การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (5)

พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องอะไรในการชุมนุมครั้งที่แล้ว?  (ตอนแรกพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมเรื่องของเสี่ยวเซี่ยวและเสี่ยวจี๋  จากนั้นก็ทรงสามัคคีธรรมว่าพฤติกรรมที่มนุษย์มองว่าดีงามแสดงให้เห็นสิ่งใด พระองค์ตรัสถึงข้อกำหนดบางอย่างที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเน้นหลักธรรมความจริงที่พวกเราควรเข้าใจเกี่ยวกับการให้เกียรติพ่อแม่ของตน)  คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อที่สัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งก็เข้ากับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์อย่างที่สุด  นี่เป็นหัวข้อเชิงลบด้วย ซึ่งก็คือพฤติกรรมทั้งหลายที่ถือกันว่าถูกต้องและดีงามตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์  พวกเรายกตัวอย่างบางอย่างที่อยู่ในหัวข้อนี้ แล้วจากนั้นพวกเราก็ยกตัวอย่างข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีเพื่อกำกับพฤติกรรมของมนุษย์ขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง  รายละเอียดของสิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันก็มีประมาณนี้  สามัคคีธรรมนี้ไม่ได้มีเรื่องใหญ่ๆ มากนัก แต่พวกเราก็เสวนากันถึงรายละเอียดหลายอย่างเกี่ยวกับความรู้ การปฏิบัติ และความเข้าใจที่ผู้คนมีต่อความจริง  ในวันนี้พวกเราจะย้อนดูเรื่องเหล่านี้กันพอสังเขป  กล่าวโดยทั่วไปแล้วมีอะไรบ้างที่มนุษย์มองว่าเป็นพฤติกรรมอันดีงาม?  พวกเราควรมีข้อสรุปหรือคำนิยามกว้างๆ ให้กับเรื่องนี้มิใช่หรือ?  พวกเจ้ามีข้อสรุปบ้างไหม?  เวลาชุมนุมกัน พวกเจ้าสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้บ้างหรือไม่?  (ทำบ้าง  หลังจากที่พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมกับพวกเราอยู่หลายครั้ง พวกเราก็สามารถมองเห็นว่าพฤติกรรมอันดีงามที่มนุษย์เข้าใจว่าถูกต้องนั้นเป็นเพียงพฤติกรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้แสดงถึงความจริง เป็นเพียงวิธีที่ผู้คนใช้อำพรางตัวตน)  จากถ้อยแถลงบางอย่างที่มวลมนุษย์ได้สรุปรวบรวมไว้ในเรื่องของพฤติกรรมภายนอก—แท้จริงแล้วแก่นแท้ของพฤติกรรมเหล่านี้คืออะไร?  แก่นแท้ของมนุษย์สัมพันธ์กับพฤติกรรมอันดีงามภายนอกของมวลมนุษย์หรือไม่?  พฤติกรรมอันดีงามภายนอกเหล่านี้ทำให้ผู้คนดูดีและดูมีศักดิ์ศรีมาก คนที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ได้รับความเคารพและการสรรเสริญจากผู้อื่น พวกเขาเป็นที่นับถืออย่างมากและพาให้เกิดความรู้สึกดีๆ  ความรู้สึกดีๆ นี้สอดคล้องกับแก่นแท้ที่เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์หรือไม่?  (ไม่)  ถ้าเช่นนั้น จากมุมมองนี้ ธรรมชาติของพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์คืออะไร?  เป็นเพียงท่าทางอันฉาบฉวยและการสร้างภาพมิใช่หรือ?  (ใช่)  ท่าทางอันฉาบฉวยและการสร้างภาพเหล่านี้สำแดงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติออกมาอย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่?  (ไม่)  นั่นคือสาเหตุที่พฤติกรรมที่ผู้คนมองว่าถูกต้องและดีงามอยู่ในมโนคติอันหลงผิดของพวกเขานั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงท่าทางอันฉาบฉวยและการสร้างภาพของมวลมนุษย์เท่านั้น  นั่นคือธรรมชาติของพฤติกรรมเหล่านั้น  พฤติกรรมเหล่านั้นไม่ได้ก่อให้เกิดการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และไม่ใช่การสำแดงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติออกมา เป็นเพียงท่าทางภายนอกเท่านั้น  ท่าทางเหล่านี้กลบเกลื่อนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ ปกปิดแก่นแท้ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์ และหลอกตาผู้อื่น  ผู้คนประพฤติตัวดีงามเช่นนี้เพื่อให้ได้รับความโปรดปราน การยอมรับนับถือ และความเคารพจากผู้อื่น—พฤติกรรมเช่นนี้ไม่อาจช่วยให้ผู้คนปฏิบัติต่อกันอย่างซื่อสัตย์หรือมีปฏิสัมพันธ์ด้วยความจริงใจได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์  พฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ไม่ใช่ท่าทางที่เกิดจากความสุจริตใจ หรือเป็นการสำแดงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติออกมาตามธรรมชาติ  พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้แสดงถึงแก่นแท้ของมนุษย์แต่อย่างใด เป็นเปลือกปลอมและฉากหน้าอันเทียมเท็จที่มนุษย์ใช้เท่านั้น—เป็นเครื่องประดับของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม คอยปกปิดแก่นแท้อันชั่วของมวลมนุษย์  นั่นคือแก่นแท้ของพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์ นั่นคือความจริงเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้  ดังนั้น อะไรคือแก่นแท้ของพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์ทำ?  สองครั้งหลังที่พวกเราสามัคคีธรรมกัน พวกเราเอ่ยถึงแนวทางบางอย่างที่พระเจ้าทรงกำหนดในเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์ และพฤติกรรมบางอย่างที่พระองค์ทรงประสงค์ให้ผู้คนใช้ในการดำเนินชีวิต  สิ่งเหล่านี้มีอะไรบ้าง?  (ผู้คนต้องไม่สูบบุหรี่ หรือดื่มสุรา และต้องไม่ลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น  พวกเขาต้องให้เกียรติพ่อแม่ของตน และมีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน  พวกเขาต้องไม่บูชารูปเคารพ ทำผิดประเวณี ลักขโมย เบียดบังทรัพย์สมบัติของผู้อื่น หรือเป็นพยานเท็จ เป็นต้น)  แก่นแท้ของข้อกำหนดเหล่านี้คืออะไร?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หลักการพื้นฐานที่พระเจ้าทรงใช้ในการออกข้อกำหนดเหล่านี้คืออะไร?  ข้อกำหนดเหล่านี้มีอะไรเป็นเงื่อนไขที่สำคัญ?  ข้อกำหนดเหล่านี้มีขึ้นตามบริบทและหลักการพื้นฐานที่ว่ามวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้วและมนุษย์ก็มีธรรมชาติที่เป็นบาปไม่ใช่หรือ?  แล้วข้อกำหนดเหล่านี้อยู่ในขอบเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  เป็นสิ่งที่ผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถทำได้หรือไม่?  (เป็น)  ข้อกำหนดทั้งหมดนี้มีขึ้นตามเงื่อนไขพื้นฐานที่ว่าคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติย่อมจะสัมฤทธิ์ได้ทั้งสิ้น  เมื่อมองในมุมนี้แล้ว แก่นแท้ของพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์ทำคืออะไร?  พวกเราอาจกล่าวได้ไหมว่าเป็นการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนอันแท้จริงของมนุษยชาติที่ปกติ และเป็นสิ่งที่อย่างน้อยที่สุดมนุษยชาติที่ปกติควรมี?  ตัวอย่างที่พวกเรายกมาว่า ผู้คนต้องมีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ทำตัวเสเพล ต้องไม่ลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น หรือสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ทำผิดประเวณี ลักขโมย หรือบูชารูปเคารพ และพวกเขาต้องให้เกียรติพ่อแม่ของตน และในยุคพระคุณก็มีการบอกให้ผู้คนอดทน ยอมผ่อนปรน และอื่นๆ ด้วย—ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีขึ้นเหล่านี้จำกัดอยู่แต่แนวทางแบบนี้เท่านั้นหรือไม่?  ไม่ พระเจ้าทรงวางหลักเกณฑ์ไว้ว่าผู้คนควรใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างไร  คำว่า “หลักเกณฑ์” นี้เราหมายถึงอะไร?  เราหมายถึงมาตรฐานตามข้อกำหนดของพระเจ้า  ในฐานะคนคนหนึ่ง เจ้าจำเป็นต้องดำเนินชีวิตอย่างไรจึงจะมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ?  เจ้าต้องลุล่วงข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงวางไว้  พวกเราไล่กล่าวถึงข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  ข้อกำหนด เช่น ไม่ลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น ไม่สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ทำผิดประเวณี หรือลักขโมย เป็นต้น คือสิ่งที่คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถสัมฤทธิ์ได้  แม้สิ่งเหล่านี้จะด้อยกว่าความจริงและไม่ใช่ความจริง แต่ก็เป็นมาตรฐานเบื้องต้นบางอย่างที่ใช้ประเมินว่าคนคนหนึ่งมีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่

อะไรคือแก่นแท้ของพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์ทำซึ่งพวกเราเพิ่งจะสรุปรวบรวมเอาไว้?  การใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ถ้าคนคนหนึ่งสามารถใช้ชีวิตหรือประพฤติตนตามหนทางที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ได้ เช่นนั้นแล้วคนคนนี้ก็มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติในสายพระเนตรของพระเจ้า  การมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าคนคนหนึ่งมีหลักเกณฑ์ด้านพฤติกรรมตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้อยู่แล้ว และในแง่ของพฤติกรรม แนวทาง และการดำเนินชีวิต ก็ทำได้ตามมาตรฐานของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เพราะพวกเขาแสดงออกและใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติตามหนทางที่พระเจ้าทรงกำหนด  กล่าวเช่นนี้ได้หรือไม่?  (ได้)  ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าคนเราจะมีความเชื่อที่แท้จริงหรือไม่ก็ตาม หากพวกเขาลักขโมย ลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อ หรือเอาเปรียบผู้อื่น หรือหากพวกเขาพูดจาหยาบคายอยู่เนืองๆ หรือลงไม้ลงมือและทำร้ายผู้อื่นเมื่อตนเสี่ยงที่จะสูญเสียความมีหน้ามีตา สถานะ ภาพลักษณ์ หรือผลประโยชน์อื่นๆ ของตน โดยที่ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด หรือหากพวกเขาไปไกลถึงขั้นทำบาปข้อผิดประเวณี—ถ้าพวกเขายังคงมีปัญหาเหล่านี้ในวิธีการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาปกติหรือไม่?  (ไม่ปกติ)  ไม่ว่าเจ้าจะประเมินผู้ไม่เชื่อหรือผู้เชื่ออยู่ก็ตาม มาตรฐานทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้เหล่านี้ก็เป็นเพียงมาตรฐานขั้นต่ำสุดที่ใช้วัดสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งเท่านั้น  มีบางคนที่ประกาศตัดขาดและสละตนเองบ้างหลังจากที่มาเป็นผู้เชื่อ สามารถจ่ายราคาได้บ้าง แต่ไม่เคยทำได้ตามมาตรฐานทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงวางไว้  นี่ก็ชัดเจนว่าผู้คนประเภทนี้ไม่ได้ใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ—พวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ขั้นพื้นฐานที่สุดด้วยซ้ำ  เวลาที่คนคนหนึ่งไม่ได้ใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพวกเขาไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เนื่องจากพวกเขาทำได้ไม่ถึงมาตรฐานตามข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมวลมนุษย์ในแง่ของการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจึงย่ำแย่ และผลการประเมินพวกเขาจึงได้แต่ออกมาแย่เท่านั้น  มาตรฐานขั้นต่ำสุดที่จะใช้ประเมินสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งก็คือการดูว่าพฤติกรรมของพวกเขาได้มาตรฐานตามข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมวลมนุษย์หรือไม่  จงดูว่าหลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า พวกเขารู้จักยับยั้งชั่งใจหรือไม่ มีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชนในสิ่งที่พวกเขาพูดและทำหรือไม่ พวกเขาเอาเปรียบผู้อื่นเวลามีปฏิสัมพันธ์กันหรือไม่ ปฏิบัติต่อคนในครอบครัวของตนและพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรด้วยความรัก ความยอมผ่อนปรน และความอดทนหรือไม่ พวกเขาลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อพ่อแม่อย่างสุดความสามารถหรือไม่ พวกเขายังคงบูชารูปเคารพเวลาที่ไม่มีใครเห็นหรือไม่ และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  พวกเราสามารถใช้สิ่งเหล่านี้มาประเมินสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งได้  หากไม่คำนึงว่าว่าคนคนนั้นรักและไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ก็จงประเมินก่อนว่าพวกเขามีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือเปล่า—วาจาและพฤติกรรมของพวกเขาเป็นไปตามมาตรฐานทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงวางไว้หรือไม่  หากไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางด้านพฤติกรรมเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถประเมินสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาตามระดับของการดำเนินชีวิตของพวกเขาได้ ไม่ว่าจะเป็น โดยเฉลี่ย แย่ แย่มาก หรือเลวร้าย ตามลำดับ—เช่นนี้จึงแม่นยำ  ถ้าผู้เชื่อขโมยของตามร้านค้าและล้วงกระเป๋าเวลาไปซูเปอร์มาร์เก็ตหรือสถานที่สาธารณะ ถ้าพวกเขาชอบลักขโมย พวกเขาย่อมมีสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นใด?  (สภาวะความเป็นมนุษย์ที่เลวร้าย)  มีบางคนที่ตะโกนด่าหยาบๆ คายๆ และถึงกับลงมือลงไม้กับผู้อื่นเมื่อมีบางสิ่งมาทำให้พวกเขาโกรธ  วาจาหยาบคายของพวกเขาไม่ใช่การประเมินแก่นแท้ของอีกฝ่ายอย่างเป็นธรรม กลับเป็นการกล่าวหาตามใจชอบและเต็มไปด้วยถ้อยคำที่โสมม  ผู้คนเยี่ยงนี้ย่อมพูดอะไรก็ตามที่เปิดโอกาสให้พวกเขาระบายความเกลียดชังของตนออกมาอย่างไม่รู้จักยับยั้ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางคนกล่าวสิ่งต่างๆ กับพ่อแม่ของตน กับพี่น้องชายหญิงของตน กับญาติของตนที่เป็นผู้ไม่เชื่อ และแม้แต่กับเพื่อนๆ ของตนที่เป็นผู้ไม่เชื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าเองก็ไม่อยากได้ยินได้ฟัง ด้วยเกรงว่ามันจะทำให้หูของเจ้าแปดเปื้อน  คนแบบนี้มีสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นใด?  (สภาวะความเป็นมนุษย์ที่เลวร้าย)  เจ้าอาจกล่าวได้อีกด้วยว่าพวกเขาไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์  นอกจากนี้ยังมีคนอื่นที่สายตาจับจ้องเงินทองตลอดเวลา  เมื่อคนเหล่านี้เห็นใครมีเงิน กินดี สวมใส่เสื้อผ้าดีๆ มีชีวิตที่มั่งคั่ง พวกเขาก็อยากเอารัดเอาเปรียบคนเหล่านั้นอยู่เสมอ  พวกเขาใช้วิธีที่อ้อมค้อมขอสิ่งต่างๆ จากคนเหล่านั้นตลอดเวลา หรือกินอาหารและใช้สิ่งของของคนเหล่านั้น หรือหยิบยืมสิ่งต่างๆ จากคนเหล่านั้นและไม่คืนให้  แม้พวกเขาจะไม่เคยเอาเปรียบผู้อื่นในลักษณะที่เลวร้ายอะไร และการกระทำของพวกเขาก็ไม่นับเป็นการฉ้อโกงหรือติดสินบน แต่พฤติกรรมที่ชอบลักขโมยของพวกเขาก็ต่ำช้าและน่ารังเกียจโดยแท้ ทั้งยังทำให้ผู้อื่นนึกดูหมิ่น  ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นก็คือมีคนที่หมกมุ่นอยู่กับความสวยงามของเพศตรงข้าม  พวกเขามักจะส่งสายตาให้เพศตรงข้าม และถึงขั้นล่วงประเวณี ทำบาปทางเพศ  คนเหล่านี้บางคนเป็นโสด ขณะที่คนอื่นมีครอบครัวแล้ว—มีบางคนถึงกับทำผิดประเวณีทั้งที่อายุก็มากโขแล้ว  ที่ยิ่งร้ายแรงกว่านั้นอีกก็คือบางคนพยายามที่จะล่อลวงและมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนเพศเดียวกัน  เรื่องนี้น่ารังเกียจโดยแท้  สิ่งที่ยิ่งเหลือเชื่อเข้าไปอีกก็คือผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ไม่เชื่อว่าความจริงล้ำเลิศเหนือทุกสิ่ง หรือว่าพระวจนะของพระเจ้าย่อมทำให้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วง  ผู้คนเหล่านี้มักจะแอบไปหาหมอดูเพื่อให้ดูโชควาสนาให้ตน พวกเขาจุดธูปสักการะพระพุทธหรือรูปเคารพอื่นๆ และบางคนก็ถึงกับใช้ตุ๊กตาของขลังสาปแช่งคนอื่น หรือสื่อสารกับวิญญาณ และอื่นๆ ทำนองนั้น  การใช้เวทมนตร์ชั่วร้ายแบบนี้เป็นเรื่องที่ยิ่งร้ายแรงเข้าไปใหญ่ ผู้คนพวกนี้คือผู้ปราศจากความเชื่อ และไม่ต่างอะไรจากผู้ไม่เชื่อ  ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเบาหรือหนักหนา เมื่อคนคนหนึ่งสำแดงลักษณะเหล่านี้ให้เห็น พวกเราก็สามารถพูดได้ว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ในรูปแบบที่ผิดปกติและด่างพร้อย พฤติกรรมบางอย่างของพวกเขาถึงขั้นหลงผิดหรือไร้สาระ—เป็นพฤติกรรมที่เป็นบาปโดยแท้  หลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า บางคนแต่งกายยั่วยวนมาก ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ที่เย้ายวนมากเหมือนพวกผู้ไม่เชื่อ และทำตามกระแสนิยมทางโลก  พวกเขาดูไม่เหมือนธรรมิกชนแต่อย่างใด  บางคนแต่งตัวให้มีรสนิยมขึ้นเวลาไปร่วมชุมนุม แต่พอถึงบ้านก็เปลี่ยนใส่ชุดตามกระแสนิยมของพวกผู้ไม่เชื่อ  จากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ พวกเขาย่อมดูไม่เหมือนผู้เชื่อ ระหว่างพวกเขากับผู้ไม่เชื่อไม่มีอะไรแตกต่างกัน  พวกเขาหัวเราะคิกคักและทำเหมือนสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องตลก ปล่อยตัวปล่อยใจอย่างยิ่งและขาดความยับยั้งชั่งใจ  ผู้คนเยี่ยงนี้ใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติอยู่หรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้ากระแสนิยมทางโลก ทำให้ตัวเองดูเย้ายวน ดึงดูดใจผู้อื่น และให้คนเหลียวมอง  พวกเขาใช้เวลาทั้งวันแต่งกายให้ดูสวยงามและโปะเครื่องสำอาง พยายามดึงดูดเพศตรงข้าม  สิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตนั้นค่อนข้างแย่  พวกเขาไม่สามารถยับยั้งชั่งใจแม้แต่ในเรื่องของการแต่งกาย การพูดจา และการประพฤติตน ไม่มีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน ดังนั้นเวลาพวกเราประเมินคนเหล่านี้ตามหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ จึงชัดเจนว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตนั้นแย่มาก  จากตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมเหล่านี้ พวกเราย่อมจะมองเห็นได้ว่าข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของผู้คนและสิ่งที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตนั้นตรงตามข้อกำหนดว่าด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติทั้งสิ้น—ดังนั้นตามปกติแล้ว คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติย่อมจะสามารถทำตามได้  ประโยคที่กล่าวมานี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าจะมีสภาพเสมือนมนุษย์ ดูเหมือนคนปกติ และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติขั้นต่ำสุดก็ต่อเมื่อนี่คือสิ่งที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิต  เมื่อดูรายละเอียดบางอย่างในข้อกำหนดของพระเจ้า พวกเราย่อมจะมองเห็นได้ว่าการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ในหนทางนี้ไม่ใช่ของปลอม หรือเป็นการเล่นละคร หรือลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อ  แต่กลับเป็นสิ่งที่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรสำแดงให้เห็น คือความเป็นจริงที่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี  ผู้ที่ใช้ชีวิตตามลักษณะที่สำแดงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติออกมาเช่นนี้เท่านั้นที่มีสภาพเสมือนมนุษย์ ไม่มีการใช้เล่ห์เหลี่ยมแม้แต่น้อย  ผู้คนจะได้รับความเคารพจากผู้อื่นและดำรงชีวิตที่มีศักดิ์ศรีได้ก็ด้วยการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติในหนทางนี้เท่านั้น  และด้วยการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติในหนทางนี้ ด้วยการมีความถูกต้องเหมาะควรเยี่ยงธรรมิกชนเท่านั้นที่ลักษณะการแสดงออกที่ปกติของผู้คนจะนำพระสิริมาสู่พระเจ้า  เพราะเมื่อนั้นทุกสิ่งที่เจ้าใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตย่อมจะเป็นบวก คือความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และจะไม่ใช่การเล่นละคร  เจ้าย่อมจะใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า

