิ่งเหล่านี้ย่อมละเมิดความจริงและเป็นปรปักษ์กับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงทั้งสิ้น  ยิ่งเจ้าออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้าและความจริง เจ้าก็ยิ่งถูกตาข่ายของซาตานควบคุมและดักจับเอาไว้  แต่ถ้าเจ้าสามารถหลุดพ้นจากโซ่ตรวนและการควบคุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า และกบฏต่ออุปนิสัยเหล่านี้ มาอยู่เบื้องหน้าพระเจ้า และลงมือแก้ปัญหาด้วยวิธีการและหลักธรรมที่พระวจนะของพระเจ้าบอกเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะค่อยๆ เป็นอิสระจากตาข่ายของซาตาน  หลังจากที่หลุดพ้นแล้ว เมื่อนั้นสิ่งที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตจะไม่ใช่สภาพเดิมของคนที่เป็นเยี่ยงซาตานซึ่งถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนควบคุมเอาไว้อีกต่อไป แต่เป็นสภาพของคนใหม่ที่รับเอาพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นชีวิตของตน  วิถีชีวิตของเจ้าย่อมเปลี่ยนแปลงไปหมด  แต่หากเจ้ายอมจำนนให้แก่ความรู้สึก ความคิด ทัศนะ และแนวการปฏิบัติที่เกิดจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะยึดถือปรัชญาและกลวิธีต่างๆ ของซาตานที่มีอยู่มากมาย เช่น “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” “สัตบุรุษแก้แค้น ไม่มีคำว่าสายเกินไป” “เป็นคนเลวแท้ดีกว่าเป็นสัตบุรุษเทียมเท็จ” “คนที่ไม่หาทางแก้แค้นไม่ใช่ลูกผู้ชาย”  สิ่งเหล่านี้จะดำรงอยู่ในหัวใจของเจ้า บงการการกระทำของเจ้า  หากเจ้าใช้ปรัชญาเหล่านี้ของซาตานเป็นหลักการสำหรับการกระทำของเจ้า ลักษณะการกระทำของเจ้าก็จะเปลี่ยนไป และเจ้าย่อมจะทำชั่วและต้านทานพระเจ้า  ถ้าเจ้าใช้ความคิดและมุมมองที่เป็นลบเหล่านี้เป็นหลักการสำหรับการกระทำของเจ้า ก็ย่อมชัดเจนว่าเจ้านั้นออกห่างจากหลักคำสอนและพระวจนะของพระเจ้าไปไกลแล้ว ติดอยู่ในตาข่ายของซาตาน และไม่สามารถถอนตัวออกมาได้  พวกเจ้าใช้ชีวิตอยู่กับอุปนิสัยเยี่ยงซาตานทุกวี่วัน—ดำเนินชีวิตอยู่ในตาข่ายของซาตาน  ต้นเหตุที่ผู้คนทุกข์ทรมานก็คือพวกเขาถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนควบคุมจนถึงขั้นที่ไม่สามารถถอนตัวออกมาได้  พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ในบาป และไม่ว่าจะทำสิ่งใด พวกเขาก็ทุกข์ทน  เจ้ารู้สึกทรมานแม้ในยามที่เจ้าชนะคู่ต่อสู้ของตนแล้ว เพราะเจ้าไม่รู้ว่าศัตรูคนต่อไปที่เจ้าจะพบพานคือใคร และเจ้าจะสามารถเอาชนะพวกเขาด้วยวิธีเดียวกันได้หรือไม่  เจ้ากลัวและทรมาน  แล้วคนที่พ่ายแพ้เป็นเช่นไร?  แน่นอนว่าพวกเขาก็ทรมานเช่นเดียวกัน  เมื่อถูกรังแกมาโดยตลอด พวกเขาจึงรู้สึกว่าตนเองไม่มีศักดิ์ศรีหรือความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต  การถูกรังแกนั้นยากที่จะรับได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรอคอยจังหวะที่เหมาะจะเล่นงานและหาโอกาสแก้แค้นอยู่เสมอ—ตาต่อตา ฟันต่อฟัน—เพื่อลงโทษคู่ต่อสู้  วิธีคิดแบบนี้ก็เป็นความทรมานเช่นกัน  สรุปแล้ว ทั้งคนที่แก้แค้นและคนที่ถูกเขาเอาคืนต่างก็ดำรงชีวิตอยู่ในตาข่ายของซาตาน ทำชั่วอยู่เสมอ มองหาหนทางที่จะออกจากสถานการณ์อันล่อแหลมของตนอยู่เสมอ และปรารถนาที่จะค้นพบสันติ ความสุข และความปลอดภัย  ในด้านหนึ่ง ผู้คนถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามควบคุมเอาไว้ และใช้ชีวิตอยู่ในตาข่ายของซาตาน เลือกใช้วิธีการ ความนึกคิด และมุมมองต่างๆ ที่ซาตานมอบให้ มาแก้ไขประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นรอบตัว  ส่วนอีกด้านหนึ่ง ผู้คนยังคงหวังที่จะได้รับสันติและความสุขจากพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม เพราะพวกเขาถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานพันธนาการเอาไว้ และติดอยู่ในตาข่ายของมันตลอดเวลา ไม่อาจมีสติรู้ตัว กบฏ และออกมาจากตาข่ายได้ และเพราะพวกเขาออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงไปเรื่อยๆ ผู้คนจึงไม่เคยสามารถมีความชูใจ ความเบิกบาน สันติ และความสุขที่มาจากพระเจ้า  ในที่สุดผู้คนย่อมมีชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นใด?  พวกเขาไม่สามารถลุกขึ้นมาทำกิจของการไล่ตามเสาะหาความจริงได้ แม้พวกเขาจะอยากทำเช่นนั้นก็ตาม และพวกเขาก็ไม่สามารถใช้ชีวิตตามข้อกำหนดของพระเจ้าได้ แม้พวกเขาจะอยากปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกควรก็ตาม  พวกเขาติดอยู่ตรงที่ที่ตนอยู่นั่นเอง  นี่เป็นความทรมานที่เจ็บปวดมาก  ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานแม้จะไม่นึกอยากทำเช่นนั้น  พวกเขาเหมือนผีร้ายมากกว่าเหมือนคน มักจะอาศัยอยู่ในมุมมืด มองหาวิธีการอันชั่วร้ายและน่าละอายมาใช้แก้ไขความยากลำบากมากมายที่พวกเขาพบเจอ  ข้อเท็จจริงก็คือลึกลงไปในดวงจิตของพวกเขา ผู้คนเต็มใจที่จะเป็นคนดีและใฝ่หาความสว่าง  พวกเขาหวังที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี  พวกเขายังหวังอีกด้วยว่าจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและพึ่งพาพระวจนะของพระเจ้าในการดำเนินชีวิต และทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตและความเป็นจริงของตน แต่พวกเขาก็ไม่เคยสามารถปฏิบัติความจริงได้ และแม้พวกเขาจะเข้าใจคำสอนมากมาย แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของตนได้  ผู้คนตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนี้ ไม่สามารถเดินหน้าและไม่เต็มใจที่จะถอยกลับ  พวกเขาติดอยู่ตรงที่ที่พวกเขาอยู่  และความรู้สึกของการ “ติด” ก็เป็นความรู้สึกที่ทุกข์ทน—เป็นความทุกข์อันใหญ่หลวง  ผู้คนมีเจตจำนงที่จะใฝ่หาความสว่าง และไม่เต็มใจที่จะผละจากพระวจนะของพระเจ้าและเส้นทางที่ถูกต้อง  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ยอมรับความจริง ไม่สามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และยังคงไม่สามารถทิ้งพันธนาการและการควบคุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตนได้  ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็สามารถมีชีวิตอยู่แต่ในความทุกข์ทรมานเท่านั้น ไร้ซึ่งความสุขที่แท้จริง  นี่คือสภาพที่เป็นอยู่มิใช่หรือ?  (ใช่)  ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ถ้าผู้คนอยากปฏิบัติความจริงและได้รับความจริง พวกเขาก็ต้องมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าทีละเล็กทีละน้อย เริ่มจากเรื่องเล็กๆ เพื่อกำจัดอิทธิพลที่คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้มีต่อแนวคิด มุมมอง และการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขา  นี่คือกุญแจสำคัญ ปัญหาเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไข

หากผู้คนต้องการเปลี่ยนอุปนิสัยของตนและได้รับความรอด ไม่เพียงพวกเขาต้องมีความมุ่งมั่นเท่านั้น แต่ต้องมีวิธีคิดที่ไม่รู้จักย่อท้ออีกด้วย  พวกเขาต้องดึงเอาประสบการณ์ออกมาจากความล้มเหลวของตน และดึงเส้นทางปฏิบัติออกมาจากประสบการณ์ของตน  เมื่อเจ้าล้มเหลว จงอย่าคิดลบและหมดกำลังใจ และจงอย่ายอมแพ้เป็นอันขาด  แต่เมื่อเจ้าพอจะได้อะไรไปบ้าง ก็ไม่ควรชะล่าใจ  และในการทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะล้มเหลวหรืออ่อนแอลง นี่ก็ไม่ได้บ่งชี้ว่าเจ้าจะไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดในอนาคต  เจ้าต้องเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ลุกยืนขึ้นมาใหม่ ยึดปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และสู้รบกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเจ้าต่อไป  คนเราต้องเริ่มต้นด้วยการมองเห็นอย่างชัดเจนถึงอันตรายและอุปสรรคที่ข้อกำหนดและคำกล่าวต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่มาจากซาตานนั้นก่อให้เกิดแก่การไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คน  คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้คือสิ่งที่พันธนาการและตีกรอบความรู้สึกนึกคิดของผู้คนอยู่ตลอดเวลา พลางส่งเสริมอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนไปด้วย  แน่นอนว่าคำกล่าวเหล่านี้ยังทำให้ผู้คนยอมรับความจริงและพระวจนะของพระเจ้าน้อยลงในระดับต่างๆ กันอีกด้วย ทำให้ผู้คนสงสัยและต้านทานความจริง  มีคำกล่าวแบบนี้อยู่ข้อหนึ่งคือ “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา”  ปรัชญาในการติดต่อเจรจาทางโลกข้อนี้หยั่งรากลงไปในดวงจิตอันอ่อนเยาว์ของผู้คน และโดยที่ไม่ทันรู้ตัว ผู้คนก็ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะแบบนี้ในเรื่องของการมองผู้อื่นและลักษณะการรับมือสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา  แนวคิดและทัศนะเหล่านี้ฟอกขาวและปกปิดอุปนิสัยที่เลว หลอกลวง และปองร้ายในบรรดาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนโดยที่พวกเขาเองไม่ทันสังเกตเห็น  ไม่เพียงไม่อาจแก้ปัญหาเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเท่านั้น แต่แนวคิดและทัศนะเหล่านี้ยังทำให้ผู้คนเจ้าเล่ห์และหลอกลวงมากขึ้นด้วย ซึ่งทำให้อุปนิสัยของผู้คนยิ่งเสื่อมทรามมากขึ้น  สรุปแล้ว คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมและปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกในวัฒนธรรมดั้งเดิมไม่เพียงมีอิทธิพลต่อความคิดและทัศนะของผู้คนเท่านั้น แต่ยังมีผลต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนอยู่ลึกๆ อีกด้วย  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจอิทธิพลที่แนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อผู้คน เช่นในคำกล่าวที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา”  ต้องไม่เพิกเฉยในเรื่องนี้

เมื่อครู่นี้ โดยมากแล้วพวกเราสามัคคีธรรมกันถึงเรื่องที่ว่าเมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างผู้คน แนวทางที่จะใช้ดำเนินการกับข้อพิพาทเหล่านี้ควรเป็นไปตามคำกล่าวและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม หรือตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง แล้วเป็นทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สามารถแก้ปัญหาได้ หรือเป็นพระวจนะของพระเจ้าและความจริงที่สามารถแก้ปัญหาของมนุษย์ได้  เมื่อผู้คนมองเห็นสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาย่อมจะเลือกได้อย่างถูกต้อง และการสลายข้อพิพาทกับผู้อื่นตามความจริงในพระวจนะของพระเจ้าก็ย่อมจะง่ายกว่า  เมื่อปัญหาเช่นนี้ได้รับการแก้ไข โดยทั่วไปแล้วปัญหาเรื่องที่ความคิดอ่านของผู้คนถูกคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” ครอบงำและตีตรวนเอาไว้ก็ย่อมจะได้รับการแก้ไขเช่นกัน  อย่างน้อยแนวคิดและทัศนะจำพวกนี้ก็จะไม่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้คน พวกเขาย่อมจะสามารถเป็นอิสระจากตาข่ายที่ชักพาให้หลงผิดของซาตาน ได้รับความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า ค้นพบหลักธรรมความจริงของการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน และทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของตน  เพียงชำแหละและวินิจฉัยทัศนะที่ผิดพลาดของวัฒนธรรมดั้งเดิม โซ่ตรวนและพันธนาการของปรัชญาของซาตาน ไปตามพระวจนะของพระเจ้า ก็จะสามารถทำให้คนเราเข้าใจความจริงและเกิดวิจารณญาณได้  นี่ย่อมจะช่วยให้คนเราสามารถปลดเปลื้องอิทธิพลของซาตานทิ้งไปและได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการของบาป  ด้วยวิธีนี้ พระวจนะของพระเจ้าและความจริงย่อมกลายเป็นชีวิตของเจ้า แทนที่ชีวิตเดิมที่มีปรัชญาและอุปนิสัยของซาตานเป็นแก่นแท้  จากนั้นเจ้าย่อมจะกลายเป็นคนละคนไปแล้ว  แม้ว่าตัวบุคคลจะยังคงเป็นเจ้า แต่ที่อุบัติขึ้นมากลับเป็นคนใหม่ เป็นคนที่รับเอาพระวจนะของพระเจ้าและความจริงมาเป็นชีวิตของตน  พวกเจ้าเต็มใจที่จะเป็นคนแบบนี้กันหรือไม่?  (เต็มใจ)  การเป็นคนแบบนี้ย่อมดีกว่า—อย่างน้อยเจ้าก็จะเป็นสุข  เมื่อเจ้าเริ่มปฏิบัติความจริงเป็นครั้งแรก จะมีความยากลำบาก อุปสรรค และความเจ็บปวด แต่ถ้าเจ้าสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความยากลำบากของเจ้าจนกระทั่งเจ้ามีรากฐานในพระวจนะของพระเจ้าแล้ว เช่นนั้นความเจ็บปวดก็จะสิ้นสุด และขณะที่ชีวิตของเจ้าดำเนินไป เจ้าย่อมจะเป็นสุขมากขึ้นและสบายใจขึ้น  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  เพราะอิทธิพลและการควบคุมของสิ่งที่เป็นลบภายในตัวเจ้าจะค่อยๆ เบาบางลง และเมื่อเป็นดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าและความจริงก็จะเข้าสู่ตัวเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และรอยประทับแห่งพระวจนะและความจริงของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าก็จะลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ  การตระหนักรู้ของเจ้าในการแสวงหาความจริงจะเข้มข้นและเฉียบคมขึ้น และเมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับเจ้า เส้นทางภายใน ทิศทาง และจุดหมายในการปฏิบัติของเจ้าย่อมจะชัดเจนขึ้นทุกที และเมื่อเจ้าสู้รบอยู่ภายใน สิ่งที่เป็นบวกจะยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อเป็นเช่นนั้น ความสุขในชีวิตของเจ้าก็ย่อมจะเพิ่มพูนขึ้นมิใช่หรือ?  สันติสุขและความเบิกบานที่เจ้าได้รับจากพระเจ้าก็ย่อมจะมีมากขึ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  สิ่งต่างๆ ในชีวิตของเจ้าที่ทำให้เจ้าเป็นทุกข์ ปวดร้าว หดหู่ และขุ่นเคือง นอกเหนือจากความรู้สึกเชิงลบอื่นๆ ย่อมจะมีจำนวนน้อยลง  พระวจนะของพระเจ้าจะกลายเป็นชีวิตของเจ้าแทนที่สิ่งเหล่านี้ นำความหวัง ความสุข ความเบิกบาน อิสรภาพ เสรีภาพ และเกียรติมาให้เจ้า  เมื่อมีสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้เพิ่มขึ้น ผู้คนก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง  ถึงเวลานั้น จงตรวจดูว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรและเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ กับเมื่อก่อนหน้านี้ว่า สิ่งเหล่านี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากวิถีชีวิตก่อนหน้าของเจ้าเลยหรือมิใช่?  เฉพาะเมื่อเจ้าปลดเปลื้องตาข่ายของซาตานและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมัน ความคิดและมุมมองของมัน รวมทั้งวิธีการ มุมมอง และหลักปรัชญาต่างๆ ของมันที่เจ้าใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการ—เฉพาะเมื่อเจ้าปลดเปลื้องสิ่งเหล่านี้ทิ้งหมดแล้ว และสามารถปฏิบัติความจริง มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ปฏิบัติต่อผู้อื่น มีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาตามพระวจนะของพระเจ้า และมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ว่าการปฏิบัติต่อผู้คนตามหลักธรรมความจริงและมีชีวิตที่สบายใจและเบิกบานนั้นแท้จริงแล้วดีเพียงใด—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความสุขที่แท้จริงแล้ว

วันนี้ พวกเราได้สามัคคีธรรมและชำแหละคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา”  พวกเจ้าเข้าใจปัญหาในตัวสำนวนนี้หรือไม่?  (เข้าใจ)  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าเข้าใจด้วยหรือไม่ว่าข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนมีอะไรบ้าง?  (เข้าใจ)  เมื่อเข้าใจดังนั้น ท้ายที่สุดแล้วพวกเจ้าจะทำให้กลายเป็นจริงในตัวพวกเจ้าได้อย่างไร?  ด้วยการไม่ทำตัวหุนหันพลันแล่นเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า หรือมองหาหลักการในวัฒนธรรมดั้งเดิม ในกระแสนิยมทางสังคม หรือในความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ หรือแน่นอนว่าในบทบัญญัติทางกฎหมาย  แต่จงมองหาหลักการในพระวจนะของพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจความจริงได้ลุ่มลึกหรือตื้นเขินเพียงใดก็ไม่สำคัญ ถ้าความเข้าใจนั้นสามารถแก้ปัญหาได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว  เจ้าต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าตัวเจ้าอาศัยอยู่ในโลกที่ชั่วและอันตราย  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็จะทำได้เพียงเดินตามกระแสนิยมของสังคมและถูกพัดพาเข้าสู่วังวนของความชั่วเท่านั้น  ดังนั้นเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม เจ้าควรทำเช่นใดก่อน?  ก่อนอื่นเจ้าต้องสงบสติอารมณ์ สงบเงียบอยู่เบื้องหน้าพระเจ้า และอ่านพระวจนะของพระองค์บ่อยๆ  นี่จะทำให้เจ้าสามารถมองเห็นและคิดอ่านได้อย่างชัดแจ้ง และเจ้าจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าซาตานกำลังชักพาเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้หลงผิดและทำให้เสื่อมทราม และพระเจ้าได้เสด็จมาช่วยกู้เผ่าพันธุ์มนุษย์นี้จากอิทธิพลของซาตานแล้ว  แน่นอนว่านี่คือบทเรียนพื้นฐานที่สุดที่เจ้าควรเรียนรู้  เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงจากพระองค์ และขอให้พระองค์ทรงนำเจ้า—นั่นคือ นำเจ้าให้อ่านพระวจนะที่เกี่ยวข้องของพระองค์ นำเจ้าให้ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เจ้าเข้าใจแก่นแท้ของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าเจ้า และเข้าใจว่าเจ้าควรมองและจัดการสิ่งนี้อย่างไร  จากนั้น จงใช้วิธีการที่พระเจ้าทรงสอนและตรัสบอกให้เจ้าใช้เผชิญหน้าและจัดการเรื่องดังกล่าว  เจ้าควรพึ่งพาพระเจ้าทุกเรื่องและทุกประการ  จงให้พระเจ้าเป็นใหญ่ ให้พระเจ้าเป็นองค์เจ้านาย  เมื่อเจ้าสงบจิตสงบใจแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องของการใช้ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าเองมาพิจารณาว่าจะใช้กลวิธีหรือหนทางใด และไม่ใช่เรื่องของการลงมือทำอะไรไปตามประสบการณ์ของเจ้า หรือตามปรัชญาและเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน  แต่เป็นเรื่องของการรอคอยความรู้แจ้งจากพระเจ้าและการนำจากพระวจนะของพระองค์  สิ่งที่เจ้าต้องทำคือปล่อยมือจากเจตจำนงของเจ้าเอง วางความคิดอ่านและทัศนะของเจ้า มาอยู่เบื้องหน้าพระเจ้าด้วยความเคารพนบนอบ ฟังพระวจนะที่พระองค์ตรัสบอกเจ้า ความจริงที่พระองค์ตรัสบอกเจ้า และหลักคำสอนที่พระองค์ทรงแสดงแก่เจ้า  จากนั้นเจ้าต้องสงบใจและใคร่ครวญอย่างละเอียด และอ่านพลางอธิษฐานตามพระวจนะที่พระเจ้าทรงสอนเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้เข้าใจอย่างแน่ชัดว่าพระเจ้าทรงต้องการให้เจ้าทำสิ่งใดและเจ้าควรทำอะไร  ถ้าเจ้าสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าทรงหมายถึงสิ่งใด และหลักคำสอนของพระองค์มีอะไรบ้าง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรขอบคุณพระเจ้าเสียก่อนที่ทรงจัดแจงเตรียมสภาพแวดล้อมและประทานโอกาสให้เจ้าตรวจสอบยืนยันพระวจนะของพระองค์ ทำให้พระวจนะกลายเป็นจริง และใช้ชีวิตตามพระวจนะเหล่านี้ เพื่อให้พระวจนะกลายเป็นชีวิตในหัวใจของเจ้า และเพื่อให้สิ่งที่เจ้าใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตสามารถเป็นพยานยืนยันได้ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง  ตามปกติแล้ว เวลาที่เจ้ารับมือปัญหาเหล่านี้ อาจมีขึ้นมีลง มีความยุ่งยากและความลำบากมากมาย มีการต่อสู้บ้าง รวมทั้งมีคำกล่าวอ้างและข้อคิดเห็นบางอย่างจากผู้คนที่หลากหลาย  แต่ตราบใดที่เจ้าแน่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าชัดเจนอย่างยิ่งในเรื่องปัญหาดังกล่าว และสิ่งที่เจ้าเข้าใจและเชื่อฟังคือหลักคำสอนของพระเจ้า ตราบนั้นเจ้าก็ควรนำพระวจนะไปปฏิบัติโดยไม่ลังเล  เจ้าไม่ควรหยุดชะงักเพราะสภาพแวดล้อมของเจ้า หรือเพราะบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใด  เจ้าควรหนักแน่นในจุดยืนของเจ้าต่อไป  การยึดมั่นในหลักธรรมความจริงไม่ใช่ความโอหังหรือความคิดว่าตนถูก  เมื่อเจ้าเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าแล้ว และมองดูผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระองค์ และสามารถยึดมั่นในหลักธรรมอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง เจ้านั้นย่อมปฏิบัติความจริงอยู่  ผู้ที่ปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริงควรมีท่าทีและความมุ่งมั่นแบบนี้

พวกเราสามัคคีธรรมกันมามากพอแล้วถึงปัญหาเกี่ยวกับสำนวนที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา”  พวกเจ้ายังคงมีเรื่องยากแก่การเข้าใจปัญหาดังกล่าวอยู่หรือไม่?  ความเข้าใจที่พวกเจ้ามีเกี่ยวกับคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมข้อนี้ผ่านทางสามัคคีธรรมและการชำแหละในวันนี้เป็นความเข้าใจใหม่หมดใช่หรือไม่?  (ใช่)  ตามความเข้าใจใหม่ๆ ที่พวกเจ้ามีทั้งหมดนี้ พวกเจ้าจะยังคงถือว่าคำกล่าวนี้เป็นความจริงและสิ่งที่เป็นบวกกันหรือไม่?  (ไม่)  อาจเป็นไปได้ว่าอิทธิพลที่คำกล่าวนี้มีต่อผู้คนยังคงมีอยู่ลึกๆ ในความรู้สึกนึกคิดและในจิตใต้สำนึกของพวกเขา แต่เพราะสามัคคีธรรมในวันนี้ ผู้คนจึงทิ้งคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้ไปจากความคิดและจิตสำนึกของตน  ดังนั้นพวกเจ้าจะยังคงยึดปฏิบัติตามคำกล่าวนี้เวลาที่เจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือไม่?  เมื่อเจ้าเผชิญข้อพิพาท เจ้าควรทำอย่างไร?  (ก่อนอื่นพวกเราควรละทิ้งปรัชญาของซาตานที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา”  พวกเราควรมาอธิษฐานและแสวงหาความจริงอยู่เบื้องหน้าพระเจ้าด้วยความสงบนิ่ง และค้นหาหลักธรรมความจริงในพระวจนะของพระเจ้าที่ควรนำไปปฏิบัติ)  หากพวกเราไม่ได้สามัคคีธรรมถึงเรื่องเหล่านี้ พวกเจ้าย่อมจะรู้สึกว่าพวกเจ้าไม่เคยมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย หรือวางตนหรือกระทำการตามหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา”  ในเมื่อบัดนี้ปัญหานี้ถูกเปิดโปงแล้ว ก็จงดูด้วยตัวเจ้าเองเถิดว่าเจ้าได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะดังกล่าวหรือไม่เวลาที่มีบางสิ่งคล้ายคลึงกันเกิดขึ้นกับเจ้าในครั้งต่อไป กล่าวคือ มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในแนวคิดและทัศนะของเจ้าหรือไม่  เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะค้นพบไปเองว่ามีหลายเรื่องที่เจ้าได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะดังกล่าว ซึ่งหมายความว่าในหลายๆ สภาพแวดล้อมและเมื่อมีหลายสิ่งเกิดขึ้น เจ้ายังคงได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะดังกล่าว และแนวคิดและทัศนะเช่นนี้ก็ฝังรากลึกลงไปในดวงจิตของเจ้าแล้ว บงการคำพูดและการกระทำของเจ้า และบงการความคิดของเจ้าต่อไป  หากเจ้าไม่ตระหนักเช่นนี้ และเจ้าไม่เอาใจใส่หรือไล่ตามประเด็นปัญหานี้ เจ้าย่อมจะไม่รู้แน่นอนว่ามีปัญหานี้อยู่ และเจ้าย่อมจะไม่รู้ว่าเจ้าได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะดังกล่าวหรือไม่  เมื่อเจ้าไล่ตามและละเอียดลออกับปัญหานี้อย่างแท้จริง เจ้าก็จะพบว่าพิษของวัฒนธรรมดั้งเดิมมักจะพรั่งพรูอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้า  ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ เพียงแต่ว่าเจ้าไม่เคยจริงจังกับสิ่งเหล่านี้มาก่อน หรือเจ้าล้มเหลวอย่างยิ่งที่จะตระหนักอย่างแท้จริงว่าแก่นแท้ของคำกล่าวเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมคืออะไร  ดังนั้น เจ้าต้องทำเช่นไรจึงจะตระหนักรู้ปัญหาดังกล่าวในส่วนลึกของความรู้สึกนึกคิดของเจ้า?  พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะใคร่ครวญและพิจารณา  คนเราควรใคร่ครวญและพิจารณาอย่างไร?  สองคำนี้ฟังดูง่ายมาก แล้วคนเราควรเข้าใจทั้งสองคำนี้ว่าอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้ากำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าแก่คนบางคนที่กำลังสำรวจหนทางที่แท้จริง  ในขั้นต้นพวกเขาอาจเต็มใจฟัง แต่หลังจากที่เจ้าสามัคคีธรรมไประยะหนึ่ง พวกเขาบางคนกลับไม่อยากฟังอีกต่อไป  ถึงจุดนั้น เจ้าย่อมต้องคิดว่า “เกิดอะไรขึ้นที่นี่?  สามัคคีธรรมของฉันปรับให้เข้ากับมโนคติอันหลงผิดและปัญหาของพวกเขามากแล้วมิใช่หรือ?  หรือว่าฉันสามัคคีธรรมความจริงไม่ชัดเจนและเข้าใจไม่ง่าย?  หรือพวกเขากังวลเพราะไปได้ยินได้ฟังข่าวลือหรือเหตุผลวิบัติบางอย่างเข้า?  ทำไมพวกเขาบางคนถึงไม่ยอมสำรวจต่อ?  แท้จริงแล้วปัญหาคืออะไร?”  นี่คือการใคร่ครวญมิใช่หรือ?  เป็นการขบคิดเรื่องนี้โดยพิจารณาทุกแง่ทุกมุม ไม่ตัดรายละเอียดแม้แต่อย่างเดียวทิ้งไป  จุดหมายของเจ้าในการพิจารณาสิ่งเหล่านี้คืออะไร?  คือการค้นหารากเหง้าและแก่นแท้ของปัญหา แล้วจึงลงมือแก้ไข  หากไม่ว่าเจ้าจะขบคิดมากเพียงใด ก็ไม่สามารถหาคำตอบของปัญหาเหล่านี้ได้ เจ้าก็ควรหาใครบางคนที่เข้าใจความจริงและแสวงหาจากพวกเขา  จงดูว่าพวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้ากันอย่างไร และพวกเขาทำความเข้าใจมโนคติอันหลงผิดส่วนใหญ่ของผู้คนที่กำลังสำรวจนั้นกันอย่างไรให้ถูกต้องแม่นยำ และจากนั้นพวกเขาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นโดยสามัคคีธรรมความจริงตามพระวจนะของพระเจ้ากันอย่างไร  นั่นคือการเริ่มลงมือทำมิใช่หรือ?  พิจารณาคือขั้นตอนแรก ลงมือทำคือขั้นตอนที่สอง  เหตุผลในส่วนของการลงมือทำก็คือเพื่อตรวจสอบยืนยันว่าปัญหาที่เจ้ากำลังพิจารณานั้นตรงประเด็นหรือไม่ เจ้าออกนอกทางไปแล้วหรือไม่  เมื่อเจ้าพบว่าปัญหาเกิดจากตรงไหน เจ้าจะเริ่มตรวจสอบยืนยันว่าปัญหาที่เจ้ากำลังพิจารณานั้นถูกข้อแล้วหรือว่าผิดข้อ  จากนั้นก็จงลงมือแก้ไขปัญหาที่เจ้าตรวจสอบยืนยันแล้วว่าถูกเรื่อง  ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้คนที่กำลังสำรวจหนทางที่แท้จริงได้ยินข่าวลือและเหตุผลวิบัติ และเกิดมโนคติอันหลงผิด เมื่อนั้นก็จงอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังโดยมุ่งไปที่มโนคติอันหลงผิดของพวกเขา  ระหว่างที่สามัคคีธรรมความจริงให้ชัดเจน ก็จงชำแหละและแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาให้หมด และกำจัดอุปสรรคในหัวใจของพวกเขาเสีย  จากนั้นพวกเขาย่อมเต็มใจที่จะสำรวจต่อไป  การเริ่มต้นแก้ปัญหาย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  ขั้นตอนแรกในการแก้ปัญหาคือพิจารณาปัญหา ใคร่ครวญ และทำความเข้าใจแก่นแท้และต้นเหตุของปัญหาให้รอบด้านอยู่ในใจของเจ้า  เมื่อเจ้าตรวจสอบยืนยันแล้วว่าอะไรคือปัญหา ก็จงเริ่มแก้ปัญหานั้นตามพระวจนะของพระเจ้า  ท้ายที่สุดเมื่อปัญหาได้รับการแก้ไข ก็ย่อมจะบรรลุเป้าหมาย  ดังนั้น ถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม เช่น “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” ยังคงมีอยู่ในความคิดและทัศนะของเจ้าใช่หรือไม่?  (ยังมีอยู่)  ปัญหาเช่นนี้ควรแก้ไขอย่างไร?  เจ้าต้องพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้าตามปกติ  นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่ง  ประการแรก จงนึกย้อนไปดูว่าเจ้าประพฤติตัวเช่นไรเมื่อเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นกับเจ้าก่อนหน้านี้  เจ้าถูกคำกล่าว เช่น “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” ครอบงำบ้างหรือไม่?  และถ้าเจ้าถูกครอบงำ เจ้ามีเจตนาเช่นไร?  เจ้าพูดอะไรออกไป?  เจ้าทำอะไรลงไปบ้าง?  เจ้าปฏิบัติตนอย่างไร?  เจ้าประพฤติตัวแบบใด?  เมื่อเจ้าสงบสติอารมณ์และพิจารณาสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะค้นพบปัญหาบางอย่างที่เจ้าไม่ทันตระหนักด้วยซ้ำไป  ถึงจุดนั้น เจ้าควรแสวงหาความจริง สามัคคีธรรมกับผู้อื่น และแก้ปัญหาเหล่านี้ตามพระวจนะที่เกี่ยวข้องของพระเจ้า  ในชีวิตจริงของเจ้าจงเพียรพยายามทิ้งทัศนะที่ผิดๆ ซึ่งวัฒนธรรมดั้งเดิมสนับสนุนไปให้หมด แล้วเลือกใช้พระวจนะของพระเจ้าและความจริงเป็นหลักธรรมของการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน จงปฏิบัติต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมความจริง  นี่คือวิธีแก้ปัญหาด้วยการชำแหละแนวคิด ทัศนะ และคำกล่าวต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิมตามพระวจนะของพระเจ้า แล้วจากนั้นจึงมองดูให้กระจ่างชัดว่าจากผลสืบเนื่องของการที่มนุษยชาติยึดถือทัศนะที่ผิดๆ เหล่านี้ วัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นบวกและถูกต้องจริงหรือไม่  แล้วเจ้าก็จะมองเห็นอย่างชัดเจนว่าคำกล่าวที่ว่า “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” เป็นเพียงกลวิธีหลบหลีกทางพฤติกรรมที่ผู้คนเลือกใช้เพื่อรักษาสายสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของพวกตน  แต่หากแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนไม่เปลี่ยนแปลง ผู้คนจะสามารถเข้ากันได้ในระยะยาวหรือไม่?  ไม่ช้าก็เร็วสิ่งต่างๆ ย่อมจะพังทลาย  ฉะนั้นจึงไม่มีเพื่อนแท้ในโลกมนุษย์—เพียงสามารถรักษาสายสัมพันธ์ทางกายภาพไว้ได้ เท่านี้ก็ดีมากแล้ว  ถ้าผู้คนมีมโนธรรมและสำนึกกันสักนิด และมีใจเมตตา พวกเขาย่อมจะสามารถรักษาสายสัมพันธ์อันตื้นเขินกับผู้อื่นไว้ได้โดยที่สายสัมพันธ์นี้ไม่พังทลาย ถ้าในความเป็นมนุษย์ พวกเขากลับเลว ยอกย้อน และเหี้ยมโหด เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีหนทางที่จะคบหาสมาคมกับผู้อื่น และทำได้เพียงเอารัดเอาเปรียบกันเองเท่านั้น  เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจนแล้ว—กล่าวคือ เมื่อมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนอย่างชัดเจนแล้ว—ก็ย่อมสามารถกำหนดวิธีการที่ผู้คนควรใช้ในการมีปฏิสัมพันธ์กันโดยทั่วไปได้ ซึ่งสามารถเป็นวิธีการที่ถูกต้อง ไร้ข้อผิดพลาด และสอดคล้องกับความจริงได้  ด้วยประสบการณ์ที่พวกเขาผ่านการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้ามา ตอนนี้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงสามารถมองเห็นแก่นแท้ของมนุษยชาติได้บ้าง  ดังนั้นในปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คน—นั่นคือ ในสายสัมพันธ์ระหว่างบุคคลตามปกติ—พวกเขาจึงสามารถมองเห็นความสำคัญของการเป็นคนซื่อสัตย์ และมองเห็นได้ว่าการปฏิบัติต่อผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงนั้นคือหลักธรรมสูงสุดและเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดที่สุด  ซึ่งจะไม่มีวันสร้างความเศร้าหมองหรือความปวดร้าวแก่ผู้คน  อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติความจริง ก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะเกิดความขัดแย้งขึ้นในดวงจิตของตน ในแง่ที่ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามย่อมจะเผยตัวออกมารบกวนและขัดขวางไม่ให้พวกเขาปฏิบัติความจริงอยู่บ่อยๆ  แนวคิด ความรู้สึก และทัศนะที่มีหลากหลายแง่มุมซึ่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์สร้างขึ้น ก็จะขัดขวางเจ้าอยู่เสมอในระดับต่างๆ กัน ไม่ให้นำความจริงและพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าย่อมจะเผชิญหลายสิ่งหลายอย่างที่แทรกแซงและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติความจริงโดยที่เจ้าไม่ทันตระหนัก  เมื่ออุปสรรคเหล่านี้ปรากฏขึ้น เจ้าจะไม่พูดเหมือนที่เจ้าพูดในตอนนี้อีกต่อไปว่าการปฏิบัติความจริงเป็นเรื่องง่าย  เจ้าจะไม่พูดโดยไม่ลังเลแบบนี้  เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าย่อมจะทนทุกข์และโศกเศร้า กินไม่ลง และนอนได้ไม่ดี  บางคนอาจถึงกับพบว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นยากเกินไปและอยากล้มเลิก  เราเชื่อว่าผู้คนมากมายทนทุกข์เป็นอย่างมากเพื่อที่จะปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง ถูกตัดแต่งกันมานับครั้งไม่ถ้วน ต่อสู้อยู่ในหัวใจของตนนับครั้งไม่ถ้วน และหลั่งน้ำตาไปนับไม่ถ้วน  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  การก้าวผ่านความทรมานเหล่านี้เป็นขั้นตอนที่จำเป็น และทุกคนก็ต้องก้าวผ่านขั้นตอนนี้กันโดยที่ไม่มีข้อยกเว้น  ในยุคธรรมบัญญัติ ดาวิดได้ทำผิด และต่อมาก็กลับใจและสารภาพต่อพระเจ้า  เขาร้องไห้ไปมากเพียงใด?  เรื่องนี้มีบรรยายไว้ในข้อความเดิมว่าอย่างไร?  (“และหลั่งน้ำตาท่วมที่นอนทุกคืน ที่เอนกายก็ชุ่มโชกไปด้วยน้ำตา” (สดุดี 6:6))  เขาต้องหลั่งน้ำตาไปมากเพียงใดถึงได้ท่วมที่นอนของเขา!  นี่แสดงให้เห็นว่าในตอนนั้นเขาสำนึกเสียใจและทรมานมากมายและหนักหนาขนาดไหน  พวกเจ้าเคยหลั่งน้ำตากันมากขนาดนั้นหรือไม่?  หยดน้ำตาที่พวกเจ้าหลั่งกันไปนั้นมีจำนวนไม่ถึงหนึ่งในร้อยของน้ำตาที่เขาเสียไปด้วยซ้ำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเกลียดชังที่พวกเจ้ามีต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทราม เนื้อหนัง และการกระทำผิดของตนนั้นยังไม่มากพอ ความมุ่งมั่นและความมานะบากบั่นของพวกเจ้าในการปฏิบัติความจริงก็ไม่มากพอ  เจ้ายังทำได้ไม่ถึงมาตรฐาน ห่างไกลจากระดับของเปโตรและดาวิด  เอาละ พวกเราจบสามัคคีธรรมของวันนี้กันตรงนี้เถิด

16 เมษายน ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (7)

ถัดไป: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (9)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger