การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (5)

พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องอะไรในการชุมนุมครั้งที่แล้ว?  (ตอนแรกพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมเรื่องของเสี่ยวเซี่ยวและเสี่ยวจี๋  จากนั้นก็ทรงสามัคคีธรรมว่าพฤติกรรมที่มนุษย์มองว่าดีงามแสดงให้เห็นสิ่งใด พระองค์ตรัสถึงข้อกำหนดบางอย่างที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเน้นหลักธรรมความจริงที่พวกเราควรเข้าใจเกี่ยวกับการให้เกียรติพ่อแม่ของตน)  คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อที่สัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งก็เข้ากับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์อย่างที่สุด  นี่เป็นหัวข้อเชิงลบด้วย ซึ่งก็คือพฤติกรรมทั้งหลายที่ถือกันว่าถูกต้องและดีงามตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์  พวกเรายกตัวอย่างบางอย่างที่อยู่ในหัวข้อนี้ แล้วจากนั้นพวกเราก็ยกตัวอย่างข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีเพื่อกำกับพฤติกรรมของมนุษย์ขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง  รายละเอียดของสิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันก็มีประมาณนี้  สามัคคีธรรมนี้ไม่ได้มีเรื่องใหญ่ๆ มากนัก แต่พวกเราก็เสวนากันถึงรายละเอียดหลายอย่างเกี่ยวกับความรู้ การปฏิบัติ และความเข้าใจที่ผู้คนมีต่อความจริง  ในวันนี้พวกเราจะย้อนดูเรื่องเหล่านี้กันพอสังเขป  กล่าวโดยทั่วไปแล้วมีอะไรบ้างที่มนุษย์มองว่าเป็นพฤติกรรมอันดีงาม?  พวกเราควรมีข้อสรุปหรือคำนิยามกว้างๆ ให้กับเรื่องนี้มิใช่หรือ?  พวกเจ้ามีข้อสรุปบ้างไหม?  เวลาชุมนุมกัน พวกเจ้าสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้บ้างหรือไม่?  (ทำบ้าง  หลังจากที่พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมกับพวกเราอยู่หลายครั้ง พวกเราก็สามารถมองเห็นว่าพฤติกรรมอันดีงามที่มนุษย์เข้าใจว่าถูกต้องนั้นเป็นเพียงพฤติกรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้แสดงถึงความจริง เป็นเพียงวิธีที่ผู้คนใช้อำพรางตัวตน)  จากถ้อยแถลงบางอย่างที่มวลมนุษย์ได้สรุปรวบรวมไว้ในเรื่องของพฤติกรรมภายนอก—แท้จริงแล้วแก่นแท้ของพฤติกรรมเหล่านี้คืออะไร?  แก่นแท้ของมนุษย์สัมพันธ์กับพฤติกรรมอันดีงามภายนอกของมวลมนุษย์หรือไม่?  พฤติกรรมอันดีงามภายนอกเหล่านี้ทำให้ผู้คนดูดีและดูมีศักดิ์ศรีมาก คนที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ได้รับความเคารพและการสรรเสริญจากผู้อื่น พวกเขาเป็นที่นับถืออย่างมากและพาให้เกิดความรู้สึกดีๆ  ความรู้สึกดีๆ นี้สอดคล้องกับแก่นแท้ที่เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์หรือไม่?  (ไม่)  ถ้าเช่นนั้น จากมุมมองนี้ ธรรมชาติของพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์คืออะไร?  เป็นเพียงท่าทางอันฉาบฉวยและการสร้างภาพมิใช่หรือ?  (ใช่)  ท่าทางอันฉาบฉวยและการสร้างภาพเหล่านี้สำแดงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติออกมาอย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่?  (ไม่)  นั่นคือสาเหตุที่พฤติกรรมที่ผู้คนมองว่าถูกต้องและดีงามอยู่ในมโนคติอันหลงผิดของพวกเขานั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงท่าทางอันฉาบฉวยและการสร้างภาพของมวลมนุษย์เท่านั้น  นั่นคือธรรมชาติของพฤติกรรมเหล่านั้น  พฤติกรรมเหล่านั้นไม่ได้ก่อให้เกิดการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และไม่ใช่การพรั่งพรูความเป็นมนุษย์ที่ปกติออกมา เป็นเพียงท่าทางภายนอกเท่านั้น  ท่าทางเหล่านี้กลบเกลื่อนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ ปกปิดแก่นแท้ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์ และหลอกตาผู้อื่น  ผู้คนประพฤติตัวดีงามเช่นนี้เพื่อให้ได้รับความโปรดปราน การยอมรับนับถือ และความเคารพจากผู้อื่น—พฤติกรรมเช่นนี้ไม่อาจช่วยให้ผู้คนปฏิบัติต่อกันอย่างซื่อสัตย์หรือมีปฏิสัมพันธ์ด้วยความจริงใจได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์  พฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ไม่ใช่ท่าทางที่เกิดจากความสุจริตใจ หรือเป็นการพรั่งพรูความเป็นมนุษย์ที่ปกติออกมาตามธรรมชาติ  พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้แสดงถึงแก่นแท้ของมนุษย์แต่อย่างใด เป็นเปลือกปลอมและฉากหน้าอันเทียมเท็จที่มนุษย์ใช้เท่านั้น—เป็นเครื่องประดับของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม คอยปกปิดแก่นแท้อันชั่วของมวลมนุษย์  นั่นคือแก่นแท้ของพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์ นั่นคือความจริงเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้  ดังนั้น อะไรคือแก่นแท้ของพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์ทำ?  สองครั้งหลังที่พวกเราสามัคคีธรรมกัน พวกเราเอ่ยถึงแนวทางบางอย่างที่พระเจ้าทรงกำหนดในเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์ที่พระองค์ทรงประสงค์ให้ผู้คนใช้ในการดำเนินชีวิต  สิ่งเหล่านี้มีอะไรบ้าง?  (ผู้คนต้องไม่สูบบุหรี่ หรือดื่มสุรา และต้องไม่ลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น  พวกเขาต้องให้เกียรติพ่อแม่ของตน และมีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน  พวกเขาต้องไม่บูชารูปเคารพ ทำผิดประเวณี ลักขโมย เบียดบังทรัพย์สมบัติของผู้อื่น หรือเป็นพยานเท็จ เป็นต้น)  แก่นแท้ของข้อกำหนดเหล่านี้คืออะไร?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หลักการพื้นฐานที่พระเจ้าทรงใช้ในการออกข้อกำหนดเหล่านี้คืออะไร?  ข้อกำหนดเหล่านี้มีอะไรเป็นเงื่อนไขที่สำคัญ?  ข้อกำหนดเหล่านี้มีขึ้นตามบริบทและหลักการพื้นฐานที่ว่ามวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้วและมนุษย์ก็มีธรรมชาติที่เป็นบาปไม่ใช่หรือ?  แล้วข้อกำหนดเหล่านี้อยู่ในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  เป็นสิ่งที่ผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถทำได้หรือไม่?  (เป็น)  ข้อกำหนดทั้งหมดนี้มีขึ้นตามเงื่อนไขพื้นฐานที่ว่าคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติย่อมจะสัมฤทธิ์ได้ทั้งสิ้น  เมื่อมองในมุมนี้แล้ว แก่นแท้ของพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์ทำคืออะไร?  พวกเราอาจกล่าวได้ไหมว่าเป็นการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนอันแท้จริงของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเป็นสิ่งที่อย่างน้อยที่สุดความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี?  ตัวอย่างที่พวกเรายกมาว่า ผู้คนต้องมีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ทำตัวเสเพล ต้องไม่ลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น หรือสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ทำผิดประเวณี ลักขโมย หรือบูชารูปเคารพ และพวกเขาต้องให้เกียรติพ่อแม่ของตน และในยุคพระคุณก็มีการบอกให้ผู้คนอดทน ยอมผ่อนปรน และอื่นๆ ด้วย—ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีขึ้นเหล่านี้จำกัดอยู่แต่แนวทางแบบนี้เท่านั้นหรือไม่?  ไม่ พระเจ้าทรงวางหลักเกณฑ์ไว้ว่าผู้คนควรใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างไร  คำว่า “หลักเกณฑ์” นี้เราหมายถึงอะไร?  เราหมายถึงมาตรฐานตามข้อกำหนดของพระเจ้า  ในฐานะคนคนหนึ่ง เจ้าจำเป็นต้องดำเนินชีวิตอย่างไรจึงจะมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ?  เจ้าต้องลุล่วงข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงวางไว้  พวกเราไล่กล่าวถึงข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  ข้อกำหนด เช่น ไม่ลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น ไม่สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ทำผิดประเวณี หรือลักขโมย เป็นต้น คือสิ่งที่คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถสัมฤทธิ์ได้  แม้สิ่งเหล่านี้จะด้อยกว่าความจริงและไม่ใช่ความจริง แต่ก็เป็นมาตรฐานเบื้องต้นบางอย่างที่ใช้ประเมินว่าคนคนหนึ่งมีความเป็นมนุษย์หรือไม่

อะไรคือแก่นแท้ของพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์ทำซึ่งพวกเราเพิ่งจะสรุปรวบรวมเอาไว้?  การใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ถ้าคนคนหนึ่งสามารถใช้ชีวิตหรือประพฤติตนตามหนทางที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ได้ เช่นนั้นแล้วคนคนนี้ก็มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติในสายพระเนตรของพระเจ้า  การมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าคนคนหนึ่งมีหลักเกณฑ์ด้านพฤติกรรมตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้อยู่แล้ว และในแง่ของพฤติกรรม แนวทาง และการดำเนินชีวิต ก็ทำได้ตามมาตรฐานของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เพราะพวกพรั่งพรูและใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติตามหนทางที่พระเจ้าทรงกำหนด  กล่าวเช่นนี้ได้หรือไม่?  (ได้)  ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าคนเราจะมีความเชื่อที่แท้จริงหรือไม่ก็ตาม หากพวกเขาลักขโมย ลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อ หรือเอาเปรียบผู้อื่น หรือหากพวกเขาพูดจาหยาบคายอยู่เนืองๆ หรือลงไม้ลงมือและทำร้ายผู้อื่นเมื่อตนเสี่ยงที่จะสูญเสียความมีหน้ามีตา สถานะ ภาพลักษณ์ หรือผลประโยชน์อื่นๆ ของตน โดยที่ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด หรือหากพวกเขาไปไกลถึงขั้นทำบาปข้อผิดประเวณี—ถ้าพวกเขายังคงมีปัญหาเหล่านี้ในวิธีการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วความเป็นมนุษย์ของพวกเขาปกติหรือไม่?  (ไม่ปกติ)  ไม่ว่าเจ้าจะประเมินผู้ไม่มีความเชื่อหรือผู้เชื่ออยู่ก็ตาม มาตรฐานทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้เหล่านี้ก็เป็นเพียงมาตรฐานขั้นต่ำสุดที่ใช้วัดความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งเท่านั้น  มีบางคนที่ประกาศตัดขาดและสละตนเองบ้างหลังจากที่มาเป็นผู้เชื่อ สามารถจ่ายราคาได้บ้าง แต่ไม่เคยทำได้ตามมาตรฐานทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงวางไว้  นี่ก็ชัดเจนว่าผู้คนประเภทนี้ไม่ได้ใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ—พวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ขั้นพื้นฐานที่สุดด้วยซ้ำ  เวลาที่คนคนหนึ่งไม่ได้ใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เนื่องจากพวกเขาทำได้ไม่ถึงมาตรฐานตามข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมวลมนุษย์ในแง่ของการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจึงย่ำแย่ และผลการประเมินพวกเขาจึงได้แต่ออกมาแย่เท่านั้น  มาตรฐานขั้นต่ำสุดที่จะใช้ประเมินความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งก็คือการดูว่าพฤติกรรมของพวกเขาได้มาตรฐานตามข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมวลมนุษย์หรือไม่  จงดูว่าหลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า พวกเขารู้จักยับยั้งชั่งใจหรือไม่ มีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชนในสิ่งที่พวกเขาพูดและทำหรือไม่ พวกเขาเอาเปรียบผู้อื่นเวลามีปฏิสัมพันธ์กันหรือไม่ ปฏิบัติต่อคนในครอบครัวของตนและพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรด้วยความรัก ความยอมผ่อนปรน และความอดทนหรือไม่ พวกเขาลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อพ่อแม่อย่างสุดความสามารถหรือไม่ พวกเขายังคงบูชารูปเคารพเวลาที่ไม่มีใครเห็นหรือไม่ และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  พวกเราสามารถใช้สิ่งเหล่านี้มาประเมินความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งได้  หากไม่คำนึงว่าว่าคนคนนั้นรักและไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ก็จงประเมินก่อนว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือเปล่า—วาจาและพฤติกรรมของพวกเขาเป็นไปตามมาตรฐานทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงวางไว้หรือไม่  หากไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางด้านพฤติกรรมเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถประเมินความเป็นมนุษย์ของพวกเขาตามระดับของการดำเนินชีวิตของพวกเขาได้ ไม่ว่าจะเป็น โดยเฉลี่ย แย่ แย่มาก หรือเลวร้าย ตามลำดับ—เช่นนี้จึงแม่นยำ  ถ้าผู้เชื่อขโมยของตามร้านค้าและล้วงกระเป๋าเวลาไปซูเปอร์มาร์เก็ตหรือสถานที่สาธารณะ ถ้าพวกเขาชอบลักขโมย พวกเขาย่อมมีความเป็นมนุษย์เช่นใด?  (ความเป็นมนุษย์ที่เลวร้าย)  มีบางคนที่ตะโกนด่าหยาบๆ คายๆ และถึงกับลงมือลงไม้กับผู้อื่นเมื่อมีบางสิ่งมาทำให้พวกเขาโกรธ  วาจาหยาบคายของพวกเขาไม่ใช่การประเมินแก่นแท้ของอีกฝ่ายอย่างเป็นธรรม กลับเป็นการกล่าวหาตามใจชอบและเต็มไปด้วยถ้อยคำที่โสมม  ผู้คนเยี่ยงนี้ย่อมพูดอะไรก็ตามที่เปิดโอกาสให้พวกเขาระบายความเกลียดชังของตนออกมาอย่างไม่รู้จักยับยั้ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางคนกล่าวสิ่งต่างๆ กับพ่อแม่ของตน กับพี่น้องชายหญิงของตน กับญาติของตนที่เป็นผู้ไม่มีความเชื่อ และแม้แต่กับเพื่อนๆ ของตนที่เป็นผู้ไม่มีความเชื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าเองก็ไม่อยากได้ยินได้ฟัง ด้วยเกรงว่ามันจะทำให้หูของเจ้าแปดเปื้อน  คนแบบนี้มีความเป็นมนุษย์เช่นใด?  (ความเป็นมนุษย์ที่เลวร้าย)  เจ้าอาจกล่าวได้อีกด้วยว่าพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์  นอกจากนี้ยังมีคนอื่นที่สายตาจับจ้องเงินทองตลอดเวลา  เมื่อคนเหล่านี้เห็นใครมีเงิน กินดี สวมใส่เสื้อผ้าดีๆ มีชีวิตที่มั่งคั่ง พวกเขาก็อยากเอารัดเอาเปรียบคนเหล่านั้นอยู่เสมอ  พวกเขาใช้วิธีที่อ้อมค้อมขอสิ่งต่างๆ จากคนเหล่านั้นตลอดเวลา หรือกินอาหารและใช้สิ่งของของคนเหล่านั้น หรือหยิบยืมสิ่งต่างๆ จากคนเหล่านั้นและไม่คืนให้  แม้พวกเขาจะไม่เคยเอาเปรียบผู้อื่นในลักษณะที่เลวร้ายอะไร และการกระทำของพวกเขาก็ไม่นับเป็นการฉ้อโกงหรือติดสินบน แต่พฤติกรรมที่ชอบลักขโมยของพวกเขาก็ต่ำช้าและน่ารังเกียจโดยแท้ ทั้งยังทำให้ผู้อื่นนึกดูหมิ่น  ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นก็คือมีคนที่หมกมุ่นอยู่กับความสวยงามของเพศตรงข้าม  พวกเขามักจะส่งสายตาให้เพศตรงข้าม และถึงขั้นล่วงประเวณี ทำบาปทางเพศ  คนเหล่านี้บางคนเป็นโสด ขณะที่คนอื่นมีครอบครัวแล้ว—มีบางคนถึงกับทำผิดประเวณีทั้งที่อายุก็มากโขแล้ว  ที่ยิ่งร้ายแรงกว่านั้นอีกก็คือบางคนพยายามที่จะล่อลวงและมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนเพศเดียวกัน  เรื่องนี้น่ารังเกียจโดยแท้  สิ่งที่ยิ่งเหลือเชื่อเข้าไปอีกก็คือผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ไม่เชื่อว่าความจริงล้ำเลิศเหนือทุกสิ่ง หรือว่าพระวจนะของพระเจ้าย่อมทำให้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วง  ผู้คนเหล่านี้มักจะแอบไปหาหมอดูเพื่อให้ดูโชควาสนาให้ตน พวกเขาจุดธูปสักการะพระพุทธหรือรูปเคารพอื่นๆ และบางคนก็ถึงกับใช้ตุ๊กตาของขลังสาปแช่งคนอื่น หรือสื่อสารกับวิญญาณ และอื่นๆ ทำนองนั้น  การใช้เวทมนตร์ชั่วร้ายแบบนี้เป็นเรื่องที่ยิ่งร้ายแรงเข้าไปใหญ่ ผู้คนพวกนี้คือผู้ไม่เชื่อ และไม่ต่างอะไรจากผู้ไม่มีความเชื่อ  ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเบาหรือหนักหนา เมื่อคนคนหนึ่งสำแดงลักษณะเหล่านี้ให้เห็น พวกเราก็สามารถพูดได้ว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ในรูปแบบที่ผิดปกติและด่างพร้อย พฤติกรรมบางอย่างของพวกเขาถึงขั้นหลงผิดหรือไร้สาระ—เป็นพฤติกรรมที่เป็นบาปโดยแท้  หลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า บางคนแต่งกายยั่วยวนมาก ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ที่เย้ายวนมากเหมือนพวกผู้ไม่มีความเชื่อ และทำตามกระแสนิยมทางโลก  พวกเขาดูไม่เหมือนธรรมิกชนแต่อย่างใด  บางคนแต่งตัวให้มีรสนิยมขึ้นเวลาไปร่วมชุมนุม แต่พอถึงบ้านก็เปลี่ยนใส่ชุดตามกระแสนิยมของพวกผู้ไม่มีความเชื่อ  จากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ พวกเขาย่อมดูไม่เหมือนผู้เชื่อ ระหว่างพวกเขากับผู้ไม่มีความเชื่อไม่มีอะไรแตกต่างกัน  พวกเขาหัวเราะคิกคักและทำเหมือนสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องตลก ปล่อยตัวปล่อยใจอย่างยิ่งและขาดความยับยั้งชั่งใจ  ผู้คนเยี่ยงนี้ใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติอยู่หรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้ากระแสนิยมทางโลก ทำให้ตัวเองดูเย้ายวน ดึงดูดใจผู้อื่น และให้คนเหลียวมอง  พวกเขาใช้เวลาทั้งวันแต่งกายให้ดูสวยงามและโปะเครื่องสำอาง พยายามดึงดูดเพศตรงข้าม  สิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตนั้นค่อนข้างแย่  พวกเขาไม่สามารถยับยั้งชั่งใจแม้แต่ในเรื่องของการแต่งกาย การพูดจา และการประพฤติตน ไม่มีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน ดังนั้นเวลาพวกเราประเมินคนเหล่านี้ตามหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ จึงชัดเจนว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตนั้นแย่มาก  จากตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมเหล่านี้ พวกเราย่อมจะมองเห็นได้ว่าข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของผู้คนและสิ่งที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตนั้นตรงตามข้อกำหนดว่าด้วยความเป็นมนุษย์ที่ปกติทั้งสิ้น—ดังนั้นตามปกติแล้ว คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติย่อมจะสามารถทำตามได้  ประโยคที่กล่าวมานี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าจะมีสภาพเสมือนมนุษย์ ดูเหมือนคนปกติ และมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติขั้นต่ำสุดก็ต่อเมื่อนี่คือสิ่งที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิต  เมื่อดูรายละเอียดบางอย่างในข้อกำหนดของพระเจ้า พวกเราย่อมจะมองเห็นได้ว่าการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ในหนทางนี้ไม่ใช่ของปลอม หรือเป็นการเล่นละคร หรือลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อ  แต่กลับเป็นสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรสำแดงให้เห็น คือความเป็นจริงที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี  ผู้ที่ใช้ชีวิตตามการพรั่งพรูความเป็นมนุษย์ที่ปกติออกมาเช่นนี้เท่านั้นที่มีสภาพเสมือนมนุษย์ ไม่มีการใช้เล่ห์เหลี่ยมแม้แต่น้อย  ผู้คนจะได้รับความเคารพจากผู้อื่นและดำรงชีวิตที่มีศักดิ์ศรีได้ก็ด้วยการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติในหนทางนี้เท่านั้น  และด้วยการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติในหนทางนี้ ด้วยการมีความถูกต้องเหมาะควรเยี่ยงธรรมิกชนเท่านั้นที่การพรั่งพรูที่ปกติของผู้คนจะนำพระสิริมาสู่พระเจ้า  เพราะเมื่อนั้นทุกสิ่งที่เจ้าใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตย่อมจะเป็นบวก คือความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และจะไม่ใช่การเล่นละคร  เจ้าย่อมจะใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า

มีการอธิบายไว้อย่างชัดเจนและครอบคลุมแล้วในเรื่องแก่นแท้แห่งพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์และแก่นแท้ของพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้  เพราะฉะนั้นก็ควรชัดเจนเช่นกันใช่หรือไม่ว่าผู้คนควรปฏิบัติอย่างไร และควรใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างไร?  ผู้คนย่อมจะไม่ทำอะไรเกินเหตุหรือคิดอะไรจุกจิกในเรื่องของการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  การใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกตินั้นสัมพันธ์กับเรื่องสัพเพเหระที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ในชีวิตของผู้คนหรือไม่?  มีผู้คนน่าหัวร่อบางคนที่ไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน  พวกเขากล่าวว่า “ในเมื่อสามัคคีธรรมของพระเจ้าละเอียดขนาดนั้น พวกเราก็ต้องละเอียดลออกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตของพวกเราทุกแง่ทุกมุมด้วย  ตัวอย่างเช่น มันเทศย่อมมีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้นเมื่อเอาไปนึ่งหรือเอาไปอบ?”  นี่สัมพันธ์กับการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  ไม่เลย  ผู้คนควรกินอะไรและควรกินอย่างไรเป็นเรื่องสามัญสำนึกที่ทุกคนมีอยู่แล้ว  ตราบใดที่ไม่มีปัญหากับการกินอะไรบางอย่าง เจ้าก็สามารถกินของนั้นด้วยวิธีใดก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ  ถ้าบางคนคิดว่าพวกเขาจำเป็นต้องแสวงหาความจริงในเรื่องง่ายๆ ทางสามัญสำนึกอย่างนั้น และจำเป็นต้องทำเรื่องดังกล่าวราวกับเป็นเรื่องของความจริง คนคนนั้นก็น่าหัวร่อและไร้สาระมิใช่หรือ?  ตอนนี้มีบางคนที่ละเอียดลออมากในเรื่องแบบนี้ ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง  ผู้คนเหล่านี้นึกว่าตนกำลังไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาสืบค้นและตรวจสอบเรื่องราวยิบย่อยราวกับว่าเรื่องพวกนั้นคือความจริง  บางคนถึงขั้นทุ่มเถียงกันหน้าดำหน้าแดงในเรื่องเหล่านี้  นี่เป็นปัญหาแบบใด?  เป็นเรื่องของการขาดความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณอย่างรุนแรงมิใช่หรือ?  ข้อเท็จจริงที่ว่ามีบางคนแสวงหาในเรื่องของการกินมันเทศราวกับว่าเป็นเรื่องของความจริงนั้นน่าหัวเราะและน่ารำคาญโดยแท้  ผู้คนเช่นนี้เป็นพวกที่สิ้นหวัง เพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และไม่รู้ว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร  พวกเขามองเรื่องทางด้านสามัญสำนึกที่ธรรมดาที่สุดในชีวิตไม่ออก และไม่สามารถคลี่คลายประเด็นปัญหาเหล่านี้ได้—ดังนั้นการที่พวกเขามีชีวิตมาตลอดหลายปีนี้มีประโยชน์อะไรบ้าง?  ผู้คนเหล่านี้เอาเรื่องที่ไม่มีสาระสำคัญแบบนี้เข้ามาในการชุมนุม เสวนาและสามัคคีธรรมเรื่องพวกนี้เหมือนเป็นหัวข้อที่คนเราจะใช้แสวงหาความจริงได้ พวกเขาทำได้อย่างไร?  สาเหตุใหญ่ๆ ก็คือผู้คนเหล่านี้มีความเข้าใจที่บิดเบี้ยวและไร้ซึ่งความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาละเอียดลออกับบริบทแบบใด?  ทำไมความคิดอ่านและแนวคิดเหล่านี้ถึงได้เกิดขึ้นในตัวพวกเขา?  พวกเขาเสวนาและสามัคคีธรรมเรื่องการกินมันเทศในที่ชุมนุมได้อย่างไร?  เพราะเรื่องที่เราสามัคคีธรรมมาตลอดเป็นรูปธรรมเกินไปกระนั้นหรือ ถึงพาให้เกิดความเข้าใจผิดบางอย่างในหมู่คนที่ชอบคิดเล็กคิดน้อยและจุกจิกในเรื่องที่ไม่สำคัญ?  พอเกิดปัญหาและสถานการณ์เหล่านี้ขึ้นมา เรารู้สึกว่าการพูดคุยกับผู้คนเหล่านี้ออกจะเหมือนการปฏิบัติต่อลิงราวกับว่าพวกมันเป็นมนุษย์  ลิงเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามป่าเขา  แม้จะคล้ายมนุษย์ มีพฤติกรรมและนิสัยใจคอหลายอย่างคล้ายมนุษย์ และแม้จะมีอยู่ยุคหนึ่งที่มนุษย์มองว่าลิงเป็นบรรพบุรุษของตน แต่ถึงอย่างไรลิงก็ยังคงเป็นลิง  พวกมันควรอาศัยอยู่ตามป่าตามเขา  การให้มันอยู่ในบ้านเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ย่อมเป็นความผิดพลาดมิใช่หรือ?  พวกเราควรปฏิบัติต่อลิงเหมือนพวกมันเป็นมนุษย์หรือไม่?  (ไม่ควร)  แล้วพวกเจ้าเป็นลิงหรือเป็นมนุษย์?  ถ้าพวกเจ้าเป็นมนุษย์ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเราต้องพูดมากเท่าใดหรือต้องทำงานหนักเพียงใด ก็เหมาะควรและคุ้มค่าแล้วที่เราจะพูดเรื่องเหล่านี้ให้พวกเจ้าฟัง  ถ้าพวกเจ้าเป็นลิง สมควรหรือไม่ที่เราจะทำเหมือนพวกเจ้าเป็นมนุษย์และเปลืองลมปากเสวนาความจริงและน้ำพระทัยของพระเจ้ากับพวกเจ้า?  คุ้มค่าหรือไม่?  (ไม่คุ้ม)  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าเป็นมนุษย์หรือเป็นลิง?  (พวกเราเป็นมนุษย์)  หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับการสามัคคีธรรมในที่ชุมนุมเรื่องการกินมันเทศ?  เจ้าจะละเอียดลออในเรื่องต่อไปนี้ด้วยหรือไม่?  ตัวอย่างเช่น บางคนถามว่า “ฉันควรสวมชุดสีน้ำเงินหรือสีขาว?  ถ้าสวมชุดสีขาว ควรเป็นสีขาวแบบไหน?  สีขาวแบบไหนที่แสดงถึงความบริสุทธิ์และเหมาะกับธรรมิกชน?  ถ้าสีน้ำเงินเหมาะกับฉัน เช่นนั้นควรเป็นสีน้ำเงินแบบไหน?  สีน้ำเงินแบบไหนที่เหมาะกับข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์และสามารถนำพระสิริมาสู่พระเจ้ามากที่สุด?”  พวกเจ้าเคยละเอียดลออในเรื่องพวกนี้บ้างหรือไม่?  มีใครเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าผมทรงใด หรือลักษณะการพูดจาและน้ำเสียงแบบใดเหมาะกับธรรมิกชน?  พวกเจ้าเคยละเอียดลออกับเรื่องพวกนี้บ้างหรือไม่?  บางคนละเอียดลออและใช้ความพยายามกับเรื่องเหล่านี้  มีบางคนที่เคยชอบกัดสีผมของตนให้เป็นสีทอง หรือย้อมให้เป็นสีแดงหรือสีแปลกๆ อื่นๆ แต่พอพวกเขามาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็มองเห็นว่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นในคริสตจักรไม่ได้ย้อมผม พวกเขาจึงเลิกไป  เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีแล้วเท่านั้นพวกเขาจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าไม่ว่าสีผมหรือทรงผมที่คนเรามีนั้นจะเป็นเช่นใดก็ไม่ได้สลักสำคัญ  สิ่งที่สำคัญยิ่งคือคนเราใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์หรือไม่ และรักความจริงหรือไม่  ผู้คนที่ละเอียดลออในเรื่องจำพวกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติกำลังค่อยๆ มาเข้าใจว่าการใช้ความพยายามกับเรื่องเหล่านี้นั้นไร้ประโยชน์ เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ได้สัมพันธ์กับความจริงแต่อย่างใด  เป็นเพียงเรื่องบางอย่างในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติเท่านั้น และไม่ใช่ความจริง  ถ้าความเป็นมนุษย์ที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตเป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐานของพระเจ้า นั่นก็เพียงพอแล้ว  ที่ผ่านมาพวกเจ้าทุกคนเคยรู้สึกฉงนใจกับเรื่องเหล่านี้และสับสนกับเรื่องเหล่านี้อยู่บ้างใช่หรือไม่?  (ใช่)  ต่อให้ไม่สุดโต่งอย่างการอภิปรายในที่ชุมนุมว่าจะกินมันเทศอย่างไร พวกเจ้าก็นึกฉงนใจในเรื่องเล็กน้อยบางอย่างที่ไม่มีนัยสำคัญในชีวิตเช่นกัน  เหล่านี้คือข้อเท็จจริง  ดังนั้นจึงควรมีข้อสรุปที่ชัดเจนในเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ?  พวกเจ้าชัดเจนหรือไม่ว่าเวลาใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดและมาตรฐานของพระเจ้านั้น ผู้คนควรทำตามหลักธรรมข้อใดบ้าง?  พวกเจ้ารู้วิธีแสวงหาความจริงหรือไม่ เวลาเผชิญรูปการณ์จำเพาะบางอย่างในครั้งต่อไป?  บางคนกล่าวว่า “แม้ฉันจะไม่ได้ทำอะไรสุดโต่ง เช่น ถามว่าควรกินมันเทศอย่างไร แต่ถ้าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาในชีวิตประจำวัน ฉันย่อมจะรู้สึกสับสนไปครู่หนึ่งอยู่ดี”  ดังนั้นจงยกตัวอย่างให้เราฟังเถิดว่า—มีเรื่องอะไรบ้างที่จะทำให้พวกเจ้ารู้สึกสับสนไปชั่วครู่?  พวกเจ้าคิดว่าการที่ผู้หญิงแต่งหน้านี่ผิดหรือไม่?  นี่เป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้าในเรื่องการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  (เรื่องนี้ไม่ผิด)  ที่บอกว่า “ไม่ผิด” ในที่นี้หมายถึงอะไร?  (ตราบใดที่การแต่งหน้าของคนเราเหมาะสมกับการเป็นธรรมิกชน และไม่เข้มเกินไป ตราบนั้นย่อมไม่เป็นไร)  ตราบใดที่ไม่ใช่การแต่งหน้าเข้มก็ย่อมเหมาะสม  มีบางคนถามว่า “ถ้าการแต่งหน้าไม่เข้มเกินไปเป็นเรื่องที่เหมาะสม เช่นนั้นก็หมายความว่าพระองค์อยากให้พวกเราแต่งหน้าใช่ไหม?”  เราพูดเช่นนั้นหรือ?  (ไม่ พระองค์ไม่ได้ตรัสเช่นนั้น)  การแต่งหน้าไม่ใช่ปัญหา เป็นไปตามการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  หลักธรรมที่ใช้พิจารณาเรื่องนี้ก็คือตราบใดที่การแต่งหน้าไม่เข้มมากก็ไม่เป็นไร  นั่นคือมาตรฐาน  ดังนั้นเพื่อให้การแต่งหน้าสอดคล้องกับการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ผู้หญิงต้องแต่งหน้าอยู่ในขอบเขตใด?  เส้นแบ่งอยู่ตรงไหน?  “การแต่งหน้าเข้ม” หมายความว่าอย่างไร?  การแต่งหน้าแบบใดที่ถือว่าเข้ม?  ถ้าขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจน ผู้คนก็จะรู้ว่าควรทำอย่างไร  นี่คือรายละเอียดมิใช่หรือ?  จงยกตัวอย่างที่อธิบายว่าการแต่งหน้าเข้มคืออะไรให้เราฟังเถิด  (คือตอนที่คนเราผัดหน้าขาววอก ทาปากแดงจัด และเขียนตาดำเข้มจนไม่เป็นธรรมชาติและไม่ชวนมองอย่างยิ่ง)  นี่ทำให้ผู้คนเห็นแล้วสะดุ้ง เหมือนเห็นผี และผู้อื่นก็มองไม่ออกว่ารูปหน้าหรือใบหน้าตามธรรมชาติของคนคนนั้นเป็นอย่างไร  ผู้คนในบางประเทศ บางกลุ่มชาติพันธุ์ และบางสายงาน แต่งหน้าเข้มเป็นพิเศษ  ยกตัวอย่าง การแต่งหน้าของผู้คนตามร้านเหล้าและสถานเริงรมย์ยามค่ำคืนก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในเรื่องนี้มิใช่หรือ?  ผู้คนเหล่านี้แต่งหน้าจัดกันทุกคน และนี่ก็ไม่ชวนให้เจริญใจ—จุดประสงค์ที่พวกเขาแต่งหน้าก็เพื่อยั่วยวนผู้อื่น  การแต่งหน้าแบบนี้คือการแต่งหน้าเข้ม  เมื่อเป็นเช่นนี้ การแต่งหน้าแบบใดที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ?  การแต่งหน้าอ่อนๆ เหมือนของผู้หญิงในที่ทำงาน ซึ่งดูภูมิฐานและสง่างามมาก  ตราบใดที่การแต่งหน้าของเจ้าไม่ออกนอกเส้นนี้ ตราบนั้นก็ไม่เป็นไร  ในประเทศจีน การแต่งหน้าไม่เป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นเก่า  ถ้าคนสูงอายุทั่วไปที่ไม่มีสถานะหรือที่ยืนเป็นพิเศษในสังคม กลับแต่งตัวและแต่งหน้าอยู่เสมอเวลาออกนอกบ้าน ผู้คนก็จะพูดว่าพวกเธอไม่ทำตัวให้น่านับถือตามวัยของตน  อย่างไรก็ดี ในโลกตะวันตกนั้นต่างออกไป  ถ้าเจ้าพบปะใครหรือไปทำงาน แล้วเจ้าไม่แต่งหน้าสักนิดและไม่ดูแลรูปลักษณ์ของตัวเองบ้าง ผู้คนก็จะว่าเจ้าไม่เคารพงานที่ทำ ไม่เป็นมืออาชีพ และไม่ให้เกียรติผู้อื่น  นี่เป็นวัฒนธรรมแบบหนึ่ง  ปกติแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ การแต่งหน้าควรจำกัดอยู่ในระดับที่เจ้านั้นดูภูมิฐานและมีเกียรติ ดูเป็นคนน่านับถือในสายตาของผู้อื่น  หากจะสรุปไว้ในประโยคเดียวก็คือ ถ้าเจ้าใช้เครื่องสำอาง การแต่งหน้านั้นก็ควรทำให้เจ้าดูเป็นคนน่านับถือ และไม่กระตุ้นความกำหนัดในหัวใจของผู้คน—การแต่งหน้าแบบนี้ย่อมเหมาะสม  นั่นคือหลักธรรม ซึ่งก็ธรรมดาเช่นนั้น  บางคนถามว่า “ถ้าฉันไม่แต่งหน้าเวลาออกจากบ้านก็ไม่เป็นไรใช่ไหม?  ฉันไม่ชินกับการแต่งหน้า”  เจ้าควรแสวงหาในพระวจนะของพระเจ้า  พระเจ้าตรัสว่าการไม่แต่งหน้าย่อมผิดกระนั้นหรือ?  พระเจ้าไม่ได้ตรัสไว้เช่นนี้  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยกำหนดให้ผู้คนแต่งหน้า  ถ้าเจ้าชอบแต่งหน้า เราก็ให้หลักเกณฑ์และขอบเขตนี้แก่เจ้า และบอกเจ้าว่าควรทำเช่นใดเพื่อให้การแต่งหน้าของเจ้าเป็นไปอย่างเหมาะสม  ถ้าเจ้าไม่ชอบแต่งหน้า พระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ได้บังคับ  อย่างไรก็ดี เจ้าต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า แม้เจ้าจะไม่ต้องแต่งหน้า แต่เจ้าก็ไม่สามารถออกนอกบ้านในสภาพสกปรกรุงรังเหมือนขอทานได้  ตัวอย่างเช่น เวลาเจ้าออกไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ ถ้าเจ้าไม่ทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่ไปเจอผู้คนได้หรือล้างหน้าล้างตาก่อนออกจากบ้าน แต่งตัวก็ไม่เรียบร้อย แล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก  ตราบใดที่พวกเราเข้าใจความจริง จะแต่งตัวอย่างไรก็ไม่สำคัญ!” นั่นสร้างสรรค์หรือไม่?  ในฐานะคนที่เชื่อในพระเจ้า เจ้าควรมีหลักธรรมสำหรับการแต่งกายและรูปลักษณ์ด้วย  มาตรฐานขั้นต่ำสุดของหลักธรรมข้อนี้ก็คือเจ้าต้องใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และต้องไม่ทำอะไรที่ดูหมิ่นพระเจ้า หรือดูถูกตัวตนและศักดิ์ศรีของเจ้าเอง  อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ควรทำให้ผู้อื่นนับถือเจ้า  ต่อให้เจ้าไม่เคร่งศรัทธา อย่างน้อยเจ้าก็ควรยับยั้งชั่งใจได้ มีศักดิ์ศรีและมีเกียรติ มีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน  ถ้าเจ้าให้ความรู้สึกที่ดีเช่นนี้แก่ผู้คนได้ เช่นนั้นแล้วนั่นก็เพียงพอ  นี่คือข้อกำหนดขั้นพื้นฐานที่สุดสำหรับการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ

สำหรับคนที่เชื่อในพระเจ้า คำถามเหล่านี้เกี่ยวกับพฤติกรรมภายนอกและการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติของผู้คนนี้ไม่ควรที่จะยากลำบากหรือเป็นภาระ เพราะอย่างน้อยที่สุดเรื่องเหล่านี้คือเรื่องพื้นฐานที่สุดที่คนปกติควรมี  เรื่องเหล่านี้ควรที่จะเข้าใจง่าย ไม่ใช่เข้าใจยาก  เพราะฉะนั้น คำถามเหล่านี้เกี่ยวกับพฤติกรรมภายนอกและการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติของผู้คนจึงไม่ควรกลายเป็นประเด็นสำคัญที่เสวนากันเนืองๆ ในชีวิตคริสตจักร  การพูดคุยถึงเรื่องเหล่านี้ในบางโอกาสย่อมไม่เป็นไร แต่ถ้าเจ้าทำเหมือนเรื่องเหล่านี้เป็นหัวข้อให้ใช้แสวงหาความจริง และหยิบยกขึ้นมาบ่อยครั้ง ตั้งใจเสวนากันอย่างจริงจัง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ออกจะละเลยหน้าที่ที่ตนพึงทำอยู่บ้าง  ปกติแล้วผู้คนเช่นไรที่ละเลยหน้าที่ที่ตนพึงทำ?  การตั้งคำถาม เช่น ควรกินมันเทศอย่างไร และทำเหมือนคำถามเหล่านี้เป็นหัวข้อให้ใช้แสวงหาความจริง สืบค้นและสามัคคีธรรมกันในการชุมนุม บางครั้งก็ในที่ชุมนุมหลายแห่ง ส่วนผู้นำคริสตจักรก็ไม่ทำอะไรเพื่อหยุดยั้งการกระทำดังกล่าว—ทั้งหมดนี้คือการสำแดงถึงผู้คนที่มีแนวโน้มที่จะบิดเบี้ยวและบรรดาผู้ที่ขาดความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตามการชุมนุมต่างๆ ควรที่จะเสวนาถึงคำถามใดบ้างเป็นอันดับต้นๆ?  เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความจริงและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน  ความจริงและพระวจนะของพระเจ้าคือหัวข้อที่เสมอต้นเสมอปลายในชีวิตคริสตจักร เรื่องที่ว่าด้วยหัวข้อทั่วไปในระดับพื้นฐานที่สุดซึ่งเป็นพฤติกรรมภายนอกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่ควรเป็นหัวข้อหลักที่จะสามัคคีธรรมในชีวิตคริสตจักรและในการชุมนุม  ถ้าพี่น้องชายหญิงแนะนำ ตักเตือน และสามัคคีธรรมกันในเรื่องเหล่านี้นอกการชุมนุม นั่นย่อมเพียงพอที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้แล้ว  ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เวลามากมายมาสามัคคีธรรมและเสวนาเรื่องดังกล่าว  การทำเช่นนั้นจะส่งผลต่อการชุมนุมและการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปกติของผู้คน และจะส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา  ชีวิตคริสตจักรเป็นชีวิตของการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า  สิ่งที่ชีวิตคริสตจักรเน้นย้ำจึงควรเป็นการสามัคคีธรรมความจริงและการแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง เมื่อทำดังนั้นก็จะไม่ถ่วงความก้าวหน้าในชีวิตของคนเรา  ถ้าเจ้ามีสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เจ้าก็ควรชัดเจนว่าการปฏิบัติเรื่องเหล่านี้ตามหลักธรรมนั้นควรทำอย่างไร  ถ้าเจ้าจุกจิกอยู่เสมอในเรื่องที่ไม่สำคัญและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง ถ้าเจ้าคิดเล็กคิดน้อยอยู่ร่ำไป แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองรอบรู้และทรงภูมิ เรื่องแบบนี้ก็ควรถูกชำแหละมิใช่หรือ?  ตัวอย่างเช่น บางคนให้ความสำคัญกับการแต่งกายของตนมาก และถามอยู่เสมอว่าผู้เชื่อจะสวมเสื้อผ้าที่ดูผิดธรรมดาได้หรือไม่ บางคนที่เพิ่งมาเชื่อในพระเจ้าก็ถามอยู่เรื่อยๆ ว่าผู้เชื่อควรดื่มสุราหรือไม่ บางคนชอบทำธุรกิจและถามอยู่เสมอว่าผู้เชื่อควรทำเงินมากๆ กันหรือไม่ และบางคนก็ถามตลอดเวลาว่าวันแห่งพระเจ้าจะมาเมื่อใด  ผู้คนเหล่านี้ไม่เต็มใจที่จะแสวงหาความจริงในเรื่องเหล่านี้เพื่อค้นหาคำตอบที่ถูกต้อง  แม้จะไม่มีพระวจนะที่ตรงกับเรื่องเหล่านี้ แต่พระเจ้าก็ทรงอธิบายหลักธรรมของการจัดการเรื่องเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจนมาก  ถ้าผู้คนไม่พยายามอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็จะไม่พบคำตอบ  อันที่จริงทุกคนรู้จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้า และรู้ว่าจะได้อะไรจากการเชื่อนี้  เพียงแต่มีบางคนไม่รักความจริง แต่ก็ยังคงอยากได้พร  ความยากลำบากของพวกเขาอยู่ตรงนั้น  เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดจึงเป็นเรื่องที่ว่าคนเรายอมรับความจริงได้หรือไม่  มีบางคนที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าหรือการสามัคคีธรรมความจริง  พวกเขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับคำถามที่ไม่สำคัญ อยากสามัคคีธรรมถึงคำถามเหล่านี้ตามการชุมนุมอยู่เสมอและอยากได้คำตอบที่แน่ชัด ส่วนผู้นำและคนทำงานก็ไม่สามารถยับยั้งพวกเขาได้  นี่เป็นปัญหาประเภทใด?  ผู้คนเหล่านี้กำลังละเลยหน้าที่ที่ตนพึงทำอยู่มิใช่หรือ?  ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติความจริงและอยากเดินไปบนเส้นทางที่ผิดอยู่เสมอ เหตุใดเจ้าจึงไม่ทบทวนตนเอง ทำความรู้จักและชำแหละตนเอง?  เจ้าชอบเอาอกเอาใจผู้คนอยู่ตลอดเวลา ไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตน ไม่ฟังใคร ทำตัวเป็นกฎเสียเอง เอาแต่ใจ และผลีผลาม  เจ้าไม่ระมัดระวังเรื่องอย่างนี้ได้อย่างไร?  เจ้าไม่สืบค้นและชำแหละเรื่องนี้เพื่อค้นหาว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นได้อย่างไร?  ทำไมเจ้าถึงตำหนิและเข้าใจพระเจ้าผิดทุกครั้งที่มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า?  เหตุใดเจ้าจึงให้คำวินิจฉัยในเรื่องของตัวเองอยู่เสมอ และบ่นพึมว่าพระเจ้าไม่ชอบธรรมและคริสตจักรก็ไม่เป็นธรรม?  เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาหรอกหรือ?  เจ้าไม่ควรสามัคคีธรรมและชำแหละเรื่องเหล่านี้ในชีวิตคริสตจักรหรอกหรือ?  เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าแบ่งแยกคริสตจักรและชำระผู้คนออกไป เจ้าก็ไม่เคยนบนอบและไม่เคยพอใจ เจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและแพร่กระจายความคิดลบอยู่เสมอ  นี่ไม่ใช่ปัญหาหรอกหรือ?  เจ้าไม่ควรสืบค้นและชำแหละปัญหาข้อนี้หรอกหรือ?  เจ้าไล่ตามไขว่คว้าสถานะตลอดเวลา เล่นการเมือง และบริหารจัดการสถานะของตนเอง  นี่ไม่ใช่ปัญหาหรอกหรือ?  เจ้าไม่ควรสามัคคีธรรมและชำแหละประเด็นปัญหาเหล่านี้หรอกหรือ?  ตอนนี้คริสตจักรกำลังดำเนินงานชำระให้สะอาด และบางคนก็บอกว่า “ตราบใดที่ผู้คนมีประสิทธิผลในหน้าที่ของตนเองอยู่บ้าง พวกเขาก็จะไม่ถูกชำระออกไป ดังนั้นถ้าเพียงแต่ฉันยังคงมีประสิทธิผลในหน้าที่อยู่บ้างและไม่ถูกชำระออกไป นั่นก็พอแล้ว”  อะไรคือปัญหาในที่นี้?  ผู้คนเหล่านี้กำลังต่อต้านด้วยการนิ่งเฉยมิใช่หรือ?  ถ้าคนเราพรั่งพรูอุปนิสัยที่หลอกลวงเช่นนี้ได้ ก็จำเป็นต้องแก้ไขเรื่องนี้มิใช่หรือ?  ปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมร้ายแรงกว่าวิธีกินมันเทศมากนักมิใช่หรือ?  ไม่สมควรหยิบยกขึ้นมาสามัคคีธรรมและชำแหละในการชุมนุมและในชีวิตคริสตจักรเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถมีวิจารณญาณแยกแยะหรอกหรือ?  เหล่านี้คือตัวอย่างที่เป็นแบบฉบับอันดีของพฤติกรรมเชิงลบมิใช่หรือ?  ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามย่อมสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์โดยตรง และเกี่ยวพันกับความรอดของมนุษย์  เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ดังนั้นทำไมพวกเจ้าถึงไม่สามัคคีธรรมและชำแหละประเด็นปัญหาเหล่านี้ในการชุมนุม?  ถ้าเจ้าไม่เคยแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องที่สำคัญยิ่งอย่างเรื่องเหล่านี้ในการชุมนุม แต่กลับสามัคคีธรรมเรื่องน่าเบื่อที่ไม่มีความสำคัญกันอย่างไม่จบสิ้น เอาเวลาชุมนุมทั้งหมดไปสามัคคีธรรมเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่เป็นสาระสำคัญได้ เสียเวลาเปล่าอีกต่างหาก—พวกเจ้าก็กำลังละเลยหน้าที่ที่ตนพึงทำมิใช่หรือ?  ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเจ้าก็จะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยกันหมด เลอะเลือนสับสน ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี และเข้าไม่ถึงความจริง  พวกเจ้าไม่สามัคคีธรรมเรื่องที่ควรสามัคคีธรรมในการชุมนุม ทั้งยังสามัคคีธรรมกันอย่างไม่รู้จบในเรื่องที่ไม่ควรสามัคคีธรรมตามการชุมนุม  เวลาชุมนุมเจ้าก็สามัคคีธรรมเรื่องที่ไม่เกี่ยวอะไรกับความจริงอยู่เสมอ เป็นเรื่องความเข้าใจอันบิดเบี้ยวของเจ้าเองและปัญหาส่วนตัวที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ทำให้ทุกคนสืบค้นเรื่องพวกนั้นไปพร้อมกับเจ้า และเสียเวลาโดยใช่เหตุ  นี่ไม่เพียงส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเท่านั้น แต่ยังถ่วงความก้าวหน้าตามปกติแห่งงานของคริสตจักรอีกด้วย  นี่คือการก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักรมิใช่หรือ?  พฤติกรรมเยี่ยงนี้ควรเรียกว่าการก่อกวน  นี่คือการจงใจก่อกวน และควรเข้มงวดกวดขันผู้คนที่ทำเช่นนี้  ต่อไปภายหน้าการชุมนุมควรจำกัดให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า สามัคคีธรรมความจริง แก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ตลอดจนแก้ไขความยากลำบากและปัญหาทั้งหลายในหน้าที่ของผู้คนเท่านั้น  เรื่องที่ไม่เป็นสาระและไม่มีความสำคัญหรือเรื่องของสามัญสำนึกทั่วไปไม่ควรเอามาสามัคคีธรรมในการชุมนุม  พี่น้องชายหญิงสามารถแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยการสามัคคีธรรมกันเอง ไม่จำเป็นต้องเอามาสามัคคีธรรมในการชุมนุม

ผู้คนที่มีความเข้าใจบิดเบี้ยวเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและคิดอะไรจุกจิกนั้นมีอยู่เสมอในคริสตจักร  เวลาเราสามัคคีธรรมถึงพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์ ผู้คนเหล่านี้ก็พยายามในเรื่องพฤติกรรมของตนอย่างแท้จริง  พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมพวกเราถึงต้องสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้  จงบอกเราเถิดว่าทำไมพวกเราถึงจำเป็นต้องสามัคคีธรรมถึงปัญหานี้?  พวกเราต้องการที่จะสัมฤทธิ์อะไรในการสามัคคีธรรมถึงปัญหานี้?  ก่อนอื่นพวกเรามาคุยกันว่าเหตุใดพวกเราจึงต้องสามัคคีธรรมถึงปัญหานี้  หัวข้อพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์และหลักเกณฑ์สำหรับพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดนั้นถูกหยิบยกขึ้นมาในบริบทเช่นใด?  ถูกหยิบยกขึ้นมาระหว่างที่พวกเราสามัคคีธรรมเรื่อง “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร”  ประเด็นนี้สัมพันธ์โดยตรงกับเรื่องที่ว่ามนุษย์ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร  พฤติกรรมอันดีงามที่ผู้คนแสดงออกมาอันเป็นผลจากการปฏิบัติความจริงนั้นเกี่ยวข้องกับความจริงและสัมพันธ์กับความจริง  ไม่ว่าพฤติกรรมหนึ่งๆ จะดูดีเพียงใดในสายตาของมนุษย์ ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่สัมพันธ์กับความจริง  บางคนก็จะบอกว่า “ผิดแล้ว!  พระองค์ตรัสไว้ไม่ใช่หรือว่าพฤติกรรมอันดีงามไม่ใช่ความจริง?  ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ”  พวกเจ้าอธิบายเรื่องนี้ได้หรือไม่?  ในบริบทของการสามัคคีธรรมเรื่อง “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร” เราได้ชำแหละพฤติกรรมที่ผู้คนเชื่อว่าดีงามตามโนคติอันหลงผิดของพวกเขา และเราก็วิจารณ์และกล่าวโทษพฤติกรรมเหล่านั้น  ขณะเดียวกันเราก็บอกให้ผู้คนรู้ว่าพระเจ้าทรงวางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ไว้ว่าอย่างไร เรามอบเส้นทางที่ถูกต้องในการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติแก่พวกเขา อันเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขามีหลักเกณฑ์ไว้ประเมินการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เมื่อมีรากฐานเช่นนี้ ผลที่เราสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุดก็คือการบอกให้ผู้คนรู้ว่าพฤติกรรมที่พวกเขาคิดว่าดีงามตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขานั้นไม่ใช่หลักเกณฑ์ที่เป็นความจริง หรือเกี่ยวข้องกับความจริง และไม่ได้สัมพันธ์กับความจริง อันเป็นการหยุดยั้งผู้คนไม่ให้เชื่ออย่างผิดๆ ว่าการมีพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้คือการไล่ตามเสาะหาความจริง  พร้อมกันนั้นเราก็บอกให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขาจะทำได้ถึงมาตรฐานของการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติก็ต่อเมื่อพวกเขาทำตามหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้เท่านั้น  ในเมื่อเราบอกผู้คนไปแล้วว่าพฤติกรรมอันดีงามทั้งปวงที่มนุษย์ให้การสนับสนุนนั้นคือเปลือกปลอมและเป็นเรื่องเทียมเท็จ เป็นการเล่นละครที่ทำเอาหน้าทั้งสิ้น ทั้งหมดนั้นไม่ถูกต้องและล้วนมีกลอุบายของซาตานปลอมปนอยู่ บัดนี้เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกขจัดออกไปและผู้คนก็ถูกกีดกันไม่ให้ทำตามแล้ว พวกเขาย่อมไม่รู้วิธีปฏิบัติมิใช่หรือ?  พวกเขาคิดเอาว่า “อย่างนั้นฉันควรใช้อะไรเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต?  หลักเกณฑ์ที่แท้จริงของพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดคืออะไร?”  คือข้อกำหนด หลักเกณฑ์ และถ้อยแถลงอันเป็นรูปธรรมที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์—ง่ายๆ เช่นนั้นเอง  ตราบใดที่ผู้คนใช้ชีวิตตามความเป็นจริงที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ พวกเขาย่อมจะทำได้ตามมาตรฐานของการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์แล้ว  พวกเขาจะไม่คิดเล็กคิดน้อย หรือนึกฉงนใจ หรือสับสนในเรื่องนี้  เมื่อผู้คนทำได้ตามมาตรฐานที่ควรเป็นของการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาย่อมแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงบนทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงแล้วมิใช่หรือ?  พวกเขาย่อมขจัดอุปสรรคและขวากหนามของการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ไปแล้วมิใช่หรือ?  อย่างน้อย ถึงตอนนี้ ท่าทีภายนอกที่มนุษยชาติพากันสรรเสริญ เช่น ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล มีไมตรีจิต และคุยด้วยง่าย ย่อมไม่ใช่เป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของมนุษย์อีกต่อไป  หรือกล่าวให้แน่ชัดขึ้นก็คือ ไม่ใช่เป้าหมายซึ่งผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเพียรใช้ในการดำเนินชีวิตภายนอก หรือเป็นมาตรฐานที่มนุษยชาติที่ปกติพึงใช้ในการดำเนินชีวิตอีกต่อไป  ท่าทีภายนอกที่มนุษย์พากันสรรเสริญถูกแทนที่ด้วยการต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจ มีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน และอื่นๆ  ข้อกำหนดเหล่านี้ของพระเจ้าคือหลักเกณฑ์ให้มนุษย์ใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เป็นสภาพเสมือนที่การใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรจะเป็น  ในหนทางนี้ ภาวะ เป้าหมาย และทิศทางในระดับพื้นฐานที่สุดของการไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมได้รับการยืนยันแล้วมิใช่หรือ?  เรื่องพื้นฐานที่สำคัญที่สุดได้รับการยืนยันแล้ว ซึ่งก็คือเป้าหมายของการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่ใช่การให้ผู้คนผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท มีไมตรีจิต สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ เป็นต้น  แต่เป็นการให้พวกเขาใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติดังที่พระเจ้ากำหนด  ไม่มีเปลือกปลอมและกลอุบายใดๆ ของซาตานในเรื่องนี้ แต่กลับเป็นการใช้ชีวิตตาม การพรั่งพรู และพฤติกรรมของความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างแท้จริง  ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อมองจากมุมนี้ เวลาพวกเราสามัคคีธรรมถึงพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์ภายใต้หัวข้อเรื่องสิ่งที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของเขาว่าถูกต้องและดีงาม รวมทั้งสามัคคีธรรมถึงหลักเกณฑ์ของพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนด—เรื่องเหล่านี้สัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (สัมพันธ์)  ใช่ เรื่องเหล่านี้สัมพันธ์กัน  นี่ย่อมยืนยันทิศทางและเป้าหมายขั้นพื้นฐานของการไล่ตามเสาะหาความจริงของมนุษย์ในระดับหนึ่ง  นี่หมายความว่าก่อนที่เจ้าจะเริ่มต้นไล่ตามเสาะหาความจริง อย่างน้อยที่สุดเป้าหมายของเจ้าในการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติย่อมจะถูกต้อง  เป้าหมายนี้ไม่ใช่แนวทางที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ใช่การสร้างภาพ หรือการอำพราง  แต่เป็นการใช้ชีวิตที่ปกติตามความเป็นมนุษย์ซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้  แม้หัวข้อนี้จะยังคงค่อนข้างห่างไกลจากการไล่ตามเสาะหาความจริงกันอย่างแท้จริง แต่ก็สำคัญต่อทิศทางที่ครอบคลุมถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่เป็นหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมในขั้นพื้นฐานที่สุดและง่ายที่สุดที่มนุษย์ควรเข้าใจ  ไม่ว่าหัวข้อสามัคคีธรรมนี้จะห่างไกลจากการไล่ตามเสาะหาความจริงเพียงใด และห่างไกลจากหลักเกณฑ์ของความจริงเพียงใด เนื่องจากหัวข้อนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อกำหนดของพระเจ้าและหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าประทานแก่มนุษยชาติเอาไว้ จึงเป็นธรรมดาที่จะเกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์ของความจริงในระดับหนึ่งด้วย  เพราะฉะนั้น ผู้คนจึงควรทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้  ข้อกำหนดทั้งหลายที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์นี้คือหลักเกณฑ์ที่ผู้คนควรยึดปฏิบัติ และต้องไม่เพิกเฉย  หลังจากที่เข้าใจประเด็นเหล่านี้แล้ว อย่างน้อยผู้คนก็จะไม่เสาะแสวงที่จะเป็นคนประเภทที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม คุยด้วยง่าย หรือมีไมตรีจิตเวลาใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติและเวลาแสดงท่าทีภายนอกให้เห็น—เหมือนที่ผู้คนชาวตะวันตกคาดหวังเป็นพิเศษให้ผู้ชายเป็นสุภาพบุรุษ เปิดประตูให้ผู้หญิง ดึงเก้าอี้ให้ผู้หญิงนั่ง และให้ความสำคัญแก่ผู้หญิงเป็นอันดับแรกตามสถานที่สาธารณะ—เมื่อผู้คนมีวิจารณญาณในพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็จะไม่ใช้พฤติกรรมเหล่านี้เป็นมาตรฐานของตนเวลาเพียรพยายามใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ หรือเวลาที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาพฤติกรรมที่เป็นความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  แต่พวกเขาจะทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปจากหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของตน พวกเขาจะไม่ถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำและพันธนาการเอาไว้อีกต่อไป  นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าพึงทำ  ถ้ามีคนที่ยังคงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น คนคนนั้นก็ไม่ได้ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเท่าใดนัก” เจ้าจะมีปฏิกิริยาเช่นไร?  เจ้าจะชำเลืองมองพวกเขาและบอกพวกเขาว่า “คุณพูดผิดแล้ว  นี่เป็นพระนิเวศของพระเจ้า  ที่ว่า ‘ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล’ นั้นคุณหมายความว่าอย่างไร?  นั่นไม่ใช่ความจริง และไม่ใช่สภาพเสมือนมนุษย์ที่หมายให้พวกเราใช้ดำเนินชีวิต”  บางคนก็บอกว่า “ผู้นำของพวกเราไม่เคารพผู้เฒ่าและไม่เอาใจใส่ผู้เยาว์  ฉันอายุมากแล้ว แต่เธอกลับไม่เรียกฉันว่าคุณป้า เอาแต่เรียกชื่อจริง  เธอไม่ควรทำอย่างนั้น  หลานๆ ฉันอายุมากกว่าเธออีก!  ทำแบบนี้เธอดูถูกฉันอยู่ไม่ใช่หรือ?  เธอไม่เป็นมิตรหรือดีกับผู้คนด้วย  ดูจากพฤติกรรมของเธอแล้ว เหมือนเธอไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ”  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับทัศนะเช่นนี้?  การเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ไม่ใช่ความจริง  เจ้าไม่ควรประเมินผู้คนตามพฤติกรรมและสิ่งที่พวกเขาสำแดงให้เห็นภายนอก แต่ประเมินตามพระวจนะของพระเจ้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  สิ่งเหล่านี้เท่านั้นคือหลักธรรมที่ใช้ประเมินผู้คน  เช่นนั้นแล้วพวกเราควรประเมินผู้นำและคนทำงานกันอย่างไร?  เจ้าควรดูว่าพวกเขาทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่ พวกเขาสามารถนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจความจริงหรือไม่ ดูว่าพวกเขาสามารถใช้ความจริงแก้ปัญหาในคริสตจักรและใช้ทำงานบางอย่างที่สำคัญมากให้เสร็จสมบูรณ์ได้หรือไม่  ตัวอย่างเช่น งานข่าวประเสริฐดำเนินไปอย่างไรบ้าง?  ชีวิตคริสตจักรเป็นอย่างไร?  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรปฏิบัติหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีหรือไม่?  งานต่างๆ ทั้งมวลที่ใช้ความชำนาญเฉพาะทางคืบหน้าไปอย่างไร?  มีการเอาตัวพวกผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์ออกไปหรือยัง?  เหล่านี้คืองานที่สำคัญยิ่งของคริสตจักร  การประเมินผู้นำและคนทำงานนั้นส่วนใหญ่แล้วทำกันโดยดูว่าพวกเขาปฏิบัติงานเหล่านี้ดีเพียงใด  ถ้าพวกเขามีประสิทธิผลในด้านต่างๆ ทั้งหมดนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เป็นผู้นำที่มีความสามารถ  ต่อให้พฤติกรรมของพวกเขาบกพร่องอยู่บ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่  การเอาแต่มองพฤติกรรมภายนอกไม่ใช่มาตรฐานในการประเมินว่าผู้นำหรือคนทำงานนั้นๆ เหมาะสมหรือไม่  ถ้าผู้คนมองเรื่องนี้ตามมุมมองของมนุษย์ ก็จะดูเหมือนว่าผู้นำคนดังกล่าวหยาบคายเพราะเธอไม่เคยเรียกหญิงที่อายุมากกว่าว่าคุณป้าหรือคุณยาย  แต่ถ้าพวกเขาใช้พระวจนะของพระเจ้าประเมินเธอ ผู้นำคนนี้ย่อมเป็นที่น่าพอใจ และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็เลือกคนถูกเพราะเธอสามารถแบกรับงานทุกด้านของคริสตจักรได้ เธอช่วยเหลือและเกื้อกูลการเข้าสู่ชีวิตของประชากรทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แล้วเธอก็ทำงานข่าวประเสริฐเป็นอย่างดี  ทุกคนควรยอมรับการเป็นผู้นำของเธอและให้ความร่วมมือในงานของเธอ  ถ้าใครบางคนไม่ให้ความร่วมมือในงานของผู้นำคนนี้ หรือทำให้เธอลำบาก หรือมองหาไพ่ตายเพื่อให้ตนวิพากษ์วิจารณ์เธอได้เพียงเพราะผู้นำคนนี้ไม่ได้มีพฤติกรรมภายนอกอันดีงามอย่างการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ นี่ย่อมไม่เป็นผลดีต่องานของคริสตจักร  นี่คือการทำตัวกับผู้นำและคนทำงานอย่างไม่มีหลักธรรม และสำแดงถึงการขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร  ผู้คนเช่นนี้ไม่ได้ทำตัวให้ถูกต้อง พวกเขากำลังทำชั่ว  หากเจ้าเห็นผู้นำหรือคนทำงานที่ไม่เคารพผู้อาวุโสของตน และด้วยเหตุนี้เจ้าจึงคิดว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่ดีพอ เจ้าไม่ยอมรับการเป็นผู้นำของพวกเขา และถึงกับกล่าวโทษพวกเขา เจ้ากำลังผิดพลาดเรื่องใดอยู่?  นี่คือผลร้ายของการประเมินผู้คนโดยใช้มาตรฐานของมนุษย์ตามทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม  ถ้าทุกคนสามารถประเมินผู้คน รวมทั้งผู้นำและคนทำงานที่ได้รับเลือกมา ตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ก็ย่อมจะถูกต้องแม่นยำและตรงตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ผู้คนย่อมจะสามารถทำได้ทั้งเรื่องการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นธรรมและการทำให้งานของคริสตจักรก้าวหน้าต่อไปตามปกติ  พระเจ้าก็จะพอพระทัย และมนุษย์ก็จะพอใจ ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?

ตั้งแต่เราชำแหละสิ่งที่เรียกกันว่า “พฤติกรรมอันดีงาม” ของมนุษย์ และสามัคคีธรรมเรื่องมาตรฐานตามข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์ไปแล้ว มุมมองที่ผู้คนใช้มองผู้อื่น และมาตรฐานที่พวกเขาใช้ประเมินผู้อื่นก็เปลี่ยนไป ในเมื่อผู้คนใช้สายตาที่แตกต่างกันมองผู้อื่น ผลการประเมินของผู้คนก็ย่อมแตกต่างกันด้วย  ถ้าผู้คนใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นบาทฐานในการประเมินของตน เช่นนั้นแล้วผลก็ย่อมจะถูกต้อง ยุติธรรม เป็นไปตามข้อเท็จจริง และเห็นแก่ประโยชน์ของทุกคนอย่างแน่นอน  ถ้ามุมมอง วิธี และหลักการที่ผู้คนใช้ประเมินเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดว่าถูกต้องและดีงาม เช่นนั้นแล้วผลจะเป็นอย่างไร?  บางคนอาจลงเอยด้วยการใส่ความหรือกล่าวโทษคนดี หรืออาจถูกพวกหน้าซื่อใจคดชักพาให้หลงผิด ไม่สามารถประเมินและปฏิบัติต่อคนคนหนึ่งอย่างเที่ยงธรรมได้  เนื่องจากหลักการของมนุษย์นั้นผิดพลาด จึงแน่นอนว่าผลสุดท้ายย่อมผิด ไม่ยุติธรรม และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ดังนั้น จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องชำแหละและสามัคคีธรรมเรื่องแก่นแท้ของมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีต่อพฤติกรรมอันดีงาม?  นี่สัมพันธ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริงบ้างหรือไม่?  สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น!  แม้หัวข้อนี้จะพูดถึงการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติของผู้คน รวมทั้งท่าทีภายนอกและการพรั่งพรูของมนุษย์เท่านั้น แต่เมื่อผู้คนมีหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องในการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติตามที่พระเจ้าทรงกำหนด พวกเขาก็จะมีหลักการและหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องและได้มาตรฐานสำหรับใช้ประเมินผู้อื่น มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ตลอดจนวางตนและกระทำการ  ดังนั้นในแง่นี้ ทิศทาง เส้นทาง และเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขาย่อมจะถูกต้องแม่นยำขึ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่ย่อมจะถูกต้องแม่นยำขึ้นและมีมาตรฐานมากขึ้น  แม้หัวข้อเหล่านี้จะค่อนข้างง่าย แต่ก็สัมพันธ์กับทัศนะที่มนุษย์มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย กับการวางตนและการกระทำของมนุษย์อย่างแนบแน่นที่สุด เป็นจริงที่สุด และสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างที่สุด—ไม่ได้ไร้ความหมายแต่อย่างใด

เราพูดเรื่องสิ่งที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของเขาว่าถูกต้องและดีงามไปมากแล้ว—เราพูดเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อที่จะทำให้พวกเจ้าเข้าใจว่า แม้หัวข้อเหล่านี้จะห่างไกลจากความจริงอยู่บ้าง และไม่ได้สูงส่งเท่าความจริง แต่ก็สัมพันธ์กับทัศนะที่มนุษย์มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย กับการวางตนและการกระทำของมนุษย์เอง  เพราะฉะนั้น จงอย่ามองหัวข้อเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ความจริง หรือเป็นความรู้หรือทฤษฎีอย่างหนึ่ง  หัวข้อเหล่านี้ไม่ได้ไร้ความหมาย  สิ่งที่ผู้คนมองว่าถูกต้องและดีงามตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขานั้นมีอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขาเสมอ ควบคุมความคิดอ่าน ควบคุมมุมมองและจุดยืนที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ตลอดจนวิธีวางตัวและกระทำการของพวกเขา  เพราะฉะนั้นจึงต้องอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้ชัดแจ้ง เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจและมีวิจารณญาณในเรื่องเหล่านี้ และด้วยเหตุนี้จึงปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดที่มนุษย์มีต่อพฤติกรรมและสิ่งต่างๆ อันดีงามจำพวกนี้ ไม่ทำเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นบวก หรือเป็นหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมให้ตนใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ใช้วางตนและกระทำการต่างๆ อีกเป็นอันขาด  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด และยิ่งไม่ใช่ความจริง  สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือหมั่นแก้ไขมุมมองและจุดยืนที่เจ้าใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ใช้วางตัวและกระทำการ ให้ถูกต้อง พลางตรวจสอบอยู่ตลอดเวลาอีกด้วยว่ามโนคติและมุมมองที่เกิดขึ้นในความรู้สึกนึกคิดของเจ้านั้นตรงตามความจริงหรือไม่  พวกเจ้าต้องแก้ไขมโนคติและมุมมองที่คลาดเคลื่อนของเจ้าให้ถูกต้องโดยเร็ว แล้วจากนั้นก็ยึดมั่นในจุดยืนที่ถูกต้อง มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า โดยใช้หลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้ากำหนดให้  นี่คือการลงมือไล่ตามเสาะหาความจริงในขั้นพื้นฐานที่สุด ทั้งยังเป็นทิศทางและเป้าหมายอย่างหนึ่งของการไล่ตามเสาะหาที่เจ้าควรมีอีกด้วยยามพากเพียรที่จะบรรลุความรอดและใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เวลาที่พวกเจ้าเพิ่งฟังวจนะเหล่านี้จบ ความเข้าใจที่พวกเจ้ามีในวจนะเหล่านี้อาจจะไม่ลึกซึ้งหรือเป็นรูปธรรมนัก แต่อย่าได้วิตก  พอพวกเจ้ามีประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้าแนบแน่นขึ้นเรื่อยๆ ชำแหละและมีวิจารณญาณแยกแยะสิ่งที่เชื่อกันว่าถูกต้องตามมโนคติอันหลงผิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างต่อเนื่อง พวกเจ้าก็จะสามารถละทิ้งคำกล่าวอ้างต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิมได้ในที่สุด  เจ้าจะไม่มีวันประเมินพฤติกรรมของผู้คนตามวัฒนธรรมดั้งเดิมอีก แต่จะประเมินผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงแทน  เมื่อเป็นดังนี้ เจ้าย่อมจะเก็บกวาดและทิ้งมโนคติอันหลงผิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมไปหมดแล้ว  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความจริง เข้าใจแต่คำสอนพื้นๆ  และเจ้าก็รู้ว่าพฤติกรรมที่วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดให้ทำนั้นไม่ถูกต้อง เจ้าก็อาจจะคิดว่า “ฉันเป็นคนสมัยใหม่ ต่างจากคนส่วนใหญ่ทางโลก  ฉันไม่ค่อยยึดถือจารีตและรังเกียจวัฒนธรรมดั้งเดิมมาก ไม่ชอบทำตามธรรมเนียมและพิธีกรรมที่น่าเบื่อ”  แต่พอเจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ก็เป็นธรรมดามากที่เจ้าจะยังคงใช้มโนคติอันหลงผิดที่เคยมีนั้นมามองและประเมินผู้คนและสิ่งเหล่านั้น  ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะตระหนักว่าคำกล่าวอ้างทั้งปวงของเจ้าที่ว่าเป็นคนสมัยใหม่ ไม่ใช่คนหัวเก่าหรือนิยมจารีตเท่าไรนัก และยอมรับความจริงได้ แท้จริงแล้วเป็นเท็จและผิด และเจ้าถูกความรู้สึกของตัวเองหลอกเอา  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะตระหนักว่าความคิด ทัศนะ และมโนคติอันหลงผิดเดิมๆ ได้หยั่งรากลึกลงไปในหัวใจของเจ้านานแล้ว และไม่ได้หายไปทันทีที่เจ้าเปลี่ยนมโนคติหรือทิ้งความคิดบางอย่าง  การพูดว่าเจ้าเป็นคนยุคใหม่ เป็นคนสมัยใหม่นั้น เป็นเพียงการปิดฉลากภายนอก นั่นเป็นเพียงเพราะเจ้าเกิดในรุ่นและในยุคที่ต่างออกไป แต่สิ่งทั้งปวงซึ่งเป็นของสมัยเก่า เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า และพบเจอได้ทั่วไปในตัวมนุษย์ทั้งมวลนั้นมีอยู่ในตัวเจ้าเช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้น  ตราบใดที่เจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็จะมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัว  ถ้าเจ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วก็จงมีประสบการณ์ให้มากขึ้นเถิด  สักวันหนึ่งเจ้าจะกล่าวว่า “อาเมน” ต่อวจนะเหล่านี้ของเรา  ผู้คนที่ไม่เข้าใจเรื่องราวทางฝ่ายวิญญาณ คนที่หยิ่งผยองและเอาตัวเองเป็นใหญ่ ย่อมคิดว่า “ฉันจบปริญญาโทและปริญญาเอก  ฉันใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนี้มาหลายปี สัมผัสวัฒนธรรมและการศึกษายุคใหม่มาตลอด โดยเฉพาะการศึกษาแบบโลกตะวันตก  ฉันจะยังคงเก็บงำเรื่องล้าสมัยเหล่านั้นไว้ได้อย่างไร?  จารีตประเพณีทั้งหลายนั้นแย่ที่สุด  ฉันเกลียดกฎเกณฑ์ที่ไร้ประโยชน์พวกนั้น  เวลาครอบครัวของฉันมาอยู่พร้อมหน้ากัน พูดคุยถึงเรื่องต่างๆ และกฎเกณฑ์ที่เป็นของดั้งเดิม ฉันไม่นึกอยากฟังเลย”  จงอย่ารีบปฏิเสธ  ท้ายที่สุดแล้วสักวันหนึ่งเจ้าก็จะปล่อยมือจากความคิดเหล่านี้ของเจ้าเอง  เจ้าจะยอมรับว่าในเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามนั้นไม่มีสมาชิกคนใดที่ปกติธรรมดาเกินเจ้าไปได้  แม้เจ้าจะไม่ได้เต็มใจยอมรับหรือพรั่งพรูมโนคติสมัยเก่าอันหลงผิดในตัวเจ้าออกมา แต่วัฒนธรรมดั้งเดิมและบรรพชนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็แพร่เชื้อและฝึกให้เจ้าเคยชินกับมโนคติอันหลงผิดเช่นนี้มานานแล้ว  สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงในภูมิทัศน์ข้างในตัวเจ้า ในความคิดและมโนคติอันหลงผิดของเจ้าโดยไม่มีข้อยกเว้น  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมไม่ใช่ถ้อยแถลงพื้นๆ ไม่ใช่คำกล่าวหรือแนวทางที่เรียบง่าย  แต่เป็นการนึกคิดและทฤษฎีอย่างหนึ่ง  แง่มุมเหล่านี้มีผลในทางชักพามนุษย์ให้หลงผิดและทำให้เสื่อมทราม  คำกล่าวและแนวทางเหล่านี้ไม่ได้มาจากสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม สิ่งเหล่านี้มาจากซาตาน  ตราบใดที่เจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายใต้พลังอำนาจของซาตาน เจ้าก็หลีกเลี่ยงการถูกแง่มุมเหล่านี้ฝึกฝนให้เคยชิน ชักพาให้หลงผิด และทำให้เสื่อมทรามไม่ได้  บัดนี้ที่เจ้าได้ฟังวจนะของเราไปแล้ว เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าวจนะของเราคือข้อเท็จจริงและความจริงทั้งสิ้น  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับวจนะเหล่านี้ของเราแล้ว เจ้าก็จะค้นพบว่าแม้เจ้าจะไม่ชอบวัฒนธรรมดั้งเดิม หรือธรรมเนียมและพิธีกรรมที่น่าเบื่อ หรือกฎเกณฑ์ที่เปล่าประโยชน์ แต่หลักการพื้นฐานของทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ของการวางตัวและการกระทำของเจ้า ย่อมมาจากมนุษย์อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้  หลักการพื้นฐานทั้งหมดนั้นมาจากแก่นของวัฒนธรรมดั้งเดิม เป็นสิ่งที่อยู่ในวัฒนธรรมดั้งเดิม  ทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตัวและการกระทำของเจ้า ไม่ได้อิงพระวจนะของพระเจ้าโดยใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะรู้ เจ้าจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าก่อนที่ผู้คนจะได้รับความจริง ถ้าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาหรือเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมมีพิษของซาตานอยู่ในตัว มีส่วนหนึ่งของซาตาน และมีกลอุบายของซาตานอยู่กับตัวในยามที่พวกเขาใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติในระดับพื้นฐานที่สุด  ทุกสิ่งที่พวกเขาใช้ชีวิตตามล้วนเป็นลบ ทั้งยังเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของพระเจ้า  ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของเนื้อหนังทั้งสิ้น และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นบวกซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดและโปรดปราน ตลอดจนเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์  ไม่มีอะไรคาบเกี่ยวกันเลย ไม่มีแม้แต่ความคล้ายคลึงกันระหว่างสองสิ่งนี้  การมองเห็นปัญหาเหล่านี้อย่างชัดแจ้งเป็นเรื่องสำคัญมาก มิเช่นนั้นผู้คนก็จะไม่รู้ว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงหมายความว่าอย่างไร  พวกเขาจะยึดถือพฤติกรรมอันดีงามที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสิ่งที่เป็นบวกเอาไว้ตลอดไป ดังนั้นพฤติกรรมและสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมาย่อมจะไม่มีวันได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ถ้าคนคนหนึ่งรักความจริง พวกเขาย่อมจะยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริงได้  พวกเขาจะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  เมื่อทำเช่นนี้พวกเขาก็จะสามารถออกเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่พระเจ้าทรงชี้ให้แก่มนุษย์  การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา—หลักธรรมความจริงข้อนี้สำคัญและจำเป็นต่อมนุษย์อย่างยิ่ง เป็นหลักธรรมความจริงที่คนเราต้องมีในยามที่ไล่ตามเสาะหาความรอดและพากเพียรที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย  เจ้าต้องยอมรับเรื่องนี้  ไม่มีทางเลือกในเรื่องนี้ และไม่มีข้อยกเว้นให้ใคร  ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ยอมรับหลักธรรมความจริงข้อนี้ ไม่ว่าเจ้าจะสูงอายุหรือยังหนุ่มสาว รอบรู้หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ที่มีความเชื่อหรือไม่ค่อยมี และไม่ว่าเจ้าจะเป็นชนชั้นไหนในสังคม หรืออยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ใด โดยไม่มีข้อยกเว้น เจ้าย่อมจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนด  สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือพากเพียรที่จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  นี่เป็นทางเส้นเดียวเท่านั้นที่เจ้าควรไล่ตามเสาะหา  เจ้าไม่ควรเลือกเฟ้นโดยกล่าวว่า “ฉันจะยอมรับบางสิ่งว่าเป็นความจริงถ้าสิ่งนั้นเป็นไปตามมโนคติของฉัน แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนั้น ฉันก็จะไม่ยอมรับ  ฉันจะทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีของฉันเอง ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องไล่ตามเสาะหาความจริง  ฉันไม่จำเป็นต้องมองดูผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายจากจุดยืนแห่งพระวจนะของพระเจ้า ฉันมีทัศนะของฉันเอง แล้วทัศนะของฉันก็ออกจะสูงส่ง อิงข้อเท็จจริง และเป็นบวก ไม่ได้แตกต่างจากพระวจนะของพระเจ้ามากนัก ดังนั้นจึงแน่นอนว่าสามารถแทนที่พระวจนะของพระเจ้าและความจริงได้  ฉันไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องนี้ หรือกระทำการตามพระวจนะ”  ทัศนะและวิธีไล่ตามเสาะหาแบบนี้ผิด  ไม่ว่าทัศนะของคนคนหนึ่งจะดีงามหรือถูกต้องเพียงใด ก็ยังผิดอยู่ดี และไม่มีทางที่จะสามารถแทนที่ความจริงได้  ถ้าเจ้ายอมรับความจริงไม่ได้ ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาจะเป็นอะไรก็ย่อมจะผิด  นั่นคือสาเหตุที่เรากล่าวว่าเจ้าไม่มีทางเลือกในเรื่องของ “การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา”  เจ้าได้แต่ทำตามวลีนี้แต่โดยดี ดำเนินการและมีประสบการณ์ตามวลีนี้ด้วยตัวเจ้าเอง ค่อยๆ มีความรู้ในเรื่องนี้ ยอมรับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และเข้าสู่ความเป็นจริงของวลีนี้  เมื่อนั้นเท่านั้นเป้าหมายที่เจ้าสัมฤทธิ์ในที่สุดจึงจะเป็นเป้าหมายเดียวกับที่คนเราพึงสัมฤทธิ์ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง  หาไม่แล้วสิ่งที่เจ้าเพียรทำมา ทุกสิ่งที่เจ้ายอมตัดขาด และราคาทั้งหมดที่เจ้าได้จ่ายไป ย่อมจะสูญสลาย และจะสูญเปล่าทั้งหมด  เจ้าเข้าใจหรือไม่?

การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร?  (การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา)  ถูกต้อง  จงปฏิบัติตามถ้อยคำเหล่านี้อย่างจริงจัง ครบถ้วน และครอบคลุม  ให้วลีนี้เป็นจุดหมายแห่งการไล่ตามเสาะหาของเจ้า และเป็นความเป็นจริงแห่งชีวิตของเจ้า เมื่อนั้นเจ้าถึงจะเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  จงอย่าด่างพร้อยไม่ว่าในทางใด อย่าได้ปนเปื้อนเจตจำนงใดๆ ของมนุษย์ และอย่าได้ยึดถือวิธีคิดเรื่องโชคเคราะห์  เช่นนั้นจึงเป็นวิธีปฏิบัติตนที่ถูกต้อง จากนั้นเจ้าจึงจะมีความหวังที่จะได้รับความจริง  ดังนั้นการสามัคคีธรรมและชำแหละมโนคติอันหลงผิดที่มนุษย์มีต่อพฤติกรรมอันดีงามมีความจำเป็นหรือไม่?  (มี)  การทำเช่นนี้ให้การชี้แนะและช่วยเหลือในทางที่เป็นบวกแก่พวกเจ้าอย่างไรบ้าง?  ถ้อยคำเหล่านี้กลายเป็นหลักการและหลักเกณฑ์ให้พวกเจ้าใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการได้หรือไม่?  (ได้)  ถ้าทำได้ เช่นนั้นแล้วเวลาที่พวกเจ้าชุมนุมและเฝ้าเดี่ยวก็จงอ่านพลางอธิษฐานตามสามัคคีธรรมทั้งสองครั้งนี้ให้ดีเถิด  เมื่อเจ้ามีความเข้าใจอันถ่องแท้ในถ้อยคำเหล่านี้ เจ้าก็จะสามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะมีหลักการและหลักเกณฑ์สำหรับการกระทำและวาจาของเจ้า  เจ้าจะดูคนออกอย่างถูกต้องแม่นยำ มุมมองและจุดยืนที่เจ้าใช้มองสิ่งทั้งหลายก็จะพลอยถูกต้องไปด้วย  เจ้าจะไม่มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามภาวะอารมณ์หรือความรู้สึกของเจ้าอีกต่อไป หรือตามวัฒนธรรมดั้งเดิมหรือปรัชญาของซาตาน  เมื่อเจ้ามีหลักการที่ถูกต้อง ผลการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายของเจ้าย่อมจะถูกต้องไปด้วย  ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น พวกเจ้าไม่อาจเอาแต่รับฟังหรือทิ้งขว้างถ้อยคำเหล่านี้ได้  เราไม่ได้ชุมนุมกับพวกเจ้าและสามัคคีธรรมหัวข้อเหล่านี้เพียงเพื่อฆ่าเวลาหรือหาอะไรให้ตัวเองทำเพลินๆ เพราะเรารู้สึกเบื่อ  เราทำเช่นนี้เพราะทุกคนมีปัญหาเหล่านี้เหมือนกัน เป็นปัญหาที่ผู้คนต้องทำความเข้าใจบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและสัมฤทธิ์ความรอดของตน  ถึงกระนั้นผู้คนก็ยังไม่เข้าใจประเด็นปัญหาเหล่านี้อย่างชัดแจ้ง  พวกเขามักจะติดพันอยู่กับปัญหาเหล่านี้และถูกมันพันธนาการเอาไว้  ปัญหาเหล่านี้เป็นอุปสรรคขัดขวางที่รบกวนพวกเขา  แน่นอนว่าผู้คนไม่ได้เข้าใจเส้นทางที่จะพาไปสู่การสัมฤทธิ์ความรอดเช่นกัน  ไม่ว่าจะมองจากมุมที่นิ่งเฉยหรือแข็งขัน หรือมองจากมุมที่เป็นบวกหรือเป็นลบ ผู้คนก็ควรที่จะแน่ใจว่าตนชัดเจนและเข้าใจปัญหาเหล่านี้  เมื่อทำเช่นนี้ เวลาเจ้าเผชิญปัญหาแบบนี้ในชีวิตจริงและเผชิญตัวเลือก เจ้าก็จะสามารถแสวงหาความจริงได้ มุมมองและจุดยืนที่เจ้าใช้มองปัญหาย่อมจะถูกต้อง และเจ้าก็จะสามารถทำตามหลักธรรมได้  เมื่อเป็นดังนี้ การตัดสินใจและสิ่งที่เจ้าเลือกย่อมจะมีหลักการ และเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าจะไม่มีวันถูกปรัชญาและเหตุผลวิบัติของซาตานชักพาให้หลงผิดได้อีก เจ้าจะไม่มีวันถูกพิษและคำกล่าวอ้างที่ไร้สาระของซาตานทำให้เดือดร้อนได้อีก  และแล้วเมื่อถึงเวลามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเป็นเรื่องในระดับพื้นฐานที่สุด เจ้าจะสามารถมองเรื่องราวหรือผู้คนตามข้อเท็จจริงและด้วยความเที่ยงธรรม เจ้าจะไม่ถูกความรู้สึกของตนหรือปรัชญาของซาตานครอบงำหรือควบคุมเอาไว้  เพราะฉะนั้น แม้การตระหนักรู้และมีวิจารณญาณในพฤติกรรมที่ผู้คนเชื่อว่าดีงามตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ในกระบวนการการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ก็เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างแนบแน่น  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนมักจะเผชิญสิ่งเหล่านี้ในชีวิตประจำวันของตน  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น และเจ้าอยากจะลงมือทำตามวิธีหนึ่ง แต่อีกคนเสนอแนะทัศนะที่ต่างออกไป และเจ้าก็ไม่สะดวกใจกับวิธีประพฤติตัวตามปกติของคนคนนั้น—เจ้าควรปฏิบัติต่อทัศนะของอีกฝ่ายอย่างไร?  เจ้าควรรับมือเรื่องนี้อย่างไร?  การเอาแต่เมินอีกฝ่ายย่อมไม่ถูกต้อง  เนื่องจากเจ้ามีการประเมินหรือมีทัศนะบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขา หรือมีข้อสรุปเกี่ยวกับพวกเขาอยู่ในใจ สิ่งเหล่านี้ย่อมจะมีผลต่อการคิดอ่านและการตัดสินของเจ้า และน่าจะมีอิทธิพลต่อการวินิจฉัยของเจ้าในเรื่องนี้  นั่นคือสาเหตุที่เจ้าต้องรับมือทัศนะที่ต่างออกไปของพวกเขาอย่างสงบ มีวิจารณญาณและมองทัศนะนั้นให้กระจ่างตามความจริง  ถ้าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นตรงตามหลักธรรมความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรยอมรับเอาไว้  ถ้าเจ้าไม่อาจมองเรื่องนี้ได้อย่างกระจ่างแจ้ง เวลาที่เจ้าเผชิญสถานการณ์หรือบุคคลเช่นนี้อีก เจ้าย่อมจะรู้สึกสับสน ตั้งตัวไม่ทัน กระวนกระวาย และลุกลี้ลุกลนอยู่เสมอ  บางคนอาจถึงกับเลือกใช้วิธีการสุดโต่งเพื่อรับมือและจัดการสถานการณ์นั้นๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครอยากเห็นผลสุดท้ายของการทำเช่นนั้น  ถ้าเจ้าใช้มาตรฐานการประเมินที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มามองคน ผลสุดท้ายก็น่าจะดีงามและเป็นบวก—ความขัดแย้งระหว่างพวกเจ้าย่อมจะไม่มี และทั้งสองฝ่ายก็จะไปกันได้  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าใช้ตรรกะของซาตานและมาตรฐานตามมโนคติอันหลงผิดที่มนุษย์มีต่อพฤติกรรมอันดีงามมามองคน ก็มีแนวโน้มว่าสุดท้ายแล้วพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายจะต่อสู้และทุ่มเถียงกัน  ผลลัพธ์ย่อมจะเป็นว่าพวกเจ้าไปด้วยกันไม่ได้ และจะมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างตามมาด้วยคือ พวกเจ้าอาจบ่อนทำลายกันเอง ดูเบาและตัดสินกัน ในกรณีที่ร้ายแรงพวกเจ้าก็อาจถึงขั้นลงมือลงไม้ และในท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายย่อมจะเจ็บตัวและสูญเสีย  ไม่มีใครอยากเห็นอะไรอย่างนั้น  ดังนั้นสิ่งที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวผู้คนย่อมจะไม่มีวันสามารถช่วยให้พวกเขามองคนหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามข้อเท็จจริง ด้วยความเที่ยงธรรม หรือด้วยเหตุผลได้  ในทางตรงกันข้าม เมื่อผู้คนมองและประเมินคนหรือสิ่งใดตามหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดและตรัสบอกมนุษย์เอาไว้ รวมทั้งตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง แน่นอนว่าผลสุดท้ายย่อมจะเป็นไปตามข้อเท็จจริง เพราะไม่ได้ปนเปื้อนความมุทะลุ หรือภาวะอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์  แบบนี้มีแต่จะให้ผลเป็นสิ่งดีๆ เท่านั้น  เมื่อพิจารณาตามนี้ ผู้คนต้องยอมรับสิ่งใด มโนคติอันหลงผิดที่มนุษย์มีในเรื่องสิ่งที่ดีงาม หรือหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมตามที่พระเจ้ากำหนด?  (หลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมตามที่พระเจ้ากำหนด)  พวกเจ้าทุกคนรู้คำตอบของเรื่องนี้ แล้วก็ตอบได้อย่างถูกต้อง  เอาละ พวกเราจะจบสามัคคีธรรมหัวข้อนี้กันตรงนี้  สิ่งที่พวกเจ้าจำเป็นต้องทำต่อไปก็คือการใคร่ครวญและสามัคคีธรรมสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อยๆ เรียบเรียงประเด็นเหล่านี้ให้เป็นระบบ ค้นหาหลักธรรมของการปฏิบัติและเส้นทางปฏิบัติให้มากๆ แล้วจากนั้นก็ลงมือปฏิบัติและมีประสบการณ์ในเรื่องทั้งหมดนี้ในชีวิตประจำวันของเจ้า ตลอดจนเข้าสู่ความเป็นจริงของถ้อยคำเหล่านี้  ปกติแล้วการเข้าสู่ความเป็นจริงของถ้อยคำเหล่านี้คือความเป็นจริงความจริงประการแรกที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาและเข้าสู่  ในหนทางนี้ระหว่างที่มีประสบการณ์ ผู้คนย่อมมาเข้าใจและรู้จักเนื้อหาของสามัคคีธรรมนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไปทีละด้านและในระดับต่างๆ กัน และพวกเขาย่อมได้รับสิ่งต่างๆ อย่างต่อเนื่องจากมุมมองที่แตกต่างกันไป  ยิ่งเจ้าได้ไปมาก ความรู้จากประสบการณ์และการเข้าสู่ถ้อยคำเหล่านี้ของเจ้าก็จะยิ่งลึกซึ้ง  ยิ่งเจ้าเข้าสู่และมีประสบการณ์กับถ้อยคำเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง เจ้าก็จะยิ่งเข้าสู่และมีความรู้เชิงประสบการณ์เกี่ยวกับทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตัวและการกระทำของเจ้าเองอย่างลึกซึ้งด้วย  ในทางกลับกัน ถ้าเจ้าเข้าไม่ถึงถ้อยคำเหล่านี้เลย เอาแต่มองและเข้าใจความหมายของถ้อยคำเหล่านี้ตามตัวอักษร แล้วก็ทิ้งไว้แค่นั้น ใช้ชีวิตไปตามที่เจ้าทำตลอดมา ไม่แสวงหาความจริงเวลาเกิดปัญหา และไม่เอาปัญหาเหล่านั้นมาเทียบเคียงพระวจนะของพระเจ้า หรือแก้ไขตามพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันสามารถเข้าถึงความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า  ที่บอกว่าเจ้าจะไม่มีวันเข้าถึงความเป็นจริงความจริงนั้นหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าไม่ใช่คนที่รักความจริง และจะไม่มีวันปฏิบัติความจริง เพราะเจ้าจะไม่มีวันมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย หรือวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  เจ้าบอกว่า “ฉันยังคงมีชีวิตที่ดีแม้จะไม่เอาพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นหลักการของตน หรือนำความจริงมาเป็นหลักเกณฑ์ของฉันเอง”  คำว่า “มีชีวิตที่ดี” นั้นเจ้าหมายถึงอะไร?  สิ่งต่างๆ เป็นไปด้วยดีตราบใดที่เจ้ายังไม่ตายกระนั้นหรือ?  จุดหมายของการไล่ตามเสาะหาของเจ้าไม่ใช่การสัมฤทธิ์ความรอด และเจ้าก็ไม่ยอมรับหรือเข้าใจความจริง แต่เจ้าก็กล่าวว่าเจ้ามีชีวิตที่ดี  ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณภาพชีวิตของเจ้าก็แย่กว่าปกติมาก และคุณภาพของความเป็นมนุษย์ที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตก็ต่ำมาก  หากยืมคำกล่าวของชาวบ้านมาใช้ก็คือ เจ้านั้นเหมือนผีมากกว่าเหมือนคน เพราะเจ้าไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และไม่เข้าใจความจริง เจ้ายังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและปรัชญาของซาตาน—เจ้าเป็นเพียงอมนุษย์ที่ห่มหนังมนุษย์เอาไว้  ชีวิตคนแบบนี้มีคุณภาพหรือมีคุณค่าอะไร?  ชีวิตเยี่ยงนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้าหรือผู้อื่น  คุณภาพของชีวิตแบบนี้ช่างอ่อนด้อย—ไร้ซึ่งคุณค่า

พวกเจ้ารู้ไหมว่าทำไมเราถึงสามัคคีธรรมและชำแหละมโนคติดั้งเดิมอันหลงผิดและวัฒนธรรมดั้งเดิมในวันนี้?  เพียงเพราะเราไม่ชอบสิ่งเหล่านี้กระนั้นหรือ?  (ไม่ใช่เพราะเหตุนั้น)  ถ้าอย่างนั้นนัยสำคัญของการสามัคคีธรรมในหัวข้อเหล่านี้คืออะไร?  เป้าหมายสูงสุดของการทำเช่นนี้คืออะไร?  (เพื่อช่วยพวกเราตรวจสอบว่าพวกเรายังมีพฤติกรรมและลักษณะเช่นใดบ้างที่ถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมชี้นำ เป็นการใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน  หลังจากที่พวกเรามาเข้าใจความจริงและมีวิจารณญาณแล้ว พวกเราก็จะสามารถใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติตามข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ที่พระเจ้าประทานไว้ และจะสามารถเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงได้)  ถูกต้อง แต่ยาวไปหน่อย  คำตอบที่ง่ายที่สุดและตรงที่สุดคืออะไร?  การสามัคคีธรรมหัวข้อเหล่านี้มีเป้าหมายสูงสุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และนั่นก็คือการทำให้ผู้คนเข้าใจว่าความจริงคืออะไร และอะไรคือการปฏิบัติความจริง  ทันทีที่ผู้คนชัดแจ้งในสองเรื่องนี้ พวกเขาก็จะมีวิจารณญาณแยกแยะพฤติกรรมอันดีงามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมให้การส่งเสริม  พวกเขาจะไม่ทำเหมือนว่าพฤติกรรมอันดีงามเหล่านั้นเป็นมาตรฐานของการปฏิบัติความจริงหรือการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์อีกต่อไป  ผู้คนจะหลุดจากโซ่ตรวนของวัฒนธรรมดั้งเดิม ปลดเปลื้องความเข้าใจและทัศนะที่ผิดพลาดของตนเกี่ยวกับการปฏิบัติความจริงและพฤติกรรมอันดีงามที่ผู้คนพึงมีได้ ก็ด้วยการเข้าใจความจริงเท่านั้น  เช่นนี้เท่านั้นที่ผู้คนจะสามารถปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างถูกต้อง  ถ้าผู้คนไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรและนึกว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมคือความจริง เช่นนั้นแล้วทิศทาง เป้าหมาย และเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาก็จะผิดไปหมด  พวกเขาย่อมจะผละจากพระวจนะของพระเจ้า ขัดแย้งกับความจริง และออกห่างจากหนทางที่แท้จริงไปแล้ว  เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาย่อมเดินอยู่บนเส้นทางของตัวเองและกำลังหลงผิด  ถ้าผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงนั้นไม่สามารถแสวงหาและปฏิบัติความจริงได้ ผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร?  พวกเขาจะไม่ได้รับความจริง  และถ้าพวกเขาไม่ได้รับความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าผู้คนเหล่านั้นจะเชื่อมากขนาดไหน ก็ย่อมจะสูญเปล่า  เพราะฉะนั้น สามัคคีธรรมและการชำแหละมโนคติดั้งเดิมอันหลงผิดและคำกล่าวอ้างเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมในวันนี้จึงเป็นหัวข้อที่สำคัญมากและมีนัยสำคัญต่อผู้เชื่อทั้งปวงเป็นอย่างยิ่ง  พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วพวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าความจริงคืออะไร?  แท้จริงแล้วเจ้ารู้วิธีไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  เจ้าแน่ใจในเป้าหมายของตนเองหรือไม่?  เจ้าแน่ใจในเส้นทางของตนเองหรือไม่?  ถ้าเจ้าไม่แน่ใจในเรื่องใดเลย เจ้าจะไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างไร?  เป็นไปได้ไหมว่าเจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาสิ่งที่ผิด?  เป็นไปได้ไหมว่าเจ้ากำลังออกห่างจากเส้นทาง?  นี่มีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง  ดังนั้นภายนอกแล้ว แม้วจนะที่เราสามัคคีธรรมในวันนี้จะดูธรรมดามาก เป็นวจนะที่ผู้คนเข้าใจทันทีที่ได้ฟัง และจากมุมมองของพวกเจ้าก็ดูเหมือนจะไม่ควรเอ่ยถึงด้วยซ้ำ แต่หัวข้อนี้และเนื้อหานี้กลับสัมพันธ์กับความจริงโดยตรง และเกี่ยวข้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า  นี่คือสิ่งพวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่ตระหนักรู้  ในแง่ของคำสอนแล้ว แม้พวกเจ้าจะเข้าใจว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมและศาสตร์ของมวลมนุษย์ทางด้านสังคมนั้นไม่ใช่ความจริง และแน่นอนว่าขนบและธรรมเนียมปฏิบัติทางด้านชาติพันธุ์ก็ไม่ใช่ความจริง แต่แท้จริงแล้วพวกเจ้ามองเห็นแก่นแท้ของสิ่งเหล่านี้อย่างชัดแจ้งหรือไม่?  พวกเจ้าหลุดจากโซ่ตรวนของสิ่งเหล่านี้แล้วจริงหรือ?  ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยกำหนดให้ผู้คนทุ่มเทศึกษาวัฒนธรรม ขนบ และธรรมเนียมปฏิบัติทางด้านชาติพันธุ์ แล้วก็แน่นอนว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ให้ผู้คนยอมรับอะไรที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิม  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยเอ่ยถึงสิ่งเหล่านี้  อย่างไรก็ดี หัวข้อที่เราสามัคคีธรรมในวันนี้มีความสำคัญมาก  เราจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนเพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจ  จุดหมายของเราในการพูดเรื่องเหล่านี้มีเพียงเพื่อทำให้ผู้คนเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเจ้าทุกคนสามารถเข้าใจสิ่งที่เราพูดอยู่นี้หรือไม่?  ถ้าพวกเจ้าใช้ความพยายามกันบ้าง จ่ายราคาสักนิด และลงแรงสักหน่อย ในที่สุดพวกเจ้าก็จะสามารถได้อะไรไว้ในเรื่องนี้ และเข้าใจความจริงเหล่านี้ได้เป็นผลสำเร็จ  และเมื่อมาเข้าใจความจริงเหล่านี้ จากนั้นก็เสาะแสวงที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ก็ย่อมง่ายที่เจ้าจะเห็นผล

สิ่งทั้งหลายที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของเขาว่าถูกต้องและดีงามมีอยู่แง่มุมหนึ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปก่อนหน้านี้ก็คือ พฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์  แล้วแง่มุมที่เหลือคืออะไร?  (หลักศีลธรรมและคุณภาพของความเป็นมนุษย์ของคนเรา)  กล่าวง่ายๆ ก็คือการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์  แม้มนุษย์ที่เสื่อมทรามทุกคนจะใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตน แต่พวกเขาก็อำพรางตนเก่งเป็นพิเศษ  นอกจากคำกล่าวทั้งหลายที่สัมพันธ์เป็นพิเศษกับท่าทางและพฤติกรรมอันฉาบฉวยแล้ว พวกเขายังประดิษฐ์คำกล่าวและข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์อีกมากมายด้วย  คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่แพร่หลายอยู่ท่ามกลางผู้คนมีอะไรบ้าง?  จงว่ามาตามที่พวกเจ้ารู้และคุ้นเคยเถิด จากนั้นพวกเราก็จะเลือกคำกล่าวทั่วไปออกมาส่วนหนึ่งเพื่อชำแหละและสามัคคีธรรมกัน  (จงอย่านำเงินที่เก็บได้มาใส่กระเป๋า  จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น)  (ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ)  (จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น)  (จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี)  (สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม)  (จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่น)  ใช่แล้ว ทั้งหมดนั้นคือตัวอย่างที่ดี  นอกจากนี้ยังมี “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้” “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” และ “การประหารชีวิตมีแต่จะทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้”  ทั้งหมดนี้คือข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ที่มีอยู่  มีอย่างอื่นอีกไหม?  (เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู)  นี่ก็เป็นข้อกำหนดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ที่วัฒนธรรมดั้งเดิมของมวลมนุษย์ระบุไว้ และเป็นมาตรฐานที่ใช้ประเมินการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน  มีอะไรอื่นอีก?  (จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น)  ข้อนี้ง่ายขึ้นมาหน่อย แต่ก็นับรวมด้วยเหมือนกัน  ยังมี “ฉันยอมรับกระสุนแทนเพื่อน” “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะทรัพย์สมบัติ เปลี่ยนแปลงเพราะยากไร้ หรือโอนอ่อนเพราะถูกบีบบังคับ” และ “จงก้มหน้าก้มตาทำงานและพากเพียรทำให้ดีที่สุดจนวันตาย”  นี่ก็เป็นตัวอย่างอีกส่วนหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  เช่นเดียวกับอันนี้ “หนอนไหมแห่งฤดูใบไม้ผลิถักทอจนตัวตาย ส่วนเทียนไขก็มอดไหม้จนน้ำตาเทียนเหือดแห้ง”  จงดูเถิดว่าพวกเขาคาดหวังในการประพฤติปฏิบัติและการวางตัวของมนุษย์กันมากขนาดไหน!  พวกเขาอยากให้ผู้คนเผาชีวิตของตนให้มอดไหม้เหมือนเทียนไขและกลายเป็นเถ้าถ่าน  คนคนหนึ่งถูกตัดสินว่ามีลักษณะนิสัยที่สูงส่งทางศีลธรรมก็ต่อเมื่อพวกเขาวางตัวเช่นนี้เท่านั้น  นี่คือความคาดหวังที่สูงมิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนถูกแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมครอบงำและพันธนาการมานานหลายพันปี แล้วผลเป็นเช่นไร?  พวกเขาใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์หรือไม่?  พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีความหมายหรือไม่?  ผู้คนมีชีวิตเพื่อสิ่งที่วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดไว้ พลีอุทิศวัยหนุ่มสาวของตน หรือชีวิตทั้งชีวิตของตนด้วยซ้ำ พลางเชื่ออยู่ตลอดเวลาว่าชีวิตของตนนั้นน่าภาคภูมิใจและมีเกียรติยิ่ง  ในที่สุดเมื่อตัวตาย พวกเขาก็ไม่รู้ว่าตายเพื่ออะไร หรือความตายของตนนั้นมีคุณค่าและความหมายหรือไม่ หรือว่าตนเองทำตามข้อกำหนดของพระผู้สร้างของตนหรือไม่  ผู้คนไม่รู้เรื่องเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง  วัฒนธรรมดั้งเดิมมีคำกล่าวและข้อกำหนดอื่นๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คนว่าอย่างไรอีก?  “ทุกคนมีส่วนในชะตากรรมของประเทศของตน” และ “ไม่ว่าผู้อื่นจะวางใจมอบอะไรให้ทำ ก็จงพยายามอย่างที่สุดที่จะทำอย่างสัตย์ซื่อ” นี่ก็ใช่  ยังมี “คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง” นี่เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของมนุษย์  มีอย่างอื่นอีกไหม?  (ผุดขึ้นจากโคลนโดยไม่เปรอะเปื้อน อาบน้ำในคลื่นใสแต่มิได้ดูบาดตา)  สำนวนนี้มีความคาบเกี่ยวกับหัวข้อนี้อยู่บ้าง  เราคิดว่าพวกเราไล่นึกตัวอย่างกันมามากพอแล้ว  คำกล่าวที่พวกเราเพิ่งพูดถึงนี้ประกอบด้วยข้อกำหนดที่ว่าด้วยการอุทิศตน ความรักชาติ ความน่าเชื่อถือ การถือพรหมจรรย์ ตลอดจนหลักการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และวิธีที่ผู้คนควรปฏิบัติต่อคนที่เคยช่วยเหลือตน หรือการตอบแทนความใจดีมีเมตตา เป็นต้น  คำกล่าวบางอย่างก็ธรรมดาหน่อย บ้างก็ลึกซึ้งขึ้นอีกหน่อย  ที่ธรรมดาที่สุดก็คือ “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” “จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” และ “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะทรัพย์สมบัติ เปลี่ยนแปลงเพราะยากไร้ หรือโอนอ่อนเพราะถูกบีบบังคับ”  นี่คือข้อกำหนดด้านการวางตัวของมนุษย์  “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับความซื่อตรงทางด้านศีลธรรมและการถือพรหมจรรย์  คำกล่าวเหล่านี้อยู่ในขอบข่ายของแนวคิดเรื่องความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือในวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมไม่มากก็น้อย  ตอนนี้พวกเราไล่นึกคำกล่าวไปกี่ข้อแล้ว?  (ยี่สิบเอ็ดข้อ)  จงอ่านให้เราฟังเถิด  (“จงอย่านำเงินที่ตนเก็บได้มาใส่กระเป๋า” “จงยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น” “จงเข้มงวดกับตนเองและยอมผ่อนปรนให้ผู้อื่น” “จงตอบแทนความชั่วด้วยความดี” “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” “จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น” “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม” “ขณะดื่มน้ำในบ่อ คนเราไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดขุดบ่อน้ำเอาไว้” “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” “การประหารชีวิตมีแต่จะทำให้หัวหลุดจากบ่า จงเมตตาทุกเมื่อที่เป็นไปได้” “เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู” “จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น” “ฉันยอมรับกระสุนแทนเพื่อน” “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” “คนเราไม่ควรเสื่อมทรามเพราะทรัพย์สมบัติ เปลี่ยนแปลงเพราะยากไร้ หรือโอนอ่อนเพราะถูกบีบบังคับ” “จงก้มหน้าก้มตาทำงานและพากเพียรทำให้ดีที่สุดจนวันตาย” “หนอนไหมแห่งฤดูใบไม้ผลิถักทอจนตัวตาย ส่วนเทียนไขก็มอดไหม้จนน้ำตาเทียนเหือดแห้ง” “ทุกคนมีส่วนในชะตากรรมของประเทศของตน” “ไม่ว่าผู้อื่นจะวางใจมอบอะไรให้ทำ ก็จงพยายามอย่างที่สุดที่จะทำอย่างสัตย์ซื่อ” “คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง” และ “ผุดขึ้นจากโคลนโดยไม่เปรอะเปื้อน อาบน้ำในคลื่นใสแต่มิได้ดูบาดตา”)  วันนี้พวกเราจะศึกษาคุณสมบัติอัน “ดีงาม” สารพัดรูปแบบอย่างลงลึกตามที่มวลมนุษย์ได้สรุปรวบรวมเอาไว้เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม  คำกล่าวอ้างต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิมด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมก่อให้เกิดข้อกำหนดนานัปการสำหรับความเป็นมนุษย์และการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์  บ้างก็กำหนดให้ผู้คนตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่พวกเขาได้รับ บ้างก็บอกให้ผู้คนยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น บ้างก็เป็นวิธีการรับมือผู้คนที่ตนไม่ชอบ ส่วนคำกล่าวอื่นๆ ก็เป็นวิธีรับมือข้อเสียและข้อบกพร่องของผู้อื่น หรือรับมือผู้คนที่มีปัญหา  คำกล่าวทั้งหลายได้ขีดเส้นให้แก่ผู้คนในเรื่องเหล่านี้ นำเสนอข้อกำหนดและมาตรฐานบางอย่าง  ทั้งหมดนี้เป็นข้อกำหนดและมาตรฐานที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของมนุษย์ และเป็นสิ่งที่แพร่หลายอยู่ท่ามกลางผู้คนทั้งสิ้น  ใครก็ตามที่โตมาในประเทศจีนย่อมจะเคยได้ยินคำกล่าวเหล่านี้อยู่เนืองๆ และจำได้ขึ้นใจ  คำกล่าวอ้างทั้งหลายด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมจากวัฒนธรรมดั้งเดิมนี้ล้วนอยู่ในขอบข่ายของความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือไม่มากก็น้อย  แน่นอนว่ายังมีคำกล่าวบางประการที่อยู่นอกขอบข่ายนี้ แต่ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในขอบข่ายนี้ในระดับใดระดับหนึ่ง  พวกเจ้าควรชัดแจ้งในเรื่องนี้

วันนี้พวกเราจะไม่สามัคคีธรรมกันอย่างเป็นรูปธรรมว่าถ้อยแถลงจำเพาะหนึ่งใดด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร หรือวิเคราะห์กันอย่างเป็นรูปธรรมว่าอะไรคือแก่นแท้ของคำกล่าวจำเพาะใดๆ  เราจะให้พวกเจ้าศึกษาในขั้นเตรียมการก่อนเล็กน้อย  จงดูว่ามีความแตกต่างอะไรบ้างระหว่างคำกล่าวอ้างด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิม กับมาตรฐานที่พระเจ้าทรงประสงค์จากมนุษย์เพื่อการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  คำกล่าวของวัฒนธรรมดั้งเดิมมีข้อใดบ้างที่ขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงอย่างชัดแจ้ง?  ถ้าตีความตามตัวอักษร คำกล่าวใดที่คล้ายพระวจนะของพระเจ้าและความจริง หรือค่อนข้างเชื่อมโยงกัน?  แล้วในบรรดาคำกล่าวเหล่านี้มีข้อใดบ้างที่เจ้าเชื่อว่าเป็นบวก และข้อใดบ้างที่เจ้าเคยยึดตามอย่างเคร่งครัดหลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า ปฏิบัติตามและคล้อยตามคำกล่าวนั้นเหมือนเป็นหลักเกณฑ์แห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า?  ตัวอย่างเช่น “จงพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น”  พวกเจ้าคุ้นเคยกับคำกล่าวนี้กันทุกคนใช่หรือไม่?  พอมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว เจ้าก็คิดมิใช่หรือว่าตัวเจ้าควรเป็นคนดีตามนี้?  แล้วเวลาที่เจ้าพลีอุทิศผลประโยชน์ของตนเพื่อผู้อื่น เจ้าก็คิดมิใช่หรือว่าตัวเจ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ดีงามมาก และพระเจ้าย่อมจะโปรดเจ้าเป็นแน่?  หรือก่อนที่เจ้าจะเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็อาจจะเชื่อว่าผู้คนที่มีคุณสมบัติของการ “ตอบแทนความชั่วด้วยความดี” นั้นเป็นคนดี—เพียงแต่เจ้าไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น เจ้าทำไม่ได้ และไม่อาจยึดตามคำกล่าวนั้นได้ แต่พอเจ้ามาเชื่อในพระเจ้า เจ้ากลับยึดตัวเองตามมาตรฐานนั้น และเจ้าก็สามารถ “ยกโทษและลืมไปเสีย” กับผู้คนที่เคยทำร้ายเจ้า หรือคนที่เจ้าเคยขุ่นเคืองหรือเกลียด  เจ้าอาจคิดว่าคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมข้อนี้ตรงกับที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสให้ยกโทษแก่ผู้คนเจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด และด้วยเหตุนี้เจ้าจึงเต็มใจอย่างยิ่งที่จะยับยั้งชั่งใจตามคำดังกล่าว  เจ้าอาจถึงกับปฏิบัติและยึดถือตามนั้นเหมือนว่านั่นคือความจริง และคิดว่าผู้คนที่ตอบแทนความชั่วด้วยความดีคือคนที่ปฏิบัติความจริงและเดินตามหนทางของพระเจ้า  พวกเจ้ามีความคิดหรือการสำแดงเช่นที่กล่าวมานี้บ้างหรือไม่?  คำกล่าวใดที่พวกเจ้ายังคงคิดว่ามีแก่นแท้คล้ายความจริงและพระวจนะของพระเจ้าจนถึงขั้นที่สามารถแทนที่ความจริงได้ด้วยซ้ำ และย่อมไม่เป็นการเกินเลยหากจะกล่าวว่านี่คือความจริง?  แน่นอนว่าการใช้วิจารณญาณแยกแยะคำกล่าวที่ว่า “ทุกคนมีส่วนในชะตากรรมของประเทศของตน” นั้นควรที่จะง่าย  ผู้คนส่วนใหญ่มองออกว่าคำกล่าวนี้ไม่ใช่ความจริง และเป็นเพียงคำพูดชวนเชื่อที่ฟังดูสูงส่งและชักพาให้หลงเชื่อเท่านั้น  “ทุกคนมีส่วนในชะตากรรมของประเทศของตน” เป็นสิ่งที่ใช้กล่าวแก่ผู้ไม่มีความเชื่อที่ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า เป็นข้อกำหนดที่รัฐบาลของประเทศหนึ่งๆ มีต่อประชาชนของตน เพื่อสอนให้ประชาชนรักบ้านเมืองของตนเอง  คำกล่าวนี้ไม่ตรงตามความจริงและไม่มีพื้นฐานในพระวจนะของพระเจ้าเลย  อาจกล่าวได้ว่าโดยรากฐานแล้วคำกล่าวนี้ไม่ใช่ความจริง และไม่อาจแทนที่ความจริงได้  คำกล่าวนี้เป็นมุมมองที่มาจากซาตานและเกิดจากซาตานทั้งสิ้น และรับใช้ชนชั้นปกครอง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริงเลย  นั่นคือสาเหตุที่คำกล่าวว่า “ทุกคนมีส่วนในชะตากรรมของประเทศของตน” ไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอน อีกทั้งไม่ใช่สิ่งที่คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงค้ำจุน  ดังนั้นผู้คนประเภทใดที่สามารถสำคัญผิดว่าคำกล่าวนี้เป็นความจริง?  ผู้คนที่คิดหาทางมีหน้ามีตา มีสถานะ และได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตนตลอดเวลา รวมทั้งคนที่อยากเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ  พวกเขาทำตามคำกล่าวนี้ราวกับเป็นความจริงเพื่อประจบเอาใจชนชั้นปกครองและสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตน  มีคำกล่าวบางข้อที่ไม่ง่ายต่อการใช้วิจารณญาณของผู้คน  แม้ผู้คนจะรู้ว่าคำกล่าวเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง แต่ก็ยังคงรู้สึกอยู่ในหัวใจของตนว่าคำกล่าวเหล่านี้ถูกต้องและตรงตามคำสอน  พวกเขาอยากใช้ชีวิตตามคำกล่าวเหล่านี้และวางตัวตามนั้นเพื่อยกระดับศีลธรรมของตน เพิ่มเสน่ห์ดึงดูดส่วนตน และพร้อมกันนั้นก็ทำให้ผู้อื่นนึกว่าตนมีความเป็นมนุษย์และไม่ใช่อมนุษย์  คำกล่าวใดที่พวกเจ้าใช้วิจารณญาณแยกแยะยาก?  (ข้าพระองค์คิดว่า “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” นั้นแยกแยะยากมาก  ข้าพระองค์เคยนึกว่านี่คือสิ่งที่เป็นบวก และคิดว่าคนที่ตอบแทนความใจดีมีเมตตาอย่างสำนึกในบุญคุณเป็นคนที่มีมโนธรรม  “ไม่ว่าผู้อื่นจะวางใจมอบอะไรให้ทำ ก็จงพยายามอย่างที่สุดที่จะทำอย่างสัตย์ซื่อ” ก็เป็นอีกข้อหนึ่ง  คำกล่าวนี้หมายความว่าในเมื่อคนเรายอมรับงานจากคนอื่นแล้ว ก็ควรทำทุกสิ่งอย่างสุดความสามารถเพื่อให้แน่ใจว่างานนั้นจะสำเร็จด้วยดี  ข้าพระองค์เคยรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เป็นบวก เป็นสิ่งที่คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลพึงทำ)  มีใครอีก?  (ยังมีคำกล่าวว่า “เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู”  ข้าพระองค์เคยคิดว่าคนที่ทำเช่นนี้ได้เป็นคนที่ค่อนข้างมีความเป็นมนุษย์และศีลธรรม)  มีอะไรอีกไหม?  (“คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง”  ข้าพระองค์เคยนึกว่าถ้าใครทำตามที่ตนพูดและเป็นคนที่เชื่อถือได้ นั่นก็คือการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอันดีงาม)  ก่อนหน้านี้เจ้านึกว่านี่เป็นการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอันดีงาม  แล้วตอนนี้เจ้ามองว่าอย่างไร?  (พวกเราต้องมองว่าอะไรคือธรรมชาติของ “คำพูด” ที่ว่านั้น—ธรรมชาตินั้นถูกหรือผิด?  เป็นบวกหรือเป็นลบ?  ถ้ามีคนบอกพวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ว่า “ฉันจะปกป้องคุณ  คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง” และแล้วพอพระนิเวศของพระเจ้าสืบเสาะและตรวจสอบสถานการณ์ แล้วคนคนนี้กลับปกป้องคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์พวกนั้น เมื่อนั้นคนคนนี้ก็กำลังทำชั่วและต้านทานพระเจ้า)  วิจารณญาณเช่นนี้ถูกต้อง  เจ้าต้องดูที่ธรรมชาติของ “คำพูด” ที่ว่านี้—ว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ  ถ้าใครบางคนกำลังทำอะไรที่เลวหรือชั่ว พลางทำตามคำกล่าวที่ว่า “คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง” เช่นนั้นแล้วก้าวย่างในการทำชั่วของพวกเขาก็เหมือนม้าเร็วที่ห้อเต็มเหยียด วิ่งตรงเข้านรกและตกลงไปในบาดาลลึก  แต่ถ้า “คำพูด” ของพวกเขาตรงกับความจริง มีสำนึกแห่งความยุติธรรม ปกป้องงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้พระเจ้าพอพระทัย เช่นนั้นแล้วการทำตามคำกล่าวที่ว่า “คำพูดของสัตบุรุษคือสัญญามัดตัวเอง” ย่อมถูกต้อง  จากตัวอย่างเหล่านี้ เจ้าจะเห็นได้ว่าเจ้าต้องมีวิจารณญาณแยกแยะถ้อยคำของวัฒนธรรมดั้งเดิม  เจ้าต้องแยกแยะสถานการณ์ต่างๆ กับเรื่องราวเบื้องหลังออกจากกัน และเจ้าไม่สามารถใช้ถ้อยคำเหล่านี้โดยขาดการพิจารณา  มีบางถ้อยคำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างเห็นได้ชัด และผิดอย่างชัดเจน  เจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเวลารับมือถ้อยคำเหล่านี้  เจ้าต้องรับมือถ้อยคำเหล่านี้เหมือนเป็นเรื่องนอกรีตและเหตุผลวิบัติ  มีบางถ้อยคำที่ถูกต้องเฉพาะในบางบริบทและบางขอบข่ายเท่านั้น  ในบริบทหรือสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไป ถ้อยคำดังกล่าวกลับใช้ไม่ได้อีกต่อไป ทั้งผิดและเป็นอันตรายต่อผู้คน  ถ้าเจ้าไม่สามารถแยกแยะได้ เจ้าก็มีแนวโน้มที่จะถูกถ้อยคำเหล่านั้นวางยาและทำร้ายเอา  ไม่ว่าถ้อยคำของวัฒนธรรมดั้งเดิมจะถูกหรือผิด หรือดูใช้การได้ในสายตาของมนุษย์หรือไม่ ก็ไม่มีคำใดที่เป็นความจริงและตรงกับพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน  สิ่งที่มนุษย์มองว่าถูกต้องไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่พระเจ้ามองว่าถูกต้อง  ถ้อยคำที่มนุษย์มองว่าดีงามก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผลดีต่อผู้คนเวลาที่พวกเขานำไปปฏิบัติ  ไม่ว่าจะเช่นไร ไม่ว่าผู้คนจะปฏิบัติตามนั้นหรือไม่ หรือมีทางนำไปใช้หรือไม่ สิ่งที่ไม่ตรงกับความจริง สิ่งที่ไม่ใช่ความจริง ย่อมเป็นภัยต่อมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่ควรยอมรับและต้องไม่นำไปใช้  มีผู้คนมากมายที่ไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งเหล่านี้  พวกเขาทำเหมือนว่าสิ่งที่มนุษย์มองว่าถูกต้อง หรือสิ่งที่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเห็นพ้องต้องกันเป็นปกติว่าถูกต้องนั้นคือความจริง ยึดถือและปฏิบัติตามเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง  นี่เหมาะสมหรือไม่?  คนเราจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าด้วยการปฏิบัติความจริงที่เทียมเท็จและความจริงจอมปลอมกระนั้นหรือ?  สิ่งใดก็ตามที่มวลมนุษย์เห็นพ้องต้องกันเป็นปกติว่าถูกต้องและเป็นความจริงนั้นเทียมเท็จ เป็นของเลียนแบบ และควรถูกปฏิเสธตลอดไป  แล้วสิ่งที่พวกเจ้าคิดว่าถูกต้องและเป็นบวกนั้นแท้จริงแล้วใช่ความจริงหรือไม่?  หลายพันปีมานี้ไม่เคยมีใครปฏิเสธถ้อยคำเหล่านี้ ทุกคนล้วนเชื่อว่าถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้องและเป็นบวก แต่แท้จริงแล้วถ้อยคำเหล่านี้สามารถกลายเป็นความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ถ้าถ้อยคำเหล่านี้กลายเป็นความจริงไม่ได้ เช่นนั้นแล้วตัวมันเองใช่ความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ถ้อยคำเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง  ถ้าผู้คนทำเหมือนว่าถ้อยคำเหล่านี้คือความจริง นำไปผสมกับพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติไปพร้อมกัน ถ้อยคำและคำกล่าวเหล่านี้จะสามารถยกระดับเป็นความจริงได้หรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้  ไม่ว่าผู้คนจะไล่ตามเสาะหาหรือยึดถือสิ่งเหล่านี้อย่างไร พระเจ้าก็จะไม่มีวันเห็นชอบในสิ่งเหล่านี้ เพราะพระเจ้านั้นบริสุทธิ์  พระองค์ย่อมไม่ทรงอนุญาตให้มนุษย์ที่เสื่อมทรามเอาสิ่งที่เป็นของซาตานมาผสมกับความจริงหรือพระวจนะของพระองค์เป็นแน่  ทุกสิ่งที่เกิดจากความคิดและทัศนะของมนุษย์ย่อมมาจากซาตาน—ไม่ว่าจะดีงามเพียงใด สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่ความจริงอยู่ดี และไม่อาจกลายเป็นชีวิตของคนได้

คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมมาจากซาตาน เกิดขึ้นมาท่ามกลางมนุษย์ที่เสื่อมทราม และเหมาะกับพวกผู้ไม่มีความเชื่อและคนที่ไม่รักความจริงเท่านั้น  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงควรที่จะมีวิจารณญาณแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้เป็นอันดับแรก และปฏิเสธคำกล่าวเหล่านี้ เพราะคำกล่าวเหล่านี้ย่อมจะมีผลลบต่อผู้คน ทำให้ผู้คนเสียศูนย์และเลือกทางผิด  ตัวอย่างเช่น ในบรรดาตัวอย่างที่พวกเราเพิ่งยกมานั้น มีคำกล่าวว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน”  พวกเรามาพูดถึง “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์” กันก่อน  ถ้ากษัตริย์เป็นบุคคลที่มีความสามารถ มีปัญญา และเป็นบวก เช่นนั้นแล้วการที่เจ้าสนับสนุน ติดตาม และปกป้องเขาย่อมแสดงว่าเจ้านั้นมีความเป็นมนุษย์ มีศีลธรรม และลักษณะนิสัยอันประเสริฐ  แต่ถ้ากษัตริย์นั้นเป็นเผด็จการและโง่เขลา เป็นมารตนหนึ่ง แล้วเจ้ายังคงติดตาม ปกป้อง และไม่เลิกสนับสนุนเขา “ความจงรักภักดี” ที่เจ้ามีนี้คืออะไร?  คือความจงรักภักดีที่มืดบอดและเบาปัญญา นี่ย่อมมืดบอดและโง่เขลา  เมื่อเป็นเช่นนั้น ความจงรักภักดีของเจ้าย่อมผิดและกลายเป็นสิ่งที่เป็นลบไปแล้ว  เมื่อเป็นเรื่องของกษัตริย์ปีศาจและมารเยี่ยงนี้ เจ้าก็ไม่ควรยึดตามคำกล่าวที่ว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์” อีกต่อไป  เจ้าควรละทิ้ง ปฏิเสธ และออกห่างจากกษัตริย์แบบนี้—เจ้าควรละทิ้งความมืดและเลือกความสว่าง  ถ้าเจ้ายังคงเลือกที่จะจงรักภักดีต่อกษัตริย์ปีศาจคนนี้ต่อไป เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือลูกสมุนและผู้สมรู้ร่วมคิดของเขา  ดังนั้นในรูปการณ์และบริบทบางอย่าง แนวคิด หรือความหมายและคุณค่าที่เป็นบวกที่คำกล่าวนี้ให้การเชิดชู จึงไม่มีอยู่จริง  จากเรื่องนี้เจ้าย่อมจะมองเห็นได้ว่าแม้คำกล่าวนี้จะฟังดูยุติธรรมและเป็นบวกอย่างมาก แต่การนำไปใช้ก็จำกัดอยู่แต่ในรูปการณ์และบริบทจำเพาะไม่กี่อย่าง ไม่ได้ใช้ได้กับทุกรูปการณ์หรือบริบท  ถ้าผู้คนยึดปฏิบัติตามคำกล่าวนี้อย่างมืดบอดและเบาปัญญา พวกเขาก็รังแต่จะสูญเสียหนทางของตนและเดินบนเส้นทางที่ผิดเท่านั้น  ผลสืบเนื่องของเรื่องนี้ย่อมมิอาจคาดคิดได้  วรรคถัดไปในคำกล่าวนี้คือ “หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน”  “หญิงดี” ในที่นี้หมายถึงอะไร?  หมายถึงหญิงที่บริสุทธิ์ สัตย์ซื่อต่อสามีเพียงคนเดียวเท่านั้น  เธอต้องสัตย์ซื่อกับเขาจวบจนวาระสุดท้าย และไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาดไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ก็ตาม  ต่อให้สามีของเธอตายไป เธอก็ต้องเป็นม่ายไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต  นั่นคือสิ่งที่เรียกกันว่าภรรยาที่บริสุทธิ์และสัตย์ซื่อ  วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดให้ผู้หญิงทุกคนต้องเป็นภรรยาที่บริสุทธิ์และสัตย์ซื่อ  นี่ใช่วิธีปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างเป็นธรรมหรือไม่?  เหตุใดชายจึงมีภรรยาเกินหนึ่งได้ แต่หญิงนั้นต่อให้สามีตายไปก็ไม่อาจแต่งงานใหม่ได้?  แต่ก่อนนั้นชายและหญิงไม่ได้มีสถานะเท่าเทียมกัน  ถ้าผู้หญิงถูกถ้อยคำที่ว่า “หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” ตีกรอบเอาไว้ และเลือกที่จะเป็นภรรยาที่บริสุทธิ์และสัตย์ซื่อ เธอจะสามารถได้อะไรไว้บ้าง?  อย่างมากก็จะมีการสร้างอนุสรณ์สถานไว้รำลึกถึงความบริสุทธิ์ของเธอหลังจากที่เธอสิ้นลม  นี่มีความหมายอะไรหรือไม่?  พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่ว่าผู้หญิงในอดีตมีชะตาชีวิตที่ยากลำบาก?  ทำไมพวกเธอถึงไม่มีสิทธิ์ที่จะแต่งงานใหม่หลังจากที่สามีตายไปแล้ว?  นี่คือทัศนะที่วัฒนธรรมดั้งเดิมเชิดชู และเป็นมโนคติอันหลงผิดที่มวลมนุษย์ยึดถือเสมอมา  ถ้าสามีของผู้หญิงตายไปโดยทิ้งลูกไว้ข้างหลังหลายคน และเธอไม่สามารถหาเลี้ยงลูกๆ ได้ เธอจะทำอะไรได้?  เธอก็ต้องไปขออาหารกิน  ถ้าเธอไม่อยากให้ลูกๆ ทนทุกข์และอยากหาทางอยู่รอด เธอก็ต้องแต่งงานใหม่และดำรงชีวิตโดยที่ชื่อของเธอพลอยมัวหมอง ถูกความเห็นส่วนรวมกล่าวโทษ ถูกสังคมและผู้คนส่วนใหญ่หลบเลี่ยงและดูแคลน  เธอต้องกล้ำกลืนคำนินทาว่าร้ายและฝืนทนวาจาสบประมาทจากสังคมเพื่อให้ลูกๆ สามารถได้รับการเลี้ยงดูตามปกติ  เมื่อมองจากมุมนี้ แม้เธอจะไม่ได้ใช้ชีวิตตามมาตรฐานที่ว่า “หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” แต่พฤติกรรม แนวทาง และสิ่งที่เธอเสียสละไปนั้นควรค่าแก่การนับถือหรือไม่?  อย่างน้อยเมื่อลูกๆ ของเธอโตขึ้นและเข้าใจความรักที่แม่มีต่อพวกตน พวกเขาก็จะนับถือเธอ และจะไม่ดูถูกหรือหลบเลี่ยงเธอเพราะพฤติกรรมของเธอเป็นแน่  พวกเขากลับจะสำนึกบุญคุณ และคิดว่ามารดาอย่างแม่ของตนนั้นเลอเลิศ  อย่างไรก็ดี ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ย่อมจะไม่เห็นพ้องกับพวกเขา  ตามมุมมองความคิดเห็นของสังคม ซึ่งก็เหมือนกับมุมมองของคำกล่าวที่ว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” ที่มนุษย์ให้การสนับสนุน ไม่ว่าเจ้าจะมองอย่างไร ผู้เป็นแม่นี้ก็ไม่ใช่คนดี เพราะเธอฝ่าฝืนมโนคติดั้งเดิมทางด้านศีลธรรมข้อนี้  ผลก็คือพวกเขาย่อมตีตราว่าการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของเธอมีปัญหา  ฉะนั้นแล้ว เหตุใดความคิดอ่านและทัศนะที่ลูกๆ มีต่อหญิงผู้นี้จึงจะแตกต่างจากทัศนะที่วัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อเธอ?  เพราะลูกๆ ของเธอย่อมจะมองเรื่องนี้ตามมุมมองของการอยู่รอด  ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่แต่งงานใหม่ เธอและลูกๆ ย่อมจะไร้หนทางที่จะอยู่รอด  ถ้าเธอยึดมั่นในมโนคติดั้งเดิม เช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่มีทางที่เธอจะมีชีวิตอยู่—เธอคงจะอดตายไปแล้ว  เธอเลือกที่จะแต่งงานใหม่เพื่อช่วยชีวิตของลูกๆ และของตัวเธอเองให้รอด  เมื่อดูตามบริบทนี้ การที่วัฒนธรรมดั้งเดิมและความเห็นส่วนรวมกล่าวโทษเธอนั้นย่อมผิดอย่างสิ้นเชิงมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่สนใจเลยว่าผู้คนจะเป็นหรือตาย!  ดังนั้น อะไรคือความหมายและคุณค่าของการทำตามมโนคติดั้งเดิมทางด้านศีลธรรมข้อนี้?  อาจกล่าวว่าไม่มีคุณค่าอะไรเลย  นี่คือสิ่งที่ทำร้ายและทำอันตรายผู้คน  ในฐานะเหยื่อของมโนคติอันหลงผิดนี้ ผู้หญิงคนนี้และลูกๆ ของเธอได้ผ่านประสบการณ์กับข้อเท็จจริงนี้โดยตรง แต่ไม่มีใครใส่ใจหรือเห็นใจพวกเธอ  พวกเธอทำอะไรไม่ได้นอกจากกล้ำกลืนความเจ็บปวดของตนลงไป  พวกเจ้าคิดอย่างไร สังคมเช่นนี้เที่ยงธรรมหรือไม่?  ทำไมสังคมและประเทศแบบนี้ถึงชั่วและมืดดำขนาดนี้?  เพราะวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ซาตานปลูกฝังเอาไว้ในตัวมนุษย์ยังคงควบคุมการคิดอ่านของผู้คนและมีอำนาจครอบงำความคิดเห็นส่วนรวม  จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครมองเห็นประเด็นปัญหานี้อย่างชัดแจ้ง  พวกผู้ไม่มีความเชื่อยังคงยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม และคิดไปว่าตนนั้นถูกต้อง  จวบจนวันนี้พวกเขาก็ยังไม่ทิ้งสิ่งเหล่านี้ไป

คราวนี้ เมื่อพวกเราดูคำกล่าวที่ว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” พวกเจ้าย่อมมองเห็นได้ว่าไม่ว่าพวกเราจะมองจากมุมไหน นี่ก็ไม่ใช่คำกล่าวที่เป็นบวก นี่คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ทั้งสิ้น  ทำไมเราถึงกล่าวว่านี่ไม่ใช่คำกล่าวที่เป็นบวก?  (เพราะคำกล่าวนี้ไม่ใช่ความจริง เป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์)  ที่จริงแล้วมีคนน้อยมากที่สามารถทำได้ตามที่วลีนี้ร้องขอ  นี่เป็นเพียงทฤษฎีที่ว่างเปล่าและเป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์เท่านั้น แต่เพราะมันหยั่งรากลงไปในหัวใจของผู้คนแล้ว จึงกลายเป็นความคิดเห็นส่วนรวมอย่างหนึ่งไป และผู้คนมากมายก็ตัดสินเรื่องราวทำนองนี้ตามคำกล่าวนี้  ดังนั้น อะไรคือแก่นแท้ของมุมมองและจุดยืนที่ความเห็นส่วนรวมใช้ตัดสินเรื่องราวทำนองนี้?  ทำไมความคิดเห็นส่วนรวมถึงตัดสินผู้หญิงที่แต่งงานใหม่อย่างเกรี้ยวกราดขนาดนั้น?  ทำไมผู้คนถึงวิพากษ์วิจารณ์คนที่ทำแบบนี้ หลบเลี่ยงและดูแคลนเธอ?  อะไรคือสาเหตุ?  พวกเจ้าไม่เข้าใจใช่ไหม?  พวกเจ้าไม่ชัดแจ้งเวลาพูดถึงข้อเท็จจริง พวกเจ้ารู้แต่เพียงว่านี่ไม่ใช่ความจริงและไม่เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า  เอาละ เราจะบอกพวกเจ้า และเมื่อเราพูดจบ พวกเจ้าก็จะมองเห็นเรื่องแบบนี้ได้อย่างชัดแจ้ง  นี่เป็นเพราะความเห็นส่วนใหญ่ตัดสินหญิงคนนี้จากเรื่องเรื่องเดียวและการกระทำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น—การที่เธอแต่งงานใหม่—แล้วก็นิยามคุณภาพของความเป็นมนุษย์ของเธออย่างคับแคบตามเรื่องเรื่องเดียวนั้น แทนที่จะมองคุณภาพที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์ของเธอ  นั่นไม่เป็นธรรมและไม่ยุติธรรมมิใช่หรือ?  ความเห็นส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าโดยปกติแล้วความเป็นมนุษย์ของหญิงคนดังกล่าวเป็นเช่นไร—เธอเป็นคนชั่วหรือคนใจดีมีเมตตา เธอรักสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่ เธอเคยทำร้ายหรือทำอันตรายผู้อื่นหรือไม่ หรือเป็นหญิงที่ไม่รู้จักสงวนตัวก่อนที่จะแต่งงานใหม่หรือเปล่า  ผู้คนในสังคมและความเห็นส่วนใหญ่ประเมินผู้หญิงคนนี้อย่างครอบคลุมตามสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้วผู้คนในสมัยนั้นประเมินโดยดูจากอะไร?  พวกเขาประเมินตามคำกล่าวที่ว่า “หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน”  ทุกคนคิดว่า “ผู้หญิงควรแต่งงานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น  ต่อให้สามีตาย เธอก็ควรดำรงตนเป็นม่ายไปตลอดชีวิต  ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง  ถ้าเธอยังคงรำลึกถึงสามีอย่างสัตย์ซื่อและไม่แต่งงานใหม่ พวกเราก็จะสร้างอนุสรณ์สถานไว้รำลึกถึงความบริสุทธิ์ของเธอ—พวกเราสร้างได้ถึงสิบแห่งเลย!  ไม่มีใครสนหรอกว่าเธอทนทุกข์ขนาดไหน หรือเธอเลี้ยงลูกๆ ให้เติบใหญ่ยากเย็นอย่างไร  ต่อให้เธอต้องขออาหารไปตามถนนก็ไม่มีใครสนใจ  เธอยังต้องยึดมั่นในคำกล่าวที่ว่า ‘หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน’ อยู่ดี  เมื่อทำเช่นนี้เท่านั้นเธอถึงจะเป็นหญิงดี มีความเป็นมนุษย์และศีลธรรม  ถ้าเธอแต่งงานใหม่ เช่นนั้นแล้วเธอก็จะเป็นหญิงชั่วที่มากชู้”  ความนัยที่แฝงอยู่ในนี้ก็คือหญิงคนหนึ่งจะเป็นคนดี บริสุทธิ์ และสัตย์ซื่อ มีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมและลักษณะนิสัยอันประเสริฐได้ก็ต่อเมื่อเธอไม่แต่งงานใหม่เท่านั้น  ตามแนวคิดเรื่องความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือของวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้น คำกล่าวที่ว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” ได้กลายเป็นหลักการที่ใช้ประเมินผู้คนไปแล้ว  ผู้คนทำเหมือนว่าคำกล่าวนี้คือความจริง และใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินผู้อื่น  นั่นคือแก่นแท้ของเรื่องนี้  เนื่องจากบางคนมีพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐานที่วัฒนธรรมดั้งเดิมระบุเอาไว้ พวกเขาจึงถูกตีตราว่ามีความเป็นมนุษย์ที่ด้อยคุณภาพ มีการประพฤติปฏิบัติที่ด้อยศีลธรรม และมีความเป็นมนุษย์ที่แย่และเลวร้าย  นั่นมีความเป็นธรรมแม้สักนิดหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้วการที่จะเป็นหญิงที่ดี รูปการณ์แวดล้อมต้องเป็นเช่นไร แล้วเจ้าต้องจ่ายราคาเป็นอะไรบ้าง?  ถ้าเจ้าอยากเป็นหญิงที่ดี เจ้าก็ต้องสัตย์ซื่อกับสามีคนเดียวเท่านั้น และถ้าสามีของเจ้าเสียชีวิต เจ้าก็ต้องเป็นม่ายตลอดไป  เจ้ากับลูกๆ ต้องไปขอทานตามถนน สู้ทนการถูกคนอื่นเยาะเย้ย ทุบตี ตะคอกใส่ รังแก และถากถาง  นั่นใช่วิธีที่เหมาะสมในการปฏิบัติต่อผู้หญิงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แต่นั่นก็คือสิ่งที่มนุษย์ทำกัน พวกเขายอมเห็นเจ้าขอทานไปตามถนน ใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีหลังคาคุ้มหัว ไม่รู้ว่าอาหารมื้อต่อไปจะมาจากไหน และจะไม่มีใครใส่ใจ เห็นใจ หรือสนใจเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะมีลูกกี่คนหรือชีวิตของเจ้าจะทุกข์ยากเพียงใด ต่อให้ลูกๆ ของเจ้าอดตาย ก็จะไม่มีใครใส่ใจ  แต่ถ้าเจ้าแต่งงานใหม่ เจ้าก็ไม่ใช่หญิงที่ดี  เจ้าจะถูกกระหน่ำด้วยวาจาหยามหยันและเกลียดชัง และจะเผชิญถ้อยคำหยาบคายและกล่าวโทษไม่น้อยเลย  เจ้าจะพบเจอถ้อยคำสารพัดรูปแบบที่พากันพูดใส่เจ้า และจะมีเพียงลูกๆ ของเจ้าและญาติพี่น้องผองเพื่อนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะพูดจากับเจ้าด้วยความเห็นใจและเกื้อหนุน  เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?  นี่เชื่อมโยงโดยตรงกับการอบรมสั่งสอนและฝึกฝนของวัฒนธรรมดั้งเดิม เป็นผลของคำกล่าวที่ว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” ซึ่งวัฒนธรรมดั้งเดิมให้การสนับสนุน  คนเราสามารถมองเห็นอะไรได้จากเรื่องเหล่านี้?  มีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในคำกล่าวที่ว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน”?  ความเทียมเท็จ ความหน้าซื่อใจคด และความโหดเหี้ยมของมนุษย์  ผู้หญิงคนหนึ่งอาจไม่มีอะไรกิน เธออาจไม่สามารถอยู่รอดต่อไปได้ จวนเจียนจะอดตายอยู่แล้ว และไม่มีใครคิดจะเห็นใจเธอ แต่ทุกคนกลับอยากจะให้เธอรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเองเอาไว้  ผู้คนยอมเห็นเธออดตายและยอมสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อเป็นเกียรติแก่เธอมากกว่าที่จะยอมให้เธอเลือกที่จะอยู่รอด  ในแง่หนึ่ง เรื่องนี้เปิดโปงความดื้อดึงของมวลมนุษย์  อีกแง่หนึ่งก็เปิดโปงความเทียมเท็จและโหดร้ายของมวลมนุษย์  มวลมนุษย์ไม่ได้ให้ความเห็นใจ เข้าใจ หรือความช่วยเหลือแก่กลุ่มเปราะบางหรือผู้ที่สมควรได้รับความเวทนา  นอกจากนั้นมวลมนุษย์ยังซ้ำเติมด้วยการใช้ทฤษฎีและกฎเกณฑ์อันไร้สาระที่ว่า “หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” มากล่าวโทษและผลักให้ผู้คนต้องตาย  นั่นไม่เป็นธรรมกับผู้คน  การทำเช่นนี้ไม่เพียงขัดต่อพระวจนะของพระเจ้าและข้อกำหนดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างมีต่อมวลมนุษย์เท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันยังขัดแย้งกับมาตรฐานด้านมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์เองอีกด้วย  เมื่อเป็นเช่นนี้ มุมมองที่ลูกๆ ของหญิงคนดังกล่าวใช้มองเรื่องนี้เป็นธรรมหรือไม่?  พวกเขาย่อมได้ประโยชน์ที่จับต้องได้จากการสมรสครั้งใหม่ของผู้เป็นมารดาและราคาที่เธอจ่ายไปมิใช่หรือ?  ในแง่ของการกระทำเอง ลูกๆ เคารพและสนับสนุนแม่ของตน แต่การสนับสนุนนั้นมาจากไหน?  มาจากการที่แม่ของพวกเขาเลือกที่จะแต่งงานใหม่เพื่อให้พวกเขาอยู่รอดเท่านั้น เปิดโอกาสให้พวกเขาดำรงชีวิตต่อไป และช่วยให้พวกเขามีชีวิตรอดเท่านั้นเอง  ถ้าแม่ของพวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นเพื่อช่วยให้พวกเขารอดชีวิต พวกเขาย่อมจะไม่เห็นชอบหรือสนับสนุนการตัดสินใจของเธอที่จะแต่งงานใหม่  เพราะฉะนั้น ในฐานะลูกๆ ของเธอแล้ว ทัศนะที่พวกเขามีต่อการแต่งงานใหม่ของแม่ก็ไม่ได้เป็นธรรมอย่างแท้จริง  ไม่ว่าจะทางใด จะมองจากมุมของความเห็นส่วนใหญ่หรือของลูกๆ ของเธอ หนทางที่ผู้คนปฏิบัติต่อผู้เป็นแม่นี้และมาตรฐานที่พวกเขาใช้ประเมินเธอก็ไม่ได้อิงธรรมชาติอันแท้จริงแห่งความเป็นมนุษย์ของเธอ  นั่นคือความผิดพลาดในการที่มนุษย์ปฏิบัติต่อหญิงที่แต่งงานใหม่  จากเรื่องนี้ย่อมเห็นชัดว่าคำกล่าวของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ว่า “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” ไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากซาตาน และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงเลย  มุมมองที่ผู้คนใช้มองสิ่งทั้งปวงและวิธีที่พวกเขาใช้พิจารณาว่าคนคนหนึ่งมีหรือไม่มีศีลธรรมนั้น ไม่ได้อิงความจริงหรือพระวจนะของพระเจ้า กลับอิงทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมและข้อกำหนดที่แนวคิดเรื่องความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือของวัฒนธรรมดั้งเดิมมีต่อมนุษย์  อะไรคือความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ?  แนวคิดเหล่านี้มาจากไหน?  ดูภายนอกก็เหมือนมาจากปราชญ์โบราณและผู้คนที่มีชื่อเสียง แต่ในความเป็นจริงแล้ว แนวคิดเหล่านี้มาจากซาตาน เป็นคำกล่าวนานัปการที่ซาตานกำหนดไว้ใช้ควบคุมและจำกัดพฤติกรรมของผู้คน รวมทั้งวางบรรทัดฐาน ต้นแบบ และแบบแผนให้กับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของผู้คน  อันที่จริงปราชญ์โบราณและผู้คนที่มีชื่อเสียงล้วนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตานและให้การรับใช้ซาตานกันทั้งสิ้น  พวกเขาคือหมู่มารที่ชักพาผู้คนให้หลงผิด  ดังนั้นการบอกว่าแนวคิดเหล่านี้มาจากซาตานจึงเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด

เวลาผู้คนประเมินลักษณะนิสัยทางศีลธรรมของผู้อื่นและดูว่าความเป็นมนุษย์ของคนเหล่านั้นดีหรือเลว พวกเขาประเมินตามคำกล่าวอันโด่งดังจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเท่านั้น พวกเขาให้คำวินิจฉัยและสรุปคุณภาพของความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นโดยดูเพียงว่าคนเหล่านั้นจัดการเรื่องเรื่องหนึ่งอย่างไร  เห็นได้ชัดว่านี่ผิดและไม่ถูกต้อง  ดังนั้นคนเราจะสามารถประเมินอย่างถูกต้อง อิงข้อเท็จจริง และเป็นธรรมได้อย่างไรว่าความเป็นมนุษย์ของใครคนหนึ่งนั้นดีหรือเลว?  หลักธรรมและมาตรฐานสำหรับประเมินคนเหล่านั้นคืออะไร?  กล่าวให้ถูกต้องก็คือ หลักธรรมและมาตรฐานสำหรับการประเมินนี้ต้องเป็นความจริง  พระวจนะของพระผู้สร้างเท่านั้นที่เป็นความจริง และเฉพาะพระวจนะเท่านั้นที่มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ  วาจาของมนุษย์ที่เสื่อมทรามไม่ใช่ความจริง ไม่มีสิทธิอำนาจ และไม่ควรใช้เป็นหลักการหรือหลักธรรมในการประเมินใครๆ  เพราะฉะนั้น วิธีเดียวที่ถูกต้อง อิงข้อเท็จจริง และเป็นธรรมในการประเมินลักษณะนิสัยทางศีลธรรมของผู้คน และประเมินว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาดีหรือเลว ก็คือการใช้พระวจนะของพระผู้สร้างและความจริงเป็นหลักการของตน  “ข้าผู้จงรักภักดีไม่รับใช้กษัตริย์สององค์ หญิงดีย่อมไม่แต่งสามีสองคน” เป็นคำกล่าวอันโด่งดังในหมู่มนุษย์ที่เสื่อมทราม  ต้นกำเนิดของคำกล่าวนี้ไม่ถูกต้อง มันมาจากซาตาน  ถ้าผู้คนวัดคุณภาพของสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นตามคำกล่าวของซาตาน เช่นนั้นแล้วก็แน่นอนว่าข้อสรุปของพวกเขาย่อมจะผิดและไม่เป็นธรรม  ดังนั้นคนเราจะประเมินคุณสมบัติทางศีลธรรมของคนคนหนึ่งอย่างเป็นธรรมและถูกต้องแม่นยำและความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นดีหรือเลวได้อย่างไร?  คนเราต้องประเมินตามเจตนา เป้าหมาย และผลการกระทำของคนคนนั้น รวมทั้งความหมายและคุณค่าของสิ่งที่พวกเขาทำ พลางประเมินตามทัศนะและสิ่งที่พวกเขาเลือกอีกด้วยในเชิงที่ว่าพวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งที่เป็นบวกอย่างไร  เช่นนั้นจึงจะถูกต้องแม่นยำโดยแท้  คนคนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า—เจ้าย่อมมองเห็นได้ว่าตามข้อเท็จจริงแล้ว แม้ผู้ไม่มีความเชื่อบางคนจะไม่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า แต่อย่างไม่อคติแล้วก็มีความเป็นมนุษย์ที่ดีพอใช้ ขนาดที่ว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขามีคุณภาพสูงกว่าคนที่เชื่อในพระเจ้าบางคนด้วยซ้ำ  นี่ก็เหมือนกับการที่คนเคร่งศาสนาบางคนที่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าและเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี กลับคิดจะขอเงินจากคริสตจักรอยู่เสมอเวลาพวกเขาเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิง และโอดครวญกับพี่น้องชายหญิงว่าพวกเขายากจนอยู่เป็นนิจ ขณะเดียวกันก็เก็บงำความละโมบในเงินทองและสิ่งของ  พอพี่น้องชายหญิงมอบเนื้อสัตว์ ผัก ธัญพืช และอื่นๆ ให้ใช้ในช่วงที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพรับรอง พวกเขากลับแอบเก็บของเหล่านั้นไว้ให้ครอบครัวของตนกิน  คนพวกนี้เป็นคนเยี่ยงไร?  ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาดีหรือเลว?  (เลว)  ผู้คนแบบนี้ละโมบ ชอบเอาเปรียบผู้คน และมีลักษณะนิสัยที่ต่ำทราม  ผู้ไม่มีความเชื่อบางคนที่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าโดยตรง กลับเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิง  พวกเขายืนกรานที่จะใช้เงินของตนเองมารับรองพี่น้อง และไม่ยอมรับเงินจากคริสตจักร  ไม่ว่าคริสตจักรจะมอบเงินแก่พวกเขามากเท่าใด พวกเขาก็ไม่ยอมใช้สักสลึงเดียว และไม่นึกอยากได้ไว้เลย—พวกเขาเก็บเงินนั้นไว้ทั้งหมดและมอบคืนแก่คริสตจักรในภายหลัง  เวลาพี่น้องชายหญิงซื้ออะไรให้พวกเขาใช้ยามที่เป็นเจ้าภาพรับรอง พวกเขาก็เก็บของทั้งหมดไว้ให้พี่น้องชายหญิงที่พวกเขารับรองนั้นกินและใช้  ทันทีที่พี่น้องชายหญิงจากไป พวกเขาก็เอาของเหล่านี้ไปเก็บไว้ และนำออกมาอีกเฉพาะในครั้งต่อไปที่มีพี่น้องชายหญิงบางคนมาพักด้วย  ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขามีการแบ่งแยกที่ชัดเจนมาก และพวกเขาก็ไม่เคยเบียดบังสิ่งที่เป็นของคริสตจักร  ใครสอนพวกเขาเรื่องนี้?  ไม่มีใครสอน ดังนั้นพวกเขารู้ได้อย่างไรว่าควรทำอะไร?  แล้วพวกเขาสามารถทำเช่นนี้ได้อย่างไร?  ผู้คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้อย่างนี้ แต่พวกเขากลับทำได้  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  คือความแตกต่างในความเป็นมนุษย์มิใช่หรือ?  ปัญหาคือความแตกต่างทางคุณภาพของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และความแตกต่างทางศีลธรรมของพวกเขา  ในเมื่อมีความแตกต่างทางด้านศีลธรรมระหว่างผู้คนสองจำพวกนี้ แล้วทางด้านท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและสิ่งที่เป็นบวกย่อมมีความแตกต่างด้วยหรือไม่?  (มี)  ระหว่างผู้คนสองจำพวกนี้ จำพวกไหนจะเข้าสู่ความจริงง่ายกว่ากัน?  จำพวกไหนมีแนวโน้มที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่ากัน?  ผู้คนที่มีศีลธรรมอันดีงามย่อมมีแนวโน้มที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่า  พวกเจ้ามองเห็นเป็นเช่นนี้หรือไม่?  พวกเจ้าไม่ได้มองเห็นอย่างนี้ สิ่งที่พวกเจ้าทำมีแต่ทำตามกฎเกณฑ์อย่างมืดบอดเท่านั้น คิดว่าคนเคร่งศาสนาที่รู้วิธีท่องจำคำพูดและคำสอนควรที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้ และผู้ไม่มีความเชื่อที่เพิ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้าและยังท่องจำคำพูดและคำสอนไม่ได้ ย่อมไม่สามารถทำได้  อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามโดยแท้  การที่พวกเจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลายแบบนี้ย่อมผิดและไร้สาระมิใช่หรือ?  เราไม่ได้มองสิ่งทั้งหลายแบบนี้  เวลาเรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน เรามองท่าทีโดยรวมที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามองว่าผู้คนสองจำพวกที่ต่างกันประพฤติตัวอย่างไรเวลารับมือสถานการณ์เดียวกัน และพวกเขาเลือกอะไร  นี่ย่อมทำให้เห็นภาพได้ดีกว่าว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นเช่นไร  สองแนวทางนี้อย่างไหนเป็นธรรมกว่าและอิงข้อเท็จจริงกว่ากัน?  การประเมินคนตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาย่อมเป็นธรรมกว่าการประเมินตามการกระทำภายนอกของพวกเขา  ถ้าคนเราประเมินตามทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม หยิบยกการกระทำของคนในสถานการณ์หนึ่งๆ มาสรุปและใช้ตัดสินพวกเขา นั่นย่อมผิดและไม่เป็นธรรมกับคนคนนั้น  คนเราต้องประเมินให้ถูกต้องแม่นยำตามคุณภาพของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา พฤติกรรมโดยรวม และเส้นทางที่พวกเขาเดิน  นี่เท่านั้นที่ยุติธรรมและสมเหตุสมผล แล้วก็เป็นธรรมกับคนคนนั้นด้วย

คำกล่าวอ้างด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่พวกเรากล่าวถึงในที่นี้และในวันนี้ไม่มีคำใดเลยที่เกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้า และไม่มีคำใดที่ตรงกับความจริง  ไม่ว่าคำกล่าวหนึ่งๆ จะเป็นไปตามจารีตหรือเป็นบวกเพียงใด ก็ไม่สามารถกลายเป็นความจริงได้  คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเกิดจากสิ่งที่วัฒนธรรมดั้งเดิมให้การเชิดชู และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์ไล่ตามเสาะหา  ไม่ว่าผู้คนจะพูดถึงคำกล่าวต่างๆ ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ในทางดีเพียงใด หรือจะใช้ชีวิตตามคำกล่าวเหล่านี้เป็นอย่างดีเพียงใด หรือยึดมั่นในคำกล่าวเหล่านี้อย่างหนักแน่นเพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่าคำกล่าวเหล่านี้คือความจริง  ต่อให้ผู้คนส่วนใหญ่บนแผ่นดินโลกยึดมั่นและเชื่อในสิ่งเหล่านี้ มันก็จะไม่กลายเป็นความจริง—เหมือนกับการที่เรื่องโกหกก็ยังคงเป็นเรื่องโกหกอยู่นั่นเองต่อให้เจ้าเล่าเรื่องนั้นเป็นพันครั้งก็ตาม  เรื่องโกหกจะไม่มีวันกลับกลายเป็นเรื่องจริงได้  เรื่องโกหกคือความเท็จที่สร้างขึ้นซึ่งบรรจุกลอุบายของซาตานเอาไว้ เพราะฉะนั้นเรื่องโกหกเหล่านี้จึงไม่อาจแทนที่ความจริงได้ และยิ่งกลายเป็นความจริงไม่ได้  ในทำนองเดียวกัน ข้อกำหนดต่างๆ ที่ผู้คนหยิบยกขึ้นมาเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมก็ไม่อาจกลายเป็นความจริงได้  ไม่ว่าเจ้าจะยึดมั่นขนาดไหนหรือยึดถือเป็นอย่างดีเพียงใด ทั้งหมดนั้นก็เพียงแต่สะท้อนตัวเจ้าว่าเจ้ามีการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมอันดีงามในสายตาของมนุษย์เท่านั้น—แต่เจ้ามีความเป็นมนุษย์ในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่จำเป็น  ในทางตรงกันข้าม ถ้าเจ้ายึดตามแง่มุมและกฎเกณฑ์ทุกอย่างของแนวคิดเรื่องความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือของวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นอย่างดีและด้วยความตั้งใจยิ่ง เจ้าก็ย่อมจะออกห่างจากความจริงไปไกลมากแล้ว  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะเจ้าย่อมจะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามคำกล่าวอ้างด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ และใช้มันเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  นั่นก็เหมือนการที่เจ้าเอียงคอดูนาฬิกานั่นเอง—มุมมองของเจ้าย่อมจะไม่ถูกต้อง  ผลสุดท้ายในเรื่องนี้ย่อมจะเป็นว่าทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและการกระทำของเจ้าย่อมจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงหรือข้อกำหนดของพระเจ้าเลย และเจ้าย่อมจะห่างไกลจากหนทางของพระเจ้าที่เจ้าพึงเดินตาม—เจ้าอาจเดินสวนทางอยู่ด้วยซ้ำ และกระทำการในลักษณะที่ทำให้เจ้าไปไม่ถึงเป้าหมายเสียเอง  ยิ่งเจ้ายึดมั่นและชื่นชูคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ พระเจ้าก็จะยิ่งรู้สึกรังเกียจเจ้า เจ้าจะยิ่งออกห่างจากพระเจ้าและความจริง และจะยิ่งอยู่ในฝั่งตรงข้ามกับพระเจ้าอีกด้วย  ไม่ว่าเจ้าจะคิดว่าหนึ่งในคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ถูกต้องเพียงใด หรือไม่ว่าเจ้าจะยึดถือมานานเพียงใด นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริง  ไม่ว่าเจ้าจะคิดว่ามาตรฐานทางด้านพฤติกรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นมีข้อใดที่ถูกต้องและสมเหตุสมผลก็ตาม นั่นก็ไม่ใช่ความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวก แน่นอนที่สุดว่านั่นไม่ใช่ความจริง อีกทั้งไม่ตรงกับความจริง  เราขอให้เจ้าเร่งทบทวนตนเองว่า สิ่งที่เจ้ายึดมั่นอยู่นี้มาจากไหน?  การใช้สิ่งนี้เป็นหลักธรรมและมาตรฐานในการประเมินและกำหนดให้ผู้คนทำตามนั้นมีหลักพื้นฐานอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  มีหลักพื้นฐานอยู่ในความจริงหรือไม่?  เจ้าชัดแจ้งหรือไม่ว่าการปฏิบัติตามข้อกำหนดของวัฒนธรรมดั้งเดิมนี้มีผลอย่างไร?  และมีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงหรือไม่?  เมื่อใช้ข้อกำหนดของวัฒนธรรมดั้งเดิมนี้เป็นพื้นฐานแห่งการกระทำของเจ้า และเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า และเมื่อมองว่าข้อกำหนดนี้คือสิ่งที่เป็นบวก เจ้าก็ควรใช้วิจารณญาณแยกแยะและชำแหละว่าเจ้ากำลังขัดแย้งกับความจริง ต้านทานพระเจ้า และละเมิดความจริงอยู่หรือไม่  ถ้าเจ้ายึดมั่นอย่างมืดบอดในทัศนะและคำกล่าวที่วัฒนธรรมดั้งเดิมให้การเชิดชู ผลจากการทำเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร?  ถ้าเจ้าถูกคำกล่าวเหล่านี้ชักพาให้หลงผิดหรือลวงให้หลงเชื่อ เจ้าก็สามารถจินตนาการได้ว่าจุดจบและปลายทางของเจ้าจะเป็นเช่นไร  ถ้าเจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลายจากมุมมองของวัฒนธรรมดั้งเดิม ก็ย่อมจะเป็นการยากที่เจ้าจะยอมรับความจริง  เจ้าจะไม่มีวันสามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงได้  คนที่เข้าใจความจริงควรชำแหละคำกล่าวอ้างและข้อกำหนดนานาประการด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิม  เจ้าควรชำแหละคำกล่าวและข้อกำหนดที่เจ้าชื่นชูที่สุด ยึดมั่นอยู่ตลอดเวลา และใช้เป็นหลักการและหลักเกณฑ์อยู่เสมอในการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ในการวางตัวและกระทำการของเจ้า  จากนั้นเจ้าก็ควรนำสิ่งที่เจ้ายึดมั่นนั้นมาเปรียบเทียบกับพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้า ดูว่าแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมต่อต้านหรือขัดแย้งกับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงหรือไม่  ถ้าเจ้าพบเจอปัญหาเข้าจริงๆ เจ้าก็ต้องชำแหละทันทีว่าแท้จริงแล้วแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมผิดและไร้สาระตรงไหน  เมื่อเจ้าชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ เจ้าก็จะรู้ว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือความเชื่อที่ผิด เจ้าจะมีเส้นทางปฏิบัติ และจะสามารถเลือกเส้นทางที่เจ้าควรเดินได้  จงแสวงหาความจริงด้วยวิธีนี้ แล้วเจ้าจะสามารถปรับปรุงตัวได้  ไม่ว่าสิ่งที่เรียกกันว่าข้อกำหนดและคำกล่าวที่มวลมนุษย์มีต่อลักษณะนิสัยทางด้านศีลธรรมของผู้คนจะมีมาตรฐานเพียงใดหรือสอดคล้องกับรสนิยม ทัศนคติ ความปรารถนาและแม้แต่ผลประโยชน์ของมวลชนมากเพียงใด สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่ความจริง  นี่คือบางสิ่งที่เจ้าต้องเข้าใจ  และเนื่องจากสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความจริง เจ้าจึงควรรีบปฏิเสธและละทิ้งสิ่งเหล่านั้นเสีย  เจ้าต้องชำแหละแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น รวมทั้งผลสืบเนื่องที่มาจากการที่ผู้คนใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านั้นอีกด้วย  แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นสามารถทำให้เจ้ากลับใจได้จริงหรือ?  สิ่งเหล่านั้นสามารถช่วยให้เจ้ารู้จักตนเองได้จริงหรือ?  สามารถทำให้เจ้าใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้จริงหรือ?  สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้ มีแต่จะทำให้เจ้าหน้าซื่อใจคดและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอเท่านั้น  สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าฉลาดแกมโกงและเลวทรามมากขึ้น  มีบางคนกล่าวว่า “ที่ผ่านมา เวลาที่พวกเราปฏิบัติตามแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม พวกเรารู้สึกเหมือนเป็นคนดี  พอคนอื่นเห็นว่าพวกเราประพฤติตัวอย่างไร พวกเขาก็คิดว่าพวกเราเป็นคนดีเช่นกัน  แต่ที่จริงแล้วพวกเรารู้ดีแก่ใจว่าพวกเราสามารถทำความชั่วแบบใดได้บ้าง  การทำความดีเล็กน้อยเป็นเพียงการอำพรางเรื่องนั้นเอาไว้เท่านั้น  แต่ถ้าพวกเราละทิ้งพฤติกรรมอันดีงามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดให้พวกเราทำ แล้วพวกเราควรที่จะทำอะไรแทน?  พฤติกรรมและการแสดงออกเช่นใดที่จะนำพระสิริมาสู่พระเจ้า?”  เจ้าคิดอย่างไรกับคำถามนี้?  พวกเขายังไม่รู้อีกหรือว่าผู้เชื่อในพระเจ้าควรปฏิบัติความจริงอะไรบ้าง?  พระเจ้าทรงแสดงความจริงเอาไว้มากมาย และมีความจริงมากมายที่ผู้คนควรปฏิบัติ  ดังนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ยอมปฏิบัติความจริงและยืนกรานที่จะเป็นคนดีที่เทียมเท็จและคนหน้าซื่อใจคด?  เหตุใดเจ้าจึงเสแสร้ง?  มีบางคนกล่าวว่า “วัฒนธรรมดั้งเดิมมีแง่มุมดีๆ อยู่มากมาย!  เช่น ‘เมตตาให้น้ำหนึ่งหยดควรตอบแทนด้วยน้ำพุอันพรั่งพรู’—นี่เป็นคำกล่าวที่วิเศษ!  นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรปฏิบัติ  พระองค์โยนทิ้งไปเฉยๆ ได้อย่างไร?  แล้วก็ ‘ฉันยอมรับกระสุนแทนเพื่อน’—ช่างภักดีและกล้าหาญ!  การมีเพื่อนแบบนี้ทำให้ชีวิตสูงขึ้น  ยังมีคำกล่าวที่ว่า ‘หนอนไหมแห่งฤดูใบไม้ผลิถักทอจนตัวตาย ส่วนเทียนไขก็มอดไหม้จนน้ำตาเทียนเหือดแห้ง’  คำกล่าวนี้ลุ่มลึกและรุ่มรวยวัฒนธรรมอย่างยิ่ง!  ถ้าพระองค์ไม่ยอมให้พวกเราใช้ชีวิตตามคำกล่าวเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเราควรใช้อะไรเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต?”  ถ้าเจ้าคิดแบบนี้ เช่นนั้นแล้วเวลาหลายปีที่เจ้าฟังคำเทศนามาก็สูญเปล่าทั้งสิ้น  เจ้าไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าอย่างน้อยที่สุดคนเราต้องวางตัวด้วยการใช้ชีวิตตามมาตรฐานของมโนธรรมและเหตุผล  เจ้ายังไม่ได้รับความจริงแม้แต่น้อย และใช้ชีวิตในช่วงหลายปีมานี้อย่างสูญเปล่า

กล่าวสั้นๆ ก็คือ แม้พวกเราจะไล่กล่าวถึงคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่เป้าหมายที่ทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพียงเพื่อที่จะบอกพวกเจ้าว่าทั้งหมดนี้คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน เป็นสิ่งที่มาจากซาตาน และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น  นี่เป็นไปเพื่อทำให้พวกเจ้าเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าแก่นแท้ของสิ่งเหล่านี้เทียมเท็จ ปลอมแปลง และหลอกลวง  ต่อให้ผู้คนมีพฤติกรรมเหล่านี้ก็ไม่ได้หมายความแต่อย่างใดว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ตรงกันข้ามพวกเขากำลังใช้พฤติกรรมเทียมเท็จเหล่านี้มาปกปิดเจตนาและเป้าหมายของตน ปิดบังอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และแก่นแท้ธรรมชาติของตน  ผลก็คือผู้คนเสแสร้งและลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อเก่งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยังผลให้พวกเขายิ่งเสื่อมทรามและชั่วมากขึ้นอีก  มาตรฐานทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มนุษยชาติอันเสื่อมทรามยึดถืออยู่นั้นเข้ากันไม่ได้กับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง และไม่สอดคล้องกับพระวจนะใดๆ ที่พระเจ้าใช้สอนผู้คน ไม่มีความเชื่อมโยงกันแต่อย่างใด  หากเจ้ายังคงยึดมั่นในแง่มุมต่างๆ ของวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมถูกชักพาให้หลงผิดและถูกพิษเข้าไปทั้งตัวแล้ว  ถ้ามีเรื่องใดที่เจ้ายึดถือตามวัฒนธรรมดั้งเดิมและปฏิบัติตามหลักการและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังเป็นกบฏต่อพระเจ้า ละเมิดความจริง และเดินสวนทางกับพระเจ้าในเรื่องนั้น  หากเจ้ายึดมั่นและมุ่งที่จะทำตามคำกล่าวอ้างเหล่านี้ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมไม่ว่าจะในข้อใด และถือเป็นหลักเกณฑ์หรือหลักการที่เจ้าใช้มองผู้คนหรือสิ่งทั้งหลาย เช่นนั้นแล้วนั่นก็คือจุดที่เจ้าผิดพลาด และถ้าเจ้าตัดสินหรือทำร้ายผู้คนไปถึงระดับหนึ่ง เจ้าก็ย่อมจะทำบาปไปแล้ว  หากเจ้ายืนกรานอยู่เสมอที่จะใช้มาตรฐานทางศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นเครื่องประเมินทุกคน เช่นนั้นแล้วจำนวนผู้คนที่เจ้าได้กล่าวโทษและให้ร้ายก็จะทวีคูณไปเรื่อยๆ และเจ้าก็จะกล่าวโทษและต้านทานพระเจ้าอย่างแน่นอน แล้วจากนั้นเจ้าก็ย่อมจะเป็นคนบาปมหันต์  พวกเจ้ามองเห็นมิใช่หรือว่ามนุษย์ทั้งมวลนั้นชั่วขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การอบรมสั่งสอนและฝึกฝนของวัฒนธรรมดั้งเดิม?  โลกกำลังมืดลงมิใช่หรือ?  ยิ่งใครบางคนเป็นพวกของซาตานและหมู่มาร พวกเขาก็ยิ่งเป็นที่เคารพบูชา ยิ่งใครปฏิบัติความจริง เป็นพยานให้พระเจ้า และทำให้พระเจ้าพอพระทัย พวกเขาก็ยิ่งถูกปราบปราม ผลักไส กล่าวโทษ หรือถึงกับถูกประหารด้วยการตรึงกางเขน  นี่คือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  ต่อไปภายหน้า พวกเจ้าควรสามัคคีธรรมบ่อยๆ ถึงเรื่องที่พวกเราสามัคคีธรรมกันมาในที่นี้และในวันนี้  ถ้าสามัคคีธรรมแล้วมีเรื่องที่พวกเจ้าไม่เข้าใจ เช่นนั้นแล้วก็จงพักเรื่องนั้นๆ ไว้ก่อนและสามัคคีธรรมส่วนที่เจ้าสามารถรับมือได้จนกว่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องดังกล่าว  จงสามัคคีธรรมถ้อยคำเหล่านี้จนชัดแจ้งอย่างแท้จริงและพวกเจ้าเองก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ เมื่อนั้นเจ้าจึงจะสามารถปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงได้อย่างถูกต้องแม่นยำ  เมื่อพวกเจ้าสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าคำกล่าวใดหรือสิ่งใดเป็นความจริงบ้าง หรือเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมและไม่ใช่ความจริง เมื่อนั้นพวกเจ้าก็จะมีเส้นทางที่จะใช้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงมากขึ้น  ในที่สุดเมื่อพวกเจ้าสามารถเข้าใจความจริงทุกข้อที่พวกเจ้าพึงปฏิบัติผ่านทางการสามัคคีธรรม และพวกเจ้าก็มีฉันทามติแล้ว เมื่อพวกเจ้ามีทัศนะและความเข้าใจที่คงเส้นคงวา เมื่อพวกเจ้ารู้ว่าอะไรเป็นบวกและอะไรเป็นลบ สิ่งใดมาจากพระเจ้าและสิ่งใดมาจากซาตาน และพวกเจ้าก็สามัคคีธรรมหัวข้อดังกล่าวจนพวกเจ้าชัดเจนและแจ่มแจ้งในเรื่องเหล่านี้ เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเจ้าย่อมจะเข้าใจความจริงแล้ว  จากนั้นก็จงเลือกหลักธรรมความจริงที่พวกเจ้าควรปฏิบัติ  เมื่อทำเช่นนี้ พวกเจ้าจึงจะมีมาตรฐานทางด้านพฤติกรรมตามที่พระเจ้าทรงวางไว้ และอย่างน้อยที่สุดพวกเจ้าก็จะมีสภาพเสมือนมนุษย์อยู่บ้าง  ถ้าเจ้าสามารถเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้อย่างครบถ้วน  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์

5 มีนาคม ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (4)

ถัดไป: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (6)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger