การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (7)
ไม่นานมานี้เราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวสารพัดรูปแบบเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิม เราสามัคคีธรรมในส่วนของคำกล่าวจำเพาะบางข้อไปมาก ทั้งนี้ หัวข้อและเนื้อหานี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงบ้างหรือไม่? (มี) มีใครคิดบ้างหรือไม่ว่าหัวข้อและเนื้อหานี้ดูไม่เกี่ยวอะไรกับความจริง? ถ้าคิดอย่างนั้น เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีขีดความสามารถอ่อนด้อยจริงๆ และไม่มีวิจารณญาณแยกแยะแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ สามัคคีธรรมของเราในเรื่องนี้เข้าใจง่ายหรือไม่? (เข้าใจง่าย) ถ้าเราไม่สามัคคีธรรมและชำแหละแบบนี้ พวกเจ้าจะสำคัญผิดกันหรือไม่ว่าคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ผู้คนมองว่าค่อนข้างเป็นบวกเหล่านี้คือความจริง และยังคงให้การค้ำชูต่อไป? ก่อนอื่นเราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าผู้คนส่วนใหญ่มองว่าคำกล่าวเหล่านี้เป็นบวก เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับสภาวะความเป็นมนุษย์และพึงปฏิบัติตาม สอดคล้องกับมโนธรรม เหตุผล ข้อกำหนด มโนคติอันหลงผิด และสิ่งอื่นๆ ทำนองนั้นที่เกี่ยวพันกับสภาวะความเป็นมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่าก่อนการสามัคคีธรรมของเราในหัวข้อนี้ แทบทุกคนมองคำกล่าวนานัปการเหล่านี้ที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมว่าเป็นบวกและสอดคล้องกับความจริง หลังจากที่ได้ฟังสามัคคีธรรมและการชำแหละของเราแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าสามารถแยกแยะคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ออกจากความจริงได้หรือไม่? พวกเจ้ามีวิจารณญาณเช่นนี้กันหรือไม่? บางคนก็จะกล่าวว่า “ฉันแยกแยะสองอย่างนี้ไม่ออก แต่ไม่ว่าอย่างไร พอฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าแล้ว ตอนนี้ฉันมองเห็นแล้วว่ามีความแตกต่างระหว่างคำกล่าวเหล่านี้กับความจริง สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแทนที่ความจริง และยิ่งไม่อาจกล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นบวกหรือเป็นความจริง แน่นอนว่าย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดว่าคำกล่าวเหล่านี้สอดคล้องกับพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้าหรือหลักเกณฑ์ของความจริง สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรสัมพันธ์กับพระวจนะของพระเจ้า ข้อกำหนดของพระเจ้า หรือหลักเกณฑ์ของความจริงเลย โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะสอดคล้องกับมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์หรือไม่ ฉันก็ไม่เคารพบูชาสิ่งเหล่านี้ในหัวใจอีกแล้ว และไม่คิดว่าเป็นความจริงอีกต่อไป” นี่แสดงให้เห็นว่าแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมไม่ได้มีบทบาทชี้นำในหัวใจของผู้คนอีกต่อไป เมื่อผู้คนได้ฟังคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ พวกเขาก็จะแยกแยะคำกล่าวออกจากความจริงโดยไม่รู้ตัว และอย่างมากก็จะถือว่าเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความเห็นชอบอยู่ในมโนธรรมของตน อย่างไรก็ดี พวกเขารู้ว่าคำกล่าวเหล่านี้ยังคงแตกต่างจากความจริงและแน่นอนว่าไม่สามารถแทนที่ความจริงได้ เมื่อผู้คนเข้าใจแก่นแท้ของคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ พวกเขาก็จะเลิกมองว่าคำกล่าวเหล่านี้คือความจริงและเลิกปฏิบัติตาม เคารพบูชา หรือแสวงหาสิ่งเหล่านี้ในฐานะความจริง—นี่คือผลสัมฤทธิ์ขั้นพื้นฐาน คราวนี้ การเข้าใจทั้งหมดนี้ย่อมมีผลเชิงบวกต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คนอย่างไร? แน่นอนว่าย่อมจะมีผลในเชิงบวก แต่จะให้ผลนั้นในระดับใดย่อมจะขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเข้าใจความจริงขนาดไหน หรือรู้ความจริงมากเพียงใด เมื่อคำนึงถึงประเด็นเหล่านี้แล้วก็ชัดเจนว่ามีความจำเป็นทีเดียวที่จะต้องชำแหละแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ผู้คนให้การค้ำชูและเข้ากับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา อย่างน้อยที่สุดการชำแหละนี้ย่อมจะส่งผลเป็นการช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงและป้องกันไม่ให้พวกเขาทุ่มเทพยายามอย่างไร้ผลหรือเดินบนเส้นทางที่ผิดในการไล่ตามเสาะหาความจริงของตน เหล่านี้คือผลที่อาจสัมฤทธิ์ได้
คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมและชำแหละคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมสี่ข้อ ได้แก่ “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่น” และ “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวอื่นๆ กันต่อ วัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนได้ประดิษฐ์คำกล่าวอ้างด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมไว้อย่างชัดแจ้งเป็นจำนวนมาก—ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยหรือช่วงเวลาใดในประวัติศาสตร์ คำกล่าวอ้างเหล่านี้เดิมทีก็มีมานานแล้ว ทั้งหมดล้วนตกทอดมาจนถึงปัจจุบันและหยั่งรากอย่างมั่นคงในหัวใจของผู้คนแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปและเกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์ก็นำเสนอคำกล่าวอ้างใหม่ๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอีกมากมายที่แตกต่างออกไป คำกล่าวอ้างเหล่านี้โดยทั่วไปแล้วก็คือข้อกำหนดที่กำกับลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทางศีลธรรมของผู้คน พวกเจ้าทุกคนเข้าใจชัดเจนเรื่องคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมสี่ข้อที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปครั้งก่อนแล้วไม่มากก็น้อยใช่หรือไม่? (ใช่) คราวนี้พวกเรามาสามัคคีธรรมกันต่อถึงคำกล่าวข้อถัดไปคือ “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” แนวคิดที่ว่าความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ เป็นหนึ่งในหลักเกณฑ์อมตะของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมที่ใช้ตัดสินว่าการประพฤติปฏิบัติของคนคนหนึ่งนั้นมีหรือไม่มีศีลธรรม เวลาประเมินสภาวะความเป็นมนุษย์ของใครบางคนว่าดีหรือเลว ประเมินว่าการประพฤติปฏิบัติของพวกเขามีศีลธรรมเพียงใด บรรทัดฐานอย่างหนึ่งก็คือพวกเขาตอบแทนการเอื้อประโยชน์หรือความช่วยเหลือที่ตนได้รับหรือไม่—พวกเขาเป็นคนที่ตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ตนได้รับอย่างสำนึกรู้คุณหรือไม่ ในวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนและในวัฒนธรรมดั้งเดิมของมวลมนุษย์นั้น ผู้คนถือว่าเรื่องนี้คือเครื่องวัดการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่สำคัญ ถ้าใครไม่เข้าใจว่าความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ และไม่สำนึกรู้คุณ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมถูกมองว่าไร้ซึ่งมโนธรรมและไม่คู่ควรที่จะคบค้าสมาคมด้วย ควรถูกทุกคนดูหมิ่น เดียดฉันท์ หรือปฏิเสธ ในทางกลับกัน ถ้าใครเข้าใจว่าความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ—ถ้าพวกเขาสำนึกรู้คุณและตอบแทนการเอื้อประโยชน์และความช่วยเหลือที่ตนได้รับโดยใช้ทุกวิถีทางที่มี—ก็ถือกันว่าพวกเขาเป็นคนที่มีมโนธรรมและสภาวะความเป็นมนุษย์ ถ้าใครบางคนได้รับผลประโยชน์หรือความช่วยเหลือจากอีกคนหนึ่ง แต่ไม่ตอบแทนอีกฝ่าย หรือแค่แสดงความขอบคุณบ้างด้วยคำ “ขอบคุณ” ง่ายๆ เท่านั้น อีกฝ่ายหนึ่งจะคิดอย่างไร? จะรู้สึกอึดอัดบ้างหรือไม่? อีกฝ่ายจะคิดหรือไม่ว่า “คนคนนั้นไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือ เขาไม่ใช่คนดี ถ้าเขาตอบสนองแบบนั้นเวลาที่ฉันช่วยเขาไปตั้งมากมาย เช่นนั้นเขาก็ไม่มีมโนธรรมหรือสภาวะความเป็นมนุษย์ และไม่คู่ควรที่จะคบค้าด้วย”? ถ้าอีกฝ่ายพบพานคนแบบนี้อีก พวกเขายังจะช่วยคนแบบนี้หรือไม่? อย่างน้อยพวกเขาก็จะไม่นึกอยากช่วย ในรูปการณ์ที่คล้ายคลึงกัน พวกเจ้าย่อมจะนึกสงสัยมิใช่หรือว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าควรช่วยหรือไม่? บทเรียนที่เจ้าย่อมจะเรียนรู้มาแล้วจากประสบการณ์ที่แล้วมาของเจ้าย่อมจะเป็นว่า “ฉันจะเอาแต่ช่วยใครต่อใครไม่ได้—พวกเขาต้องเข้าใจว่าความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ ถ้าพวกเขาเป็นพวกไม่รู้คุณที่จะไม่ตอบแทนความช่วยเหลือที่ฉันให้ไป เช่นนั้นแล้วฉันก็ไม่ช่วยดีกว่า” นั่นย่อมจะเป็นทัศนะที่พวกเจ้ามีต่อเรื่องดังกล่าวมิใช่หรือ? (ใช่) โดยทั่วไปแล้ว เวลาผู้คนช่วยผู้อื่น แท้จริงแล้วพวกเขาคิดอย่างไรกับการลงมือช่วยเหลือของตน? พวกเขามีความคาดหวังหรือข้อเรียกร้องบางอย่างกับคนที่ตนช่วยหรือไม่? มีใครพูดไหมว่า “ฉันกำลังช่วยคุณโดยไม่คาดหวังว่าจะได้รับการตอบแทน ฉันไม่อยากได้อะไรจากคุณ การช่วยคุณเวลาคุณเผชิญความยากลำบากเป็นสิ่งที่ฉันพึงทำอยู่แล้ว และเป็นหน้าที่ของฉัน ไม่ว่าเราสองคนจะมีสัมพันธภาพบางอย่างต่อกันหรือไม่ และไม่ว่าคุณจะตอบแทนฉันได้หรือไม่ในอนาคต ฉันก็แค่กำลังทำหน้าที่พื้นฐานของตนในฐานะคนทั่วไป และฉันจะไม่เรียกร้องการตอบแทนใดๆ การที่คุณจะตอบแทนฉันหรือไม่นั้นไม่มีความสำคัญสำหรับฉัน”? มีคนที่พูดอะไรเช่นนี้หรือไม่? ต่อให้มีคนแบบนี้ พวกเขาก็เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นและไม่ตรงกับข้อเท็จจริง มีการสร้างตัวละครที่กล้าหาญขึ้นมามากมายนักในนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ของจีน และบรรดาผู้กล้าที่ประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาในสังคมสมัยใหม่ก็ยิ่งเป็นเรื่องแต่งเข้าไปใหญ่ แม้ตัวผู้คนจะมีอยู่จริง แต่เรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขานั้นแต่งขึ้นมา เมื่อดูตามข้อเท็จจริงเหล่านี้แล้ว ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจชัดเจนแล้วใช่ไหมเรื่องต้นกำเนิดของคำกล่าวที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” นี้ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ในการตัดสินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน รวมถึงว่าเอามาจากใคร? บางทีบางคนอาจจะยังเข้าใจเรื่องนี้ไม่ค่อยชัดเจน ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้ ผู้คนล้วนมีอุดมคติอย่างหนึ่งและความคาดหวังบางอย่างเกี่ยวกับสังคมมนุษย์ พวกเขามีความคาดหวังอะไร? “ถ้าทุกคนมอบความรักกันคนละนิด โลกก็จะกลายเป็นสถานที่อันวิเศษ” นอกจากความคาดหวังข้อนี้แล้ว ผู้คนยังหวังให้ตนเองได้รับการตอบแทนและชดเชยสำหรับหัวใจที่เปี่ยมรักของตนและราคาที่พวกเขาจ่ายไป ในด้านหนึ่ง นี่อาจเป็นการชดเชยในรูปของวัตถุ เช่น การให้เงินหรือรางวัลที่เป็นสิ่งของ ในอีกด้านหนึ่ง นี่อาจจะหมายถึงการชดเชยในแง่ของจิตใจ—นั่นคือ การเติมเต็มจิตใจของผู้คนโดยมอบรางวัลเป็นชื่อเรียก เช่น “คนงานตัวอย่าง” “บุคคลต้นแบบทางศีลธรรม” หรือ “แบบอย่างทางศีลธรรม” เพื่อเสริมสร้างความมีหน้ามีตาของพวกเขา ในสังคมมนุษย์ เกือบทุกคนมีความคาดหวังแบบนี้ต่อสังคมและโลก—พวกเขาล้วนหวังที่จะเป็นคนดี เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง และยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้ตกยาก เปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับความช่วยเหลือและได้ประโยชน์บางอย่าง พวกเขาหวังว่าผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากตนจะจดจำผู้ให้ และจดจำว่าตนได้ประโยชน์จากความช่วยเหลือนั้นอย่างไร แน่นอนว่าพวกเขาย่อมหวังด้วยว่าเมื่อพวกเขาเองต้องการความช่วยเหลือบ้าง ก็จะมีใครบางคนตรงนั้นยื่นมือเข้าช่วย ในด้านหนึ่งเมื่อใครบางคนต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาก็หวังให้คนบางคนแสดงหัวใจอันเปี่ยมรักแก่ตน ในอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็หวังว่าเมื่อผู้ที่แสดงหัวใจอันเปี่ยมรักนั้นตกระกำลำบาก คนเหล่านั้นจะได้รับความช่วยเหลือที่พวกเขาต้องการเช่นกัน ผู้คนมีความคาดหวังเช่นนี้ต่อสังคมและโลก—แท้จริงแล้วจุดมุ่งหมายสูงสุดของพวกเขาก็คือให้มวลมนุษย์ยึดมั่นในสังคมที่ปรองดอง สงบสุข และมั่นคง ความคาดหวังเช่นนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร? ความคาดหวังและคำกล่าวอ้างที่เกี่ยวข้องกันนี้ย่อม[ก]เกิดขึ้นมาเองเพราะผู้คนไม่รู้สึกปลอดภัยและไม่รู้สึกเป็นสุขในสภาพสังคมแบบนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนจึงเริ่มประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของคนแต่ละคนและลักษณะนิสัยที่ประเสริฐของพวกเขาโดยดูว่าพวกเขาตอบแทนความใจดีมีเมตตาของผู้อื่นหรือไม่ และคำกล่าวที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์สำหรับประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนก็เกิดจากสถานการณ์เช่นนี้ การเกิดขึ้นของคำกล่าวนี้ค่อนข้างแปลกมิใช่หรือ? (ใช่) ในยุคปัจจุบัน มนุษย์ไม่แสวงหาความจริง ไม่ยอมรับความจริง และเขาก็เอียนความจริง ผู้คนอยู่ในสภาวะที่สับสน และแม้จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่พวกเขาก็ล้วนไม่ชัดเจนว่าตนควรลงมือรับผิดชอบเรื่องใด ควรลุล่วงหน้าที่อะไร ควรดำรงฐานะอะไร และควรใช้มุมมองไหนเวลามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย นอกจากนี้ผู้คนก็ไม่ชัดเจนว่าพวกเขามีความรับผิดชอบและหน้าที่อะไรต่อสังคม ไม่ชัดเจนว่าพวกเขาควรมองและดำเนินการเกี่ยวกับสังคมด้วยจุดยืนหรือมุมมองเช่นใด พวกเขาไร้ซึ่งคำอธิบายและคำวินิจฉัยที่ถูกต้องสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก และพวกเขาก็ไม่สามารถค้นพบเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้องที่จะชี้ว่าพวกเขาควรวางตัวและกระทำการอย่างไร เมื่อเผชิญโลกที่น่ากลัวและมืดมิดลงเรื่อยๆ ถูกการต่อสู้ การฆ่าล้างแค้น สงคราม และการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมสารพัดรูปแบบรุมเร้า ผู้คนก็ถวิลหาและรอคอยการมาของพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความคาดหวัง แต่พวกเขากลับไม่สนใจความจริงและไม่มีใครกระตือรือร้นที่จะค้นหาพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระองค์ ต่อให้พวกเขาฟังถ้อยดำรัสของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่แสวงหา และยิ่งไม่ยอมรับถ้อยดำรัสเหล่านั้น ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่อับจนหนทางเช่นนี้กันทั้งนั้น และทุกคนก็รู้สึกว่าสังคมช่างอยุติธรรมและไม่ปลอดภัยด้วยซ้ำ ทุกคนเอือมระอาสังคมนี้และโลกนี้อย่างสิ้นเชิง เต็มไปด้วยความเป็นอริต่อสังคมและโลก แต่แม้จะเต็มไปด้วยความเป็นอริ พวกเขาก็ยังคงหวังว่าสักวันหนึ่งสังคมจะดีขึ้น สำหรับพวกเขาแล้วสังคมที่ดีขึ้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร? พวกเขานึกภาพสังคมที่ไม่มีการต่อสู้และการฆ่าล้างแค้นอีกต่อไป ทุกคนมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างสมัครสมาน ไม่มีใครตกอยู่ภายใต้การปราบปราม ความทุกข์ หรือโซ่ตรวนของชีวิต ทุกคนสามารถมีชีวิตที่ผ่อนคลาย ไม่ถูกควบคุม สะดวกสบาย และมีความสุข มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นตามปกติ ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเป็นธรรม และแน่นอนว่าได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างเป็นธรรมจากผู้อื่น เพราะในโลกนี้และในหมู่มวลมนุษย์ไม่เคยมีความเป็นธรรม มีแต่การต่อสู้และการฆ่าล้างแค้นเท่านั้น แต่ไม่เคยมีความปรองดองในหมู่ผู้คน ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาใดในประวัติศาสตร์ก็เป็นเช่นนี้เสมอมา เมื่อเผชิญบริบทและภาวะทางสังคมที่โหดร้ายทารุณ ก็ไม่มีใครสักคนรู้วิธีแก้ไขปัญหาเหล่านี้ วิธีสลายการต่อสู้และการฆ่าล้างแค้นในหมู่ผู้คน หรือสถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรมและอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม แท้จริงแล้วเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่าปัญหาเหล่านี้มีอยู่และผู้คนก็ไม่รู้วิธีแก้ไข ไม่รู้ว่าควรจัดการปัญหาเหล่านี้จากมุมมองหรือจุดไหน หรือควรใช้วิธีการใดมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ พวกเขาจึงสร้างภาพดินแดนในอุดมคติแบบนี้ขึ้นมาในความรู้สึกนึกคิดของตน ในภาพดินแดนทางอุดมคตินี้ ผู้คนสามารถใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสมัครสมาน และทุกคนต่างก็ได้รับการปฏิบัติจากสังคมและผู้คนรอบข้างอย่างเป็นธรรม ทุกคนหวังว่า “เมื่อผู้คนให้เกียรติผู้อื่นก็ย่อมจะได้รับคืนเป็นสิบเท่า ถ้าคุณช่วยฉัน ฉันก็จะตอบแทนคุณ และเมื่อคุณต้องการความช่วยเหลือ ก็จะมีผู้คนมากมายในสังคมที่สามารถยื่นมือเข้าช่วยและลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อสังคม และเมื่อฉันต้องการความช่วยเหลือ คนที่เคยได้ประโยชน์จากความช่วยเหลือของฉันก็จะมาช่วยฉัน นี่ควรเป็นสังคมที่ผู้คนช่วยเหลือกัน” ผู้คนเชื่อว่ามีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขและสมัครสมาน ภายในสังคมที่มั่นคงและมีสันติสุข พวกเขาเชื่อว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่การต่อตีกันของผู้คนจะถูกขจัดและสลายไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาคิดว่าเมื่อปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไข ความคาดหวังและอุดมคติทั้งหลายที่พวกเขามีต่อสังคมมนุษย์ในส่วนลึกของหัวใจของตนย่อมจะกลายเป็นจริง
ในสังคมของผู้ไม่เชื่อมีเพลงยอดนิยมชื่อ “พรุ่งนี้ย่อมจะดีขึ้น” ผู้คนหวังเสมอว่าสิ่งต่างๆ จะดีขึ้นในภายหน้า—นั่นไม่มีอะไรผิด—แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งต่างๆ จะดีขึ้นในวันพรุ่งจริงหรือ? ไม่จริง นี่เป็นไปไม่ได้ ความเป็นไปได้คือสิ่งต่างๆ มีแต่จะเลวลงเท่านั้น เพราะมนุษยชาติกำลังชั่วลงเรื่อยๆ และโลกก็มืดลงเรื่อยๆ ในหมู่มวลมนุษย์ไม่เพียงมีคนน้อยลงเรื่อยๆ ที่ตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ตนได้รับอย่างรู้คุณเท่านั้น แต่ยังมีคนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่สำนึกรู้คุณและแว้งกัดมือที่ให้อาหารตนมา นี่กลับเป็นความเป็นจริงของสถานการณ์ในตอนนี้ ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? (ใช่) สิ่งต่างๆ กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ทำไมหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากผู้มีศีลธรรม นักการศึกษา และนักสังคมวิทยา ถึงไม่มีผลในทางห้ามปรามมนุษย์? (เพราะมนุษย์มีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม) เพราะมนุษย์มีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม แต่ผู้มีศีลธรรม นักการศึกษา และนักสังคมวิทยาเหล่านั้นรู้เรื่องนั้นหรือไม่? (ไม่รู้) พวกเขาไม่รู้ว่าต้นตอของการฆ่าล้างแค้นและการต่อตีกันในหมู่มนุษย์ไม่ได้เกิดจากปัญหาด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม แต่กลับเป็นเพราะอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์เอง มนุษย์ไม่ได้สำนึกรู้หลักเกณฑ์ที่พวกเขาพึงใช้ในการวางตัว นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่รู้วิธีวางตัวที่ถูกต้อง และไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอะไรคือหลักธรรมและเส้นทางของการวางตัว นอกจากนี้มนุษย์ทุกคนยังมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและธรรมชาติเยี่ยงซาตาน ดำเนินชีวิตเพื่อผลประโยชน์ และให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตนก่อนทุกสิ่ง ผลก็คือปัญหาเรื่องการฆ่าล้างแค้นและการต่อตีกันในหมู่มนุษย์ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์ที่เสื่อมทรามเช่นนี้จะสามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอย่าง “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ได้หรือ? ในเมื่อมนุษย์สูญสิ้นแม้กระทั่งเหตุผลและมโนธรรมขั้นพื้นฐานที่สุดไปแล้ว พวกเขาจะสามารถตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างสำนึกรู้คุณได้อย่างไร? พระเจ้าทรงชี้นำผู้คนเสมอมา เตรียมทุกสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้เพื่อการอยู่รอด จัดหาแสงอาทิตย์ อากาศ อาหาร น้ำ และอื่นๆ ให้พวกเขา แต่มีพวกเขากี่คนกันที่สำนึกขอบคุณพระองค์? มีพวกเขากี่คนที่สามารถรับรู้ความรักอันแท้จริงที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์? มีผู้เชื่อมากมายที่แม้จะได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้ากันมากนัก แต่ทันทีที่พระเจ้าไม่ทรงทำให้ความต้องการของพวกเขาลุล่วงสักครั้งหรือสองครั้ง พวกเขาก็บันดาลโทสะ ต่อว่าพระเจ้า และพร่ำบ่นว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรม ผู้คนเป็นเช่นนี้กันมิใช่หรือ? ต่อให้มีบางคนที่สามารถตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ตนได้รับจากผู้คนบางคนได้อย่างสำนึกรู้คุณ แต่นั่นจะช่วยแก้ปัญหาอะไรได้? แน่นอนว่าผู้คนที่นำเสนอคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้มีเจตนาที่ดีงาม—แรงจูงใจของพวกเขามีแต่ความหวังว่ามนุษย์จะสามารถสลายความเป็นอริต่อกัน หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ช่วยเหลือกัน ใช้ชีวิตอย่างปรองดอง มีอิทธิพลต่อกันในทางที่ช่วยแก้ไขให้ดีขึ้น แสดงความอบอุ่นต่อกัน และรวมตัวช่วยเหลือกันในยามยาก ถ้ามนุษย์สามารถเข้าสู่สภาวะดังกล่าวได้ นั่นจะเป็นสังคมที่วิเศษขนาดไหน แต่ว่าสังคมดังกล่าวจะไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะสังคมเป็นเพียงผลรวมของผู้คนที่เสื่อมทรามทั้งหมดภายในสังคมนั้นๆ เนื่องจากความเสื่อมทรามของมนุษย์ สังคมจึงมืดมิดและชั่วลงทุกที และอุดมคติของมนุษย์เกี่ยวกับสังคมที่สมัครสมานกันก็จะไม่มีวันสัมฤทธิ์ เหตุใดจึงจะไม่มีวันสัมฤทธิ์สังคมในอุดมคตินี้ได้? เมื่อมองตามรากฐานและมองในแง่ทฤษฎีแล้ว สังคมดังกล่าวจะไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้ก็เพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ ในความเป็นจริง พฤติกรรมอันดีงามชั่วขณะ การประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมที่ทำแบบครั้งเดียวจบ และการแสดงความรัก การช่วยเหลือ การสนับสนุนกัน และอื่นๆ ที่เกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยาม ไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง แน่นอนว่าที่ยิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถตอบคำถามที่ว่าผู้คนพึงวางตัวอย่างไรและควรเดินบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องอย่างไร ในเมื่อปัญหาเหล่านี้ไม่อาจได้รับการแก้ไข แล้วจะเป็นไปได้หรือที่สังคมนี้จะสัมฤทธิ์สภาวะอันปรองดองที่ผู้คนคิดว่าเป็นสังคมในอุดมคติและวาดหวังเอาไว้? ในแก่นแท้แล้วนี่เป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น และโอกาสที่จะเกิดขึ้นก็แทบจะไม่มี ด้วยการสนับสนุนคัมภีร์ศีลธรรมและด้วยการอบรมสั่งสอนผู้คน ผู้มีศีลธรรมเหล่านี้พยายามที่จะส่งเสริมให้ผู้คนใช้การประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมมาช่วยผู้อื่นและมีอิทธิพลในทางที่ปรับปรุงแก้ไขผู้อื่นให้ดีขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะมีอิทธิพลต่อสังคมและทำให้สังคมดีขึ้น แต่แนวคิดนี้ ความใฝ่ฝันนี้ของพวกเขาถูกหรือผิด? แน่นอนว่าผิดและไม่อาจกลายเป็นจริงได้ เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เพราะพวกเขาเข้าใจแต่พฤติกรรม ความคิดอ่าน และมุมมองของผู้คนเท่านั้น รวมทั้งการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม แต่พอเป็นปัญหาที่ลึกลงไป เช่น แก่นแท้ของมนุษย์ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ บ่อเกิดแห่งความเสื่อมทรามของมนุษย์ และวิธีแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ พวกเขากลับไม่ยอมรับรู้แต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเสนอหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่โง่เขลา เช่น “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” จากนั้นพวกเขาก็หวังที่จะใช้คำกล่าวแบบนี้ หลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแบบนี้มาครอบงำมวลมนุษย์ มีอิทธิพลต่อผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมของมนุษย์ เปลี่ยนแปลงทิศทางและเป้าหมายแห่งพฤติกรรมของมนุษย์ พร้อมกันนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงบรรยากาศทางสังคม และเปลี่ยนแปลงสัมพันธภาพระหว่างคนด้วยกัน รวมทั้งสัมพันธภาพระหว่างนักปกครองกับผู้ถูกปกครอง พวกเขาเชื่อว่าเมื่อสัมพันธภาพเหล่านี้เปลี่ยนไป สังคมก็จะไม่อยุติธรรมเท่าใดนักและไม่เต็มไปด้วยการต่อสู้ ความเป็นอริ และการเข่นฆ่ากันขนาดนั้น นี่ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนทั่วไปบ้าง เมื่อเทียบกันแล้วพวกเขาย่อมจะมีสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตทางสังคมที่เสมอภาค และมีชีวิตที่เป็นสุขขึ้น แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดย่อมจะไม่ใช่คนทั่วไป กลับเป็นนักปกครอง ชนชั้นปกครอง และชนชั้นสูงในแต่ละยุค ปราชญ์และบุคคลที่ได้ชื่อว่าโดดเด่นและเป็นผู้ให้การส่งเสริมคำสอนทางด้านศีลธรรมเหล่านี้ ใช้คำสอนทางด้านศีลธรรมเหล่านี้ ซึ่งมวลมนุษย์รับรู้กันว่าค่อนข้างประเสริฐ สอดคล้องกับสภาวะความเป็นมนุษย์และสำนึกในมโนธรรมของพวกเขา มาอบรมสั่งสอนและครอบงำผู้คน เปลี่ยนแปลงทัศนคติทางศีลธรรมของพวกเขาเพื่อให้พวกเขาสมัครใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่มีอารยะหรือมีมาตรฐานบางอย่างทางศีลธรรม ในแง่หนึ่ง นี่ย่อมเป็นผลดีต่อชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วไป เพราะทำให้สภาพแวดล้อมทางสังคมที่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่นั้นกลมเกลียวขึ้น รักสงบและมีอารยะขึ้น ในอีกแง่หนึ่ง นี่ยังสร้างภาวะที่เอื้ออำนวยให้นักปกครองกำกับดูแลประชาชนได้มากขึ้นด้วย คำกล่าวที่ถ่ายทอดหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้สอดคล้องกับแนวคิดและมโนคติอันหลงผิดของคนส่วนใหญ่ และเข้ากับภาพดินแดนทางอุดมคติในอนาคตอันรุ่งโรจน์ที่ผู้คนมีเช่นกัน แน่นอนว่าเจตนาหลักของพวกเขาในการส่งเสริมคำกล่าวเหล่านี้ก็คือการสร้างภาวะที่เอื้อต่อการกำกับดูแลของนักปกครองมากขึ้น ภายใต้ภาวะดังกล่าว ผู้คนทั่วไปย่อมจะไม่สร้างปัญหา มีชีวิตอย่างสมัครสมานและไร้ความขัดแย้ง และสามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมที่กำกับดูแลพฤติกรรมทางสังคมได้อย่างเต็มใจกันทุกคน กล่าวง่ายๆ ก็คือ เจตนาของการส่งเสริมคำกล่าวเหล่านี้ก็คือการทำให้ผู้ที่อยู่ใต้การปกครองของรัฐ ซึ่งก็คือมวลชนทั่วไป ทำตัวเหมาะสมและเชื่อฟังภายใต้เครื่องควบคุมที่เป็นหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมของสังคม เรียนรู้ที่จะเชื่อฟังกฎเกณฑ์ และกลายเป็นพลเมืองที่ว่านอนสอนง่าย ถึงตอนนั้นนักปกครองย่อมจะค่อนข้างสบายใจและหมดห่วงกันแล้วมิใช่หรือ? ถ้านักปกครองไม่ต้องกังวลว่ามวลชนจะลุกฮือขึ้นมาต่อต้านพวกตนและยึดอำนาจของพวกตน นี่ย่อมจะก่อให้เกิดสังคมที่เรียกกันว่าปรองดองมิใช่หรือ? นี่ย่อมจะเสริมสร้างอำนาจทางการเมืองของนักปกครองให้แข็งแกร่งมิใช่หรือ? โดยทั่วไปแล้ว นี่คือต้นกำเนิดของคัมภีร์ศีลธรรมเหล่านี้และเป็นบริบทที่คัมภีร์เหล่านี้ถือกำเนิดขึ้นมา กล่าวอย่างใจกว้างก็คือ หลักเกณฑ์พื้นฐานบางอย่างของศีลธรรมทางสังคมถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาให้มวลชน เพื่อกำกับพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมวลชนนั่นเอง นั่นหมายความว่าคำกล่าวเหล่านี้มีขึ้นเพื่อคนทั้งหลาย อันที่จริงในแก่นแท้แล้ว คำกล่าวเหล่านี้ได้รับการส่งเสริมก็เพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศ และเพื่อทำให้นักปกครองสามารถปกครองได้อย่างยืนนานถาวร นี่คือจุดมุ่งหมายที่แท้จริงในการส่งเสริมวัฒนธรรมดั้งเดิมของผู้ที่เรียกกันว่าผู้มีศีลธรรม แท้จริงแล้วนักปกครองไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ที่ดีของมวลชน และแม้ในยามที่พวกเขาดูเหมือนจะใส่ใจ พวกเขาก็เพียงแต่ทำเช่นนั้นเพื่อดำรงความมั่นคงทางอำนาจการเมืองของตนเท่านั้น พวกเขาสนใจแต่ความสุขของตนเอง ความมั่นคงทางอำนาจและสถานะของตน ความสามารถในการปกครองมวลชนอย่างยั่งยืน และความเป็นไปได้ที่จะปกครองให้ได้มากประเทศยิ่งขึ้นอีก โดยมีเป้าหมายที่จะครองโลกทั้งใบในท้ายที่สุด เหล่านี้คือแรงจูงใจและเจตนาของพวกกษัตริย์มาร ตัวอย่างเช่น บางคนกล่าวว่า “พวกเราสืบเชื้อสายอันยาวนานของชาวไร่ชาวนาที่ตรากตรำเป็นลูกมือรับจ้างทำไร่ทำนาระยะยาวให้กับเจ้าของที่ดิน และไม่เคยมีที่ดินเป็นของตนเอง หลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน พรรคคอมมิวนิสต์ได้โค่นล้มเจ้าที่ดินและพวกนายทุน มอบที่ดินให้พวกเราเป็นเจ้าของ พวกเราจึงเปลี่ยนจากลูกจ้างในไร่นามาเป็นเจ้าของ พวกเราติดค้างพรรคคอมมิวนิสต์ในทุกเรื่อง พวกเขาคือผู้ที่ช่วยชีวิตชาวจีน พวกเราต้องตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขากันอย่างสำนึกรู้คุณและไม่ทำเป็นไม่รู้คุณค่า บางคนอยากลุกฮือต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์—พวกเขาช่างไม่รู้จักบุญคุณ! พวกเขากำลังแว้งกัดมือที่ชุบเลี้ยงตัวเองมาไม่ใช่หรือ? ผู้คนไม่ควรทำตัวไร้มโนธรรมและลืมรากเหง้าของตัวเองอย่างนั้น!” ความนัยที่แฝงอยู่ในถ้อยแถลงนี้ก็คือ ไม่ว่าตอนนี้เจ้าจะอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมของการดำรงชีวิตแบบไหนก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะถูกปฏิบัติด้วยอย่างไร และไม่ว่าสิทธิ์ในฐานะมนุษย์ของเจ้าจะได้รับการรับรองหรือไม่ หรือสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ของเจ้าจะถูกคุกคามหรือถูกริบไปก็ตาม เจ้าก็ต้องไม่ลืมที่จะตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่เจ้าได้รับอย่างสำนึกรู้คุณและไม่ลืมรากเหง้าของตน เจ้าไม่ควรทำตัวเป็นคนร้ายกาจที่ไม่รู้จักบุญคุณและควรตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขาไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดโดยไม่คาดหวังที่จะได้สินจ้างรางวัล ผู้คนเช่นนี้ยังคงใช้ชีวิตเยี่ยงทาสมิใช่หรือ? พวกเขาคิดว่าตนเคยเป็นทาสของเจ้าที่ดินและนายทุน แต่แท้จริงแล้วพวกนายทุนและเจ้าที่ดินหลอกใช้ผู้คนทั่วไปกันหรือไม่? แท้จริงแล้วชาวไร่ชาวนาสมัยนั้นมีสภาพแย่กว่าผู้คนสมัยนี้หรือไม่? ไม่ นี่คือเรื่องโกหกที่พรรคคอมมิวนิสต์แต่งขึ้น ตอนนี้ข้อเท็จจริงและความเป็นจริงของสถานการณ์กำลังเผยตัวออกมาทีละนิด คำกล่าวอ้างของพวกเขาที่ว่าพวกนายทุนหาประโยชน์จากหยาดเหงื่อแรงงานของคนทั่วไปจำนวนมากมาย และเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “สาวผมขาว” ล้วนเป็นเรื่องแต่งและเทียมเท็จทั้งสิ้น—ไม่มีเรื่องไหนจริง เป้าหมายของเรื่องแต่งและความเทียมเท็จเหล่านี้คืออะไร? คือการทำให้ผู้คนเกลียดชังเจ้าที่ดินและนายทุนเหล่านั้น แซ่ซ้องสรรเสริญพรรคคอมมิวนิสต์ตลอดกาลและนบนอบพวกเขาตลอดไป ที่ผ่านมาผู้คนมากมายจะร้องเพลง “หากไร้พรรคคอมมิวนิสต์ย่อมจะไม่มีจีนใหม่” มีการร้องเพลงนี้กันทั่วทุกหย่อมหญ้าของจีนอยู่นานหลายทศวรรษ แต่ตอนนี้ไม่มีใครร้องเลย มีตัวอย่างเรื่องแต่งและความเทียมเท็จของพรรคคอมมิวนิสต์อยู่มากมายทีเดียว ซึ่งสวนทางกับข้อเท็จจริงเชิงรูปธรรมทั้งสิ้น ตอนนี้บางคนกำลังเปิดโปงความจริงแก่สาธารณชนเพื่อแสดงความเป็นจริงของสถานการณ์ให้ทุกคนเห็น ไม่ว่าจะเป็นยุคใดในสังคมมนุษย์ หลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ก็มีประสิทธิผลระดับหนึ่งเสมอมาในการควบคุมพฤติกรรมของผู้คนและทำหน้าที่เป็นเกณฑ์วัดสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คน แน่นอนว่าผลที่สำคัญกว่าของคำกล่าวทำนองนี้ก็คือมีการใช้คำกล่าวแบบนี้ช่วยนักปกครองเสริมสร้างสมัยการปกครองมวลชนของตนให้แข็งแกร่งขึ้น ในบางแง่ก็อาจใช้คำกล่าวนี้มาอ้างได้ว่าเป็นวิธีควบคุมพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน ทำให้ผู้คนมองและไตร่ตรองปัญหาอยู่ภายในกรอบของหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้ แล้วจากนั้นก็ตัดสินและเลือกตามหลักเกณฑ์นี้ คำกล่าวข้อนี้ไม่ได้กระตุ้นเตือนให้ผู้คนลุล่วงความรับผิดชอบทั้งปวงที่ผู้คนควรทำให้ลุล่วงทั้งต่อครอบครัวของตนและสังคมโดยรวม แต่กลับขู่บังคับผู้คนว่าควรคิดอะไรและคิดอย่างไร ควรทำอะไรและทำอย่างไร อันเป็นการละเมิดบรรทัดฐานและความต้องการของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ คำกล่าวนี้ทำหน้าที่เป็นวิธีการที่มิอาจรับรู้ได้และกรอบที่มิอาจมองเห็นได้ประเภทหนึ่งสำหรับชี้นำ กวดขัน และล่ามผู้คน คอยบอกพวกเขาว่าควรทำและไม่ควรทำอะไร เป้าหมายของการทำเช่นนี้ก็เพื่อใช้ความคิดเห็นส่วนรวมและหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมประเภทนี้มาครอบงำความคิดอ่าน มุมมอง วิธีการวางตัวและกระทำการของผู้คน
ถ้อยแถลงด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอย่าง “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ไม่ได้บอกผู้คนให้แน่ชัดลงไปว่าความรับผิดชอบของพวกเขาในสังคมและในหมู่มวลมนุษย์มีอะไรบ้าง แต่ถ้อยแถลงแบบนี้กลับเป็นวิธีพันธนาการหรือบีบให้ผู้คนทำและคิดในลักษณะบางอย่างไม่ว่าพวกเขาจะต้องการหรือไม่ และไม่ว่าการกระทำอันใจดีมีเมตตาเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับพวกเขาในรูปการณ์หรือบริบทเช่นไร มีตัวอย่างของการตอบแทนความใจดีมีเมตตาในยุคโบราณของจีนอยู่มากมาย เช่น ครอบครัวหนึ่งรับเด็กขอทานที่กำลังอดอยากเข้าบ้าน ให้อาหาร ให้เสื้อผ้า ฝึกศิลปะการต่อสู้ให้เขา และสอนความรู้สารพัดอย่างให้ พวกเขารอคอยจนเด็กชายเติบใหญ่ แล้วจึงเริ่มใช้เขาหารายได้ ส่งตัวเขาออกไปทำความชั่ว ฆ่าคน ทำสิ่งที่เขาไม่อยากทำ ถ้าเจ้ามองเรื่องราวของเขาโดยคำนึงถึงบุญคุณทั้งปวงที่เขาได้รับ เช่นนั้นแล้วการที่เขาได้รับการช่วยชีวิตก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเจ้าพิจารณาสิ่งที่เขาถูกบีบให้ทำในภายหลัง แท้จริงแล้วนี่ดีหรือไม่ดี? (ไม่ดี) แต่ภายใต้การวางเงื่อนไขของวัฒนธรรมดั้งเดิมเช่นที่บอกว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ผู้คนไม่สามารถแยกแยะเช่นนี้ได้ ดูภายนอกเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำเรื่องชั่วและทำร้ายผู้คน กลายเป็นมือสังหาร—ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะไม่อยากทำ แต่การที่เขาทำเรื่องไม่ดีเหล่านี้และฆ่าตามที่นายของตนสั่ง ลึกๆ แล้วเกิดจากความต้องการที่จะตอบแทนความใจดีมีเมตตาของคนคนนั้นมิใช่หรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะการวางเงื่อนไขของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม เช่น “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” จึงช่วยไม่ได้ที่ผู้คนจะถูกแนวคิดเหล่านี้ครอบงำและควบคุมเอาไว้ วิธีกระทำการของพวกเขา เจตนาและแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำเหล่านี้แน่นอนว่าย่อมถูกแนวคิดเหล่านี้ตีกรอบเอาไว้ เมื่อเด็กหนุ่มตกอยู่ในสถานการณ์นั้น ความคิดห้วงแรกของเขาย่อมจะเป็นเช่นไร? “ครอบครัวนี้ช่วยชีวิตฉันไว้ และพวกเขาก็ดีกับฉันมาตลอด ฉันจะไม่สำนึกรู้คุณไม่ได้ ฉันต้องตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา ฉันเป็นหนี้ชีวิตพวกเขา ดังนั้นฉันต้องอุทิศชีวิตให้พวกเขา ฉันควรทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาร้องขอจากฉัน ต่อให้นั่นหมายถึงการทำชั่วและสังหารผู้คนก็ตาม ฉันไม่อาจคำนึงได้ว่านั่นถูกหรือผิด ฉันต้องตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขาเท่านั้น ถ้าไม่ทำแบบนี้ ฉันยังคู่ควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ?” ผลก็คือเมื่อใดก็ตามที่ครอบครัวนี้ต้องการให้เขาสังหารใครสักคนหรือทำสิ่งไม่ดี เขาก็ทำอย่างไม่ลังเลหรือมีข้อจำกัดแต่อย่างใด ดังนั้นการประพฤติปฏิบัติ การกระทำ และการเชื่อฟังโดยไม่ตั้งคำถามของเขาจึงถูกแนวคิดและทัศนะที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” บงการทั้งสิ้นมิใช่หรือ? เขากำลังทำตามหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้อยู่มิใช่หรือ? (ใช่) เจ้ามองเห็นอะไรจากตัวอย่างนี้บ้าง? คำกล่าวว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ใช่สิ่งที่ดีงามหรือไม่? (ไม่ใช่ เป็นคำกล่าวที่ไม่มีหลักธรรม) อันที่จริง คนที่ตอบแทนความใจดีมีเมตตาย่อมมีหลักธรรม ซึ่งก็คือการที่ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ ถ้าใครบางคนใจดีมีเมตตากับเจ้า เจ้าก็ต้องใจดีมีเมตตาตอบ ถ้าเจ้าทำไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่มนุษย์ และถ้าเจ้าถูกกล่าวโทษเพราะเรื่องนี้ ก็ไม่มีอะไรที่เจ้าจะสามารถกล่าวได้ มีคำกล่าวอยู่ว่า “เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู” แต่ในกรณีนี้สิ่งที่เด็กหนุ่มได้รับไม่ใช่การกระทำเล็กๆ น่อยๆ ที่ใจดีมีเมตตา แต่เป็นความใจดีมีเมตตาที่ช่วยชีวิตเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงยิ่งมีเหตุผลมากขึ้นที่จะตอบแทนด้วยชีวิต เขาไม่รู้ว่าอะไรคือขีดจำกัดหรือหลักธรรมของการตอบแทนความใจดีมีเมตตา เขาเชื่อว่าชีวิตของเขาคือสิ่งที่ครอบครัวนั้นให้มา ดังนั้นเขาจึงต้องอุทิศชีวิตนั้นให้พวกเขาเป็นการตอบแทน และทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาสั่งให้ทำ รวมทั้งการฆาตกรรมหรือการทำชั่วอื่นๆ การตอบแทนความใจดีมีเมตตาแบบนี้ไม่มีหลักธรรมหรือข้อจำกัด เขาทำหน้าที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของพวกคนทำชั่วและพร้อมกันนั้นก็ทำให้ตนเองพลอยย่อยยับไปด้วย การที่เขาตอบแทนความใจดีมีเมตตาในลักษณะนี้ถูกต้องหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ถูกต้อง นี่เป็นการทำสิ่งต่างๆ อย่างโง่เขลา จริงอยู่ว่าครอบครัวนี้ช่วยชีวิตเขาและเปิดโอกาสให้เขามีชีวิตต่อไป แต่การตอบแทนความใจดีมีเมตตาของคนเราก็ต้องมีหลักธรรม ขีดจำกัด และความพอประมาณ พวกเขาช่วยชีวิตเขาไว้ แต่จุดประสงค์ของชีวิตเขานั้นไม่ใช่การทำชั่ว ความหมายและคุณค่าของชีวิต รวมทั้งภารกิจของมนุษย์ ไม่ใช่การทำชั่วและการฆาตกรรม และเขาก็ไม่ควรดำรงชีวิตเพื่อจุดประสงค์เดียวคือการตอบแทนความใจดีมีเมตตา เด็กหนุ่มเชื่ออย่างผิดๆ ว่าความหมายและคุณค่าของชีวิตคือการตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างรู้คุณ นี่เป็นความเข้าใจผิดที่ร้ายแรง นี่คือผลของการถูกหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ครอบงำเอาไว้มิใช่หรือ? (ใช่) เขาถูกอิทธิพลของคำกล่าวที่ให้ตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้ชักนำให้หลงผิด หรือว่าเขาค้นพบหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง? เห็นได้ชัดว่าเขาถูกชักนำให้หลงผิดไปมาก—นี่ชัดแจ้งอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้ ผู้คนจะสามารถตัดสินกรณีถูกผิดอย่างง่ายๆ ได้หรือไม่? (ได้) เด็กหนุ่มก็คงจะคิดว่า “ครอบครัวนี้อาจจะช่วยชีวิตฉันไว้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาทำเช่นนี้เพื่อธุรกิจและอนาคตของตนเองเท่านั้น ฉันเป็นเพียงเครื่องมือที่พวกเขาสามารถใช้ทำร้ายหรือฆ่าใครก็ตามที่รบกวนหรือขัดขวางโครงการทำธุรกิจของพวกเขา นี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่พวกเขาช่วยชีวิตฉัน พวกเขาฉุดฉันขึ้นมาจากปากเหวของความตายเพียงเพื่อที่จะให้ฉันทำชั่วและสังหารคนเท่านั้น—พวกเขากำลังส่งฉันลงนรกโดยแท้ไม่ใช่หรือ? นี่จะยิ่งทำให้ฉันทนทุกข์มากขึ้นอีกไม่ใช่หรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าพวกเขาปล่อยให้ฉันตายไปเสียยังจะดีกับฉันมากกว่า พวกเขาไม่ได้ช่วยชีวิตฉันจริง!” ครอบครัวนี้ไม่ได้ช่วยชีวิตเด็กชายขอทานเพราะอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และเพื่อเปิดโอกาสให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อที่จะควบคุมตัวเขาและสั่งให้เขาทำร้าย ทำอันตราย และฆ่าผู้อื่นเท่านั้น ดังนั้น แท้จริงแล้วพวกเขากำลังทำดีหรือทำชั่ว? ชัดเจนทีเดียวว่าพวกเขากำลังทำชั่ว ไม่ใช่ทำดี—ผู้มีบุญคุณเหล่านี้กลายเป็นคนชั่วไปแล้ว คนชั่วคู่ควรที่จะได้รับการตอบแทนหรือไม่? ควรตอบแทนพวกเขาหรือไม่? ไม่ควร ดังนั้น ทันทีที่เจ้าพบว่าพวกเขาชั่ว เจ้าก็ควรทำอย่างไร? เจ้าควรอยู่ห่างจากพวกเขา หลีกเลี่ยงพวกเขา และหาทางหนีไปจากพวกเขา นี่คือปัญญา บางคนอาจจะกล่าวว่า “คนชั่วเหล่านี้ควบคุมฉันไว้แล้ว จึงไม่ง่ายที่จะหนีจากพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะหนี!” โดยมากแล้วผลสืบเนื่องของการตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างรู้คุณมักเป็นเช่นนี้ เนื่องจากมีคนดีเพียงน้อยคนนักและมีคนชั่วอยู่มากเหลือเกิน ถ้าเจ้าบังเอิญเจอคนดี การตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขาก็ย่อมไม่เป็นไร แต่ถ้าเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของคนชั่ว นั่นย่อมเทียบเท่าการตกอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจ ของซาตาน พวกเขาจะออกอุบายเล่นงานเจ้าและปั่นหัวเจ้าเล่น เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นจากการตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา มีตัวอย่างในเรื่องนี้อยู่มากเกินไปด้วยซ้ำในประวัติศาสตร์ ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าการตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างรู้คุณไม่ใช่หลักเกณฑ์ที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมสำหรับการวางตนและกระทำการ เวลาใครบางคนใจดีมีเมตตากับเจ้า เจ้าควรทำอย่างไร? พวกเจ้ามีทัศนะเช่นไรในเรื่องนี้? (ไม่ว่าใครจะช่วยพวกเราก็ตาม พวกเราก็ควรตัดสินใจว่าจะยอมรับความช่วยเหลือของพวกเขาหรือไม่ตามสถานการณ์ ในบางกรณีการยอมรับความช่วยเหลือย่อมไม่เป็นไร แต่ในกรณีอื่นๆ พวกเราต้องไม่ยอมรับความช่วยเหลืออย่างมืดบอด ถ้ายอมรับความช่วยเหลือ พวกเราก็ยังจำเป็นต้องมีหลักธรรมและขีดเส้นว่าจะตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขาอย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคนชั่วหลอกลวงหรือเอารัดเอาเปรียบ) นี่คือวิธีรับมือสถานการณ์อย่างมีหลักธรรม นอกจากนี้ถ้าเจ้าไม่สามารถมองสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนหรือเจอทางตัน เจ้าก็ต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและขอให้พระองค์เปิดทางให้เจ้า นี่จะเปิดโอกาสให้เจ้าหลีกเลี่ยงการทดลองและหนีพ้นกรงเล็บของซาตานได้ บางครั้งพระเจ้าก็จะทรงใช้งานซาตานเพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่ในกรณีดังกล่าวพวกเราก็ต้องขอบคุณพระเจ้าและไม่ตอบแทนความใจดีมีเมตตาของซาตาน—นี่เป็นเรื่องของหลักธรรม เมื่อการทดลองมาในรูปของคนชั่วที่มอบความใจดีมีเมตตา เจ้าต้องชัดเจนก่อนว่าใครกันแน่ที่กำลังช่วยเจ้าและให้การอนุเคราะห์ สถานการณ์ของตัวเจ้าเองเป็นเช่นไร และมีเส้นทางอื่นที่เจ้าสามารถใช้ได้หรือไม่ ในกรณีเช่นนั้นเจ้าต้องใช้ไหวพริบ ถ้าพระเจ้าประสงค์ที่จะช่วยเจ้าให้รอด ไม่ว่าพระองค์จะทรงใช้งานใครเพื่อทำให้เรื่องนี้สำเร็จลุล่วง เจ้าก็ควรขอบคุณพระเจ้าก่อนและยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เจ้าไม่ควรมุ่งขอบคุณผู้คนเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมอบชีวิตของเจ้าให้ใครบางคนด้วยความรู้คุณ นี่เป็นความผิดพลาดอันร้ายแรง สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือหัวใจของเจ้านั้นสำนึกขอบคุณพระเจ้า และเจ้าก็ยอมรับความช่วยเหลือจากพระองค์ ถ้าคนที่ให้ความใจดีมีเมตตาแก่เจ้า ช่วยเหลือเจ้า หรือช่วยชีวิตเจ้าเป็นคนดี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา แต่เจ้าก็ควรทำเท่าที่เจ้าสามารถทำได้ตามกำลังของเจ้าเท่านั้น ถ้าคนที่ช่วยเหลือเจ้ามีเจตนาที่ผิดและคิดจะออกอุบายเล่นงานเจ้าและใช้เจ้าเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบแทนพวกเขาแต่ประการใด สรุปแล้ว พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของมนุษย์ ดังนั้นตราบใดที่เจ้าไม่มีความรู้สึกผิดอยู่ในมโนธรรมของตนและเจ้ามีแรงจูงใจที่ถูกต้อง นั่นย่อมไม่ใช่ปัญหา กล่าวคือ ก่อนที่เจ้าจะมาเข้าใจความจริง อย่างน้อยการกระทำของเจ้าก็จำเป็นต้องสอดคล้องกับมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์ เจ้าควรที่จะสามารถรับมือสถานการณ์นี้ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลเพื่อให้เจ้าไม่มีวันเสียใจในการกระทำของตนเองไม่ว่าจะเป็นเมื่อใดในอนาคต พวกเจ้าทุกคนเป็นผู้ใหญ่แล้วและผ่านอะไรต่ออะไรในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงมามากทีเดียว—ในชีวิตของพวกเจ้าเคยไร้ซึ่งการปราบปราม ข่มเหง ทารุณ หรือดูหมิ่นเหยียดหยามบ้างหรือไม่? พวกเจ้าทุกคนมองเห็นชัดเจนว่ามนุษยชาติเสื่อมทรามอย่างหนักขนาดไหน ดังนั้นไม่ว่าพวกเจ้าจะเผชิญการทดลองอย่างไร พวกเจ้าก็ต้องรับมือด้วยปัญญาและไม่หลงเชื่อกลลวงของซาตาน ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้าสถานการณ์แบบใดก็ตาม เจ้าต้องแสวงหาความจริงและตัดสินใจต่อเมื่อเข้าใจหลักธรรมผ่านทางการอธิษฐานและสามัคคีธรรมแล้วเท่านั้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ คริสตจักรได้ดำเนินงานชำระล้าง และมีคนชั่ว ผู้ปราศจากความเชื่อ และศัตรูของพระคริสต์มากมายถูกเปิดโปงและนำตัวออกไปหรือไล่ออกไป ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น ในเมื่อแม้กระทั่งในคริสตจักรยังมีผู้คนที่เลอะเลือน มีคนชั่วและผู้ปราศจากความเชื่อมากมายขนาดนี้ เราก็คิดเอาว่าพวกเจ้าย่อมเข้าใจชัดเจนใช่ไหมว่าพวกผู้ไม่เชื่อต้องเสื่อมทรามและชั่วกันเพียงใด? เมื่อไม่มีความจริงและปัญญา ผู้คนก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อย่างชัดแจ้งและมีแต่จะถูกคนชั่วและซาตานหลอกลวง ตบตา และปั่นหัวเล่นเท่านั้น เมื่อเป็นดังนั้น พวกเขาก็ย่อมกลายเป็นลูกสมุนของซาตาน ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงและไร้ซึ่งหลักธรรมย่อมทำแต่เรื่องโง่เขลา
เมื่อบางคนลำบากหรือมีอันตราย แล้วเกิดได้รับความช่วยเหลือจากคนชั่วที่ทำให้ตนหลุดจากสถานการณ์นั้นๆ พวกเขาก็มาเชื่อว่าคนชั่วนั้นเป็นคนดี และพวกเขาก็เต็มใจที่จะทำบางสิ่งให้คนชั่วเพื่อแสดงความขอบคุณ อย่างไรก็ดี ในกรณีดังกล่าว คนชั่วย่อมจะพยายามดึงพวกเขาเข้ามาข้องเกี่ยวกับการกระทำอันต่ำทรามของตนและใช้พวกเขาทำเรื่องไม่ดี ถ้าพวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็จะกลายเป็นเรื่องอันตรายได้ บางคนที่เป็นเช่นนี้ย่อมจะรู้สึกขัดแย้งในสถานการณ์เหล่านี้ เพราะพวกเขาคิดไปว่าถ้าตนไม่ช่วยเพื่อนชั่วของตนทำเรื่องไม่ดีบ้าง ก็จะดูเหมือนว่าตนนั้นไม่ได้ตอบแทนความเป็นเพื่อนนี้มากพอ แต่การทำสิ่งผิดย่อมจะฝืนมโนธรรมและเหตุผลของตน เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่อย่างนี้ นี่คือผลจากการถูกแนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้ครอบงำ—พวกเขาถูกแนวคิดนี้ตีตรวน พันธนาการ และควบคุมเอาไว้ มีอยู่หลายกรณีที่คำกล่าวจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้เข้าแทนที่สำนึกในมโนธรรมของมนุษย์และดุลยพินิจตามปกติของเขา และแน่นอนว่ามีอิทธิพลต่อวิธีคิดตามปกติและการตัดสินใจที่ถูกต้องของมนุษย์อีกด้วย แนวคิดทั้งหลายของวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นไม่ถูกต้องและส่งผลโดยตรงต่อทัศนะที่มนุษย์มีต่อสิ่งต่างๆ ทำให้เขาตัดสินใจได้ไม่ดี จากสมัยโบราณมาถึงยุคปัจจุบัน ผู้คนนับไม่ถ้วนตกอยู่ใต้อิทธิพลของแนวคิด ทัศนะ และหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้ แม้เมื่อคนที่ใจดีมีเมตตากับพวกเขาจะเป็นคนชั่วหรือคนไม่ดี และบีบให้พวกเขาทำเรื่องที่ต่ำทรามและเรื่องที่ไม่ดี พวกเขาก็ยังคงเดินสวนทางกับมโนธรรมและเหตุผลของตน ยอมทำตามอย่างมืดบอดเพื่อที่จะตอบแทนความใจดีมีเมตตาของอีกฝ่าย พร้อมกับผลวิบัติที่ตามมามากมาย อาจกล่าวได้ว่าผู้คนมากมายเมื่อถูกหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ครอบงำ ล่ามโซ่ ควบคุม และพันธนาการเอาไว้ ก็ยอมค้ำจุนทัศนะเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้อย่างมืดบอดและด้วยความเข้าใจผิด และมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือและส่งเสริมพวกคนชั่วด้วยซ้ำ บัดนี้เมื่อพวกเจ้าได้ฟังสามัคคีธรรมของเราแล้ว พวกเจ้าย่อมนึกภาพสถานการณ์นี้ออกอย่างชัดเจน และสามารถตัดสินได้ว่านี่คือความจงรักภักดีที่เบาปัญญา พฤติกรรมเช่นนี้นับเป็นการวางตัวที่ไม่มีการขีดเส้นอะไรเลย และผลีผลามตอบแทนความใจดีมีเมตตาโดยไม่ใช้วิจารณญาณ เป็นพฤติกรรมที่ไร้ความหมายและคุณค่า เนื่องจากผู้คนกลัวการถูกความเห็นของคนส่วนใหญ่ต่อว่าหรือถูกผู้อื่นกล่าวโทษ พวกเขาจึงฝืนอุทิศชีวิตของตนให้กับการตอบแทนความใจดีมีเมตตาของผู้อื่น ถึงขั้นพลีชีวิตของตนในกระบวนการดังกล่าว ซึ่งเป็นหนทางดำเนินสิ่งต่างๆ แบบเหตุผลวิบัติและเบาปัญญา คำกล่าวจากวัฒนธรรมดั้งเดิมข้อนี้ไม่เพียงผูกล่ามการคิดอ่านของผู้คนเอาไว้เท่านั้น แต่ยังทำให้ชีวิตของพวกเขาหนักอึ้งและลำบากโดยไม่จำเป็น และเป็นการเพิ่มความทุกข์และภาระให้แก่ครอบครัวของพวกเขา ผู้คนมากมายจ่ายราคาที่สูงมากเพื่อตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับ—พวกเขามองการตอบแทนความใจดีมีเมตตาว่าเป็นความรับผิดชอบทางสังคมหรือเป็นหน้าที่ของตน และอาจถึงกับใช้เวลาชั่วชีวิตของตนไปกับการตอบแทนความใจดีมีเมตตาของผู้อื่น พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นเรื่องปกติและสมควรทำโดยแท้ เป็นหน้าที่ที่มิอาจบ่ายเบี่ยงได้ มุมมองและวิธีทำสิ่งต่างๆ เช่นนี้เบาปัญญาและไร้สาระมิใช่หรือ? นี่เผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้คนไม่รู้ความและไร้ซึ่งความรู้แจ้งกันขนาดไหน ไม่ว่าคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า—ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ—นี้อาจสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเช่นไร แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามหลักธรรมความจริง เข้ากันไม่ได้กับพระวจนะของพระเจ้า เป็นทัศนะและวิธีการที่ไม่ถูกต้องในการทำสิ่งทั้งหลาย
ในเมื่อการตอบแทนความใจดีมีเมตตาไม่เกี่ยวข้องกับความจริงและข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ และเป็นเรื่องที่พวกเราวิพากษ์วิจารณ์กันตลอดมา แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงมองคำกล่าวข้อนี้ว่าอย่างไร? ผู้คนที่ปกติควรมองและทำเช่นใดกับคำกล่าวนี้? พวกเจ้าชัดเจนในเรื่องนี้หรือไม่? หากว่าก่อนหน้านี้มีใครบางคนมอบความใจดีมีเมตตาที่เป็นผลดีต่อเจ้าอย่างยิ่งหรือเอื้อประโยชน์ครั้งใหญ่แก่เจ้า เจ้าควรตอบแทนพวกเขาหรือไม่? เจ้าควรรับมือสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร? นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทัศนะของผู้คนมิใช่หรือ? นี่เป็นเรื่องทัศนะของผู้คน รวมทั้งเส้นทางปฏิบัติของพวกเขา จงบอกเราเถิดว่าพวกเจ้ามีทัศนะเช่นใดในเรื่องนี้—ถ้าใครบางคนใจดีมีเมตตากับเจ้า เจ้าควรตอบแทนพวกเขาหรือไม่? ถ้าพวกเจ้ายังไม่สามารถเข้าใจประเด็นนี้ได้ก็ย่อมจะเป็นปัญหา ก่อนหน้านี้พวกเจ้าไม่เข้าใจความจริงและตอบแทนความใจดีมีเมตตาราวกับว่าการทำเช่นนี้คือความจริง คราวนี้หลังจากฟังการชำแหละและวิพากษ์วิจารณ์ของเราแล้ว พวกเจ้าย่อมเห็นแล้วว่าปัญหาอยู่ตรงไหน แต่พวกเจ้าก็ยังไม่รู้ว่าจะปฏิบัติหรือจัดการเรื่องนี้อย่างไร—พวกเจ้ายังไม่สามารถเข้าใจประเด็นนี้อีกหรือ? ก่อนที่พวกเจ้าจะเข้าใจความจริง พวกเจ้าใช้ชีวิตตามมโนธรรมของตนและไม่ว่าใครจะมอบความใจดีมีเมตตาแก่เจ้าหรือช่วยเหลือเจ้าก็ตาม ต่อให้พวกเขาเป็นคนชั่วหรืออันธพาล เจ้าก็จะตอบแทนพวกเขาอย่างแน่นอน และรู้สึกว่าจำต้องรับกระสุนแทนเพื่อนๆ ของเจ้า ถึงขั้นยอมเอาชีวิตของเจ้าไปเสี่ยงเพื่อพวกเขา ผู้ชายควรยอมตัวเป็นทาสของผู้มีคุณของตนเป็นการตอบแทน ส่วนผู้หญิงก็ควรปฏิญาณตนในพิธีสมรสและคลอดลูกให้พวกเขา—นี่คือแนวคิดที่วัฒนธรรมดั้งเดิมประทับไว้ในใจของผู้คน สั่งให้พวกเขาตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างสำนึกรู้คุณ ผลก็คือผู้คนคิดไปว่า “ผู้คนที่ตอบแทนความใจดีมีเมตตาเท่านั้นที่มีมโนธรรม และถ้าพวกเขาไม่ตอบแทนความใจดีมีเมตตา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องไร้มโนธรรมและเป็นอมนุษย์” แนวคิดนี้ฝังรากอยู่ในหัวใจของผู้คนอย่างมั่นคง จงบอกเราเถิดว่าสัตว์ทั่วไปรู้จักตอบแทนความใจดีมีเมตตาหรือไม่? (รู้) เมื่อเป็นเช่นนั้น จะถือว่ามนุษย์เจริญก้าวหน้าได้อย่างแท้จริงเพียงเพราะพวกเขารู้จักตอบแทนความใจดีมีเมตตากระนั้นหรือ? การตอบแทนความใจดีมีเมตตาของมนุษย์นับเป็นเครื่องบ่งชี้สภาวะความเป็นมนุษย์ได้หรือไม่? (ไม่ได้) ดังนั้นผู้คนควรมีทัศนะเช่นใดในเรื่องนี้? ควรเข้าใจเรื่องแบบนี้ว่าอย่างไร? เมื่อเข้าใจแล้ว คนเราควรดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร? เหล่านี้คือคำถามที่พวกเจ้าทุกคนควรมุ่งหาคำตอบในตอนนี้ พวกเจ้าช่วยแบ่งปันทัศนะในเรื่องนี้ให้เราฟังด้วยเถิด (ถ้ามีใครบางคนช่วยข้าพระองค์แก้ไขเรื่องราวหรือปัญหาจริง ข้าพระองค์กจะขอบคุณพวกเขาจากใจจริงก่อน แต่จะไม่ยอมให้สถานการณ์นี้มาตีกรอบหรือควบคุมตนเอง ถ้าพวกเขาเผชิญความยากลำบาก ข้าพระองค์ย่อมจะทำสิ่งที่ตัวเองสามารถทำให้พวกเขาได้ตามกำลังของตน ข้าพระองค์จะช่วยพวกเขาในสิ่งที่ช่วยได้ แต่จะไม่บังคับตัวเองให้ทำอะไรเกินกำลัง) นี่คือทัศนะที่ถูกต้อง และวิธีทำนี้ก็ใช้ได้ มีใครอยากแบ่งปันทัศนะของตนในเรื่องนี้อีก? (เมื่อก่อนข้าพระองค์มีทัศนะว่าถ้ามีใครช่วยเหลือตน เวลาพวกเขาพบเจอปัญหา ข้าพระองค์ก็ควรช่วยตอบ เมื่อพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมและชำแหละทัศนะเรื่อง “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” และ “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ข้าพระองค์จึงมาตระหนักว่าคนเราต้องทำตามหลักธรรมเวลาช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าใครบางคนใจดีมีเมตตากับข้าพระองค์หรือช่วยข้าพระองค์ มโนธรรมของข้าพระองค์ย่อมบอกว่าข้าพระองค์ควรช่วยพวกเขาเช่นกัน แต่ความช่วยเหลือที่ข้าพระองค์มอบให้ต้องเป็นไปตามรูปการณ์ของตนเองและสิ่งที่ข้าพระองค์สามารถให้ได้ นอกจากนี้ข้าพระองค์ก็ควรช่วยพวกเขาแก้ปัญหาและดูแลสิ่งที่จำเป็นในชีวิตเท่านั้น ไม่ควรช่วยพวกเขาทำชั่วหรือทำเรื่องไม่ดี ถ้าข้าพระองค์มองเห็นพี่น้องชายหรือหญิงประสบปัญหา ข้าพระองค์ก็จะช่วยพวกเขา ไม่ใช่เพราะพวกเขาเคยช่วยข้าพระองค์ แต่เพราะนั่นเป็นหน้าที่ เป็นความรับผิดชอบของข้าพระองค์) มีอะไรอีก? (ข้าพระองค์จดจำพระวจนะของพระเจ้าที่ตรัสว่า “หากมีใครช่วยเหลือพวกเรา พวกเราก็ควรน้อมรับความช่วยเหลือนั้นจากพระเจ้า” นั่นหมายความว่าเมื่อใดก็ตามที่มีคนทำดีกับพวกเรา พวกเราก็ควรน้อมรับจากพระเจ้าและควรที่จะสามารถรับมือการกระทำนั้นได้อย่างถูกต้อง เมื่อทำเช่นนั้น พวกเราย่อมจะสามารถเข้าใจทัศนะเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้ได้อย่างถูกต้อง พระเจ้ายังตรัสด้วยว่าพวกเราต้องรักสิ่งที่พระเจ้ารักและเกลียดสิ่งที่พระเจ้าเกลียด เวลาช่วยผู้อื่น พวกเราจึงต้องแยกแยะว่าคนคนนั้นเป็นคนที่พระเจ้ารักหรือเกลียด นี่คือหลักธรรมที่พวกเราต้องปฏิบัติตาม) นี่สัมพันธ์กับความจริง—เป็นหลักธรรมที่ถูกต้องและมีหลักการในตัวเอง ตอนนี้พวกเราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องที่สัมพันธ์กับความจริงเลย แต่จงมาพูดถึงว่าผู้คนควรรับมือเรื่องนี้ในแง่ของสภาวะความเป็นมนุษย์กันอย่างไรดีกว่า ในความเป็นจริงแล้ว สถานการณ์ที่เจ้าอาจพบเจอนั้นไม่ได้ง่ายเช่นนั้นเสมอไป—กล่าวคือ ไม่ได้เกิดขึ้นในคริสตจักรและในหมู่พี่น้องชายหญิงเสมอไป บ่อยครั้งมักจะเกิดขึ้นนอกเขตคริสตจักร ตัวอย่างเช่น ญาติพี่น้อง เพื่อน คนรู้จัก หรือเพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ไม่เชื่ออาจแสดงความใจดีมีเมตตาต่อเจ้าหรือช่วยเหลือเจ้า ถ้าเจ้าสามารถรับมือเรื่องนี้และปฏิบัติต่อคนที่ช่วยเจ้าได้อย่างถูกต้อง ซึ่งก็คือในหนทางที่ทั้งสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงและดูเหมาะสมในสายตาของผู้อื่น เช่นนั้นแล้วท่าทีและแนวคิดที่เจ้ามีต่อเรื่องนี้ก็จะค่อนข้างถูกต้อง แนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณแยกแยะ ส่วนที่สำคัญที่สุดคือคำว่า “ความใจดีมีเมตตา”—เจ้าควรมองความใจดีมีเมตตานี้อย่างไร? นี่กล่าวถึงธรรมชาติและแง่มุมใดของความใจดีมีเมตตา? อะไรคือนัยสำคัญของคำกล่าวที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ”? คำถามเหล่านี้ผู้คนต้องขบคิดคำตอบให้ออก และไม่ว่าจะอยู่ภายใต้รูปการณ์แบบใดก็ต้องไม่ถูกแนวคิดเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้บีบคั้น—สำหรับใครก็ตามที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์แล้ว “ความใจดีมีเมตตา” คืออะไร? ในระดับที่เล็กลงมา ความใจดีมีเมตตาคือการที่ใครบางคนช่วยเหลือเจ้ายามที่เจ้าเดือดร้อน ตัวอย่างเช่น มีใครบางคนให้ข้าวหนึ่งถ้วยแก่เจ้าในยามที่เจ้าอดอยาก หรือให้น้ำหนึ่งขวดในยามที่เจ้ากำลังจะตายด้วยความกระหาย หรือช่วยพยุงเจ้าขึ้นมาในยามที่เจ้าล้มลงและลุกขึ้นไม่ได้ ทั้งหมดนี้คือการกระทำที่ใจดีมีเมตตา การกระทำที่ใจดีมีเมตตาและยิ่งใหญ่ก็คือการที่ใครบางคนช่วยชีวิตเจ้าไว้ในยามที่เจ้าลำบากอย่างยิ่ง—นั่นคือความใจดีมีเมตตาที่เป็นการช่วยชีวิต เมื่อเจ้ามีอันตรายถึงชีวิตและใครบางคนช่วยให้เจ้าหลีกเลี่ยงความตาย ในแก่นแท้แล้วพวกเขากำลังช่วยชีวิตเจ้า ทั้งหมดนี้คือบางสิ่งที่ผู้คนรับรู้ว่าเป็น “ความใจดีมีเมตตา” ความใจดีมีเมตตาแบบนี้เหนือกว่าการเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ทางวัตถุ—นี่เป็นความใจดีมีเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถวัดเป็นเงินทองหรือสิ่งของได้ ผู้รับย่อมรู้สึกเป็นความรู้คุณอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาด้วยคำขอบคุณเพียงไม่กี่คำได้ แต่การที่ผู้คนวัดความใจดีมีเมตตาด้วยวิธีนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) ทำไมเจ้าถึงบอกว่าไม่ถูกต้อง? (เพราะนี่เป็นการวัดตามมาตรฐานของวัฒนธรรมดั้งเดิม) นี่เป็นคำตอบตามทฤษฎีและคำสอน และแม้จะดูเหมือนถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้เข้าถึงแก่นแท้ของเรื่อง ดังนั้นคนเราจะสามารถอธิบายเรื่องนี้ด้วยถ้อยคำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้อย่างไร? จงใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนเถิด ไม่นานมานี้เราได้ฟังเรื่องวิดีโอออนไลน์ที่มีชายคนหนึ่งทำกระเป๋าสตางค์หล่นโดยไม่รู้ตัว หมาน้อยตัวหนึ่งเก็บกระเป๋าสตางค์ใบนั้นขึ้นมาและวิ่งไล่ตามเขา เมื่อชายคนนั้นเห็นเช่นนี้ เขาก็ตีหมา หาว่าขโมยกระเป๋าสตางค์ของตนไป นี่ไร้สาระมิใช่หรือ? ชายคนนั้นมีศีลธรรมน้อยกว่าหมาตัวนั้นเสียอีก! การกระทำของหมาเป็นไปตามมาตรฐานทางศีลธรรมของมนุษย์โดยสมบูรณ์ มนุษย์คงจะร้องบอกว่า “คุณทำกระเป๋าของคุณตก!” แต่เพราะหมาพูดไม่ได้ มันจึงเพียงแต่เก็บกระเป๋าขึ้นมาเงียบๆ และวิ่งตามชายคนนั้น ดังนั้นถ้าหมามีพฤติกรรมอันดีงามบางอย่างตามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมให้การสนับสนุนได้ นั่นย่อมบอกอะไรเกี่ยวกับมนุษย์? มนุษย์เกิดมาพร้อมมโนธรรมและเหตุผล ดังนั้นพวกเขาจึงยิ่งสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ ตราบใดที่ใครคนหนึ่งมีสำนึกในมโนธรรมของตน พวกเขาย่อมสามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่เช่นนี้ได้ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพยายามให้มากหรือจ่ายราคา อาศัยความพยายามนิดหน่อย และเป็นเรื่องของการทำสิ่งที่เป็นการช่วยเหลือ สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเท่านั้น แต่ธรรมชาติของการกระทำเช่นนี้แท้จริงแล้วเหมาะที่จะเป็น “ความใจดีมีเมตตา” หรือไม่? นี่ถึงขั้นเป็นการกระทำที่ใจดีมีเมตตาหรือไม่? (ไม่ถึง) ในเมื่อไม่ถึง ผู้คนจำเป็นต้องพูดถึงการตอบแทนการกระทำนี้หรือไม่? นั่นย่อมจะไม่จำเป็น
คราวนี้พวกเราหันมาสนใจเรื่องของสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าความใจดีมีเมตตากันเถิด ตัวอย่างเช่น จงดูกรณีของคนใจดีที่ช่วยชีวิตขอทานซึ่งหิวจนหมดสติอยู่ในหิมะข้างนอกเถิด พวกเขาพาขอทานเข้ามาในบ้านของตน หาอาหารให้กินและเอาเสื้อผ้าให้ใส่ ยอมให้เขาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของตนและทำงานให้ตน ไม่ว่าขอทานนั้นจะอาสาทำงานด้วยตนเองหรือไม่ ไม่ว่าเขาจะทำเช่นนั้นเพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณหรือไม่ การช่วยชีวิตเขาใช่การกระทำที่ใจดีมีเมตตาหรือเปล่า? (ไม่ใช่) กระทั่งสัตว์ตัวเล็กๆ ยังสามารถเกื้อกูลและช่วยชีวิตกันได้ การที่มนุษย์จะทำอะไรเช่นนี้พึงต้องใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และไม่ว่าใครก็ตามที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ย่อมสามารถทำเรื่องดังกล่าวและสามารถลงมือทำได้ คนเราอาจกล่าวได้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ทางสังคมซึ่งใครก็ตามที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์พึงทำให้ลุล่วง การที่มนุษย์เรียกการกระทำดังกล่าวว่าความใจดีมีเมตตานั้นย่อมเกินเหตุไปหน่อยมิใช่หรือ? เป็นการเรียกที่เหมาะสมหรือไม่? ตัวอย่างเช่น ระหว่างที่เกิดการกันดารอาหารอยู่ระยะหนึ่งและผู้คนมากมายอาจไม่มีกิน ถ้าคนรวยสักคนแจกจ่ายถุงข้าวสารแก่บ้านที่ยากจนเพื่อช่วยให้คนเหล่านั้นผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ นี่คือตัวอย่างของการช่วยเหลือและเกื้อหนุนขั้นพื้นฐานทางศีลธรรมแบบที่ควรเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์โดยแท้มิใช่หรือ? เขาเพียงมอบข้าวสารให้คนเหล่านั้นบ้าง—ไม่ใช่ว่าแจกจ่ายอาหารทั้งหมดที่ตนมีให้แก่ผู้อื่นและไม่มีกินเสียเอง แท้จริงแล้วนี่นับเป็นความใจดีมีเมตตาหรือไม่? (ไม่นับ) ความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ทางสังคมที่มนุษย์สามารถทำให้ลุล่วงได้ การกระทำเหล่านั้นที่มนุษย์ควรที่จะสามารถทำได้และพึงทำโดยสัญชาตญาณ และการทำอะไรง่ายๆ ที่เป็นการช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น—สิ่งเหล่านี้ไม่มีทางนับเป็นความใจดีมีเมตตาได้ เพราะล้วนเป็นกรณีที่มนุษย์เพียงแต่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเท่านั้น การให้ความช่วยเหลือแก่คนที่บังเอิญต้องการให้ช่วย ในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม เป็นเหตุการณ์ที่ปกติมาก และเป็นความรับผิดชอบของสมาชิกทุกคนในเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วย นี่เป็นเพียงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่อย่างหนึ่งเท่านั้น พระเจ้าประทานสัญชาตญาณเหล่านี้แก่ผู้คนตอนที่พระองค์ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมา ในที่นี้เรากำลังหมายถึงสัญชาตญาณอะไร? เรากำลังหมายถึงมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์ เมื่อเจ้าเห็นใครคนหนึ่งล้มลงกับพื้น ปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของเจ้าก็คือ “ฉันควรเข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้นมา” ถ้าเจ้ามองเห็นคนล้ม แต่กลับทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ได้เข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้นมา นี่ย่อมจะบีบคั้นมโนธรรมของเจ้า และเจ้าย่อมจะรู้สึกแย่กับการทำเช่นนี้ คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงย่อมจะคิดช่วยพยุงคนขึ้นมาทันทีที่เห็นเขาล้มลง พวกเขาจะไม่ใส่ใจว่าคนคนนั้นขอบคุณตนหรือไม่ เพราะพวกเขาเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ตนพึงทำ และไม่เห็นความจำเป็นที่จะคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวอีก เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เหล่านี้คือสัญชาตญาณที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ และใครก็ตามที่มีมโนธรรมและเหตุผลย่อมจะคิดทำเช่นนี้และสามารถลงมือทำเช่นนี้ พระเจ้าประทานมโนธรรมและหัวใจที่เป็นมนุษย์แก่คนเรา—เนื่องจากมนุษย์มีหัวใจที่เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นเขาจึงมีความคิดอ่านอย่างมนุษย์ รวมทั้งมุมมองและแนวทางที่เขาควรมีในบางเรื่อง ดังนั้นเขาจึงสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้โดยธรรมชาติและโดยง่าย เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือหรือการชี้นำเชิงอุดมคติจากกลุ่มคนภายนอก และเขาก็ไม่ต้องการการศึกษาหรือภาวะผู้นำที่เป็นบวกด้วยซ้ำ—เขาไม่จำเป็นต้องมีอะไรแบบนั้น นี่ก็เหมือนกับการที่ผู้คนมองหาอาหารเวลาหิวหรือแสวงหาน้ำเวลากระหายโดยแท้—นี่เป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งและไม่จำเป็นต้องมีพ่อแม่หรือครูคอยสอน—มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เพราะมนุษย์มีการคิดอ่านตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ในทำนองเดียวกัน ผู้คนย่อมสามารถลุล่วงหน้าที่และความรับผิดชอบของตนในพระนิเวศของพระเจ้าได้ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ใครก็ตามที่มีมโนธรรมและเหตุผลพึงทำ ด้วยเหตุนี้สำหรับมนุษย์แล้ว การช่วยผู้คนและใจดีมีเมตตากับพวกเขาจึงแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม เป็นเรื่องที่มีอยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์ และเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้โดยสมบูรณ์ ไม่มีความจำเป็นต้องจัดอันดับให้สูงเท่าความใจดีมีเมตตา อย่างไรก็ดี ผู้คนมากมายนึกว่าความช่วยเหลือจากผู้อื่นคือความใจดีมีเมตตา และพูดถึงความช่วยเหลือนั้นอยู่เสมอ คอยตอบแทนอยู่ตลอดเวลา นึกไปว่าถ้าพวกเขาไม่ตอบแทน พวกเขาก็ไม่มีมโนธรรม พวกเขานึกดูถูกและดูหมิ่นตัวเอง ถึงกับกังวลว่าตนนั้นจะถูกความเห็นของคนส่วนใหญ่รุมตำหนิ จำเป็นต้องกังวลเรื่องเหล่านี้หรือไม่? (ไม่) มีผู้คนมากมายที่มองข้ามเรื่องนี้ไปไม่ได้ และถูกเรื่องนี้บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา นี่คือการไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าไปทะเลทรายกับเพื่อน และน้ำของเพื่อนหมด แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะให้น้ำบางส่วนของตนแก่เพื่อน เจ้าจะไม่เอาแต่ปล่อยให้เพื่อนตายเพราะกระหายน้ำ แม้เจ้าจะรู้ว่าน้ำหนึ่งขวดของเจ้าจะหมดเร็วขึ้นอีกเท่าตัวเพราะคนสองคนแบ่งกันดื่ม เจ้าก็จะแบ่งน้ำให้เพื่อนอยู่ดี ทีนี้ ทำไมเจ้าถึงจะทำแบบนั้น? เพราะเจ้าไม่อาจทนดื่มน้ำของตนเองในขณะที่เพื่อนของเจ้ายืนทุกข์ทนเพราะความกระหายได้—เจ้าก็แค่ทนดูไม่ได้เท่านั้นเอง อะไรทำให้เจ้าทนดูเพื่อนของเจ้าทุกข์ทนเพราะกระหายน้ำไม่ได้? สำนึกในมโนธรรมของเจ้านั่นเองที่ทำให้เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมา ต่อให้เจ้าไม่อยากลุล่วงความรับผิดอบและภาระหน้าที่แบบนี้ มโนธรรมของเจ้าก็จะทำให้เจ้าทนแชเชือนไม่ไหว มโนธรรมของเจ้าจะทำให้เจ้ารู้สึกเสียใจ ทั้งหมดนี้เป็นผลจากสัญชาตญาณของมนุษย์มิใช่หรือ? มโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์ตัดสินเรื่องทั้งหมดนี้มิใช่หรือ? ถ้าเพื่อนบอกว่า “ฉันติดหนี้บุญคุณเธอที่ยกน้ำบางส่วนของตัวเองให้ฉันในสถานการณ์นั้น!” การพูดแบบนี้ย่อมจะผิดเช่นกันใช่หรือไม่? นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับความใจดีมีเมตตา ถ้ากลับด้านกันแล้วเพื่อนคนนั้นมีสภาวะความเป็นมนุษย์ มโนธรรม และเหตุผล เพื่อนก็ย่อมจะปันน้ำของตนให้เจ้าเช่นกัน นี่เป็นเพียงความรับผิดชอบหรือสัมพันธภาพขั้นพื้นฐานทางสังคมระหว่างผู้คนเท่านั้น สัมพันธภาพหรือความรับผิดชอบหรือภาระหน้าที่ขั้นพื้นฐานที่สุดทางสังคมเหล่านี้ล้วนเกิดจากสำนึกในมโนธรรมของมนุษย์ สภาวะความเป็นมนุษย์ของเขา และสัญชาตญาณที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์เมื่อครั้งที่ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ภายใต้รูปการณ์ปกติ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องให้พ่อแม่สอนหรือให้สังคมปลูกฝัง และยิ่งไม่ต้องให้ผู้อื่นพร่ำว่ากล่าวตักเตือนให้เจ้าทำ การศึกษาจะมีความจำเป็นก็เฉพาะกับคนที่ไม่มีมโนธรรมและเหตุผล คนที่ไร้ความสามารถในการรับรู้ที่ปกติ—เช่น ผู้คนที่บกพร่องทางสติปัญญาหรือผู้ที่เชื่อคนง่าย—หรือคนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อย ไม่รู้ความและดื้อรั้นเท่านั้น คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่จำเป็นต้องให้สอนเรื่องเหล่านี้—ผู้คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลมีสิ่งเหล่านี้กันทุกคน ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมที่จะพูดจาเกินจริงไปมากเกี่ยวกับพฤติกรรมบางอย่างหรือทำเหมือนเป็นความใจดีมีเมตตารูปแบบหนึ่งในเมื่อนั่นเป็นไปตามสัญชาตญาณและตามมโนธรรมและเหตุผลเท่านั้น ทำไมจึงไม่เหมาะสม? ด้วยการยกชูพฤติกรรมเช่นนั้นขึ้นมาถึงขั้นนี้ เจ้าย่อมเพิ่มความหนักอึ้งและภาระให้กับทุกคน และแน่นอนว่านี่ย่อมทำให้ผู้คนไม่มีอิสระ ตัวอย่างเช่น ถ้าที่ผ่านมามีคนเคยให้เงินเจ้า ช่วยให้เจ้าผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบาก ช่วยเจ้าหางาน หรือช่วยชีวิตเจ้าไว้ เจ้าย่อมจะคิดว่า “ฉันจะไม่รู้คุณคนไม่ได้ ฉันต้องมีมโนธรรมและตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา ถ้าฉันไม่ตอบแทนความใจดีมีเมตตา ฉันจะยังคงเป็นคนอยู่อีกหรือ?” ในความเป็นจริงทั้งมวล ไม่ว่าเจ้าจะตอบแทนพวกเขาหรือไม่ เจ้าก็ยังคงเป็นมนุษย์และยังคงใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ—การตอบแทนดังกล่าวจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย สภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็จะไม่ถูกกำราบเพียงเพราะเจ้าตอบแทนพวกเขาเป็นอย่างดี ในทำนองเดียวกัน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าย่อมจะไม่แย่ลงเพียงเพราะเจ้าตอบแทนพวกเขาไม่ดี การที่เจ้ามอบความใจดีมีเมตตาเป็นการตอบแทนหรือไม่นั้นจึงไม่มีความเชื่อมโยงกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า แน่นอนว่าสำหรับเราแล้ว ไม่ว่าความเชื่อมโยงจะมีอยู่หรือไม่ “ความใจดีมีเมตตา” แบบนี้ก็ไม่มีอยู่จริง และเราหวังว่าพวกเจ้าจะคิดเห็นแบบเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าควรมองเรื่องนี้อย่างไร? จงมองว่านี่คือภาระหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างหนึ่งก็พอ และเป็นสิ่งที่คนคนหนึ่งที่มีสัญชาตญาณของมนุษย์ควรทำ เจ้าควรถือว่านี่คือความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของเจ้าในฐานะมนุษย์ และจงทำอย่างสุดความสามารถของเจ้า ทั้งหมดก็มีอยู่เท่านั้น บางคนอาจกล่าวว่า “ฉันรู้ว่านี่เป็นความรับผิดชอบของฉัน แต่ฉันไม่อยากทำ” นั่นก็ไม่เป็นไรเช่นกัน เจ้าสามารถเลือกด้วยตัวเจ้าเองตามสถานการณ์และรูปการณ์ของเจ้า เจ้าสามารถตัดสินใจได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้นตามอารมณ์ของเจ้าในขณะนั้นอีกด้วย ถ้าเจ้ากังวลว่าหลังจากรับผิดชอบไปแล้ว ผู้มีคุณจะพยายามตอบแทนเจ้าไม่หยุด และถามหาเจ้า ขอบคุณเจ้าบ่อยๆ จนกลายเป็นความอึดอัดและเป็นการรบกวน และผลก็คือเจ้าไม่อยากทำตามความรับผิดชอบนั้น นั่นก็ทำได้เช่นกัน—ขึ้นอยู่กับเจ้า บางคนก็จะถามว่า “ผู้คนที่ไม่อยากลุล่วงความรับผิดชอบทางสังคมแบบนี้มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่อ่อนด้อยหรือไม่?” นี่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการตัดสินสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งหรือไม่? (ไม่ใช่) ทำไมถึงไม่ถูกต้อง? ในสังคมอันชั่วนี้ มนุษย์ต้องถูกประเมินตามพฤติกรรมของตนและต้องมีสำนึกเรื่องความควรไม่ควรในทุกสิ่งที่ตนทำ แน่นอนว่ายิ่งมีความจำเป็นเข้าไปใหญ่ที่เขาจะต้องตระหนักรู้สภาพแวดล้อมและบริบทในขณะนั้นๆ ดุจดังที่พวกผู้ไม่เชื่อกล่าวไว้ว่า ในโลกที่สับสนอลหม่านนี้ ผู้คนต้องฉลาด มีเชาวน์และปัญญาในทุกสิ่งที่ตนทำ—พวกเขาต้องไม่เป็นคนที่ไม่รู้ความ และแน่นอนว่าต้องไม่ทำเรื่องโง่เขลา ตัวอย่างเช่น ตามสถานที่สาธารณะในบางประเทศ ผู้คนคิดกลโกงบางอย่างโดยแกล้งทำเป็นเกิดอุบัติเหตุเพื่อที่จะใช้ความตลบตะแลงเรียกร้องขอค่าชดเชย ถ้าเจ้ามองกลโกงของพวกเขาไม่ออก และทำตามมโนธรรมของตนอย่างมืดบอด เจ้าก็อาจถูกหลอกและทำให้ตัวเองเดือดร้อน ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้ามองเห็นหญิงสูงอายุหกล้มตรงถนน เจ้าก็อาจจะคิดว่า “ฉันต้องรับผิดชอบต่อสังคม ฉันไม่ต้องการให้เธอตอบแทนฉัน ฉันควรยื่นมือไปช่วยเธอเพราะฉันมีสภาวะความเป็นมนุษย์และมีสำนึกในมโนธรรมของตน ดังนั้นฉันจะไปช่วยพยุงเธอขึ้นมา” แต่พอเจ้าไปช่วยประคองเธอขึ้นมา หญิงนั้นกลับขู่บังคับเจ้า และเจ้าก็ลงเอยด้วยการต้องพาเธอไปโรงพยาบาล จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เธอ ชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจ และออกค่าใช้จ่ายหลังเกษียณให้ ถ้าเจ้าไม่จ่ายทั้งหมดนั้น เจ้าก็จะถูกพาตัวไปที่สถานีตำรวจ ดูเหมือนเจ้าตกที่นั่งลำบากเลยใช่ไหม? สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? (ด้วยการทำตามเจตนาดีของตนและขาดปัญญา) เจ้าไม่รู้จักตั้งคำถาม ไร้วิจารณญาณ ไม่สามารถตระหนักรู้กระแสนิยมในปัจจุบัน และไม่แยกแยะสภาวะแวดล้อมในสถานการณ์นั้นๆ ในสังคมอันชั่วอย่างสังคมนี้ คนเราต้องจ่ายราคาเพียงเพราะเข้าไปช่วยพยุงคนสูงอายุที่หกล้มขึ้นมาโดยไม่คิดอะไร ถ้าหญิงนั้นหกล้มจริงและต้องการความช่วยเหลือของเจ้า เจ้าก็ไม่ควรถูกกล่าวโทษที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม เจ้าควรได้รับการสรรเสริญ เพราะพฤติกรรมของเจ้าสอดคล้องกับสภาวะความเป็นมนุษย์และสำนึกในมโนธรรมของมนุษย์ แต่หญิงสูงอายุคนนั้นมีแรงจูงใจแอบแฝง—แท้จริงแล้วเธอไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เธอแค่หลอกลวงเจ้า และเจ้าก็มองกลอุบายที่ฉลาดแกมโกงของเธอไม่ออก เมื่อเจ้าลงมือทำตามความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อเธอในฐานะเพื่อนมนุษย์ เจ้าจึงหลงกลแผนร้ายของเธอ และคราวนี้เธอก็จะไม่ปล่อยมือ ซ้ำยังขู่บังคับเอาเงินจากเจ้ามากขึ้น การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมควรเป็นเรื่องของการช่วยผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากและเป็นการลุล่วงความรับผิดชอบของตนเอง ไม่ควรส่งผลให้ถูกหลอกหรือตกหลุมพราง ผู้คนมากมายตกเป็นเหยื่อของกลโกงเหล่านี้และมาเห็นชัดเจนว่าผู้คนสมัยนี้ชั่วเพียงใด และเก่งกาจในการโกงผู้อื่นเพียงใด พวกเขาจะโกงใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าหรือเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง ช่างเป็นสภาพการณ์ที่น่ากลัวมาก! ใครทำให้เกิดความเสื่อมทรามเช่นนี้? พญานาคใหญ่สีแดงนั่นเอง พญานาคใหญ่สีแดงทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างหนักและอย่างร้ายแรง! พญานาคใหญ่สีแดงจะทำเรื่องไร้ศีลธรรมทุกรูปแบบเพื่อทำให้ผลประโยชน์ของตนรุดหน้า และผู้คนก็ถูกตัวอย่างที่ไม่ดีของมันพาให้หลงผิด ผลก็คือตอนนี้มีนักต้มตุ๋นและโจรขโมยกลาดเกลื่อนไปหมด จากข้อเท็จจริงเหล่านี้ คนเราย่อมจะมองเห็นได้ว่ามีผู้คนมากมายที่ไม่ได้ดีไปกว่าสุนัข บางทีอาจจะมีบางคนที่ไม่เต็มใจฟังการสนทนาแบบนี้ พวกเขาย่อมจะรู้สึกอึดอัดและคิดว่า “พวกเราไม่ดีไปกว่าสุนัขจริงหรือ? พระองค์กำลังไม่ให้เกียรติและดูถูกพวกเราด้วยการเอาไปเปรียบกับสุนัขอยู่เสมอ พระองค์ไม่ได้มองว่าพวกเราเป็นมนุษย์!” เราก็อยากมองพวกเจ้าเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์ย่อมแสดงพฤติกรรมเช่นไรให้เห็น? เมื่อดูความเป็นจริงทั้งปวงแล้ว บางคนก็ไม่ได้ดีไปกว่าสุนัขจริงๆ ทั้งหมดที่เราจะกล่าวในเรื่องนี้ในตอนนี้ก็มีเท่านี้
เราเพิ่งสามัคคีธรรมว่าการที่ผู้คนช่วยเหลือผู้อื่นบ้างไม่อาจนับได้ว่าเป็นความใจดีมีเมตตา และเป็นเพียงการรับผิดชอบต่อสังคมเท่านั้น แน่นอนว่าผู้คนสามารถเลือกได้ว่าพวกเขาจะลุล่วงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างสุดความสามารถของตนในเรื่องใดบ้าง พวกเขาสามารถลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนเองเหมาะจะทำให้ลุล่วงและเลือกที่จะไม่รับผิดชอบในเรื่องที่ตนเห็นว่าไม่เหมาะ นี่คืออิสรภาพและตัวเลือกที่มนุษย์มี เจ้าสามารถเลือกความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ทางสังคมที่เจ้าพึงทำให้ลุล่วงได้ตามรูปการณ์และความสามารถของเจ้าเอง และแน่นอนว่าตามบริบทและรูปการณ์แวดล้อมในขณะนั้นด้วย นี่เป็นสิทธิ์ของเจ้า สิทธิ์นี้เกิดขึ้นในบริบทแบบใด? โลกเป็นที่ที่มืดมิดเกินไป มวลมนุษย์ก็ชั่วเกินไป และสังคมก็ไร้ความยุติธรรม ภายใต้รูปการณ์เหล่านี้ เจ้าต้องปกป้องตนเองก่อน เว้นจากการกระทำที่โง่เขลาและไม่รู้ความ และใช้ปัญญา แน่นอนว่าการปกป้องตนเองนั้น เราไม่ได้หมายถึงการปกป้องกระเป๋าสตางค์และทรัพย์สินของเจ้าไม่ให้ถูกขโมย แต่เป็นการปกป้องตัวเจ้าเองจากภยันตราย—นี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เจ้าควรลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของเจ้าอย่างสุดความสามารถ พลางดูให้แน่ใจด้วยว่าตนเองปลอดภัย จงอย่าสนใจการได้รับความเคารพนับถือจากผู้อื่น และอย่าโอนอ่อนหรือถูกบีบคั้นให้ทำตามความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำก็คือลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของตนเท่านั้น เจ้าควรตัดสินใจว่าจะลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของตนอย่างไรตามสถานการณ์ของเจ้าเอง จงอย่าทำอะไรเกินกำลังที่เจ้าจะรับมือไหวโดยดูตามรูปการณ์และความสามารถของเจ้า เจ้าไม่ควรพยายามทำให้ผู้คนประทับใจด้วยการแสร้งทำเป็นมีความสามารถที่ตัวเจ้าไม่มี และเจ้าก็ไม่ควรกลัวว่าผู้อื่นจะไม่ให้เกียรติ ตัดสิน หรือกล่าวโทษ การทำสิ่งต่างๆ เพื่อสนองความไร้แก่นสารของตนเองนั้นผิด จงทำเท่าที่เจ้าจะสามารถทำได้ ทำเท่าที่สำนึกรับผิดชอบของเจ้าบอกให้ทำ และลุล่วงภาระหน้าที่เท่าที่เจ้าจะสามารถลุล่วงได้ นี่เป็นสิทธิ์ของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองให้ทำสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้กำหนดให้เจ้าทำ การทำตามมโนธรรมของตนที่ให้ทำสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความจริงย่อมไม่มีความหมาย ไม่ว่าเจ้าจะทำมากเท่าใด พระเจ้าก็จะไม่ทรงชมเชยเจ้าในเรื่องนั้น และย่อมจะไม่ได้หมายความว่าเจ้าเป็นคำพยานที่แท้จริงแล้ว ทั้งไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้านั้นมีความประพฤติดีไว้ประดับตัวแล้ว ส่วนเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า แต่ผู้คนกลับเรียกร้องให้เจ้าทำ เจ้าก็ควรมีทางเลือกและหลักธรรมของตนเอง จงอย่าให้ตนเองถูกผู้คนบีบคั้น ถ้าเจ้าไม่ทำสิ่งใดก็ตามที่ฝืนมโนธรรมและเหตุผลของเจ้า และละเมิดความจริง นั่นย่อมเพียงพอแล้ว ถ้าเจ้าช่วยใครบางคนด้วยการแก้ปัญหาชั่วคราวให้พวกเขา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะมาพึ่งพาเจ้า เชื่อว่าเจ้าควรและต้องแก้ปัญหาให้พวกเขา พวกเขาจะพึ่งพาเจ้าเต็มตัวและหันไปเล่นงานเจ้าหากเจ้าไม่อาจแก้ปัญหาให้พวกเขาได้แม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม นี่ย่อมนำความเดือดร้อนมาให้เจ้าและไม่ใช่ผลลัพธ์แบบที่เจ้าอยากเห็น ถ้าเจ้าคาดการณ์ว่าผลจะออกมาแบบนี้ เจ้าก็เลือกที่จะไม่ช่วยพวกเขาได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในกรณีเช่นนี้ การงดเว้นไม่ลงมือทำตามความรับผิดชอบหรือภาระหน้าที่นั้นย่อมจะไม่ผิด นี่คือทัศนะและท่าทีชนิดที่เจ้าควรมีต่อสังคม มวลมนุษย์ และที่ยิ่งแน่ชัดก็คือชุมชนที่เจ้าอาศัยอยู่ นั่นคือ จงหยิบยื่นความรักให้ใครสักคนเท่าที่เจ้าต้องให้ก็พอ และทำเท่าที่เจ้าสามารถทำได้ จงอย่าทำอะไรสวนทางความคิดความเชื่อของตนเองด้วยการพยายามอวดตัว อย่าพยายามทำอะไรที่เจ้าทำไม่ได้ ไม่มีความจำเป็นอีกด้วยที่จะต้องบีบให้ตัวเองจ่ายราคาที่คนทั่วไปไม่อาจจ่ายได้ สรุปแล้ว จงอย่าเรียกร้องจากตัวเองมากเกินไป จงทำแต่สิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ หลักธรรมนี้ฟังดูเป็นอย่างไรบ้าง? (ฟังดูดี) ตัวอย่างเช่น เพื่อนของเจ้าขอยืมรถเจ้าและเจ้าก็ครุ่นคิดว่า “ที่ผ่านมาเขาเคยให้ฉันยืมของหลายอย่าง ดังนั้นตามสิทธิ์แล้ว ฉันก็ควรให้เขายืมรถบ้าง แต่เขาไม่ดูแลของให้ดีหรือใช้ของแต่พอควร สุดท้ายเขาอาจจะถึงกับทำรถฉันพัง ฉันไม่ให้เขายืมรถดีกว่า” ดังนั้นเจ้าจึงตัดสินใจไม่ให้เขายืมรถของเจ้า การทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่? ไม่ว่าเจ้าจะให้ยืมรถหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่—ตราบใดที่เจ้าเข้าใจเรื่องนี้อย่างถูกต้องและถ่องแท้ เจ้าก็ควรลงมือทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าเชื่อว่าเหมาะสมที่สุด และเจ้าย่อมจะทำถูก อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าคิดในใจว่า “ไม่เป็นไร ฉันจะให้เขายืมรถ เมื่อก่อนนี้เวลาฉันขอยืมอะไรจากเขา เขาไม่เคยปฏิเสธฉันเลย เขาไม่ประหยัดหรือระมัดระวังมากนักเวลาใช้ของ แต่นั่นก็ไม่เป็นไร ถ้ารถฉันเสียหาย ฉันก็เพียงแต่จ่ายค่าซ่อมนิดหน่อยเท่านั้น” และแล้วเจ้าก็ตกลงให้เขายืมรถของเจ้า ไม่ปฏิเสธเขา—การทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? นี่ก็ไม่มีอะไรผิดเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าใครบางคนที่เคยช่วยเจ้ามาก่อน มาหาเจ้าเวลาที่ครอบครัวของพวกเขาประสบปัญหาบางอย่าง เจ้าควรช่วยหรือไม่? นี่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของเจ้าเอง และการตัดสินใจของเจ้าว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยย่อมจะไม่ใช่เรื่องของหลักธรรม ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำก็คือทำด้วยใจจริงและตามสัญชาตญาณ และลุล่วงความรับผิดชอบของตนอย่างสุดความสามารถ ด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าย่อมจะลงมือทำตามสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าและสำนึกในมโนธรรมของตน ไม่ว่าเจ้าจะลุล่วงความรับผิดชอบนี้อย่างเต็มที่หรือรับผิดชอบเป็นอย่างดีหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เจ้ามีสิทธิ์ที่จะตอบรับหรือปฏิเสธ—หากเจ้าปฏิเสธ ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเจ้าไม่มีมโนธรรม และไม่อาจกล่าวได้ว่าเพื่อนของเจ้ามีการกระทำที่ใจดีมีเมตตาเพราะช่วยเจ้าเอาไว้ การกระทำเหล่านี้ไม่ได้สูงถึงขั้นนั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) นี่เป็นการเสวนาเกี่ยวกับความใจดีมีเมตตา ซึ่งก็คือเรื่องที่ว่าเจ้าควรมองความใจดีมีเมตตาอย่างไร ควรมีแนวทางเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไร และเจ้าควรลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อสังคมอย่างไร ผู้คนต้องแสวงหาหลักธรรมความจริงในเรื่องเหล่านี้—เจ้าไม่อาจแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการพึ่งพามโนธรรมและเหตุผลของเจ้าเท่านั้นได้ รูปการณ์พิเศษบางอย่างอาจซับซ้อนได้มาก และถ้าเจ้าไม่รับมือรูปการณ์เหล่านั้นตามหลักธรรมความจริง เจ้าก็อาจจะก่อปัญหาและผลสืบเนื่องที่เป็นลบ ดังนั้นในเรื่องเหล่านี้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และกระทำการตามสภาวะความเป็นมนุษย์ เหตุผล ปัญญา และหลักธรรมความจริง นี่จึงจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุด
ในเรื่องของคำกล่าวที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” นั้น สถานการณ์อีกแบบหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นก็คือว่าความช่วยเหลือที่เจ้าได้รับไม่ใช่เรื่องบางอย่างที่เล็กน้อย เช่น น้ำหนึ่งขวด ผักหนึ่งกำ หรือข้าวสารหนึ่งถุง แต่เป็นรูปแบบความช่วยเหลือที่ส่งผลต่อเจ้าและหนทางทำมาหากินของครอบครัวเจ้า และถึงกับมีผลต่อโชคชะตาและโอกาสในอนาคตของเจ้า ตัวอย่างเช่น ใครบางคนอาจสอนพิเศษให้เจ้าบ้างหรือให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่ทำให้เจ้าสามารถเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้งานที่ดี มีคู่ครองที่ดี และมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นตามมาในชีวิตของเจ้า นี่ไม่ใช่การเอื้อประโยชน์เล็กน้อยหรือความช่วยเหลือปลีกย่อยเท่านั้น—ผู้คนมากมายมองว่าเรื่องอย่างนี้คือการกระทำที่ใจดีมีเมตตาอย่างยิ่ง แล้วพวกเจ้าควรรับมือสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร? ความช่วยเหลือในรูปแบบดังกล่าวเชื่อมโยงกับความรับผิดชอบทางสังคมและภาระหน้าที่ที่มนุษย์ลงมือทำดังที่พวกเราเพิ่งเสวนากันไป แต่เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการอยู่รอด ชะตากรรม และโอกาสในอนาคตของมนุษย์ จึงมีคุณค่ากว่าน้ำเพียงหนึ่งขวดหรือข้าวสารหนึ่งถุงมากนัก—กล่าวคือ มีผลต่อชีวิตของผู้คน หนทางดำรงชีพ และเวลาบนโลกนี้ของพวกเขามากกว่ามาก เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณค่าของสิ่งเหล่านี้จึงมีมากกว่ามาก ทีนี้ ความช่วยเหลือในรูปแบบเหล่านี้ควรถูกยกระดับให้เป็นความใจดีมีเมตตาหรือไม่? ในทำนองเดียวกันเลย เราไม่แนะนำให้มองความช่วยเหลือแบบนี้ว่าเป็นความใจดีมีเมตตา ในเมื่อความช่วยเหลือในรูปแบบเหล่านี้ไม่ควรถือเป็นความใจดีมีเมตตา เช่นนั้นแล้ววิธีที่เหมาะสมและถูกต้องในการรับมือสถานการณ์เช่นนี้คืออะไร? นี่คือปัญหาที่มนุษย์เผชิญอยู่มิใช่หรือ? ตัวอย่างเช่น บางทีบางคนก็อาจทำให้เจ้าเบนเข็มจากชีวิตที่ก่ออาชญากรรม แก้ไขเจ้าให้เดินตรงทาง และให้เจ้ามีงานทำในสายงานที่สุจริต เปิดโอกาสให้เจ้ามีชีวิตที่ดีงาม แต่งงานและลงหลักปักฐาน เปลี่ยนชะตากรรมของตนให้ดีขึ้น หรือบางทีเมื่อเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากและรู้สึกว่าไม่มีทางไป ก็มีคนดีให้ความช่วยเหลือและชี้แนะบางอย่างแก่เจ้า ซึ่งเปลี่ยนความน่าจะเป็นในอนาคตของเจ้าในทางที่เป็นบวก เปิดโอกาสให้เจ้าผงาดขึ้นมาเหนือผู้อื่นและมีชีวิตที่ดี เจ้าควรดำเนินการอย่างไรในสถานการณ์ดังกล่าว? เจ้าควรจดจำความใจดีมีเมตตาของพวกเขาและตอบแทนพวกเขาหรือไม่? เจ้าควรหาทางชดใช้และตอบแทนพวกเขาหรือไม่? ในกรณีนี้ เจ้าควรยอมให้หลักธรรมชี้นำการตัดสินใจของเจ้ามิใช่หรือ? เจ้าควรระบุว่าคนที่ช่วยเจ้านั้นเป็นคนเช่นไร ถ้าพวกเขาเป็นคนดีที่เป็นบวก เช่นนั้นแล้วนอกจากกล่าวคำ “ขอบคุณ” กับพวกเขาแล้ว เจ้ายังสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาต่อไปตามปกติได้ กลายเป็นเพื่อนกันได้ และแล้วเมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ เจ้าก็สามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถ อย่างไรก็ดี การลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่เช่นนี้ไม่ควรอยู่ในรูปของการให้แบบไร้เงื่อนไข แต่ควรมีข้อจำกัดตามสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ตามรูปการณ์ของเจ้า นี่จึงเป็นวิธีปฏิบัติต่อผู้คนดังกล่าวในสถานการณ์เหล่านี้อย่างเหมาะสม พวกเจ้าทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับที่แตกต่างกัน—แม้พวกเขาจะเคยช่วยเจ้าไว้และใจดีมีเมตตาต่อเจ้า แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ช่วยเจ้าให้รอด เพราะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอด สิ่งที่พวกเขาทำมีแต่การกระทำผ่านทางอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าเพื่อที่จะยื่นมือช่วยเหลือเจ้า—แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเหนือกว่าเจ้า และยิ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นเจ้าของตัวเจ้าและสามารถบงการและควบคุมเจ้าได้ พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมีอิทธิพลเหนือชะตากรรมของเจ้า และไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์หรือออกความเห็นเรื่องชีวิตของเจ้า พวกเจ้ายังคงเท่าเทียมกัน เมื่อพวกเจ้าเท่าเทียมกัน พวกเจ้าจึงสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันฉันเพื่อน และเมื่อใดที่เหมาะสม เจ้าก็สามารถช่วยพวกเขาอย่างสุดความสามารถของเจ้า นี่ยังคงเป็นการลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ทางสังคมของเจ้าภายในขอบเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์ และยังคงเป็นการทำสิ่งที่เจ้าพึงทำตามหลักการและภายในขอบเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์—เจ้ากำลังทำตามความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของตนอย่างตรงจุด เหตุใดเจ้าจึงควรทำเช่นนี้? ที่ผ่านมาพวกเขาเคยช่วยเจ้าไว้และเปิดโอกาสให้เจ้าเก็บเกี่ยวผลประโยชน์และได้รับอะไรไปมากมาย ดังนั้นสำนึกในมโนธรรมที่มาจากสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าย่อมชี้ว่าเจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาฉันเพื่อน บางคนก็จะถามว่า “ฉันถือว่าพวกเขาเป็นคนสนิทที่รู้ใจกันได้หรือไม่?” นี่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าสองคนไปกันได้ดีเพียงใด สภาวะความเป็นมนุษย์และความชอบส่วนตนของพวกเจ้า ตลอดจนสิ่งที่พวกเจ้าแสวงหาและวิธีมองโลกของพวกเจ้ามีความคล้ายคลึงกันหรือไม่ คำตอบย่อมจะขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง ทั้งนี้ ในสัมพันธภาพชนิดที่ไม่เหมือนใครนี้ เจ้าควรตอบแทนผู้มีคุณของเจ้าด้วยชีวิตของเจ้าหรือไม่? ในเมื่อพวกเขาช่วยเจ้าไว้มากขนาดนั้นและมีอิทธิพลต่อเจ้าอย่างเหลือล้นดังกล่าว เจ้าควรตอบแทนพวกเขาด้วยชีวิตของเจ้าหรือไม่? นี่ย่อมไม่จำเป็น เจ้าเป็นเจ้าของชีวิตของเจ้าเองชั่วนิรันดร์—พระเจ้าประทานชีวิตของเจ้าให้แก่เจ้า มันจึงเป็นของเจ้าและไม่ใช่ของใครคนอื่นที่จะมาบริหารจัดการ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องประมาทยอมให้ใครอื่นมาจัดการชีวิตเจ้าเพราะบริบทและสถานการณ์เช่นนี้ นี่เป็นวิธีทำสิ่งต่างๆ ที่โง่เขลามาก และแน่นอนว่าไม่สมเหตุสมผลอีกด้วย ไม่ว่าพวกเจ้าจะสนิทกันเพียงใดในฐานะเพื่อนหรือความผูกพันที่พวกเจ้ามีจะเหนียวแน่นเพียงใด เจ้าก็ทำได้เพียงแสดงความรับผิดชอบของเจ้าในฐานะคนคนหนึ่ง มีปฏิสัมพันธ์กันไปตามปกติและช่วยเหลือเกื้อกูลกันภายในขอบเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์และเหตุผลเท่านั้น สัมพันธภาพในระดับนี้สมเหตุสมผลและเสมอภาคกว่า สาเหตุสำคัญที่สุดที่เจ้ากลายเป็นเพื่อนกันโดยพื้นฐานแล้วก็เพราะว่าคนคนนั้นเคยช่วยเจ้าไว้ ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกว่าคู่ควรแล้วที่จะให้พวกเขาเป็นเพื่อน และพวกเขาก็เป็นไปตามมาตรฐานที่เจ้าตั้งไว้สำหรับเพื่อนๆ ของเจ้า เพราะเหตุนี้เท่านั้นที่เจ้าเต็มใจเป็นเพื่อนกับพวกเขา นอกจากนี้ จงคำนึงถึงสถานการณ์ต่อไปนี้ด้วยว่า ที่ผ่านมามีบางคนเคยช่วยเจ้าไว้ ใจดีกับเจ้าในบางด้าน และมีผลต่อชีวิตของเจ้าหรือเหตุการณ์ใหญ่ๆ บางอย่าง แต่สภาวะความเป็นมนุษย์และเส้นทางที่พวกเขาเดินนั้นไม่ตรงกับเส้นทางของเจ้าและสิ่งที่เจ้าแสวงหา เจ้าไม่ได้พูดจาภาษาเดียวกัน เจ้าไม่ได้ชอบคนคนนี้ และบางทีเจ้าก็อาจกล่าวได้ในระดับหนึ่งว่าความสนใจและสิ่งที่เจ้าแสวงหานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เส้นทางชีวิตของพวกเจ้า โลกทัศน์ และทัศนคติที่พวกเจ้ามีต่อชีวิตล้วนแตกต่างกัน—พวกเจ้าเป็นคนสองประเภทที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเจ้าควรดำเนินการตอบแทนความช่วยเหลือที่พวกเขาเคยให้แก่เจ้าเมื่อก่อนนี้อย่างไร? นี่คือสถานการณ์จริงที่อาจเกิดขึ้นได้ใช่หรือไม่? (ใช่) ดังนั้นเจ้าควรทำอย่างไร? นี่ก็เป็นสถานการณ์ที่จัดการง่ายเช่นกัน ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองเดินอยู่บนเส้นทางที่ต่างกัน หลังจากที่ใช้คืนพวกเขาในรูปของวัตถุไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามที่เจ้าสามารถหามาได้ตามกำลังของตน เจ้าย่อมพบว่าความเชื่อของพวกเจ้านั้นผิดแผกกันเกินไปจริงๆ เจ้าไม่สามารถเดินบนเส้นทางเดียวกัน ไม่อาจเป็นเพื่อนกันได้ด้วยซ้ำ และไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กันอีกต่อไป เจ้าควรทำเช่นไรต่อไปในเมื่อเจ้าไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กันอีกแล้ว? จงอยู่ห่างจากพวกเขา ที่ผ่านมาพวกเขาอาจจะเคยใจดีกับเจ้า แต่พวกเขาก็หลอกลวงและฉ้อโกงเพื่อกรุยทางในสังคมให้ตนเอง ลงมือทำเรื่องต่ำทรามสารพัดอย่าง และเจ้าก็ไม่ชอบคนแบบนี้ ดังนั้นจึงสมเหตุสมผลอย่างที่สุดที่เจ้าจะอยู่ห่างจากพวกเขา บางคนอาจกล่าวว่า “การทำเช่นนั้นไม่ไร้มโนธรรมหรอกหรือ?” นี่ไม่ใช่การไร้มโนธรรม—ถ้าพวกเขาต้องเผชิญความยากลำบากบางอย่างในชีวิตเข้าจริงๆ เจ้าก็ยังคงช่วยพวกเขาได้ แต่เจ้าไม่สามารถถูกพวกเขาตีกรอบหรือลงมือทำชั่วและทำเรื่องไร้มโนธรรมร่วมกับพวกเขา นอกจากนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทุ่มเททำงานเยี่ยงทาสให้พวกเขาเพียงเพราะพวกเขาเคยช่วยเจ้าหรือเคยเอื้อประโยชน์ให้เจ้าอย่างมากในเวลาที่ผ่านมา—นั่นไม่ใช่ภาระผูกพันของเจ้า และพวกเขาก็ไม่คู่ควรที่จะได้รับการปฏิบัติด้วยเช่นนั้น เจ้ามีสิทธิ์เลือกที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่เจ้าชอบและไปด้วยกันได้ ผู้คนที่ถูกต้อง ใช้เวลาร่วมกับพวกเขา และแม้กระทั่งเป็นเพื่อนกับพวกเขา เจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ที่เจ้ามีต่อคนแบบนี้ นี่คือสิทธิ์ของเจ้า แน่นอนว่าเจ้าสามารถปฏิเสธที่จะเป็นเพื่อนและคบหากับผู้คนที่เจ้าไม่ชอบอีกด้วย และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องลุล่วงภาระหน้าที่หรือความรับผิดชอบใดๆ ต่อพวกเขา—นี่ก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าเช่นกัน ต่อให้เจ้าตัดสินใจละทิ้งคนแบบนี้และปฏิเสธที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา หรือลุล่วงความรับผิดชอบหรือภาระหน้าที่ใดๆ ต่อพวกเขา นี่ย่อมจะไม่ผิด เจ้าต้องขีดเส้นบางอย่างเอาไว้ว่าเจ้าควรวางตัวอย่างไร และต้องปฏิบัติต่อผู้คนที่ต่างกันในลักษณะที่ต่างกัน เจ้าไม่ควรคบค้าสมาคมกับคนชั่วหรือทำตามตัวอย่างที่ไม่ดีของพวกเขา นี่คือการเลือกที่ใช้ปัญญา จงอย่าถูกปัจจัยต่างๆ ครอบงำ เช่น ความรู้สึกสำนึกบุญคุณ ความรู้สึกและความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่—นี่คือการมีจุดยืนและมีหลักธรรม และเป็นสิ่งที่เจ้าพึงทำ พวกเจ้ายอมรับวิธีการและสิ่งที่กล่าวมานี้ได้หรือไม่? (ได้) แม้ว่าทัศนะ เส้นทางปฏิบัติ และหลักธรรมที่เราอภิปรายมานี้จะถูกวัฒนธรรมและมโนคติดั้งเดิมวิพากษ์วิจารณ์ แต่ทัศนะและหลักธรรมเหล่านี้จะปกป้องสิทธิ์และศักดิ์ศรีของทุกคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์และสำนึกในมโนธรรมของตนเอาไว้อย่างกร้าวแกร่ง และจะทำให้ผู้คนไม่ถูกสิ่งที่วัฒนธรรมดั้งเดิมเรียกว่ามาตรฐานด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมตีกรอบและล่ามโซ่เอาไว้ ทำให้ผู้คนสามารถเป็นอิสระจากการล่อลวงและหลอกหลอนของสิ่งลวงโลกที่เคร่งศรัทธาแบบจอมปลอมได้ ทัศนะและหลักธรรมเหล่านี้จะเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าใจความจริงผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของความคิดเห็นทางศีลธรรมเหล่านี้ของผู้คนส่วนใหญ่ และพาตนเป็นอิสระจากเครื่องควบคุมและโซ่ตรวนของสิ่งที่เรียกกันว่าวิถีโลกอีกด้วย เพื่อให้พวกเขาสามารถปฏิบัติต่อผู้คนและสรรพสิ่งได้ตามพระวจนะของพระเจ้าโดยใช้ทัศนะที่ถูกต้อง สามารถปลดโซ่ตรวนและทิ้งการชักนำที่ผิดของสิ่งทั้งหลายทางโลก จารีต และศีลธรรมทางสังคมได้อย่างสิ้นเชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็จะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่าง ใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ดำรงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี และได้รับการชมเชยจากพระเจ้า
แท้จริงแล้วคำกล่าวด้านศีลธรรมทางสังคมอย่าง “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” และ “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแบบใดในตัวมนุษย์บ้าง? สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของมนุษย์ที่ไขว่คว้าสถานะและผลประโยชน์ได้หรือไม่? เปลี่ยนความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของมนุษย์ได้หรือไม่? สลายความขัดแย้งและการเข่นฆ่าในหมู่มนุษย์ได้หรือไม่? เปิดโอกาสให้มนุษย์ก้าวเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องและดำรงชีวิตอย่างมีความสุขได้หรือไม่? (ไม่ได้) เมื่อเป็นเช่นนั้น แท้จริงแล้วหลักเกณฑ์เหล่านี้ของศีลธรรมทางสังคมมีผลอย่างไร? อย่างมากก็สนับสนุนคนดีไม่กี่คนให้ทำเรื่องดีๆ และมีส่วนช่วยให้สังคมปลอดภัยและมั่นคงเท่านั้นใช่หรือไม่? (ใช่) สิ่งที่หลักเกณฑ์เหล่านี้ทำย่อมมีอยู่เพียงเท่านั้น และไม่ได้แก้ปัญหาอะไรแม้แต่เรื่องเดียว ภายใต้การวางเงื่อนไขของสิ่งที่เรียกกันว่าหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ ต่อให้ผู้คนสามารถยึดปฏิบัติและใช้ชีวิตตามหลักเกณฑ์เหล่านี้ได้ในท้ายที่สุด นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถเป็นอิสระจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้ ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคนคนหนึ่งช่วยเหลือเกื้อกูลเจ้ามาโดยตลอด ดังนั้นเจ้าจึงทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อตอบแทนพวกเขา—เมื่อพวกเขาให้ข้าวสารแก่เจ้าหนึ่งถุง เจ้าก็ตอบแทนด้วยเส้นก๋วยเตี๋ยวหนึ่งถุงใหญ่ และเมื่อพวกเขาให้เนื้อหมูแก่เจ้าสองกิโลกว่า เจ้าก็ตอบแทนเป็นเนื้อวัวสองกิโลกว่า ผลของการที่เจ้าตอบแทนกันไปมาย่อมจะเป็นเช่นใด? พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายย่อมจะคำนวณอยู่ในใจว่าใครได้เปรียบและใครเสียเปรียบ นี่ย่อมจะนำไปสู่ความเข้าใจผิด การต่อสู้ และการวางอุบายระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง ที่กล่าวมานี้เราหมายความว่าอย่างไร? เราหมายความว่าข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ไม่เพียงตีกรอบและชี้นำวิธีคิดอ่านของผู้คนไปในทางที่ผิดเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความลำบาก ภาระ และแม้กระทั่งความทุกข์ใจให้กับชีวิตของผู้คนอีกด้วย และถ้าข้อกำหนดนี้เปลี่ยนให้เจ้ากลายเป็นศัตรูของใครบางคน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยิ่งจะเดือดร้อนและพบเจอความทุกข์ที่มิอาจพูดออกมาได้มากขึ้นอีก! การมีสัมพันธภาพที่ตั้งอยู่บนการยื่นหมูยื่นแมวแบบนี้ไม่ใช่เส้นทางที่ผู้คนควรเดิน ผู้คนใช้ชีวิตตามภาวะอารมณ์และวิถีโลกอยู่เสมอ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมีแต่จะก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นมากมาย นี่เป็นเพียงการทรมานตัวเองและเป็นการทรมาทรกรรมที่ไร้ประโยชน์ วัฒนธรรมดั้งเดิมและคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมฝังตัวอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนและพาพวกเขาให้หลงผิดเช่นนี้เอง เนื่องจากพวกเขาไร้วิจารณญาณอย่างสิ้นเชิง ผู้คนจึงเชื่อกันอย่างผิดๆ ว่าแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมถูกต้อง ถือเอาเป็นหลักเกณฑ์และเข็มทิศของตน ยึดปฏิบัติตามคำกล่าวเหล่านี้อย่างเคร่งครัด และใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของความเห็นส่วนรวม พวกเขาถูกสิ่งเหล่านี้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ครอบงำ และควบคุมอย่างค่อยเป็นค่อยไปและโดยไม่รู้ตัว เกิดความรู้สึกอับจนหนทางและเจ็บปวด แต่ก็ไร้พลังอำนาจที่จะหนีพ้น เมื่อพระเจ้าตรัสเปิดโปงและพิพากษาแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีอยู่ในตัวผู้คน นี่กลับยิ่งทำให้ผู้คนมากมายเสียใจ เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกชำระล้างไปจากจิตใจ ความคิดอ่าน และมโนคติของผู้คนจนสิ้น พวกเขากลับรู้สึกว่างเปล่ามากอย่างกะทันหันราวกับว่าตนนั้นไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยว แล้วก็ถามว่า “ต่อไปภายหน้าฉันควรทำอย่างไร? ฉันควรใช้ชีวิตอย่างไร? เมื่อไม่มีสิ่งเหล่านี้ ฉันก็ไม่มีเส้นทางหรือทิศทางในชีวิตของตน ตอนนี้เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกชำระล้างออกไปจากความรู้สึกนึกคิดของฉันแล้ว ทำไมฉันถึงรู้สึกกลวงเปล่าและไร้จุดหมายขนาดนี้? ถ้าผู้คนไม่ใช้ชีวิตตามคำกล่าวเหล่านี้ พวกเขายังจะนับเป็นมนุษย์ได้หรือไม่? พวกเขายังจะมีสภาวะความเป็นมนุษย์กันหรือไม่?” นี่เป็นวิธีคิดที่ไม่ถูกต้อง ในความเป็นจริงเมื่อชำระล้างแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมออกจากตัวเจ้าแล้ว หัวใจของเจ้าย่อมได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ตัวเจ้าเองไม่ถูกสิ่งเหล่านี้ตีกรอบและตีตรวนเอาไว้อีกต่อไป เจ้าได้รับอิสรภาพและเสรีภาพ และไม่มีความทุกข์ร้อนเหล่านี้อีกต่อไป—แล้วเจ้าจะไม่อยากได้รับการชำระให้สะอาดจากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร? อย่างน้อยที่สุดเมื่อเจ้าละทิ้งแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ไม่ใช่ความจริง เจ้าก็จะทนทุกข์และเจ็บปวดน้อยลง สามารถขจัดเครื่องจองจำและความวิตกกังวลที่ไร้ซึ่งความหมายไปได้มากมาย ถ้าเจ้าสามารถยอมรับความจริงและใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าได้ เจ้าก็จะก้าวเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง การค้ำจุนมาตรฐานด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมอาจจะดูเหมือนชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ แต่เจ้ากำลังใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์อยู่หรือเปล่า? เจ้าก้าวเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องหรือยัง? แง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการคิดอ่านที่เสื่อมทรามของผู้คน หรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้ และยิ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของผู้คน แง่มุมเหล่านี้ไม่มีผลใดๆ ที่เป็นบวก แต่กลับทำให้สภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนบิดเบี้ยวและผิดประหลาดตามหลักคำสอน การสร้างเงื่อนไข และอิทธิพลของตน ผู้คนตระหนักชัดว่าคนที่ใจดีมีเมตตากับตนนั้นไม่ใช่คนดี แต่พวกเขาก็ยังทำเรื่องที่สวนทางความคิดความเชื่อของตนและตอบแทนคนคนนั้น เพียงเพราะเขาเคยเอื้อประโยชน์ให้ตนมาก่อน อะไรทำให้ผู้คนตอบแทนผู้อื่นแม้จะขัดกับความคิดความเชื่อของตนเอง? พวกเขาทำเช่นนี้เพราะแนวคิดจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างรู้คุณนี้ฝังรากอยู่ในหัวใจของพวกเขาไปแล้ว พวกเขากลัวว่าถ้าไม่ทำอะไรที่ขัดกับความคิดความเชื่อของตนและตอบแทนคนที่เคยช่วยตนไว้ พวกเขาก็จะถูกความเห็นส่วนรวมว่ากล่าว และจะถูกมองว่าเป็นคนอกตัญญูที่ไม่รู้จักตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับ เป็นคนที่ใจแคบและต่ำช้า เป็นคนที่ไม่มีมโนธรรมหรือสภาวะความเป็นมนุษย์ แท้จริงแล้วเป็นเพราะพวกเขากลัวทั้งหมดนี้และห่วงว่าในภายภาคหน้าจะไม่มีใครยอมช่วยตน กังวลว่าตนนั้นไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การวางเงื่อนไขและโซ่ตรวนของแนวคิดในวัฒนธรรมดั้งเดิมเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างรู้คุณนี้ ผลก็คือทุกคนใช้ชีวิตกันอย่างผิดประหลาดและเป็นทุกข์ ทำอะไรขัดกับความคิดความเชื่อของตน และไม่สามารถเอ่ยปากพูดเรื่องความทุกข์ยากของตนได้ นี่คุ้มกับความเดือดร้อนทั้งหมดหรือไม่? แนวคิดเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตาอย่างรู้คุณนี้ทำให้ผู้คนทนทุกข์กันมิใช่หรือ?
ในส่วนของคำกล่าวที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” เราเพิ่งสามัคคีธรรมไปว่าแท้จริงแล้ว “ความใจดีมีเมตตา” คืออะไร พระเจ้าทรงมองคำนิยามที่มนุษย์มีต่อความใจดีมีเมตตาว่าอย่างไร มนุษย์ควรปฏิบัติต่อความใจดีมีเมตตานี้อย่างไร ควรปฏิบัติต่อผู้ที่แสดงความใจดีมีเมตตาต่อเจ้าหรือช่วยชีวิตเจ้าไว้อย่างไร มุมมองและเส้นทางที่ถูกต้องแท้จริงแล้วเป็นเช่นไรและควรมีที่ทางอย่างไรในหัวใจของเจ้า ผู้คนควรปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนอย่างไร มนุษย์ควรรับมือรูปการณ์พิเศษบางอย่างด้วยวิธีการใด และควรมองรูปการณ์เหล่านั้นด้วยมุมมองเช่นไร เหล่านี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนและไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนด้วยความคิดเห็นสั้นๆ เพียงไม่กี่คำได้ แต่เราก็ได้อธิบายประเด็นสำคัญต่างๆ แก่นแท้ของประเด็นเหล่านี้ในเรื่องนี้ เป็นต้น ให้พวกเจ้าฟัง หากพวกเจ้าพบเจอปัญหาแบบนี้อีก คราวนี้พวกเจ้าก็ย่อมจะรู้สึกว่าตนเองชัดเจนขึ้นไม่มากก็น้อยว่าควรใช้มุมมองใดและควรใช้เส้นทางปฏิบัติเส้นใดใช่หรือไม่? บางคนกล่าวว่า “ในทางทฤษฎีแล้ว ฉันเข้าใจชัดเจน แต่มนุษย์นั้นกอปรด้วยเลือดเนื้อ เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ พวกเราจึงไม่แคล้วถูกหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมเหล่านี้ครอบงำและโอนเอนตามความเห็นของคนส่วนใหญ่ ผู้คนมากมายใช้ชีวิตกันแบบนี้ ให้คุณค่ากับการกระทำที่ใจดีมีเมตตาและการตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับอย่างรู้คุณ ถ้าฉันไม่ใช้ชีวิตแบบนี้ ฉันก็จะถูกคนอื่นต่อว่าและเดียดฉันท์เป็นแน่ ฉันกลัวว่าผู้คนจะประณามฉันว่าไม่ใช่คน มีชีวิตเหมือนแกะดำ และฉันก็จะทนรับเรื่องนั้นไม่ไหว” ปัญหาในที่นี้คืออะไร? ทำไมผู้คนถึงถูกเรื่องแบบนี้บีบคั้น? นี่เป็นปัญหาที่แก้ง่ายหรือไม่? แก้ง่าย และเราก็จะบอกเจ้าว่าทำอย่างไร ถ้าเจ้ารู้สึกว่าเวลาที่เจ้าไม่ใช้ชีวิตตามทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่บอกว่าความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ เจ้าย่อมจะมีชีวิตเยี่ยงคนที่สังคมรังเกียจ ถ้าเจ้ารู้สึกว่าเจ้านั้นไม่เหมือนคนจีนดั้งเดิมอีกแล้ว และด้วยการออกห่างจากวัฒนธรรมดั้งเดิม เจ้ากลับไม่มีชีวิตอย่างมนุษย์ ไร้ซึ่งลักษณะที่ทำให้เจ้าเป็นมนุษย์ ถ้าเจ้ากังวลว่าเจ้าจะเข้ากับสังคมจีนไม่ได้ เจ้าจะถูกเพื่อนร่วมชาติชาวจีนดูหมิ่นและมองว่าเป็นปลาเน่า เช่นนั้นแล้วก็จงเลือกทำตามกระแสนิยมในสังคมเถิด—ไม่มีใครบังคับเจ้าและจะไม่มีใครกล่าวโทษเจ้า อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้ารู้สึกว่าการใช้ชีวิตตามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมบงการและการให้คุณค่ากับการกระทำที่ใจดีมีเมตตาอยู่เสมอนั้นไม่ได้มีผลดีกับเจ้ามากนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นวิธีใช้ชีวิตที่เหน็ดเหนื่อย และหากเจ้ามุ่งมั่นที่จะปล่อยมือจากรูปแบบการใช้ชีวิตเช่นนี้และพยายามมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามวจนะของเราทุกประการ เช่นนั้นแล้วแน่นอนว่านั่นย่อมจะดีขึ้นด้วยซ้ำ แม้ในตอนนี้พวกเจ้าจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ในทางหลักธรรมและเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดีแล้วก็ตาม แต่แท้จริงแล้วต่อจากนี้ไปพวกเจ้าจะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างไร จะใช้ชีวิตและวางตัวอย่างไร ย่อมเป็นเรื่องของพวกเจ้าเอง เจ้าจะยอมรับสิ่งที่เรากล่าวได้เพียงใด เจ้าจะนำทั้งหมดนี้ไปปฏิบัติได้ถึงระดับไหน และเจ้าจะรับได้มากเพียงใด เป็นเรื่องที่เจ้าจะเลือกและขึ้นอยู่กับเจ้าทั้งสิ้น เราไม่ได้บังคับเจ้า เราเพียงแสดงหนทางให้เจ้าเห็นเท่านั้น อย่างไรก็ดี มีเรื่องหนึ่งที่แน่นอนก็คือเราจะบอกความจริงแก่เจ้าด้วยการกล่าวว่า ถ้าเจ้าใช้ชีวิตตามวัฒนธรรมดั้งเดิม เจ้าก็จะมีชีวิตที่ยิ่งไม่ใช่มนุษย์และหมดศักดิ์ศรีไปเรื่อยๆ และเจ้าจะพบว่าเจ้าจะรู้สึกถึงสำนึกในมโนธรรมของเจ้าน้อยลงไปทุกที เจ้าจะมีชีวิตที่ทุกข์ทรมานไปเรื่อยๆ จนเจ้านั้นดูไม่เหมือนทั้งคนและผี อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าปฏิบัติตามวจนะของเราและหลักธรรมที่เรากล่าวไว้ เรารับรองว่าเจ้าจะใช้ชีวิตพร้อมด้วยสภาพเสมือนมนุษย์ มโนธรรม เหตุผล และศักดิ์ศรีมากขึ้นทุกที—นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน เมื่อเจ้าเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ในภายหลัง เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและเสรี และจะรู้สึกมีสันติสุขและเบิกบาน เงามืดและภาระในหัวใจของเจ้าจะลดน้อยลง เจ้าจะรู้สึกมั่นใจและยืนยืดอกได้ เจ้าจะไม่ถูกวิถีโลกตามรังควาน หลอกหลอน หรือครอบงำอีกต่อไป และเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ทุกวันเจ้าจะรู้สึกมั่นคง เจ้าจะรับมือและจัดการแต่ละเรื่องราวอย่างชัดเจนที่สุด หลีกเลี่ยงการวกไปวนมาหลายรอบและความทุกข์มากมายที่เจ้าไม่ควรต้องพบพาน เจ้าจะไม่ทำสิ่งที่เจ้าไม่พึงทำ หรือจ่ายราคาที่เจ้าไม่ควรจ่าย เจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นอีกต่อไป เจ้าจะไม่ถูกมุมมองและความคิดเห็นของผู้คนครอบงำอีกต่อไป เจ้าจะไม่ถูกความคิดเห็นและการกล่าวโทษของสังคมบีบคั้นอีกแล้ว นี่คือชีวิตที่มีศักดิ์ศรีมิใช่หรือ? นี่คือชีวิตที่อิสระและเสรีมิใช่หรือ? เมื่อถึงตอนนี้เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าการใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าคือเส้นทางชีวิตเพียงทางเดียวเท่านั้นที่ถูกต้อง และเฉพาะเมื่อใช้ชีวิตในหนทางนี้เท่านั้น คนเราถึงจะมีสภาพเสมือนมนุษย์และมีความสุข เวลาใช้ชีวิตอยู่ในม่านหมอกของวัฒนธรรมดั้งเดิม เจ้าจะไม่สามารถมองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจนและเชื่ออย่างผิดๆ ว่าเจ้ากำลังมุ่งไปยังดินแดนในอุดมคติบางแห่งที่ตั้งอยู่ในโลกของมนุษย์ แต่ท้ายที่สุดแล้วเจ้าย่อมลงเอยด้วยการถูกชักนำให้หลงผิด ถูกซาตานหลอกไปทรมาน วันนี้ในเมื่อเจ้าได้ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ค้นพบความจริง และมองเห็นความสว่างมาเยือนโลกมนุษย์แล้ว เจ้าย่อมสลายม่านหมอก มองเห็นเส้นทางและทิศทางที่ชีวิตของเจ้าต้องเดินอย่างชัดเจนแล้ว เจ้าย่อมรีบรุดไปข้างหน้าและกลับคืนไปเบื้องหน้าพระเจ้า นี่คือพระคุณและพรจากพระเจ้ามิใช่หรือ? ดังนั้น ตอนนี้พวกเจ้าสลายม่านหมอกและมองเห็นฟ้าใสกระจ่างเบื้องบนหรือยัง? บางทีพวกเจ้าอาจมองเห็นแล้วแวบหนึ่งและกำลังมุ่งหน้าไปหาความสว่าง—นี่คือพรอันยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าเจ้าสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ยอมรับและเข้าใจความจริง สลายม่านหมอก ละทิ้งสิ่งที่ไม่ถูกต้องทั้งหมดนี้ในวัฒนธรรมดั้งเดิม และขจัดอุปสรรคทั้งปวงได้ เจ้าก็จะสามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอด ทั้งหมดที่เราต้องสามัคคีธรรมเรื่องคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” ก็มีเท่านี้ ต่อไปภายหน้าพวกเจ้าสามารถร่วมกันสามัคคีธรรมเพิ่มเติมถึงวจนะเหล่านี้ได้ และเจ้าจะเกิดความเข้าใจที่ถ่องแท้ คนเราไม่สามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ทันทีที่ชุมนุมสามัคคีธรรมกันเพียงครั้งเดียวได้ แม้ว่าตอนนี้เราจะสรุปจบสามัคคีธรรมเรื่องคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้แล้ว และพวกเจ้าก็มีความเข้าใจในทางทฤษฎีและในทางหลักธรรมแล้ว แต่การปลดเปลื้องมโนคติดั้งเดิมอันเก่าแก่และหลงผิดเหล่านี้ในชีวิตจริงไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเจ้าอาจจะยังคงยึดถือและดิ้นรนต่อสู้กับแนวคิดเดิมๆ เหล่านี้เป็นบางครั้ง อย่างน้อยที่สุดก็จะใช้เวลาสักระยะก่อนที่เจ้าจะสามารถละทิ้งแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมได้หมด และยอมรับความจริงในพระวจนะของพระเจ้าได้โดยบริบูรณ์ เจ้าต้องค่อยๆ ค้นพบ ใช้ชีวิต และมีประสบการณ์กับการยืนยันในชีวิตจริงยามที่เผชิญหน้าสังคมและมวลมนุษย์ เมื่อมีประสบการณ์เหล่านี้ เจ้าก็จะค่อยๆ มารู้จักพระวจนะของพระเจ้าและย่อมจะเข้าใจความจริง เมื่อทำดังนี้แล้ว เจ้าก็จะเริ่มเห็นผล ได้ประโยชน์ และได้รับรางวัล เจ้าจะแก้ไขทัศนะและแนวคิดผิดๆ ที่เจ้ามีเกี่ยวกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ สารพัดรูปแบบ นี่คือขั้นตอนและเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง
ต่อไป เราจะสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวที่ว่า “จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น” คำกล่าวนี้พูดถึงคุณธรรมอย่างหนึ่งในวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมซึ่งผู้คนมองว่าประเสริฐและยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าความคิดเห็นเหล่านี้เกินจริงและไม่ตรงตามความเป็นจริงอยู่บ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มีการรับรู้โดยทั่วกันว่าเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง เมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนได้ยินคุณธรรมข้อนี้ ในใจของพวกเขาย่อมนึกฉากทัศน์บางอย่างขึ้นมา เช่น ภาพผู้คนตักอาหารใส่จานของอีกฝ่ายเวลากินด้วยกันและยกอาหารที่ดีที่สุดให้ผู้อื่น ผู้คนยอมให้ผู้อื่นเดินขึ้นหน้าเวลาต่อแถวอยู่ที่ร้านขายของชำ ผู้คนยอมให้ผู้อื่นซื้อบัตรที่สถานีรถไฟหรือที่สนามบินก่อน เวลาเดินหรือขับรถ ผู้คนก็ยอมให้ผู้อื่นและเปิดทางให้พวกเขาไปก่อน... ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างที่แสนจะ “งดงาม” ของการที่ “ส่วนรวมทำเพื่อปัจเจก และปัจเจกก็ทำเพื่อส่วนรวม” แต่ละภาพในฉากทัศน์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสังคมและโลกอบอุ่น ปรองดอง เป็นสุข และมีสันติเพียงใด ระดับของความสุขนั้นสูงเสียจนเกินความคาดหมายไปมาก ถ้าใครบางคนถามพวกเขาว่า “ทำไมคุณถึงมีความสุขขนาดนี้?” พวกเขาย่อมตอบว่า “วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมสนับสนุนการพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น พวกเราทุกคนจึงนำแนวคิดนี้มาปฏิบัติ และทำได้ไม่ยากเลย พวกเรารู้สึกแต่เพียงว่าได้รับพรมากมายเท่านั้น” พวกเจ้าเคยนึกถึงฉากทัศน์เช่นนี้บ้างหรือไม่? (เคย) จะพบเห็นฉากทัศน์เหล่านี้ได้ที่ไหน? พบเห็นได้ตามภาพวาดเทศกาลฤดูใบไม้ผลิที่เคยติดผนังกันในช่วงเทศกาลตรุษจีนก่อนทศวรรษ 1990 พบเจอได้ในใจของผู้คนและแม้กระทั่งในสิ่งที่เรียกกันว่าภาพลวงตาหรือวิมานในอากาศ สรุปแล้ว ฉากทัศน์ดังกล่าวไม่มีอยู่ในชีวิตจริง แน่นอนว่า “จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น” ยังเป็นข้อกำหนดที่ผู้มีศีลธรรมสร้างขึ้นในฐานะหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมอีกด้วย นี่เป็นคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ที่กำหนดว่าก่อนจะลงมือทำอะไร ผู้คนควรคำนึงถึงผู้อื่นก่อนตนเอง พวกเขาควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้อื่นก่อน ไม่ใช่ของตนเอง พวกเขาควรนึกถึงผู้อื่นและเรียนรู้ที่จะเสียสละ—กล่าวคือ พวกเขาต้องละทิ้งผลประโยชน์ ข้อเรียกร้อง ความต้องการ และความทะเยอทะยานของตนเอง และไปไกลถึงขั้นละทิ้งทุกสิ่งที่เป็นของตนและนึกถึงผู้อื่นก่อน ไม่ว่ามนุษย์จะสามารถทำตามข้อกำหนดนี้ได้หรือไม่ ก่อนอื่นก็ต้องถามก่อนว่า ผู้คนที่นำเสนอทัศนะข้อนี้เป็นคนแบบไหน? พวกเขาเข้าใจสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่? พวกเขาเข้าใจสัญชาตญาณและแก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของสิ่งมีชีวิตที่เป็นมนุษย์นี้หรือไม่? พวกเขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ผู้คนที่ประดิษฐ์คำกล่าวนี้ขึ้นมาต้องโง่เขลาอย่างยิ่งถึงได้วางข้อกำหนดที่ไม่อยู่กับความเป็นจริงเรื่องพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นแก่พวกที่เป็นมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัวซึ่งไม่เพียงมีความคิดอ่านและเจตจำนงเสรีเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีอีกด้วย ไม่ว่าผู้คนจะสามารถทำตามข้อกำหนดนี้ได้หรือไม่ เมื่อคำนึงถึงแก่นแท้และสัญชาตญาณของผู้คนในฐานะสิ่งมีชีวิตแล้ว ผู้มีศีลธรรมที่ผลักดันข้อกำหนดนี้ออกมาย่อมไร้มนุษยธรรมอย่างแท้จริง เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาไร้มนุษยธรรม? ยกตัวอย่าง เวลาใครบางคนหิว พวกเขาก็จะรู้สึกถึงความหิวของตนตามสัญชาตญาณและจะไม่คำนึงว่ามีใครอื่นหิวหรือไม่ พวกเขาจะกล่าวว่า “ฉันหิว ฉันอยากกินอะไรสักอย่าง” พวกเขาจะคิดถึง “ฉัน” ก่อน นี่เป็นเรื่องที่ปกติ เป็นธรรมชาติ และเหมาะสม ไม่มีใครที่หิวแล้วจะค้านความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง และถามว่า “คุณอยากกินอะไรบ้าง?” การที่ใครบางคนถามอีกคนว่าอยากกินอะไรตอนที่ตัวเองหิวขึ้นมานั้นเป็นเรื่องปกติหรือไม่? (ไม่) ตกดึกเวลาใครบางคนเหนื่อยและอ่อนล้า พวกเขาก็จะพูดว่า “ฉันเหนื่อย ฉันอยากเข้านอน” ไม่มีใครจะบอกว่า “ฉันเหนื่อย เพราะฉะนั้นคุณเข้านอนและหลับแทนฉันได้ไหม? พอคุณนอนแล้ว ความเหนื่อยของฉันก็ลดลง” ถ้าพวกเขาพูดกันอย่างนี้ก็ย่อมจะผิดปกติมิใช่หรือ? (ใช่) ทุกสิ่งที่ผู้คนสามารถคิดอ่านและทำได้ตามสัญชาตญาณย่อมเป็นไปเพื่อตัวเองทั้งสิ้น ถ้าพวกเขาสามารถดูแลตนเองได้ พวกเขาก็ทำได้ดีมากแล้ว—นี่คือสัญชาตญาณของมนุษย์ ถ้าเจ้าสามารถใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาตนเองได้ ไปถึงจุดที่เจ้าสามารถดำรงชีวิตและรับมือเรื่องต่างๆ ด้วยตนเองได้ ดูแลตัวเองได้ รู้จักไปหาหมอเวลาเจ้าป่วย เข้าใจว่าจะพักฟื้นจากอาการเจ็บป่วยอย่างไร และรู้ว่าจะแก้ปัญหาและความยุ่งยากทั้งปวงที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างไร เช่นนั้นเจ้าก็ทำได้ดีมากแล้ว อย่างไรก็ดี การพลีอุทิศผลประโยชน์ของเจ้าเพื่อผู้อื่นกำหนดให้เจ้าต้องละทิ้งเรื่องที่เจ้าจำเป็นต้องทำเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ไม่ทำอะไรเพื่อตนเอง แต่ให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้อื่นและทำทุกสิ่งเพื่อผู้อื่นเสียก่อน—นี่ย่อมไร้มนุษยธรรมมิใช่หรือ? ตามที่เรามอง เรื่องนี้ลิดรอนสิทธิ์ในการใช้ชีวิตของผู้คนอย่างที่สุด เรื่องพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตคือสิ่งที่เจ้าควรจัดการด้วยตนเอง ดังนั้น เหตุใดผู้อื่นจึงควรเสียสละผลประโยชน์ของตนเพื่อทำและจัดการสิ่งเหล่านี้ให้เจ้า? นั่นจะทำให้เจ้าเป็นคนเช่นไร? จะว่าไป เจ้าบกพร่องทางสติปัญญา พิการ หรือเป็นสัตว์เลี้ยงกระนั้นหรือ? ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้คนควรทำตามสัญชาตญาณ—ทำไมผู้อื่นถึงควรละทิ้งสิ่งที่พวกเขาพึงทำและเสียสละแรงกำลังของตนมาทำสิ่งเหล่านี้ให้เจ้า? นั่นเหมาะสมหรือไม่? ข้อกำหนดที่ให้พลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นนี้เป็นเพียงการพูดจาใหญ่โตบางอย่างเท่านั้นมิใช่หรือ? (ใช่) การพูดจาแบบนี้ฟังดูเป็นเช่นไร แล้วเกิดจากอะไร? เกิดจากการที่คนที่เรียกกันว่าผู้มีศีลธรรมเหล่านี้ไม่เข้าใจสัญชาตญาณ ความต้องการ และแก่นแท้ของมนุษย์แม้แต่น้อย และเกิดจากความกระตือรือร้นของพวกเขาที่จะคุยโวว่าตนนั้นเหนือกว่าผู้อื่นทางด้านศีลธรรมมิใช่หรือ? (ใช่) นี่ไร้มนุษยธรรมใช่หรือไม่? (ใช่) ถ้าทุกคนพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะจัดการกิจธุระของตนเองกันอย่างไร? แท้จริงแล้วเจ้ามองว่าผู้อื่นพิการ จัดการชีวิตของตนเองไม่ได้ เป็นคนไม่มีสมอง บกพร่องทางสติปัญญา หรือโง่เขลากันหมดกระนั้นหรือ? ถ้าเจ้าไม่ได้มองอย่างนั้น เช่นนั้นแล้วทำไมเจ้าต้องพลีอุทิศผลประโยชน์ของเจ้าเพื่อผู้อื่น และเรียกร้องให้ผู้อื่นทิ้งประโยชน์ของตนเพื่อเจ้า? แม้กระทั่งคนพิการบางคนก็ไม่อยากให้ผู้อื่นยื่นมือเข้าไปช่วยตน แต่อยากจัดการและทำมาหาเลี้ยงชีวิตของตนเองแทน—พวกเขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาจ่ายราคาเพิ่มขึ้นให้แก่พวกเขาหรือมอบความช่วยเหลือเพิ่มเติมแต่อย่างใด พวกเขาอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม นี่คือวิธีที่พวกเขาจะรักษาศักดิ์ศรีของตนเอาไว้ สิ่งที่พวกเขาต้องการจากผู้อื่นคือการให้เกียรติ ไม่ใช่ความเห็นใจและสงสาร ส่วนผู้ที่สามารถดูแลตนเองได้ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้เข้าไปใหญ่ จริงไหม? ดังนั้นข้อกำหนดที่ให้พลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นนี้จึงฟังไม่ขึ้นในทัศนะของเรา มันฝืนสัญชาตญาณและสำนึกในมโนธรรมของมนุษย์ และอย่างน้อยที่สุดก็ไร้มนุษยธรรม ต่อให้มีจุดมุ่งหมายเป็นการดำรงบรรทัดฐานทางสังคม ความสงบเรียบร้อยโดยรวม และสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างบุคคล ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียกร้องในลักษณะที่ไม่สมเหตุสมผลและไร้มนุษยธรรมอย่างนี้ว่า ทุกคนต้องค้านเจตจำนงของตนและใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่น ถ้าผู้คนใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่นและไม่ใช่เพื่อตัวเอง นั่นย่อมจะบิดเบี้ยวและผิดปกติอยู่บ้างมิใช่หรือ?
ข้อกำหนดให้พลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นนี้ใช้ได้กับรูปการณ์ใดบ้าง? รูปการณ์อย่างหนึ่งก็คือเมื่อพ่อแม่ทำเพื่อลูกๆ ของตน นี่น่าจะทำกันในระยะเวลาที่จำกัดเท่านั้น ก่อนที่ลูกๆ จะโตเป็นผู้ใหญ่ พ่อแม่ก็ควรดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด การที่จะเลี้ยงดูลูกๆ ให้เติบใหญ่และให้แน่ใจว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่มีสุขภาพดี มีความสุข และเบิกบานนั้น พ่อแม่ย่อมเสียสละวัยหนุ่มสาวของตน ทุ่มเทกำลังวังชา วางมือจากความรื่นเริงหรรษาทางเนื้อหนัง และถึงกับเสียสละอาชีพการงานและงานอดิเรกของตนด้วย พวกเขาทำทุกอย่างนี้เพื่อลูกๆ ของตน นี่คือความรับผิดชอบ ทำไมพ่อแม่ถึงต้องลุล่วงความรับผิดชอบนี้? เพราะพ่อแม่ทุกคนมีภาระหน้าที่ที่จะต้องเลี้ยงดูฟูมฟักลูกๆ ของตน เป็นความรับผิดชอบที่พวกเขามิอาจบ่ายเบี่ยงได้ อย่างไรก็ดี ผู้คนไม่มีภาระหน้าที่เช่นนี้ต่อสังคมและมวลมนุษย์ ถ้าเจ้าเอาใจใส่ดูแลตนเอง ไม่ก่อปัญหา และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เช่นนั้นเจ้าก็ทำได้ดีมากแล้ว ยังมีรูปการณ์อีกแบบหนึ่งที่ผู้คนซึ่งบกพร่องทางกายไม่สามารถดูแลตัวเองได้และต้องให้พ่อแม่ พี่น้อง และแม้กระทั่งองค์การสังคมสงเคราะห์มาช่วยเหลือเกื้อกูลในชีวิตของพวกเขาและช่วยให้พวกเขาอยู่รอด รูปการณ์พิเศษอีกแบบก็คือเมื่อผู้คนหรือภูมิภาคต่างๆ ประสบภัยธรรมชาติ และไม่สามารถอยู่รอดได้หากไม่มีการบรรเทาทุกข์ฉุกเฉิน นี่คือกรณีที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น มีรูปการณ์อื่นๆ นอกจากนี้ที่ผู้คนควรพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นอีกหรือไม่? อาจจะไม่มี สังคมในชีวิตจริงมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด และถ้าใครไม่เค้นพลังสมองคิดจนหยดสุดท้ายเพื่อที่จะทำงานของตนให้ดี ก็ยากที่จะผ่านไปได้ ยากที่จะอยู่รอด มวลมนุษย์ไม่สามารถพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นได้ ถ้าพวกเขาแน่ใจได้ว่าตัวเองจะอยู่รอดและไม่ล่วงล้ำผลประโยชน์ของผู้อื่น นั่นก็ดีมากแล้ว อันที่จริง ความขัดแย้งและการฆ่าล้างแค้นที่มวลมนุษย์ทำอยู่ท่ามกลางบริบททางสังคมและรูปการณ์ในชีวิตจริงนี้สะท้อนให้เห็นโฉมหน้าอันแท้จริงของพวกเขาอย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้นด้วยซ้ำ ในงานแข่งกีฬาต่างๆ เจ้าย่อมมองเห็นว่าเมื่อนักกรีฑาใช้แรงกำลังทุกหยาดหยดของตนเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนคือใครและได้ชัยชนะในที่สุด ก็ย่อมจะไม่มีพวกเขาคนไหนกล่าวว่า “ฉันไม่อยากได้ตำแหน่งชนะเลิศ ฉันว่าคุณควรได้มันไว้” ไม่มีวันที่ใครจะทำเช่นนั้น การแข่งขันเพื่อเป็นที่หนึ่ง เป็นเลิศ และเป็นสุดยอดคือสัญชาตญาณของผู้คน ในความเป็นจริง ผู้คนก็แค่ไม่สามารถพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นได้ ตามสัญชาตญาณของมนุษย์ย่อมไม่มีความต้องการหรือเจตจำนงที่จะพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นเช่นนี้ เมื่อพิจารณาแก่นแท้และธรรมชาติของมนุษย์แล้ว เขามีแต่จะสามารถทำและจะลงมือทำก็เพื่อตัวเขาเองเท่านั้น ถ้าคนคนหนึ่งกระทำการเพื่อผลประโยชน์ของตน และระหว่างที่ทำเช่นนั้นก็สามารถเลือกใช้เส้นทางที่ถูกต้อง นี่ย่อมเป็นเรื่องดี และคนคนนี้ก็นับได้ว่าเป็นสิ่งทรงสร้างที่ดีงามในหมู่มนุษย์ เวลากระทำการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ถ้าเจ้าสามารถเลือกใช้เส้นทางที่ถูกต้อง ไล่ตามเสาะหาความจริงและสิ่งที่เป็นบวก และมีอิทธิพลต่อผู้คนรอบตัวเจ้าในทางที่เป็นบวก เจ้าก็ทำได้ดีมากแล้ว การส่งเสริมและผลักดันให้แนวคิดเรื่องการพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นรุดหน้านี้เป็นแต่เพียงการพูดจาใหญ่โตเท่านั้น ไม่ได้สอดคล้องกับความต้องการของมนุษย์ และยิ่งไม่สอดคล้องกับสภาวะของมวลมนุษย์ในปัจจุบัน แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าข้อกำหนดให้พลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงและไร้มนุษยธรรม แต่ข้อกำหนดนี้ก็ยังคงมีที่ทางสักแห่งอยู่ลึกๆ ในหัวใจของผู้คน และความคิดอ่านของพวกเขาก็ยังคงถูกมันครอบงำและตีตรวนเอาไว้ในระดับต่างๆ กัน เมื่อผู้คนกระทำการเพื่อตนเองเท่านั้น ไม่ทำเพื่อผู้อื่น ไม่ช่วยเหลือผู้อื่น หรือไม่นึกถึงผู้อื่นหรือแสดงให้เห็นว่าคำนึงถึงผู้อื่น พวกเขาก็มักจะรู้สึกอยู่ในใจว่าถูกกล่าวโทษ พวกเขารู้สึกถึงความกดดันที่มองไม่เห็นและบางครั้งก็ถึงกับรู้สึกว่ามีสายตาวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่นคอยจับจ้องตนอยู่ ความรู้สึกแบบนี้เกิดจากอิทธิพลของคตินิยมดั้งเดิมทางศีลธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในหัวใจของพวกเขาทั้งสิ้น พวกเจ้าเคยถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมที่กำหนดว่าเจ้าต้องพลีอุทิศผลประโยชน์ของเจ้าเองเพื่อผู้อื่นนี้ครอบงำในระดับต่างๆ กันด้วยหรือไม่? (เคย) ผู้คนมากมายยังคงเห็นชอบกับข้อกำหนดทั้งหลายที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมี และถ้าใครบางคนสามารถยึดปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ได้ ผู้คนก็จะมองพวกเขาในทางที่ดี และจะไม่มีใครตำหนิหรือคัดค้านพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะทำตามข้อกำหนดเหล่านี้ไปกี่ข้อก็ตาม ถ้าใครบางคนเห็นคนคนหนึ่งจ้องดูใครอีกคนล้มลงตรงถนนและไม่เข้าไปช่วยพยุงขึ้นมา ทุกคนก็จะไม่พอใจในตัวคนคนนั้น และกล่าวว่าคนคนนั้นช่างไม่มีมนุษยธรรม นี่แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานที่วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดและนำมาใช้กับมนุษย์นั้นมีที่ทางบางอย่างอยู่ในหัวใจของผู้คน ดังนั้นถ้าประเมินคนคนหนึ่งตามสิ่งที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่? ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงจะไม่มีวันสามารถเข้าใจประเด็นนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง อาจกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์มานานหลายพันปี แต่สัมฤทธิ์ผลอะไรอย่างแท้จริงบ้าง? เปลี่ยนแปลงทัศนคติทางจิตวิญญาณของมวลมนุษย์ไปบ้างหรือไม่? พาให้สังคมมีอารยะและก้าวหน้าบ้างหรือไม่? แก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัยโดยรวมในสังคมบ้างหรือไม่? เคยอบรมสั่งสอนมวลมนุษย์ได้สำเร็จบ้างหรือไม่? วัฒนธรรมดั้งเดิมไม่เคยแก้ไขเรื่องเหล่านี้เลย วัฒนธรรมดั้งเดิมไม่เคยมีประสิทธิผลอะไรเลย ดังนั้นพวกเราก็สามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่ามาตรฐานที่วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดและใช้กับมนุษย์นั้นไม่อาจถือเป็นหลักเกณฑ์ได้—เป็นแต่เพียงเครื่องจองจำที่หมายจะมัดมือมัดเท้าผู้คน ควบคุมความคิดอ่าน และกำกับพฤติกรรมของพวกเขาเท่านั้น มาตรฐานเหล่านี้ส่งผลให้มนุษย์ประพฤติตัวดี ทำตามกฎเกณฑ์ มีสภาพคล้ายมนุษย์ เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ และรู้จักเคารพอาวุโสไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็ตาม มาตรฐานเหล่านี้ส่งผลให้คนไม่ทำให้ผู้อื่นไม่พอใจด้วยการทำตัวไร้เดียงสาและไม่สุภาพ อย่างมากมาตรฐานทั้งหมดนี้ก็ได้แต่ทำให้ผู้คนดูดีและดูมีการอบรมขึ้นมาบ้าง—ในความเป็นจริงแล้ว นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับแก่นแท้ของผู้คน และเพียงแต่ดีพอที่จะได้รับความเห็นชอบชั่วขณะจากผู้อื่นและตอบสนองความไม่เป็นแก่นสารของคนเราเท่านั้น เจ้าย่อมรู้สึกปลาบปลื้มมากเมื่อผู้คนบอกเจ้าว่าเจ้าเป็นคนดีเหลือเกินที่วิ่งทำธุระให้พวกเขา เมื่อเจ้าแสดงให้เห็นว่าเจ้าสามารถเอาใจใส่ดูแลผู้เยาว์และผู้สูงอายุได้ด้วยการยกที่นั่งของเจ้าให้แก่พวกเขาบนรถโดยสาร และผู้อื่นก็บอกว่าเจ้าช่างเป็นเด็กดี เจ้าคืออนาคตของชาติ เจ้าก็รู้สึกปลาบปลื้มเช่นกัน เจ้าปลาบปลื้มอีกด้วยเมื่อเจ้าเข้าแถวซื้อบัตรและยอมให้ใครบางคนข้างหลังเจ้าซื้อบัตรของพวกเขาก่อน และผู้อื่นก็สรรเสริญเจ้าว่ามีน้ำใจนึกถึงผู้อื่น หลังจากทำตามกฎเกณฑ์ไม่กี่ข้อและแสดงพฤติกรรมอันดีงามให้เห็นบ้างแล้ว เจ้าก็รู้สึกว่าเจ้านั้นมีลักษณะนิสัยอันประเสริฐ ถ้าเจ้าเชื่อว่าเจ้ามีสถานะสูงส่งกว่าผู้อื่นหลังการทำความดีไม่กี่อย่างแบบครั้งเดียวจบ—นี่ย่อมโง่เขลามิใช่หรือ? ความโง่เขลาแบบนี้สามารถทำให้เจ้าสูญเสียหนทางและเหตุผลของตน ไม่คุ้มเลยที่จะใช้เวลามากเกินไปในการสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ให้พลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นนี้ ปัญหาที่เชื่อมโยงกับคำกล่าวนี้ใช้วิจารณญาณแยกแยะได้ง่ายพอสมควร เพราะมันทำให้สภาวะความเป็นมนุษย์ ลักษณะนิสัย และศักดิ์ศรีของผู้คนผิดเพี้ยนและบิดเบี้ยวอย่างมากทีเดียว ทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่ยิ่งไม่จริงใจ ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง หลงตัวเอง และรู้น้อยลงไปอีกว่าตนควรใช้ชีวิตอย่างไร จะดูผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายในชีวิตจริงออกได้อย่างไร และจะจัดการปัญหาต่างๆ ที่เกิดกับตนในชีวิตจริงได้อย่างไร ผู้คนทำได้เพียงให้ความช่วยเหลือบางอย่างและบรรเทาความวิตกกังวลและปัญหาให้ผู้อื่นเท่านั้น แต่กลับหลงทิศเรื่องเส้นทางชีวิตที่ตนควรใช้ ถูกซาตานบงการ และกลายเป็นที่เย้ยหยันของมัน—นี่คือเครื่องหมายของความอัปยศมิใช่หรือ? ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่เรียกกันว่ามาตรฐานทางศีลธรรมเรื่องการพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่นนี้ก็เป็นคำกล่าวที่ไม่จริงใจและผิดประหลาด แน่นอนว่าในแง่นี้ พระเจ้าทรงกำหนดแต่เพียงว่าให้มนุษย์ลุล่วงภาระผูกพัน ความรับผิดชอบ และหน้าที่ที่พวกเขาได้รับมอบหมายเท่านั้น ให้พวกเขาไม่ทำร้าย ทำอันตราย หรือสร้างความเสียหายแก่ผู้คน ให้พวกเขากระทำการในลักษณะที่สามารถสร้างประโยชน์และเป็นผลดีต่อผู้อื่น—นั่นย่อมดีพอแล้ว พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้ผู้คนมีความรับผิดชอบหรือภาระผูกพันมากขึ้น ถ้าเจ้าสามารถลุล่วงงาน หน้าที่ ภาระผูกพัน และความรับผิดชอบทั้งหมดของเจ้าได้ เจ้าก็ทำได้ดีแล้ว—เช่นนี้ย่อมง่ายมิใช่หรือ? (ใช่) นี่ทำให้สำเร็จลุล่วงได้ง่าย ในเมื่อง่ายขนาดนี้และทุกคนก็เข้าใจเรื่องนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสามัคคีธรรมเรื่องนี้ให้ละเอียดขึ้น
ถัดไป เราจะอภิปรายถึงคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” ถ้อยแถลงนี้แตกต่างจากมาตรฐานอื่นๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่กำหนดไว้ตรงที่มาตรฐานข้อนี้มุ่งไปที่ผู้หญิงโดยเฉพาะ “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” เป็นข้อกำหนดที่ไร้มนุษยธรรมและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงซึ่งคนที่เรียกกันว่าผู้มีศีลธรรมเสนอแนะเอาไว้เกี่ยวกับผู้หญิง ทำไมเราถึงกล่าวเช่นนี้? มาตรฐานข้อนี้กำหนดให้ผู้หญิงทุกคนไม่ว่าจะเป็นลูกสาวหรือภรรยา ต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม พวกเธอต้องมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแบบนี้และมีลักษณะนิสัยทางศีลธรรมเช่นนี้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นหญิงดีที่น่านับถือ นี่บอกผู้ชายเป็นนัยว่าผู้หญิงต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม ส่วนผู้ชายไม่ต้อง—ผู้ชายไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรมหรือมีเมตตา และยิ่งไม่จำเป็นต้องอ่อนโยนหรือมีศีลธรรม แล้วผู้ชายต้องทำอะไร? ถ้าภรรยาของพวกเขาล้มเหลวในการมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม พวกเขาก็สามารถหย่าหรือทอดทิ้งพวกเธอได้ ถ้าผู้ชายไม่อาจทนทอดทิ้งภรรยาของตนได้ เขาควรทำเช่นไร? เขาก็ควรเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นหญิงที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม—นี่คือความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของเขา ความรับผิดชอบที่ชายมีต่อสังคมก็คือการดูแล ชี้แนะ และกำกับผู้หญิงอย่างเข้มงวด พวกเขาต้องสวมบทผู้บังคับบัญชาของพวกเขาเองให้เต็มที่ ต้องข่มผู้หญิงที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมเอาไว้ ทำหน้าที่เป็นเจ้านายและหัวหน้าครอบครัวของพวกเธอ และต้องแน่ใจว่าผู้หญิงทำสิ่งที่พวกเธอพึงทำและลุล่วงภาระหน้าที่ที่ถูกควรของตน ในทางกลับกัน ผู้ชายไม่จำเป็นต้องมีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแบบนี้—สำหรับกฎเกณฑ์ข้อนี้ พวกเขาเป็นข้อยกเว้น ในเมื่อผู้ชายเป็นข้อยกเว้นสำหรับกฎเกณฑ์ข้อนี้ คำกล่าวอ้างด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้จึงเป็นเพียงมาตรฐานที่ผู้ชายสามารถใช้ตัดสินผู้หญิงเท่านั้น นั่นคือ เมื่อชายอยากแต่งงานกับหญิงที่มีการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรม เขาควรวินิจฉัยผู้หญิงอย่างไร? เขาได้แต่ระบุว่าหญิงนั้นมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมหรือไม่ ถ้าเธอมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม เขาก็สามารถแต่งงานกับเธอได้—ถ้าเธอไม่ได้เป็นอย่างนั้น เช่นนั้นแล้วเขาก็ไม่ควรแต่งงานกับเธอ ถ้าเขาจะแต่งงานกับหญิงคนดังกล่าว ผู้อื่นก็จะดูแคลนเธอและถึงกับกล่าวว่าเธอไม่ใช่คนดี แล้วผู้มีศีลธรรมกล่าวว่าผู้หญิงต้องทำตามข้อกำหนดข้อใดเป็นการเฉพาะบ้างจึงจะได้ชื่อว่ามีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม? คำวิเศษณ์เหล่านี้มีความหมายอะไรโดยเฉพาะบ้างหรือไม่? มีความหมายมากมายอยู่เบื้องหลังคำทั้งสี่อันได้แก่ “มีคุณธรรม” “มีเมตตา” “อ่อนโยน” และ “มีศีลธรรม” และลักษณะเหล่านี้ก็ไม่มีสักอย่างเดียวที่ใครๆ จะทำตามได้โดยง่าย ไม่มีผู้ชายหรือปัญญาชนคนใดจะสามารถทำตามลักษณะเหล่านี้ได้ กระนั้นพวกเขาก็กำหนดให้ผู้หญิงทั่วไปทำเช่นนี้—นี่ไม่เป็นธรรมกับผู้หญิงอย่างยิ่ง แล้วพฤติกรรมพื้นฐานและรูปแบบจำเพาะที่เป็นการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ผู้หญิงต้องแสดงให้เห็นเพื่อที่จะได้ชื่อว่ามีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมนั้นมีอะไรบ้าง? ก่อนอื่นเลยผู้หญิงต้องไม่ก้าวเท้าออกจากห้องส่วนตัวของตนภายในบ้าน และต้องมัดเท้าให้มีความยาวประมาณสี่นิ้ว ซึ่งสั้นกว่าความยาวของมือเด็กเล็ก นี่คือการควบคุมผู้หญิงให้แน่ใจว่าพวกเธอจะไปที่ไหนตามความพอใจไม่ได้ ก่อนแต่งงาน ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องส่วนตัวภายในบ้านของตน ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในห้องด้านในซึ่งถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก และต้องไม่ให้ผู้คนทั่วไปเห็นใบหน้าของตน ถ้าพวกเธอสามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเธอก็มีลักษณะทางศีลธรรมของหญิงโสดที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม หลังการแต่งงาน ผู้หญิงต้องแสดงความกตัญญูโดยเชื่อฟังพ่อแม่สามี และปฏิบัติต่อญาติพี่น้องคนอื่นๆ ของสามีอย่างมีน้ำใจ ไม่ว่าครอบครัวของสามีจะปฏิบัติต่อเธอหรือทารุณเธออย่างไร เธอก็ต้องทนรับความทุกข์ยากและการวิพากษ์วิจารณ์เอาไว้เหมือนม้างานที่สัตย์ซื่อ ไม่เพียงเธอต้องรับใช้สมาชิกทุกคนในครอบครัวทั้งที่มีอายุน้อยและมากเท่านั้น แต่เธอยังต้องคลอดลูกเพื่อสืบเชื้อสายบรรพชนอีกด้วย และต้องทำทั้งหมดนั้นโดยไม่มีการพร่ำบ่นแม้แต่น้อย ไม่ว่าเธอจะถูกทุบตีหรือทนทุกข์มากเท่าใดกับความไม่เป็นธรรมจากน้ำมือของพ่อแม่สามี และไม่ว่าเธอจะเหนื่อยล้าและต้องทำงานหนักเพียงใด เธอก็ไม่มีวันสามารถบ่นเรื่องใดให้สามีฟังได้ ไม่ว่าเธอจะถูกพ่อแม่สามีกลั่นแกล้งเพียงใด เธอก็ไม่สามารถบอกให้คนนอกบ้านรู้และไม่อาจติฉินนินทาครอบครัวนั้นได้ ไม่ว่าเธอจะถูกกระทำเช่นไร เธอก็ไม่สามารถเอ่ยปากและต้องกล้ำกลืนคำสบประมาทและการดูหมิ่นเหยียดหยามเอาไว้เงียบๆ เธอไม่เพียงต้องทนรับความทุกข์ยากและการวิพากษ์วิจารณ์เอาไว้เท่านั้น แต่เธอยังต้องเรียนรู้ที่จะยอมจำนนต่อการกดขี่ สะกดกลั้นความขุ่นเคืองเอาไว้ สู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยาม และทนรับภาระที่ตนรับผิดชอบแต่โดยดีอีกด้วย—เธอต้องเรียนรู้ศิลปะของการอดทนและอดกลั้น ไม่ว่าในมื้อหนึ่งๆ จะมีอาหารอะไรที่เลิศรสก็ตาม เธอก็ต้องให้สมาชิกคนอื่นในครอบครัวกินไปก่อน และเพื่อแสดงความกตัญญูและเชื่อฟัง เธอก็ต้องให้พ่อแม่สามีกินก่อน จากนั้นก็สามีและลูกๆ ของเธอเอง หลังจากที่ทุกคนกินเสร็จและอาหารเลิศรสก็หมดไปแล้ว เธอค่อยถูกทิ้งให้เติมกระเพาะให้เต็มด้วยอาหารอะไรก็ตามที่เหลืออยู่ นอกจากข้อกำหนดที่เราเพิ่งอภิปรายไปแล้ว ในยุคสมัยใหม่ยังมีผู้หญิงที่ถูกคาดหวังให้ “เปล่งประกายทั้งในวงสังคมและในครัว” อีกด้วย ตอนที่เราได้ยินวลีนี้ เราก็นึกสงสัยว่าถ้าผู้หญิงถูกคาดหวังให้เปล่งประกายทั้งในวงสังคมและในครัว แล้วผู้ชายทุกคนกำลังทำอะไรกันอยู่? ผู้หญิงต้องทำอาหารให้ทั้งครอบครัว ทำงานบ้านและดูแลลูกๆ ที่บ้าน ออกไปทำไร่ทำนาและทำงานใช้แรง—พวกเธอต้องดีเลิศทั้งในบ้านและนอกบ้านด้วยการทำงานทั้งหมดนี้ให้สำเร็จ ในทางตรงกันข้าม ผู้ชายแค่ต้องไปทำงาน แล้วก็กลับมาบ้าน ใช้เวลาหาความสำราญตามสบาย และไม่ทำงานอะไรในบ้านเลย ถ้ามีอะไรทำให้พวกเขาโมโหในที่ทำงาน พวกเขาก็เอามาระบายใส่ภรรยาและลูกๆ ของตน—นี่เป็นธรรมหรือไม่? พวกเจ้ามองเห็นอะไรจากเรื่องที่เราพูดมานี้? ไม่มีใครวางข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมให้ผู้ชาย แต่กลับคาดหวังให้ผู้หญิงเปล่งประกายทั้งในวงสังคมและในครัว นอกเหนือจากที่ต้องดำรงลักษณะนิสัยที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมอยู่แล้ว มีผู้หญิงกี่คนที่สามารถทำตามข้อกำหนดดังกล่าวได้? การวางข้อกำหนดกับผู้หญิงเช่นนี้ไม่เป็นธรรมมิใช่หรือ? ถ้าผู้หญิงผิดพลาดแม้แต่น้อย เธอก็จะถูกทุบตี ด่าทอ และอาจจะถึงขั้นถูกสามีของตนทอดทิ้ง ผู้หญิงมีแต่ต้องสู้ทนทั้งหมดนี้เท่านั้น และถ้าพวกเธอรับไม่ไหวอีกต่อไปจริงๆ พวกเธอก็เลือกได้แต่การฆ่าตัวตายเท่านั้น การเจาะจงเรียกร้องเอาจากผู้หญิงอย่างไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ทั้งที่พวกเธอมีร่างกายอ่อนแอกว่า มีอำนาจและความสามารถทางกายน้อยกว่าชาย ออกจะเป็นการกดขี่มิใช่หรือ? ในบรรดาผู้หญิงที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ ถ้าผู้คนเรียกร้องเอาจากพวกเจ้าเช่นนี้ในชีวิตจริง พวกเจ้าจะไม่คิดว่าเกินไปหรอกหรือ? ผู้ชายมีไว้เพื่อควบคุมผู้หญิงจริงหรือ? พวกเขามีอยู่เพื่อเป็นนายทาสของผู้หญิงและไล่ต้อนให้พวกเธอสู้ทนความทุกข์ยากกระนั้นหรือ? เมื่อพิจารณาสภาพการณ์ที่ผิดประหลาดนี้แล้ว พวกเราย่อมจะสรุปได้มิใช่หรือว่าคำกล่าวที่ว่า “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” กำลังส่งผลให้สังคมร้าวฉาน? คำกล่าวนี้ยกชูสถานะของผู้ชายในสังคมอย่างชัดเจน พร้อมกับที่เจตนาลดทอนสถานะของผู้หญิงมิใช่หรือ? ข้อกำหนดนี้ทำให้ชายหญิงเชื่อแน่ว่าฝ่ายหลังมีสถานะและคุณค่าทางสังคมน้อยกว่าชาย แทนที่จะเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้น ผู้หญิงจึงควรมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม ทนทุกข์กับการถูกกระทำ และควรถูกเลือกปฏิบัติ ถูกเหยียดหยาม และถูกลิดรอนสิทธิมนุษยชนในสังคม ในทางตรงกันข้าม กลับเชื่อกันว่าชายควรเป็นหัวหน้าครอบครัวและชอบด้วยเหตุผลที่จะเรียกร้องให้ผู้หญิงมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม นี่คือการเจตนาสร้างความขัดแย้งในสังคมมิใช่หรือ? นี่คือการเจตนาสร้างรอยร้าวในสังคมมิใช่หรือ? หลังจากที่ทนทุกข์กับการถูกกระทำมาอย่างยาวนาน ผู้หญิงบางคนย่อมจะลุกขึ้นมาขบถมิใช่หรือ? (ใช่) ที่ใดก็ตามที่มีความอยุติธรรมเกิดขึ้น ย่อมจะมีการขบถ คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้เป็นธรรมและยุติธรรมต่อผู้หญิงหรือไม่? อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เป็นธรรมและไม่ยุติธรรมต่อผู้หญิง—เพียงแต่ทำให้ชายมีอิสระที่จะกระทำการอย่างไร้ยางอายมากขึ้นอีกเท่านั้น ทำให้สังคมแตกแยก เพิ่มสถานะในสังคมให้ผู้ชาย และลดทอนสถานะของผู้หญิง พลางลิดรอนสิทธิ์ในการดำรงอยู่ของผู้หญิงมากขึ้นอีก และทำให้ความไม่เท่าเทียมกันด้านสถานะของชายหญิงในสังคมหนักข้อยิ่งขึ้นอย่างแยบยล เราสามารถสรุปบทบาทของผู้หญิงในบ้านและในสังคมโดยรวม รวมทั้งการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมแบบที่พวกเธอแสดงออกมาได้ด้วยคำคำเดียวคือ กระสอบทราย คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” กำหนดให้ผู้หญิงเคารพผู้อาวุโสในครอบครัว รักและเอาใจใส่สมาชิกครอบครัวที่อ่อนอาวุโสกว่า นอบน้อมต่อสามีของตนเป็นพิเศษ และคอยรับใช้สามีในทุกเรื่อง พวกเธอต้องจัดการธุระทั้งปวงของครอบครัวทั้งในและนอกบ้าน และไม่ว่าจะสู้ทนความทุกข์ยากมากมายเพียงใด พวกเธอก็จะปริปากบ่นไม่ได้เป็นอันขาด—นี่คือการลิดรอนสิทธิ์ของผู้หญิงมิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือการลิดรอนอิสรภาพ สิทธิ์ในการพูดอย่างเสรี และสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ของผู้หญิง การลิดรอนสิทธิ์ทั้งหมดของผู้หญิงและยังคงเรียกร้องให้พวกเธอลุล่วงความรับผิดชอบของตนนี้มีมนุษยธรรมหรือไม่? นี่เท่ากับเป็นการเหยียบย่ำผู้หญิงและสร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกเธอ!
เห็นได้ชัดเจนทีเดียวว่าผู้มีศีลธรรมทั้งหลายที่บังคับใช้ข้อกำหนดนี้กับผู้หญิงและสร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกเธอไปพร้อมกันนั้นเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง ผู้หญิงจะไม่เลือกเหยียบย่ำผู้หญิงด้วยกัน ดังนั้น นี่จึงเป็นผลงานของผู้ชายอย่างแน่นอน พวกเขากังวลว่าถ้าผู้หญิงมีความสามารถมากเกินไป มีอำนาจมากเกินไป และมีอิสระมากเกินไป พวกเธอก็จะทัดเทียมชาย เว้นเสียแต่ว่าพวกเธอจะตกอยู่ภายใต้การกำกับและควบคุมอย่างเข้มงวด หญิงที่มีความสามารถย่อมจะค่อยๆ มีสถานะสูงกว่าชาย เลิกทำหน้าที่ของตนในบ้านเรือน และนี่—พวกเขาเชื่อว่า—จะส่งผลต่อความกลมเกลียวในครอบครัว ถ้าแต่ละบ้านไม่มีความกลมเกลียว เช่นนั้นแล้วสังคมโดยรวมก็จะไม่สมัครสมาน และสำหรับนักปกครองประเทศแล้ว นี่คือเรื่องที่น่าเป็นห่วง เจ้าจงดูเอาเถิด ไม่ว่าพวกเราจะเสวนากันเรื่องอะไร บทสนทนาก็ดูเหมือนจะกลับมาที่ชนชั้นปกครองอยู่ร่ำไป พวกเขาเก็บงำเจตนาอันชั่วและอยากจัดการผู้หญิง แล้วก็ลงมือเล่นงานพวกเธอ—เรื่องนี้จึงไร้มนุษยธรรม พวกเขากำหนดว่าไม่ว่าจะในบ้านหรือในสังคมโดยรวม ผู้หญิงก็ต้องเชื่อฟังทุกอย่าง ยอมจำนนต่อการกดขี่แต่โดยดี ถ่อมตัวและด้อยค่าตนเอง กล้ำกลืนคำสบประมาททั้งปวง ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล สุภาพอ่อนโยนและนึกถึงผู้อื่น อดทนต่อความทุกข์ยากและการวิพากษ์วิจารณ์ เป็นต้น ชัดเจนว่าพวกเขาเอาแต่คาดหวังให้ผู้หญิงเป็นเหมือนกระสอบทรายและพรมเช็ดเท้าเท่านั้น—ถ้าพวกเธอต้องทำทั้งหมดนี้ พวกเธอจะยังคงเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ? ถ้าพวกเธอสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งปวงนี้ได้จริง พวกเธอก็ย่อมจะไม่ใช่มนุษย์ และจะเป็นเหมือนรูปเคารพที่ไม่กินหรือดื่มซึ่งผู้ไม่เชื่อพากันบูชา เฉยเมยต่อความห่วงใยในวัตถุทางโลก ไม่เคยโกรธ และไม่มีบุคลิกภาพ หรือพวกเธออาจจะเป็นเหมือนหุ่นเชิดหรือเครื่องจักรที่ไม่คิดอ่านหรือมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างเป็นอิสระ ใครก็ตามที่เป็นคนจริงๆ ย่อมจะมีความคิดเห็นและมุมมองเกี่ยวกับคำกล่าวและข้อห้ามทั้งหลายของโลกภายนอก—เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมจำนนต่อการกดขี่ทั้งปวงแต่โดยดีได้ นี่คือสาเหตุที่การเคลื่อนไหวด้านสิทธิ์ของผู้หญิงเกิดขึ้นในยุคสมัยใหม่ตลอดมา สถานะของผู้หญิงในสังคมค่อยๆ กระเตื้องขึ้นในช่วงร้อยกว่าปีมานี้ และในที่สุดพวกเธอก็เป็นอิสระจากโซ่ตรวนที่เคยพันธนาการพวกเธอเอาไว้ ผู้หญิงถูกพันธนาการไว้เช่นนี้อยู่นานกี่ปี? ในเอเชียตะวันออก พวกเธอถูกทำให้สยบยอมมาอย่างน้อยก็หลายพันปีแล้ว พันธนาการเช่นนี้อำมหิตและโหดร้ายมาก—เท้าของพวกเธอถูกมัดจนเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ และไม่มีใครเคยปกป้องผู้หญิงเหล่านี้จากความอยุติธรรมเลย เราได้ฟังมาว่าในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 บางประเทศและบางภูมิภาคในโลกตะวันตกก็ใช้ข้อห้ามบางอย่างมาจำกัดอิสรภาพของผู้หญิงเช่นกัน พวกเขาควบคุมผู้หญิงกันอย่างไรในสมัยนั้น? พวกเขาให้ผู้หญิงใส่กระโปรงสุ่มที่สวมเข้ากับเอวด้วยขอเกี่ยวที่เป็นโลหะ และใช้วงโลหะที่หนักและห้อยไหวไปมาคอยประคองให้อยู่ทรง นี่ทำให้ผู้หญิงไม่สะดวกอย่างยิ่งที่จะออกจากบ้านหรือเดินไปไหนมาไหน และลดทอนความสามารถในการเคลื่อนไหวของพวกเธอเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นผู้หญิงจึงพบว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะเดินให้ไกลขึ้นหรือออกจากบ้านของตน ในรูปการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ผู้หญิงทำอย่างไร? สิ่งที่พวกเธอทำได้มีแต่ยินยอมเงียบๆ ยอมอยู่กับบ้าน และไม่สามารถเดินให้ไกลขึ้นได้ การออกไปเดินข้างนอกให้ทั่ว ชมสถานที่ที่น่าสนใจ เปิดหูเปิดตา หรือเยี่ยมเยียนเพื่อนๆ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นี่คือวิธีการควบคุมผู้หญิงที่เคยใช้กันอยู่ในสังคมตะวันตก—สังคมไม่ต้องการให้ผู้หญิงออกนอกบ้านและพบเจอใครก็ตามที่พวกเธออยากเจอ ในสมัยนั้น ผู้ชายสามารถนั่งรถม้าไปที่ใดก็ได้ตามต้องการโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ แต่ผู้หญิงต้องมีข้อห้ามสารพัดชนิดเวลาออกจากบ้าน ในยุคสมัยใหม่ ผู้หญิงมีข้อห้ามน้อยลงทุกทีแล้วในตอนนี้ กล่าวคือ การมัดเท้ากลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายไปแล้ว และหญิงเอเชียก็มีอิสระที่จะเลือกคนที่ตนอยากคบหาดูใจด้วย ผู้หญิงสมัยนี้ค่อนข้างเสรีและค่อยๆ ออกมาจากเงื้อมเงาแห่งพันธนาการ ขณะที่พวกเธอออกมาจากเงื้อมเงานี้ พวกเธอก็เข้าสังคมและค่อยๆ เริ่มรับผิดชอบส่วนที่สมควรเป็นของตน ผู้หญิงสัมฤทธิ์สถานะที่ค่อนข้างสูงในสังคมแล้ว มีสิทธิ์และได้รับประโยชน์พิเศษมากกว่าแต่ก่อน ในบางประเทศก็เริ่มมีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีที่เป็นหญิงกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป การที่ผู้หญิงค่อยๆ มีสถานะมากขึ้นเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีสำหรับมนุษยชาติ? อย่างน้อยที่สุด การมีสถานะมากขึ้นนี้ก็เปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีอิสระและเสรีอยู่บ้าง—แน่นอนว่าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงนั้น นี่ย่อมเป็นเรื่องดี แล้วการที่ผู้หญิงมีอิสระและมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นของตนเป็นผลดีต่อสังคมหรือไม่? แท้จริงแล้วนี่เป็นผลดี บังเอิญว่าผู้หญิงสามารถทำสิ่งต่างๆ มากมายที่ผู้ชายทำได้ไม่ดีหรือไม่ก็ไม่อยากทำ ผู้หญิงเป็นเลิศในสายงานมากมาย ทุกวันนี้ผู้หญิงไม่เพียงสามารถขับรถได้ แต่ยังสามารถขับเครื่องบินได้อีกด้วย นอกจากนี้ผู้หญิงบางคนยังทำงานเป็นเจ้าหน้าที่หรือประธานาธิบดีที่ดูแลบริหารกิจการต่างๆ ของชาติ และพวกเธอก็ทำงานของตนได้ดีพอๆ กับผู้ชายเลยทีเดียว—นี่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้หญิงนั้นทัดเทียมผู้ชาย เดี๋ยวนี้สิทธิ์ที่ผู้หญิงควรจะมีก็ได้รับการส่งเสริมและคุ้มครองอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ปกติ แน่นอนว่าย่อมถูกต้องเหมาะสมที่ผู้หญิงควรมีสิทธิ์ของตน แต่หลังจากที่สถานการณ์ถูกทำให้บิดเบี้ยวมาหลายพันปี เรื่องนี้ก็เพิ่งจะกลายเป็นปกติวิสัยกันอีกครั้งในสมัยนี้เท่านั้น และเกิดความเสมอภาคระหว่างชายหญิงกันโดยทั่วไป เมื่อมองในแง่ของชีวิตจริง ผู้หญิงค่อยๆ ปรากฏตัวในทุกชนชั้นของสังคมและในทุกวงการมากขึ้นเรื่อยๆ นี่บอกพวกเราว่าอย่างไร? นี่บอกพวกเราว่าผู้หญิงที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางต่างๆ กันสารพัดอย่างค่อยๆ นำความสามารถพิเศษของตนมาใช้และทำคุณประโยชน์ให้แก่มวลมนุษย์และสังคม ไม่ว่าคนเราจะมองสถานการณ์นี้อย่างไร ก็เป็นผลดีต่อมวลมนุษย์อย่างแน่นอน ถ้าผู้หญิงไม่ได้สิทธิ์และสถานะของตนในสังคมคืนมา พวกเธอจะทำงานแบบใดกันอยู่? พวกเธอย่อมจะอยู่บ้านดูแลสามีและเลี้ยงดูลูกๆ ดูแลกิจธุระภายในบ้าน และประพฤติปฏิบัติตนอย่างมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม—พวกเธอจะไม่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อสังคมได้เลย บัดนี้เมื่อสิทธิ์ของพวกเธอได้รับการส่งเสริมและคุ้มครอง ผู้หญิงก็สามารถทำคุณความดีให้แก่สังคมได้ตามปกติ และมวลมนุษย์ก็ได้ประโยชน์เป็นคุณค่าและคุณูปการที่ผู้หญิงนำมาให้แก่สังคม ตามข้อเท็จจริงนี้ก็ย่อมแน่นอนด้วยประการทั้งปวงว่าชายหญิงเท่าเทียมกัน ชายไม่ควรดูเบาหรือทำไม่ดีกับผู้หญิง และผู้หญิงก็ควรมีสถานภาพทางสังคมที่สูงขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ย่อมบ่งชี้ว่าสังคมพัฒนาดีขึ้น เดี๋ยวนี้มวลมนุษย์เข้าใจเรื่องเพศสภาพกันอย่างถ่องแท้ ถูกต้อง และเป็นระบบมากขึ้น ผลก็คือผู้หญิงเริ่มเข้าไปทำงานที่ผู้คนเคยนึกกันว่าพวกเธอทำไม่ได้ ขณะนี้ไม่เพียงมีการจ้างผู้หญิงเข้าทำงานตามบริษัทเอกชนอยู่บ่อยๆ เท่านั้น แต่การที่ผู้หญิงมีตำแหน่งงานตามแผนกวิจัยทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นกันทั่วไป และสัดส่วนของผู้หญิงที่มีบทบาทเป็นผู้นำของชาติก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน พวกเราทุกคนก็เคยได้ยินเรื่องนักเขียน นักร้อง ผู้ประกอบการ และนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นผู้หญิง ในงานแข่งกีฬาก็มีผู้หญิงมากมายครองตำแหน่งชนะเลิศและรองชนะเลิศ และเมื่อมีสงครามก็มีผู้กล้าที่เป็นหญิงอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้หญิงมีความสามารถพอๆ กับผู้ชายโดยแท้ สัดส่วนของผู้หญิงที่ได้รับการว่าจ้างในแต่ละวงการก็เพิ่มขึ้นและนี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างปกติ ทั่วทุกวงการและสาขาอาชีพในสังคมสมัยใหม่มีอคติต่อผู้หญิงน้อยลงทุกที สังคมเป็นธรรมมากขึ้น และมีความเท่าเทียมระหว่างชายหญิงอย่างแท้จริง ผู้หญิงไม่ถูกตีกรอบและไม่ถูกตัดสินด้วยวลีและหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม เช่น “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” หรือ “สตรีต้องเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง” กันอีกแล้ว เดี๋ยวนี้สิทธิ์ของผู้หญิงได้รับการคุ้มครองมากขึ้น สะท้อนให้เห็นบรรยากาศทางสังคมที่มีความเท่าเทียมทางเพศอย่างแท้จริง
ดูเหมือนพวกเราจะเห็นแต่ผู้ชายกำหนดให้ผู้หญิงมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม แต่พวกเราไม่เคยเห็นผู้หญิงกำหนดให้ผู้ชายเป็นเหมือนกันบ้าง นี่เป็นวิธีปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมกับผู้หญิงอย่างยิ่ง และถึงขั้นเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และไร้ความละอายพอสมควร คนเราอาจกล่าวได้อีกด้วยว่าการปฏิบัติต่อผู้หญิงในลักษณะนี้ผิดกฎหมายและเป็นการทำไม่ดีกับพวกเธอ ในสังคมสมัยใหม่ หลายประเทศออกกฎหมายห้ามทารุณผู้หญิงและเด็กกันแล้ว อันที่จริงพระเจ้าไม่ได้ตรัสสิ่งใดเป็นการเฉพาะในเรื่องเพศสภาพของมวลมนุษย์ เพราะทั้งชายและหญิงคือสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าและเกิดจากพระเจ้า กล่าวด้วยวลีที่มวลมนุษย์พูดกันก็คือ “ทั้งหน้ามือและหลังมือต่างก็เป็นเนื้อหนัง”—พระเจ้าไม่ทรงมีอคติกับชายหรือหญิงโดยเฉพาะ และพระองค์ก็ไม่ทรงมีข้อกำหนดที่แตกต่างออกไปต่อเพศใดเพศหนึ่ง ทั้งสองเพศล้วนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงใช้มาตรฐานเดียวกันซึ่งมีอยู่ไม่กี่ข้อมาพิพากษาเจ้าไม่ว่าเจ้าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม—พระองค์จะทรงดูว่าเจ้ามีสภาวะความเป็นมนุษย์แบบใด เจ้าเดินอยู่บนเส้นทางใด เจ้ามีท่าทีเช่นใดต่อความจริง เจ้ารักความจริงหรือไม่ เจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่ และเจ้าสามารถนบนอบพระองค์หรือไม่ เวลาเลือกใครสักคนและบ่มเพาะให้ทำหน้าที่บางอย่างหรือรับผิดชอบบางเรื่อง พระเจ้าไม่ได้ทรงดูว่าพวกเขาเป็นชายหรือหญิง ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม พระเจ้าก็ทรงส่งเสริมและใช้ผู้คนโดยดูว่าพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่ ขีดความสามารถของพวกเขาใช้ได้หรือไม่ พวกเขายอมรับความจริงหรือไม่ และเดินบนเส้นทางใดอยู่ แน่นอนว่าเวลาช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและทำให้พวกเขาเพียบพร้อม พระเจ้าไม่ได้ทรงหยุดคิดถึงเพศของพวกเขา ถ้าเจ้าเป็นผู้หญิง พระเจ้าก็ไม่ทรงคำนึงว่าเจ้ามีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมหรือไม่ หรือว่าเจ้าประพฤติตัวดีหรือไม่ และพระองค์ก็ไม่ได้ประเมินผู้ชายตามความเป็นชายชาตรีและความเป็นบุรุษเพศ—สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่มาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้ประเมินชายหญิง กระนั้น ในหมู่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามก็มีผู้ที่เลือกปฏิบัติกับผู้หญิงอยู่เสมอ วางข้อกำหนดบางอย่างที่ไร้ศีลธรรมและไร้มนุษยธรรมกับผู้หญิงเพื่อที่จะลิดรอนสิทธิ์ สถานภาพอันถูกต้องชอบธรรมทางสังคม และคุณค่าที่พวกเธอควรมีในสังคม ตลอดจนพยายามจำกัดและควบคุมพัฒนาการในทางที่เป็นบวกและการดำรงอยู่ของผู้หญิงในสังคม ทำให้ความรู้สึกนึกคิดในจิตใจของพวกเธอผิดเพี้ยน นี่ทำให้ชีวิตทั้งชีวิตของผู้หญิงตกอยู่ในสภาวะที่ซึมเศร้าและเจ็บปวด ทั้งยังไม่มีทางเลือกนอกจากสู้ทนวิถีชีวิตที่น่าอับอายในสภาพแวดล้อมทางสังคมและทางศีลธรรมที่บิดเบี้ยวและไม่เป็นผลดี สาเหตุเดียวที่เรื่องนี้เกิดขึ้นก็เพราะซาตานควบคุมสังคมและโลกทั้งใบเอาไว้ และปีศาจทุกรูปแบบก็ลวงหลอกและทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามกันอย่างไม่ยั้ง ผลก็คือผู้คนไม่สามารถมองเห็นความสว่างที่แท้จริง ไม่แสวงหาพระเจ้า แต่กลับใช้ชีวิตภายใต้เล่ห์กลและการบงการของซาตานกันอย่างไม่เต็มใจหรือโดยไม่รู้ตัว ไม่สามารถถอนตัวได้ ทางออกเพียงทางเดียวของพวกเขาก็คือการแสวงหาพระวจนะของพระเจ้า แสวงหาการปรากฏและพระราชกิจของพระองค์ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง และสามารถมองเห็นและมีวิจารณญาณแยกแยะเหตุผลวิบัติ ความนอกรีต เรื่องโกหก และคำกล่าวอ้างที่เหลวไหลซึ่งล้วนเกิดจากซาตานและคนชั่วได้อย่างชัดเจน เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถเป็นอิสระจากเครื่องจองจำ ความกดดัน และอิทธิพลเหล่านี้ เฉพาะเมื่อมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ ดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี มีชีวิตอยู่ในความสว่าง ทำสิ่งที่ตนพึงทำ ลุล่วงภาระหน้าที่ที่ตนควรลุล่วง และแน่นอนว่าใช้คุณค่าของตนทำคุณประโยชน์ เสร็จสิ้นภารกิจในชีวิตของตนภายใต้การนำของพระเจ้าและการชี้นำของความคิดอ่านและทัศนะที่ถูกต้องได้—การใช้ชีวิตเช่นนี้ย่อมมีความหมายมากมิใช่หรือ? (ใช่) ระหว่างที่พวกเจ้านึกทบทวนว่าซาตานใช้คำกล่าวที่ว่า “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” มาวางข้อกำหนดกับผู้หญิง กวดขัน ควบคุม และถึงกับทำให้พวกเธอตกเป็นทาสมานานหลายพันปีอย่างไร พวกเจ้ามีความรู้สึกเช่นไรกันบ้าง? เมื่อพวกเจ้าทุกคนที่เป็นผู้หญิงได้ฟังผู้คนพูดถึงวลีที่ว่า “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” พวกเจ้ารู้สึกต่อต้านและกล่าวทันทีหรือไม่ว่า “อย่ายกวลีนั้นขึ้นมาพูด! นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน แม้ฉันจะเป็นผู้หญิง แต่พระวจนะของพระเจ้าก็ระบุไว้ว่าวลีนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้หญิง”? ผู้ชายบางคนย่อมจะกล่าวว่า “ถ้านี่ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ เช่นนั้นแล้ววลีนี้พูดถึงใครกัน? คุณไม่ใช่ผู้หญิงหรอกหรือ?” และเจ้าก็จะตอบว่า “ฉันเป็นผู้หญิง นี่คือเรื่องจริง แต่คำพูดพวกนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า จึงไม่ใช่ความจริง คำพูดพวกนั้นเกิดจากมารและมวลมนุษย์ เป็นคำพูดที่เหยียบย่ำผู้หญิงและลิดรอนสิทธิ์ในชีวิตของผู้หญิง คำพูดพวกนั้นไร้มนุษยธรรมและไม่เป็นธรรมกับผู้หญิง ฉันถึงลุกขึ้นมาทัดทาน!” แท้จริงแล้วไม่มีความจำเป็นต้องลุกขึ้นทัดทาน ทั้งหมดที่เจ้าจำเป็นต้องทำก็คือการมีท่าทีที่ถูกต้องต่อวลีแบบนี้ ปฏิเสธ และไม่ยอมให้วลีเหล่านี้ครอบงำและตีกรอบ ในอนาคตถ้ามีใครบางคนกล่าวกับเจ้าว่า “คุณดูไม่เหมือนผู้หญิง และคุณก็พูดจาหยาบกระด้างมาก เหมือนผู้ชาย จะมีวันมีใครอยากแต่งงานด้วยไหมนี่?” เจ้าควรตอบว่าอย่างไร? เจ้าพูดได้ว่า “ถ้าไม่มีใครแต่งงานด้วย ก็ให้เป็นไปตามนั้น คุณตั้งใจที่จะพูดจริงๆ หรือว่าทางเดียวที่จะดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีคือการแต่งงาน? คุณตั้งใจที่จะพูดกระนั้นหรือว่าเฉพาะผู้หญิงที่มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน มีศีลธรรม และเป็นที่รักของทุกคนเท่านั้นที่เป็นหญิงแท้? เป็นไปไม่ได้ที่เรื่องนั้นจะถูกต้อง—แท้จริงแล้ว มีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมไม่ควรเป็นถ้อยคำที่ใช้นิยามผู้หญิง ผู้หญิงไม่ควรถูกจำกัดความตามเพศของตน และสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเธอก็ไม่ควรถูกตัดสินโดยดูว่าพวกเธอมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรมหรือไม่ แต่ควรตัดสินโดยใช้มาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้ประเมินสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนเรา นี่คือวิธีประเมินพวกเธอที่เป็นธรรมและอิงตามข้อเท็จจริง” คราวนี้พวกเจ้ามีความเข้าใจขั้นพื้นฐานในคำกล่าวที่ว่า “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” นี้แล้วใช่หรือไม่? ถึงตอนนี้การสามัคคีธรรมของเราก็ควรอธิบายความจริงที่เกี่ยวข้องกับคำกล่าวนี้และมุมมองที่ถูกต้องที่ผู้คนควรใช้กับคำกล่าวนี้อย่างชัดแจ้งแล้ว
ยังมีคำกล่าวอีกข้อหนึ่งที่ว่า “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้” เราไม่อยากสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวนี้ ทำไมเราถึงไม่อยากสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวนี้? คำกล่าวนี้มีธรรมชาติที่คล้ายกับวลีที่ว่า “จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น” และมีบางสิ่งที่ผิดประหลาดในตัวมันเองอยู่บ้างอีกด้วย ถ้าคนเราต้องระลึกถึงคนที่ขุดบ่อน้ำทุกครั้งที่ไปตักน้ำจากบ่อ นั่นจะลำบากขนาดไหน? บ่อบางแห่งย่อมประดับริบบิ้นสีแดงและเครื่องรางต่างๆ—แล้วถ้าผู้คนจุดธูปและเอาผลไม้ไปไหว้ตรงนั้นด้วยก็ย่อมจะดูประหลาดอยู่บ้างมิใช่หรือ? เทียบกับวลีที่ว่า “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้” เรากลับชอบคำกล่าวที่ว่า “คนรุ่นหลังย่อมชื่นชมเงาไม้ที่คนรุ่นก่อนปลูกเอาไว้” มากกว่าอีก เพราะคำกล่าวนี้สะท้อนความเป็นจริงที่ผู้คนสามารถมีชีวิตและมีประสบการณ์ด้วยตนเองอย่างแท้จริง การที่ต้นไม้ที่ปลูกไว้จะโตได้ขนาดที่สามารถให้ร่มเงาได้นั้นย่อมใช้เวลาเป็นสิบถึงยี่สิบปี ดังนั้นคนที่ปลูกต้นไม้ย่อมจะไม่สามารถพักผ่อนใต้ร่มไม้ได้นาน มีแต่คนรุ่นต่อๆ มาเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์จากร่มเงาตลอดชีวิตของตน นี่คือระเบียบแบบแผนตามธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย ในทางตรงกันข้าม มีอะไรบางอย่างที่ออกจะวิตกจริตเกี่ยวกับการจดจำคนขุดบ่อทุกครั้งที่คนเราดื่มน้ำจากบ่อนั้นๆ ถ้าทุกคนต้องระลึกและจดจำคนขุดบ่อทุกครั้งที่พวกเขามาตักน้ำ นั่นจะไม่ดูวิกลจริตอยู่บ้างหรอกหรือ? ถ้าปีนั้นเกิดแล้งและผู้คนมากมายจำเป็นต้องตักน้ำจากบ่อนั้น ถ้าทุกคนต้องพากันยืนระลึกถึงคนขุดบ่ออยู่ตรงนั้นก่อนจะตักน้ำ นั่นย่อมจะกีดกันผู้คนจากการเอาน้ำไปหุงหาอาหารมิใช่หรือ? การทำเช่นนี้มีความจำเป็นจริงหรือไม่? นี่มีแต่จะถ่วงทุกคนเอาไว้ ดวงจิตของคนขุดบ่อสิงสู่อยู่ที่บ่อหรือไร? เขาจะสามารถได้ยินผู้คนรำลึกถึงตนกระนั้นหรือ? ทั้งหมดนี้ไม่มีเรื่องไหนที่สามารถยืนยันได้ ดังนั้นวลีที่ว่า “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้” นี้จึงไร้สาระและไม่มีความหมายแต่อย่างใด วัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนนำเสนอคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมทำนองนี้ไว้มากมาย ส่วนใหญ่นั้นไร้สาระ โดยเฉพาะคำกล่าวนี้ยิ่งไร้สาระกว่าคำกล่าวอื่นๆ ใครเป็นคนขุดบ่อเอาไว้? เขาขุดให้ใครและขุดทำไม? เขาขุดบ่อเพื่อผู้คนทั้งปวงและคนรุ่นหลังจริงหรือ? ไม่จำเป็น เขาขุดบ่อเพื่อตัวเขาเองและเพื่อให้ครอบครัวของเขาเข้าถึงน้ำดื่มเท่านั้น—ไม่ได้คำนึงถึงคนรุ่นหลัง เมื่อเป็นเช่นนั้น การให้คนรุ่นหลังทั้งปวงระลึกและขอบคุณคนขุดบ่อและให้พวกเขาคิดไปว่าคนคนนั้นขุดบ่อเพื่อผู้คนทั้งปวงย่อมเป็นการหลอกลวงและชักพาให้ผู้คนหลงเชื่อไปในทางที่ผิดมิใช่หรือ? เพราะฉะนั้น คนที่เสนอแนะคำกล่าวนี้ก็กำลังยัดเยียดความคิดและมุมมองของตนเองให้แก่ผู้อื่นและบีบให้ผู้อื่นยอมรับแนวคิดของตนเท่านั้น นี่ไร้ศีลธรรมและจะยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกรังเกียจ ขยะแขยง และเกลียดชังคำกล่าวแบบนี้มากขึ้นอีก ผู้ที่ส่งเสริมคำกล่าวแบบนี้แท้จริงแล้วมีความบกพร่องทางสติปัญญาอยู่บ้าง ซึ่งพาให้เลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะกล่าวและทำเรื่องไร้สาระบางอย่าง แนวคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างคำกล่าวที่ว่า “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้” และ “เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู” มีผลเช่นไรต่อผู้คน? ผู้คนที่มีการศึกษาและผู้ที่มีความรู้น้อยได้อะไรจากคำกล่าวเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม? พวกเขากลายเป็นคนดีจริงหรือไม่? พวกเขาใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านศีลธรรมที่เคารพบูชาวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้นั่งสูงเป็นสุดยอดทางศีลธรรมและวางข้อกำหนดทางศีลธรรมให้ผู้คน ซึ่งก็ไม่สอดคล้องกับสภาวะที่แท้จริงในชีวิตของพวกเขาแม้แต่น้อย—นี่ไร้ซึ่งศีลธรรมและไม่มีมนุษยธรรมกับทุกคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ มุมมองทางด้านศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่คนเหล่านี้ส่งเสริมสามารถเปลี่ยนใครบางคนที่มีเหตุผลปกติพอสมควรให้กลายเป็นคนที่มีสำนึกรู้เหตุผลแบบผิดปกติไปได้ เป็นคนที่สามารถกล่าวสิ่งต่างๆ ที่ผู้อื่นฟังแล้วเหลือเชื่อและยากที่จะเข้าใจได้ สภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนดังกล่าวย่อมผิดเพี้ยนและความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาก็ผิดประหลาด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าชาวจีนมากมายมีแนวโน้มที่จะกล่าวสิ่งต่างๆ ซึ่งฟังแปร่งหูตามงานแข่งกีฬา สถานที่สาธารณะ และตามสถานที่ทางการ และผู้คนก็ดิ้นรนพยายามที่จะทำความเข้าใจ ทุกสิ่งที่พวกเขากล่าวเป็นทฤษฎีที่ว่างเปล่า ไร้สาระ และไม่มีวาจาที่จริงใจหรือสัมพันธ์กับชีวิตจริงสักนิด นี่คือข้อพิสูจน์ที่แท้จริง เป็นผลลัพธ์ของการที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม และเป็นผลสืบเนื่องของการที่ชาวจีนถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมอบรมสั่งสอนมานานหลายพันปี ทั้งหมดนี้ได้เปลี่ยนผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างจริงใจและแท้จริงให้กลายเป็นผู้คนที่ติดต่อเจรจาด้วยความเทียมเท็จ เป็นเลิศในการอำพรางตนและสวมหน้ากากเพื่อหลอกลวงผู้อื่น เป็นผู้คนที่ดูเหมือนได้รับการขัดเกลามามากและสามารถแสดงความคิดเห็นทางด้านทฤษฎีได้อย่างคมคาย แต่ในความเป็นจริงกลับมีวิธีคิดที่ผิดเพี้ยนและไม่สามารถพูดจาอย่างมีเหตุผลหรือมีปฏิสัมพันธ์และสื่อสารกับผู้คนได้—โดยทั่วไปแล้วพวกเขามีธรรมชาติแบบนี้กันทุกคน กล่าวให้ถูกต้องก็คือ ผู้คนแบบนี้จวนเจียนจะเป็นโรคจิตอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่สามารถยอมรับวจนะเหล่านี้ได้ เราก็สนับสนุนให้เจ้ามีประสบการณ์กับพวกเขาดู สามัคคีธรรมวันนี้ก็สรุปจบเพียงเท่านี้
2 เมษายน ค.ศ. 2022
เชิงอรรถ:
ก. ข้อความดั้งเดิมในภาษาจีนระบุเพียงว่า “คำกล่าวอ้างนี้ย่อม”