มีการอธิบายไว้อย่างชัดเจนและครอบคลุมแล้วในเรื่องแก่นแท้แห่งพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์และแก่นแท้ของพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้  เพราะฉะนั้นก็ควรชัดเจนเช่นกันใช่ไหมว่าผู้คนควรปฏิบัติอย่างไร และควรใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างไร?  ผู้คนย่อมจะไม่ทำอะไรเกินเหตุหรือคิดอะไรจุกจิกในเรื่องของการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  การใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกตินั้นสัมพันธ์กับเรื่องสัพเพเหระที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสภาวะความเป็นมนุษย์ในชีวิตของผู้คนหรือไม่?  มีผู้คนน่าหัวร่อบางคนที่ไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน  พวกเขากล่าวว่า “ในเมื่อสามัคคีธรรมของพระเจ้าละเอียดขนาดนั้น พวกเราก็ต้องละเอียดลออกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตของพวกเราทุกแง่ทุกมุมด้วย  ตัวอย่างเช่น มันเทศย่อมมีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้นเมื่อเอาไปนึ่งหรือเอาไปอบ?”  นี่สัมพันธ์กับการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  ไม่เลย  ผู้คนควรกินอะไรและควรกินอย่างไรเป็นเรื่องสามัญสำนึกที่ทุกคนมีอยู่แล้ว  ตราบใดที่ไม่มีปัญหากับการกินอะไรบางอย่าง เจ้าก็สามารถกินของนั้นด้วยวิธีใดก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ  ถ้าบางคนคิดว่าพวกเขาจำเป็นต้องแสวงหาความจริงในเรื่องง่ายๆ ทางสามัญสำนึกอย่างนั้น และจำเป็นต้องทำเรื่องดังกล่าวราวกับเป็นเรื่องของความจริง คนคนนั้นก็น่าหัวร่อและไร้สาระมิใช่หรือ?  ตอนนี้มีบางคนที่ละเอียดลออมากในเรื่องแบบนี้ ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง  ผู้คนเหล่านี้นึกว่าตนกำลังไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาสืบค้นและตรวจสอบเรื่องราวยิบย่อยราวกับว่าเรื่องพวกนั้นคือความจริง  บางคนถึงขั้นทุ่มเถียงกันหน้าดำหน้าแดงในเรื่องเหล่านี้  นี่เป็นปัญหาแบบใด?  เป็นเรื่องของการขาดความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณอย่างรุนแรงมิใช่หรือ?  ข้อเท็จจริงที่ว่ามีบางคนแสวงหาในเรื่องของการกินมันเทศราวกับว่าเป็นเรื่องของความจริงนั้นน่าหัวเราะและน่ารำคาญโดยแท้  ผู้คนเช่นนี้เป็นพวกที่สิ้นหวัง เพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และไม่รู้ว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร  พวกเขามองเรื่องทางด้านสามัญสำนึกที่ธรรมดาที่สุดในชีวิตไม่ออก และไม่สามารถคลี่คลายประเด็นปัญหาเหล่านี้ได้—ดังนั้นการที่พวกเขามีชีวิตมาตลอดหลายปีนี้มีประโยชน์อะไรบ้าง?  ผู้คนเหล่านี้เอาเรื่องที่ไม่มีสาระสำคัญแบบนี้เข้ามาในการชุมนุม เสวนาและสามัคคีธรรมเรื่องพวกนี้เหมือนเป็นหัวข้อที่คนเราจะใช้แสวงหาความจริงได้ พวกเขาทำได้อย่างไร?  สาเหตุใหญ่ๆ ก็คือผู้คนเหล่านี้มีความเข้าใจที่บิดเบี้ยวและไร้ซึ่งความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาละเอียดลออกับบริบทแบบใด?  ทำไมความคิดอ่านและแนวคิดเหล่านี้ถึงได้เกิดขึ้นในตัวพวกเขา?  พวกเขาเสวนาและสามัคคีธรรมเรื่องการกินมันเทศในที่ชุมนุมได้อย่างไร?  เพราะเรื่องที่เราสามัคคีธรรมมาตลอดเป็นรูปธรรมเกินไปกระนั้นหรือ ถึงพาให้เกิดความเข้าใจผิดบางอย่างในหมู่คนที่ชอบคิดเล็กคิดน้อยและจุกจิกในเรื่องที่ไม่สำคัญ?  พอเกิดปัญหาและสถานการณ์เหล่านี้ขึ้นมา เรารู้สึกว่าการพูดคุยกับผู้คนเหล่านี้ออกจะเหมือนการปฏิบัติต่อลิงราวกับว่าพวกมันเป็นมนุษย์  ลิงเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามป่าเขา  แม้จะคล้ายมนุษย์ มีพฤติกรรมและนิสัยใจคอหลายอย่างคล้ายมนุษย์ และแม้จะมีอยู่ยุคหนึ่งที่มนุษย์มองว่าลิงเป็นบรรพบุรุษของตน แต่ถึงอย่างไรลิงก็ยังคงเป็นลิง  พวกมันควรอาศัยอยู่ตามป่าตามเขา  การให้มันอยู่ในบ้านเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ย่อมเป็นความผิดพลาดมิใช่หรือ?  พวกเราควรปฏิบัติต่อลิงเหมือนพวกมันเป็นมนุษย์หรือไม่?  (ไม่ควร)  แล้วพวกเจ้าเป็นลิงหรือเป็นมนุษย์?  ถ้าพวกเจ้าเป็นมนุษย์ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเราต้องพูดมากเท่าใดหรือต้องทำงานหนักเพียงใด ก็เหมาะควรและคุ้มค่าแล้วที่เราจะพูดเรื่องเหล่านี้ให้พวกเจ้าฟัง  ถ้าพวกเจ้าเป็นลิง สมควรหรือไม่ที่เราจะทำเหมือนพวกเจ้าเป็นมนุษย์และเปลืองลมปากเสวนาความจริงและน้ำพระทัยของพระเจ้ากับพวกเจ้า?  คุ้มค่าหรือไม่?  (ไม่คุ้ม)  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าเป็นมนุษย์หรือเป็นลิง?  (เป็นมนุษย์)  หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับการสามัคคีธรรมในที่ชุมนุมเรื่องการกินมันเทศ?  เจ้าจะละเอียดลออในเรื่องต่อไปนี้ด้วยหรือไม่?  ตัวอย่างเช่น บางคนถามว่า “ฉันควรสวมชุดสีน้ำเงินหรือสีขาว?  ถ้าสวมชุดสีขาว ควรเป็นสีขาวแบบไหน?  สีขาวแบบไหนที่แสดงถึงความบริสุทธิ์และเหมาะกับธรรมิกชน?  ถ้าสีน้ำเงินเหมาะกับฉัน เช่นนั้นควรเป็นสีน้ำเงินแบบไหน?  สีน้ำเงินแบบไหนที่เหมาะกับข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์และสามารถนำพระสิริมาสู่พระเจ้ามากที่สุด?”  พวกเจ้าเคยละเอียดลออในเรื่องพวกนี้บ้างหรือไม่?  มีใครเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าผมทรงใด หรือลักษณะการพูดจาและน้ำเสียงแบบใดเหมาะกับธรรมิกชน?  พวกเจ้าเคยละเอียดลออกับเรื่องพวกนี้บ้างหรือไม่?  บางคนละเอียดลออและใช้ความพยายามกับเรื่องเหล่านี้  มีบางคนที่เคยชอบกัดสีผมของตนให้เป็นสีทอง หรือย้อมให้เป็นสีแดงหรือสีแปลกๆ อื่นๆ แต่พอพวกเขามาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็มองเห็นว่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นในคริสตจักรไม่ได้ย้อมผม พวกเขาจึงเลิกไป  เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีแล้วเท่านั้นพวกเขาจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าไม่ว่าสีผมหรือทรงผมที่คนเรามีนั้นจะเป็นเช่นใดก็ไม่ได้สลักสำคัญ  สิ่งที่สำคัญยิ่งคือคนเราใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่ และรักความจริงหรือไม่  ผู้คนที่ละเอียดลออในเรื่องจำพวกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติกำลังค่อยๆ มาเข้าใจว่าการใช้ความพยายามกับเรื่องเหล่านี้นั้นไร้ประโยชน์ เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ได้สัมพันธ์กับความจริงแต่อย่างใด  เป็นเพียงเรื่องบางอย่างในขอบเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติเท่านั้น และไม่ใช่ความจริง  ถ้าสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตเป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐานของพระเจ้า นั่นก็เพียงพอแล้ว  ที่ผ่านมาพวกเจ้าทุกคนเคยรู้สึกฉงนใจกับเรื่องเหล่านี้และสับสนกับเรื่องเหล่านี้อยู่บ้างใช่หรือไม่?  (ใช่)  ต่อให้ไม่สุดโต่งอย่างการอภิปรายในที่ชุมนุมว่าจะกินมันเทศอย่างไร พวกเจ้าก็นึกฉงนใจในเรื่องเล็กน้อยบางอย่างที่ไม่มีนัยสำคัญในชีวิตเช่นกัน  เหล่านี้คือข้อเท็จจริง  ดังนั้นจึงควรมีข้อสรุปที่ชัดเจนในเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ?  พวกเจ้าชัดเจนหรือไม่ว่าเวลาใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดและมาตรฐานของพระเจ้านั้น ผู้คนควรทำตามหลักธรรมข้อใดบ้าง?  พวกเจ้ารู้วิธีแสวงหาความจริงหรือไม่ เวลาเผชิญรูปการณ์จำเพาะบางอย่างในครั้งต่อไป?  บางคนกล่าวว่า “แม้ฉันจะไม่ได้ทำอะไรสุดโต่ง เช่น ถามว่าควรกินมันเทศอย่างไร แต่ถ้าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาในชีวิตประจำวัน ฉันย่อมจะรู้สึกสับสนไปครู่หนึ่งอยู่ดี”  ดังนั้นจงยกตัวอย่างให้เราฟังเถิดว่า—มีเรื่องอะไรบ้างที่จะทำให้พวกเจ้ารู้สึกสับสนไปชั่วครู่?  พวกเจ้าคิดว่าการที่ผู้หญิงแต่งหน้านี่ผิดหรือไม่?  นี่เป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้าในเรื่องการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  (เรื่องนี้ไม่ผิด)  ที่บอกว่า “ไม่ผิด” ในที่นี้หมายถึงอะไร?  (ตราบใดที่การแต่งหน้าของคนเราเหมาะสมกับการเป็นธรรมิกชน และไม่เข้มเกินไป ตราบนั้นย่อมไม่เป็นไร)  ตราบใดที่ไม่ใช่การแต่งหน้าเข้มก็ย่อมเหมาะสม  มีบางคนถามว่า “ถ้าการแต่งหน้าไม่เข้มเกินไปเป็นเรื่องที่เหมาะสม เช่นนั้นก็หมายความว่าพระองค์อยากให้พวกเราแต่งหน้าใช่ไหม?”  เราพูดเช่นนั้นหรือ?  (ไม่)  การแต่งหน้าไม่ใช่ปัญหา เป็นไปตามการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  หลักธรรมที่ใช้พิจารณาเรื่องนี้ก็คือตราบใดที่การแต่งหน้าไม่เข้มมากก็ไม่เป็นไร  นั่นคือมาตรฐาน  ดังนั้นเพื่อให้การแต่งหน้าสอดคล้องกับการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ผู้หญิงต้องแต่งหน้าอยู่ในขอบเขตใด?  เส้นแบ่งอยู่ตรงไหน?  “การแต่งหน้าเข้ม” หมายความว่าอย่างไร?  การแต่งหน้าแบบใดที่ถือว่าเข้ม?  ถ้าขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจน ผู้คนก็จะรู้ว่าควรทำอย่างไร  นี่คือรายละเอียดมิใช่หรือ?  จงยกตัวอย่างที่อธิบายว่าการแต่งหน้าเข้มคืออะไรให้เราฟังเถิด  (คือตอนที่คนเราผัดหน้าขาววอก ทาปากแดงจัด และเขียนตาดำเข้มจนไม่เป็นธรรมชาติและไม่ชวนมองอย่างยิ่ง)  นี่ทำให้ผู้คนเห็นแล้วสะดุ้ง เหมือนเห็นผี และผู้อื่นก็มองไม่ออกว่ารูปหน้าหรือใบหน้าตามธรรมชาติของคนคนนั้นเป็นอย่างไร  ผู้คนในบางประเทศ บางกลุ่มชาติพันธุ์ และบางสายงาน แต่งหน้าเข้มเป็นพิเศษ  ยกตัวอย่าง การแต่งหน้าของผู้คนตามร้านเหล้าและสถานเริงรมย์ยามค่ำคืนก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในเรื่องนี้มิใช่หรือ?  ผู้คนเหล่านี้แต่งหน้าจัดกันทุกคน และนี่ก็ไม่ชวนให้เจริญใจ—จุดประสงค์ที่พวกเขาแต่งหน้าก็เพื่อยั่วยวนผู้อื่น  การแต่งหน้าแบบนี้คือการแต่งหน้าเข้ม  เมื่อเป็นเช่นนี้ การแต่งหน้าแบบใดที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์?  การแต่งหน้าอ่อนๆ เหมือนของผู้หญิงในที่ทำงาน ซึ่งดูภูมิฐานและสง่างามมาก  ตราบใดที่การแต่งหน้าของเจ้าไม่ออกนอกเส้นนี้ ตราบนั้นก็ไม่เป็นไร  ในประเทศจีน การแต่งหน้าไม่เป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นเก่า  ถ้าคนสูงอายุทั่วไปที่ไม่มีสถานะหรือที่ยืนเป็นพิเศษในสังคม กลับแต่งตัวและแต่งหน้าอยู่เสมอเวลาออกนอกบ้าน ผู้คนก็จะพูดว่าพวกเธอไม่ทำตัวให้น่านับถือตามวัยของตน  อย่างไรก็ดี ในโลกตะวันตกนั้นต่างออกไป  ถ้าเจ้าพบปะใครหรือไปทำงาน แล้วเจ้าไม่แต่งหน้าสักนิดและไม่ดูแลรูปลักษณ์ของตัวเองบ้าง ผู้คนก็จะว่าเจ้าไม่เคารพงานที่ทำ ไม่เป็นมืออาชีพ และไม่ให้เกียรติผู้อื่น  นี่เป็นวัฒนธรรมแบบหนึ่ง  ปกติแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ การแต่งหน้าควรจำกัดอยู่ในระดับที่เจ้านั้นดูภูมิฐานและมีเกียรติ ดูเป็นคนน่านับถือในสายตาของผู้อื่น  หากจะสรุปไว้ในประโยคเดียวก็คือ ถ้าเจ้าใช้เครื่องสำอาง การแต่งหน้านั้นก็ควรทำให้เจ้าดูเป็นคนน่านับถือ และไม่กระตุ้นความกำหนดในหัวใจของผู้คน—การแต่งหน้าแบบนี้ย่อมเหมาะสม  นั่นคือหลักธรรม ซึ่งก็ธรรมดาเช่นนั้น  บางคนถามว่า “ถ้าฉันไม่แต่งหน้าเวลาออกจากบ้านก็ไม่เป็นไรใช่ไหม?  ฉันไม่ชินกับการแต่งหน้า”  เจ้าควรแสวงหาในพระวจนะของพระเจ้า  พระเจ้าตรัสว่าการไม่แต่งหน้าย่อมผิดกระนั้นหรือ?  พระเจ้าไม่ได้ตรัสไว้เช่นนี้  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยกำหนดให้ผู้คนแต่งหน้า  ถ้าเจ้าชอบแต่งหน้า เราก็ให้หลักเกณฑ์และขอบเขตนี้แก่เจ้า และบอกเจ้าว่าควรทำเช่นใดเพื่อให้การแต่งหน้าของเจ้าเป็นไปอย่างเหมาะสม  ถ้าเจ้าไม่ชอบแต่งหน้า พระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ได้บังคับ  อย่างไรก็ดี เจ้าต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า แม้เจ้าจะไม่ต้องแต่งหน้า แต่เจ้าก็ไม่สามารถออกนอกบ้านในสภาพสกปรกรุงรังเหมือนขอทานได้  ตัวอย่างเช่น เวลาเจ้าออกไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ ถ้าเจ้าไม่ทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่ไปเจอผู้คนได้หรือล้างหน้าล้างตาก่อนออกจากบ้าน แต่งตัวก็ไม่เรียบร้อย แล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก  ตราบใดที่พวกเราเข้าใจความจริง จะแต่งตัวอย่างไรก็ไม่สำคัญ!” นั่นสร้างสรรค์หรือไม่?  ในฐานะคนที่เชื่อในพระเจ้า เจ้าควรมีหลักธรรมสำหรับการแต่งกายและรูปลักษณ์ด้วย  มาตรฐานขั้นต่ำสุดของหลักธรรมข้อนี้ก็คือเจ้าต้องใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และต้องไม่ทำอะไรที่ดูหมิ่นพระเจ้า หรือดูถูกตัวตนและศักดิ์ศรีของเจ้าเอง  อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ควรทำให้ผู้อื่นนับถือเจ้า  ต่อให้เจ้าไม่เคร่งศรัทธา อย่างน้อยเจ้าก็ควรยับยั้งชั่งใจได้ มีศักดิ์ศรีและมีเกียรติ มีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน  ถ้าเจ้าให้ความรู้สึกที่ดีเช่นนี้แก่ผู้คนได้ เช่นนั้นแล้วนั่นก็เพียงพอ  นี่คือข้อกำหนดขั้นพื้นฐานที่สุดสำหรับการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ

สำหรับคนที่เชื่อในพระเจ้า เรื่องทั้งหลายเกี่ยวกับพฤติกรรมภายนอกและการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของผู้คนนี้ไม่ควรที่จะยากลำบากหรือเป็นภาระ เพราะอย่างน้อยที่สุดเรื่องเหล่านี้คือเรื่องพื้นฐานที่สุดที่คนปกติควรมี  เรื่องเหล่านี้ควรที่จะเข้าใจง่าย ไม่ใช่เข้าใจยาก  เพราะฉะนั้น เรื่องของพฤติกรรมภายนอกและการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของผู้คนจึงไม่ควรกลายเป็นประเด็นสำคัญที่เสวนากันเนืองๆ ในชีวิตคริสตจักร  การพูดคุยถึงเรื่องเหล่านี้ในบางโอกาสย่อมไม่เป็นไร แต่ถ้าเจ้าทำเหมือนเรื่องเหล่านี้เป็นหัวข้อให้ใช้แสวงหาความจริง และหยิบยกขึ้นมาบ่อยครั้ง ตั้งใจเสวนากันอย่างจริงจัง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ออกจะละเลยหน้าที่ที่ตนพึงทำอยู่บ้าง  ปกติแล้วผู้คนเช่นไรที่ละเลยหน้าที่ที่ตนพึงทำ?  การตั้งคำถาม เช่น ควรกินมันเทศอย่างไร และทำเหมือนคำถามเหล่านี้เป็นหัวข้อให้ใช้แสวงหาความจริง สืบค้นและสามัคคีธรรมกันในการชุมนุม บางครั้งก็ในที่ชุมนุมหลายแห่ง ส่วนผู้นำคริสตจักรก็ไม่ทำอะไรเพื่อหยุดยั้งการกระทำดังกล่าว—ทั้งหมดนี้คือลักษณะที่สำแดงถึงผู้คนที่บิดเบี้ยวและไม่มีความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตามการชุมนุมต่างๆ ควรที่จะเสวนาเรื่องใดบ้าง?  เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความจริงและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน  ความจริงและพระวจนะของพระเจ้าคือหัวข้อที่เสมอต้นเสมอปลายในชีวิตคริสตจักร เรื่องที่ว่าด้วยหัวข้อทั่วไปในระดับพื้นฐานที่สุดซึ่งเป็นพฤติกรรมภายนอกของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่ควรเป็นหัวข้อหลักที่จะสามัคคีธรรมในชีวิตคริสตจักรและในการชุมนุม  ถ้าพี่น้องชายหญิงแนะนำ ตักเตือน และสามัคคีธรรมกันในเรื่องเหล่านี้นอกการชุมนุม นั่นย่อมเพียงพอที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้แล้ว  ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เวลามากมายมาสามัคคีธรรมและเสวนาเรื่องดังกล่าว  การทำเช่นนั้นจะส่งผลต่อการชุมนุมและการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปกติของผู้คน และจะส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา  ชีวิตคริสตจักรเป็นชีวิตของการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า  สิ่งที่ชีวิตคริสตจักรเน้นย้ำจึงควรเป็นการสามัคคีธรรมความจริงและการแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง เมื่อทำดังนั้นก็จะไม่ถ่วงความก้าวหน้าในชีวิตของคนเรา  ถ้าเจ้ามีสำนึกของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เจ้าก็ควรชัดเจนว่าการปฏิบัติเรื่องเหล่านี้ตามหลักธรรมนั้นควรทำอย่างไร  ถ้าเจ้าจุกจิกอยู่เสมอในเรื่องที่ไม่สำคัญและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง ถ้าเจ้าคิดเล็กคิดน้อยอยู่ร่ำไป แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองรอบรู้และทรงภูมิ เรื่องแบบนี้ก็ควรถูกชำแหละมิใช่หรือ?  ตัวอย่างเช่น บางคนให้ความสำคัญกับการแต่งกายของตนมาก และถามอยู่เสมอว่าผู้เชื่อจะสวมเสื้อผ้าที่ดูผิดธรรมดาได้หรือไม่ บางคนที่เพิ่งมาเชื่อในพระเจ้าก็ถามอยู่เรื่อยๆ ว่าผู้เชื่อควรดื่มสุราหรือไม่ บางคนชอบทำธุรกิจและถามอยู่เสมอว่าผู้เชื่อควรทำเงินมากๆ กันหรือไม่ และบางคนก็ถามตลอดเวลาว่าวันแห่งพระเจ้าจะมาเมื่อใด  ผู้คนเหล่านี้ไม่เต็มใจที่จะแสวงหาความจริงในเรื่องเหล่านี้เพื่อค้นหาคำตอบที่ถูกต้อง  แม้จะไม่มีพระวจนะที่ตรงกับเรื่องเหล่านี้ แต่พระเจ้าก็ทรงอธิบายหลักธรรมของการจัดการเรื่องเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจนมาก  ถ้าผู้คนไม่พยายามอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็จะไม่พบคำตอบ  อันที่จริงทุกคนรู้จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้า และรู้ว่าจะได้อะไรจากการเชื่อนี้  เพียงแต่มีบางคนไม่รักความจริง แต่ก็ยังคงอยากได้พร  ความยากลำบากของพวกเขาอยู่ตรงนั้น  เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดจึงเป็นเรื่องที่ว่าคนเรายอมรับความจริงได้หรือไม่  มีบางคนที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าหรือการสามัคคีธรรมความจริง  พวกเขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับคำถามที่ไม่สำคัญ อยากสามัคคีธรรมถึงคำถามเหล่านี้ตามการชุมนุมอยู่เสมอและอยากได้คำตอบที่แน่ชัด ส่วนผู้นำและคนทำงานก็ไม่สามารถเข้มงวดกับพวกเขาได้  นี่เป็นปัญหาประเภทใด?  ผู้คนเหล่านี้กำลังละเลยหน้าที่ที่ตนพึงทำอยู่มิใช่หรือ?  ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติความจริงและอยากเดินไปบนเส้นทางที่ผิดอยู่เสมอ เหตุใดเจ้าจึงไม่ทบทวนตนเอง ทำความรู้จักและวิเคราะห์ตนเอง?  เจ้าชอบเอาอกเอาใจผู้คนอยู่ตลอดเวลา ไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตน ไม่ฟังใคร ทำตัวเป็นกฎเสียเอง เอาแต่ใจ และผลีผลาม  เจ้าไม่ระมัดระวังเรื่องอย่างนี้ได้อย่างไร?  เจ้าไม่สืบค้นและชำแหละเรื่องนี้เพื่อค้นหาว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นได้อย่างไร?  ทำไมเจ้าถึงตำหนิและเข้าใจพระเจ้าผิดทุกครั้งที่มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า?  เหตุใดเจ้าจึงให้คำวินิจฉัยในเรื่องของตัวเองอยู่เสมอ และบ่นพึมว่าพระเจ้าไม่ชอบธรรมและคริสตจักรก็ไม่เป็นธรรม?  เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาหรอกหรือ?  เจ้าไม่ควรสามัคคีธรรมและชำแหละเรื่องเหล่านี้ในชีวิตคริสตจักรหรอกหรือ?  เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าแบ่งแยกคริสตจักรและชำระผู้คนออกไป เจ้าก็ไม่เคยนบนอบและไม่เคยพอใจ เจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและแพร่กระจายความคิดลบอยู่เสมอ  นี่ไม่ใช่ปัญหาหรอกหรือ?  เจ้าไม่ควรสืบค้นและชำแหละปัญหาข้อนี้หรอกหรือ?  เจ้าไล่ตามไขว่คว้าสถานะตลอดเวลา เล่นการเมือง และบริหารจัดการสถานะของตนเอง  นี่ไม่ใช่ปัญหาหรอกหรือ?  เจ้าไม่ควรสามัคคีธรรมและชำแหละประเด็นปัญหาเหล่านี้หรอกหรือ?  ตอนนี้คริสตจักรกำลังดำเนินงานชำระให้สะอาด และบางคนก็บอกว่า “ตราบใดที่ผู้คนมีประสิทธิผลในหน้าที่ของตนเองอยู่บ้าง พวกเขาก็จะไม่ถูกปลด ดังนั้นถ้าเพียงแต่ฉันยังคงมีประสิทธิผลในหน้าที่อยู่บ้างและไม่ถูกปลด นั่นก็พอแล้ว”  อะไรคือปัญหาในที่นี้?  ผู้คนเหล่านี้กำลังต่อต้านด้วยการนิ่งเฉยมิใช่หรือ?  ถ้าคนเราพรั่งพรูอุปนิสัยที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเช่นนี้ได้ ก็จำเป็นต้องแก้ไขเรื่องนี้มิใช่หรือ?  ปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมร้ายแรงกว่าวิธีกินมันเทศมากนักมิใช่หรือ?  ไม่สมควรหยิบยกขึ้นมาสามัคคีธรรมและชำแหละในการชุมนุมและในชีวิตคริสตจักรเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถมีวิจารณญาณแยกแยะหรอกหรือ?  เหล่านี้คือตัวอย่างที่เป็นแบบฉบับอันดีของพฤติกรรมเชิงลบมิใช่หรือ?  ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามย่อมสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์โดยตรง และเกี่ยวพันกับความรอดของมนุษย์  เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ดังนั้นทำไมพวกเจ้าถึงไม่สามัคคีธรรมและชำแหละประเด็นปัญหาเหล่านี้ในการชุมนุม?  ถ้าเจ้าไม่เคยแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องที่สำคัญยิ่งอย่างเรื่องเหล่านี้ในการชุมนุม แต่กลับสามัคคีธรรมเรื่องน่าเบื่อที่ไม่มีความสำคัญกันอย่างไม่จบสิ้น เอาเวลาชุมนุมทั้งหมดไปสามัคคีธรรมเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่เป็นสาระสำคัญได้ เสียเวลาเปล่าอีกต่างหาก—พวกเจ้าก็กำลังละเลยหน้าที่ที่ตนพึงทำมิใช่หรือ?  ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเจ้าก็จะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยกันหมด เลอะเลือนสับสน ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี และเข้าไม่ถึงความจริง  พวกเจ้าไม่สามัคคีธรรมเรื่องที่ควรสามัคคีธรรมในการชุมนุม ทั้งยังสามัคคีธรรมกันอย่างไม่รู้จบในเรื่องที่ไม่ควรสามัคคีธรรมตามการชุมนุม  เวลาชุมนุมเจ้าก็สามัคคีธรรมเรื่องที่ไม่เกี่ยวอะไรกับความจริงอยู่เสมอ เป็นเรื่องความเข้าใจอันคลาดเคลื่อนของเจ้าเองและปัญหาส่วนตัวที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ทำให้ทุกคนสืบค้นเรื่องพวกนั้นไปพร้อมกับเจ้า และเสียเวลาโดยใช่เหตุ  นี่ไม่เพียงส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเท่านั้น แต่ยังถ่วงความก้าวหน้าตามปกติแห่งงานของคริสตจักรอีกด้วย  นี่คือการก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักรมิใช่หรือ?  พฤติกรรมเยี่ยงนี้ควรเรียกว่าการก่อกวน  นี่คือการจงใจก่อกวน และควรเข้มงวดกวดขันผู้คนที่ทำเช่นนี้  ต่อไปภายหน้าการชุมนุมควรจำกัดให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า สามัคคีธรรมความจริง แก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ตลอดจนแก้ไขความยากลำบากและปัญหาทั้งหลายในหน้าที่ของผู้คนเท่านั้น  เรื่องที่ไม่เป็นสาระและไม่มีความสำคัญหรือเรื่องของสามัญสำนึกทั่วไป ไม่ควรเอามาสามัคคีธรรมในการชุมนุม  พี่น้องชายหญิงสามารถแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยการสามัคคีธรรมกันเอง ไม่จำเป็นต้องเอามาสามัคคีธรรมในการชุมนุม

ผู้คนที่มีความเข้าใจบิดเบี้ยวเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและคิดอะไรจุกจิกนั้นมีอยู่เสมอในคริสตจักร  เวลาเราสามัคคีธรรมถึงพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์ ผู้คนเหล่านี้ก็พยายามในเรื่องพฤติกรรมของตนอย่างแท้จริง  พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมพวกเราถึงต้องสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้  จงบอกเราเถิดว่าทำไมพวกเราถึงจำเป็นต้องสามัคคีธรรมเรื่องนี้?  พวกเราต้องการที่จะสัมฤทธิ์อะไรในการสามัคคีธรรมเรื่องนี้?  ก่อนอื่นพวกเรามาคุยกันว่าเหตุใดพวกเราจึงต้องสามัคคีธรรมเรื่องนี้  หัวข้อพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์และหลักเกณฑ์สำหรับพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดนั้นถูกหยิบยกขึ้นมาในบริบทเช่นใด?  ถูกหยิบยกขึ้นมาระหว่างที่พวกเราสามัคคีธรรมเรื่อง “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร”  ประเด็นนี้สัมพันธ์โดยตรงกับเรื่องที่ว่ามนุษย์ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร  พฤติกรรมอันดีงามที่ผู้คนแสดงออกมาอันเป็นผลจากการปฏิบัติความจริงนั้นเกี่ยวข้องกับความจริงและสัมพันธ์กับความจริง  ไม่ว่าพฤติกรรมหนึ่งๆ จะดูดีเพียงใดในสายตาของมนุษย์ ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่สัมพันธ์กับความจริง  บางคนก็จะบอกว่า “ผิดแล้ว!  พระองค์ตรัสไว้ไม่ใช่หรือว่าพฤติกรรมอันดีงามไม่ใช่ความจริง?  ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ”  พวกเจ้าอธิบายเรื่องนี้ได้หรือไม่?  ในบริบทของการสามัคคีธรรมเรื่อง “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร” เราได้ชำแหละพฤติกรรมที่ผู้คนเชื่อว่าดีงามตามโนคติอันหลงผิดของพวกเขา และเราก็วิจารณ์และกล่าวโทษพฤติกรรมเหล่านั้น  ขณะเดียวกันเราก็บอกให้ผู้คนรู้ว่าพระเจ้าทรงวางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ไว้ว่าอย่างไร เรามอบเส้นทางที่ถูกต้องในการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติแก่พวกเขา อันเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขามีหลักเกณฑ์ไว้ประเมินการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เมื่อมีรากฐานเช่นนี้ ผลที่เราสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุดก็คือการบอกให้ผู้คนรู้ว่าพฤติกรรมที่พวกเขาคิดว่าดีงามตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขานั้นไม่ใช่หลักเกณฑ์ที่เป็นความจริง หรือเกี่ยวข้องกับความจริง และไม่ได้สัมพันธ์กับความจริง อันเป็นการหยุดยั้งผู้คนไม่ให้เชื่ออย่างผิดๆ ว่าการมีพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้คือการไล่ตามเสาะหาความจริง  พร้อมกันนั้นเราก็บอกให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขาจะทำได้ถึงมาตรฐานของการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติก็ต่อเมื่อพวกเขาทำตามหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้เท่านั้น  ในเมื่อเราบอกผู้คนไปแล้วว่าพฤติกรรมอันดีงามทั้งปวงที่มนุษย์ให้การสนับสนุนนั้นคือเปลือกปลอมและเป็นเรื่องเทียมเท็จ เป็นการเล่นละครที่ทำเอาหน้าทั้งสิ้น ทั้งหมดนั้นไม่ถูกต้องและล้วนมีกลอุบายของซาตานปลอมปนอยู่ บัดนี้เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกขจัดออกไปและผู้คนก็ถูกกีดกันไม่ให้ทำตามแล้ว พวกเขาย่อมไม่รู้วิธีปฏิบัติมิใช่หรือ?  พวกเขาคิดเอาว่า “อย่างนั้นฉันควรใช้อะไรเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต?  หลักเกณฑ์ที่แท้จริงของพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดคืออะไร?”  คือข้อกำหนด หลักเกณฑ์ และถ้อยแถลงอันเป็นรูปธรรมที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์—ง่ายๆ เช่นนั้นเอง  ตราบใดที่ผู้คนใช้ชีวิตตามความเป็นจริงที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ พวกเขาย่อมจะทำได้ตามมาตรฐานของการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์แล้ว  พวกเขาจะไม่คิดเล็กคิดน้อย หรือนึกฉงนใจ หรือสับสนในเรื่องนี้  เมื่อผู้คนทำได้ตามมาตรฐานที่ควรเป็นของการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาย่อมแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงบนทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงแล้วมิใช่หรือ?  พวกเขาย่อมขจัดอุปสรรคและขวากหนามของการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ไปแล้วมิใช่หรือ?  อย่างน้อย ถึงตอนนี้ ท่าทีภายนอกที่มนุษยชาติพากันสรรเสริญ เช่น ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล มีไมตรีจิต และคุยด้วยง่าย ย่อมไม่ใช่เป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของมนุษย์อีกต่อไป  หรือกล่าวให้แน่ชัดขึ้นก็คือ ไม่ใช่เป้าหมายซึ่งผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเพียรใช้ในการดำเนินชีวิตภายนอก หรือเป็นมาตรฐานที่มนุษยชาติที่ปกติพึงใช้ในการดำเนินชีวิตอีกต่อไป  ท่าทีภายนอกที่มนุษย์พากันสรรเสริญถูกแทนที่ด้วยการต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจ มีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน และอื่นๆ  ข้อกำหนดเหล่านี้ของพระเจ้าคือหลักเกณฑ์ให้มนุษย์ใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เป็นสภาพเสมือนที่การใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรจะเป็น  ในหนทางนี้ ภาวะ เป้าหมาย และทิศทางในระดับพื้นฐานที่สุดของการไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมได้รับการยืนยันแล้วมิใช่หรือ?  เรื่องพื้นฐานที่สำคัญที่สุดได้รับการยืนยันแล้ว ซึ่งก็คือเป้าหมายของการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่ใช่การให้ผู้คนผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท มีไมตรีจิต สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ เป็นต้น  แต่เป็นการให้พวกเขาใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติดังที่พระเจ้ากำหนด  ไม่มีเปลือกปลอมและกลอุบายใดๆ ของซาตานในเรื่องนี้ แต่กลับเป็นพฤติกรรมที่สำแดงและใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง  ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อมองจากมุมนี้ เวลาพวกเราสามัคคีธรรมถึงพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์ภายใต้หัวข้อเรื่องสิ่งที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของเขาว่าถูกต้องและดีงาม รวมทั้งสามัคคีธรรมถึงหลักเกณฑ์ของพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนด—เรื่องเหล่านี้สัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (สัมพันธ์)  เรื่องเหล่านี้สัมพันธ์กัน  นี่ย่อมยืนยันทิศทางและเป้าหมายขั้นพื้นฐานของการไล่ตามเสาะหาความจริงของมนุษย์ในระดับหนึ่ง  นี่หมายความว่าก่อนที่เจ้าจะเริ่มต้นไล่ตามเสาะหาความจริง อย่างน้อยที่สุดเป้าหมายของเจ้าในการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติย่อมจะถูกต้อง  เป้าหมายนี้ไม่ใช่แนวทางที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ใช่การสร้างภาพ หรือการอำพราง  แต่เป็นการใช้ชีวิตที่ปกติตามสภาวะความเป็นมนุษย์ซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้  แม้หัวข้อนี้จะยังคงค่อนข้างห่างไกลจากการไล่ตามเสาะหาความจริงกันอย่างแท้จริง แต่ก็สำคัญต่อทิศทางที่ครอบคลุมถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่เป็นหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมในขั้นพื้นฐานที่สุดและง่ายที่สุดที่มนุษย์ควรเข้าใจ  ไม่ว่าหัวข้อสามัคคีธรรมนี้จะห่างไกลจากการไล่ตามเสาะหาความจริงเพียงใด และห่างไกลจากหลักเกณฑ์ของความจริงเพียงใด เนื่องจากหัวข้อนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อกำหนดของพระเจ้าและหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าประทานแก่มนุษยชาติเอาไว้ จึงเป็นธรรมดาที่จะเกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์ของความจริงในระดับหนึ่งด้วย  เพราะฉะนั้น ผู้คนจึงควรทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้  ข้อกำหนดทั้งหลายที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์นี้คือหลักเกณฑ์ที่ผู้คนควรยึดปฏิบัติ และต้องไม่เพิกเฉย  หลังจากที่เข้าใจประเด็นเหล่านี้แล้ว อย่างน้อยผู้คนก็จะไม่เสาะแสวงที่จะเป็นคนประเภทที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม คุยด้วยง่าย หรือมีไมตรีจิตเวลาใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติและเวลาแสดงท่าทีภายนอกให้เห็น—เหมือนที่ผู้คนชาวตะวันตกคาดหวังเป็นพิเศษให้ผู้ชายเป็นสุภาพบุรุษ เปิดประตูให้ผู้หญิง ดึงเก้าอี้ให้ผู้หญิงนั่ง และให้ความสำคัญแก่ผู้หญิงเป็นอันดับแรกตามสถานที่สาธารณะ—เมื่อผู้คนมีวิจารณญาณในพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็จะไม่ใช้พฤติกรรมเหล่านี้เป็นมาตรฐานของตนเวลาเพียรพยายามใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ หรือเวลาที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาพฤติกรรมที่เป็นสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  แต่พวกเขาจะทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปจากหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของตน พวกเขาจะไม่ถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำและพันธนาการเอาไว้อีกต่อไป  นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าพึงทำ  ถ้ามีคนที่ยังคงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น คนคนนั้นก็ไม่ได้ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเท่าใดนัก” เจ้าจะมีปฏิกิริยาเช่นไร?  เจ้าจะชำเลืองมองพวกเขาและบอกพวกเขาว่า “คุณพูดผิดแล้ว  นี่เป็นพระนิเวศของพระเจ้า  ที่ว่า ‘ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล’ นั้นคุณหมายความว่าอย่างไร?  นั่นไม่ใช่ความจริง และไม่ใช่สภาพเสมือนมนุษย์ที่หมายให้พวกเราใช้ดำเนินชีวิต”  บางคนก็บอกว่า “ผู้นำของพวกเราไม่เคารพผู้เฒ่าและไม่เอาใจใส่ผู้เยาว์  ฉันอายุมากแล้ว แต่เธอกลับไม่เรียกฉันว่าคุณป้า เอาแต่เรียกชื่อจริง  เธอไม่ควรทำอย่างนั้น  หลานๆ ฉันอายุมากกว่าเธออีก!  ทำแบบนี้เธอดูถูกฉันอยู่ไม่ใช่หรือ?  เธอไม่เป็นมิตรหรือดีกับผู้คนด้วย  ดูจากพฤติกรรมของเธอแล้ว เหมือนเธอไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ”  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับทัศนะเช่นนี้?  การเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ไม่ใช่ความจริง  เจ้าไม่ควรประเมินผู้คนตามพฤติกรรมและสิ่งที่พวกเขาสำแดงให้เห็นภายนอก แต่ประเมินตามพระวจนะของพระเจ้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  สิ่งเหล่านี้เท่านั้นคือหลักธรรมที่ใช้ประเมินผู้คน  เช่นนั้นแล้วพวกเราควรประเมินผู้นำและคนทำงานกันอย่างไร?  เจ้าควรดูว่าพวกเขาทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่ พวกเขาสามารถนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือสรรให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจความจริงหรือไม่ ดูว่าพวกเขาสามารถใช้ความจริงแก้ปัญหาในคริสตจักรและใช้ทำงานบางอย่างที่สำคัญมากให้เสร็จสมบูรณ์ได้หรือไม่  ตัวอย่างเช่น งานข่าวประเสริฐดำเนินไปอย่างไรบ้าง?  ชีวิตคริสตจักรเป็นอย่างไร?  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรปฏิบัติหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีหรือไม่?  งานต่างๆ ทั้งมวลที่ใช้ความชำนาญเฉพาะทางคืบหน้าไปอย่างไร?  มีการเอาตัวพวกผู้ปราศจากความเชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์ออกไปหรือยัง?  เหล่านี้คืองานที่สำคัญยิ่งของคริสตจักร  การประเมินผู้นำและคนทำงานนั้นส่วนใหญ่แล้วทำกันโดยดูว่าพวกเขาปฏิบัติงานเหล่านี้ดีเพียงใด  ถ้าพวกเขามีประสิทธิผลในด้านต่างๆ ทั้งหมดนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เป็นผู้นำที่มีความสามารถ  ต่อให้พฤติกรรมของพวกเขาบกพร่องอยู่บ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่  การเอาแต่มองพฤติกรรมภายนอกไม่ใช่มาตรฐานในการประเมินว่าผู้นำหรือคนทำงานนั้นๆ เหมาะสมหรือไม่  ถ้าผู้คนมองเรื่องนี้ตามมุมมองของมนุษย์ ก็จะดูเหมือนว่าผู้นำคนดังกล่าวหยาบคายเพราะเธอไม่เคยเรียกหญิงที่อายุมากกว่าว่าคุณป้าหรือคุณยาย  แต่ถ้าพวกเขาใช้พระวจนะของพระเจ้าประเมินเธอ ผู้นำคนนี้ย่อมเป็นที่น่าพอใจ และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็เลือกคนถูกเพราะเธอสามารถแบกรับงานทุกด้านของคริสตจักรได้ เธอช่วยเหลือและเกื้อกูลการเข้าสู่ชีวิตของประชากรทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แล้วเธอก็ทำงานข่าวประเสริฐเป็นอย่างดี  ทุกคนควรยอมรับการเป็นผู้นำของเธอและให้ความร่วมมือในงานของเธอ  ถ้าใครบางคนไม่ให้ความร่วมมือในงานของผู้นำคนนี้ หรือทำให้เธอลำบาก หรือมองหาไพ่ตายเพื่อให้ตนวิพากษ์วิจารณ์เธอได้เพียงเพราะผู้นำคนนี้ไม่ได้มีพฤติกรรมภายนอกอันดีงามอย่างการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ นี่ย่อมไม่เป็นผลดีต่องานของคริสตจักร  นี่คือการทำตัวกับผู้นำและคนทำงานอย่างไม่มีหลักธรรม และสำแดงถึงการขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร  ผู้คนเช่นนี้ไม่ได้ทำตัวให้ถูกต้อง พวกเขากำลังทำชั่ว  หากเจ้าเห็นผู้นำหรือคนทำงานที่ไม่เคารพผู้อาวุโสของตน และด้วยเหตุนี้เจ้าจึงคิดว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่ดีพอ เจ้าไม่ยอมรับการเป็นผู้นำของพวกเขา และถึงกับกล่าวโทษพวกเขา เจ้ากำลังผิดพลาดเรื่องใดอยู่?  นี่คือผลร้ายของการประเมินผู้คนโดยใช้มาตรฐานของมนุษย์ตามทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม  ถ้าทุกคนสามารถประเมินผู้คน รวมทั้งผู้นำและคนทำงานที่ได้รับเลือกมา ตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ก็ย่อมจะถูกต้องแม่นยำและตรงตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ผู้คนย่อมจะสามารถทำได้ทั้งเรื่องการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นธรรมและการทำให้งานของคริสตจักรก้าวหน้าต่อไปตามปกติ  พระเจ้าก็จะพอพระทัย และมนุษย์ก็จะพอใจ ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?

ตั้งแต่เราชำแหละสิ่งที่เรียกกันว่า “พฤติกรรมอันดีงาม” ของมนุษย์ และสามัคคีธรรมเรื่องมาตรฐานตามข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์ไปแล้ว มุมมองที่ผู้คนใช้มองผู้อื่น และมาตรฐานที่พวกเขาใช้ประเมินผู้อื่นก็เปลี่ยนไป ในเมื่อผู้คนใช้สายตาที่แตกต่างกันมองผู้อื่น ผลการประเมินของผู้คนก็ย่อมแตกต่างกันด้วย  ถ้าผู้คนใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นบาทฐานในการประเมินของตน เช่นนั้นแล้วผลก็ย่อมจะถูกต้อง ยุติธรรม เป็นไปตามข้อเท็จจริง และเห็นแก่ประโยชน์ของทุกคนอย่างแน่นอน  ถ้ามุมมอง วิธี และหลักการที่ผู้คนใช้ประเมินเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดว่าถูกต้องและดีงาม เช่นนั้นแล้วผลจะเป็นอย่างไร?  บางคนอาจลงเอยด้วยการใส่ความหรือกล่าวโทษคนดี หรืออาจถูกพวกหน้าซื่อใจคดชักนำให้หลงผิด ไม่สามารถประเมินและปฏิบัติต่อคนคนหนึ่งอย่างเที่ยงธรรมได้  เนื่องจากหลักการของมนุษย์นั้นผิดพลาด จึงแน่นอนว่าผลสุดท้ายย่อมผิด ไม่ยุติธรรม และไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  ดังนั้น จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องชำแหละและสามัคคีธรรมเรื่องแก่นแท้ของมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีต่อพฤติกรรมอันดีงาม?  นี่สัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริงบ้างหรือไม่?  สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น!  แม้หัวข้อนี้จะพูดถึงการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของผู้คน รวมทั้งท่าทีภายนอกและการพรั่งพรูของมนุษย์เท่านั้น แต่เมื่อผู้คนมีหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องในการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติตามที่พระเจ้าทรงกำหนด พวกเขาก็จะมีหลักการและหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องและได้มาตรฐานสำหรับใช้ประเมินผู้อื่น มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ตลอดจนวางตนและกระทำการ  ดังนั้นในแง่นี้ ทิศทาง เส้นทาง และเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขาย่อมจะถูกต้องแม่นยำขึ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่ย่อมจะถูกต้องแม่นยำขึ้นและมีมาตรฐานมากขึ้น  แม้หัวข้อเหล่านี้จะค่อนข้างง่าย แต่ก็สัมพันธ์กับทัศนะที่มนุษย์มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย กับการวางตนและการกระทำของมนุษย์อย่างแนบแน่นที่สุด เป็นจริงที่สุด และสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างที่สุด—ไม่ได้ไร้ความหมายแต่อย่างใด

เราพูดเรื่องสิ่งที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของเขาว่าถูกต้องและดีงามไปมากแล้ว—เราพูดเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อที่จะทำให้พวกเจ้าเข้าใจว่า แม้หัวข้อเหล่านี้จะห่างไกลจากความจริงอยู่บ้าง และไม่ได้สูงส่งเท่าความจริง แต่ก็สัมพันธ์กับทัศนะที่มนุษย์มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย กับการวางตนและการกระทำของมนุษย์เอง  เพราะฉะนั้น จงอย่ามองหัวข้อเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ความจริง หรือเป็นความรู้หรือทฤษฎีอย่างหนึ่ง  หัวข้อเหล่านี้ไม่ได้ไร้ความหมาย  สิ่งที่ผู้คนมองว่าถูกต้องและดีงามตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขานั้นมีอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขาเสมอ ควบคุมความคิดอ่าน ควบคุมมุมมองและจุดยืนที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ตลอดจนวิธีวางตัวและกระทำการของพวกเขา  เพราะฉะนั้นจึงต้องอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้ชัดแจ้ง เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจและมีวิจารณญาณในเรื่องเหล่านี้ และด้วยเหตุนี้จึงปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดที่มนุษย์มีต่อพฤติกรรมและสิ่งต่างๆ อันดีงามจำพวกนี้ ไม่ทำเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นบวก หรือเป็นหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมให้ตนใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ใช้วางตนและกระทำการต่างๆ อีกเป็นอันขาด  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด และยิ่งไม่ใช่ความจริง  สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือหมั่นแก้ไขมุมมองและจุดยืนที่เจ้าใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ใช้วางตัวและกระทำการ ให้ถูกต้อง พลางตรวจสอบอยู่ตลอดเวลาอีกด้วยว่ามโนคติและมุมมองที่เกิดขึ้นในความรู้สึกนึกคิดของเจ้านั้นตรงตามความจริงหรือไม่  พวกเจ้าต้องแก้ไขมโนคติและมุมมองที่คลาดเคลื่อนของเจ้าให้ถูกต้องโดยเร็ว แล้วจากนั้นก็ยึดมั่นในจุดยืนที่ถูกต้อง มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า โดยใช้หลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้ากำหนดให้  นี่คือการลงมือไล่ตามเสาะหาความจริงในขั้นพื้นฐานที่สุด ทั้งยังเป็นทิศทางและเป้าหมายอย่างหนึ่งของการไล่ตามเสาะหาที่เจ้าควรมีอีกด้วยยามพากเพียรที่จะบรรลุความรอดและใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เวลาที่พวกเจ้าเพิ่งฟังวจนะเหล่านี้จบ ความเข้าใจที่พวกเจ้ามีในวจนะเหล่านี้อาจจะไม่ลึกซึ้งหรือเป็นรูปธรรมนัก แต่อย่าได้วิตก  พอพวกเจ้ามีประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ชำแหละและมีวิจารณญาณแยกแยะสิ่งที่เชื่อกันว่าถูกต้องตามมโนคติอันหลงผิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างต่อเนื่อง พวกเจ้าก็จะสามารถละทิ้งคำกล่าวอ้างต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิมได้ในที่สุด  เจ้าจะไม่มีวันประเมินพฤติกรรมของผู้คนตามวัฒนธรรมดั้งเดิมอีก แต่จะประเมินผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงแทน  เมื่อเป็นดังนี้ เจ้าย่อมจะเก็บกวาดและทิ้งมโนคติอันหลงผิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมไปหมดแล้ว  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความจริง เข้าใจแต่คำสอนพื้นๆ  และเจ้าก็รู้ว่าพฤติกรรมที่วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดให้ทำนั้นไม่ถูกต้อง เจ้าก็อาจจะคิดว่า “ฉันเป็นคนสมัยใหม่ ต่างจากคนส่วนใหญ่ทางโลก  ฉันไม่ค่อยยึดถือจารีตและเอือมระอาวัฒนธรรมดั้งเดิมมาก ไม่ชอบทำตามธรรมเนียมและพิธีกรรมที่น่าเบื่อ”  แต่พอเจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ก็เป็นธรรมดามากที่เจ้าจะยังคงใช้มโนคติอันหลงผิดที่เคยมีนั้นมามองและประเมินผู้คนและสิ่งเหล่านั้น  ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะตระหนักว่าคำกล่าวอ้างทั้งปวงของเจ้าที่ว่าเป็นคนสมัยใหม่ ไม่ใช่คนหัวเก่าหรือนิยมจารีตเท่าไรนัก และยอมรับความจริงได้ แท้จริงแล้วเทียมเท็จและผิด และเจ้าถูกความรู้สึกของตัวเองหลอกเอา  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะตระหนักว่าความคิด ทัศนะ และมโนคติอันหลงผิดเดิมๆ ได้หยั่งรากลึกลงไปในหัวใจของเจ้านานแล้ว และไม่ได้หายไปทันทีที่เจ้าเปลี่ยนมโนคติหรือทิ้งความคิดบางอย่าง  การพูดว่าเจ้าเป็นคนยุคใหม่ เป็นคนสมัยใหม่นั้น เป็นเพียงการปิดฉลากภายนอก นั่นเป็นเพียงเพราะเจ้าเกิดในรุ่นและในยุคที่ต่างออกไป แต่สิ่งทั้งปวงซึ่งเป็นของสมัยเก่า เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า และพบเจอได้ทั่วไปในตัวมนุษย์ทั้งมวลนั้นมีอยู่ในตัวเจ้าเช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้น  ตราบใดที่เจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็จะมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัว  ถ้าเจ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วก็จงมีประสบการณ์ให้มากขึ้นเถิด  สักวันหนึ่งเจ้าจะกล่าวว่า “อาเมน” ต่อวจนะเหล่านี้ของเรา  ผู้คนที่ไม่เข้าใจเรื่องราวทางฝ่ายวิญญาณ คนที่หยิ่งผยองและเอาตัวเองเป็นใหญ่ ย่อมคิดว่า “ฉันจบปริญญาโทและปริญญาเอก  ฉันใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนี้มาหลายปี สัมผัสวัฒนธรรมและการศึกษายุคใหม่มาตลอด โดยเฉพาะการศึกษาแบบโลกตะวันตก  ฉันจะยังคงเก็บงำเรื่องล้าสมัยเหล่านั้นไว้ได้อย่างไร?  จารีตประเพณีทั้งหลายนั้นแย่ที่สุด  ฉันเกลียดกฎเกณฑ์ที่ไร้ประโยชน์พวกนั้น  เวลาครอบครัวของฉันมาอยู่พร้อมหน้ากัน พูดคุยถึงเรื่องต่างๆ และกฎเกณฑ์ที่เป็นของดั้งเดิม ฉันไม่นึกอยากฟังเลย”  จงอย่ารีบปฏิเสธ  ท้ายที่สุดแล้วสักวันหนึ่งเจ้าก็จะปล่อยมือจากความคิดเหล่านี้ของเจ้าเอง  เจ้าจะยอมรับว่าในเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามนั้นไม่มีสมาชิกคนใดที่ปกติธรรมดาเกินเจ้าไปได้  แม้เจ้าจะไม่ได้เต็มใจยอมรับหรือพรั่งพรูมโนคติสมัยเก่าอันหลงผิดในตัวเจ้าออกมา แต่วัฒนธรรมดั้งเดิมและบรรพชนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็แพร่เชื้อและฝึกให้เจ้าเคยชินกับมโนคติอันหลงผิดเช่นนี้มานานแล้ว  สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงในภูมิทัศน์ข้างในตัวเจ้า ในความคิดและมโนคติอันหลงผิดของเจ้าโดยไม่มีข้อยกเว้น  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมไม่ใช่ถ้อยแถลงพื้นๆ ไม่ใช่คำกล่าวหรือท่าทีที่เรียบง่าย  แต่เป็นการนึกคิดและทฤษฎีอย่างหนึ่ง  แง่มุมเหล่านี้มีผลในทางชักจูงมนุษย์ให้หลงผิดและทำให้เสื่อมทราม  คำกล่าวและท่าทีเหล่านี้ไม่ได้มาจากสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม สิ่งเหล่านี้มาจากซาตาน  ตราบใดที่เจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายใต้พลังอำนาจของซาตาน เจ้าก็หลีกเลี่ยงการถูกแง่มุมเหล่านี้ฝึกฝนให้เคยชิน ชักจูงให้หลงผิด และทำให้เสื่อมทรามไม่ได้  บัดนี้ที่เจ้าได้ฟังวจนะของเราไปแล้ว เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าวจนะของเราคือข้อเท็จจริงและความจริงทั้งสิ้น  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับวจนะเหล่านี้ของเราแล้ว เจ้าก็จะค้นพบว่าแม้เจ้าจะไม่ชอบวัฒนธรรมดั้งเดิม หรือธรรมเนียมและพิธีกรรมที่น่าเบื่อ หรือกฎเกณฑ์ที่เปล่าประโยชน์ แต่หลักการพื้นฐานของทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ของการวางตัวและการกระทำของเจ้า ย่อมมาจากมนุษย์อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้  หลักการพื้นฐานทั้งหมดนั้นมาจากแก่นของวัฒนธรรมดั้งเดิม เป็นสิ่งที่อยู่ในวัฒนธรรมดั้งเดิม  ทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตัวและการกระทำของเจ้า ไม่ได้อิงพระวจนะของพระเจ้าโดยใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะรู้ เจ้าจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าก่อนที่ผู้คนจะได้รับความจริง ถ้าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาหรือเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมมีพิษของซาตานอยู่ในตัว มีส่วนหนึ่งของซาตาน และมีกลอุบายของซาตานอยู่กับตัวในยามที่พวกเขาใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติในระดับพื้นฐานที่สุด  ทุกสิ่งที่พวกเขาใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตล้วนเป็นลบ ทั้งยังเป็นที่ดูหมิ่นและปฏิเสธของพระเจ้า  ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของเนื้อหนังทั้งสิ้น และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นบวกซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดและโปรดปราน ตลอดจนเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์  ไม่มีอะไรคาบเกี่ยวกันเลย ไม่มีแม้แต่ความคล้ายคลึงกันระหว่างสองสิ่งนี้  การมองเห็นปัญหาเหล่านี้อย่างชัดแจ้งเป็นเรื่องสำคัญมาก มิเช่นนั้นผู้คนก็จะไม่รู้ว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงหมายความว่าอย่างไร  พวกเขาจะยึดถือพฤติกรรมอันดีงามที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสิ่งที่เป็นบวกเอาไว้ตลอดไป ดังนั้นพฤติกรรมและสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมาย่อมจะไม่มีวันได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ถ้าคนคนหนึ่งรักความจริง พวกเขาย่อมจะยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริงได้  พวกเขาจะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  เมื่อทำเช่นนี้พวกเขาก็จะสามารถออกเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่พระเจ้าทรงชี้ให้แก่มนุษย์  การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา—หลักธรรมความจริงข้อนี้สำคัญและจำเป็นต่อมนุษย์อย่างยิ่ง เป็นหลักธรรมความจริงที่คนเราต้องมีในยามที่ไล่ตามเสาะหาความรอดและพากเพียรที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย  เจ้าต้องยอมรับเรื่องนี้  ไม่มีทางเลือกในเรื่องนี้ และไม่มีข้อยกเว้นให้ใคร  ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ยอมรับหลักธรรมความจริงข้อนี้ ไม่ว่าเจ้าจะสูงอายุหรือยังหนุ่มสาว รอบรู้หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ที่มีความเชื่อหรือไม่ค่อยมี และไม่ว่าเจ้าจะเป็นชนชั้นไหนในสังคม หรืออยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ใด โดยไม่มีข้อยกเว้น เจ้าย่อมจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนด  สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือพากเพียรที่จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  นี่เป็นทางเส้นเดียวเท่านั้นที่เจ้าควรไล่ตามเสาะหา  เจ้าไม่ควรเลือกเฟ้นโดยกล่าวว่า “ฉันจะยอมรับบางสิ่งว่าเป็นความจริงถ้าสิ่งนั้นเป็นไปตามมโนคติของฉัน แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนั้น ฉันก็จะไม่ยอมรับ  ฉันจะทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีของฉันเอง ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องไล่ตามเสาะหาความจริง  ฉันไม่จำเป็นต้องมองดูผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายจากจุดยืนแห่งพระวจนะของพระเจ้า ฉันมีทัศนะของฉันเอง แล้วทัศนะของฉันก็ออกจะสูงส่ง อิงข้อเท็จจริง และเป็นบวก ไม่ได้แตกต่างจากพระวจนะของพระเจ้ามากนัก ดังนั้นจึงแน่นอนว่าสามารถแทนที่พระวจนะของพระเจ้าและความจริงได้  ฉันไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องนี้ หรือกระทำการตามพระวจนะ”  ทัศนะและวิธีไล่ตามเสาะหาแบบนี้ผิด  ไม่ว่าทัศนะของคนคนหนึ่งจะดีงามหรือถูกต้องเพียงใด ก็ยังผิดอยู่ดี และไม่มีทางที่จะสามารถแทนที่ความจริงได้  ถ้าเจ้ายอมรับความจริงไม่ได้ ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาจะเป็นอะไรก็ย่อมจะผิด  นั่นคือสาเหตุที่เรากล่าวว่าเจ้าไม่มีทางเลือกในเรื่องของ “การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา”  เจ้าได้แต่ทำตามวลีนี้แต่โดยดี ดำเนินการและมีประสบการณ์ตามวลีนี้ด้วยตัวเจ้าเอง ค่อยๆ มีความรู้ในเรื่องนี้ ยอมรับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และเข้าสู่ความเป็นจริงของวลีนี้  เมื่อนั้นเท่านั้นเป้าหมายที่เจ้าสัมฤทธิ์ในที่สุดจึงจะเป็นเป้าหมายเดียวกับที่คนเราพึงสัมฤทธิ์ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง  หาไม่แล้วสิ่งที่เจ้าเพียรทำมา ทุกสิ่งที่เจ้ายอมตัดขาด และราคาทั้งหมดที่เจ้าได้จ่ายไป ย่อมจะสูญสลาย และจะสูญเปล่าทั้งหมด  เจ้าเข้าใจหรือไม่?

การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร?  (การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา)  ถูกต้อง  จงปฏิบัติตามถ้อยคำเหล่านี้อย่างจริงจัง ครบถ้วน และครอบคลุม  ให้วลีนี้เป็นจุดหมายแห่งการไล่ตามเสาะหาของเจ้า และเป็นความเป็นจริงแห่งชีวิตของเจ้า เมื่อนั้นเจ้าถึงจะเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  จงอย่าด่างพร้อยไม่ว่าในทางใด อย่าได้ปนเปื้อนเจตจำนงใดๆ ของมนุษย์ และอย่าได้ยึดถือวิธีคิดเรื่องโชคเคราะห์  เช่นนั้นจึงเป็นวิธีปฏิบัติตนที่ถูกต้อง จากนั้นเจ้าจึงจะมีความหวังที่จะได้รับความจริง  ดังนั้นการสามัคคีธรรมและชำแหละมโนคติอันหลงผิดที่มนุษย์มีต่อพฤติกรรมอันดีงามมีความจำเป็นหรือไม่?  (มี)  การทำเช่นนี้ให้การชี้แนะและช่วยเหลือในทางที่เป็นบวกแก่พวกเจ้าอย่างไรบ้าง?  ถ้อยคำเหล่านี้กลายเป็นหลักการและหลักเกณฑ์ให้พวกเจ้าใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการได้หรือไม่?  (ได้)  ถ้าทำได้ เช่นนั้นแล้วเวลาที่พวกเจ้าชุมนุมและเฝ้าเดี่ยวก็จงอ่านพลางอธิษฐานตามสามัคคีธรรมทั้งสองครั้งนี้ให้ดีเถิด  เมื่อเจ้ามีความเข้าใจอันถ่องแท้ในถ้อยคำเหล่านี้ เจ้าก็จะสามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะมีหลักการและหลักเกณฑ์สำหรับการกระทำและวาจาของเจ้า  เจ้าจะดูคนออกอย่างถูกต้องแม่นยำ มุมมองและจุดยืนที่เจ้าใช้มองสิ่งทั้งหลายก็จะพลอยถูกต้องไปด้วย  เจ้าจะไม่มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามภาวะอารมณ์หรือความรู้สึกของเจ้าอีกต่อไป หรือตามวัฒนธรรมดั้งเดิมหรือปรัชญาของซาตาน  เมื่อเจ้ามีหลักการที่ถูกต้อง ผลการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายของเจ้าย่อมจะถูกต้องไปด้วย  ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น พวกเจ้าไม่อาจเอาแต่รับฟังหรือทิ้งขว้างถ้อยคำเหล่านี้ได้  เราไม่ได้ชุมนุมกับพวกเจ้าและสามัคคีธรรมหัวข้อเหล่านี้เพียงเพื่อฆ่าเวลาหรือหาอะไรให้ตัวเองทำเพลินๆ เพราะเรารู้สึกเบื่อ  เราทำเช่นนี้เพราะทุกคนมีปัญหาเหล่านี้เหมือนกัน เป็นปัญหาที่ผู้คนต้องทำความเข้าใจบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและสัมฤทธิ์ความรอดของตน  ถึงกระนั้นผู้คนก็ยังไม่เข้าใจประเด็นปัญหาเหล่านี้อย่างชัดแจ้ง  พวกเขามักจะติดพันอยู่กับปัญหาเหล่านี้และถูกมันพันธนาการเอาไว้  ปัญหาเหล่านี้เป็นอุปสรรคขัดขวางที่รบกวนพวกเขา  แน่นอนว่าผู้คนไม่ได้เข้าใจเส้นทางที่จะพาไปสู่การสัมฤทธิ์ความรอดเช่นกัน  ไม่ว่าจะมองจากมุมที่นิ่งเฉยหรือแข็งขัน หรือมองจากมุมที่เป็นบวกหรือเป็นลบ ผู้คนก็ควรที่จะแน่ใจว่าตนชัดเจนและเข้าใจปัญหาเหล่านี้  เมื่อทำเช่นนี้ เวลาเจ้าเผชิญปัญหาแบบนี้ในชีวิตจริงและพบเจอตัวเลือก เจ้าก็จะสามารถแสวงหาความจริงได้ มุมมองและจุดยืนที่เจ้าใช้มองปัญหาย่อมจะถูกต้อง และเจ้าก็จะสามารถทำตามหลักธรรมได้  เมื่อเป็นดังนี้ การตัดสินใจและสิ่งที่เจ้าเลือกย่อมจะมีหลักการ และเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าจะไม่มีวันถูกปรัชญาและเหตุผลวิบัติของซาตานชักจูงให้หลงผิดได้อีก เจ้าจะไม่มีวันถูกพิษและคำกล่าวอ้างที่ไร้สาระของซาตานทำให้เดือดร้อนได้อีก  และแล้วเมื่อถึงเวลามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเป็นเรื่องในระดับพื้นฐานที่สุด เจ้าจะสามารถมองเรื่องราวหรือผู้คนตามข้อเท็จจริงและด้วยความเที่ยงธรรม เจ้าจะไม่ถูกความรู้สึกของตนหรือปรัชญาของซาตานครอบงำหรือควบคุมเอาไว้  เพราะฉะนั้น แม้การตระหนักรู้และมีวิจารณญาณในพฤติกรรมที่ผู้คนเชื่อว่าดีงามตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ในกระบวนการการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ก็เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างแนบแน่น  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนมักจะเผชิญสิ่งเหล่านี้ในชีวิตประจำวันของตน  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น และเจ้าอยากจะลงมือทำตามวิธีหนึ่ง แต่อีกคนเสนอแนะทัศนะที่ต่างออกไป และเจ้าก็ไม่สะดวกใจกับวิธีประพฤติตัวตามปกติของคนคนนั้น—เจ้าควรปฏิบัติต่อทัศนะของอีกฝ่ายอย่างไร?  เจ้าควรรับมือเรื่องนี้อย่างไร?  การเอาแต่เมินอีกฝ่ายย่อมไม่ถูกต้อง  เนื่องจากเจ้ามีการประเมินหรือมีทัศนะบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขา หรือมีข้อสรุปเกี่ยวกับพวกเขาอยู่ในใจ สิ่งเหล่านี้ย่อมจะมีผลต่อการคิดอ่านและการตัดสินของเจ้า และน่าจะมีอิทธิพลต่อการวินิจฉัยของเจ้าในเรื่องนี้  นั่นคือสาเหตุที่เจ้าต้องรับมือทัศนะที่ต่างออกไปของพวกเขาอย่างสงบ มีวิจารณญาณและมองทัศนะนั้นให้กระจ่างตามความจริง  ถ้าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นตรงตามหลักธรรมความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรยอมรับเอาไว้  ถ้าเจ้าไม่อาจมองเรื่องนี้ได้อย่างกระจ่างแจ้ง เวลาที่เจ้าเผชิญสถานการณ์หรือบุคคลเช่นนี้อีก เจ้าย่อมจะรู้สึกสับสน ตั้งตัวไม่ทัน กระวนกระวาย และลุกลี้ลุกลนอยู่เสมอ  บางคนอาจถึงกับเลือกใช้วิธีการสุดโต่งเพื่อรับมือและจัดการสถานการณ์นั้นๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครอยากเห็นผลสุดท้ายของการทำเช่นนั้น  ถ้าเจ้าใช้มาตรฐานการประเมินที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มามองคน ผลสุดท้ายก็น่าจะดีงามและเป็นบวก—ความขัดแย้งระหว่างพวกเจ้าย่อมจะไม่มี และทั้งสองฝ่ายก็จะไปกันได้  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าใช้ตรรกะของซาตานและมาตรฐานตามมโนคติอันหลงผิดที่มนุษย์มีต่อพฤติกรรมอันดีงามมามองคน ก็มีแนวโน้มว่าสุดท้ายแล้วพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายจะต่อสู้และทุ่มเถียงกัน  ผลลัพธ์ย่อมจะเป็นว่าพวกเจ้าไปด้วยกันไม่ได้ และจะมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างตามมาด้วยคือ พวกเจ้าอาจบ่อนทำลายกันเอง ดูเบาและตัดสินกัน ในกรณีที่ร้ายแรงพวกเจ้าก็อาจถึงขั้นลงมือลงไม้ และในท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายย่อมจะเจ็บตัวและสูญเสีย  ไม่มีใครอยากเห็นอะไรอย่างนั้น  ดังนั้นสิ่งที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวผู้คนย่อมจะไม่มีวันสามารถช่วยให้พวกเขามองคนหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามข้อเท็จจริง ด้วยความเที่ยงธรรม หรือด้วยเหตุผลได้  ในทางตรงกันข้าม เมื่อผู้คนมองและประเมินคนหรือสิ่งใดตามหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดและตรัสบอกมนุษย์เอาไว้ รวมทั้งตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง แน่นอนว่าผลสุดท้ายย่อมจะเป็นไปตามข้อเท็จจริง เพราะไม่ได้ปนเปื้อนความมุทะลุ หรือภาวะอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์  แบบนี้มีแต่จะให้ผลเป็นสิ่งดีๆ เท่านั้น  เมื่อพิจารณาตามนี้ ผู้คนต้องยอมรับสิ่งใด มโนคติอันหลงผิดที่มนุษย์มีในเรื่องสิ่งที่ดีงาม หรือหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมตามที่พระเจ้ากำหนด?  (หลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมตามที่พระเจ้ากำหนด)  พวกเจ้าทุกคนรู้คำตอบของเรื่องนี้ แล้วก็ตอบได้อย่างถูกต้อง  เอาละ พวกเราจะจบสามัคคีธรรมหัวข้อนี้กันตรงนี้  สิ่งที่พวกเจ้าจำเป็นต้องทำต่อไปก็คือการใคร่ครวญและสามัคคีธรรมสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อยๆ เรียบเรียงประเด็นเหล่านี้ให้เป็นระบบ ค้นหาหลักธรรมของการปฏิบัติและเส้นทางปฏิบัติให้มากๆ แล้วจากนั้นก็ลงมือปฏิบัติและมีประสบการณ์ในเรื่องทั้งหมดนี้ในชีวิตประจำวันของเจ้า ตลอดจนเข้าสู่ความเป็นจริงของถ้อยคำเหล่านี้  ปกติแล้วการเข้าสู่ความเป็นจริงของถ้อยคำเหล่านี้คือความเป็นจริงความจริงประการแรกที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาและเข้าสู่  ในหนทางนี้ระหว่างที่มีประสบการณ์ ผู้คนย่อมมาเข้าใจและรู้จักเนื้อหาของสามัคคีธรรมนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไปทีละด้านและในระดับต่างๆ กัน และพวกเขาย่อมได้รับสิ่งต่างๆ อย่างต่อเนื่องจากมุมมองที่แตกต่างกันไป  ยิ่งเจ้าได้ไปมาก ความรู้จากประสบการณ์และการเข้าสู่ถ้อยคำเหล่านี้ของเจ้าก็จะยิ่งลึกซึ้ง  ยิ่งเจ้าเข้าสู่และมีประสบการณ์กับถ้อยคำเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง เจ้าก็จะยิ่งเข้าสู่และมีความรู้เชิงประสบการณ์เกี่ยวกับทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตัวและการกระทำของเจ้าเองอย่างลึกซึ้งด้วย  ในทางกลับกัน ถ้าเจ้าเข้าไม่ถึงถ้อยคำเหล่านี้เลย เอาแต่มองและเข้าใจความหมายของถ้อยคำเหล่านี้ตามตัวอักษร แล้วก็ทิ้งไว้แค่นั้น ใช้ชีวิตไปตามที่เจ้าทำตลอดมา ไม่แสวงหาความจริงเวลาเกิดปัญหา และไม่เอาปัญหาเหล่านั้นมาเทียบเคียงพระวจนะของพระเจ้า หรือแก้ไขตามพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันสามารถเข้าถึงความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า  ที่บอกว่าเจ้าจะไม่มีวันเข้าถึงความเป็นจริงความจริงนั้นหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าไม่ใช่คนที่รักความจริง และจะไม่มีวันปฏิบัติความจริง เพราะเจ้าจะไม่มีวันมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย หรือวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  เจ้าบอกว่า “ฉันยังคงมีชีวิตที่ดีแม้จะไม่เอาพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นหลักการของตน หรือนำความจริงมาเป็นหลักเกณฑ์ของฉันเอง”  คำว่า “มีชีวิตที่ดี” นั้นเจ้าหมายถึงอะไร?  สิ่งต่างๆ เป็นไปด้วยดีตราบใดที่เจ้ายังไม่ตายกระนั้นหรือ?  จุดหมายของการไล่ตามเสาะหาของเจ้าไม่ใช่การสัมฤทธิ์ความรอด และเจ้าก็ไม่ยอมรับหรือเข้าใจความจริง แต่เจ้าก็กล่าวว่าเจ้ามีชีวิตที่ดี  ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณภาพชีวิตของเจ้าก็แย่กว่าปกติมาก และคุณภาพของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตก็ต่ำมาก  หากยืมคำกล่าวของชาวบ้านมาใช้ก็คือ เจ้านั้นเหมือนผีมากกว่าเหมือนคน เพราะเจ้าไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และไม่เข้าใจความจริง เจ้ายังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและปรัชญาของซาตาน—เจ้าเป็นเพียงอมนุษย์ที่ห่มหนังมนุษย์เอาไว้  ชีวิตคนแบบนี้มีคุณภาพหรือมีคุณค่าอะไร?  ชีวิตเยี่ยงนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้าหรือผู้อื่น  คุณภาพของชีวิตแบบนี้ช่างอ่อนด้อย—ไร้ซึ่งคุณค่า

พวกเจ้ารู้ไหมว่าทำไมเราถึงสามัคคีธรรมและชำแหละมโนคติดั้งเดิมอันหลงผิดและวัฒนธรรมดั้งเดิมในวันนี้?  เพียงเพราะเราไม่ชอบสิ่งเหล่านี้กระนั้นหรือ?  (ไม่ใช่เพราะเหตุนั้น)  ถ้าอย่างนั้นนัยสำคัญของการสามัคคีธรรมในหัวข้อเหล่านี้คืออะไร?  เป้าหมายสูงสุดของการทำเช่นนี้คืออะไร?  (เพื่อช่วยพวกเราตรวจสอบว่าพวกเรายังมีพฤติกรรมและลักษณะเช่นใดบ้างที่ถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมชี้นำ เป็นการใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน  หลังจากที่พวกเรามาเข้าใจความจริงและมีวิจารณญาณแล้ว พวกเราก็จะสามารถใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติตามข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ที่พระเจ้าประทานไว้ และจะสามารถเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงได้)  ถูกต้อง แต่ยาวไปหน่อย  คำตอบที่ง่ายที่สุดและตรงที่สุดคืออะไร?  การสามัคคีธรรมหัวข้อเหล่านี้มีเป้าหมายสูงสุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และนั่นก็คือการทำให้ผู้คนเข้าใจว่าความจริงคืออะไร และอะไรคือการปฏิบัติความจริง  ทันทีที่ผู้คนชัดแจ้งในสองเรื่องนี้ พวกเขาก็จะมีวิจารณญาณแยกแยะพฤติกรรมอันดีงามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมให้การส่งเสริม  พวกเขาจะไม่ทำเหมือนว่าพฤติกรรมอันดีงามเหล่านั้นเป็นมาตรฐานของการปฏิบัติความจริงหรือการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์อีกต่อไป  ผู้คนจะหลุดจากโซ่ตรวนของวัฒนธรรมดั้งเดิม ปลดเปลื้องความเข้าใจและทัศนะที่ผิดพลาดของตนเกี่ยวกับการปฏิบัติความจริงและพฤติกรรมอันดีงามที่ผู้คนพึงมีได้ ก็ด้วยการเข้าใจความจริงเท่านั้น  เช่นนี้เท่านั้นที่ผู้คนจะสามารถปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างถูกต้อง  ถ้าผู้คนไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรและนึกว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมคือความจริง เช่นนั้นแล้วทิศทาง เป้าหมาย และเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาก็จะผิดไปหมด  พวกเขาย่อมจะผละจากพระวจนะของพระเจ้า ขัดแย้งกับความจริง และออกห่างจากหนทางที่แท้จริงไปแล้ว  เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาย่อมเดินอยู่บนเส้นทางของตัวเองและกำลังหลงผิด  ถ้าผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงนั้นไม่สามารถแสวงหาและปฏิบัติความจริงได้ ผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร?  พวกเขาจะไม่ได้รับความจริง  และถ้าพวกเขาไม่ได้รับความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าผู้คนเหล่านั้นจะเชื่อมากขนาดไหน ก็ย่อมจะสูญเปล่า  เพราะฉะนั้น สามัคคีธรรมและการชำแหละมโนคติดั้งเดิมอันหลงผิดและคำกล่าวอ้างเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมในวันนี้จึงเป็นหัวข้อที่สำคัญมากและมีนัยสำคัญต่อผู้เชื่อทั้งปวงเป็นอย่างยิ่ง  พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วพวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าความจริงคืออะไร?  แท้จริงแล้วเจ้ารู้วิธีไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  เจ้าแน่ใจในเป้าหมายของตนเองหรือไม่?  เจ้าแน่ใจในเส้นทางของตนเองหรือไม่?  ถ้าเจ้าไม่แน่ใจในเรื่องใดเลย เจ้าจะไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างไร?  เป็นไปได้ไหมว่าเจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาสิ่งที่ผิด?  เป็นไปได้ไหมว่าเจ้ากำลังออกห่างจากเส้นทาง?  นี่มีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง  ดังนั้นภายนอกแล้ว แม้วจนะที่เราสามัคคีธรรมในวันนี้จะดูธรรมดามาก เป็นวจนะที่ผู้คนเข้าใจทันทีที่ได้ฟัง และจากมุมมองของพวกเจ้าก็ดูเหมือนจะไม่ควรเอ่ยถึงด้วยซ้ำ แต่หัวข้อนี้และเนื้อหานี้กลับสัมพันธ์กับความจริงโดยตรง และเกี่ยวข้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า  นี่คือสิ่งพวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่ตระหนักรู้  ในแง่ของคำสอนแล้ว แม้พวกเจ้าจะเข้าใจว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมและศาสตร์ของมวลมนุษย์ทางด้านสังคมนั้นไม่ใช่ความจริง และแน่นอนว่าขนบและธรรมเนียมปฏิบัติทางด้านชาติพันธุ์ก็ไม่ใช่ความจริง แต่แท้จริงแล้วพวกเจ้ามองเห็นแก่นแท้ของสิ่งเหล่านี้อย่างชัดแจ้งหรือไม่?  พวกเจ้าหลุดจากโซ่ตรวนของสิ่งเหล่านี้แล้วจริงหรือ?  ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยกำหนดให้ผู้คนทุ่มเทศึกษาวัฒนธรรม ขนบ และธรรมเนียมปฏิบัติทางด้านชาติพันธุ์ แล้วก็แน่นอนว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ให้ผู้คนยอมรับอะไรที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิม  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยเอ่ยถึงสิ่งเหล่านี้  อย่างไรก็ดี หัวข้อที่เราสามัคคีธรรมในวันนี้มีความสำคัญมาก  เราจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนเพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจ  จุดหมายของเราในการพูดเรื่องเหล่านี้มีเพียงเพื่อทำให้ผู้คนเข้าใจความจริงและน้ำพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเจ้าทุกคนสามารถเข้าใจสิ่งที่เราพูดอยู่นี้หรือไม่?  ถ้าพวกเจ้าใช้ความพยายามกันบ้าง จ่ายราคาสักนิด และลงแรงสักหน่อย ในที่สุดพวกเจ้าก็จะสามารถได้อะไรไว้ในเรื่องนี้ และเข้าใจความจริงเหล่านี้ได้เป็นผลสำเร็จ  และเมื่อมาเข้าใจความจริงเหล่านี้ จากนั้นก็เสาะแสวงที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ก็ย่อมง่ายที่เจ้าจะเห็นผล

สิ่งทั้งหลายที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของเขาว่าถูกต้องและดีงามมีอยู่แง่มุมหนึ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปก่อนหน้านี้ก็คือ พฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์  แล้วแง่มุมที่เหลือคืออะไร?  (หลักศีลธรรมและคุณภาพของสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนเรา)  กล่าวง่ายๆ ก็คือการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์  แม้มนุษย์ที่เสื่อมทรามทุกคนจะใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตน แต่พวกเขาก็อำพรางตนเก่งเป็นพิเศษ  นอกจากคำกล่าวทั้งหลายที่สัมพันธ์เป็นพิเศษกับท่าทางและพฤติกรรมอันฉาบฉวยแล้ว พวกเขายังประดิษฐ์คำกล่าวและข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์อีกมากมายด้วย  คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่แพร่หลายอยู่ท่ามกลางผู้คนมีอะไรบ้าง?  จงว่ามาตามที่พวกเจ้ารู้และคุ้นเคยเถิด จากนั้นพวกเราก็จะเลือกคำกล่าวทั่วไปออกมาส่วนหนึ่งเพื่อชำแหละและสามัคคีธรรมกัน  (จงอย่านำเงินที่เก็บได้มาใส่กระเป๋า  จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น)  (ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ)  (จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น)  (จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี)  (สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม)  (จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่น)  ใช่แล้ว ทั้งหมดนั้นคือตัวอย่างที่ดี  นอกจากนี้ยังมี “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้” “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” และ “การประหารชีวิตมีแต่จะทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  ทั้งหมดนี้คือข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ที่มีอยู่  มีอย่างอื่นอีกไหม?  (เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู)  นี่ก็เป็นข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ที่วัฒนธรรมดั้งเดิมของมวลมนุษย์ระบุไว้ และเป็นมาตรฐานที่ใช้ประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน  มีอะไรอื่นอีก?  (จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น)  ข้อนี้ง่ายขึ้นมาหน่อย แต่ก็นับรวมด้วยเหมือนกัน  ยังมี “ฉันยอมรับกระสุนแทนเพื่อน” “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะทรัพย์สมบัติ เปลี่ยนแปลงเพราะยากไร้ หรือโอนอ่อนเพราะถูกบีบบังคับ” และ “จงก้มหน้าก้มตาทำงานและพากเพียรทำให้ดีที่สุดจนวันตาย”  นี่ก็เป็นตัวอย่างอีกส่วนหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  เช่นเดียวกับอันนี้ “หนอนไหมแห่งฤดูใบไม้ผลิถักทอจนตัวตาย ส่วนเทียนไขก็มอดไหม้จนน้ำตาเทียนเหือดแห้ง”  จงดูเถิดว่าพวกเขาคาดหวังในการประพฤติปฏิบัติและการวางตัวของมนุษย์กันมากขนาดไหน!  พวกเขาอยากให้ผู้คนเผาชีวิตของตนให้มอดไหม้เหมือนเทียนไขและกลายเป็นเถ้าถ่าน  คนคนหนึ่งถูกตัดสินว่ามีลักษณะนิสัยที่สูงส่งทางศีลธรรมก็ต่อเมื่อพวกเขาวางตัวเช่นนี้เท่านั้น  นี่คือความคาดหวังที่สูงมิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนถูกแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมครอบงำและพันธนาการมานานหลายพันปี แล้วผลเป็นเช่นไร?  พวกเขาใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์หรือไม่?  พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีความหมายหรือไม่?  ผู้คนมีชีวิตเพื่อสิ่งที่วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดไว้ พลีอุทิศวัยหนุ่มสาวของตน หรือชีวิตทั้งชีวิตของตนด้วยซ้ำ พลางเชื่ออยู่ตลอดเวลาว่าชีวิตของตนนั้นน่าภาคภูมิใจและมีเกียรติยิ่ง  ในที่สุดเมื่อตัวตาย พวกเขาก็ไม่รู้ว่าตายเพื่ออะไร หรือความตายของตนนั้นมีคุณค่าและความหมายหรือไม่ หรือว่าตนเองทำตามข้อกำหนดของพระผู้สร้างของตนหรือไม่  ผู้คนไม่รู้เรื่องเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง  วัฒนธรรมดั้งเดิมมีคำกล่าวและข้อกำหนดอื่นๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนว่าอย่างไรอีก?  “ทุกคนมีส่วนในชะตากรรมของประเทศของตน” และ “ไม่ว่าผู้อื่นจะวางใจมอบอะไรให้ทำ ก็จงพยายามอย่างที่สุดที่จะทำอย่างสัตย์ซื่อ” นี่ก็ใช่  ยังมี “คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง” นี่เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของมนุษย์  มีอย่างอื่นอีกไหม?  (จงเติบโตดุจบัวที่ไม่เปื้อนโคลน)  สำนวนนี้มีความคาบเกี่ยวกับหัวข้อนี้อยู่บ้าง  เราคิดว่าพวกเราไล่นึกตัวอย่างกันมามากพอแล้ว  คำกล่าวที่พวกเราเพิ่งพูดถึงนี้ประกอบด้วยข้อกำหนดที่ว่าด้วยการอุทิศตน ความรักชาติ ความน่าเชื่อถือ การถือพรหมจรรย์ ตลอดจนหลักการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และวิธีที่ผู้คนควรปฏิบัติต่อคนที่เคยช่วยเหลือตน หรือการตอบแทนความใจดีมีเมตตา เป็นต้น  คำกล่าวบางอย่างก็ธรรมดาหน่อย บ้างก็ลึกซึ้งขึ้นอีกหน่อย  ที่ธรรมดาที่สุดก็คือ “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” และ “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะทรัพย์สมบัติ เปลี่ยนแปลงเพราะยากไร้ หรือโอนอ่อนเพราะถูกบีบบังคับ”  นี่คือข้อกำหนดด้านการวางตัวของมนุษย์  “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับความซื่อตรงทางด้านศีลธรรมและการถือพรหมจรรย์  คำกล่าวเหล่านี้อยู่ในขอบข่ายของแนวคิดเรื่องความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือในวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมไม่มากก็น้อย  ตอนนี้พวกเราไล่นึกคำกล่าวไปกี่ข้อแล้ว?  (ยี่สิบเอ็ดข้อ)  จงอ่านให้เราฟังเถิด  (“จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่น” “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” “จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น” “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้” “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” “การประหารชีวิตมีแต่จะทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” “เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู” “จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น” “ฉันยอมรับกระสุนแทนเพื่อน” “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะทรัพย์สมบัติ เปลี่ยนแปลงเพราะยากไร้ หรือโอนอ่อนเพราะถูกบีบบังคับ” “จงก้มหน้าก้มตาทำงานและพากเพียรทำให้ดีที่สุดจนวันตาย” “หนอนไหมแห่งฤดูใบไม้ผลิถักทอจนตัวตาย ส่วนเทียนไขก็มอดไหม้จนน้ำตาเทียนเหือดแห้ง” “ทุกคนมีส่วนในชะตากรรมของประเทศของตน” “ไม่ว่าผู้อื่นจะวางใจมอบอะไรให้ทำ ก็จงพยายามอย่างที่สุดที่จะทำอย่างสัตย์ซื่อ” “คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง” และ “จงเติบโตดุจบัวที่ไม่เปื้อนโคลน”)  วันนี้พวกเราจะศึกษาคุณสมบัติอัน “ดีงาม” สารพัดรูปแบบอย่างลงลึกตามที่มวลมนุษย์ได้สรุปรวบรวมเอาไว้เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  คำกล่าวอ้างต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิมด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมก่อให้เกิดข้อกำหนดนานัปการสำหรับสภาวะความเป็นมนุษย์และการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์  บ้างก็กำหนดให้ผู้คนตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่พวกเขาได้รับ บ้างก็บอกให้ผู้คนยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น บ้างก็เป็นวิธีการรับมือผู้คนที่ตนไม่ชอบ ส่วนคำกล่าวอื่นๆ ก็เป็นวิธีรับมือข้อเสียและข้อบกพร่องของผู้อื่น หรือรับมือผู้คนที่มีปัญหา  คำกล่าวทั้งหลายได้ขีดเส้นให้แก่ผู้คนในเรื่องเหล่านี้ นำเสนอข้อกำหนดและมาตรฐานบางอย่าง  ทั้งหมดนี้เป็นข้อกำหนดและมาตรฐานที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ และเป็นสิ่งที่แพร่หลายอยู่ท่ามกลางผู้คนทั้งสิ้น  ใครก็ตามที่โตมาในประเทศจีนย่อมจะเคยได้ยินคำกล่าวเหล่านี้อยู่เนืองๆ และจำได้ขึ้นใจ  คำกล่าวอ้างทั้งหลายด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมจากวัฒนธรรมดั้งเดิมนี้ล้วนอยู่ในขอบข่ายของความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือไม่มากก็น้อย  แน่นอนว่ายังมีคำกล่าวบางประการที่อยู่นอกขอบข่ายนี้ แต่ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในขอบข่ายนี้ในระดับใดระดับหนึ่ง  พวกเจ้าควรชัดแจ้งในเรื่องนี้

วันนี้พวกเราจะไม่สามัคคีธรรมกันอย่างเป็นรูปธรรมว่าถ้อยแถลงแต่ละอย่างด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร หรือวิเคราะห์กันอย่างเป็นรูปธรรมว่าอะไรคือแก่นแท้ของคำกล่าวแต่ละข้อ  เราจะให้พวกเจ้าศึกษาในขั้นเตรียมการก่อน  จงดูว่ามีความแตกต่างอะไรบ้างระหว่างคำกล่าวอ้างด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิม กับมาตรฐานที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์เพื่อการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  คำกล่าวของวัฒนธรรมดั้งเดิมมีข้อใดบ้างที่ขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงอย่างชัดแจ้ง?  ถ้าตีความตามตัวอักษร คำกล่าวใดที่คล้ายพระวจนะของพระเจ้าและความจริง หรือค่อนข้างเชื่อมโยงกัน?  แล้วในบรรดาคำกล่าวเหล่านี้มีข้อใดบ้างที่เจ้าเชื่อว่าเป็นบวก และข้อใดบ้างที่เจ้าเคยใช้เทียบดูและกวดขันตนเองหลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า ปฏิบัติตามและคล้อยตามนี้เหมือนเป็นหลักเกณฑ์แห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า?  ตัวอย่างเช่น “จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น”  พวกเจ้าคุ้นเคยกับคำกล่าวนี้กันทุกคนใช่หรือไม่?  พอมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว เจ้าก็คิดมิใช่หรือว่าตัวเจ้าควรเป็นคนดีตามนี้?  แล้วเวลาที่เจ้าพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น เจ้าก็คิดมิใช่หรือว่าตัวเจ้ามีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีงามมาก และพระเจ้าย่อมจะโปรดเจ้าเป็นแน่?  หรือก่อนที่เจ้าจะเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็อาจจะเชื่อว่าผู้คนที่มีคุณสมบัติของการ “ตอบแทนความชั่วด้วยความดี” นั้นเป็นคนดี—เพียงแต่เจ้าไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น เจ้าทำไม่ได้ และไม่อาจบังคับให้ตัวเองทำตามนั้นได้ แต่พอเจ้ามาเชื่อในพระเจ้า เจ้ากลับกวดขันให้ตัวเองทำตามมาตรฐานนั้น และเจ้าก็สามารถ “ยกโทษและลืมไปเสีย” กับผู้คนที่เคยทำร้ายเจ้า หรือคนที่เจ้าเคยโกรธหรือเกลียด  เจ้าอาจคิดว่าคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้ตรงกับที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสให้ยกโทษแก่ผู้คนเจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด และด้วยเหตุนี้เจ้าจึงเต็มใจอย่างยิ่งที่จะรู้จักยับยั้งชั่งใจตามคำดังกล่าว  เจ้าอาจถึงกับปฏิบัติและยึดถือตามนั้นเหมือนว่านั่นคือความจริง และคิดว่าผู้คนที่ตอบแทนความชั่วด้วยความดีคือคนที่ปฏิบัติความจริงและเดินตามหนทางของพระเจ้า  พวกเจ้ามีความคิดหรือลักษณะการแสดงออกเช่นที่กล่าวมานี้บ้างหรือไม่?  คำกล่าวใดที่พวกเจ้ายังคงคิดว่ามีแก่นแท้คล้ายความจริงและพระวจนะของพระเจ้าจนถึงขั้นที่สามารถแทนที่ความจริงได้ด้วยซ้ำ และย่อมไม่เป็นการเกินเลยหากจะกล่าวว่านี่คือความจริง?  แน่นอนว่าการใช้วิจารณญาณแยกแยะคำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนในชะตากรรมของประเทศของตน” นั้นควรที่จะง่าย  ผู้คนส่วนใหญ่มองออกว่าคำกล่าวนี้ไม่ใช่ความจริง และเป็นเพียงคำพูดชวนเชื่อที่ฟังดูสูงส่งและชักจูงให้หลงผิดเท่านั้น  “ทุกคนมีส่วนในชะตากรรมของประเทศของตน” เป็นสิ่งที่ใช้กล่าวแก่ผู้ไม่เชื่อที่ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า เป็นข้อกำหนดที่รัฐบาลของประเทศหนึ่งๆ มีต่อประชาชนของตน เพื่อสอนให้ประชาชนรักบ้านเมืองของตนเอง  คำกล่าวนี้ไม่ตรงตามความจริงและไม่มีพื้นฐานในพระวจนะของพระเจ้าเลย  อาจกล่าวได้ว่าโดยรากฐานแล้วคำกล่าวนี้ไม่ใช่ความจริง และไม่อาจแทนที่ความจริงได้  คำกล่าวนี้เป็นมุมมองที่มาจากซาตานและเกิดจากซาตานทั้งสิ้น และรับใช้ชนชั้นปกครอง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริงเลย  นั่นคือสาเหตุที่คำกล่าวว่า “ทุกคนมีส่วนในชะตากรรมของประเทศของตน” ไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอน หรือเป็นสิ่งที่คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงค้ำจุน  ดังนั้นผู้คนประเภทใดที่สามารถสำคัญผิดว่าคำกล่าวนี้เป็นความจริง?  ผู้คนที่คิดหาทางมีหน้ามีตา มีสถานะ และได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตนตลอดเวลา รวมทั้งคนที่อยากเป็นใหญ่เป็นโตในหน่วยงานรัฐ  พวกเขาทำตามคำกล่าวนี้ราวกับเป็นความจริงเพื่อประจบเอาใจชนชั้นปกครองและสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตน  มีคำกล่าวบางข้อที่ไม่ง่ายต่อการใช้วิจารณญาณของผู้คน  แม้ผู้คนจะรู้ว่าคำกล่าวเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง แต่ก็ยังคงรู้สึกอยู่ในหัวใจของตนว่าคำกล่าวเหล่านี้ถูกต้องและตรงตามคำสอน  พวกเขาอยากใช้ชีวิตตามคำกล่าวเหล่านี้และวางตัวตามนั้นเพื่อยกระดับศีลธรรมของตน เพิ่มเสน่ห์ส่วนตนในการโน้มน้าวใจคน และพร้อมกันนั้นก็ทำให้ผู้อื่นนึกว่าตนมีสภาวะความเป็นมนุษย์และไม่ใช่อมนุษย์  คำกล่าวใดที่พวกเจ้าใช้วิจารณญาณแยกแยะยาก?  (ข้าพระองค์คิดว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” นั้นแยกแยะยากมาก  ข้าพระองค์เคยนึกว่านี่คือสิ่งที่เป็นบวก และคิดว่าคนที่สำนึกในบุญคุณและตอบแทนความใจดีมีเมตตาเป็นคนที่มีมโนธรรม  “ไม่ว่าผู้อื่นจะวางใจมอบอะไรให้ทำ ก็จงพยายามอย่างที่สุดที่จะทำอย่างสัตย์ซื่อ” ก็เป็นอีกข้อหนึ่ง  คำกล่าวนี้หมายความว่าในเมื่อคนเรายอมรับงานจากคนอื่นแล้ว ก็ควรทำทุกสิ่งอย่างสุดความสามารถเพื่อให้แน่ใจว่างานนั้นจะสำเร็จด้วยดี  ข้าพระองค์เคยรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เป็นบวก เป็นสิ่งที่คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลพึงทำ)  มีใครอีก?  (ยังมีคำกล่าวว่า “เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู”  ข้าพระองค์เคยคิดว่าคนที่ทำเช่นนี้ได้เป็นคนที่ค่อนข้างมีสภาวะความเป็นมนุษย์และศีลธรรม)  มีอะไรอีกไหม?  (“คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง”  ข้าพระองค์เคยนึกว่าถ้าใครทำตามที่ตนพูดและเป็นคนที่เชื่อถือได้ นั่นก็คือการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรม)  ก่อนหน้านี้เจ้านึกว่านี่เป็นการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรม  แล้วตอนนี้เจ้ามองว่าอย่างไร?  (พวกเราต้องมองว่าอะไรคือธรรมชาติของ “คำพูด” ที่ว่านั้น—ธรรมชาตินั้นถูกหรือผิด?  เป็นบวกหรือเป็นลบ?  ถ้ามีคนบอกพวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ว่า “ฉันจะปกป้องคุณ  คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง” และแล้วพอพระนิเวศของพระเจ้าสืบเสาะและตรวจสอบสถานการณ์ของคนเหล่านั้น แล้วคนคนนี้กลับปกป้องคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์พวกนั้น เมื่อนั้นคนคนนี้ก็กำลังทำชั่วและต้านทานพระเจ้า)  ดุลยพินิจเช่นนี้ถูกต้อง  เจ้าต้องดูที่ธรรมชาติของ “คำพูด” ที่ว่านี้—ว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ  ถ้าใครบางคนกำลังทำอะไรที่เลวหรือชั่ว พลางทำตามคำกล่าวที่ว่า “คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง” เช่นนั้นแล้วก้าวย่างในการทำชั่วของพวกเขาก็เหมือนม้าเร็วที่ห้อเต็มเหยียด วิ่งตรงเข้านรกและตกลงไปในบาดาลลึก  แต่ถ้า “คำพูด” ของพวกเขาตรงกับความจริง มีสำนึกแห่งความชอบธรรม ปกป้องงานแหงพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้พระเจ้าพอพระทัย เช่นนั้นแล้วการทำตามคำกล่าวที่ว่า “คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง” ย่อมถูกต้อง  จากตัวอย่างเหล่านี้ เจ้าจะเห็นได้ว่าเจ้าต้องมีวิจารณญาณแยกแยะถ้อยคำของวัฒนธรรมดั้งเดิม  เจ้าต้องแยกแยะสถานการณ์ต่างๆ กับเรื่องราวเบื้องหลังออกจากกัน และเจ้าไม่สามารถใช้ถ้อยคำเหล่านี้โดยไม่แยกแยะ  มีบางถ้อยคำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างเห็นได้ชัด และผิดอย่างชัดเจน  เจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเวลารับมือถ้อยคำเหล่านี้  เจ้าต้องรับมือถ้อยคำเหล่านี้เหมือนเป็นเรื่องนอกรีตและเหตุผลวิบัติ  มีบางถ้อยคำที่ถูกต้องเฉพาะในบางบริบทและบางขอบข่ายเท่านั้น  ในบริบทหรือสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไป ถ้อยคำดังกล่าวกลับใช้ไม่ได้อีกต่อไป ทั้งผิดและเป็นอันตรายต่อผู้คน  ถ้าเจ้าไม่สามารถแยกแยะได้ เจ้าก็มีแนวโน้มที่จะถูกถ้อยคำเหล่านั้นวางยาและทำร้ายเอา  ไม่ว่าถ้อยคำของวัฒนธรรมดั้งเดิมจะถูกหรือผิด หรือดูใช้การได้ในสายตาของมนุษย์หรือไม่ ก็ไม่มีคำใดที่เป็นความจริงและตรงกับพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน  สิ่งที่มนุษย์มองว่าถูกต้องไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่พระเจ้ามองว่าถูกต้อง  ถ้อยคำที่มนุษย์มองว่าดีงามก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผลดีต่อผู้คนเวลาที่พวกเขานำไปปฏิบัติ  ไม่ว่าจะเช่นไร ไม่ว่าผู้คนจะปฏิบัติตามนั้นหรือไม่ หรือจะได้ใช้ให้เป็นประโยชน์หรือไม่ สิ่งที่ไม่ตรงกับความจริง สิ่งที่ไม่ใช่ความจริง ย่อมเป็นภัยต่อมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่ควรยอมรับและต้องไม่นำไปใช้  มีผู้คนมากมายที่ไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งเหล่านี้  พวกเขาทำเหมือนว่าสิ่งที่มนุษย์มองว่าถูกต้อง หรือสิ่งที่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเห็นพ้องต้องกันเป็นปกติว่าถูกต้องนั้นคือความจริง ยึดถือและปฏิบัติตามเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง  นี่เหมาะสมหรือไม่?  คนเราจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าด้วยการปฏิบัติความจริงที่เทียมเท็จและความจริงจอมปลอมกระนั้นหรือ?  สิ่งใดก็ตามที่มวลมนุษย์เห็นพ้องต้องกันเป็นปกติย่อมถูกต้อง ส่วนความจริงกลับเทียมเท็จ เป็นของเลียนแบบ และควรถูกปฏิเสธตลอดไป  แล้วสิ่งที่พวกเจ้าคิดว่าถูกต้องและเป็นบวกนั้นแท้จริงแล้วใช่ความจริงหรือไม่?  หลายพันปีมานี้ไม่เคยมีใครปฏิเสธถ้อยคำเหล่านี้ ทุกคนล้วนเชื่อว่าถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้องและเป็นบวก แต่แท้จริงแล้วถ้อยคำเหล่านี้สามารถกลายเป็นความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ถ้าถ้อยคำเหล่านี้กลายเป็นความจริงไม่ได้ เช่นนั้นแล้วตัวมันเองใช่ความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ถ้อยคำเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง  ถ้าผู้คนทำเหมือนว่าถ้อยคำเหล่านี้คือความจริง นำไปผสมกับพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติไปพร้อมกัน ถ้อยคำและคำกล่าวเหล่านี้จะสามารถยกระดับเป็นความจริงได้หรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้  ไม่ว่าผู้คนจะไล่ตามเสาะหาหรือยึดถือสิ่งเหล่านี้อย่างไร พระเจ้าก็จะไม่มีวันเห็นชอบในสิ่งเหล่านี้ เพราะพระเจ้านั้นบริสุทธิ์  พระองค์ย่อมไม่ทรงอนุญาตให้มนุษย์ที่เสื่อมทรามเอาสิ่งที่เป็นของซาตานมาผสมกับความจริงหรือพระวจนะของพระองค์เป็นแน่  ทุกสิ่งที่เกิดจากความคิดและทัศนะของมนุษย์ย่อมมาจากซาตาน—ไม่ว่าจะดีงามเพียงใด สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่ความจริงอยู่ดี และไม่อาจกลายเป็นชีวิตของคนได้

คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมมาจากซาตาน เกิดขึ้นมาท่ามกลางมนุษย์ที่เสื่อมทราม และเหมาะกับพวกผู้ไม่เชื่อและคนที่ไม่รักความจริงเท่านั้น  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงควรที่จะมีวิจารณญาณแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้เป็นอันดับแรก และปฏิเสธได้ เพราะคำกล่าวเหล่านี้ย่อมจะมีผลลบต่อผู้คน ทำให้ผู้คนเสียศูนย์และเลือกทางผิด  ตัวอย่างเช่น ในบรรดาตัวอย่างที่พวกเราเพิ่งยกมานั้น มีคำกล่าวว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน”  พวกเรามาพูดถึง “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์” กันก่อน  ถ้ากษัตริย์เป็นบุคคลที่มีความสามารถ มีปัญญา และเป็นบวก เช่นนั้นแล้วการที่เจ้าสนับสนุน ติดตาม และปกป้องเขาย่อมแสดงว่าเจ้านั้นมีสภาวะความเป็นมนุษย์ มีศีลธรรม และลักษณะนิสัยอันประเสริฐ  แต่ถ้ากษัตริย์นั้นเป็นเผด็จการและโง่เขลา เป็นมารตนหนึ่ง แล้วเจ้ายังคงติดตาม ปกป้อง และไม่เลิกสนับสนุนเขา “ความจงรักภักดี” ที่เจ้ามีนี้คืออะไร?  คือความจงรักภักดีที่มืดบอดและเบาปัญญา นี่ย่อมมืดบอดและโง่เขลา  เมื่อเป็นเช่นนั้น ความจงรักภักดีของเจ้าย่อมผิดและกลายเป็นสิ่งที่เป็นลบไปแล้ว  เมื่อเป็นเรื่องของกษัตริย์ปีศาจและมารเยี่ยงนี้ เจ้าก็ไม่ควรยึดตามคำกล่าวที่ว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์” อีกต่อไป  เจ้าควรละทิ้ง ปฏิเสธ และออกห่างจากกษัตริย์แบบนี้—เจ้าควรละทิ้งความมืดและเลือกความสว่าง  ถ้าเจ้ายังคงเลือกที่จะจงรักภักดีต่อกษัตริย์ปีศาจคนนี้ต่อไป เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือลูกสมุนและผู้สมรู้ร่วมคิดของเขา  ดังนั้นในรูปการณ์และบริบทบางอย่าง แนวคิด หรือความหมายและคุณค่าที่เป็นบวกที่คำกล่าวนี้ให้การเชิดชู จึงไม่มีอยู่จริง  จากเรื่องนี้เจ้าย่อมจะมองเห็นได้ว่าแม้คำกล่าวนี้จะฟังดูชอบธรรมและเป็นบวกอย่างมาก แต่การนำไปใช้ก็จำกัดอยู่แต่ในรูปการณ์และบริบทจำเพาะไม่กี่อย่าง ไม่ได้ใช้ได้กับทุกรูปการณ์หรือบริบท  ถ้าผู้คนยึดปฏิบัติตามคำกล่าวนี้อย่างมืดบอดและเบาปัญญา พวกเขาก็รังแต่จะสูญเสียหนทางของตนและเดินบนเส้นทางที่ผิดเท่านั้น  ผลสืบเนื่องของเรื่องนี้ย่อมมิอาจคาดคิดได้  วรรคถัดไปในคำกล่าวนี้คือ “หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน”  “หญิงดี” ในที่นี้หมายถึงอะไร?  หมายถึงหญิงที่บริสุทธิ์ สัตย์ซื่อต่อสามีเพียงคนเดียวเท่านั้น  เธอต้องสัตย์ซื่อกับเขาจวบจนวาระสุดท้าย และไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาดไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ก็ตาม  ต่อให้สามีของเธอตายไป เธอก็ต้องเป็นม่ายไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต  นั่นคือสิ่งที่เรียกกันว่าภรรยาที่บริสุทธิ์และสัตย์ซื่อ  วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดให้ผู้หญิงทุกคนต้องเป็นภรรยาที่บริสุทธิ์และสัตย์ซื่อ  นี่ใช่วิธีปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างเป็นธรรมหรือไม่?  เหตุใดชายจึงมีภรรยาเกินหนึ่งได้ แต่หญิงนั้นต่อให้สามีตายไปก็ไม่อาจแต่งงานใหม่ได้?  แต่ก่อนนั้นชายและหญิงไม่ได้มีสถานะเท่าเทียมกัน  ถ้าผู้หญิงถูกถ้อยคำที่ว่า “หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” ตีกรอบเอาไว้ และเลือกที่จะเป็นภรรยาที่บริสุทธิ์และสัตย์ซื่อ เธอจะสามารถได้อะไรไว้บ้าง?  อย่างมากก็จะมีการสร้างอนุสรณ์สถานไว้รำลึกถึงความบริสุทธิ์ของเธอหลังจากที่เธอสิ้นลม  นี่มีความหมายอะไรหรือไม่?  พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่ว่าผู้หญิงในอดีตมีชะตาชีวิตที่ยากลำบาก?  ทำไมพวกเธอถึงไม่มีสิทธิ์ที่จะแต่งงานใหม่หลังจากที่สามีตายไปแล้ว?  นี่คือทัศนะที่วัฒนธรรมดั้งเดิมเชิดชู และเป็นมโนคติอันหลงผิดที่มวลมนุษย์ยึดถือเสมอมา  ถ้าสามีของผู้หญิงตายไปโดยทิ้งลูกไว้ข้างหลังหลายคน และเธอไม่สามารถหาเลี้ยงลูกๆ ได้ เธอจะทำอะไรได้?  เธอก็ต้องไปขออาหารกิน  ถ้าเธอไม่อยากให้ลูกๆ ทนทุกข์และอยากหาทางอยู่รอด เธอก็ต้องแต่งงานใหม่และดำรงชีวิตโดยที่ชื่อของเธอพลอยมัวหมอง ถูกความเห็นส่วนรวมกล่าวโทษ ถูกสังคมและผู้คนส่วนใหญ่หลบเลี่ยงและดูแคลน  เธอต้องกล้ำกลืนคำนินทาว่าร้ายและฝืนทนวาจาสบประมาทจากสังคมเพื่อให้ลูกๆ สามารถได้รับการเลี้ยงดูตามปกติ  เมื่อมองจากมุมนี้ แม้เธอจะไม่ได้ใช้ชีวิตตามมาตรฐานที่ว่า “หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” แต่พฤติกรรม วิธีการ และสิ่งที่เธอเสียสละไปนั้นควรค่าแก่การนับถือหรือไม่?  อย่างน้อยเมื่อลูกๆ ของเธอโตขึ้นและเข้าใจความรักที่แม่มีต่อพวกตน พวกเขาก็จะนับถือเธอ และจะไม่ดูถูกหรือหลบเลี่ยงเธอเพราะพฤติกรรมของเธอเป็นแน่  พวกเขากลับจะสำนึกบุญคุณ และคิดว่ามารดาอย่างแม่ของตนนั้นเลอเลิศ  อย่างไรก็ดี ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ย่อมจะไม่เห็นพ้องกับพวกเขา  ตามมุมมองของความคิดเห็นของสังคม ซึ่งก็เหมือนกับมุมมองของคำกล่าวที่ว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” ที่มนุษย์ให้การสนับสนุน ไม่ว่าเจ้าจะมองอย่างไร ผู้เป็นแม่นี้ก็ไม่ใช่คนดี เพราะเธอฝ่าฝืนมโนคติดั้งเดิมทางด้านศีลธรรมข้อนี้  ผลก็คือพวกเขาย่อมตีตราว่าการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของเธอมีปัญหา  ดังนั้น เหตุใดความคิดอ่านและทัศนะที่ลูกๆ มีต่อหญิงผู้นี้จึงจะแตกต่างจากทัศนะที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อเธอ?  เพราะลูกๆ ของเธอย่อมจะมองเรื่องนี้ตามมุมมองของการอยู่รอด  ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่แต่งงานใหม่ เธอและลูกๆ ย่อมจะไร้หนทางที่จะอยู่รอด  ถ้าเธอยึดมั่นในมโนคติดั้งเดิม เช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่มีทางที่เธอจะมีชีวิตอยู่—เธอคงจะอดตายไปแล้ว  เธอเลือกที่จะแต่งงานใหม่เพื่อช่วยชีวิตของลูกๆ และของตัวเธอเองให้รอด  เมื่อดูตามบริบทนี้ การที่วัฒนธรรมดั้งเดิมและความเห็นส่วนรวมกล่าวโทษเธอนั้นย่อมผิดอย่างสิ้นเชิงมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่สนใจเลยว่าผู้คนจะเป็นหรือตาย!  ดังนั้น อะไรคือความหมายและคุณค่าของการทำตามมโนคติดั้งเดิมทางด้านศีลธรรมข้อนี้?  อาจกล่าวว่าไม่มีคุณค่าอะไรเลย  นี่คือสิ่งที่ทำร้ายและทำอันตรายผู้คน  ในฐานะเหยื่อของมโนคติอันหลงผิดนี้ ผู้หญิงคนนี้และลูกๆ ของเธอได้ผ่านประสบการณ์กับข้อเท็จจริงนี้โดยตรง แต่ไม่มีใครใส่ใจหรือเห็นใจพวกเธอ  พวกเธอทำอะไรไม่ได้นอกจากกล้ำกลืนความเจ็บปวดของตนลงไป  พวกเจ้าคิดอย่างไร สังคมเช่นนี้เที่ยงธรรมหรือไม่?  ทำไมสังคมและประเทศแบบนี้ถึงชั่วและมืดดำขนาดนี้?  เพราะวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ซาตานปลูกฝังเอาไว้ในตัวมนุษย์ยังคงควบคุมการคิดอ่านของผู้คนและมีอำนาจครอบงำความคิดเห็นส่วนรวม  จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครมองเห็นเรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง  พวกผู้ไม่เชื่อยังคงยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม และคิดไปว่าตนนั้นถูกต้อง  จวบจนวันนี้พวกเขาก็ยังไม่ทิ้งสิ่งเหล่านี้ไป

คราวนี้ เมื่อพวกเราดูคำกล่าวที่ว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” พวกเจ้าย่อมมองเห็นได้ว่าไม่ว่าพวกเราจะมองจากมุมไหน นี่ก็ไม่ใช่คำกล่าวที่เป็นบวก นี่คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ทั้งสิ้น  ทำไมเราถึงกล่าวว่านี่ไม่ใช่คำกล่าวที่เป็นบวก?  (เพราะไม่ใช่ความจริง เป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์)  ที่จริงแล้วมีคนน้อยมากที่สามารถทำได้ตามที่วลีนี้ร้องขอ  นี่เป็นเพียงทฤษฎีที่ว่างเปล่าและเป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์เท่านั้น แต่เพราะมันหยั่งรากลงไปในหัวใจของผู้คนแล้ว จึงกลายเป็นความคิดเห็นส่วนรวมอย่างหนึ่งไป และผู้คนมากมายก็ตัดสินเรื่องราวทำนองนี้ตามคำกล่าวนี้  ดังนั้น อะไรคือแก่นแท้ของมุมมองและจุดยืนที่ความเห็นส่วนรวมใช้ตัดสินเรื่องราวทำนองนี้?  ทำไมความคิดเห็นส่วนรวมถึงตัดสินผู้หญิงที่แต่งงานใหม่อย่างเกรี้ยวกราดขนาดนั้น?  ทำไมผู้คนถึงวิพากษ์วิจารณ์คนที่ทำแบบนี้ หลบเลี่ยงและดูแคลนเธอ?  อะไรคือสาเหตุ?  พวกเจ้าไม่รู้ใช่ไหม?  พวกเจ้าไม่ชัดแจ้งเวลาพูดถึงข้อเท็จจริง พวกเจ้ารู้แต่เพียงว่านี่ไม่ใช่ความจริงและไม่เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า  เอาละ เราจะบอกพวกเจ้า และเมื่อเราพูดจบ พวกเจ้าก็จะมองเห็นเรื่องแบบนี้ได้อย่างชัดแจ้ง  นี่เป็นเพราะความเห็นส่วนใหญ่ตัดสินหญิงคนนี้จากเรื่องเรื่องเดียวและการกระทำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น—การที่เธอแต่งงานใหม่—แล้วก็นิยามคุณภาพของสภาวะความเป็นมนุษย์ของเธออย่างคับแคบตามเรื่องเรื่องเดียวนั้น แทนที่จะมองคุณภาพที่แท้จริงของสภาวะความเป็นมนุษย์ของเธอ  นั่นไม่เป็นธรรมและไม่ยุติธรรมมิใช่หรือ?  ความเห็นส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าโดยปกติแล้วสภาวะความเป็นมนุษย์ของหญิงคนดังกล่าวเป็นเช่นไร—เธอเป็นคนชั่วหรือคนใจดีมีเมตตา เธอรักสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่ เธอเคยทำร้ายหรือทำอันตรายผู้อื่นหรือไม่ หรือเป็นหญิงที่ไม่รู้จักสงวนตัวก่อนที่จะแต่งงานใหม่หรือเปล่า  ผู้คนในสังคมและความเห็นส่วนใหญ่ประเมินผู้หญิงคนนี้อย่างครอบคลุมตามสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้วผู้คนในสมัยนั้นประเมินโดยดูจากอะไร?  พวกเขาประเมินตามคำกล่าวที่ว่า “หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน”  ทุกคนคิดว่า “ผู้หญิงควรแต่งงานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น  ต่อให้สามีตาย เธอก็ควรดำรงตนเป็นม่ายไปตลอดชีวิต  ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง  ถ้าเธอยังคงรำลึกถึงสามีอย่างสัตย์ซื่อและไม่แต่งงานใหม่ พวกเราก็จะสร้างอนุสรณ์สถานไว้รำลึกถึงความบริสุทธิ์ของเธอ—พวกเราสร้างได้ถึงสิบแห่งเลย!  ไม่มีใครสนหรอกว่าเธอทนทุกข์ขนาดไหน หรือเธอเลี้ยงลูกๆ ให้เติบใหญ่ยากเย็นอย่างไร  ต่อให้เธอต้องขออาหารไปตามถนนก็ไม่มีใครสนใจ  เธอต้องยึดมั่นในคำกล่าวที่ว่า ‘หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน’ อยู่ดี  เมื่อทำเช่นนี้เท่านั้นเธอถึงจะเป็นหญิงดี มีสภาวะความเป็นมนุษย์และศีลธรรม  ถ้าเธอแต่งงานใหม่ เช่นนั้นแล้วเธอก็จะเป็นหญิงชั่วที่มากชู้”  ความนัยที่แฝงอยู่ในนี้ก็คือหญิงคนหนึ่งจะเป็นคนดี บริสุทธิ์ และสัตย์ซื่อ มีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมและลักษณะนิสัยอันประเสริฐได้ก็ต่อเมื่อเธอไม่แต่งงานใหม่เท่านั้น  ตามแนวคิดเรื่องความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือของวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้น คำกล่าวที่ว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” ได้กลายเป็นหลักการที่ใช้ประเมินผู้คนไปแล้ว  ผู้คนทำเหมือนว่าคำกล่าวนี้คือความจริง และใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินผู้อื่น  นั่นคือแก่นแท้ของเรื่องนี้  เนื่องจากบางคนมีพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐานที่วัฒนธรรมดั้งเดิมระบุเอาไว้ พวกเขาจึงถูกตีตราว่ามีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ด้อยคุณภาพ มีการประพฤติปฏิบัติที่ด้อยศีลธรรม และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แย่และเลวร้าย  นั่นมีความเป็นธรรมแม้สักนิดหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้วการที่จะเป็นหญิงดี รูปการณ์แวดล้อมต้องเป็นเช่นไร แล้วเจ้าต้องจ่ายราคาเป็นอะไรบ้าง?  ถ้าเจ้าอยากเป็นหญิงที่ดี เจ้าก็ต้องสัตย์ซื่อกับสามีคนเดียวเท่านั้น และถ้าสามีของเจ้าเสียชีวิต เจ้าก็ต้องเป็นม่ายตลอดไป  เจ้ากับลูกๆ ต้องไปขอทานตามถนน สู้ทนการถูกคนอื่นเยาะเย้ย ทุบตี ตะคอกใส่ รังแก และถากถาง  นั่นใช่วิธีที่เหมาะสมในการปฏิบัติต่อผู้หญิงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แต่นั่นก็คือสิ่งที่มนุษย์ทำกัน พวกเขายอมเห็นเจ้าขอทานไปตามถนน ใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีหลังคาคุ้มหัว ไม่รู้ว่าอาหารมื้อต่อไปจะมาจากไหน และจะไม่มีใครใส่ใจ เห็นใจ หรือสนใจเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะมีลูกกี่คนหรือชีวิตของเจ้าจะทุกข์ยากเพียงใด ต่อให้ลูกๆ ของเจ้าอดตาย ก็จะไม่มีใครใส่ใจ  แต่ถ้าเจ้าแต่งงานใหม่ เจ้าก็ไม่ใช่หญิงดี  เจ้าจะถูกกระหน่ำด้วยวาจาหยามหยันและเกลียดชัง และจะเผชิญถ้อยคำหยาบคายและกล่าวโทษไม่น้อยเลย  เจ้าจะพบเจอถ้อยคำสารพัดรูปแบบที่พากันพูดใส่เจ้า และจะมีเพียงลูกๆ ของเจ้าและญาติพี่น้องผองเพื่อนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะพูดจากับเจ้าด้วยความเห็นใจและเกื้อหนุน  เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?  นี่เชื่อมโยงโดยตรงกับการอบรมสั่งสอนและฝึกฝนของวัฒนธรรมดั้งเดิม เป็นผลของคำกล่าวที่ว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” ซึ่งวัฒนธรรมดั้งเดิมให้การสนับสนุน  คนเราสามารถมองเห็นอะไรได้จากเรื่องเหล่านี้?  มีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในคำกล่าวที่ว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน”?  ความเทียมเท็จ ความหน้าซื่อใจคด และความโหดเหี้ยมของมนุษย์  ผู้หญิงคนหนึ่งอาจไม่มีอะไรกิน เธออาจไม่สามารถอยู่รอดต่อไปได้ จวนเจียนจะอดตายอยู่แล้ว และไม่มีใครคิดจะเห็นใจเธอ แต่ทุกคนกลับอยากจะให้เธอรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเองเอาไว้  ผู้คนยอมเห็นเธออดตายและยอมสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อเป็นเกียรติแก่เธอมากกว่าที่จะยอมให้เธอเลือกที่จะอยู่รอด  ในแง่หนึ่ง เรื่องนี้เปิดโปงความดื้อดึงของมวลมนุษย์  อีกแง่หนึ่งก็เปิดโปงความเทียมเท็จและโหดร้ายของมวลมนุษย์  มวลมนุษย์ไม่ได้ให้ความเห็นใจ เข้าใจ หรือความช่วยเหลือแก่กลุ่มเปราะบางหรือผู้ที่สมควรได้รับความเวทนาสงสาร  นอกจากนั้นมวลมนุษย์ยังซ้ำเติมด้วยการใช้ทฤษฎีและกฎเกณฑ์อันไร้สาระที่ว่า “หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” มากล่าวโทษและผลักให้ผู้คนต้องตาย  นั่นไม่เป็นธรรมกับผู้คน  การทำเช่นนี้ไม่เพียงขัดต่อพระวจนะของพระเจ้าและข้อกำหนดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างมีต่อมวลมนุษย์เท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันยังขัดแย้งกับมาตรฐานด้านมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์เองอีกด้วย  เมื่อเป็นเช่นนี้ มุมมองที่ลูกๆ ของหญิงคนดังกล่าวใช้มองเรื่องนี้เป็นธรรมหรือไม่?  พวกเขาย่อมได้ประโยชน์ที่จับต้องได้จากการสมรสครั้งใหม่ของผู้เป็นมารดาและราคาที่เธอจ่ายไปมิใช่หรือ?  ในแง่ของการกระทำเอง ลูกๆ เคารพและเกื้อหนุนแม่ของตน แต่ความเกื้อหนุนนั้นมาจากไหน?  มาจากการที่แม่ของพวกเขาเลือกที่จะแต่งงานใหม่เพื่อให้พวกเขาอยู่รอดเท่านั้น เปิดโอกาสให้พวกเขาดำรงชีวิตต่อไป และช่วยให้พวกเขามีชีวิตรอดเท่านั้นเอง  ถ้าแม่ของพวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นเพื่อช่วยให้พวกเขารอดชีวิต พวกเขาย่อมจะไม่เห็นชอบหรือสนับสนุนการตัดสินใจของเธอที่จะแต่งงานใหม่  เพราะฉะนั้น ในฐานะลูกๆ ของเธอแล้ว ทัศนะที่พวกเขามีต่อการแต่งงานใหม่ของแม่ก็ไม่ได้เป็นธรรมอย่างแท้จริง  ไม่ว่าจะทางใด จะมองจากมุมของความเห็นส่วนใหญ่หรือของลูกๆ ของเธอ หนทางที่ผู้คนปฏิบัติต่อผู้เป็นแม่นี้และมาตรฐานที่พวกเขาใช้ประเมินเธอก็ไม่ได้อิงธรรมชาติอันแท้จริงแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของเธอ  นั่นคือความผิดพลาดในการที่มนุษย์ปฏิบัติต่อหญิงที่แต่งงานใหม่  จากเรื่องนี้ย่อมเห็นชัดว่าคำกล่าวของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” ไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากซาตาน และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงเลย  มุมมองที่ผู้คนใช้มองสิ่งทั้งปวงและวิธีที่พวกเขาใช้พิจารณาว่าคนคนหนึ่งมีหรือไม่มีศีลธรรมนั้น ไม่ได้อิงความจริงหรือพระวจนะของพระเจ้า กลับอิงทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมและข้อกำหนดที่แนวคิดเรื่องความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือของวัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อมนุษย์  อะไรคือความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ?  แนวคิดเหล่านี้มาจากไหน?  ดูภายนอกก็เหมือนมาจากปราชญ์โบราณและผู้คนที่มีชื่อเสียง แต่ในความเป็นจริงแล้ว แนวคิดเหล่านี้มาจากซาตาน เป็นคำกล่าวนานัปการที่ซาตานกำหนดไว้ใช้ควบคุมและกวดขันพฤติกรรมของผู้คน รวมทั้งวางบรรทัดฐาน ต้นแบบ และแบบแผนให้กับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน  อันที่จริงปราชญ์โบราณและผู้คนที่มีชื่อเสียงล้วนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตานและให้การรับใช้ซาตานกันทั้งสิ้น  พวกเขาคือหมู่มารที่ชักจูงผู้คนให้หลงผิด  ดังนั้นการบอกว่าแนวคิดเหล่านี้มาจากซาตานจึงเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด

เวลาผู้คนประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้อื่นและดูว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนเหล่านั้นดีหรือเลว พวกเขาเอาแต่ประเมินตามคำกล่าวอันโด่งดังของวัฒนธรรมดั้งเดิม พวกเขาให้คำวินิจฉัยและสรุปคุณภาพของสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นโดยดูเพียงว่าคนเหล่านั้นจัดการเรื่องเรื่องหนึ่งอย่างไร  เห็นได้ชัดว่านี่ผิดและไม่ถูกต้อง  ดังนั้นคนเราจะสามารถประเมินอย่างถูกต้อง เป็นธรรม และตามข้อเท็จจริงได้อย่างไรว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของใครคนหนึ่งนั้นดีหรือเลว?  หลักธรรมและมาตรฐานสำหรับประเมินคนเหล่านั้นคืออะไร?  กล่าวให้ถูกต้องก็คือ หลักธรรมและมาตรฐานสำหรับการประเมินนี้ต้องเป็นความจริง  พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง และเฉพาะพระวจนะเท่านั้นที่มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ  วาจาของมนุษย์ที่เสื่อมทรามไม่ใช่ความจริง ไม่มีสิทธิอำนาจ และไม่ควรใช้เป็นหลักการหรือหลักธรรมในการประเมินใครๆ  เพราะฉะนั้น วิธีเดียวที่ถูกต้อง อิงข้อเท็จจริง และเป็นธรรมในการประเมินลักษณะนิสัยทางศีลธรรมของผู้คน และประเมินว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาดีหรือเลว ก็คือการใช้พระวจนะของพระผู้สร้างและความจริงเป็นหลักการของตน  “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” เป็นคำกล่าวอันโด่งดังในหมู่มนุษย์ที่เสื่อมทราม  ต้นกำเนิดของคำกล่าวนี้ไม่ถูกต้อง มันมาจากซาตาน  ถ้าผู้คนวัดคุณภาพของสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นตามคำกล่าวของซาตาน เช่นนั้นแล้วก็แน่นอนว่าข้อสรุปของพวกเขาย่อมจะผิดและไม่เป็นธรรม  ดังนั้นคนเราจะประเมินคุณสมบัติทางศีลธรรมของคนคนหนึ่ง และประเมินอย่างเป็นธรรมและแม่นยำว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นดีหรือเลวได้อย่างไร?  คนเราต้องประเมินตามเจตนา เป้าหมาย และผลการกระทำของคนคนนั้น รวมทั้งความหมายและคุณค่าของสิ่งที่พวกเขาทำ พลางประเมินตามทัศนะและสิ่งที่พวกเขาเลือกอีกด้วยว่าพวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งที่เป็นบวกอย่างไร  เช่นนั้นจึงจะถูกต้องแม่นยำโดยแท้  คนคนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า—เจ้าย่อมมองเห็นได้ว่าตามข้อเท็จจริงแล้ว แม้ผู้ไม่เชื่อจะไม่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า แต่พวกเขาบางคนก็มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี ขนาดที่ว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขามีคุณภาพดีกว่าคนที่เชื่อในพระเจ้าบางคนด้วยซ้ำ  นี่ก็เหมือนกับการที่คนเคร่งศาสนาบางคนที่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าและเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี กลับคิดจะขอเงินจากคริสตจักรอยู่เสมอเวลาพวกเขาเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิง และโอดครวญกับพี่น้องชายหญิงว่าพวกเขายากจน ขณะเดียวกันก็เก็บงำความละโมบในเงินทองและสิ่งของ  พอพี่น้องชายหญิงมอบเนื้อสัตว์ ผัก ธัญพืช และอื่นๆ ให้ใช้ในช่วงที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพรับรอง พวกเขากลับแอบเก็บของเหล่านั้นไว้ให้ครอบครัวของตนกิน  คนพวกนี้เป็นคนเยี่ยงไร?  สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาดีหรือเลว?  (เลว)  ผู้คนแบบนี้ละโมบ ชอบเอาเปรียบผู้คน และมีลักษณะนิสัยที่ไม่ดี  ผู้ไม่เชื่อบางคนที่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าโดยตรง กลับเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิง  พวกเขายืนกรานที่จะใช้เงินของตนเองมารับรองพี่น้อง และไม่ยอมรับเงินจากคริสตจักร  ไม่ว่าคริสตจักรจะมอบเงินแก่พวกเขามากเท่าใด พวกเขาก็ไม่ยอมใช้สักสลึงเดียว และไม่นึกอยากได้ไว้—พวกเขาเก็บเงินนั้นไว้ทั้งหมดและมอบคืนแก่คริสตจักรในภายหลัง  เวลาพี่น้องชายหญิงซื้ออะไรให้พวกเขาใช้ยามที่เป็นเจ้าภาพรับรอง พวกเขาก็เอาของทั้งหมดมาให้พี่น้องชายหญิงที่พวกเขารับรองนั้นกินและใช้  ทันทีที่พี่น้องชายหญิงจากไป พวกเขาก็เอาของเหล่านี้ไปเก็บไว้ และนำออกมาอีกเฉพาะในครั้งต่อไปที่มีพี่น้องชายหญิงบางคนมาพักด้วย  ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขามีการแบ่งแยกที่ชัดเจนมาก และพวกเขาก็ไม่เคยเบียดบังสิ่งที่เป็นของคริสตจักร  ใครสอนพวกเขาเรื่องนี้?  ไม่มีใครสอน ดังนั้นพวกเขารู้ได้อย่างไรว่าควรทำอะไร?  แล้วพวกเขาสามารถทำเช่นนี้ได้อย่างไร?  ผู้คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้อย่างนี้ แต่พวกเขากลับทำได้  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  คือความแตกต่างในสภาวะความเป็นมนุษย์มิใช่หรือ?  ปัญหาคือความแตกต่างทางคุณภาพของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และความแตกต่างทางศีลธรรมของพวกเขา  ในเมื่อมีความแตกต่างทางด้านศีลธรรมระหว่างผู้คนสองจำพวกนี้ แล้วทางด้านท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและสิ่งที่เป็นบวกย่อมมีความแตกต่างด้วยหรือไม่?  (มี)  ระหว่างผู้คนสองจำพวกนี้ จำพวกไหนจะเข้าสู่ความจริงง่ายกว่ากัน?  จำพวกไหนมีแนวโน้มที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่ากัน?  ผู้คนที่มีศีลธรรมอันดีงามย่อมมีแนวโน้มที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่า  พวกเจ้ามองเห็นเป็นเช่นนี้หรือไม่?  พวกเจ้าไม่ได้มองเห็นอย่างนี้ สิ่งที่พวกเจ้าทำมีแต่ทำตามกฎเกณฑ์อย่างมืดบอดเท่านั้น คิดว่าคนเคร่งศาสนาที่รู้วิธีสาธยายคำพูดและคำสอนควรที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้ และผู้ไม่เชื่อที่เพิ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้าและยังสาธยายคำพูดและคำสอนไม่ได้ ย่อมไม่สามารถทำได้  อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามโดยแท้  การที่พวกเจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลายแบบนี้ย่อมผิดและไร้สาระมิใช่หรือ?  เราไม่ได้มองสิ่งทั้งหลายแบบนี้  เวลาเรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน เรามองท่าทีโดยรวมที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามองว่าผู้คนสองจำพวกที่ต่างกันประพฤติตัวอย่างไรเวลารับมือสถานการณ์เดียวกัน และพวกเขาเลือกอะไร  นี่ย่อมทำให้เห็นภาพได้ดีกว่าว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นเช่นไร  สองแนวทางนี้อย่างไหนเป็นธรรมกว่าและอิงข้อเท็จจริงกว่ากัน?  การประเมินคนตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาย่อมเป็นธรรมกว่าการประเมินตามการกระทำภายนอกของพวกเขา  ถ้าคนเราประเมินตามทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม หยิบยกการกระทำของคนในสถานการณ์หนึ่งๆ มาสรุปและใช้ตัดสินพวกเขา นั่นย่อมผิดและไม่เป็นธรรมกับคนคนนั้น  คนเราต้องประเมินให้แม่นยำตามคุณภาพของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา พฤติกรรมโดยรวม และเส้นทางที่พวกเขาใช้เดิน  นี่เท่านั้นที่ยุติธรรมและสมเหตุสมผล แล้วก็เป็นธรรมกับคนคนนั้นด้วย

คำกล่าวอ้างด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่พวกเรากล่าวถึงในที่นี้และในวันนี้ไม่มีคำใดเลยที่เกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้า และไม่มีคำใดที่ตรงกับความจริง  ไม่ว่าคำกล่าวหนึ่งๆ จะเป็นไปตามจารีตหรือเป็นบวกเพียงใด ก็ไม่สามารถกลายเป็นความจริงได้  คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเกิดจากสิ่งที่วัฒนธรรมดั้งเดิมให้การเชิดชู และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์ไล่ตามเสาะหา  ไม่ว่าผู้คนจะพูดถึงคำกล่าวต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ในทางดีเพียงใด หรือจะใช้ชีวิตตามคำกล่าวเหล่านี้เป็นอย่างดีเพียงใด หรือยึดมั่นในคำกล่าวเหล่านี้อย่างหนักแน่นเพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่าคำกล่าวเหล่านี้คือความจริง  ต่อให้ผู้คนส่วนใหญ่บนแผ่นดินโลกยึดมั่นและเชื่อในสิ่งเหล่านี้ มันก็จะไม่กลายเป็นความจริง—เหมือนกับการที่เรื่องโกหกก็ยังคงเป็นเรื่องโกหกอยู่นั่นเองต่อให้เจ้าเล่าเรื่องนั้นเป็นพันครั้งก็ตาม  เรื่องโกหกจะไม่มีวันกลับกลายเป็นเรื่องจริงได้  เรื่องโกหกคือแนวคิดเทียมเท็จที่บรรจุกลอุบายของซาตานเอาไว้ เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจแทนที่ความจริงได้ และยิ่งกลายเป็นความจริงไม่ได้  ในทำนองเดียวกัน ข้อกำหนดต่างๆ ที่ผู้คนมีต่อการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมก็ไม่อาจกลายเป็นความจริงได้  ไม่ว่าเจ้าจะยึดมั่นขนาดไหนหรือยึดถือเป็นอย่างดีเพียงใด ทั้งหมดนั้นก็เพียงแต่สะท้อนตัวเจ้าว่าเจ้ามีการประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรมในสายตาของมนุษย์เท่านั้น—แต่เจ้ามีสภาวะความเป็นมนุษย์ในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่จำเป็น  ในทางตรงกันข้าม ถ้าเจ้าปฏิบัติตามแง่มุมและกฎเกณฑ์ทุกอย่างของแนวคิดเรื่องความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือของวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นอย่างดีและด้วยความตั้งใจยิ่ง เจ้าก็ย่อมจะออกห่างจากความจริงไปไกลมากแล้ว  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะเจ้าย่อมจะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามคำกล่าวอ้างด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ และใช้มันเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  นั่นก็เหมือนการที่เจ้าเอียงคอดูนาฬิกานั่นเอง—มุมมองของเจ้าย่อมจะไม่ถูกต้อง  ผลสุดท้ายในเรื่องนี้ย่อมจะเป็นว่าทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและการกระทำของเจ้า ย่อมจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงหรือข้อกำหนดของพระเจ้าเลย และเจ้าย่อมจะห่างไกลจากหนทางของพระเจ้าที่เจ้าพึงเดินตาม—เจ้าอาจเดินสวนทางอยู่ด้วยซ้ำ และกระทำการในลักษณะที่ทำให้เจ้าไปไม่ถึงเป้าหมายเสียเอง  ยิ่งเจ้ายึดมั่นและชื่นชูคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ พระเจ้าก็จะยิ่งหน่ายเจ้า เจ้าจะยิ่งออกห่างจากพระเจ้าและความจริง และจะยิ่งต่อต้านพระเจ้าอีกด้วย  ไม่ว่าเจ้าจะคิดว่าหนึ่งในคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ถูกต้องเพียงใด หรือไม่ว่าเจ้าจะยึดถือมานานเพียงใด นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริง  ไม่ว่าเจ้าจะคิดว่ามาตรฐานทางด้านพฤติกรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นมีข้อใดที่ถูกต้องและสมเหตุสมผลก็ตาม นั่นก็ไม่ใช่ความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวก แน่นอนที่สุดว่านั่นไม่ใช่ความจริง หรือตรงกับความจริง  เราขอให้เจ้าเร่งทบทวนตนเองว่า สิ่งที่เจ้ายึดมั่นอยู่นี้มาจากไหน?  การใช้สิ่งนี้เป็นหลักธรรมและมาตรฐานในการประเมินและกำหนดให้ผู้คนทำตามนั้นมีหลักพื้นฐานอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  มีหลักพื้นฐานอยู่ในความจริงหรือไม่?  เจ้าชัดแจ้งหรือไม่ว่าการปฏิบัติตามข้อกำหนดของวัฒนธรรมดั้งเดิมนี้มีผลอย่างไร?  และมีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงหรือไม่?  เมื่อใช้ข้อกำหนดของวัฒนธรรมดั้งเดิมนี้เป็นพื้นฐานแห่งการกระทำของเจ้า และเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า และเมื่อมองว่าข้อกำหนดนี้คือสิ่งที่เป็นบวก เจ้าก็ควรใช้วิจารณญาณแยกแยะและชำแหละว่าเจ้ากำลังขัดแย้งกับความจริง ต้านทานพระเจ้า และละเมิดความจริงอยู่หรือไม่  ถ้าเจ้ายึดมั่นอย่างมืดบอดในทัศนะและคำกล่าวที่วัฒนธรรมดั้งเดิมให้การเชิดชู ผลจากการทำเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร?  ถ้าเจ้าถูกคำกล่าวเหล่านี้ชักจูงให้หลงผิดหรือลวงให้หลงเชื่อ เจ้าก็สามารถจินตนาการได้ว่าจุดจบและปลายทางของเจ้าจะเป็นเช่นไร  ถ้าเจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลายจากมุมมองของวัฒนธรรมดั้งเดิม ก็ย่อมจะเป็นการยากที่เจ้าจะยอมรับความจริง  เจ้าจะไม่มีวันสามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงได้  คนที่เข้าใจความจริงควรวิเคราะห์คำกล่าวอ้างและข้อกำหนดนานาประการด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิม  เจ้าควรชำแหละคำกล่าวและข้อกำหนดที่เจ้าชื่นชูที่สุด ยึดมั่นอยู่ตลอดเวลา และใช้เป็นหลักการและหลักเกณฑ์อยู่เสมอในการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ในการวางตัวและกระทำการ  จากนั้นเจ้าก็ควรนำสิ่งที่เจ้ายึดมั่นนั้นมาเปรียบเทียบกับพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้า ดูว่าแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมต่อต้านหรือขัดแย้งกับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงหรือไม่  ถ้าเจ้าพบเจอปัญหาเข้าจริงๆ เจ้าก็ต้องวิเคราะห์ทันทีว่าแท้จริงแล้วแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมผิดและไร้สาระตรงไหน  เมื่อเจ้าชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ เจ้าก็จะรู้ว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือความเชื่อที่ผิด เจ้าจะมีเส้นทางปฏิบัติ และจะสามารถเลือกเส้นทางที่เจ้าควรเดินได้  จงแสวงหาความจริงด้วยวิธีนี้ แล้วเจ้าจะสามารถปรับปรุงตัวได้  ไม่ว่าสิ่งที่เรียกกันว่าข้อกำหนดและคำกล่าวที่มวลมนุษย์มีต่อลักษณะนิสัยทางด้านศีลธรรมของผู้คนจะมีมาตรฐานเพียงใดหรือสอดคล้องกับรสนิยม ทัศนคติ ความปรารถนาและแม้แต่ผลประโยชน์ของมวลชนมากเพียงใด สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่ความจริง  นี่คือบางสิ่งที่เจ้าต้องเข้าใจ  และเนื่องจากสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความจริง เจ้าจึงควรรีบปฏิเสธและละทิ้งสิ่งเหล่านั้นเสีย  เจ้าต้องชำแหละแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น รวมทั้งผลสืบเนื่องที่มาจากการที่ผู้คนใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านั้นอีกด้วย  แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นสามารถทำให้เจ้ากลับใจได้จริงหรือ?  สิ่งเหล่านั้นสามารถช่วยให้เจ้ารู้จักตนเองได้จริงหรือ?  สามารถทำให้เจ้าใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้จริงหรือ?  สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้ มีแต่จะทำให้เจ้าหน้าซื่อใจคดและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอเท่านั้น  สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าฉลาดแกมโกงและชั่วมากขึ้น  มีบางคนกล่าวว่า “ที่ผ่านมา เวลาที่พวกเราปฏิบัติตามแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม พวกเรารู้สึกเหมือนเป็นคนดี  พอคนอื่นเห็นว่าพวกเราประพฤติตัวอย่างไร พวกเขาก็คิดว่าพวกเราเป็นคนดีเช่นกัน  แต่ที่จริงแล้วพวกเรารู้ดีแก่ใจว่าพวกเราสามารถทำความชั่วแบบใดได้บ้าง  การทำความดีเล็กน้อยเป็นเพียงการอำพรางเรื่องนั้นเอาไว้เท่านั้น  แต่ถ้าพวกเราละทิ้งพฤติกรรมอันดีงามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดให้พวกเราทำ แล้วพวกเราควรที่จะทำอะไรแทน?  พฤติกรรมและการแสดงออกเช่นใดที่จะนำพระสิริมาสู่พระเจ้า?”  เจ้าคิดอย่างไรกับคำถามนี้?  พวกเขายังไม่รู้อีกหรือว่าผู้เชื่อในพระเจ้าควรปฏิบัติความจริงอะไรบ้าง?  พระเจ้าทรงแสดงความจริงเอาไว้มากมาย และมีความจริงมากมายที่ผู้คนควรปฏิบัติ  ดังนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ยอมปฏิบัติความจริงและยืนกรานที่จะเป็นคนดีที่เทียมเท็จและคนหน้าซื่อใจคด?  เหตุใดเจ้าจึงเสแสร้ง?  มีบางคนกล่าวว่า “วัฒนธรรมดั้งเดิมมีแง่มุมดีๆ อยู่มากมาย!  เช่น ‘เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู’—นี่เป็นคำกล่าวที่วิเศษ!  นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรปฏิบัติ  พระองค์โยนทิ้งไปเฉยๆ ได้อย่างไร?  แล้วก็ ‘ฉันยอมรับกระสุนแทนเพื่อน’—ช่างภักดีและกล้าหาญ!  การมีเพื่อนแบบนี้ทำให้ชีวิตสูงขึ้น  ยังมีคำกล่าวที่ว่า ‘หนอนไหมแห่งฤดูใบไม้ผลิถักทอจนตัวตาย ส่วนเทียนไขก็มอดไหม้จนน้ำตาเทียนเหือดแห้ง’  คำกล่าวนี้ลุ่มลึกและรุ่มรวยวัฒนธรรมอย่างยิ่ง!  ถ้าพระองค์ไม่ยอมให้พวกเราใช้ชีวิตตามคำกล่าวเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเราควรใช้อะไรเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต?”  ถ้าเจ้าคิดแบบนี้ เช่นนั้นแล้วเวลาหลายปีที่เจ้าฟังคำเทศนามาก็สูญเปล่าทั้งสิ้น  เจ้าไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าอย่างน้อยที่สุดคนเราต้องวางตัวด้วยการใช้ชีวิตตามมาตรฐานของมโนธรรมและเหตุผล  เจ้ายังไม่ได้รับความจริงแม้แต่น้อย และใช้ชีวิตในช่วงหลายปีมานี้อย่างสูญเปล่า

กล่าวสั้นๆ ก็คือ แม้พวกเราจะไล่กล่าวถึงคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่เป้าหมายที่ทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพียงเพื่อที่จะบอกพวกเจ้าว่าทั้งหมดนี้คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน เป็นสิ่งที่มาจากซาตาน และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น  นี่เป็นไปเพื่อทำให้พวกเจ้าเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าแก่นแท้ของสิ่งเหล่านี้เทียมเท็จ ปลอมแปลง และหลอกลวง  ต่อให้ผู้คนมีพฤติกรรมเหล่านี้ก็ไม่ได้หมายความแต่อย่างใดว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ตรงกันข้ามพวกเขากำลังใช้พฤติกรรมเทียมเท็จเหล่านี้มาปกปิดเจตนาและเป้าหมายของตน ปิดบังอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และแก่นแท้ธรรมชาติของตน  ผลก็คือผู้คนเสแสร้งและลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อเก่งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยังผลให้พวกเขายิ่งเสื่อมทรามและชั่วมากขึ้นอีก  มาตรฐานทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มนุษยชาติอันเสื่อมทรามยึดถืออยู่นั้นเข้ากันไม่ได้กับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง และไม่สอดคล้องกับพระวจนะใดๆ ที่พระเจ้าใช้สอนผู้คน ไม่มีความเชื่อมโยงกันแต่อย่างใด  หากเจ้ายังคงยึดมั่นในแง่มุมต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมถูกชักพาให้หลงผิดและถูกพิษเข้าไปทั้งตัวแล้ว  ถ้ามีเรื่องใดที่เจ้ายึดถือตามวัฒนธรรมดั้งเดิมและปฏิบัติตามหลักการและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังเป็นกบฏต่อพระเจ้า ละเมิดความจริง และเดินสวนทางกับพระเจ้าในเรื่องนั้น  หากเจ้ายึดมั่นและมุ่งที่จะทำตามคำกล่าวอ้างเหล่านี้ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมไม่ว่าจะในข้อใด และถือเป็นหลักเกณฑ์หรือหลักการที่เจ้าใช้มองผู้คนหรือสิ่งทั้งหลาย เช่นนั้นแล้วนั่นก็คือจุดที่เจ้าผิดพลาด และถ้าเจ้าตัดสินหรือทำร้ายผู้คนไปถึงระดับหนึ่ง เจ้าก็ย่อมจะทำบาปไปแล้ว  หากเจ้ายืนกรานอยู่เสมอที่จะใช้มาตรฐานทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นเครื่องประเมินทุกคน เช่นนั้นแล้วจำนวนผู้คนที่เจ้าได้กล่าวโทษและให้ร้ายก็จะทวีคูณไปเรื่อยๆ และเจ้าก็จะกล่าวโทษและต้านทานพระเจ้าอย่างแน่นอน แล้วจากนั้นเจ้าก็ย่อมจะเป็นคนบาปมหันต์  พวกเจ้ามองเห็นมิใช่หรือว่ามนุษย์ทั้งมวลนั้นชั่วขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การอบรมสั่งสอนและฝึกฝนของวัฒนธรรมดั้งเดิม?  โลกกำลังมืดลงมิใช่หรือ?  ยิ่งใครบางคนเป็นพวกของซาตานและหมู่มาร พวกเขาก็ยิ่งเป็นที่เคารพบูชา ยิ่งใครปฏิบัติความจริง เป็นพยานให้พระเจ้า และทำให้พระเจ้าพอพระทัย พวกเขาก็ยิ่งถูกปราบปราม ผลักไส กล่าวโทษ หรือถึงกับถูกประหารด้วยการตรึงกางเขน  นี่คือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  ต่อไปภายหน้า พวกเจ้าควรสามัคคีธรรมบ่อยๆ ถึงเรื่องที่พวกเราสามัคคีธรรมกันมาในที่นี้และในวันนี้  ถ้าสามัคคีธรรมแล้วมีเรื่องที่พวกเจ้าไม่เข้าใจ เช่นนั้นแล้วก็จงพักเรื่องนั้นๆ ไว้ก่อนและสามัคคีธรรมส่วนที่เจ้าสามารถรับมือได้จนกว่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องดังกล่าว  จงสามัคคีธรรมถ้อยคำเหล่านี้จนชัดแจ้งอย่างแท้จริงและพวกเจ้าเองก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ เมื่อนั้นเจ้าจึงจะสามารถปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงได้อย่างถูกต้อง  เมื่อพวกเจ้าสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าคำกล่าวใดหรือสิ่งใดเป็นความจริงบ้าง หรือเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมและไม่ใช่ความจริง เมื่อนั้นพวกเจ้าก็จะมีเส้นทางที่จะใช้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงมากขึ้น  ในที่สุดเมื่อพวกเจ้าสามารถเข้าใจความจริงทุกข้อที่พวกเจ้าพึงปฏิบัติผ่านทางสามัคคีธรรม และพวกเจ้าก็มีฉันทามติแล้ว เมื่อพวกเจ้ามีทัศนะและความเข้าใจที่คงเส้นคงวา เมื่อพวกเจ้ารู้ว่าอะไรเป็นบวกและอะไรเป็นลบ สิ่งใดมาจากพระเจ้าและสิ่งใดมาจากซาตาน และพวกเจ้าก็สามัคคีธรรมหัวข้อดังกล่าวจนพวกเจ้าชัดเจนและแจ่มแจ้งในเรื่องเหล่านี้ เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเจ้าย่อมจะเข้าใจความจริงแล้ว  จากนั้นก็จงเลือกหลักธรรมความจริงที่พวกเจ้าควรปฏิบัติ  เมื่อทำเช่นนี้ พวกเจ้าจึงจะมีมาตรฐานทางด้านพฤติกรรมตามที่พระเจ้าทรงวางไว้ และอย่างน้อยที่สุดพวกเจ้าก็จะมีสภาพเสมือนมนุษย์อยู่บ้าง  ถ้าเจ้าสามารถเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้อย่างครบถ้วน  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์

5 มีนาคม ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (4)

ถัดไป: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (6)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger