การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (7)

ไม่นานมานี้เราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวสารพัดรูปแบบเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิม  เราสามัคคีธรรมในส่วนของคำกล่าวจำเพาะบางข้อไปมาก  ทั้งนี้ หัวข้อและเนื้อหานี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงบ้างหรือไม่?  (มี)  มีใครคิดบ้างหรือไม่ว่าหัวข้อและเนื้อหานี้ดูไม่เกี่ยวอะไรกับความจริง?  ถ้าคิดอย่างนั้น เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีขีดความสามารถอ่อนด้อยจริงๆ และไม่มีวิจารณญาณแยกแยะแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ  สามัคคีธรรมของเราในเรื่องนี้เข้าใจง่ายหรือไม่?  (เข้าใจง่าย)  ถ้าเราไม่สามัคคีธรรมและชำแหละแบบนี้ พวกเจ้าจะสำคัญผิดกันหรือไม่ว่าคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ผู้คนมองว่าค่อนข้างเป็นบวกเหล่านี้คือความจริง และยังคงให้การค้ำชูต่อไป?  ก่อนอื่นเราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าผู้คนส่วนใหญ่มองว่าคำกล่าวเหล่านี้เป็นบวก เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับสภาวะความเป็นมนุษย์และพึงปฏิบัติตาม สอดคล้องกับมโนธรรม เหตุผล ข้อกำหนด มโนคติอันหลงผิด และสิ่งอื่นๆ ทำนองนั้นที่เกี่ยวพันกับสภาวะความเป็นมนุษย์  อาจกล่าวได้ว่าก่อนการสามัคคีธรรมของเราในหัวข้อนี้ แทบทุกคนมองคำกล่าวนานัปการเหล่านี้ที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมว่าเป็นบวกและสอดคล้องกับความจริง  หลังจากที่ได้ฟังสามัคคีธรรมและการชำแหละของเราแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าสามารถแยกแยะคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ออกจากความจริงได้หรือไม่?  พวกเจ้ามีวิจารณญาณเช่นนี้กันหรือไม่?  บางคนก็จะกล่าวว่า “ฉันแยกแยะสองอย่างนี้ไม่ออก แต่ไม่ว่าอย่างไร พอฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าแล้ว ตอนนี้ฉันมองเห็นแล้วว่ามีความแตกต่างระหว่างคำกล่าวเหล่านี้กับความจริง  สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแทนที่ความจริง และยิ่งไม่อาจกล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นบวกหรือเป็นความจริง  แน่นอนว่าย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดว่าคำกล่าวเหล่านี้สอดคล้องกับพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้าหรือหลักเกณฑ์ของความจริง  สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรสัมพันธ์กับพระวจนะของพระเจ้า ข้อกำหนดของพระเจ้า หรือหลักเกณฑ์ของความจริงเลย  โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะสอดคล้องกับมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์หรือไม่ ฉันก็ไม่เคารพบูชาสิ่งเหล่านี้ในหัวใจอีกแล้ว และไม่คิดว่าเป็นความจริงอีกต่อไป”  นี่แสดงให้เห็นว่าแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมไม่ได้มีบทบาทชี้นำในหัวใจของผู้คนอีกต่อไป  เมื่อผู้คนได้ฟังคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ พวกเขาก็จะแยกแยะคำกล่าวออกจากความจริงโดยไม่รู้ตัว และอย่างมากก็จะถือว่าเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความเห็นชอบอยู่ในมโนธรรมของตน  อย่างไรก็ดี พวกเขารู้ว่าคำกล่าวเหล่านี้ยังคงแตกต่างจากความจริงและแน่นอนว่าไม่สามารถแทนที่ความจริงได้  เมื่อผู้คนเข้าใจแก่นแท้ของคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ พวกเขาก็จะเลิกมองว่าคำกล่าวเหล่านี้คือความจริงและเลิกปฏิบัติตาม เคารพบูชา หรือแสวงหาสิ่งเหล่านี้ในฐานะความจริง—นี่คือผลสัมฤทธิ์ขั้นพื้นฐาน  คราวนี้ การเข้าใจทั้งหมดนี้ย่อมมีผลเชิงบวกต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คนอย่างไร?  แน่นอนว่าย่อมจะมีผลในเชิงบวก แต่จะให้ผลนั้นในระดับใดย่อมจะขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเข้าใจความจริงขนาดไหน หรือรู้ความจริงมากเพียงใด  เมื่อคำนึงถึงประเด็นเหล่านี้แล้วก็ชัดเจนว่ามีความจำเป็นทีเดียวที่จะต้องชำแหละแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ผู้คนให้การค้ำชูและเข้ากับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา  อย่างน้อยที่สุดการชำแหละนี้ย่อมจะส่งผลเป็นการช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงและป้องกันไม่ให้พวกเขาทุ่มเทพยายามอย่างไร้ผลหรือเดินบนเส้นทางที่ผิดในการไล่ตามเสาะหาความจริงของตน  เหล่านี้คือผลที่อาจสัมฤทธิ์ได้

คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมและชำแหละคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมสี่ข้อ ได้แก่ “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่น” และ “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี”  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวอื่นๆ กันต่อ  วัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนได้ประดิษฐ์คำกล่าวอ้างด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมไว้อย่างชัดแจ้งเป็นจำนวนมาก—ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยหรือช่วงเวลาใดในประวัติศาสตร์ คำกล่าวอ้างเหล่านี้เดิมทีก็มีมานานแล้ว ทั้งหมดล้วนตกทอดมาจนถึงปัจจุบันและหยั่งรากอย่างมั่นคงในหัวใจของผู้คนแล้ว  เมื่อเวลาผ่านไปและเกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นเรื่อยๆ  มนุษย์ก็นำเสนอคำกล่าวอ้างใหม่ๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอีกมากมายที่แตกต่างออกไป  คำกล่าวอ้างเหล่านี้โดยทั่วไปแล้วก็คือข้อกำหนดที่กำกับลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทางศีลธรรมของผู้คน  พวกเจ้าทุกคนเข้าใจชัดเจนเรื่องคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมสี่ข้อที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปครั้งก่อนแล้วไม่มากก็น้อยใช่หรือไม่?  (ใช่)  คราวนี้พวกเรามาสามัคคีธรรมกันต่อถึงคำกล่าวข้อถัดไปคือ “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ”  แนวคิดที่ว่าความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ เป็นหนึ่งในหลักเกณฑ์อมตะของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมที่ใช้ตัดสินว่าการประพฤติปฏิบัติของคนคนหนึ่งนั้นมีหรือไม่มีศีลธรรม  เวลาประเมินสภาวะความเป็นมนุษย์ของใครบางคนว่าดีหรือเลว ประเมินว่าการประพฤติปฏิบัติของพวกเขามีศีลธรรมเพียงใด บรรทัดฐานอย่างหนึ่งก็คือพวกเขาตอบแทนการเอื้อประโยชน์หรือความช่วยเหลือที่ตนได้รับหรือไม่—พวกเขาเป็นคนที่ตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ตนได้รับอย่างสำนึกรู้คุณหรือไม่  ในวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนและในวัฒนธรรมดั้งเดิมของมวลมนุษย์นั้น ผู้คนถือว่าเรื่องนี้คือเครื่องวัดการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่สำคัญ  ถ้าใครไม่เข้าใจว่าความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ และไม่สำนึกรู้คุณ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมถูกมองว่าไร้ซึ่งมโนธรรมและไม่คู่ควรที่จะคบค้าสมาคมด้วย ควรถูกทุกคนดูหมิ่น เดียดฉันท์ หรือปฏิเสธ  ในทางกลับกัน ถ้าใครเข้าใจว่าความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ—ถ้าพวกเขาสำนึกรู้คุณและตอบแทนการเอื้อประโยชน์และความช่วยเหลือที่ตนได้รับโดยใช้ทุกวิถีทางที่มี—ก็ถือกันว่าพวกเขาเป็นคนที่มีมโนธรรมและสภาวะความเป็นมนุษย์  ถ้าใครบางคนได้รับผลประโยชน์หรือความช่วยเหลือจากอีกคนหนึ่ง แต่ไม่ตอบแทนอีกฝ่าย หรือแค่แสดงความขอบคุณบ้างด้วยคำ “ขอบคุณ” ง่ายๆ เท่านั้น อีกฝ่ายหนึ่งจะคิดอย่างไร?  จะรู้สึกอึดอัดบ้างหรือไม่?  อีกฝ่ายจะคิดหรือไม่ว่า “คนคนนั้นไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือ เขาไม่ใช่คนดี  ถ้าเขาตอบสนองแบบนั้นเวลาที่ฉันช่วยเขาไปตั้งมากมาย เช่นนั้นเขาก็ไม่มีมโนธรรมหรือสภาวะความเป็นมนุษย์ และไม่คู่ควรที่จะคบค้าด้วย”?  ถ้าอีกฝ่ายพบพานคนแบบนี้อีก พวกเขายังจะช่วยคนแบบนี้หรือไม่?  อย่างน้อยพวกเขาก็จะไม่นึกอยากช่วย  ในรูปการณ์ที่คล้ายคลึงกัน พวกเจ้าย่อมจะนึกสงสัยมิใช่หรือว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าควรช่วยหรือไม่?  บทเรียนที่เจ้าย่อมจะเรียนรู้มาแล้วจากประสบการณ์ที่แล้วมาของเจ้าย่อมจะเป็นว่า “ฉันจะเอาแต่ช่วยใครต่อใครไม่ได้—พวกเขาต้องเข้าใจว่าความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ  ถ้าพวกเขาเป็นพวกไม่รู้คุณที่จะไม่ตอบแทนความช่วยเหลือที่ฉันให้ไป เช่นนั้นแล้วฉันก็ไม่ช่วยดีกว่า”  นั่นย่อมจะเป็นทัศนะที่พวกเจ้ามีต่อเรื่องดังกล่าวมิใช่หรือ?  (ใช่)  โดยทั่วไปแล้ว เวลาผู้คนช่วยผู้อื่น แท้จริงแล้วพวกเขาคิดอย่างไรกับการลงมือช่วยเหลือของตน?  พวกเขามีความคาดหวังหรือข้อเรียกร้องบางอย่างกับคนที่ตนช่วยหรือไม่?  มีใครพูดไหมว่า “ฉันกำลังช่วยคุณโดยไม่คาดหวังว่าจะได้รับการตอบแทน  ฉันไม่อยากได้อะไรจากคุณ  การช่วยคุณเวลาคุณเผชิญความยากลำบากเป็นสิ่งที่ฉันพึงทำอยู่แล้ว และเป็นหน้าที่ของฉัน  ไม่ว่าเราสองคนจะมีสัมพันธภาพบางอย่างต่อกันหรือไม่ และไม่ว่าคุณจะตอบแทนฉันได้หรือไม่ในอนาคต ฉันก็แค่กำลังทำหน้าที่พื้นฐานของตนในฐานะคนทั่วไป และฉันจะไม่เรียกร้องการตอบแทนใดๆ  การที่คุณจะตอบแทนฉันหรือไม่นั้นไม่มีความสำคัญสำหรับฉัน”?  มีคนที่พูดอะไรเช่นนี้หรือไม่?  ต่อให้มีคนแบบนี้ พวกเขาก็เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นและไม่ตรงกับข้อเท็จจริง  มีการสร้างตัวละครที่กล้าหาญขึ้นมามากมายนักในนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ของจีน และบรรดาผู้กล้าที่ประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาในสังคมสมัยใหม่ก็ยิ่งเป็นเรื่องแต่งเข้าไปใหญ่  แม้ตัวผู้คนจะมีอยู่จริง แต่เรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขานั้นแต่งขึ้นมา  เมื่อดูตามข้อเท็จจริงเหล่านี้แล้ว ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจชัดเจนแล้วใช่ไหมเรื่องต้นกำเนิดของคำกล่าวที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” นี้ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ในการตัดสินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน รวมถึงว่าเอามาจากใคร?  บางทีบางคนอาจจะยังเข้าใจเรื่องนี้ไม่ค่อยชัดเจน  ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้ ผู้คนล้วนมีอุดมคติอย่างหนึ่งและความคาดหวังบางอย่างเกี่ยวกับสังคมมนุษย์  พวกเขามีความคาดหวังอะไร?  “ถ้าทุกคนมอบความรักกันคนละนิด โลกก็จะกลายเป็นสถานที่อันวิเศษ”  นอกจากความคาดหวังข้อนี้แล้ว ผู้คนยังหวังให้ตนเองได้รับการตอบแทนและชดเชยสำหรับหัวใจที่เปี่ยมรักของตนและราคาที่พวกเขาจ่ายไป  ในด้านหนึ่ง นี่อาจเป็นการชดเชยในรูปของวัตถุ เช่น การให้เงินหรือรางวัลที่เป็นสิ่งของ  ในอีกด้านหนึ่ง นี่อาจจะหมายถึงการชดเชยในแง่ของจิตใจ—นั่นคือ การเติมเต็มจิตใจของผู้คนโดยมอบรางวัลเป็นชื่อเรียก เช่น “คนงานตัวอย่าง” “บุคคลต้นแบบทางศีลธรรม” หรือ “แบบอย่างทางศีลธรรม”  เพื่อเสริมสร้างความมีหน้ามีตาของพวกเขา  ในสังคมมนุษย์ เกือบทุกคนมีความคาดหวังแบบนี้ต่อสังคมและโลก—พวกเขาล้วนหวังที่จะเป็นคนดี เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง และยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้ตกยาก เปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับความช่วยเหลือและได้ประโยชน์บางอย่าง  พวกเขาหวังว่าผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากตนจะจดจำผู้ให้ และจดจำว่าตนได้ประโยชน์จากความช่วยเหลือนั้นอย่างไร  แน่นอนว่าพวกเขาย่อมหวังด้วยว่าเมื่อพวกเขาเองต้องการความช่วยเหลือบ้าง ก็จะมีใครบางคนตรงนั้นยื่นมือเข้าช่วย  ในด้านหนึ่งเมื่อใครบางคนต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาก็หวังให้คนบางคนแสดงหัวใจอันเปี่ยมรักแก่ตน ในอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็หวังว่าเมื่อผู้ที่แสดงหัวใจอันเปี่ยมรักนั้นตกระกำลำบาก คนเหล่านั้นจะได้รับความช่วยเหลือที่พวกเขาต้องการเช่นกัน  ผู้คนมีความคาดหวังเช่นนี้ต่อสังคมและโลก—แท้จริงแล้วจุดมุ่งหมายสูงสุดของพวกเขาก็คือให้มวลมนุษย์ยึดมั่นในสังคมที่ปรองดอง สงบสุข และมั่นคง  ความคาดหวังเช่นนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร?  ความคาดหวังและคำกล่าวอ้างที่เกี่ยวข้องกันนี้ย่อม[ก]เกิดขึ้นมาเองเพราะผู้คนไม่รู้สึกปลอดภัยและไม่รู้สึกเป็นสุขในสภาพสังคมแบบนี้  เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนจึงเริ่มประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของคนแต่ละคนและลักษณะนิสัยที่ประเสริฐของพวกเขาโดยดูว่าพวกเขาตอบแทนความใจดีมีเมตตาของผู้อื่นหรือไม่ และคำกล่าวที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์สำหรับประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนก็เกิดจากสถานการณ์เช่นนี้  การเกิดขึ้นของคำกล่าวนี้ค่อนข้างแปลกมิใช่หรือ?  (ใช่)  ในยุคปัจจุบัน มนุษย์ไม่แสวงหาความจริง ไม่ยอมรับความจริง และเขาก็เอียนความจริง  ผู้คนอยู่ในสภาวะที่สับสน และแม้จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่พวกเขาก็ล้วนไม่ชัดเจนว่าตนควรลงมือรับผิดชอบเรื่องใด ควรลุล่วงหน้าที่อะไร ควรดำรงฐานะอะไร และควรใช้มุมมองไหนเวลามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย  นอกจากนี้ผู้คนก็ไม่ชัดเจนว่าพวกเขามีความรับผิดชอบและหน้าที่อะไรต่อสังคม ไม่ชัดเจนว่าพวกเขาควรมองและดำเนินการเกี่ยวกับสังคมด้วยจุดยืนหรือมุมมองเช่นใด  พวกเขาไร้ซึ่งคำอธิบายและคำวินิจฉัยที่ถูกต้องสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก และพวกเขาก็ไม่สามารถค้นพบเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้องที่จะชี้ว่าพวกเขาควรวางตัวและกระทำการอย่างไร  เมื่อเผชิญโลกที่น่ากลัวและมืดมิดลงเรื่อยๆ ถูกการต่อสู้ การฆ่าล้างแค้น สงคราม และการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมสารพัดรูปแบบรุมเร้า ผู้คนก็ถวิลหาและรอคอยการมาของพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความคาดหวัง  แต่พวกเขากลับไม่สนใจความจริงและไม่มีใครกระตือรือร้นที่จะค้นหาพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระองค์  ต่อให้พวกเขาฟังถ้อยดำรัสของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่แสวงหา และยิ่งไม่ยอมรับถ้อยดำรัสเหล่านั้น  ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่อับจนหนทางเช่นนี้กันทั้งนั้น และทุกคนก็รู้สึกว่าสังคมช่างอยุติธรรมและไม่ปลอดภัยด้วยซ้ำ  ทุกคนเอือมระอาสังคมนี้และโลกนี้อย่างสิ้นเชิง เต็มไปด้วยความเป็นอริต่อสังคมและโลก แต่แม้จะเต็มไปด้วยความเป็นอริ พวกเขาก็ยังคงหวังว่าสักวันหนึ่งสังคมจะดีขึ้น  สำหรับพวกเขาแล้วสังคมที่ดีขึ้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร?  พวกเขานึกภาพสังคมที่ไม่มีการต่อสู้และการฆ่าล้างแค้นอีกต่อไป ทุกคนมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างสมัครสมาน ไม่มีใครตกอยู่ภายใต้การปราบปราม ความทุกข์ หรือโซ่ตรวนของชีวิต ทุกคนสามารถมีชีวิตที่ผ่อนคลาย ไม่ถูกควบคุม สะดวกสบาย และมีความสุข มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นตามปกติ ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเป็นธรรม และแน่นอนว่าได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างเป็นธรรมจากผู้อื่น  เพราะในโลกนี้และในหมู่มวลมนุษย์ไม่เคยมีความเป็นธรรม  มีแต่การต่อสู้และการฆ่าล้างแค้นเท่านั้น แต่ไม่เคยมีความปรองดองในหมู่ผู้คน  ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาใดในประวัติศาสตร์ก็เป็นเช่นนี้เสมอมา  เมื่อเผชิญบริบทและภาวะทางสังคมที่โหดร้ายทารุณ ก็ไม่มีใครสักคนรู้วิธีแก้ไขปัญหาเหล่านี้ วิธีสลายการต่อสู้และการฆ่าล้างแค้นในหมู่ผู้คน หรือสถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรมและอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม  แท้จริงแล้วเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่าปัญหาเหล่านี้มีอยู่และผู้คนก็ไม่รู้วิธีแก้ไข ไม่รู้ว่าควรจัดการปัญหาเหล่านี้จากมุมมองหรือจุดไหน หรือควรใช้วิธีการใดมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ พวกเขาจึงสร้างภาพดินแดนในอุดมคติแบบนี้ขึ้นมาในความรู้สึกนึกคิดของตน  ในภาพดินแดนทางอุดมคตินี้ ผู้คนสามารถใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสมัครสมาน และทุกคนต่างก็ได้รับการปฏิบัติจากสังคมและผู้คนรอบข้างอย่างเป็นธรรม  ทุกคนหวังว่า “เมื่อผู้คนให้เกียรติผู้อื่นก็ย่อมจะได้รับคืนเป็นสิบเท่า ถ้าคุณช่วยฉัน ฉันก็จะตอบแทนคุณ และเมื่อคุณต้องการความช่วยเหลือ ก็จะมีผู้คนมากมายในสังคมที่สามารถยื่นมือเข้าช่วยและลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อสังคม และเมื่อฉันต้องการความช่วยเหลือ คนที่เคยได้ประโยชน์จากความช่วยเหลือของฉันก็จะมาช่วยฉัน  นี่ควรเป็นสังคมที่ผู้คนช่วยเหลือกัน”  ผู้คนเชื่อว่ามีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขและสมัครสมาน ภายในสังคมที่มั่นคงและมีสันติสุข  พวกเขาเชื่อว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่การต่อตีกันของผู้คนจะถูกขจัดและสลายไปอย่างสิ้นเชิง  พวกเขาคิดว่าเมื่อปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไข ความคาดหวังและอุดมคติทั้งหลายที่พวกเขามีต่อสังคมมนุษย์ในส่วนลึกของหัวใจของตนย่อมจะกลายเป็นจริง

ในสังคมของผู้ไม่เชื่อมีเพลงยอดนิยมชื่อ “พรุ่งนี้ย่อมจะดีขึ้น”  ผู้คนหวังเสมอว่าสิ่งต่างๆ จะดีขึ้นในภายหน้า—นั่นไม่มีอะไรผิด—แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งต่างๆ จะดีขึ้นในวันพรุ่งจริงหรือ?  ไม่จริง นี่เป็นไปไม่ได้ ความเป็นไปได้คือสิ่งต่างๆ มีแต่จะเลวลงเท่านั้น เพราะมนุษยชาติกำลังชั่วลงเรื่อยๆ และโลกก็มืดลงเรื่อยๆ  ในหมู่มวลมนุษย์ไม่เพียงมีคนน้อยลงเรื่อยๆ ที่ตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ตนได้รับอย่างรู้คุณเท่านั้น แต่ยังมีคนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่สำนึกรู้คุณและแว้งกัดมือที่ให้อาหารตนมา  นี่กลับเป็นความเป็นจริงของสถานการณ์ในตอนนี้  ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  สิ่งต่างๆ กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?  ทำไมหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากผู้มีศีลธรรม นักการศึกษา และนักสังคมวิทยา ถึงไม่มีผลในทางห้ามปรามมนุษย์?  (เพราะมนุษย์มีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม)  เพราะมนุษย์มีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม  แต่ผู้มีศีลธรรม นักการศึกษา และนักสังคมวิทยาเหล่านั้นรู้เรื่องนั้นหรือไม่?  (ไม่รู้)  พวกเขาไม่รู้ว่าต้นตอของการฆ่าล้างแค้นและการต่อตีกันในหมู่มนุษย์ไม่ได้เกิดจากปัญหาด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม แต่กลับเป็นเพราะอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์เอง  มนุษย์ไม่ได้สำนึกรู้หลักเกณฑ์ที่พวกเขาพึงใช้ในการวางตัว  นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่รู้วิธีวางตัวที่ถูกต้อง และไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอะไรคือหลักธรรมและเส้นทางของการวางตัว  นอกจากนี้มนุษย์ทุกคนยังมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและธรรมชาติเยี่ยงซาตาน ดำเนินชีวิตเพื่อผลประโยชน์ และให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตนก่อนทุกสิ่ง  ผลก็คือปัญหาเรื่องการฆ่าล้างแค้นและการต่อตีกันในหมู่มนุษย์ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ  มนุษย์ที่เสื่อมทรามเช่นนี้จะสามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอย่าง “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ได้หรือ?  ในเมื่อมนุษย์สูญสิ้นแม้กระทั่งเหตุผลและมโนธรรมขั้นพื้นฐานที่สุดไปแล้ว พวกเขาจะสามารถตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างสำนึกรู้คุณได้อย่างไร?  พระเจ้าทรงชี้นำผู้คนเสมอมา เตรียมทุกสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้เพื่อการอยู่รอด จัดหาแสงอาทิตย์ อากาศ อาหาร น้ำ และอื่นๆ ให้พวกเขา แต่มีพวกเขากี่คนกันที่สำนึกขอบคุณพระองค์?  มีพวกเขากี่คนที่สามารถรับรู้ความรักอันแท้จริงที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์?  มีผู้เชื่อมากมายที่แม้จะได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้ากันมากนัก แต่ทันทีที่พระเจ้าไม่ทรงทำให้ความต้องการของพวกเขาลุล่วงสักครั้งหรือสองครั้ง พวกเขาก็บันดาลโทสะ ต่อว่าพระเจ้า และพร่ำบ่นว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรม  ผู้คนเป็นเช่นนี้กันมิใช่หรือ?  ต่อให้มีบางคนที่สามารถตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ตนได้รับจากผู้คนบางคนได้อย่างสำนึกรู้คุณ แต่นั่นจะช่วยแก้ปัญหาอะไรได้?  แน่นอนว่าผู้คนที่นำเสนอคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้มีเจตนาที่ดีงาม—แรงจูงใจของพวกเขามีแต่ความหวังว่ามนุษย์จะสามารถสลายความเป็นอริต่อกัน หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ช่วยเหลือกัน ใช้ชีวิตอย่างปรองดอง มีอิทธิพลต่อกันในทางที่ช่วยแก้ไขให้ดีขึ้น แสดงความอบอุ่นต่อกัน และรวมตัวช่วยเหลือกันในยามยาก  ถ้ามนุษย์สามารถเข้าสู่สภาวะดังกล่าวได้ นั่นจะเป็นสังคมที่วิเศษขนาดไหน แต่ว่าสังคมดังกล่าวจะไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะสังคมเป็นเพียงผลรวมของผู้คนที่เสื่อมทรามทั้งหมดภายในสังคมนั้นๆ  เนื่องจากความเสื่อมทรามของมนุษย์ สังคมจึงมืดมิดและชั่วลงทุกที และอุดมคติของมนุษย์เกี่ยวกับสังคมที่สมัครสมานกันก็จะไม่มีวันสัมฤทธิ์  เหตุใดจึงจะไม่มีวันสัมฤทธิ์สังคมในอุดมคตินี้ได้?  เมื่อมองตามรากฐานและมองในแง่ทฤษฎีแล้ว สังคมดังกล่าวจะไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้ก็เพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  ในความเป็นจริง พฤติกรรมอันดีงามชั่วขณะ การประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมที่ทำแบบครั้งเดียวจบ และการแสดงความรัก การช่วยเหลือ การสนับสนุนกัน และอื่นๆ ที่เกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยาม ไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง  แน่นอนว่าที่ยิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถตอบคำถามที่ว่าผู้คนพึงวางตัวอย่างไรและควรเดินบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องอย่างไร  ในเมื่อปัญหาเหล่านี้ไม่อาจได้รับการแก้ไข แล้วจะเป็นไปได้หรือที่สังคมนี้จะสัมฤทธิ์สภาวะอันปรองดองที่ผู้คนคิดว่าเป็นสังคมในอุดมคติและวาดหวังเอาไว้?  ในแก่นแท้แล้วนี่เป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น และโอกาสที่จะเกิดขึ้นก็แทบจะไม่มี  ด้วยการสนับสนุนคัมภีร์ศีลธรรมและด้วยการอบรมสั่งสอนผู้คน ผู้มีศีลธรรมเหล่านี้พยายามที่จะส่งเสริมให้ผู้คนใช้การประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมมาช่วยผู้อื่นและมีอิทธิพลในทางที่ปรับปรุงแก้ไขผู้อื่นให้ดีขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะมีอิทธิพลต่อสังคมและทำให้สังคมดีขึ้น  แต่แนวคิดนี้ ความใฝ่ฝันนี้ของพวกเขาถูกหรือผิด?  แน่นอนว่าผิดและไม่อาจกลายเป็นจริงได้  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะพวกเขาเข้าใจแต่พฤติกรรม ความคิดอ่าน และมุมมองของผู้คนเท่านั้น รวมทั้งการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม แต่พอเป็นปัญหาที่ลึกลงไป เช่น แก่นแท้ของมนุษย์ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ บ่อเกิดแห่งความเสื่อมทรามของมนุษย์ และวิธีแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ พวกเขากลับไม่ยอมรับรู้แต่อย่างใด  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเสนอหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่โง่เขลา เช่น “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ”  จากนั้นพวกเขาก็หวังที่จะใช้คำกล่าวแบบนี้ หลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแบบนี้มาครอบงำมวลมนุษย์ มีอิทธิพลต่อผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมของมนุษย์ เปลี่ยนแปลงทิศทางและเป้าหมายแห่งพฤติกรรมของมนุษย์ พร้อมกันนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงบรรยากาศทางสังคม และเปลี่ยนแปลงสัมพันธภาพระหว่างคนด้วยกัน รวมทั้งสัมพันธภาพระหว่างนักปกครองกับผู้ถูกปกครอง  พวกเขาเชื่อว่าเมื่อสัมพันธภาพเหล่านี้เปลี่ยนไป สังคมก็จะไม่อยุติธรรมเท่าใดนักและไม่เต็มไปด้วยการต่อสู้ ความเป็นอริ และการเข่นฆ่ากันขนาดนั้น  นี่ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนทั่วไปบ้าง เมื่อเทียบกันแล้วพวกเขาย่อมจะมีสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตทางสังคมที่เสมอภาค และมีชีวิตที่เป็นสุขขึ้น  แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดย่อมจะไม่ใช่คนทั่วไป กลับเป็นนักปกครอง ชนชั้นปกครอง และชนชั้นสูงในแต่ละยุค  ปราชญ์และบุคคลที่ได้ชื่อว่าโดดเด่นและเป็นผู้ให้การส่งเสริมคำสอนทางด้านศีลธรรมเหล่านี้ ใช้คำสอนทางด้านศีลธรรมเหล่านี้ ซึ่งมวลมนุษย์รับรู้กันว่าค่อนข้างประเสริฐ สอดคล้องกับสภาวะความเป็นมนุษย์และสำนึกในมโนธรรมของพวกเขา มาอบรมสั่งสอนและครอบงำผู้คน เปลี่ยนแปลงทัศนคติทางศีลธรรมของพวกเขาเพื่อให้พวกเขาสมัครใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่มีอารยะหรือมีมาตรฐานบางอย่างทางศีลธรรม  ในแง่หนึ่ง นี่ย่อมเป็นผลดีต่อชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วไป เพราะทำให้สภาพแวดล้อมทางสังคมที่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่นั้นกลมเกลียวขึ้น รักสงบและมีอารยะขึ้น  ในอีกแง่หนึ่ง นี่ยังสร้างภาวะที่เอื้ออำนวยให้นักปกครองกำกับดูแลประชาชนได้มากขึ้นด้วย  คำกล่าวที่ถ่ายทอดหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้สอดคล้องกับแนวคิดและมโนคติอันหลงผิดของคนส่วนใหญ่ และเข้ากับภาพดินแดนทางอุดมคติในอนาคตอันรุ่งโรจน์ที่ผู้คนมีเช่นกัน  แน่นอนว่าเจตนาหลักของพวกเขาในการส่งเสริมคำกล่าวเหล่านี้ก็คือการสร้างภาวะที่เอื้อต่อการกำกับดูแลของนักปกครองมากขึ้น  ภายใต้ภาวะดังกล่าว ผู้คนทั่วไปย่อมจะไม่สร้างปัญหา มีชีวิตอย่างสมัครสมานและไร้ความขัดแย้ง และสามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมที่กำกับดูแลพฤติกรรมทางสังคมได้อย่างเต็มใจกันทุกคน  กล่าวง่ายๆ ก็คือ เจตนาของการส่งเสริมคำกล่าวเหล่านี้ก็คือการทำให้ผู้ที่อยู่ใต้การปกครองของรัฐ ซึ่งก็คือมวลชนทั่วไป ทำตัวเหมาะสมและเชื่อฟังภายใต้เครื่องควบคุมที่เป็นหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมของสังคม เรียนรู้ที่จะเชื่อฟังกฎเกณฑ์ และกลายเป็นพลเมืองที่ว่านอนสอนง่าย  ถึงตอนนั้นนักปกครองย่อมจะค่อนข้างสบายใจและหมดห่วงกันแล้วมิใช่หรือ?  ถ้านักปกครองไม่ต้องกังวลว่ามวลชนจะลุกฮือขึ้นมาต่อต้านพวกตนและยึดอำนาจของพวกตน นี่ย่อมจะก่อให้เกิดสังคมที่เรียกกันว่าปรองดองมิใช่หรือ?  นี่ย่อมจะเสริมสร้างอำนาจทางการเมืองของนักปกครองให้แข็งแกร่งมิใช่หรือ?  โดยทั่วไปแล้ว นี่คือต้นกำเนิดของคัมภีร์ศีลธรรมเหล่านี้และเป็นบริบทที่คัมภีร์เหล่านี้ถือกำเนิดขึ้นมา  กล่าวอย่างใจกว้างก็คือ หลักเกณฑ์พื้นฐานบางอย่างของศีลธรรมทางสังคมถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาให้มวลชน เพื่อกำกับพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมวลชนนั่นเอง  นั่นหมายความว่าคำกล่าวเหล่านี้มีขึ้นเพื่อคนทั้งหลาย อันที่จริงในแก่นแท้แล้ว คำกล่าวเหล่านี้ได้รับการส่งเสริมก็เพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศ และเพื่อทำให้นักปกครองสามารถปกครองได้อย่างยืนนานถาวร  นี่คือจุดมุ่งหมายที่แท้จริงในการส่งเสริมวัฒนธรรมดั้งเดิมของผู้ที่เรียกกันว่าผู้มีศีลธรรม  แท้จริงแล้วนักปกครองไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ที่ดีของมวลชน และแม้ในยามที่พวกเขาดูเหมือนจะใส่ใจ พวกเขาก็เพียงแต่ทำเช่นนั้นเพื่อดำรงความมั่นคงทางอำนาจการเมืองของตนเท่านั้น  พวกเขาสนใจแต่ความสุขของตนเอง ความมั่นคงทางอำนาจและสถานะของตน ความสามารถในการปกครองมวลชนอย่างยั่งยืน และความเป็นไปได้ที่จะปกครองให้ได้มากประเทศยิ่งขึ้นอีก โดยมีเป้าหมายที่จะครองโลกทั้งใบในท้ายที่สุด  เหล่านี้คือแรงจูงใจและเจตนาของพวกกษัตริย์มาร  ตัวอย่างเช่น บางคนกล่าวว่า “พวกเราสืบเชื้อสายอันยาวนานของชาวไร่ชาวนาที่ตรากตรำเป็นลูกมือรับจ้างทำไร่ทำนาระยะยาวให้กับเจ้าของที่ดิน และไม่เคยมีที่ดินเป็นของตนเอง  หลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน พรรคคอมมิวนิสต์ได้โค่นล้มเจ้าที่ดินและพวกนายทุน มอบที่ดินให้พวกเราเป็นเจ้าของ พวกเราจึงเปลี่ยนจากลูกจ้างในไร่นามาเป็นเจ้าของ  พวกเราติดค้างพรรคคอมมิวนิสต์ในทุกเรื่อง พวกเขาคือผู้ที่ช่วยชีวิตชาวจีน พวกเราต้องตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขากันอย่างสำนึกรู้คุณและไม่ทำเป็นไม่รู้คุณค่า  บางคนอยากลุกฮือต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์—พวกเขาช่างไม่รู้จักบุญคุณ!  พวกเขากำลังแว้งกัดมือที่ชุบเลี้ยงตัวเองมาไม่ใช่หรือ?  ผู้คนไม่ควรทำตัวไร้มโนธรรมและลืมรากเหง้าของตัวเองอย่างนั้น!”  ความนัยที่แฝงอยู่ในถ้อยแถลงนี้ก็คือ ไม่ว่าตอนนี้เจ้าจะอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมของการดำรงชีวิตแบบไหนก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะถูกปฏิบัติด้วยอย่างไร และไม่ว่าสิทธิ์ในฐานะมนุษย์ของเจ้าจะได้รับการรับรองหรือไม่ หรือสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ของเจ้าจะถูกคุกคามหรือถูกริบไปก็ตาม เจ้าก็ต้องไม่ลืมที่จะตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่เจ้าได้รับอย่างสำนึกรู้คุณและไม่ลืมรากเหง้าของตน  เจ้าไม่ควรทำตัวเป็นคนร้ายกาจที่ไม่รู้จักบุญคุณและควรตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขาไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดโดยไม่คาดหวังที่จะได้สินจ้างรางวัล  ผู้คนเช่นนี้ยังคงใช้ชีวิตเยี่ยงทาสมิใช่หรือ?  พวกเขาคิดว่าตนเคยเป็นทาสของเจ้าที่ดินและนายทุน แต่แท้จริงแล้วพวกนายทุนและเจ้าที่ดินหลอกใช้ผู้คนทั่วไปกันหรือไม่?  แท้จริงแล้วชาวไร่ชาวนาสมัยนั้นมีสภาพแย่กว่าผู้คนสมัยนี้หรือไม่?  ไม่ นี่คือเรื่องโกหกที่พรรคคอมมิวนิสต์แต่งขึ้น  ตอนนี้ข้อเท็จจริงและความเป็นจริงของสถานการณ์กำลังเผยตัวออกมาทีละนิด  คำกล่าวอ้างของพวกเขาที่ว่าพวกนายทุนหาประโยชน์จากหยาดเหงื่อแรงงานของคนทั่วไปจำนวนมากมาย และเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “สาวผมขาว” ล้วนเป็นเรื่องแต่งและเทียมเท็จทั้งสิ้น—ไม่มีเรื่องไหนจริง  เป้าหมายของเรื่องแต่งและความเทียมเท็จเหล่านี้คืออะไร?  คือการทำให้ผู้คนเกลียดชังเจ้าที่ดินและนายทุนเหล่านั้น แซ่ซ้องสรรเสริญพรรคคอมมิวนิสต์ตลอดกาลและนบนอบพวกเขาตลอดไป  ที่ผ่านมาผู้คนมากมายจะร้องเพลง “หากไร้พรรคคอมมิวนิสต์ย่อมจะไม่มีจีนใหม่”  มีการร้องเพลงนี้กันทั่วทุกหย่อมหญ้าของจีนอยู่นานหลายทศวรรษ แต่ตอนนี้ไม่มีใครร้องเลย  มีตัวอย่างเรื่องแต่งและความเทียมเท็จของพรรคคอมมิวนิสต์อยู่มากมายทีเดียว ซึ่งสวนทางกับข้อเท็จจริงเชิงรูปธรรมทั้งสิ้น  ตอนนี้บางคนกำลังเปิดโปงความจริงแก่สาธารณชนเพื่อแสดงความเป็นจริงของสถานการณ์ให้ทุกคนเห็น  ไม่ว่าจะเป็นยุคใดในสังคมมนุษย์ หลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ก็มีประสิทธิผลระดับหนึ่งเสมอมาในการควบคุมพฤติกรรมของผู้คนและทำหน้าที่เป็นเกณฑ์วัดสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คน  แน่นอนว่าผลที่สำคัญกว่าของคำกล่าวทำนองนี้ก็คือมีการใช้คำกล่าวแบบนี้ช่วยนักปกครองเสริมสร้างสมัยการปกครองมวลชนของตนให้แข็งแกร่งขึ้น  ในบางแง่ก็อาจใช้คำกล่าวนี้มาอ้างได้ว่าเป็นวิธีควบคุมพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน ทำให้ผู้คนมองและไตร่ตรองปัญหาอยู่ภายในกรอบของหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้ แล้วจากนั้นก็ตัดสินและเลือกตามหลักเกณฑ์นี้  คำกล่าวข้อนี้ไม่ได้กระตุ้นเตือนให้ผู้คนลุล่วงความรับผิดชอบทั้งปวงที่ผู้คนควรทำให้ลุล่วงทั้งต่อครอบครัวของตนและสังคมโดยรวม แต่กลับขู่บังคับผู้คนว่าควรคิดอะไรและคิดอย่างไร ควรทำอะไรและทำอย่างไร อันเป็นการละเมิดบรรทัดฐานและความต้องการของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  คำกล่าวนี้ทำหน้าที่เป็นวิธีการที่มิอาจรับรู้ได้และกรอบที่มิอาจมองเห็นได้ประเภทหนึ่งสำหรับชี้นำ กวดขัน และล่ามผู้คน คอยบอกพวกเขาว่าควรทำและไม่ควรทำอะไร  เป้าหมายของการทำเช่นนี้ก็เพื่อใช้ความคิดเห็นส่วนรวมและหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมประเภทนี้มาครอบงำความคิดอ่าน มุมมอง วิธีการวางตัวและกระทำการของผู้คน

ถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอย่าง “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ไม่ได้บอกผู้คนให้แน่ชัดลงไปว่าความรับผิดชอบของพวกเขาในสังคมและในหมู่มวลมนุษย์มีอะไรบ้าง  แต่ถ้อยแถลงแบบนี้กลับเป็นวิธีพันธนาการหรือบีบให้ผู้คนทำและคิดในลักษณะบางอย่างไม่ว่าพวกเขาจะต้องการหรือไม่ และไม่ว่าการกระทำอันใจดีมีเมตตาเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับพวกเขาในรูปการณ์หรือบริบทเช่นไร  มีตัวอย่างของการตอบแทนความใจดีมีเมตตาในยุคโบราณของจีนอยู่มากมาย เช่น ครอบครัวหนึ่งรับเด็กขอทานที่กำลังอดอยากเข้าบ้าน ให้อาหาร ให้เสื้อผ้า ฝึกศิลปะการต่อสู้ให้เขา และสอนความรู้สารพัดอย่างให้  พวกเขารอคอยจนเด็กชายเติบใหญ่ แล้วจึงเริ่มใช้เขาหารายได้ ส่งตัวเขาออกไปทำความชั่ว ฆ่าคน ทำสิ่งที่เขาไม่อยากทำ  ถ้าเจ้ามองเรื่องราวของเขาโดยคำนึงถึงบุญคุณทั้งปวงที่เขาได้รับ เช่นนั้นแล้วการที่เขาได้รับการช่วยชีวิตก็เป็นสิ่งที่ดี  แต่ถ้าเจ้าพิจารณาสิ่งที่เขาถูกบีบให้ทำในภายหลัง แท้จริงแล้วนี่ดีหรือไม่ดี?  (ไม่ดี)  แต่ภายใต้การวางเงื่อนไขของวัฒนธรรมดั้งเดิมเช่นที่บอกว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ผู้คนไม่สามารถแยกแยะเช่นนี้ได้  ดูภายนอกเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำเรื่องชั่วและทำร้ายผู้คน กลายเป็นมือสังหาร—ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะไม่อยากทำ  แต่การที่เขาทำเรื่องไม่ดีเหล่านี้และฆ่าตามที่นายของตนสั่ง ลึกๆ แล้วเกิดจากความต้องการที่จะตอบแทนความใจดีมีเมตตาของคนคนนั้นมิใช่หรือ?  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะการวางเงื่อนไขของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม เช่น “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” จึงช่วยไม่ได้ที่ผู้คนจะถูกแนวคิดเหล่านี้ครอบงำและควบคุมเอาไว้  วิธีกระทำการของพวกเขา เจตนาและแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำเหล่านี้แน่นอนว่าย่อมถูกแนวคิดเหล่านี้ตีกรอบเอาไว้  เมื่อเด็กหนุ่มตกอยู่ในสถานการณ์นั้น ความคิดห้วงแรกของเขาย่อมจะเป็นเช่นไร?  “ครอบครัวนี้ช่วยชีวิตฉันไว้ และพวกเขาก็ดีกับฉันมาตลอด  ฉันจะไม่สำนึกรู้คุณไม่ได้ ฉันต้องตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา  ฉันเป็นหนี้ชีวิตพวกเขา ดังนั้นฉันต้องอุทิศชีวิตให้พวกเขา  ฉันควรทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาร้องขอจากฉัน ต่อให้นั่นหมายถึงการทำชั่วและสังหารผู้คนก็ตาม  ฉันไม่อาจคำนึงได้ว่านั่นถูกหรือผิด ฉันต้องตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขาเท่านั้น  ถ้าไม่ทำแบบนี้ ฉันยังคู่ควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ?”  ผลก็คือเมื่อใดก็ตามที่ครอบครัวนี้ต้องการให้เขาสังหารใครสักคนหรือทำสิ่งไม่ดี เขาก็ทำอย่างไม่ลังเลหรือมีข้อจำกัดแต่อย่างใด  ดังนั้นการประพฤติปฏิบัติ การกระทำ และการเชื่อฟังโดยไม่ตั้งคำถามของเขาจึงถูกแนวคิดและทัศนะที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” บงการทั้งสิ้นมิใช่หรือ?  เขากำลังทำตามหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้อยู่มิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้ามองเห็นอะไรจากตัวอย่างนี้บ้าง?  คำกล่าวว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ใช่สิ่งที่ดีงามหรือไม่?  (ไม่ใช่ เป็นคำกล่าวที่ไม่มีหลักธรรม)  อันที่จริง คนที่ตอบแทนความใจดีมีเมตตาย่อมมีหลักธรรม  ซึ่งก็คือการที่ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ  ถ้าใครบางคนใจดีมีเมตตากับเจ้า เจ้าก็ต้องใจดีมีเมตตาตอบ  ถ้าเจ้าทำไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่มนุษย์ และถ้าเจ้าถูกกล่าวโทษเพราะเรื่องนี้ ก็ไม่มีอะไรที่เจ้าจะสามารถกล่าวได้  มีคำกล่าวอยู่ว่า “เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู” แต่ในกรณีนี้สิ่งที่เด็กหนุ่มได้รับไม่ใช่การกระทำเล็กๆ น่อยๆ ที่ใจดีมีเมตตา แต่เป็นความใจดีมีเมตตาที่ช่วยชีวิตเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงยิ่งมีเหตุผลมากขึ้นที่จะตอบแทนด้วยชีวิต  เขาไม่รู้ว่าอะไรคือขีดจำกัดหรือหลักธรรมของการตอบแทนความใจดีมีเมตตา  เขาเชื่อว่าชีวิตของเขาคือสิ่งที่ครอบครัวนั้นให้มา ดังนั้นเขาจึงต้องอุทิศชีวิตนั้นให้พวกเขาเป็นการตอบแทน และทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาสั่งให้ทำ รวมทั้งการฆาตกรรมหรือการทำชั่วอื่นๆ  การตอบแทนความใจดีมีเมตตาแบบนี้ไม่มีหลักธรรมหรือข้อจำกัด  เขาทำหน้าที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของพวกคนทำชั่วและพร้อมกันนั้นก็ทำให้ตนเองพลอยย่อยยับไปด้วย  การที่เขาตอบแทนความใจดีมีเมตตาในลักษณะนี้ถูกต้องหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ถูกต้อง  นี่เป็นการทำสิ่งต่างๆ อย่างโง่เขลา  จริงอยู่ว่าครอบครัวนี้ช่วยชีวิตเขาและเปิดโอกาสให้เขามีชีวิตต่อไป แต่การตอบแทนความใจดีมีเมตตาของคนเราก็ต้องมีหลักธรรม ขีดจำกัด และความพอประมาณ  พวกเขาช่วยชีวิตเขาไว้ แต่จุดประสงค์ของชีวิตเขานั้นไม่ใช่การทำชั่ว  ความหมายและคุณค่าของชีวิต รวมทั้งภารกิจของมนุษย์ ไม่ใช่การทำชั่วและการฆาตกรรม และเขาก็ไม่ควรดำรงชีวิตเพื่อจุดประสงค์เดียวคือการตอบแทนความใจดีมีเมตตา  เด็กหนุ่มเชื่ออย่างผิดๆ ว่าความหมายและคุณค่าของชีวิตคือการตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างรู้คุณ  นี่เป็นความเข้าใจผิดที่ร้ายแรง  นี่คือผลของการถูกหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ครอบงำเอาไว้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เขาถูกอิทธิพลของคำกล่าวที่ให้ตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้ชักนำให้หลงผิด หรือว่าเขาค้นพบหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง?  เห็นได้ชัดว่าเขาถูกชักนำให้หลงผิดไปมาก—นี่ชัดแจ้งอย่างยิ่ง  ถ้าไม่มีหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้ ผู้คนจะสามารถตัดสินกรณีถูกผิดอย่างง่ายๆ ได้หรือไม่?  (ได้)  เด็กหนุ่มก็คงจะคิดว่า “ครอบครัวนี้อาจจะช่วยชีวิตฉันไว้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาทำเช่นนี้เพื่อธุรกิจและอนาคตของตนเองเท่านั้น  ฉันเป็นเพียงเครื่องมือที่พวกเขาสามารถใช้ทำร้ายหรือฆ่าใครก็ตามที่รบกวนหรือขัดขวางโครงการทำธุรกิจของพวกเขา  นี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่พวกเขาช่วยชีวิตฉัน  พวกเขาฉุดฉันขึ้นมาจากปากเหวของความตายเพียงเพื่อที่จะให้ฉันทำชั่วและสังหารคนเท่านั้น—พวกเขากำลังส่งฉันลงนรกโดยแท้ไม่ใช่หรือ?  นี่จะยิ่งทำให้ฉันทนทุกข์มากขึ้นอีกไม่ใช่หรือ?  เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าพวกเขาปล่อยให้ฉันตายไปเสียยังจะดีกับฉันมากกว่า  พวกเขาไม่ได้ช่วยชีวิตฉันจริง!”  ครอบครัวนี้ไม่ได้ช่วยชีวิตเด็กชายขอทานเพราะอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และเพื่อเปิดโอกาสให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อที่จะควบคุมตัวเขาและสั่งให้เขาทำร้าย ทำอันตราย และฆ่าผู้อื่นเท่านั้น  ดังนั้น แท้จริงแล้วพวกเขากำลังทำดีหรือทำชั่ว?  ชัดเจนทีเดียวว่าพวกเขากำลังทำชั่ว ไม่ใช่ทำดี—ผู้มีบุญคุณเหล่านี้กลายเป็นคนชั่วไปแล้ว  คนชั่วคู่ควรที่จะได้รับการตอบแทนหรือไม่?  ควรตอบแทนพวกเขาหรือไม่?  ไม่ควร  ดังนั้น ทันทีที่เจ้าพบว่าพวกเขาชั่ว เจ้าก็ควรทำอย่างไร?  เจ้าควรอยู่ห่างจากพวกเขา หลีกเลี่ยงพวกเขา และหาทางหนีไปจากพวกเขา  นี่คือปัญญา  บางคนอาจจะกล่าวว่า “คนชั่วเหล่านี้ควบคุมฉันไว้แล้ว จึงไม่ง่ายที่จะหนีจากพวกเขา  เป็นไปไม่ได้ที่จะหนี!”  โดยมากแล้วผลสืบเนื่องของการตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างรู้คุณมักเป็นเช่นนี้  เนื่องจากมีคนดีเพียงน้อยคนนักและมีคนชั่วอยู่มากเหลือเกิน ถ้าเจ้าบังเอิญเจอคนดี การตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขาก็ย่อมไม่เป็นไร แต่ถ้าเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของคนชั่ว นั่นย่อมเทียบเท่าการตกอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจ ของซาตาน  พวกเขาจะออกอุบายเล่นงานเจ้าและปั่นหัวเจ้าเล่น เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นจากการตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา  มีตัวอย่างในเรื่องนี้อยู่มากเกินไปด้วยซ้ำในประวัติศาสตร์  ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าการตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างรู้คุณไม่ใช่หลักเกณฑ์ที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมสำหรับการวางตนและกระทำการ เวลาใครบางคนใจดีมีเมตตากับเจ้า เจ้าควรทำอย่างไร?  พวกเจ้ามีทัศนะเช่นไรในเรื่องนี้?  (ไม่ว่าใครจะช่วยพวกเราก็ตาม พวกเราก็ควรตัดสินใจว่าจะยอมรับความช่วยเหลือของพวกเขาหรือไม่ตามสถานการณ์  ในบางกรณีการยอมรับความช่วยเหลือย่อมไม่เป็นไร แต่ในกรณีอื่นๆ พวกเราต้องไม่ยอมรับความช่วยเหลืออย่างมืดบอด  ถ้ายอมรับความช่วยเหลือ พวกเราก็ยังจำเป็นต้องมีหลักธรรมและขีดเส้นว่าจะตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขาอย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคนชั่วหลอกลวงหรือเอารัดเอาเปรียบ)  นี่คือวิธีรับมือสถานการณ์อย่างมีหลักธรรม  นอกจากนี้ถ้าเจ้าไม่สามารถมองสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนหรือเจอทางตัน เจ้าก็ต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและขอให้พระองค์เปิดทางให้เจ้า  นี่จะเปิดโอกาสให้เจ้าหลีกเลี่ยงการทดลองและหนีพ้นกรงเล็บของซาตานได้  บางครั้งพระเจ้าก็จะทรงใช้งานซาตานเพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่ในกรณีดังกล่าวพวกเราก็ต้องขอบคุณพระเจ้าและไม่ตอบแทนความใจดีมีเมตตาของซาตาน—นี่เป็นเรื่องของหลักธรรม  เมื่อการทดลองมาในรูปของคนชั่วที่มอบความใจดีมีเมตตา เจ้าต้องชัดเจนก่อนว่าใครกันแน่ที่กำลังช่วยเจ้าและให้การอนุเคราะห์ สถานการณ์ของตัวเจ้าเองเป็นเช่นไร และมีเส้นทางอื่นที่เจ้าสามารถใช้ได้หรือไม่  ในกรณีเช่นนั้นเจ้าต้องใช้ไหวพริบ  ถ้าพระเจ้าประสงค์ที่จะช่วยเจ้าให้รอด ไม่ว่าพระองค์จะทรงใช้งานใครเพื่อทำให้เรื่องนี้สำเร็จลุล่วง เจ้าก็ควรขอบคุณพระเจ้าก่อนและยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า  เจ้าไม่ควรมุ่งขอบคุณผู้คนเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมอบชีวิตของเจ้าให้ใครบางคนด้วยความรู้คุณ  นี่เป็นความผิดพลาดอันร้ายแรง  สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือหัวใจของเจ้านั้นสำนึกขอบคุณพระเจ้า และเจ้าก็ยอมรับความช่วยเหลือจากพระองค์  ถ้าคนที่ให้ความใจดีมีเมตตาแก่เจ้า ช่วยเหลือเจ้า หรือช่วยชีวิตเจ้าเป็นคนดี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา แต่เจ้าก็ควรทำเท่าที่เจ้าสามารถทำได้ตามกำลังของเจ้าเท่านั้น  ถ้าคนที่ช่วยเหลือเจ้ามีเจตนาที่ผิดและคิดจะออกอุบายเล่นงานเจ้าและใช้เจ้าเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบแทนพวกเขาแต่ประการใด  สรุปแล้ว พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของมนุษย์ ดังนั้นตราบใดที่เจ้าไม่มีความรู้สึกผิดอยู่ในมโนธรรมของตนและเจ้ามีแรงจูงใจที่ถูกต้อง นั่นย่อมไม่ใช่ปัญหา  กล่าวคือ ก่อนที่เจ้าจะมาเข้าใจความจริง อย่างน้อยการกระทำของเจ้าก็จำเป็นต้องสอดคล้องกับมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์  เจ้าควรที่จะสามารถรับมือสถานการณ์นี้ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลเพื่อให้เจ้าไม่มีวันเสียใจในการกระทำของตนเองไม่ว่าจะเป็นเมื่อใดในอนาคต  พวกเจ้าทุกคนเป็นผู้ใหญ่แล้วและผ่านอะไรต่ออะไรในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงมามากทีเดียว—ในชีวิตของพวกเจ้าเคยไร้ซึ่งการปราบปราม ข่มเหง ทารุณ หรือดูหมิ่นเหยียดหยามบ้างหรือไม่?  พวกเจ้าทุกคนมองเห็นชัดเจนว่ามนุษยชาติเสื่อมทรามอย่างหนักขนาดไหน ดังนั้นไม่ว่าพวกเจ้าจะเผชิญการทดลองอย่างไร พวกเจ้าก็ต้องรับมือด้วยปัญญาและไม่หลงเชื่อกลลวงของซาตาน  ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้าสถานการณ์แบบใดก็ตาม เจ้าต้องแสวงหาความจริงและตัดสินใจต่อเมื่อเข้าใจหลักธรรมผ่านทางการอธิษฐานและสามัคคีธรรมแล้วเท่านั้น  ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ คริสตจักรได้ดำเนินงานชำระล้าง และมีคนชั่ว ผู้ปราศจากความเชื่อ และศัตรูของพระคริสต์มากมายถูกเปิดโปงและนำตัวออกไปหรือไล่ออกไป  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น  ในเมื่อแม้กระทั่งในคริสตจักรยังมีผู้คนที่เลอะเลือน มีคนชั่วและผู้ปราศจากความเชื่อมากมายขนาดนี้ เราก็คิดเอาว่าพวกเจ้าย่อมเข้าใจชัดเจนใช่ไหมว่าพวกผู้ไม่เชื่อต้องเสื่อมทรามและชั่วกันเพียงใด?  เมื่อไม่มีความจริงและปัญญา ผู้คนก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อย่างชัดแจ้งและมีแต่จะถูกคนชั่วและซาตานหลอกลวง ตบตา และปั่นหัวเล่นเท่านั้น  เมื่อเป็นดังนั้น พวกเขาก็ย่อมกลายเป็นลูกสมุนของซาตาน  ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงและไร้ซึ่งหลักธรรมย่อมทำแต่เรื่องโง่เขลา

เมื่อบางคนลำบากหรือมีอันตราย แล้วเกิดได้รับความช่วยเหลือจากคนชั่วที่ทำให้ตนหลุดจากสถานการณ์นั้นๆ พวกเขาก็มาเชื่อว่าคนชั่วนั้นเป็นคนดี และพวกเขาก็เต็มใจที่จะทำบางสิ่งให้คนชั่วเพื่อแสดงความขอบคุณ  อย่างไรก็ดี ในกรณีดังกล่าว คนชั่วย่อมจะพยายามดึงพวกเขาเข้ามาข้องเกี่ยวกับการกระทำอันต่ำทรามของตนและใช้พวกเขาทำเรื่องไม่ดี  ถ้าพวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็จะกลายเป็นเรื่องอันตรายได้  บางคนที่เป็นเช่นนี้ย่อมจะรู้สึกขัดแย้งในสถานการณ์เหล่านี้ เพราะพวกเขาคิดไปว่าถ้าตนไม่ช่วยเพื่อนชั่วของตนทำเรื่องไม่ดีบ้าง ก็จะดูเหมือนว่าตนนั้นไม่ได้ตอบแทนความเป็นเพื่อนนี้มากพอ แต่การทำสิ่งผิดย่อมจะฝืนมโนธรรมและเหตุผลของตน  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่อย่างนี้  นี่คือผลจากการถูกแนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้ครอบงำ—พวกเขาถูกแนวคิดนี้ตีตรวน พันธนาการ และควบคุมเอาไว้  มีอยู่หลายกรณีที่คำกล่าวจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้เข้าแทนที่สำนึกในมโนธรรมของมนุษย์และดุลยพินิจตามปกติของเขา และแน่นอนว่ามีอิทธิพลต่อวิธีคิดตามปกติและการตัดสินใจที่ถูกต้องของมนุษย์อีกด้วย  แนวคิดทั้งหลายของวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นไม่ถูกต้องและส่งผลโดยตรงต่อทัศนะที่มนุษย์มีต่อสิ่งต่างๆ ทำให้เขาตัดสินใจได้ไม่ดี  จากสมัยโบราณมาถึงยุคปัจจุบัน ผู้คนนับไม่ถ้วนตกอยู่ใต้อิทธิพลของแนวคิด ทัศนะ และหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้  แม้เมื่อคนที่ใจดีมีเมตตากับพวกเขาจะเป็นคนชั่วหรือคนไม่ดี และบีบให้พวกเขาทำเรื่องที่ต่ำทรามและเรื่องที่ไม่ดี พวกเขาก็ยังคงเดินสวนทางกับมโนธรรมและเหตุผลของตน ยอมทำตามอย่างมืดบอดเพื่อที่จะตอบแทนความใจดีมีเมตตาของอีกฝ่าย พร้อมกับผลวิบัติที่ตามมามากมาย  อาจกล่าวได้ว่าผู้คนมากมายเมื่อถูกหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ครอบงำ ล่ามโซ่ ควบคุม และพันธนาการเอาไว้ ก็ยอมค้ำจุนทัศนะเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้อย่างมืดบอดและด้วยความเข้าใจผิด และมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือและส่งเสริมพวกคนชั่วด้วยซ้ำ  บัดนี้เมื่อพวกเจ้าได้ฟังสามัคคีธรรมของเราแล้ว พวกเจ้าย่อมนึกภาพสถานการณ์นี้ออกอย่างชัดเจน และสามารถตัดสินได้ว่านี่คือความจงรักภักดีที่เบาปัญญา พฤติกรรมเช่นนี้นับเป็นการวางตัวที่ไม่มีการขีดเส้นอะไรเลย และผลีผลามตอบแทนความใจดีมีเมตตาโดยไม่ใช้วิจารณญาณ เป็นพฤติกรรมที่ไร้ความหมายและคุณค่า  เนื่องจากผู้คนกลัวการถูกความเห็นของคนส่วนใหญ่ต่อว่าหรือถูกผู้อื่นกล่าวโทษ พวกเขาจึงฝืนอุทิศชีวิตของตนให้กับการตอบแทนความใจดีมีเมตตาของผู้อื่น ถึงขั้นพลีชีวิตของตนในกระบวนการดังกล่าว ซึ่งเป็นหนทางดำเนินสิ่งต่างๆ แบบเหตุผลวิบัติและเบาปัญญา  คำกล่าวจากวัฒนธรรมดั้งเดิมข้อนี้ไม่เพียงผูกล่ามการคิดอ่านของผู้คนเอาไว้เท่านั้น แต่ยังทำให้ชีวิตของพวกเขาหนักอึ้งและลำบากโดยไม่จำเป็น และเป็นการเพิ่มความทุกข์และภาระให้แก่ครอบครัวของพวกเขา  ผู้คนมากมายจ่ายราคาที่สูงมากเพื่อตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับ—พวกเขามองการตอบแทนความใจดีมีเมตตาว่าเป็นความรับผิดชอบทางสังคมหรือเป็นหน้าที่ของตน และอาจถึงกับใช้เวลาชั่วชีวิตของตนไปกับการตอบแทนความใจดีมีเมตตาของผู้อื่น  พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นเรื่องปกติและสมควรทำโดยแท้ เป็นหน้าที่ที่มิอาจบ่ายเบี่ยงได้  มุมมองและวิธีทำสิ่งต่างๆ เช่นนี้เบาปัญญาและไร้สาระมิใช่หรือ?  นี่เผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้คนไม่รู้ความและไร้ซึ่งความรู้แจ้งกันขนาดไหน  ไม่ว่าคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า—ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ—นี้อาจสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเช่นไร แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามหลักธรรมความจริง เข้ากันไม่ได้กับพระวจนะของพระเจ้า เป็นทัศนะและวิธีการที่ไม่ถูกต้องในการทำสิ่งทั้งหลาย

ในเมื่อการตอบแทนความใจดีมีเมตตาไม่เกี่ยวข้องกับความจริงและข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ และเป็นเรื่องที่พวกเราวิพากษ์วิจารณ์กันตลอดมา แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงมองคำกล่าวข้อนี้ว่าอย่างไร?  ผู้คนที่ปกติควรมองและทำเช่นใดกับคำกล่าวนี้?  พวกเจ้าชัดเจนในเรื่องนี้หรือไม่?  หากว่าก่อนหน้านี้มีใครบางคนมอบความใจดีมีเมตตาที่เป็นผลดีต่อเจ้าอย่างยิ่งหรือเอื้อประโยชน์ครั้งใหญ่แก่เจ้า เจ้าควรตอบแทนพวกเขาหรือไม่?  เจ้าควรรับมือสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร?  นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทัศนะของผู้คนมิใช่หรือ?  นี่เป็นเรื่องทัศนะของผู้คน รวมทั้งเส้นทางปฏิบัติของพวกเขา  จงบอกเราเถิดว่าพวกเจ้ามีทัศนะเช่นใดในเรื่องนี้—ถ้าใครบางคนใจดีมีเมตตากับเจ้า เจ้าควรตอบแทนพวกเขาหรือไม่?  ถ้าพวกเจ้ายังไม่สามารถเข้าใจประเด็นนี้ได้ก็ย่อมจะเป็นปัญหา  ก่อนหน้านี้พวกเจ้าไม่เข้าใจความจริงและตอบแทนความใจดีมีเมตตาราวกับว่าการทำเช่นนี้คือความจริง  คราวนี้หลังจากฟังการชำแหละและวิพากษ์วิจารณ์ของเราแล้ว พวกเจ้าย่อมเห็นแล้วว่าปัญหาอยู่ตรงไหน แต่พวกเจ้าก็ยังไม่รู้ว่าจะปฏิบัติหรือจัดการเรื่องนี้อย่างไร—พวกเจ้ายังไม่สามารถเข้าใจประเด็นนี้อีกหรือ?  ก่อนที่พวกเจ้าจะเข้าใจความจริง พวกเจ้าใช้ชีวิตตามมโนธรรมของตนและไม่ว่าใครจะมอบความใจดีมีเมตตาแก่เจ้าหรือช่วยเหลือเจ้าก็ตาม ต่อให้พวกเขาเป็นคนชั่วหรืออันธพาล เจ้าก็จะตอบแทนพวกเขาอย่างแน่นอน และรู้สึกว่าจำต้องรับกระสุนแทนเพื่อนๆ ของเจ้า ถึงขั้นยอมเอาชีวิตของเจ้าไปเสี่ยงเพื่อพวกเขา  ผู้ชายควรยอมตัวเป็นทาสของผู้มีคุณของตนเป็นการตอบแทน ส่วนผู้หญิงก็ควรปฏิญาณตนในพิธีสมรสและคลอดลูกให้พวกเขา—นี่คือแนวคิดที่วัฒนธรรมดั้งเดิมประทับไว้ในใจของผู้คน สั่งให้พวกเขาตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างสำนึกรู้คุณ  ผลก็คือผู้คนคิดไปว่า “ผู้คนที่ตอบแทนความใจดีมีเมตตาเท่านั้นที่มีมโนธรรม และถ้าพวกเขาไม่ตอบแทนความใจดีมีเมตตา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องไร้มโนธรรมและเป็นอมนุษย์”  แนวคิดนี้ฝังรากอยู่ในหัวใจของผู้คนอย่างมั่นคง  จงบอกเราเถิดว่าสัตว์ทั่วไปรู้จักตอบแทนความใจดีมีเมตตาหรือไม่?  (รู้)  เมื่อเป็นเช่นนั้น จะถือว่ามนุษย์เจริญก้าวหน้าได้อย่างแท้จริงเพียงเพราะพวกเขารู้จักตอบแทนความใจดีมีเมตตากระนั้นหรือ?  การตอบแทนความใจดีมีเมตตาของมนุษย์นับเป็นเครื่องบ่งชี้สภาวะความเป็นมนุษย์ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ดังนั้นผู้คนควรมีทัศนะเช่นใดในเรื่องนี้?  ควรเข้าใจเรื่องแบบนี้ว่าอย่างไร?  เมื่อเข้าใจแล้ว คนเราควรดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร?  เหล่านี้คือคำถามที่พวกเจ้าทุกคนควรมุ่งหาคำตอบในตอนนี้  พวกเจ้าช่วยแบ่งปันทัศนะในเรื่องนี้ให้เราฟังด้วยเถิด  (ถ้ามีใครบางคนช่วยข้าพระองค์แก้ไขเรื่องราวหรือปัญหาจริง ข้าพระองค์กจะขอบคุณพวกเขาจากใจจริงก่อน แต่จะไม่ยอมให้สถานการณ์นี้มาตีกรอบหรือควบคุมตนเอง  ถ้าพวกเขาเผชิญความยากลำบาก ข้าพระองค์ย่อมจะทำสิ่งที่ตัวเองสามารถทำให้พวกเขาได้ตามกำลังของตน  ข้าพระองค์จะช่วยพวกเขาในสิ่งที่ช่วยได้ แต่จะไม่บังคับตัวเองให้ทำอะไรเกินกำลัง)  นี่คือทัศนะที่ถูกต้อง และวิธีทำนี้ก็ใช้ได้  มีใครอยากแบ่งปันทัศนะของตนในเรื่องนี้อีก?  (เมื่อก่อนข้าพระองค์มีทัศนะว่าถ้ามีใครช่วยเหลือตน เวลาพวกเขาพบเจอปัญหา ข้าพระองค์ก็ควรช่วยตอบ  เมื่อพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมและชำแหละทัศนะเรื่อง “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” และ “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ข้าพระองค์จึงมาตระหนักว่าคนเราต้องทำตามหลักธรรมเวลาช่วยเหลือผู้อื่น  ถ้าใครบางคนใจดีมีเมตตากับข้าพระองค์หรือช่วยข้าพระองค์ มโนธรรมของข้าพระองค์ย่อมบอกว่าข้าพระองค์ควรช่วยพวกเขาเช่นกัน แต่ความช่วยเหลือที่ข้าพระองค์มอบให้ต้องเป็นไปตามรูปการณ์ของตนเองและสิ่งที่ข้าพระองค์สามารถให้ได้  นอกจากนี้ข้าพระองค์ก็ควรช่วยพวกเขาแก้ปัญหาและดูแลสิ่งที่จำเป็นในชีวิตเท่านั้น ไม่ควรช่วยพวกเขาทำชั่วหรือทำเรื่องไม่ดี  ถ้าข้าพระองค์มองเห็นพี่น้องชายหรือหญิงประสบปัญหา ข้าพระองค์ก็จะช่วยพวกเขา ไม่ใช่เพราะพวกเขาเคยช่วยข้าพระองค์ แต่เพราะนั่นเป็นหน้าที่ เป็นความรับผิดชอบของข้าพระองค์)  มีอะไรอีก?  (ข้าพระองค์จดจำพระวจนะของพระเจ้าที่ตรัสว่า “หากมีใครช่วยเหลือพวกเรา พวกเราก็ควรน้อมรับความช่วยเหลือนั้นจากพระเจ้า”  นั่นหมายความว่าเมื่อใดก็ตามที่มีคนทำดีกับพวกเรา พวกเราก็ควรน้อมรับจากพระเจ้าและควรที่จะสามารถรับมือการกระทำนั้นได้อย่างถูกต้อง  เมื่อทำเช่นนั้น พวกเราย่อมจะสามารถเข้าใจทัศนะเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้ได้อย่างถูกต้อง  พระเจ้ายังตรัสด้วยว่าพวกเราต้องรักสิ่งที่พระเจ้ารักและเกลียดสิ่งที่พระเจ้าเกลียด  เวลาช่วยผู้อื่น พวกเราจึงต้องแยกแยะว่าคนคนนั้นเป็นคนที่พระเจ้ารักหรือเกลียด  นี่คือหลักธรรมที่พวกเราต้องปฏิบัติตาม)  นี่สัมพันธ์กับความจริง—เป็นหลักธรรมที่ถูกต้องและมีหลักการในตัวเอง  ตอนนี้พวกเราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องที่สัมพันธ์กับความจริงเลย แต่จงมาพูดถึงว่าผู้คนควรรับมือเรื่องนี้ในแง่ของสภาวะความเป็นมนุษย์กันอย่างไรดีกว่า  ในความเป็นจริงแล้ว สถานการณ์ที่เจ้าอาจพบเจอนั้นไม่ได้ง่ายเช่นนั้นเสมอไป—กล่าวคือ ไม่ได้เกิดขึ้นในคริสตจักรและในหมู่พี่น้องชายหญิงเสมอไป  บ่อยครั้งมักจะเกิดขึ้นนอกเขตคริสตจักร  ตัวอย่างเช่น ญาติพี่น้อง เพื่อน คนรู้จัก หรือเพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ไม่เชื่ออาจแสดงความใจดีมีเมตตาต่อเจ้าหรือช่วยเหลือเจ้า  ถ้าเจ้าสามารถรับมือเรื่องนี้และปฏิบัติต่อคนที่ช่วยเจ้าได้อย่างถูกต้อง ซึ่งก็คือในหนทางที่ทั้งสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงและดูเหมาะสมในสายตาของผู้อื่น เช่นนั้นแล้วท่าทีและแนวคิดที่เจ้ามีต่อเรื่องนี้ก็จะค่อนข้างถูกต้อง  แนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณแยกแยะ  ส่วนที่สำคัญที่สุดคือคำว่า “ความใจดีมีเมตตา”—เจ้าควรมองความใจดีมีเมตตานี้อย่างไร?  นี่กล่าวถึงธรรมชาติและแง่มุมใดของความใจดีมีเมตตา?  อะไรคือนัยสำคัญของคำกล่าวที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ”?  คำถามเหล่านี้ผู้คนต้องขบคิดคำตอบให้ออก และไม่ว่าจะอยู่ภายใต้รูปการณ์แบบใดก็ต้องไม่ถูกแนวคิดเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้บีบคั้น—สำหรับใครก็ตามที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง  ตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์แล้ว “ความใจดีมีเมตตา” คืออะไร?  ในระดับที่เล็กลงมา ความใจดีมีเมตตาคือการที่ใครบางคนช่วยเหลือเจ้ายามที่เจ้าเดือดร้อน  ตัวอย่างเช่น มีใครบางคนให้ข้าวหนึ่งถ้วยแก่เจ้าในยามที่เจ้าอดอยาก หรือให้น้ำหนึ่งขวดในยามที่เจ้ากำลังจะตายด้วยความกระหาย หรือช่วยพยุงเจ้าขึ้นมาในยามที่เจ้าล้มลงและลุกขึ้นไม่ได้  ทั้งหมดนี้คือการกระทำที่ใจดีมีเมตตา  การกระทำที่ใจดีมีเมตตาและยิ่งใหญ่ก็คือการที่ใครบางคนช่วยชีวิตเจ้าไว้ในยามที่เจ้าลำบากอย่างยิ่ง—นั่นคือความใจดีมีเมตตาที่เป็นการช่วยชีวิต  เมื่อเจ้ามีอันตรายถึงชีวิตและใครบางคนช่วยให้เจ้าหลีกเลี่ยงความตาย ในแก่นแท้แล้วพวกเขากำลังช่วยชีวิตเจ้า  ทั้งหมดนี้คือบางสิ่งที่ผู้คนรับรู้ว่าเป็น “ความใจดีมีเมตตา”  ความใจดีมีเมตตาแบบนี้เหนือกว่าการเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ทางวัตถุ—นี่เป็นความใจดีมีเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถวัดเป็นเงินทองหรือสิ่งของได้  ผู้รับย่อมรู้สึกเป็นความรู้คุณอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาด้วยคำขอบคุณเพียงไม่กี่คำได้  แต่การที่ผู้คนวัดความใจดีมีเมตตาด้วยวิธีนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ทำไมเจ้าถึงบอกว่าไม่ถูกต้อง?  (เพราะนี่เป็นการวัดตามมาตรฐานของวัฒนธรรมดั้งเดิม)  นี่เป็นคำตอบตามทฤษฎีและคำสอน และแม้จะดูเหมือนถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้เข้าถึงแก่นแท้ของเรื่อง  ดังนั้นคนเราจะสามารถอธิบายเรื่องนี้ด้วยถ้อยคำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้อย่างไร?  จงใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนเถิด  ไม่นานมานี้เราได้ฟังเรื่องวิดีโอออนไลน์ที่มีชายคนหนึ่งทำกระเป๋าสตางค์หล่นโดยไม่รู้ตัว  หมาน้อยตัวหนึ่งเก็บกระเป๋าสตางค์ใบนั้นขึ้นมาและวิ่งไล่ตามเขา เมื่อชายคนนั้นเห็นเช่นนี้ เขาก็ตีหมา หาว่าขโมยกระเป๋าสตางค์ของตนไป  นี่ไร้สาระมิใช่หรือ?  ชายคนนั้นมีศีลธรรมน้อยกว่าหมาตัวนั้นเสียอีก!  การกระทำของหมาเป็นไปตามมาตรฐานทางศีลธรรมของมนุษย์โดยสมบูรณ์  มนุษย์คงจะร้องบอกว่า “คุณทำกระเป๋าของคุณตก!”  แต่เพราะหมาพูดไม่ได้ มันจึงเพียงแต่เก็บกระเป๋าขึ้นมาเงียบๆ และวิ่งตามชายคนนั้น  ดังนั้นถ้าหมามีพฤติกรรมอันดีงามบางอย่างตามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมให้การสนับสนุนได้ นั่นย่อมบอกอะไรเกี่ยวกับมนุษย์?  มนุษย์เกิดมาพร้อมมโนธรรมและเหตุผล ดังนั้นพวกเขาจึงยิ่งสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้  ตราบใดที่ใครคนหนึ่งมีสำนึกในมโนธรรมของตน พวกเขาย่อมสามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่เช่นนี้ได้  เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพยายามให้มากหรือจ่ายราคา อาศัยความพยายามนิดหน่อย และเป็นเรื่องของการทำสิ่งที่เป็นการช่วยเหลือ สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเท่านั้น  แต่ธรรมชาติของการกระทำเช่นนี้แท้จริงแล้วเหมาะที่จะเป็น “ความใจดีมีเมตตา” หรือไม่?  นี่ถึงขั้นเป็นการกระทำที่ใจดีมีเมตตาหรือไม่?  (ไม่ถึง)  ในเมื่อไม่ถึง ผู้คนจำเป็นต้องพูดถึงการตอบแทนการกระทำนี้หรือไม่?  นั่นย่อมจะไม่จำเป็น

คราวนี้พวกเราหันมาสนใจเรื่องของสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าความใจดีมีเมตตากันเถิด  ตัวอย่างเช่น จงดูกรณีของคนใจดีที่ช่วยชีวิตขอทานซึ่งหิวจนหมดสติอยู่ในหิมะข้างนอกเถิด  พวกเขาพาขอทานเข้ามาในบ้านของตน หาอาหารให้กินและเอาเสื้อผ้าให้ใส่ ยอมให้เขาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของตนและทำงานให้ตน  ไม่ว่าขอทานนั้นจะอาสาทำงานด้วยตนเองหรือไม่ ไม่ว่าเขาจะทำเช่นนั้นเพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณหรือไม่ การช่วยชีวิตเขาใช่การกระทำที่ใจดีมีเมตตาหรือเปล่า?  (ไม่ใช่)  กระทั่งสัตว์ตัวเล็กๆ ยังสามารถเกื้อกูลและช่วยชีวิตกันได้  การที่มนุษย์จะทำอะไรเช่นนี้พึงต้องใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และไม่ว่าใครก็ตามที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ย่อมสามารถทำเรื่องดังกล่าวและสามารถลงมือทำได้  คนเราอาจกล่าวได้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ทางสังคมซึ่งใครก็ตามที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์พึงทำให้ลุล่วง  การที่มนุษย์เรียกการกระทำดังกล่าวว่าความใจดีมีเมตตานั้นย่อมเกินเหตุไปหน่อยมิใช่หรือ?  เป็นการเรียกที่เหมาะสมหรือไม่?  ตัวอย่างเช่น ระหว่างที่เกิดการกันดารอาหารอยู่ระยะหนึ่งและผู้คนมากมายอาจไม่มีกิน ถ้าคนรวยสักคนแจกจ่ายถุงข้าวสารแก่บ้านที่ยากจนเพื่อช่วยให้คนเหล่านั้นผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ นี่คือตัวอย่างของการช่วยเหลือและเกื้อหนุนขั้นพื้นฐานทางศีลธรรมแบบที่ควรเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์โดยแท้มิใช่หรือ?  เขาเพียงมอบข้าวสารให้คนเหล่านั้นบ้าง—ไม่ใช่ว่าแจกจ่ายอาหารทั้งหมดที่ตนมีให้แก่ผู้อื่นและไม่มีกินเสียเอง  แท้จริงแล้วนี่นับเป็นความใจดีมีเมตตาหรือไม่?  (ไม่นับ)  ความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ทางสังคมที่มนุษย์สามารถทำให้ลุล่วงได้ การกระทำเหล่านั้นที่มนุษย์ควรที่จะสามารถทำได้และพึงทำโดยสัญชาตญาณ และการทำอะไรง่ายๆ ที่เป็นการช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น—สิ่งเหล่านี้ไม่มีทางนับเป็นความใจดีมีเมตตาได้ เพราะล้วนเป็นกรณีที่มนุษย์เพียงแต่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเท่านั้น  การให้ความช่วยเหลือแก่คนที่บังเอิญต้องการให้ช่วย ในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม เป็นเหตุการณ์ที่ปกติมาก และเป็นความรับผิดชอบของสมาชิกทุกคนในเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วย  นี่เป็นเพียงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่อย่างหนึ่งเท่านั้น  พระเจ้าประทานสัญชาตญาณเหล่านี้แก่ผู้คนตอนที่พระองค์ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมา  ในที่นี้เรากำลังหมายถึงสัญชาตญาณอะไร?  เรากำลังหมายถึงมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์  เมื่อเจ้าเห็นใครคนหนึ่งล้มลงกับพื้น ปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของเจ้าก็คือ “ฉันควรเข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้นมา”  ถ้าเจ้ามองเห็นคนล้ม แต่กลับทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ได้เข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้นมา นี่ย่อมจะบีบคั้นมโนธรรมของเจ้า และเจ้าย่อมจะรู้สึกแย่กับการทำเช่นนี้  คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงย่อมจะคิดช่วยพยุงคนขึ้นมาทันทีที่เห็นเขาล้มลง  พวกเขาจะไม่ใส่ใจว่าคนคนนั้นขอบคุณตนหรือไม่ เพราะพวกเขาเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ตนพึงทำ และไม่เห็นความจำเป็นที่จะคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวอีก  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เหล่านี้คือสัญชาตญาณที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ และใครก็ตามที่มีมโนธรรมและเหตุผลย่อมจะคิดทำเช่นนี้และสามารถลงมือทำเช่นนี้  พระเจ้าประทานมโนธรรมและหัวใจที่เป็นมนุษย์แก่คนเรา—เนื่องจากมนุษย์มีหัวใจที่เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นเขาจึงมีความคิดอ่านอย่างมนุษย์ รวมทั้งมุมมองและแนวทางที่เขาควรมีในบางเรื่อง ดังนั้นเขาจึงสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้โดยธรรมชาติและโดยง่าย  เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือหรือการชี้นำเชิงอุดมคติจากกลุ่มคนภายนอก และเขาก็ไม่ต้องการการศึกษาหรือภาวะผู้นำที่เป็นบวกด้วยซ้ำ—เขาไม่จำเป็นต้องมีอะไรแบบนั้น  นี่ก็เหมือนกับการที่ผู้คนมองหาอาหารเวลาหิวหรือแสวงหาน้ำเวลากระหายโดยแท้—นี่เป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งและไม่จำเป็นต้องมีพ่อแม่หรือครูคอยสอน—มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เพราะมนุษย์มีการคิดอ่านตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ในทำนองเดียวกัน ผู้คนย่อมสามารถลุล่วงหน้าที่และความรับผิดชอบของตนในพระนิเวศของพระเจ้าได้ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ใครก็ตามที่มีมโนธรรมและเหตุผลพึงทำ  ด้วยเหตุนี้สำหรับมนุษย์แล้ว การช่วยผู้คนและใจดีมีเมตตากับพวกเขาจึงแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม เป็นเรื่องที่มีอยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์ และเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้โดยสมบูรณ์  ไม่มีความจำเป็นต้องจัดอันดับให้สูงเท่าความใจดีมีเมตตา  อย่างไรก็ดี ผู้คนมากมายนึกว่าความช่วยเหลือจากผู้อื่นคือความใจดีมีเมตตา และพูดถึงความช่วยเหลือนั้นอยู่เสมอ คอยตอบแทนอยู่ตลอดเวลา นึกไปว่าถ้าพวกเขาไม่ตอบแทน พวกเขาก็ไม่มีมโนธรรม  พวกเขานึกดูถูกและดูหมิ่นตัวเอง ถึงกับกังวลว่าตนนั้นจะถูกความเห็นของคนส่วนใหญ่รุมตำหนิ  จำเป็นต้องกังวลเรื่องเหล่านี้หรือไม่?  (ไม่)  มีผู้คนมากมายที่มองข้ามเรื่องนี้ไปไม่ได้ และถูกเรื่องนี้บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา  นี่คือการไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง  ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าไปทะเลทรายกับเพื่อน และน้ำของเพื่อนหมด แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะให้น้ำบางส่วนของตนแก่เพื่อน เจ้าจะไม่เอาแต่ปล่อยให้เพื่อนตายเพราะกระหายน้ำ  แม้เจ้าจะรู้ว่าน้ำหนึ่งขวดของเจ้าจะหมดเร็วขึ้นอีกเท่าตัวเพราะคนสองคนแบ่งกันดื่ม เจ้าก็จะแบ่งน้ำให้เพื่อนอยู่ดี  ทีนี้ ทำไมเจ้าถึงจะทำแบบนั้น?  เพราะเจ้าไม่อาจทนดื่มน้ำของตนเองในขณะที่เพื่อนของเจ้ายืนทุกข์ทนเพราะความกระหายได้—เจ้าก็แค่ทนดูไม่ได้เท่านั้นเอง  อะไรทำให้เจ้าทนดูเพื่อนของเจ้าทุกข์ทนเพราะกระหายน้ำไม่ได้?  สำนึกในมโนธรรมของเจ้านั่นเองที่ทำให้เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมา  ต่อให้เจ้าไม่อยากลุล่วงความรับผิดอบและภาระหน้าที่แบบนี้ มโนธรรมของเจ้าก็จะทำให้เจ้าทนแชเชือนไม่ไหว มโนธรรมของเจ้าจะทำให้เจ้ารู้สึกเสียใจ  ทั้งหมดนี้เป็นผลจากสัญชาตญาณของมนุษย์มิใช่หรือ?  มโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์ตัดสินเรื่องทั้งหมดนี้มิใช่หรือ?  ถ้าเพื่อนบอกว่า “ฉันติดหนี้บุญคุณเธอที่ยกน้ำบางส่วนของตัวเองให้ฉันในสถานการณ์นั้น!” การพูดแบบนี้ย่อมจะผิดเช่นกันใช่หรือไม่?  นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับความใจดีมีเมตตา  ถ้ากลับด้านกันแล้วเพื่อนคนนั้นมีสภาวะความเป็นมนุษย์ มโนธรรม และเหตุผล เพื่อนก็ย่อมจะปันน้ำของตนให้เจ้าเช่นกัน  นี่เป็นเพียงความรับผิดชอบหรือสัมพันธภาพขั้นพื้นฐานทางสังคมระหว่างผู้คนเท่านั้น  สัมพันธภาพหรือความรับผิดชอบหรือภาระหน้าที่ขั้นพื้นฐานที่สุดทางสังคมเหล่านี้ล้วนเกิดจากสำนึกในมโนธรรมของมนุษย์ สภาวะความเป็นมนุษย์ของเขา และสัญชาตญาณที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์เมื่อครั้งที่ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา  ภายใต้รูปการณ์ปกติ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องให้พ่อแม่สอนหรือให้สังคมปลูกฝัง และยิ่งไม่ต้องให้ผู้อื่นพร่ำว่ากล่าวตักเตือนให้เจ้าทำ  การศึกษาจะมีความจำเป็นก็เฉพาะกับคนที่ไม่มีมโนธรรมและเหตุผล คนที่ไร้ความสามารถในการรับรู้ที่ปกติ—เช่น ผู้คนที่บกพร่องทางสติปัญญาหรือผู้ที่เชื่อคนง่าย—หรือคนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อย ไม่รู้ความและดื้อรั้นเท่านั้น  คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่จำเป็นต้องให้สอนเรื่องเหล่านี้—ผู้คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลมีสิ่งเหล่านี้กันทุกคน  ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมที่จะพูดจาเกินจริงไปมากเกี่ยวกับพฤติกรรมบางอย่างหรือทำเหมือนเป็นความใจดีมีเมตตารูปแบบหนึ่งในเมื่อนั่นเป็นไปตามสัญชาตญาณและตามมโนธรรมและเหตุผลเท่านั้น  ทำไมจึงไม่เหมาะสม?  ด้วยการยกชูพฤติกรรมเช่นนั้นขึ้นมาถึงขั้นนี้ เจ้าย่อมเพิ่มความหนักอึ้งและภาระให้กับทุกคน และแน่นอนว่านี่ย่อมทำให้ผู้คนไม่มีอิสระ  ตัวอย่างเช่น ถ้าที่ผ่านมามีคนเคยให้เงินเจ้า ช่วยให้เจ้าผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบาก ช่วยเจ้าหางาน หรือช่วยชีวิตเจ้าไว้ เจ้าย่อมจะคิดว่า “ฉันจะไม่รู้คุณคนไม่ได้ ฉันต้องมีมโนธรรมและตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา  ถ้าฉันไม่ตอบแทนความใจดีมีเมตตา ฉันจะยังคงเป็นคนอยู่อีกหรือ?”  ในความเป็นจริงทั้งมวล ไม่ว่าเจ้าจะตอบแทนพวกเขาหรือไม่ เจ้าก็ยังคงเป็นมนุษย์และยังคงใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ—การตอบแทนดังกล่าวจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย  สภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็จะไม่ถูกกำราบเพียงเพราะเจ้าตอบแทนพวกเขาเป็นอย่างดี  ในทำนองเดียวกัน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าย่อมจะไม่แย่ลงเพียงเพราะเจ้าตอบแทนพวกเขาไม่ดี  การที่เจ้ามอบความใจดีมีเมตตาเป็นการตอบแทนหรือไม่นั้นจึงไม่มีความเชื่อมโยงกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  แน่นอนว่าสำหรับเราแล้ว ไม่ว่าความเชื่อมโยงจะมีอยู่หรือไม่ “ความใจดีมีเมตตา” แบบนี้ก็ไม่มีอยู่จริง และเราหวังว่าพวกเจ้าจะคิดเห็นแบบเดียวกัน  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าควรมองเรื่องนี้อย่างไร?  จงมองว่านี่คือภาระหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างหนึ่งก็พอ และเป็นสิ่งที่คนคนหนึ่งที่มีสัญชาตญาณของมนุษย์ควรทำ  เจ้าควรถือว่านี่คือความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของเจ้าในฐานะมนุษย์ และจงทำอย่างสุดความสามารถของเจ้า  ทั้งหมดก็มีอยู่เท่านั้น  บางคนอาจกล่าวว่า “ฉันรู้ว่านี่เป็นความรับผิดชอบของฉัน แต่ฉันไม่อยากทำ”  นั่นก็ไม่เป็นไรเช่นกัน  เจ้าสามารถเลือกด้วยตัวเจ้าเองตามสถานการณ์และรูปการณ์ของเจ้า  เจ้าสามารถตัดสินใจได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้นตามอารมณ์ของเจ้าในขณะนั้นอีกด้วย  ถ้าเจ้ากังวลว่าหลังจากรับผิดชอบไปแล้ว ผู้มีคุณจะพยายามตอบแทนเจ้าไม่หยุด และถามหาเจ้า ขอบคุณเจ้าบ่อยๆ จนกลายเป็นความอึดอัดและเป็นการรบกวน และผลก็คือเจ้าไม่อยากทำตามความรับผิดชอบนั้น นั่นก็ทำได้เช่นกัน—ขึ้นอยู่กับเจ้า  บางคนก็จะถามว่า “ผู้คนที่ไม่อยากลุล่วงความรับผิดชอบทางสังคมแบบนี้มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่อ่อนด้อยหรือไม่?”  นี่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการตัดสินสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ทำไมถึงไม่ถูกต้อง?  ในสังคมอันชั่วนี้ มนุษย์ต้องถูกประเมินตามพฤติกรรมของตนและต้องมีสำนึกเรื่องความควรไม่ควรในทุกสิ่งที่ตนทำ  แน่นอนว่ายิ่งมีความจำเป็นเข้าไปใหญ่ที่เขาจะต้องตระหนักรู้สภาพแวดล้อมและบริบทในขณะนั้นๆ  ดุจดังที่พวกผู้ไม่เชื่อกล่าวไว้ว่า ในโลกที่สับสนอลหม่านนี้ ผู้คนต้องฉลาด มีเชาวน์และปัญญาในทุกสิ่งที่ตนทำ—พวกเขาต้องไม่เป็นคนที่ไม่รู้ความ และแน่นอนว่าต้องไม่ทำเรื่องโง่เขลา  ตัวอย่างเช่น ตามสถานที่สาธารณะในบางประเทศ ผู้คนคิดกลโกงบางอย่างโดยแกล้งทำเป็นเกิดอุบัติเหตุเพื่อที่จะใช้ความตลบตะแลงเรียกร้องขอค่าชดเชย  ถ้าเจ้ามองกลโกงของพวกเขาไม่ออก และทำตามมโนธรรมของตนอย่างมืดบอด เจ้าก็อาจถูกหลอกและทำให้ตัวเองเดือดร้อน ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้ามองเห็นหญิงสูงอายุหกล้มตรงถนน เจ้าก็อาจจะคิดว่า “ฉันต้องรับผิดชอบต่อสังคม ฉันไม่ต้องการให้เธอตอบแทนฉัน  ฉันควรยื่นมือไปช่วยเธอเพราะฉันมีสภาวะความเป็นมนุษย์และมีสำนึกในมโนธรรมของตน ดังนั้นฉันจะไปช่วยพยุงเธอขึ้นมา”  แต่พอเจ้าไปช่วยประคองเธอขึ้นมา หญิงนั้นกลับขู่บังคับเจ้า และเจ้าก็ลงเอยด้วยการต้องพาเธอไปโรงพยาบาล จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เธอ ชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจ และออกค่าใช้จ่ายหลังเกษียณให้  ถ้าเจ้าไม่จ่ายทั้งหมดนั้น เจ้าก็จะถูกพาตัวไปที่สถานีตำรวจ  ดูเหมือนเจ้าตกที่นั่งลำบากเลยใช่ไหม?  สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  (ด้วยการทำตามเจตนาดีของตนและขาดปัญญา)  เจ้าไม่รู้จักตั้งคำถาม ไร้วิจารณญาณ ไม่สามารถตระหนักรู้กระแสนิยมในปัจจุบัน และไม่แยกแยะสภาวะแวดล้อมในสถานการณ์นั้นๆ  ในสังคมอันชั่วอย่างสังคมนี้ คนเราต้องจ่ายราคาเพียงเพราะเข้าไปช่วยพยุงคนสูงอายุที่หกล้มขึ้นมาโดยไม่คิดอะไร  ถ้าหญิงนั้นหกล้มจริงและต้องการความช่วยเหลือของเจ้า เจ้าก็ไม่ควรถูกกล่าวโทษที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม เจ้าควรได้รับการสรรเสริญ เพราะพฤติกรรมของเจ้าสอดคล้องกับสภาวะความเป็นมนุษย์และสำนึกในมโนธรรมของมนุษย์  แต่หญิงสูงอายุคนนั้นมีแรงจูงใจแอบแฝง—แท้จริงแล้วเธอไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เธอแค่หลอกลวงเจ้า และเจ้าก็มองกลอุบายที่ฉลาดแกมโกงของเธอไม่ออก  เมื่อเจ้าลงมือทำตามความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อเธอในฐานะเพื่อนมนุษย์ เจ้าจึงหลงกลแผนร้ายของเธอ และคราวนี้เธอก็จะไม่ปล่อยมือ ซ้ำยังขู่บังคับเอาเงินจากเจ้ามากขึ้น  การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมควรเป็นเรื่องของการช่วยผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากและเป็นการลุล่วงความรับผิดชอบของตนเอง  ไม่ควรส่งผลให้ถูกหลอกหรือตกหลุมพราง  ผู้คนมากมายตกเป็นเหยื่อของกลโกงเหล่านี้และมาเห็นชัดเจนว่าผู้คนสมัยนี้ชั่วเพียงใด และเก่งกาจในการโกงผู้อื่นเพียงใด  พวกเขาจะโกงใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าหรือเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง  ช่างเป็นสภาพการณ์ที่น่ากลัวมาก!  ใครทำให้เกิดความเสื่อมทรามเช่นนี้?  พญานาคใหญ่สีแดงนั่นเอง  พญานาคใหญ่สีแดงทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างหนักและอย่างร้ายแรง!  พญานาคใหญ่สีแดงจะทำเรื่องไร้ศีลธรรมทุกรูปแบบเพื่อทำให้ผลประโยชน์ของตนรุดหน้า และผู้คนก็ถูกตัวอย่างที่ไม่ดีของมันพาให้หลงผิด  ผลก็คือตอนนี้มีนักต้มตุ๋นและโจรขโมยกลาดเกลื่อนไปหมด  จากข้อเท็จจริงเหล่านี้ คนเราย่อมจะมองเห็นได้ว่ามีผู้คนมากมายที่ไม่ได้ดีไปกว่าสุนัข  บางทีอาจจะมีบางคนที่ไม่เต็มใจฟังการสนทนาแบบนี้ พวกเขาย่อมจะรู้สึกอึดอัดและคิดว่า “พวกเราไม่ดีไปกว่าสุนัขจริงหรือ?  พระองค์กำลังไม่ให้เกียรติและดูถูกพวกเราด้วยการเอาไปเปรียบกับสุนัขอยู่เสมอ  พระองค์ไม่ได้มองว่าพวกเราเป็นมนุษย์!”  เราก็อยากมองพวกเจ้าเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์ย่อมแสดงพฤติกรรมเช่นไรให้เห็น?  เมื่อดูความเป็นจริงทั้งปวงแล้ว บางคนก็ไม่ได้ดีไปกว่าสุนัขจริงๆ  ทั้งหมดที่เราจะกล่าวในเรื่องนี้ในตอนนี้ก็มีเท่านี้

เราเพิ่งสามัคคีธรรมว่าการที่ผู้คนช่วยเหลือผู้อื่นบ้างไม่อาจนับได้ว่าเป็นความใจดีมีเมตตา และเป็นเพียงการรับผิดชอบต่อสังคมเท่านั้น  แน่นอนว่าผู้คนสามารถเลือกได้ว่าพวกเขาจะลุล่วงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างสุดความสามารถของตนในเรื่องใดบ้าง  พวกเขาสามารถลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนเองเหมาะจะทำให้ลุล่วงและเลือกที่จะไม่รับผิดชอบในเรื่องที่ตนเห็นว่าไม่เหมาะ  นี่คืออิสรภาพและตัวเลือกที่มนุษย์มี  เจ้าสามารถเลือกความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ทางสังคมที่เจ้าพึงทำให้ลุล่วงได้ตามรูปการณ์และความสามารถของเจ้าเอง และแน่นอนว่าตามบริบทและรูปการณ์แวดล้อมในขณะนั้นด้วย  นี่เป็นสิทธิ์ของเจ้า  สิทธิ์นี้เกิดขึ้นในบริบทแบบใด?  โลกเป็นที่ที่มืดมิดเกินไป มวลมนุษย์ก็ชั่วเกินไป และสังคมก็ไร้ความยุติธรรม  ภายใต้รูปการณ์เหล่านี้ เจ้าต้องปกป้องตนเองก่อน เว้นจากการกระทำที่โง่เขลาและไม่รู้ความ และใช้ปัญญา  แน่นอนว่าการปกป้องตนเองนั้น เราไม่ได้หมายถึงการปกป้องกระเป๋าสตางค์และทรัพย์สินของเจ้าไม่ให้ถูกขโมย แต่เป็นการปกป้องตัวเจ้าเองจากภยันตราย—นี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด  เจ้าควรลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของเจ้าอย่างสุดความสามารถ พลางดูให้แน่ใจด้วยว่าตนเองปลอดภัย  จงอย่าสนใจการได้รับความเคารพนับถือจากผู้อื่น และอย่าโอนอ่อนหรือถูกบีบคั้นให้ทำตามความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่  สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำก็คือลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของตนเท่านั้น  เจ้าควรตัดสินใจว่าจะลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของตนอย่างไรตามสถานการณ์ของเจ้าเอง จงอย่าทำอะไรเกินกำลังที่เจ้าจะรับมือไหวโดยดูตามรูปการณ์และความสามารถของเจ้า  เจ้าไม่ควรพยายามทำให้ผู้คนประทับใจด้วยการแสร้งทำเป็นมีความสามารถที่ตัวเจ้าไม่มี และเจ้าก็ไม่ควรกลัวว่าผู้อื่นจะไม่ให้เกียรติ ตัดสิน หรือกล่าวโทษ  การทำสิ่งต่างๆ เพื่อสนองความไร้แก่นสารของตนเองนั้นผิด  จงทำเท่าที่เจ้าจะสามารถทำได้ ทำเท่าที่สำนึกรับผิดชอบของเจ้าบอกให้ทำ และลุล่วงภาระหน้าที่เท่าที่เจ้าจะสามารถลุล่วงได้  นี่เป็นสิทธิ์ของเจ้า  เจ้าไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองให้ทำสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้กำหนดให้เจ้าทำ  การทำตามมโนธรรมของตนที่ให้ทำสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความจริงย่อมไม่มีความหมาย  ไม่ว่าเจ้าจะทำมากเท่าใด พระเจ้าก็จะไม่ทรงชมเชยเจ้าในเรื่องนั้น และย่อมจะไม่ได้หมายความว่าเจ้าเป็นคำพยานที่แท้จริงแล้ว ทั้งไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้านั้นมีความประพฤติดีไว้ประดับตัวแล้ว  ส่วนเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า แต่ผู้คนกลับเรียกร้องให้เจ้าทำ เจ้าก็ควรมีทางเลือกและหลักธรรมของตนเอง  จงอย่าให้ตนเองถูกผู้คนบีบคั้น  ถ้าเจ้าไม่ทำสิ่งใดก็ตามที่ฝืนมโนธรรมและเหตุผลของเจ้า และละเมิดความจริง นั่นย่อมเพียงพอแล้ว  ถ้าเจ้าช่วยใครบางคนด้วยการแก้ปัญหาชั่วคราวให้พวกเขา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะมาพึ่งพาเจ้า เชื่อว่าเจ้าควรและต้องแก้ปัญหาให้พวกเขา  พวกเขาจะพึ่งพาเจ้าเต็มตัวและหันไปเล่นงานเจ้าหากเจ้าไม่อาจแก้ปัญหาให้พวกเขาได้แม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม  นี่ย่อมนำความเดือดร้อนมาให้เจ้าและไม่ใช่ผลลัพธ์แบบที่เจ้าอยากเห็น  ถ้าเจ้าคาดการณ์ว่าผลจะออกมาแบบนี้ เจ้าก็เลือกที่จะไม่ช่วยพวกเขาได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในกรณีเช่นนี้ การงดเว้นไม่ลงมือทำตามความรับผิดชอบหรือภาระหน้าที่นั้นย่อมจะไม่ผิด  นี่คือทัศนะและท่าทีชนิดที่เจ้าควรมีต่อสังคม มวลมนุษย์ และที่ยิ่งแน่ชัดก็คือชุมชนที่เจ้าอาศัยอยู่  นั่นคือ จงหยิบยื่นความรักให้ใครสักคนเท่าที่เจ้าต้องให้ก็พอ และทำเท่าที่เจ้าสามารถทำได้  จงอย่าทำอะไรสวนทางความคิดความเชื่อของตนเองด้วยการพยายามอวดตัว อย่าพยายามทำอะไรที่เจ้าทำไม่ได้  ไม่มีความจำเป็นอีกด้วยที่จะต้องบีบให้ตัวเองจ่ายราคาที่คนทั่วไปไม่อาจจ่ายได้  สรุปแล้ว จงอย่าเรียกร้องจากตัวเองมากเกินไป  จงทำแต่สิ่งที่เจ้าสามารถทำได้  หลักธรรมนี้ฟังดูเป็นอย่างไรบ้าง?  (ฟังดูดี)  ตัวอย่างเช่น เพื่อนของเจ้าขอยืมรถเจ้าและเจ้าก็ครุ่นคิดว่า “ที่ผ่านมาเขาเคยให้ฉันยืมของหลายอย่าง ดังนั้นตามสิทธิ์แล้ว ฉันก็ควรให้เขายืมรถบ้าง  แต่เขาไม่ดูแลของให้ดีหรือใช้ของแต่พอควร  สุดท้ายเขาอาจจะถึงกับทำรถฉันพัง  ฉันไม่ให้เขายืมรถดีกว่า”  ดังนั้นเจ้าจึงตัดสินใจไม่ให้เขายืมรถของเจ้า  การทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่?  ไม่ว่าเจ้าจะให้ยืมรถหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่—ตราบใดที่เจ้าเข้าใจเรื่องนี้อย่างถูกต้องและถ่องแท้ เจ้าก็ควรลงมือทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าเชื่อว่าเหมาะสมที่สุด และเจ้าย่อมจะทำถูก  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าคิดในใจว่า “ไม่เป็นไร ฉันจะให้เขายืมรถ  เมื่อก่อนนี้เวลาฉันขอยืมอะไรจากเขา เขาไม่เคยปฏิเสธฉันเลย  เขาไม่ประหยัดหรือระมัดระวังมากนักเวลาใช้ของ แต่นั่นก็ไม่เป็นไร  ถ้ารถฉันเสียหาย ฉันก็เพียงแต่จ่ายค่าซ่อมนิดหน่อยเท่านั้น” และแล้วเจ้าก็ตกลงให้เขายืมรถของเจ้า ไม่ปฏิเสธเขา—การทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  นี่ก็ไม่มีอะไรผิดเช่นกัน  ตัวอย่างเช่น ถ้าใครบางคนที่เคยช่วยเจ้ามาก่อน มาหาเจ้าเวลาที่ครอบครัวของพวกเขาประสบปัญหาบางอย่าง เจ้าควรช่วยหรือไม่?  นี่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของเจ้าเอง และการตัดสินใจของเจ้าว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยย่อมจะไม่ใช่เรื่องของหลักธรรม  ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำก็คือทำด้วยใจจริงและตามสัญชาตญาณ และลุล่วงความรับผิดชอบของตนอย่างสุดความสามารถ  ด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าย่อมจะลงมือทำตามสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าและสำนึกในมโนธรรมของตน  ไม่ว่าเจ้าจะลุล่วงความรับผิดชอบนี้อย่างเต็มที่หรือรับผิดชอบเป็นอย่างดีหรือไม่ก็ไม่สำคัญ  เจ้ามีสิทธิ์ที่จะตอบรับหรือปฏิเสธ—หากเจ้าปฏิเสธ ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเจ้าไม่มีมโนธรรม และไม่อาจกล่าวได้ว่าเพื่อนของเจ้ามีการกระทำที่ใจดีมีเมตตาเพราะช่วยเจ้าเอาไว้  การกระทำเหล่านี้ไม่ได้สูงถึงขั้นนั้น  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  นี่เป็นการเสวนาเกี่ยวกับความใจดีมีเมตตา ซึ่งก็คือเรื่องที่ว่าเจ้าควรมองความใจดีมีเมตตาอย่างไร ควรมีแนวทางเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไร และเจ้าควรลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อสังคมอย่างไร  ผู้คนต้องแสวงหาหลักธรรมความจริงในเรื่องเหล่านี้—เจ้าไม่อาจแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการพึ่งพามโนธรรมและเหตุผลของเจ้าเท่านั้นได้  รูปการณ์พิเศษบางอย่างอาจซับซ้อนได้มาก และถ้าเจ้าไม่รับมือรูปการณ์เหล่านั้นตามหลักธรรมความจริง เจ้าก็อาจจะก่อปัญหาและผลสืบเนื่องที่เป็นลบ  ดังนั้นในเรื่องเหล่านี้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และกระทำการตามสภาวะความเป็นมนุษย์ เหตุผล ปัญญา และหลักธรรมความจริง  นี่จึงจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุด

ในเรื่องของคำกล่าวที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” นั้น สถานการณ์อีกแบบหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นก็คือว่าความช่วยเหลือที่เจ้าได้รับไม่ใช่เรื่องบางอย่างที่เล็กน้อย เช่น น้ำหนึ่งขวด ผักหนึ่งกำ หรือข้าวสารหนึ่งถุง แต่เป็นรูปแบบความช่วยเหลือที่ส่งผลต่อเจ้าและหนทางทำมาหากินของครอบครัวเจ้า และถึงกับมีผลต่อโชคชะตาและโอกาสในอนาคตของเจ้า  ตัวอย่างเช่น ใครบางคนอาจสอนพิเศษให้เจ้าบ้างหรือให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่ทำให้เจ้าสามารถเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้งานที่ดี มีคู่ครองที่ดี และมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นตามมาในชีวิตของเจ้า  นี่ไม่ใช่การเอื้อประโยชน์เล็กน้อยหรือความช่วยเหลือปลีกย่อยเท่านั้น—ผู้คนมากมายมองว่าเรื่องอย่างนี้คือการกระทำที่ใจดีมีเมตตาอย่างยิ่ง  แล้วพวกเจ้าควรรับมือสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร?  ความช่วยเหลือในรูปแบบดังกล่าวเชื่อมโยงกับความรับผิดชอบทางสังคมและภาระหน้าที่ที่มนุษย์ลงมือทำดังที่พวกเราเพิ่งเสวนากันไป แต่เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการอยู่รอด ชะตากรรม และโอกาสในอนาคตของมนุษย์ จึงมีคุณค่ากว่าน้ำเพียงหนึ่งขวดหรือข้าวสารหนึ่งถุงมากนัก—กล่าวคือ มีผลต่อชีวิตของผู้คน หนทางดำรงชีพ และเวลาบนโลกนี้ของพวกเขามากกว่ามาก  เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณค่าของสิ่งเหล่านี้จึงมีมากกว่ามาก  ทีนี้ ความช่วยเหลือในรูปแบบเหล่านี้ควรถูกยกระดับให้เป็นความใจดีมีเมตตาหรือไม่?  ในทำนองเดียวกันเลย เราไม่แนะนำให้มองความช่วยเหลือแบบนี้ว่าเป็นความใจดีมีเมตตา  ในเมื่อความช่วยเหลือในรูปแบบเหล่านี้ไม่ควรถือเป็นความใจดีมีเมตตา เช่นนั้นแล้ววิธีที่เหมาะสมและถูกต้องในการรับมือสถานการณ์เช่นนี้คืออะไร?  นี่คือปัญหาที่มนุษย์เผชิญอยู่มิใช่หรือ?  ตัวอย่างเช่น บางทีบางคนก็อาจทำให้เจ้าเบนเข็มจากชีวิตที่ก่ออาชญากรรม แก้ไขเจ้าให้เดินตรงทาง และให้เจ้ามีงานทำในสายงานที่สุจริต เปิดโอกาสให้เจ้ามีชีวิตที่ดีงาม แต่งงานและลงหลักปักฐาน เปลี่ยนชะตากรรมของตนให้ดีขึ้น  หรือบางทีเมื่อเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากและรู้สึกว่าไม่มีทางไป ก็มีคนดีให้ความช่วยเหลือและชี้แนะบางอย่างแก่เจ้า ซึ่งเปลี่ยนความน่าจะเป็นในอนาคตของเจ้าในทางที่เป็นบวก เปิดโอกาสให้เจ้าผงาดขึ้นมาเหนือผู้อื่นและมีชีวิตที่ดี  เจ้าควรดำเนินการอย่างไรในสถานการณ์ดังกล่าว?  เจ้าควรจดจำความใจดีมีเมตตาของพวกเขาและตอบแทนพวกเขาหรือไม่?  เจ้าควรหาทางชดใช้และตอบแทนพวกเขาหรือไม่?  ในกรณีนี้ เจ้าควรยอมให้หลักธรรมชี้นำการตัดสินใจของเจ้ามิใช่หรือ?  เจ้าควรระบุว่าคนที่ช่วยเจ้านั้นเป็นคนเช่นไร  ถ้าพวกเขาเป็นคนดีที่เป็นบวก เช่นนั้นแล้วนอกจากกล่าวคำ “ขอบคุณ” กับพวกเขาแล้ว เจ้ายังสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาต่อไปตามปกติได้ กลายเป็นเพื่อนกันได้ และแล้วเมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ เจ้าก็สามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถ  อย่างไรก็ดี การลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่เช่นนี้ไม่ควรอยู่ในรูปของการให้แบบไร้เงื่อนไข แต่ควรมีข้อจำกัดตามสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ตามรูปการณ์ของเจ้า  นี่จึงเป็นวิธีปฏิบัติต่อผู้คนดังกล่าวในสถานการณ์เหล่านี้อย่างเหมาะสม  พวกเจ้าทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับที่แตกต่างกัน—แม้พวกเขาจะเคยช่วยเจ้าไว้และใจดีมีเมตตาต่อเจ้า แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ช่วยเจ้าให้รอด เพราะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  สิ่งที่พวกเขาทำมีแต่การกระทำผ่านทางอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าเพื่อที่จะยื่นมือช่วยเหลือเจ้า—แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเหนือกว่าเจ้า และยิ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นเจ้าของตัวเจ้าและสามารถบงการและควบคุมเจ้าได้  พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมีอิทธิพลเหนือชะตากรรมของเจ้า และไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์หรือออกความเห็นเรื่องชีวิตของเจ้า พวกเจ้ายังคงเท่าเทียมกัน  เมื่อพวกเจ้าเท่าเทียมกัน พวกเจ้าจึงสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันฉันเพื่อน และเมื่อใดที่เหมาะสม เจ้าก็สามารถช่วยพวกเขาอย่างสุดความสามารถของเจ้า  นี่ยังคงเป็นการลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ทางสังคมของเจ้าภายในขอบเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์ และยังคงเป็นการทำสิ่งที่เจ้าพึงทำตามหลักการและภายในขอบเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์—เจ้ากำลังทำตามความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของตนอย่างตรงจุด  เหตุใดเจ้าจึงควรทำเช่นนี้?  ที่ผ่านมาพวกเขาเคยช่วยเจ้าไว้และเปิดโอกาสให้เจ้าเก็บเกี่ยวผลประโยชน์และได้รับอะไรไปมากมาย ดังนั้นสำนึกในมโนธรรมที่มาจากสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าย่อมชี้ว่าเจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาฉันเพื่อน  บางคนก็จะถามว่า “ฉันถือว่าพวกเขาเป็นคนสนิทที่รู้ใจกันได้หรือไม่?”  นี่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าสองคนไปกันได้ดีเพียงใด สภาวะความเป็นมนุษย์และความชอบส่วนตนของพวกเจ้า ตลอดจนสิ่งที่พวกเจ้าแสวงหาและวิธีมองโลกของพวกเจ้ามีความคล้ายคลึงกันหรือไม่  คำตอบย่อมจะขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง  ทั้งนี้ ในสัมพันธภาพชนิดที่ไม่เหมือนใครนี้ เจ้าควรตอบแทนผู้มีคุณของเจ้าด้วยชีวิตของเจ้าหรือไม่?  ในเมื่อพวกเขาช่วยเจ้าไว้มากขนาดนั้นและมีอิทธิพลต่อเจ้าอย่างเหลือล้นดังกล่าว เจ้าควรตอบแทนพวกเขาด้วยชีวิตของเจ้าหรือไม่?  นี่ย่อมไม่จำเป็น  เจ้าเป็นเจ้าของชีวิตของเจ้าเองชั่วนิรันดร์—พระเจ้าประทานชีวิตของเจ้าให้แก่เจ้า มันจึงเป็นของเจ้าและไม่ใช่ของใครคนอื่นที่จะมาบริหารจัดการ  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องประมาทยอมให้ใครอื่นมาจัดการชีวิตเจ้าเพราะบริบทและสถานการณ์เช่นนี้  นี่เป็นวิธีทำสิ่งต่างๆ ที่โง่เขลามาก และแน่นอนว่าไม่สมเหตุสมผลอีกด้วย  ไม่ว่าพวกเจ้าจะสนิทกันเพียงใดในฐานะเพื่อนหรือความผูกพันที่พวกเจ้ามีจะเหนียวแน่นเพียงใด เจ้าก็ทำได้เพียงแสดงความรับผิดชอบของเจ้าในฐานะคนคนหนึ่ง มีปฏิสัมพันธ์กันไปตามปกติและช่วยเหลือเกื้อกูลกันภายในขอบเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์และเหตุผลเท่านั้น  สัมพันธภาพในระดับนี้สมเหตุสมผลและเสมอภาคกว่า  สาเหตุสำคัญที่สุดที่เจ้ากลายเป็นเพื่อนกันโดยพื้นฐานแล้วก็เพราะว่าคนคนนั้นเคยช่วยเจ้าไว้ ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกว่าคู่ควรแล้วที่จะให้พวกเขาเป็นเพื่อน และพวกเขาก็เป็นไปตามมาตรฐานที่เจ้าตั้งไว้สำหรับเพื่อนๆ ของเจ้า  เพราะเหตุนี้เท่านั้นที่เจ้าเต็มใจเป็นเพื่อนกับพวกเขา  นอกจากนี้ จงคำนึงถึงสถานการณ์ต่อไปนี้ด้วยว่า ที่ผ่านมามีบางคนเคยช่วยเจ้าไว้ ใจดีกับเจ้าในบางด้าน และมีผลต่อชีวิตของเจ้าหรือเหตุการณ์ใหญ่ๆ บางอย่าง แต่สภาวะความเป็นมนุษย์และเส้นทางที่พวกเขาเดินนั้นไม่ตรงกับเส้นทางของเจ้าและสิ่งที่เจ้าแสวงหา  เจ้าไม่ได้พูดจาภาษาเดียวกัน เจ้าไม่ได้ชอบคนคนนี้ และบางทีเจ้าก็อาจกล่าวได้ในระดับหนึ่งว่าความสนใจและสิ่งที่เจ้าแสวงหานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  เส้นทางชีวิตของพวกเจ้า โลกทัศน์ และทัศนคติที่พวกเจ้ามีต่อชีวิตล้วนแตกต่างกัน—พวกเจ้าเป็นคนสองประเภทที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง  ดังนั้นเจ้าควรดำเนินการตอบแทนความช่วยเหลือที่พวกเขาเคยให้แก่เจ้าเมื่อก่อนนี้อย่างไร?  นี่คือสถานการณ์จริงที่อาจเกิดขึ้นได้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้นเจ้าควรทำอย่างไร?  นี่ก็เป็นสถานการณ์ที่จัดการง่ายเช่นกัน  ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองเดินอยู่บนเส้นทางที่ต่างกัน หลังจากที่ใช้คืนพวกเขาในรูปของวัตถุไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามที่เจ้าสามารถหามาได้ตามกำลังของตน เจ้าย่อมพบว่าความเชื่อของพวกเจ้านั้นผิดแผกกันเกินไปจริงๆ เจ้าไม่สามารถเดินบนเส้นทางเดียวกัน ไม่อาจเป็นเพื่อนกันได้ด้วยซ้ำ และไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กันอีกต่อไป  เจ้าควรทำเช่นไรต่อไปในเมื่อเจ้าไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กันอีกแล้ว?  จงอยู่ห่างจากพวกเขา  ที่ผ่านมาพวกเขาอาจจะเคยใจดีกับเจ้า แต่พวกเขาก็หลอกลวงและฉ้อโกงเพื่อกรุยทางในสังคมให้ตนเอง ลงมือทำเรื่องต่ำทรามสารพัดอย่าง และเจ้าก็ไม่ชอบคนแบบนี้ ดังนั้นจึงสมเหตุสมผลอย่างที่สุดที่เจ้าจะอยู่ห่างจากพวกเขา  บางคนอาจกล่าวว่า “การทำเช่นนั้นไม่ไร้มโนธรรมหรอกหรือ?”  นี่ไม่ใช่การไร้มโนธรรม—ถ้าพวกเขาต้องเผชิญความยากลำบากบางอย่างในชีวิตเข้าจริงๆ เจ้าก็ยังคงช่วยพวกเขาได้ แต่เจ้าไม่สามารถถูกพวกเขาตีกรอบหรือลงมือทำชั่วและทำเรื่องไร้มโนธรรมร่วมกับพวกเขา นอกจากนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทุ่มเททำงานเยี่ยงทาสให้พวกเขาเพียงเพราะพวกเขาเคยช่วยเจ้าหรือเคยเอื้อประโยชน์ให้เจ้าอย่างมากในเวลาที่ผ่านมา—นั่นไม่ใช่ภาระผูกพันของเจ้า และพวกเขาก็ไม่คู่ควรที่จะได้รับการปฏิบัติด้วยเช่นนั้น  เจ้ามีสิทธิ์เลือกที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่เจ้าชอบและไปด้วยกันได้ ผู้คนที่ถูกต้อง ใช้เวลาร่วมกับพวกเขา และแม้กระทั่งเป็นเพื่อนกับพวกเขา  เจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ที่เจ้ามีต่อคนแบบนี้ นี่คือสิทธิ์ของเจ้า  แน่นอนว่าเจ้าสามารถปฏิเสธที่จะเป็นเพื่อนและคบหากับผู้คนที่เจ้าไม่ชอบอีกด้วย และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องลุล่วงภาระหน้าที่หรือความรับผิดชอบใดๆ ต่อพวกเขา—นี่ก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าเช่นกัน  ต่อให้เจ้าตัดสินใจละทิ้งคนแบบนี้และปฏิเสธที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา หรือลุล่วงความรับผิดชอบหรือภาระหน้าที่ใดๆ ต่อพวกเขา นี่ย่อมจะไม่ผิด  เจ้าต้องขีดเส้นบางอย่างเอาไว้ว่าเจ้าควรวางตัวอย่างไร และต้องปฏิบัติต่อผู้คนที่ต่างกันในลักษณะที่ต่างกัน  เจ้าไม่ควรคบค้าสมาคมกับคนชั่วหรือทำตามตัวอย่างที่ไม่ดีของพวกเขา นี่คือการเลือกที่ใช้ปัญญา  จงอย่าถูกปัจจัยต่างๆ ครอบงำ เช่น ความรู้สึกสำนึกบุญคุณ ความรู้สึกและความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่—นี่คือการมีจุดยืนและมีหลักธรรม และเป็นสิ่งที่เจ้าพึงทำ      พวกเจ้ายอมรับวิธีการและสิ่งที่กล่าวมานี้ได้หรือไม่?  (ได้)  แม้ว่าทัศนะ เส้นทางปฏิบัติ และหลักธรรมที่เราอภิปรายมานี้จะถูกวัฒนธรรมและมโนคติดั้งเดิมวิพากษ์วิจารณ์ แต่ทัศนะและหลักธรรมเหล่านี้จะปกป้องสิทธิ์และศักดิ์ศรีของทุกคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์และสำนึกในมโนธรรมของตนเอาไว้อย่างกร้าวแกร่ง และจะทำให้ผู้คนไม่ถูกสิ่งที่วัฒนธรรมดั้งเดิมเรียกว่ามาตรฐานด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมตีกรอบและล่ามโซ่เอาไว้ ทำให้ผู้คนสามารถเป็นอิสระจากการล่อลวงและหลอกหลอนของสิ่งลวงโลกที่เคร่งศรัทธาแบบจอมปลอมได้  ทัศนะและหลักธรรมเหล่านี้จะเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าใจความจริงผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของความคิดเห็นทางศีลธรรมเหล่านี้ของผู้คนส่วนใหญ่ และพาตนเป็นอิสระจากเครื่องควบคุมและโซ่ตรวนของสิ่งที่เรียกกันว่าวิถีโลกอีกด้วย เพื่อให้พวกเขาสามารถปฏิบัติต่อผู้คนและสรรพสิ่งได้ตามพระวจนะของพระเจ้าโดยใช้ทัศนะที่ถูกต้อง สามารถปลดโซ่ตรวนและทิ้งการชักนำที่ผิดของสิ่งทั้งหลายทางโลก จารีต และศีลธรรมทางสังคมได้อย่างสิ้นเชิง  เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็จะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่าง ใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ดำรงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี และได้รับการชมเชยจากพระเจ้า

แท้จริงแล้วคำกล่าวด้านศีลธรรมทางสังคมอย่าง “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” และ “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแบบใดในตัวมนุษย์บ้าง?  สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของมนุษย์ที่ไขว่คว้าสถานะและผลประโยชน์ได้หรือไม่?  เปลี่ยนความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของมนุษย์ได้หรือไม่?  สลายความขัดแย้งและการเข่นฆ่าในหมู่มนุษย์ได้หรือไม่?  เปิดโอกาสให้มนุษย์ก้าวเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องและดำรงชีวิตอย่างมีความสุขได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เมื่อเป็นเช่นนั้น แท้จริงแล้วหลักเกณฑ์เหล่านี้ของศีลธรรมทางสังคมมีผลอย่างไร?  อย่างมากก็สนับสนุนคนดีไม่กี่คนให้ทำเรื่องดีๆ และมีส่วนช่วยให้สังคมปลอดภัยและมั่นคงเท่านั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  สิ่งที่หลักเกณฑ์เหล่านี้ทำย่อมมีอยู่เพียงเท่านั้น และไม่ได้แก้ปัญหาอะไรแม้แต่เรื่องเดียว  ภายใต้การวางเงื่อนไขของสิ่งที่เรียกกันว่าหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ ต่อให้ผู้คนสามารถยึดปฏิบัติและใช้ชีวิตตามหลักเกณฑ์เหล่านี้ได้ในท้ายที่สุด นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถเป็นอิสระจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคนคนหนึ่งช่วยเหลือเกื้อกูลเจ้ามาโดยตลอด ดังนั้นเจ้าจึงทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อตอบแทนพวกเขา—เมื่อพวกเขาให้ข้าวสารแก่เจ้าหนึ่งถุง เจ้าก็ตอบแทนด้วยเส้นก๋วยเตี๋ยวหนึ่งถุงใหญ่ และเมื่อพวกเขาให้เนื้อหมูแก่เจ้าสองกิโลกว่า เจ้าก็ตอบแทนเป็นเนื้อวัวสองกิโลกว่า  ผลของการที่เจ้าตอบแทนกันไปมาย่อมจะเป็นเช่นใด?  พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายย่อมจะคำนวณอยู่ในใจว่าใครได้เปรียบและใครเสียเปรียบ นี่ย่อมจะนำไปสู่ความเข้าใจผิด การต่อสู้ และการวางอุบายระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง  ที่กล่าวมานี้เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่าข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ไม่เพียงตีกรอบและชี้นำวิธีคิดอ่านของผู้คนไปในทางที่ผิดเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความลำบาก ภาระ และแม้กระทั่งความทุกข์ใจให้กับชีวิตของผู้คนอีกด้วย  และถ้าข้อกำหนดนี้เปลี่ยนให้เจ้ากลายเป็นศัตรูของใครบางคน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยิ่งจะเดือดร้อนและพบเจอความทุกข์ที่มิอาจพูดออกมาได้มากขึ้นอีก!  การมีสัมพันธภาพที่ตั้งอยู่บนการยื่นหมูยื่นแมวแบบนี้ไม่ใช่เส้นทางที่ผู้คนควรเดิน  ผู้คนใช้ชีวิตตามภาวะอารมณ์และวิถีโลกอยู่เสมอ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมีแต่จะก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นมากมาย  นี่เป็นเพียงการทรมานตัวเองและเป็นการทรมาทรกรรมที่ไร้ประโยชน์  วัฒนธรรมดั้งเดิมและคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมฝังตัวอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนและพาพวกเขาให้หลงผิดเช่นนี้เอง  เนื่องจากพวกเขาไร้วิจารณญาณอย่างสิ้นเชิง ผู้คนจึงเชื่อกันอย่างผิดๆ ว่าแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมถูกต้อง ถือเอาเป็นหลักเกณฑ์และเข็มทิศของตน ยึดปฏิบัติตามคำกล่าวเหล่านี้อย่างเคร่งครัด และใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของความเห็นส่วนรวม  พวกเขาถูกสิ่งเหล่านี้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ครอบงำ และควบคุมอย่างค่อยเป็นค่อยไปและโดยไม่รู้ตัว เกิดความรู้สึกอับจนหนทางและเจ็บปวด แต่ก็ไร้พลังอำนาจที่จะหนีพ้น  เมื่อพระเจ้าตรัสเปิดโปงและพิพากษาแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีอยู่ในตัวผู้คน นี่กลับยิ่งทำให้ผู้คนมากมายเสียใจ  เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกชำระล้างไปจากจิตใจ ความคิดอ่าน และมโนคติของผู้คนจนสิ้น พวกเขากลับรู้สึกว่างเปล่ามากอย่างกะทันหันราวกับว่าตนนั้นไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยว แล้วก็ถามว่า “ต่อไปภายหน้าฉันควรทำอย่างไร?  ฉันควรใช้ชีวิตอย่างไร?  เมื่อไม่มีสิ่งเหล่านี้ ฉันก็ไม่มีเส้นทางหรือทิศทางในชีวิตของตน  ตอนนี้เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกชำระล้างออกไปจากความรู้สึกนึกคิดของฉันแล้ว ทำไมฉันถึงรู้สึกกลวงเปล่าและไร้จุดหมายขนาดนี้?  ถ้าผู้คนไม่ใช้ชีวิตตามคำกล่าวเหล่านี้ พวกเขายังจะนับเป็นมนุษย์ได้หรือไม่?  พวกเขายังจะมีสภาวะความเป็นมนุษย์กันหรือไม่?”  นี่เป็นวิธีคิดที่ไม่ถูกต้อง  ในความเป็นจริงเมื่อชำระล้างแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมออกจากตัวเจ้าแล้ว หัวใจของเจ้าย่อมได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ตัวเจ้าเองไม่ถูกสิ่งเหล่านี้ตีกรอบและตีตรวนเอาไว้อีกต่อไป เจ้าได้รับอิสรภาพและเสรีภาพ และไม่มีความทุกข์ร้อนเหล่านี้อีกต่อไป—แล้วเจ้าจะไม่อยากได้รับการชำระให้สะอาดจากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?  อย่างน้อยที่สุดเมื่อเจ้าละทิ้งแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ไม่ใช่ความจริง เจ้าก็จะทนทุกข์และเจ็บปวดน้อยลง สามารถขจัดเครื่องจองจำและความวิตกกังวลที่ไร้ซึ่งความหมายไปได้มากมาย  ถ้าเจ้าสามารถยอมรับความจริงและใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าได้ เจ้าก็จะก้าวเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง  การค้ำจุนมาตรฐานด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมอาจจะดูเหมือนชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ แต่เจ้ากำลังใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์อยู่หรือเปล่า?  เจ้าก้าวเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องหรือยัง?  แง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการคิดอ่านที่เสื่อมทรามของผู้คน หรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้ และยิ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของผู้คน  แง่มุมเหล่านี้ไม่มีผลใดๆ ที่เป็นบวก แต่กลับทำให้สภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนบิดเบี้ยวและผิดประหลาดตามหลักคำสอน การสร้างเงื่อนไข และอิทธิพลของตน  ผู้คนตระหนักชัดว่าคนที่ใจดีมีเมตตากับตนนั้นไม่ใช่คนดี แต่พวกเขาก็ยังทำเรื่องที่สวนทางความคิดความเชื่อของตนและตอบแทนคนคนนั้น เพียงเพราะเขาเคยเอื้อประโยชน์ให้ตนมาก่อน  อะไรทำให้ผู้คนตอบแทนผู้อื่นแม้จะขัดกับความคิดความเชื่อของตนเอง?  พวกเขาทำเช่นนี้เพราะแนวคิดจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างรู้คุณนี้ฝังรากอยู่ในหัวใจของพวกเขาไปแล้ว  พวกเขากลัวว่าถ้าไม่ทำอะไรที่ขัดกับความคิดความเชื่อของตนและตอบแทนคนที่เคยช่วยตนไว้ พวกเขาก็จะถูกความเห็นส่วนรวมว่ากล่าว และจะถูกมองว่าเป็นคนอกตัญญูที่ไม่รู้จักตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับ เป็นคนที่ใจแคบและต่ำช้า เป็นคนที่ไม่มีมโนธรรมหรือสภาวะความเป็นมนุษย์  แท้จริงแล้วเป็นเพราะพวกเขากลัวทั้งหมดนี้และห่วงว่าในภายภาคหน้าจะไม่มีใครยอมช่วยตน กังวลว่าตนนั้นไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การวางเงื่อนไขและโซ่ตรวนของแนวคิดในวัฒนธรรมดั้งเดิมเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างรู้คุณนี้  ผลก็คือทุกคนใช้ชีวิตกันอย่างผิดประหลาดและเป็นทุกข์ ทำอะไรขัดกับความคิดความเชื่อของตน และไม่สามารถเอ่ยปากพูดเรื่องความทุกข์ยากของตนได้  นี่คุ้มกับความเดือดร้อนทั้งหมดหรือไม่?  แนวคิดเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตาอย่างรู้คุณนี้ทำให้ผู้คนทนทุกข์กันมิใช่หรือ?

ในส่วนของคำกล่าวที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” เราเพิ่งสามัคคีธรรมไปว่าแท้จริงแล้ว “ความใจดีมีเมตตา” คืออะไร พระเจ้าทรงมองคำนิยามที่มนุษย์มีต่อความใจดีมีเมตตาว่าอย่างไร มนุษย์ควรปฏิบัติต่อความใจดีมีเมตตานี้อย่างไร ควรปฏิบัติต่อผู้ที่แสดงความใจดีมีเมตตาต่อเจ้าหรือช่วยชีวิตเจ้าไว้อย่างไร มุมมองและเส้นทางที่ถูกต้องแท้จริงแล้วเป็นเช่นไรและควรมีที่ทางอย่างไรในหัวใจของเจ้า ผู้คนควรปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนอย่างไร มนุษย์ควรรับมือรูปการณ์พิเศษบางอย่างด้วยวิธีการใด และควรมองรูปการณ์เหล่านั้นด้วยมุมมองเช่นไร  เหล่านี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนและไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนด้วยความคิดเห็นสั้นๆ เพียงไม่กี่คำได้ แต่เราก็ได้อธิบายประเด็นสำคัญต่างๆ แก่นแท้ของประเด็นเหล่านี้ในเรื่องนี้ เป็นต้น ให้พวกเจ้าฟัง  หากพวกเจ้าพบเจอปัญหาแบบนี้อีก คราวนี้พวกเจ้าก็ย่อมจะรู้สึกว่าตนเองชัดเจนขึ้นไม่มากก็น้อยว่าควรใช้มุมมองใดและควรใช้เส้นทางปฏิบัติเส้นใดใช่หรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “ในทางทฤษฎีแล้ว ฉันเข้าใจชัดเจน แต่มนุษย์นั้นกอปรด้วยเลือดเนื้อ  เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ พวกเราจึงไม่แคล้วถูกหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมเหล่านี้ครอบงำและโอนเอนตามความเห็นของคนส่วนใหญ่  ผู้คนมากมายใช้ชีวิตกันแบบนี้ ให้คุณค่ากับการกระทำที่ใจดีมีเมตตาและการตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างรู้คุณ  ถ้าฉันไม่ใช้ชีวิตแบบนี้ ฉันก็จะถูกคนอื่นต่อว่าและเดียดฉันท์เป็นแน่  ฉันกลัวว่าผู้คนจะประณามฉันว่าไม่ใช่คน มีชีวิตเหมือนแกะดำ และฉันก็จะทนรับเรื่องนั้นไม่ไหว”  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  ทำไมผู้คนถึงถูกเรื่องแบบนี้บีบคั้น?  นี่เป็นปัญหาที่แก้ง่ายหรือไม่?  แก้ง่าย และเราก็จะบอกเจ้าว่าทำอย่างไร  ถ้าเจ้ารู้สึกว่าเวลาที่เจ้าไม่ใช้ชีวิตตามทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่บอกว่าความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ เจ้าย่อมจะมีชีวิตเยี่ยงคนที่สังคมรังเกียจ ถ้าเจ้ารู้สึกว่าเจ้านั้นไม่เหมือนคนจีนดั้งเดิมอีกแล้ว และด้วยการออกห่างจากวัฒนธรรมดั้งเดิม เจ้ากลับไม่มีชีวิตอย่างมนุษย์ ไร้ซึ่งลักษณะที่ทำให้เจ้าเป็นมนุษย์ ถ้าเจ้ากังวลว่าเจ้าจะเข้ากับสังคมจีนไม่ได้ เจ้าจะถูกเพื่อนร่วมชาติชาวจีนดูหมิ่นและมองว่าเป็นปลาเน่า เช่นนั้นแล้วก็จงเลือกทำตามกระแสนิยมในสังคมเถิด—ไม่มีใครบังคับเจ้าและจะไม่มีใครกล่าวโทษเจ้า  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้ารู้สึกว่าการใช้ชีวิตตามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมบงการและการให้คุณค่ากับการกระทำที่ใจดีมีเมตตาอยู่เสมอนั้นไม่ได้มีผลดีกับเจ้ามากนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นวิธีใช้ชีวิตที่เหน็ดเหนื่อย และหากเจ้ามุ่งมั่นที่จะปล่อยมือจากรูปแบบการใช้ชีวิตเช่นนี้และพยายามมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามวจนะของเราทุกประการ เช่นนั้นแล้วแน่นอนว่านั่นย่อมจะดีขึ้นด้วยซ้ำ  แม้ในตอนนี้พวกเจ้าจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ในทางหลักธรรมและเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดีแล้วก็ตาม แต่แท้จริงแล้วต่อจากนี้ไปพวกเจ้าจะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างไร จะใช้ชีวิตและวางตัวอย่างไร ย่อมเป็นเรื่องของพวกเจ้าเอง  เจ้าจะยอมรับสิ่งที่เรากล่าวได้เพียงใด เจ้าจะนำทั้งหมดนี้ไปปฏิบัติได้ถึงระดับไหน และเจ้าจะรับได้มากเพียงใด เป็นเรื่องที่เจ้าจะเลือกและขึ้นอยู่กับเจ้าทั้งสิ้น  เราไม่ได้บังคับเจ้า  เราเพียงแสดงหนทางให้เจ้าเห็นเท่านั้น  อย่างไรก็ดี มีเรื่องหนึ่งที่แน่นอนก็คือเราจะบอกความจริงแก่เจ้าด้วยการกล่าวว่า ถ้าเจ้าใช้ชีวิตตามวัฒนธรรมดั้งเดิม เจ้าก็จะมีชีวิตที่ยิ่งไม่ใช่มนุษย์และหมดศักดิ์ศรีไปเรื่อยๆ และเจ้าจะพบว่าเจ้าจะรู้สึกถึงสำนึกในมโนธรรมของเจ้าน้อยลงไปทุกที  เจ้าจะมีชีวิตที่ทุกข์ทรมานไปเรื่อยๆ จนเจ้านั้นดูไม่เหมือนทั้งคนและผี  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าปฏิบัติตามวจนะของเราและหลักธรรมที่เรากล่าวไว้ เรารับรองว่าเจ้าจะใช้ชีวิตพร้อมด้วยสภาพเสมือนมนุษย์ มโนธรรม เหตุผล และศักดิ์ศรีมากขึ้นทุกที—นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน  เมื่อเจ้าเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ในภายหลัง เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและเสรี และจะรู้สึกมีสันติสุขและเบิกบาน  เงามืดและภาระในหัวใจของเจ้าจะลดน้อยลง เจ้าจะรู้สึกมั่นใจและยืนยืดอกได้  เจ้าจะไม่ถูกวิถีโลกตามรังควาน หลอกหลอน หรือครอบงำอีกต่อไป และเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี  ทุกวันเจ้าจะรู้สึกมั่นคง เจ้าจะรับมือและจัดการแต่ละเรื่องราวอย่างชัดเจนที่สุด หลีกเลี่ยงการวกไปวนมาหลายรอบและความทุกข์มากมายที่เจ้าไม่ควรต้องพบพาน  เจ้าจะไม่ทำสิ่งที่เจ้าไม่พึงทำ หรือจ่ายราคาที่เจ้าไม่ควรจ่าย  เจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นอีกต่อไป  เจ้าจะไม่ถูกมุมมองและความคิดเห็นของผู้คนครอบงำอีกต่อไป  เจ้าจะไม่ถูกความคิดเห็นและการกล่าวโทษของสังคมบีบคั้นอีกแล้ว  นี่คือชีวิตที่มีศักดิ์ศรีมิใช่หรือ?  นี่คือชีวิตที่อิสระและเสรีมิใช่หรือ?  เมื่อถึงตอนนี้เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าการใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าคือเส้นทางชีวิตเพียงทางเดียวเท่านั้นที่ถูกต้อง และเฉพาะเมื่อใช้ชีวิตในหนทางนี้เท่านั้น คนเราถึงจะมีสภาพเสมือนมนุษย์และมีความสุข  เวลาใช้ชีวิตอยู่ในม่านหมอกของวัฒนธรรมดั้งเดิม เจ้าจะไม่สามารถมองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจนและเชื่ออย่างผิดๆ ว่าเจ้ากำลังมุ่งไปยังดินแดนในอุดมคติบางแห่งที่ตั้งอยู่ในโลกของมนุษย์  แต่ท้ายที่สุดแล้วเจ้าย่อมลงเอยด้วยการถูกชักนำให้หลงผิด ถูกซาตานหลอกไปทรมาน  วันนี้ในเมื่อเจ้าได้ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ค้นพบความจริง และมองเห็นความสว่างมาเยือนโลกมนุษย์แล้ว เจ้าย่อมสลายม่านหมอก มองเห็นเส้นทางและทิศทางที่ชีวิตของเจ้าต้องเดินอย่างชัดเจนแล้ว  เจ้าย่อมรีบรุดไปข้างหน้าและกลับคืนไปเบื้องหน้าพระเจ้า  นี่คือพระคุณและพรจากพระเจ้ามิใช่หรือ?  ดังนั้น ตอนนี้พวกเจ้าสลายม่านหมอกและมองเห็นฟ้าใสกระจ่างเบื้องบนหรือยัง?  บางทีพวกเจ้าอาจมองเห็นแล้วแวบหนึ่งและกำลังมุ่งหน้าไปหาความสว่าง—นี่คือพรอันยิ่งใหญ่ที่สุด  ถ้าเจ้าสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ยอมรับและเข้าใจความจริง สลายม่านหมอก ละทิ้งสิ่งที่ไม่ถูกต้องทั้งหมดนี้ในวัฒนธรรมดั้งเดิม และขจัดอุปสรรคทั้งปวงได้ เจ้าก็จะสามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอด  ทั้งหมดที่เราต้องสามัคคีธรรมเรื่องคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ก็มีเท่านี้  ต่อไปภายหน้าพวกเจ้าสามารถร่วมกันสามัคคีธรรมเพิ่มเติมถึงวจนะเหล่านี้ได้ และเจ้าจะเกิดความเข้าใจที่ถ่องแท้  คนเราไม่สามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ทันทีที่ชุมนุมสามัคคีธรรมกันเพียงครั้งเดียวได้  แม้ว่าตอนนี้เราจะสรุปจบสามัคคีธรรมเรื่องคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้แล้ว และพวกเจ้าก็มีความเข้าใจในทางทฤษฎีและในทางหลักธรรมแล้ว แต่การปลดเปลื้องมโนคติดั้งเดิมอันเก่าแก่และหลงผิดเหล่านี้ในชีวิตจริงไม่ใช่เรื่องง่าย  พวกเจ้าอาจจะยังคงยึดถือและดิ้นรนต่อสู้กับแนวคิดเดิมๆ เหล่านี้เป็นบางครั้ง  อย่างน้อยที่สุดก็จะใช้เวลาสักระยะก่อนที่เจ้าจะสามารถละทิ้งแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมได้หมด และยอมรับความจริงในพระวจนะของพระเจ้าได้โดยบริบูรณ์  เจ้าต้องค่อยๆ ค้นพบ ใช้ชีวิต และมีประสบการณ์กับการยืนยันในชีวิตจริงยามที่เผชิญหน้าสังคมและมวลมนุษย์  เมื่อมีประสบการณ์เหล่านี้ เจ้าก็จะค่อยๆ มารู้จักพระวจนะของพระเจ้าและย่อมจะเข้าใจความจริง  เมื่อทำดังนี้แล้ว เจ้าก็จะเริ่มเห็นผล ได้ประโยชน์ และได้รับรางวัล เจ้าจะแก้ไขทัศนะและแนวคิดผิดๆ ที่เจ้ามีเกี่ยวกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ สารพัดรูปแบบ  นี่คือขั้นตอนและเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง

ต่อไป เราจะสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวที่ว่า “จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น”  คำกล่าวนี้พูดถึงคุณธรรมอย่างหนึ่งในวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมซึ่งผู้คนมองว่าประเสริฐและยิ่งใหญ่  แน่นอนว่าความคิดเห็นเหล่านี้เกินจริงและไม่ตรงตามความเป็นจริงอยู่บ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มีการรับรู้โดยทั่วกันว่าเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง  เมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนได้ยินคุณธรรมข้อนี้ ในใจของพวกเขาย่อมนึกฉากทัศน์บางอย่างขึ้นมา เช่น ภาพผู้คนตักอาหารใส่จานของอีกฝ่ายเวลากินด้วยกันและยกอาหารที่ดีที่สุดให้ผู้อื่น ผู้คนยอมให้ผู้อื่นเดินขึ้นหน้าเวลาต่อแถวอยู่ที่ร้านขายของชำ ผู้คนยอมให้ผู้อื่นซื้อบัตรที่สถานีรถไฟหรือที่สนามบินก่อน เวลาเดินหรือขับรถ ผู้คนก็ยอมให้ผู้อื่นและเปิดทางให้พวกเขาไปก่อน...  ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างที่แสนจะ “งดงาม” ของการที่ “ส่วนรวมทำเพื่อปัจเจก และปัจเจกก็ทำเพื่อส่วนรวม”  แต่ละภาพในฉากทัศน์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสังคมและโลกอบอุ่น ปรองดอง เป็นสุข และมีสันติเพียงใด  ระดับของความสุขนั้นสูงเสียจนเกินความคาดหมายไปมาก  ถ้าใครบางคนถามพวกเขาว่า “ทำไมคุณถึงมีความสุขขนาดนี้?” พวกเขาย่อมตอบว่า “วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมสนับสนุนการพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น  พวกเราทุกคนจึงนำแนวคิดนี้มาปฏิบัติ และทำได้ไม่ยากเลย  พวกเรารู้สึกแต่เพียงว่าได้รับพรมากมายเท่านั้น”  พวกเจ้าเคยนึกถึงฉากทัศน์เช่นนี้บ้างหรือไม่?  (เคย)  จะพบเห็นฉากทัศน์เหล่านี้ได้ที่ไหน?  พบเห็นได้ตามภาพวาดเทศกาลฤดูใบไม้ผลิที่เคยติดผนังกันในช่วงเทศกาลตรุษจีนก่อนทศวรรษ 1990  พบเจอได้ในใจของผู้คนและแม้กระทั่งในสิ่งที่เรียกกันว่าภาพลวงตาหรือวิมานในอากาศ  สรุปแล้ว ฉากทัศน์ดังกล่าวไม่มีอยู่ในชีวิตจริง  แน่นอนว่า “จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น” ยังเป็นข้อกำหนดที่ผู้มีศีลธรรมสร้างขึ้นในฐานะหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมอีกด้วย  นี่เป็นคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ที่กำหนดว่าก่อนจะลงมือทำอะไร ผู้คนควรคำนึงถึงผู้อื่นก่อนตนเอง  พวกเขาควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้อื่นก่อน ไม่ใช่ของตนเอง  พวกเขาควรนึกถึงผู้อื่นและเรียนรู้ที่จะเสียสละ—กล่าวคือ พวกเขาต้องละทิ้งผลประโยชน์ ข้อเรียกร้อง ความต้องการ และความทะเยอทะยานของตนเอง และไปไกลถึงขั้นละทิ้งทุกสิ่งที่เป็นของตนและนึกถึงผู้อื่นก่อน  ไม่ว่ามนุษย์จะสามารถทำตามข้อกำหนดนี้ได้หรือไม่ ก่อนอื่นก็ต้องถามก่อนว่า ผู้คนที่นำเสนอทัศนะข้อนี้เป็นคนแบบไหน?  พวกเขาเข้าใจสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่?  พวกเขาเข้าใจสัญชาตญาณและแก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของสิ่งมีชีวิตที่เป็นมนุษย์นี้หรือไม่?  พวกเขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย  ผู้คนที่ประดิษฐ์คำกล่าวนี้ขึ้นมาต้องโง่เขลาอย่างยิ่งถึงได้วางข้อกำหนดที่ไม่อยู่กับความเป็นจริงเรื่องพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นแก่พวกที่เป็นมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัวซึ่งไม่เพียงมีความคิดอ่านและเจตจำนงเสรีเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีอีกด้วย  ไม่ว่าผู้คนจะสามารถทำตามข้อกำหนดนี้ได้หรือไม่ เมื่อคำนึงถึงแก่นแท้และสัญชาตญาณของผู้คนในฐานะสิ่งมีชีวิตแล้ว ผู้มีศีลธรรมที่ผลักดันข้อกำหนดนี้ออกมาย่อมไร้มนุษยธรรมอย่างแท้จริง  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาไร้มนุษยธรรม?  ยกตัวอย่าง เวลาใครบางคนหิว พวกเขาก็จะรู้สึกถึงความหิวของตนตามสัญชาตญาณและจะไม่คำนึงว่ามีใครอื่นหิวหรือไม่  พวกเขาจะกล่าวว่า “ฉันหิว ฉันอยากกินอะไรสักอย่าง”  พวกเขาจะคิดถึง “ฉัน” ก่อน  นี่เป็นเรื่องที่ปกติ เป็นธรรมชาติ และเหมาะสม  ไม่มีใครที่หิวแล้วจะค้านความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง และถามว่า “คุณอยากกินอะไรบ้าง?”  การที่ใครบางคนถามอีกคนว่าอยากกินอะไรตอนที่ตัวเองหิวขึ้นมานั้นเป็นเรื่องปกติหรือไม่?  (ไม่)  ตกดึกเวลาใครบางคนเหนื่อยและอ่อนล้า พวกเขาก็จะพูดว่า “ฉันเหนื่อย  ฉันอยากเข้านอน”  ไม่มีใครจะบอกว่า “ฉันเหนื่อย เพราะฉะนั้นคุณเข้านอนและหลับแทนฉันได้ไหม?  พอคุณนอนแล้ว ความเหนื่อยของฉันก็ลดลง”  ถ้าพวกเขาพูดกันอย่างนี้ก็ย่อมจะผิดปกติมิใช่หรือ?  (ใช่)  ทุกสิ่งที่ผู้คนสามารถคิดอ่านและทำได้ตามสัญชาตญาณย่อมเป็นไปเพื่อตัวเองทั้งสิ้น  ถ้าพวกเขาสามารถดูแลตนเองได้ พวกเขาก็ทำได้ดีมากแล้ว—นี่คือสัญชาตญาณของมนุษย์  ถ้าเจ้าสามารถใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาตนเองได้ ไปถึงจุดที่เจ้าสามารถดำรงชีวิตและรับมือเรื่องต่างๆ ด้วยตนเองได้ ดูแลตัวเองได้ รู้จักไปหาหมอเวลาเจ้าป่วย เข้าใจว่าจะพักฟื้นจากอาการเจ็บป่วยอย่างไร และรู้ว่าจะแก้ปัญหาและความยุ่งยากทั้งปวงที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างไร เช่นนั้นเจ้าก็ทำได้ดีมากแล้ว  อย่างไรก็ดี การพลีอุทิศผลประโยชน์ของเจ้าเพื่อผู้อื่นกำหนดให้เจ้าต้องละทิ้งเรื่องที่เจ้าจำเป็นต้องทำเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ไม่ทำอะไรเพื่อตนเอง แต่ให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้อื่นและทำทุกสิ่งเพื่อผู้อื่นเสียก่อน—นี่ย่อมไร้มนุษยธรรมมิใช่หรือ?  ตามที่เรามอง เรื่องนี้ลิดรอนสิทธิ์ในการใช้ชีวิตของผู้คนอย่างที่สุด  เรื่องพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตคือสิ่งที่เจ้าควรจัดการด้วยตนเอง ดังนั้น เหตุใดผู้อื่นจึงควรเสียสละผลประโยชน์ของตนเพื่อทำและจัดการสิ่งเหล่านี้ให้เจ้า?  นั่นจะทำให้เจ้าเป็นคนเช่นไร?  จะว่าไป เจ้าบกพร่องทางสติปัญญา พิการ หรือเป็นสัตว์เลี้ยงกระนั้นหรือ?  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้คนควรทำตามสัญชาตญาณ—ทำไมผู้อื่นถึงควรละทิ้งสิ่งที่พวกเขาพึงทำและเสียสละแรงกำลังของตนมาทำสิ่งเหล่านี้ให้เจ้า?  นั่นเหมาะสมหรือไม่?  ข้อกำหนดที่ให้พลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นนี้เป็นเพียงการพูดจาใหญ่โตบางอย่างเท่านั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  การพูดจาแบบนี้ฟังดูเป็นเช่นไร แล้วเกิดจากอะไร?  เกิดจากการที่คนที่เรียกกันว่าผู้มีศีลธรรมเหล่านี้ไม่เข้าใจสัญชาตญาณ ความต้องการ และแก่นแท้ของมนุษย์แม้แต่น้อย และเกิดจากความกระตือรือร้นของพวกเขาที่จะคุยโวว่าตนนั้นเหนือกว่าผู้อื่นทางด้านศีลธรรมมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่ไร้มนุษยธรรมใช่หรือไม่?  (ใช่)  ถ้าทุกคนพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะจัดการกิจธุระของตนเองกันอย่างไร?  แท้จริงแล้วเจ้ามองว่าผู้อื่นพิการ จัดการชีวิตของตนเองไม่ได้ เป็นคนไม่มีสมอง บกพร่องทางสติปัญญา หรือโง่เขลากันหมดกระนั้นหรือ?  ถ้าเจ้าไม่ได้มองอย่างนั้น เช่นนั้นแล้วทำไมเจ้าต้องพลีอุทิศผลประโยชน์ของเจ้าเพื่อผู้อื่น และเรียกร้องให้ผู้อื่นทิ้งประโยชน์ของตนเพื่อเจ้า?  แม้กระทั่งคนพิการบางคนก็ไม่อยากให้ผู้อื่นยื่นมือเข้าไปช่วยตน แต่อยากจัดการและทำมาหาเลี้ยงชีวิตของตนเองแทน—พวกเขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาจ่ายราคาเพิ่มขึ้นให้แก่พวกเขาหรือมอบความช่วยเหลือเพิ่มเติมแต่อย่างใด  พวกเขาอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม นี่คือวิธีที่พวกเขาจะรักษาศักดิ์ศรีของตนเอาไว้  สิ่งที่พวกเขาต้องการจากผู้อื่นคือการให้เกียรติ ไม่ใช่ความเห็นใจและสงสาร  ส่วนผู้ที่สามารถดูแลตนเองได้ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้เข้าไปใหญ่ จริงไหม?  ดังนั้นข้อกำหนดที่ให้พลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นนี้จึงฟังไม่ขึ้นในทัศนะของเรา  มันฝืนสัญชาตญาณและสำนึกในมโนธรรมของมนุษย์ และอย่างน้อยที่สุดก็ไร้มนุษยธรรม  ต่อให้มีจุดมุ่งหมายเป็นการดำรงบรรทัดฐานทางสังคม ความสงบเรียบร้อยโดยรวม และสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างบุคคล ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียกร้องในลักษณะที่ไม่สมเหตุสมผลและไร้มนุษยธรรมอย่างนี้ว่า ทุกคนต้องค้านเจตจำนงของตนและใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่น  ถ้าผู้คนใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่นและไม่ใช่เพื่อตัวเอง นั่นย่อมจะบิดเบี้ยวและผิดปกติอยู่บ้างมิใช่หรือ?

ข้อกำหนดให้พลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นนี้ใช้ได้กับรูปการณ์ใดบ้าง?  รูปการณ์อย่างหนึ่งก็คือเมื่อพ่อแม่ทำเพื่อลูกๆ ของตน  นี่น่าจะทำกันในระยะเวลาที่จำกัดเท่านั้น  ก่อนที่ลูกๆ จะโตเป็นผู้ใหญ่ พ่อแม่ก็ควรดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด  การที่จะเลี้ยงดูลูกๆ ให้เติบใหญ่และให้แน่ใจว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่มีสุขภาพดี มีความสุข และเบิกบานนั้น พ่อแม่ย่อมเสียสละวัยหนุ่มสาวของตน ทุ่มเทกำลังวังชา วางมือจากความรื่นเริงหรรษาทางเนื้อหนัง และถึงกับเสียสละอาชีพการงานและงานอดิเรกของตนด้วย  พวกเขาทำทุกอย่างนี้เพื่อลูกๆ ของตน  นี่คือความรับผิดชอบ  ทำไมพ่อแม่ถึงต้องลุล่วงความรับผิดชอบนี้?  เพราะพ่อแม่ทุกคนมีภาระหน้าที่ที่จะต้องเลี้ยงดูฟูมฟักลูกๆ ของตน  เป็นความรับผิดชอบที่พวกเขามิอาจบ่ายเบี่ยงได้  อย่างไรก็ดี ผู้คนไม่มีภาระหน้าที่เช่นนี้ต่อสังคมและมวลมนุษย์  ถ้าเจ้าเอาใจใส่ดูแลตนเอง ไม่ก่อปัญหา และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เช่นนั้นเจ้าก็ทำได้ดีมากแล้ว  ยังมีรูปการณ์อีกแบบหนึ่งที่ผู้คนซึ่งบกพร่องทางกายไม่สามารถดูแลตัวเองได้และต้องให้พ่อแม่ พี่น้อง และแม้กระทั่งองค์การสังคมสงเคราะห์มาช่วยเหลือเกื้อกูลในชีวิตของพวกเขาและช่วยให้พวกเขาอยู่รอด  รูปการณ์พิเศษอีกแบบก็คือเมื่อผู้คนหรือภูมิภาคต่างๆ ประสบภัยธรรมชาติ และไม่สามารถอยู่รอดได้หากไม่มีการบรรเทาทุกข์ฉุกเฉิน  นี่คือกรณีที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น  มีรูปการณ์อื่นๆ นอกจากนี้ที่ผู้คนควรพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นอีกหรือไม่?  อาจจะไม่มี  สังคมในชีวิตจริงมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด และถ้าใครไม่เค้นพลังสมองคิดจนหยดสุดท้ายเพื่อที่จะทำงานของตนให้ดี ก็ยากที่จะผ่านไปได้ ยากที่จะอยู่รอด  มวลมนุษย์ไม่สามารถพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นได้ ถ้าพวกเขาแน่ใจได้ว่าตัวเองจะอยู่รอดและไม่ล่วงล้ำผลประโยชน์ของผู้อื่น นั่นก็ดีมากแล้ว  อันที่จริง ความขัดแย้งและการฆ่าล้างแค้นที่มวลมนุษย์ทำอยู่ท่ามกลางบริบททางสังคมและรูปการณ์ในชีวิตจริงนี้สะท้อนให้เห็นโฉมหน้าอันแท้จริงของพวกเขาอย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้นด้วยซ้ำ  ในงานแข่งกีฬาต่างๆ เจ้าย่อมมองเห็นว่าเมื่อนักกรีฑาใช้แรงกำลังทุกหยาดหยดของตนเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนคือใครและได้ชัยชนะในที่สุด ก็ย่อมจะไม่มีพวกเขาคนไหนกล่าวว่า “ฉันไม่อยากได้ตำแหน่งชนะเลิศ  ฉันว่าคุณควรได้มันไว้”  ไม่มีวันที่ใครจะทำเช่นนั้น  การแข่งขันเพื่อเป็นที่หนึ่ง เป็นเลิศ และเป็นสุดยอดคือสัญชาตญาณของผู้คน  ในความเป็นจริง ผู้คนก็แค่ไม่สามารถพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นได้  ตามสัญชาตญาณของมนุษย์ย่อมไม่มีความต้องการหรือเจตจำนงที่จะพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นเช่นนี้  เมื่อพิจารณาแก่นแท้และธรรมชาติของมนุษย์แล้ว เขามีแต่จะสามารถทำและจะลงมือทำก็เพื่อตัวเขาเองเท่านั้น  ถ้าคนคนหนึ่งกระทำการเพื่อผลประโยชน์ของตน และระหว่างที่ทำเช่นนั้นก็สามารถเลือกใช้เส้นทางที่ถูกต้อง นี่ย่อมเป็นเรื่องดี และคนคนนี้ก็นับได้ว่าเป็นสิ่งทรงสร้างที่ดีงามในหมู่มนุษย์  เวลากระทำการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ถ้าเจ้าสามารถเลือกใช้เส้นทางที่ถูกต้อง ไล่ตามเสาะหาความจริงและสิ่งที่เป็นบวก และมีอิทธิพลต่อผู้คนรอบตัวเจ้าในทางที่เป็นบวก เจ้าก็ทำได้ดีมากแล้ว  การส่งเสริมและผลักดันให้แนวคิดเรื่องการพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นรุดหน้านี้เป็นแต่เพียงการพูดจาใหญ่โตเท่านั้น ไม่ได้สอดคล้องกับความต้องการของมนุษย์ และยิ่งไม่สอดคล้องกับสภาวะของมวลมนุษย์ในปัจจุบัน  แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าข้อกำหนดให้พลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงและไร้มนุษยธรรม แต่ข้อกำหนดนี้ก็ยังคงมีที่ทางสักแห่งอยู่ลึกๆ ในหัวใจของผู้คน และความคิดอ่านของพวกเขาก็ยังคงถูกมันครอบงำและตีตรวนเอาไว้ในระดับต่างๆ กัน  เมื่อผู้คนกระทำการเพื่อตนเองเท่านั้น ไม่ทำเพื่อผู้อื่น ไม่ช่วยเหลือผู้อื่น หรือไม่นึกถึงผู้อื่นหรือแสดงให้เห็นว่าคำนึงถึงผู้อื่น พวกเขาก็มักจะรู้สึกอยู่ในใจว่าถูกกล่าวโทษ  พวกเขารู้สึกถึงความกดดันที่มองไม่เห็นและบางครั้งก็ถึงกับรู้สึกว่ามีสายตาวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่นคอยจับจ้องตนอยู่  ความรู้สึกแบบนี้เกิดจากอิทธิพลของคตินิยมดั้งเดิมทางศีลธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในหัวใจของพวกเขาทั้งสิ้น  พวกเจ้าเคยถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมที่กำหนดว่าเจ้าต้องพลีอุทิศผลประโยชน์ของเจ้าเองเพื่อผู้อื่นนี้ครอบงำในระดับต่างๆ กันด้วยหรือไม่?  (เคย)  ผู้คนมากมายยังคงเห็นชอบกับข้อกำหนดทั้งหลายที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมี และถ้าใครบางคนสามารถยึดปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ได้ ผู้คนก็จะมองพวกเขาในทางที่ดี และจะไม่มีใครตำหนิหรือคัดค้านพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะทำตามข้อกำหนดเหล่านี้ไปกี่ข้อก็ตาม  ถ้าใครบางคนเห็นคนคนหนึ่งจ้องดูใครอีกคนล้มลงตรงถนนและไม่เข้าไปช่วยพยุงขึ้นมา ทุกคนก็จะไม่พอใจในตัวคนคนนั้น และกล่าวว่าคนคนนั้นช่างไม่มีมนุษยธรรม  นี่แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานที่วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดและนำมาใช้กับมนุษย์นั้นมีที่ทางบางอย่างอยู่ในหัวใจของผู้คน  ดังนั้นถ้าประเมินคนคนหนึ่งตามสิ่งที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่?  ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงจะไม่มีวันสามารถเข้าใจประเด็นนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง  อาจกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์มานานหลายพันปี แต่สัมฤทธิ์ผลอะไรอย่างแท้จริงบ้าง?  เปลี่ยนแปลงทัศนคติทางจิตวิญญาณของมวลมนุษย์ไปบ้างหรือไม่?  พาให้สังคมมีอารยะและก้าวหน้าบ้างหรือไม่?  แก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัยโดยรวมในสังคมบ้างหรือไม่?  เคยอบรมสั่งสอนมวลมนุษย์ได้สำเร็จบ้างหรือไม่?  วัฒนธรรมดั้งเดิมไม่เคยแก้ไขเรื่องเหล่านี้เลย  วัฒนธรรมดั้งเดิมไม่เคยมีประสิทธิผลอะไรเลย ดังนั้นพวกเราก็สามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่ามาตรฐานที่วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดและใช้กับมนุษย์นั้นไม่อาจถือเป็นหลักเกณฑ์ได้—เป็นแต่เพียงเครื่องจองจำที่หมายจะมัดมือมัดเท้าผู้คน ควบคุมความคิดอ่าน และกำกับพฤติกรรมของพวกเขาเท่านั้น  มาตรฐานเหล่านี้ส่งผลให้มนุษย์ประพฤติตัวดี ทำตามกฎเกณฑ์ มีสภาพคล้ายมนุษย์ เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ และรู้จักเคารพอาวุโสไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็ตาม  มาตรฐานเหล่านี้ส่งผลให้คนไม่ทำให้ผู้อื่นไม่พอใจด้วยการทำตัวไร้เดียงสาและไม่สุภาพ  อย่างมากมาตรฐานทั้งหมดนี้ก็ได้แต่ทำให้ผู้คนดูดีและดูมีการอบรมขึ้นมาบ้าง—ในความเป็นจริงแล้ว นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับแก่นแท้ของผู้คน และเพียงแต่ดีพอที่จะได้รับความเห็นชอบชั่วขณะจากผู้อื่นและตอบสนองความไม่เป็นแก่นสารของคนเราเท่านั้น  เจ้าย่อมรู้สึกปลาบปลื้มมากเมื่อผู้คนบอกเจ้าว่าเจ้าเป็นคนดีเหลือเกินที่วิ่งทำธุระให้พวกเขา  เมื่อเจ้าแสดงให้เห็นว่าเจ้าสามารถเอาใจใส่ดูแลผู้เยาว์และผู้สูงอายุได้ด้วยการยกที่นั่งของเจ้าให้แก่พวกเขาบนรถโดยสาร และผู้อื่นก็บอกว่าเจ้าช่างเป็นเด็กดี เจ้าคืออนาคตของชาติ เจ้าก็รู้สึกปลาบปลื้มเช่นกัน  เจ้าปลาบปลื้มอีกด้วยเมื่อเจ้าเข้าแถวซื้อบัตรและยอมให้ใครบางคนข้างหลังเจ้าซื้อบัตรของพวกเขาก่อน และผู้อื่นก็สรรเสริญเจ้าว่ามีน้ำใจนึกถึงผู้อื่น  หลังจากทำตามกฎเกณฑ์ไม่กี่ข้อและแสดงพฤติกรรมอันดีงามให้เห็นบ้างแล้ว เจ้าก็รู้สึกว่าเจ้านั้นมีลักษณะนิสัยอันประเสริฐ  ถ้าเจ้าเชื่อว่าเจ้ามีสถานะสูงส่งกว่าผู้อื่นหลังการทำความดีไม่กี่อย่างแบบครั้งเดียวจบ—นี่ย่อมโง่เขลามิใช่หรือ?  ความโง่เขลาแบบนี้สามารถทำให้เจ้าสูญเสียหนทางและเหตุผลของตน  ไม่คุ้มเลยที่จะใช้เวลามากเกินไปในการสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ให้พลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นนี้  ปัญหาที่เชื่อมโยงกับคำกล่าวนี้ใช้วิจารณญาณแยกแยะได้ง่ายพอสมควร เพราะมันทำให้สภาวะความเป็นมนุษย์ ลักษณะนิสัย และศักดิ์ศรีของผู้คนผิดเพี้ยนและบิดเบี้ยวอย่างมากทีเดียว  ทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่ยิ่งไม่จริงใจ ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง หลงตัวเอง และรู้น้อยลงไปอีกว่าตนควรใช้ชีวิตอย่างไร จะดูผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายในชีวิตจริงออกได้อย่างไร และจะจัดการปัญหาต่างๆ ที่เกิดกับตนในชีวิตจริงได้อย่างไร  ผู้คนทำได้เพียงให้ความช่วยเหลือบางอย่างและบรรเทาความวิตกกังวลและปัญหาให้ผู้อื่นเท่านั้น แต่กลับหลงทิศเรื่องเส้นทางชีวิตที่ตนควรใช้ ถูกซาตานบงการ และกลายเป็นที่เย้ยหยันของมัน—นี่คือเครื่องหมายของความอัปยศมิใช่หรือ?  ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่เรียกกันว่ามาตรฐานทางศีลธรรมเรื่องการพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นนี้ก็เป็นคำกล่าวที่ไม่จริงใจและผิดประหลาด  แน่นอนว่าในแง่นี้ พระเจ้าทรงกำหนดแต่เพียงว่าให้มนุษย์ลุล่วงภาระผูกพัน ความรับผิดชอบ และหน้าที่ที่พวกเขาได้รับมอบหมายเท่านั้น ให้พวกเขาไม่ทำร้าย ทำอันตราย หรือสร้างความเสียหายแก่ผู้คน ให้พวกเขากระทำการในลักษณะที่สามารถสร้างประโยชน์และเป็นผลดีต่อผู้อื่น—นั่นย่อมดีพอแล้ว  พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้ผู้คนมีความรับผิดชอบหรือภาระผูกพันมากขึ้น  ถ้าเจ้าสามารถลุล่วงงาน หน้าที่ ภาระผูกพัน และความรับผิดชอบทั้งหมดของเจ้าได้ เจ้าก็ทำได้ดีแล้ว—เช่นนี้ย่อมง่ายมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่ทำให้สำเร็จลุล่วงได้ง่าย  ในเมื่อง่ายขนาดนี้และทุกคนก็เข้าใจเรื่องนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสามัคคีธรรมเรื่องนี้ให้ละเอียดขึ้น

ถัดไป เราจะอภิปรายถึงคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม”  ถ้อยแถลงนี้แตกต่างจากมาตรฐานอื่นๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่กำหนดไว้ตรงที่มาตรฐานข้อนี้มุ่งไปที่ผู้หญิงโดยเฉพาะ  “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” เป็นข้อกำหนดที่ไร้มนุษยธรรมและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงซึ่งคนที่เรียกกันว่าผู้มีศีลธรรมเสนอแนะเอาไว้เกี่ยวกับผู้หญิง  ทำไมเราถึงกล่าวเช่นนี้?  มาตรฐานข้อนี้กำหนดให้ผู้หญิงทุกคนไม่ว่าจะเป็นลูกสาวหรือภรรยา ต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม  พวกเธอต้องมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแบบนี้และมีลักษณะนิสัยทางศีลธรรมเช่นนี้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นหญิงดีที่น่านับถือ  นี่บอกผู้ชายเป็นนัยว่าผู้หญิงต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม ส่วนผู้ชายไม่ต้อง—ผู้ชายไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรมหรือมีเมตตา และยิ่งไม่จำเป็นต้องอ่อนโยนหรือมีศีลธรรม  แล้วผู้ชายต้องทำอะไร?  ถ้าภรรยาของพวกเขาล้มเหลวในการมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม พวกเขาก็สามารถหย่าหรือทอดทิ้งพวกเธอได้  ถ้าผู้ชายไม่อาจทนทอดทิ้งภรรยาของตนได้ เขาควรทำเช่นไร?  เขาก็ควรเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นหญิงที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม—นี่คือความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของเขา  ความรับผิดชอบที่ชายมีต่อสังคมก็คือการดูแล ชี้แนะ และกำกับผู้หญิงอย่างเข้มงวด  พวกเขาต้องสวมบทผู้บังคับบัญชาของพวกเขาเองให้เต็มที่ ต้องข่มผู้หญิงที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมเอาไว้ ทำหน้าที่เป็นเจ้านายและหัวหน้าครอบครัวของพวกเธอ และต้องแน่ใจว่าผู้หญิงทำสิ่งที่พวกเธอพึงทำและลุล่วงภาระหน้าที่ที่ถูกควรของตน  ในทางกลับกัน ผู้ชายไม่จำเป็นต้องมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแบบนี้—สำหรับกฎเกณฑ์ข้อนี้ พวกเขาเป็นข้อยกเว้น  ในเมื่อผู้ชายเป็นข้อยกเว้นสำหรับกฎเกณฑ์ข้อนี้ คำกล่าวอ้างด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้จึงเป็นเพียงมาตรฐานที่ผู้ชายสามารถใช้ตัดสินผู้หญิงเท่านั้น  นั่นคือ เมื่อชายอยากแต่งงานกับหญิงที่มีการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรม เขาควรวินิจฉัยผู้หญิงอย่างไร?  เขาได้แต่ระบุว่าหญิงนั้นมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมหรือไม่  ถ้าเธอมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม เขาก็สามารถแต่งงานกับเธอได้—ถ้าเธอไม่ได้เป็นอย่างนั้น เช่นนั้นแล้วเขาก็ไม่ควรแต่งงานกับเธอ  ถ้าเขาจะแต่งงานกับหญิงคนดังกล่าว ผู้อื่นก็จะดูแคลนเธอและถึงกับกล่าวว่าเธอไม่ใช่คนดี  แล้วผู้มีศีลธรรมกล่าวว่าผู้หญิงต้องทำตามข้อกำหนดข้อใดเป็นการเฉพาะบ้างจึงจะได้ชื่อว่ามีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม?  คำวิเศษณ์เหล่านี้มีความหมายอะไรโดยเฉพาะบ้างหรือไม่?  มีความหมายมากมายอยู่เบื้องหลังคำทั้งสี่อันได้แก่ “มีคุณธรรม” “มีเมตตา” “อ่อนโยน” และ “มีศีลธรรม” และลักษณะเหล่านี้ก็ไม่มีสักอย่างเดียวที่ใครๆ จะทำตามได้โดยง่าย  ไม่มีผู้ชายหรือปัญญาชนคนใดจะสามารถทำตามลักษณะเหล่านี้ได้ กระนั้นพวกเขาก็กำหนดให้ผู้หญิงทั่วไปทำเช่นนี้—นี่ไม่เป็นธรรมกับผู้หญิงอย่างยิ่ง  แล้วพฤติกรรมพื้นฐานและรูปแบบจำเพาะที่เป็นการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ผู้หญิงต้องแสดงให้เห็นเพื่อที่จะได้ชื่อว่ามีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมนั้นมีอะไรบ้าง?  ก่อนอื่นเลยผู้หญิงต้องไม่ก้าวเท้าออกจากห้องส่วนตัวของตนภายในบ้าน และต้องมัดเท้าให้มีความยาวประมาณสี่นิ้ว ซึ่งสั้นกว่าความยาวของมือเด็กเล็ก  นี่คือการควบคุมผู้หญิงให้แน่ใจว่าพวกเธอจะไปที่ไหนตามความพอใจไม่ได้  ก่อนแต่งงาน ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องส่วนตัวภายในบ้านของตน ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในห้องด้านในซึ่งถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก และต้องไม่ให้ผู้คนทั่วไปเห็นใบหน้าของตน  ถ้าพวกเธอสามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเธอก็มีลักษณะทางศีลธรรมของหญิงโสดที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม  หลังการแต่งงาน ผู้หญิงต้องแสดงความกตัญญูโดยเชื่อฟังพ่อแม่สามี และปฏิบัติต่อญาติพี่น้องคนอื่นๆ ของสามีอย่างมีน้ำใจ  ไม่ว่าครอบครัวของสามีจะปฏิบัติต่อเธอหรือทารุณเธออย่างไร เธอก็ต้องทนรับความทุกข์ยากและการวิพากษ์วิจารณ์เอาไว้เหมือนม้างานที่สัตย์ซื่อ  ไม่เพียงเธอต้องรับใช้สมาชิกทุกคนในครอบครัวทั้งที่มีอายุน้อยและมากเท่านั้น แต่เธอยังต้องคลอดลูกเพื่อสืบเชื้อสายบรรพชนอีกด้วย และต้องทำทั้งหมดนั้นโดยไม่มีการพร่ำบ่นแม้แต่น้อย  ไม่ว่าเธอจะถูกทุบตีหรือทนทุกข์มากเท่าใดกับความไม่เป็นธรรมจากน้ำมือของพ่อแม่สามี และไม่ว่าเธอจะเหนื่อยล้าและต้องทำงานหนักเพียงใด เธอก็ไม่มีวันสามารถบ่นเรื่องใดให้สามีฟังได้  ไม่ว่าเธอจะถูกพ่อแม่สามีกลั่นแกล้งเพียงใด เธอก็ไม่สามารถบอกให้คนนอกบ้านรู้และไม่อาจติฉินนินทาครอบครัวนั้นได้  ไม่ว่าเธอจะถูกกระทำเช่นไร เธอก็ไม่สามารถเอ่ยปากและต้องกล้ำกลืนคำสบประมาทและการดูหมิ่นเหยียดหยามเอาไว้เงียบๆ  เธอไม่เพียงต้องทนรับความทุกข์ยากและการวิพากษ์วิจารณ์เอาไว้เท่านั้น แต่เธอยังต้องเรียนรู้ที่จะยอมจำนนต่อการกดขี่ สะกดกลั้นความขุ่นเคืองเอาไว้ สู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยาม และทนรับภาระที่ตนรับผิดชอบแต่โดยดีอีกด้วย—เธอต้องเรียนรู้ศิลปะของการอดทนและอดกลั้น  ไม่ว่าในมื้อหนึ่งๆ จะมีอาหารอะไรที่เลิศรสก็ตาม เธอก็ต้องให้สมาชิกคนอื่นในครอบครัวกินไปก่อน และเพื่อแสดงความกตัญญูและเชื่อฟัง เธอก็ต้องให้พ่อแม่สามีกินก่อน จากนั้นก็สามีและลูกๆ ของเธอเอง  หลังจากที่ทุกคนกินเสร็จและอาหารเลิศรสก็หมดไปแล้ว เธอค่อยถูกทิ้งให้เติมกระเพาะให้เต็มด้วยอาหารอะไรก็ตามที่เหลืออยู่  นอกจากข้อกำหนดที่เราเพิ่งอภิปรายไปแล้ว ในยุคสมัยใหม่ยังมีผู้หญิงที่ถูกคาดหวังให้ “เปล่งประกายทั้งในวงสังคมและในครัว” อีกด้วย  ตอนที่เราได้ยินวลีนี้ เราก็นึกสงสัยว่าถ้าผู้หญิงถูกคาดหวังให้เปล่งประกายทั้งในวงสังคมและในครัว แล้วผู้ชายทุกคนกำลังทำอะไรกันอยู่?  ผู้หญิงต้องทำอาหารให้ทั้งครอบครัว ทำงานบ้านและดูแลลูกๆ ที่บ้าน ออกไปทำไร่ทำนาและทำงานใช้แรง—พวกเธอต้องดีเลิศทั้งในบ้านและนอกบ้านด้วยการทำงานทั้งหมดนี้ให้สำเร็จ  ในทางตรงกันข้าม ผู้ชายแค่ต้องไปทำงาน แล้วก็กลับมาบ้าน ใช้เวลาหาความสำราญตามสบาย และไม่ทำงานอะไรในบ้านเลย  ถ้ามีอะไรทำให้พวกเขาโมโหในที่ทำงาน พวกเขาก็เอามาระบายใส่ภรรยาและลูกๆ ของตน—นี่เป็นธรรมหรือไม่?  พวกเจ้ามองเห็นอะไรจากเรื่องที่เราพูดมานี้?  ไม่มีใครวางข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมให้ผู้ชาย แต่กลับคาดหวังให้ผู้หญิงเปล่งประกายทั้งในวงสังคมและในครัว นอกเหนือจากที่ต้องดำรงลักษณะนิสัยที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมอยู่แล้ว  มีผู้หญิงกี่คนที่สามารถทำตามข้อกำหนดดังกล่าวได้?  การวางข้อกำหนดกับผู้หญิงเช่นนี้ไม่เป็นธรรมมิใช่หรือ?  ถ้าผู้หญิงผิดพลาดแม้แต่น้อย เธอก็จะถูกทุบตี ด่าทอ และอาจจะถึงขั้นถูกสามีของตนทอดทิ้ง  ผู้หญิงมีแต่ต้องสู้ทนทั้งหมดนี้เท่านั้น และถ้าพวกเธอรับไม่ไหวอีกต่อไปจริงๆ พวกเธอก็เลือกได้แต่การฆ่าตัวตายเท่านั้น  การเจาะจงเรียกร้องเอาจากผู้หญิงอย่างไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ทั้งที่พวกเธอมีร่างกายอ่อนแอกว่า มีอำนาจและความสามารถทางกายน้อยกว่าชาย ออกจะเป็นการกดขี่มิใช่หรือ?  ในบรรดาผู้หญิงที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ ถ้าผู้คนเรียกร้องเอาจากพวกเจ้าเช่นนี้ในชีวิตจริง พวกเจ้าจะไม่คิดว่าเกินไปหรอกหรือ?  ผู้ชายมีไว้เพื่อควบคุมผู้หญิงจริงหรือ?  พวกเขามีอยู่เพื่อเป็นนายทาสของผู้หญิงและไล่ต้อนให้พวกเธอสู้ทนความทุกข์ยากกระนั้นหรือ?  เมื่อพิจารณาสภาพการณ์ที่ผิดประหลาดนี้แล้ว พวกเราย่อมจะสรุปได้มิใช่หรือว่าคำกล่าวที่ว่า “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” กำลังส่งผลให้สังคมร้าวฉาน?  คำกล่าวนี้ยกชูสถานะของผู้ชายในสังคมอย่างชัดเจน พร้อมกับที่เจตนาลดทอนสถานะของผู้หญิงมิใช่หรือ?  ข้อกำหนดนี้ทำให้ชายหญิงเชื่อแน่ว่าฝ่ายหลังมีสถานะและคุณค่าทางสังคมน้อยกว่าชาย แทนที่จะเท่าเทียมกัน  เพราะฉะนั้น ผู้หญิงจึงควรมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม ทนทุกข์กับการถูกกระทำ และควรถูกเลือกปฏิบัติ ถูกเหยียดหยาม และถูกลิดรอนสิทธิมนุษยชนในสังคม  ในทางตรงกันข้าม กลับเชื่อกันว่าชายควรเป็นหัวหน้าครอบครัวและชอบด้วยเหตุผลที่จะเรียกร้องให้ผู้หญิงมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม  นี่คือการเจตนาสร้างความขัดแย้งในสังคมมิใช่หรือ?  นี่คือการเจตนาสร้างรอยร้าวในสังคมมิใช่หรือ?  หลังจากที่ทนทุกข์กับการถูกกระทำมาอย่างยาวนาน ผู้หญิงบางคนย่อมจะลุกขึ้นมาขบถมิใช่หรือ?  (ใช่)  ที่ใดก็ตามที่มีความอยุติธรรมเกิดขึ้น ย่อมจะมีการขบถ  คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้เป็นธรรมและยุติธรรมต่อผู้หญิงหรือไม่?  อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เป็นธรรมและไม่ยุติธรรมต่อผู้หญิง—เพียงแต่ทำให้ชายมีอิสระที่จะกระทำการอย่างไร้ยางอายมากขึ้นอีกเท่านั้น ทำให้สังคมแตกแยก เพิ่มสถานะในสังคมให้ผู้ชาย และลดทอนสถานะของผู้หญิง พลางลิดรอนสิทธิ์ในการดำรงอยู่ของผู้หญิงมากขึ้นอีก และทำให้ความไม่เท่าเทียมกันด้านสถานะของชายหญิงในสังคมหนักข้อยิ่งขึ้นอย่างแยบยล  เราสามารถสรุปบทบาทของผู้หญิงในบ้านและในสังคมโดยรวม รวมทั้งการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแบบที่พวกเธอแสดงออกมาได้ด้วยคำคำเดียวคือ กระสอบทราย  คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” กำหนดให้ผู้หญิงเคารพผู้อาวุโสในครอบครัว รักและเอาใจใส่สมาชิกครอบครัวที่อ่อนอาวุโสกว่า นอบน้อมต่อสามีของตนเป็นพิเศษ และคอยรับใช้สามีในทุกเรื่อง  พวกเธอต้องจัดการธุระทั้งปวงของครอบครัวทั้งในและนอกบ้าน และไม่ว่าจะสู้ทนความทุกข์ยากมากมายเพียงใด พวกเธอก็จะปริปากบ่นไม่ได้เป็นอันขาด—นี่คือการลิดรอนสิทธิ์ของผู้หญิงมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือการลิดรอนอิสรภาพ สิทธิ์ในการพูดอย่างเสรี และสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ของผู้หญิง  การลิดรอนสิทธิ์ทั้งหมดของผู้หญิงและยังคงเรียกร้องให้พวกเธอลุล่วงความรับผิดชอบของตนนี้มีมนุษยธรรมหรือไม่?  นี่เท่ากับเป็นการเหยียบย่ำผู้หญิงและสร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกเธอ!

เห็นได้ชัดเจนทีเดียวว่าผู้มีศีลธรรมทั้งหลายที่บังคับใช้ข้อกำหนดนี้กับผู้หญิงและสร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกเธอไปพร้อมกันนั้นเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง  ผู้หญิงจะไม่เลือกเหยียบย่ำผู้หญิงด้วยกัน ดังนั้น นี่จึงเป็นผลงานของผู้ชายอย่างแน่นอน  พวกเขากังวลว่าถ้าผู้หญิงมีความสามารถมากเกินไป มีอำนาจมากเกินไป และมีอิสระมากเกินไป พวกเธอก็จะทัดเทียมชาย เว้นเสียแต่ว่าพวกเธอจะตกอยู่ภายใต้การกำกับและควบคุมอย่างเข้มงวด  หญิงที่มีความสามารถย่อมจะค่อยๆ มีสถานะสูงกว่าชาย เลิกทำหน้าที่ของตนในบ้านเรือน และนี่—พวกเขาเชื่อว่า—จะส่งผลต่อความกลมเกลียวในครอบครัว  ถ้าแต่ละบ้านไม่มีความกลมเกลียว เช่นนั้นแล้วสังคมโดยรวมก็จะไม่สมัครสมาน และสำหรับนักปกครองประเทศแล้ว นี่คือเรื่องที่น่าเป็นห่วง  เจ้าจงดูเอาเถิด ไม่ว่าพวกเราจะเสวนากันเรื่องอะไร บทสนทนาก็ดูเหมือนจะกลับมาที่ชนชั้นปกครองอยู่ร่ำไป  พวกเขาเก็บงำเจตนาอันชั่วและอยากจัดการผู้หญิง แล้วก็ลงมือเล่นงานพวกเธอ—เรื่องนี้จึงไร้มนุษยธรรม  พวกเขากำหนดว่าไม่ว่าจะในบ้านหรือในสังคมโดยรวม ผู้หญิงก็ต้องเชื่อฟังทุกอย่าง ยอมจำนนต่อการกดขี่แต่โดยดี ถ่อมตัวและด้อยค่าตนเอง กล้ำกลืนคำสบประมาททั้งปวง ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล สุภาพอ่อนโยนและนึกถึงผู้อื่น อดทนต่อความทุกข์ยากและการวิพากษ์วิจารณ์ เป็นต้น  ชัดเจนว่าพวกเขาเอาแต่คาดหวังให้ผู้หญิงเป็นเหมือนกระสอบทรายและพรมเช็ดเท้าเท่านั้น—ถ้าพวกเธอต้องทำทั้งหมดนี้ พวกเธอจะยังคงเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ?  ถ้าพวกเธอสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งปวงนี้ได้จริง พวกเธอก็ย่อมจะไม่ใช่มนุษย์ และจะเป็นเหมือนรูปเคารพที่ไม่กินหรือดื่มซึ่งผู้ไม่เชื่อพากันบูชา เฉยเมยต่อความห่วงใยในวัตถุทางโลก ไม่เคยโกรธ และไม่มีบุคลิกภาพ  หรือพวกเธออาจจะเป็นเหมือนหุ่นเชิดหรือเครื่องจักรที่ไม่คิดอ่านหรือมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างเป็นอิสระ  ใครก็ตามที่เป็นคนจริงๆ ย่อมจะมีความคิดเห็นและมุมมองเกี่ยวกับคำกล่าวและข้อห้ามทั้งหลายของโลกภายนอก—เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมจำนนต่อการกดขี่ทั้งปวงแต่โดยดีได้  นี่คือสาเหตุที่การเคลื่อนไหวด้านสิทธิ์ของผู้หญิงเกิดขึ้นในยุคสมัยใหม่ตลอดมา  สถานะของผู้หญิงในสังคมค่อยๆ กระเตื้องขึ้นในช่วงร้อยกว่าปีมานี้ และในที่สุดพวกเธอก็เป็นอิสระจากโซ่ตรวนที่เคยพันธนาการพวกเธอเอาไว้  ผู้หญิงถูกพันธนาการไว้เช่นนี้อยู่นานกี่ปี?  ในเอเชียตะวันออก พวกเธอถูกทำให้สยบยอมมาอย่างน้อยก็หลายพันปีแล้ว  พันธนาการเช่นนี้อำมหิตและโหดร้ายมาก—เท้าของพวกเธอถูกมัดจนเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ และไม่มีใครเคยปกป้องผู้หญิงเหล่านี้จากความอยุติธรรมเลย  เราได้ฟังมาว่าในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 บางประเทศและบางภูมิภาคในโลกตะวันตกก็ใช้ข้อห้ามบางอย่างมาจำกัดอิสรภาพของผู้หญิงเช่นกัน  พวกเขาควบคุมผู้หญิงกันอย่างไรในสมัยนั้น?  พวกเขาให้ผู้หญิงใส่กระโปรงสุ่มที่สวมเข้ากับเอวด้วยขอเกี่ยวที่เป็นโลหะ และใช้วงโลหะที่หนักและห้อยไหวไปมาคอยประคองให้อยู่ทรง  นี่ทำให้ผู้หญิงไม่สะดวกอย่างยิ่งที่จะออกจากบ้านหรือเดินไปไหนมาไหน และลดทอนความสามารถในการเคลื่อนไหวของพวกเธอเป็นอย่างมาก  เพราะฉะนั้นผู้หญิงจึงพบว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะเดินให้ไกลขึ้นหรือออกจากบ้านของตน  ในรูปการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ผู้หญิงทำอย่างไร?  สิ่งที่พวกเธอทำได้มีแต่ยินยอมเงียบๆ ยอมอยู่กับบ้าน และไม่สามารถเดินให้ไกลขึ้นได้  การออกไปเดินข้างนอกให้ทั่ว ชมสถานที่ที่น่าสนใจ เปิดหูเปิดตา หรือเยี่ยมเยียนเพื่อนๆ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้  นี่คือวิธีการควบคุมผู้หญิงที่เคยใช้กันอยู่ในสังคมตะวันตก—สังคมไม่ต้องการให้ผู้หญิงออกนอกบ้านและพบเจอใครก็ตามที่พวกเธออยากเจอ  ในสมัยนั้น ผู้ชายสามารถนั่งรถม้าไปที่ใดก็ได้ตามต้องการโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ แต่ผู้หญิงต้องมีข้อห้ามสารพัดชนิดเวลาออกจากบ้าน  ในยุคสมัยใหม่ ผู้หญิงมีข้อห้ามน้อยลงทุกทีแล้วในตอนนี้ กล่าวคือ การมัดเท้ากลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายไปแล้ว และหญิงเอเชียก็มีอิสระที่จะเลือกคนที่ตนอยากคบหาดูใจด้วย  ผู้หญิงสมัยนี้ค่อนข้างเสรีและค่อยๆ ออกมาจากเงื้อมเงาแห่งพันธนาการ  ขณะที่พวกเธอออกมาจากเงื้อมเงานี้ พวกเธอก็เข้าสังคมและค่อยๆ เริ่มรับผิดชอบส่วนที่สมควรเป็นของตน  ผู้หญิงสัมฤทธิ์สถานะที่ค่อนข้างสูงในสังคมแล้ว มีสิทธิ์และได้รับประโยชน์พิเศษมากกว่าแต่ก่อน  ในบางประเทศก็เริ่มมีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีที่เป็นหญิงกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป  การที่ผู้หญิงค่อยๆ มีสถานะมากขึ้นเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีสำหรับมนุษยชาติ?  อย่างน้อยที่สุด การมีสถานะมากขึ้นนี้ก็เปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีอิสระและเสรีอยู่บ้าง—แน่นอนว่าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงนั้น นี่ย่อมเป็นเรื่องดี  แล้วการที่ผู้หญิงมีอิสระและมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นของตนเป็นผลดีต่อสังคมหรือไม่?  แท้จริงแล้วนี่เป็นผลดี บังเอิญว่าผู้หญิงสามารถทำสิ่งต่างๆ มากมายที่ผู้ชายทำได้ไม่ดีหรือไม่ก็ไม่อยากทำ  ผู้หญิงเป็นเลิศในสายงานมากมาย  ทุกวันนี้ผู้หญิงไม่เพียงสามารถขับรถได้ แต่ยังสามารถขับเครื่องบินได้อีกด้วย  นอกจากนี้ผู้หญิงบางคนยังทำงานเป็นเจ้าหน้าที่หรือประธานาธิบดีที่ดูแลบริหารกิจการต่างๆ ของชาติ และพวกเธอก็ทำงานของตนได้ดีพอๆ กับผู้ชายเลยทีเดียว—นี่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้หญิงนั้นทัดเทียมผู้ชาย  เดี๋ยวนี้สิทธิ์ที่ผู้หญิงควรจะมีก็ได้รับการส่งเสริมและคุ้มครองอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ปกติ  แน่นอนว่าย่อมถูกต้องเหมาะสมที่ผู้หญิงควรมีสิทธิ์ของตน แต่หลังจากที่สถานการณ์ถูกทำให้บิดเบี้ยวมาหลายพันปี เรื่องนี้ก็เพิ่งจะกลายเป็นปกติวิสัยกันอีกครั้งในสมัยนี้เท่านั้น และเกิดความเสมอภาคระหว่างชายหญิงกันโดยทั่วไป  เมื่อมองในแง่ของชีวิตจริง ผู้หญิงค่อยๆ ปรากฏตัวในทุกชนชั้นของสังคมและในทุกวงการมากขึ้นเรื่อยๆ  นี่บอกพวกเราว่าอย่างไร?  นี่บอกพวกเราว่าผู้หญิงที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางต่างๆ กันสารพัดอย่างค่อยๆ นำความสามารถพิเศษของตนมาใช้และทำคุณประโยชน์ให้แก่มวลมนุษย์และสังคม  ไม่ว่าคนเราจะมองสถานการณ์นี้อย่างไร ก็เป็นผลดีต่อมวลมนุษย์อย่างแน่นอน  ถ้าผู้หญิงไม่ได้สิทธิ์และสถานะของตนในสังคมคืนมา พวกเธอจะทำงานแบบใดกันอยู่?  พวกเธอย่อมจะอยู่บ้านดูแลสามีและเลี้ยงดูลูกๆ ดูแลกิจธุระภายในบ้าน และประพฤติปฏิบัติตนอย่างมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม—พวกเธอจะไม่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อสังคมได้เลย  บัดนี้เมื่อสิทธิ์ของพวกเธอได้รับการส่งเสริมและคุ้มครอง ผู้หญิงก็สามารถทำคุณความดีให้แก่สังคมได้ตามปกติ และมวลมนุษย์ก็ได้ประโยชน์เป็นคุณค่าและคุณูปการที่ผู้หญิงนำมาให้แก่สังคม  ตามข้อเท็จจริงนี้ก็ย่อมแน่นอนด้วยประการทั้งปวงว่าชายหญิงเท่าเทียมกัน ชายไม่ควรดูเบาหรือทำไม่ดีกับผู้หญิง และผู้หญิงก็ควรมีสถานภาพทางสังคมที่สูงขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ย่อมบ่งชี้ว่าสังคมพัฒนาดีขึ้น  เดี๋ยวนี้มวลมนุษย์เข้าใจเรื่องเพศสภาพกันอย่างถ่องแท้ ถูกต้อง และเป็นระบบมากขึ้น ผลก็คือผู้หญิงเริ่มเข้าไปทำงานที่ผู้คนเคยนึกกันว่าพวกเธอทำไม่ได้  ขณะนี้ไม่เพียงมีการจ้างผู้หญิงเข้าทำงานตามบริษัทเอกชนอยู่บ่อยๆ เท่านั้น แต่การที่ผู้หญิงมีตำแหน่งงานตามแผนกวิจัยทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นกันทั่วไป และสัดส่วนของผู้หญิงที่มีบทบาทเป็นผู้นำของชาติก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน  พวกเราทุกคนก็เคยได้ยินเรื่องนักเขียน นักร้อง ผู้ประกอบการ และนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นผู้หญิง ในงานแข่งกีฬาก็มีผู้หญิงมากมายครองตำแหน่งชนะเลิศและรองชนะเลิศ และเมื่อมีสงครามก็มีผู้กล้าที่เป็นหญิงอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้หญิงมีความสามารถพอๆ กับผู้ชายโดยแท้  สัดส่วนของผู้หญิงที่ได้รับการว่าจ้างในแต่ละวงการก็เพิ่มขึ้นและนี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างปกติ  ทั่วทุกวงการและสาขาอาชีพในสังคมสมัยใหม่มีอคติต่อผู้หญิงน้อยลงทุกที สังคมเป็นธรรมมากขึ้น และมีความเท่าเทียมระหว่างชายหญิงอย่างแท้จริง  ผู้หญิงไม่ถูกตีกรอบและไม่ถูกตัดสินด้วยวลีและหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม เช่น “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” หรือ “สตรีต้องเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง” กันอีกแล้ว  เดี๋ยวนี้สิทธิ์ของผู้หญิงได้รับการคุ้มครองมากขึ้น สะท้อนให้เห็นบรรยากาศทางสังคมที่มีความเท่าเทียมทางเพศอย่างแท้จริง

ดูเหมือนพวกเราจะเห็นแต่ผู้ชายกำหนดให้ผู้หญิงมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม แต่พวกเราไม่เคยเห็นผู้หญิงกำหนดให้ผู้ชายเป็นเหมือนกันบ้าง  นี่เป็นวิธีปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมกับผู้หญิงอย่างยิ่ง และถึงขั้นเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และไร้ความละอายพอสมควร  คนเราอาจกล่าวได้อีกด้วยว่าการปฏิบัติต่อผู้หญิงในลักษณะนี้ผิดกฎหมายและเป็นการทำไม่ดีกับพวกเธอ  ในสังคมสมัยใหม่ หลายประเทศออกกฎหมายห้ามทารุณผู้หญิงและเด็กกันแล้ว  อันที่จริงพระเจ้าไม่ได้ตรัสสิ่งใดเป็นการเฉพาะในเรื่องเพศสภาพของมวลมนุษย์ เพราะทั้งชายและหญิงคือสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าและเกิดจากพระเจ้า  กล่าวด้วยวลีที่มวลมนุษย์พูดกันก็คือ “ทั้งหน้ามือและหลังมือต่างก็เป็นเนื้อหนัง”—พระเจ้าไม่ทรงมีอคติกับชายหรือหญิงโดยเฉพาะ และพระองค์ก็ไม่ทรงมีข้อกำหนดที่แตกต่างออกไปต่อเพศใดเพศหนึ่ง ทั้งสองเพศล้วนเหมือนกัน  เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงใช้มาตรฐานเดียวกันซึ่งมีอยู่ไม่กี่ข้อมาพิพากษาเจ้าไม่ว่าเจ้าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม—พระองค์จะทรงดูว่าเจ้ามีสภาวะความเป็นมนุษย์แบบใด เจ้าเดินอยู่บนเส้นทางใด เจ้ามีท่าทีเช่นใดต่อความจริง เจ้ารักความจริงหรือไม่ เจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่ และเจ้าสามารถนบนอบพระองค์หรือไม่  เวลาเลือกใครสักคนและบ่มเพาะให้ทำหน้าที่บางอย่างหรือรับผิดชอบบางเรื่อง พระเจ้าไม่ได้ทรงดูว่าพวกเขาเป็นชายหรือหญิง  ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม พระเจ้าก็ทรงส่งเสริมและใช้ผู้คนโดยดูว่าพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่ ขีดความสามารถของพวกเขาใช้ได้หรือไม่ พวกเขายอมรับความจริงหรือไม่ และเดินบนเส้นทางใดอยู่  แน่นอนว่าเวลาช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและทำให้พวกเขาเพียบพร้อม พระเจ้าไม่ได้ทรงหยุดคิดถึงเพศของพวกเขา  ถ้าเจ้าเป็นผู้หญิง พระเจ้าก็ไม่ทรงคำนึงว่าเจ้ามีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมหรือไม่ หรือว่าเจ้าประพฤติตัวดีหรือไม่ และพระองค์ก็ไม่ได้ประเมินผู้ชายตามความเป็นชายชาตรีและความเป็นบุรุษเพศ—สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่มาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้ประเมินชายหญิง  กระนั้น ในหมู่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามก็มีผู้ที่เลือกปฏิบัติกับผู้หญิงอยู่เสมอ วางข้อกำหนดบางอย่างที่ไร้ศีลธรรมและไร้มนุษยธรรมกับผู้หญิงเพื่อที่จะลิดรอนสิทธิ์ สถานภาพอันถูกต้องชอบธรรมทางสังคม และคุณค่าที่พวกเธอควรมีในสังคม ตลอดจนพยายามจำกัดและควบคุมพัฒนาการในทางที่เป็นบวกและการดำรงอยู่ของผู้หญิงในสังคม ทำให้ความรู้สึกนึกคิดในจิตใจของพวกเธอผิดเพี้ยน  นี่ทำให้ชีวิตทั้งชีวิตของผู้หญิงตกอยู่ในสภาวะที่ซึมเศร้าและเจ็บปวด ทั้งยังไม่มีทางเลือกนอกจากสู้ทนวิถีชีวิตที่น่าอับอายในสภาพแวดล้อมทางสังคมและทางศีลธรรมที่บิดเบี้ยวและไม่เป็นผลดี  สาเหตุเดียวที่เรื่องนี้เกิดขึ้นก็เพราะซาตานควบคุมสังคมและโลกทั้งใบเอาไว้ และปีศาจทุกรูปแบบก็ลวงหลอกและทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามกันอย่างไม่ยั้ง  ผลก็คือผู้คนไม่สามารถมองเห็นความสว่างที่แท้จริง ไม่แสวงหาพระเจ้า แต่กลับใช้ชีวิตภายใต้เล่ห์กลและการบงการของซาตานกันอย่างไม่เต็มใจหรือโดยไม่รู้ตัว ไม่สามารถถอนตัวได้  ทางออกเพียงทางเดียวของพวกเขาก็คือการแสวงหาพระวจนะของพระเจ้า แสวงหาการปรากฏและพระราชกิจของพระองค์ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง และสามารถมองเห็นและมีวิจารณญาณแยกแยะเหตุผลวิบัติ ความนอกรีต เรื่องโกหก และคำกล่าวอ้างที่เหลวไหลซึ่งล้วนเกิดจากซาตานและคนชั่วได้อย่างชัดเจน  เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถเป็นอิสระจากเครื่องจองจำ ความกดดัน และอิทธิพลเหล่านี้  เฉพาะเมื่อมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ ดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี มีชีวิตอยู่ในความสว่าง ทำสิ่งที่ตนพึงทำ ลุล่วงภาระหน้าที่ที่ตนควรลุล่วง และแน่นอนว่าใช้คุณค่าของตนทำคุณประโยชน์ เสร็จสิ้นภารกิจในชีวิตของตนภายใต้การนำของพระเจ้าและการชี้นำของความคิดอ่านและทัศนะที่ถูกต้องได้—การใช้ชีวิตเช่นนี้ย่อมมีความหมายมากมิใช่หรือ?  (ใช่)  ระหว่างที่พวกเจ้านึกทบทวนว่าซาตานใช้คำกล่าวที่ว่า “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” มาวางข้อกำหนดกับผู้หญิง กวดขัน ควบคุม และถึงกับทำให้พวกเธอตกเป็นทาสมานานหลายพันปีอย่างไร พวกเจ้ามีความรู้สึกเช่นไรกันบ้าง?  เมื่อพวกเจ้าทุกคนที่เป็นผู้หญิงได้ฟังผู้คนพูดถึงวลีที่ว่า “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” พวกเจ้ารู้สึกต่อต้านและกล่าวทันทีหรือไม่ว่า “อย่ายกวลีนั้นขึ้นมาพูด!  นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน  แม้ฉันจะเป็นผู้หญิง แต่พระวจนะของพระเจ้าก็ระบุไว้ว่าวลีนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้หญิง”?  ผู้ชายบางคนย่อมจะกล่าวว่า “ถ้านี่ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ เช่นนั้นแล้ววลีนี้พูดถึงใครกัน?  คุณไม่ใช่ผู้หญิงหรอกหรือ?”  และเจ้าก็จะตอบว่า “ฉันเป็นผู้หญิง นี่คือเรื่องจริง  แต่คำพูดพวกนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า จึงไม่ใช่ความจริง  คำพูดพวกนั้นเกิดจากมารและมวลมนุษย์ เป็นคำพูดที่เหยียบย่ำผู้หญิงและลิดรอนสิทธิ์ในชีวิตของผู้หญิง  คำพูดพวกนั้นไร้มนุษยธรรมและไม่เป็นธรรมกับผู้หญิง  ฉันถึงลุกขึ้นมาทัดทาน!”  แท้จริงแล้วไม่มีความจำเป็นต้องลุกขึ้นทัดทาน  ทั้งหมดที่เจ้าจำเป็นต้องทำก็คือการมีท่าทีที่ถูกต้องต่อวลีแบบนี้ ปฏิเสธ และไม่ยอมให้วลีเหล่านี้ครอบงำและตีกรอบ  ในอนาคตถ้ามีใครบางคนกล่าวกับเจ้าว่า “คุณดูไม่เหมือนผู้หญิง และคุณก็พูดจาหยาบกระด้างมาก เหมือนผู้ชาย  จะมีวันมีใครอยากแต่งงานด้วยไหมนี่?” เจ้าควรตอบว่าอย่างไร?  เจ้าพูดได้ว่า “ถ้าไม่มีใครแต่งงานด้วย ก็ให้เป็นไปตามนั้น  คุณตั้งใจที่จะพูดจริงๆ หรือว่าทางเดียวที่จะดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีคือการแต่งงาน?  คุณตั้งใจที่จะพูดกระนั้นหรือว่าเฉพาะผู้หญิงที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน มีศีลธรรม และเป็นที่รักของทุกคนเท่านั้นที่เป็นหญิงแท้?  เป็นไปไม่ได้ที่เรื่องนั้นจะถูกต้อง—แท้จริงแล้ว มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมไม่ควรเป็นถ้อยคำที่ใช้นิยามผู้หญิง  ผู้หญิงไม่ควรถูกจำกัดความตามเพศของตน และสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเธอก็ไม่ควรถูกตัดสินโดยดูว่าพวกเธอมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมหรือไม่ แต่ควรตัดสินโดยใช้มาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้ประเมินสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนเรา  นี่คือวิธีประเมินพวกเธอที่เป็นธรรมและอิงตามข้อเท็จจริง”  คราวนี้พวกเจ้ามีความเข้าใจขั้นพื้นฐานในคำกล่าวที่ว่า “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” นี้แล้วใช่หรือไม่?  ถึงตอนนี้การสามัคคีธรรมของเราก็ควรอธิบายความจริงที่เกี่ยวข้องกับคำกล่าวนี้และมุมมองที่ถูกต้องที่ผู้คนควรใช้กับคำกล่าวนี้อย่างชัดแจ้งแล้ว

ยังมีคำกล่าวอีกข้อหนึ่งที่ว่า “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้”  เราไม่อยากสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวนี้  ทำไมเราถึงไม่อยากสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวนี้?  คำกล่าวนี้มีธรรมชาติที่คล้ายกับวลีที่ว่า “จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น” และมีบางสิ่งที่ผิดประหลาดในตัวมันเองอยู่บ้างอีกด้วย  ถ้าคนเราต้องระลึกถึงคนที่ขุดบ่อน้ำทุกครั้งที่ไปตักน้ำจากบ่อ นั่นจะลำบากขนาดไหน?  บ่อบางแห่งย่อมประดับริบบิ้นสีแดงและเครื่องรางต่างๆ—แล้วถ้าผู้คนจุดธูปและเอาผลไม้ไปไหว้ตรงนั้นด้วยก็ย่อมจะดูประหลาดอยู่บ้างมิใช่หรือ?  เทียบกับวลีที่ว่า “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้” เรากลับชอบคำกล่าวที่ว่า “คนรุ่นหลังย่อมชื่นชมเงาไม้ที่คนรุ่นก่อนปลูกเอาไว้” มากกว่าอีก เพราะคำกล่าวนี้สะท้อนความเป็นจริงที่ผู้คนสามารถมีชีวิตและมีประสบการณ์ด้วยตนเองอย่างแท้จริง  การที่ต้นไม้ที่ปลูกไว้จะโตได้ขนาดที่สามารถให้ร่มเงาได้นั้นย่อมใช้เวลาเป็นสิบถึงยี่สิบปี ดังนั้นคนที่ปลูกต้นไม้ย่อมจะไม่สามารถพักผ่อนใต้ร่มไม้ได้นาน มีแต่คนรุ่นต่อๆ มาเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์จากร่มเงาตลอดชีวิตของตน  นี่คือระเบียบแบบแผนตามธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย  ในทางตรงกันข้าม มีอะไรบางอย่างที่ออกจะวิตกจริตเกี่ยวกับการจดจำคนขุดบ่อทุกครั้งที่คนเราดื่มน้ำจากบ่อนั้นๆ  ถ้าทุกคนต้องระลึกและจดจำคนขุดบ่อทุกครั้งที่พวกเขามาตักน้ำ นั่นจะไม่ดูวิกลจริตอยู่บ้างหรอกหรือ?  ถ้าปีนั้นเกิดแล้งและผู้คนมากมายจำเป็นต้องตักน้ำจากบ่อนั้น ถ้าทุกคนต้องพากันยืนระลึกถึงคนขุดบ่ออยู่ตรงนั้นก่อนจะตักน้ำ นั่นย่อมจะกีดกันผู้คนจากการเอาน้ำไปหุงหาอาหารมิใช่หรือ?  การทำเช่นนี้มีความจำเป็นจริงหรือไม่?  นี่มีแต่จะถ่วงทุกคนเอาไว้  ดวงจิตของคนขุดบ่อสิงสู่อยู่ที่บ่อหรือไร?  เขาจะสามารถได้ยินผู้คนรำลึกถึงตนกระนั้นหรือ?  ทั้งหมดนี้ไม่มีเรื่องไหนที่สามารถยืนยันได้  ดังนั้นวลีที่ว่า “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้” นี้จึงไร้สาระและไม่มีความหมายแต่อย่างใด  วัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนนำเสนอคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมทำนองนี้ไว้มากมาย ส่วนใหญ่นั้นไร้สาระ โดยเฉพาะคำกล่าวนี้ยิ่งไร้สาระกว่าคำกล่าวอื่นๆ  ใครเป็นคนขุดบ่อเอาไว้?  เขาขุดให้ใครและขุดทำไม?  เขาขุดบ่อเพื่อผู้คนทั้งปวงและคนรุ่นหลังจริงหรือ?  ไม่จำเป็น  เขาขุดบ่อเพื่อตัวเขาเองและเพื่อให้ครอบครัวของเขาเข้าถึงน้ำดื่มเท่านั้น—ไม่ได้คำนึงถึงคนรุ่นหลัง  เมื่อเป็นเช่นนั้น การให้คนรุ่นหลังทั้งปวงระลึกและขอบคุณคนขุดบ่อและให้พวกเขาคิดไปว่าคนคนนั้นขุดบ่อเพื่อผู้คนทั้งปวงย่อมเป็นการหลอกลวงและชักพาให้ผู้คนหลงเชื่อไปในทางที่ผิดมิใช่หรือ?  เพราะฉะนั้น คนที่เสนอแนะคำกล่าวนี้ก็กำลังยัดเยียดความคิดและมุมมองของตนเองให้แก่ผู้อื่นและบีบให้ผู้อื่นยอมรับแนวคิดของตนเท่านั้น  นี่ไร้ศีลธรรมและจะยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกรังเกียจ ขยะแขยง และเกลียดชังคำกล่าวแบบนี้มากขึ้นอีก  ผู้ที่ส่งเสริมคำกล่าวแบบนี้แท้จริงแล้วมีความบกพร่องทางสติปัญญาอยู่บ้าง ซึ่งพาให้เลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะกล่าวและทำเรื่องไร้สาระบางอย่าง  แนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างคำกล่าวที่ว่า “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้” และ “เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู” มีผลเช่นไรต่อผู้คน?  ผู้คนที่มีการศึกษาและผู้ที่มีความรู้น้อยได้อะไรจากคำกล่าวเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม?  พวกเขากลายเป็นคนดีจริงหรือไม่?  พวกเขาใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่  ผู้เชี่ยวชาญด้านศีลธรรมที่เคารพบูชาวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้นั่งสูงเป็นสุดยอดทางศีลธรรมและวางข้อกำหนดทางศีลธรรมให้ผู้คน ซึ่งก็ไม่สอดคล้องกับสภาวะที่แท้จริงในชีวิตของพวกเขาแม้แต่น้อย—นี่ไร้ซึ่งศีลธรรมและไม่มีมนุษยธรรมกับทุกคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้  มุมมองทางด้านศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่คนเหล่านี้ส่งเสริมสามารถเปลี่ยนใครบางคนที่มีเหตุผลปกติพอสมควรให้กลายเป็นคนที่มีสำนึกรู้เหตุผลแบบผิดปกติไปได้ เป็นคนที่สามารถกล่าวสิ่งต่างๆ ที่ผู้อื่นฟังแล้วเหลือเชื่อและยากที่จะเข้าใจได้  สภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนดังกล่าวย่อมผิดเพี้ยนและความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาก็ผิดประหลาด  เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าชาวจีนมากมายมีแนวโน้มที่จะกล่าวสิ่งต่างๆ ซึ่งฟังแปร่งหูตามงานแข่งกีฬา สถานที่สาธารณะ และตามสถานที่ทางการ และผู้คนก็ดิ้นรนพยายามที่จะทำความเข้าใจ  ทุกสิ่งที่พวกเขากล่าวเป็นทฤษฎีที่ว่างเปล่า ไร้สาระ และไม่มีวาจาที่จริงใจหรือสัมพันธ์กับชีวิตจริงสักนิด  นี่คือข้อพิสูจน์ที่แท้จริง เป็นผลลัพธ์ของการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม และเป็นผลสืบเนื่องของการที่ชาวจีนถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมอบรมสั่งสอนมานานหลายพันปี  ทั้งหมดนี้ได้เปลี่ยนผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างจริงใจและแท้จริงให้กลายเป็นผู้คนที่ติดต่อเจรจาด้วยความเทียมเท็จ เป็นเลิศในการอำพรางตนและสวมหน้ากากเพื่อหลอกลวงผู้อื่น เป็นผู้คนที่ดูเหมือนได้รับการขัดเกลามามากและสามารถแสดงความคิดเห็นทางด้านทฤษฎีได้อย่างคมคาย แต่ในความเป็นจริงกลับมีวิธีคิดที่ผิดเพี้ยนและไม่สามารถพูดจาอย่างมีเหตุผลหรือมีปฏิสัมพันธ์และสื่อสารกับผู้คนได้—โดยทั่วไปแล้วพวกเขามีธรรมชาติแบบนี้กันทุกคน  กล่าวให้ถูกต้องก็คือ ผู้คนแบบนี้จวนเจียนจะเป็นโรคจิตอยู่แล้ว  ถ้าเจ้าไม่สามารถยอมรับวจนะเหล่านี้ได้ เราก็สนับสนุนให้เจ้ามีประสบการณ์กับพวกเขาดู  สามัคคีธรรมวันนี้ก็สรุปจบเพียงเท่านี้

2 เมษายน ค.ศ. 2022

เชิงอรรถ:

ก. ข้อความดั้งเดิมในภาษาจีนระบุเพียงว่า “คำกล่าวอ้างนี้ย่อม”

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (6)

ถัดไป: สิ่งใดคือการไล่ตามเสาะหาความจริง (8)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger