การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (4)

พวกเรามาเริ่มกันด้วยการทบทวนสิ่งที่สามัคคีธรรมกันไว้ในการชุมนุมครั้งที่แล้วเถิด  (ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อ “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร”  ตอนแรกพวกเราเจาะจงไปที่คำถามว่า “ในเมื่อสิ่งที่ผู้คนยึดถือว่าดีงามและถูกต้องไม่ใช่ความจริง ทำไมผู้คนถึงยังยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้นเหมือนว่าเป็นความจริงและคิดไปว่าเมื่อทำเช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่?”  พระองค์ให้เหตุผลในเรื่องนี้ไว้สามข้อ  ส่วนใหญ่แล้วพระองค์ตรัสถึงเหตุผลข้อแรกที่บอกว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่ผู้คนยึดถือว่าดีงามและถูกต้องตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขามีอะไรบ้าง)  ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมถึงเหตุผลข้อแรกเป็นส่วนใหญ่  พวกเราพูดถึงสิ่งที่ผู้คนยึดถือว่าดีงามและถูกต้องตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา และพวกเราก็แบ่งสิ่งเหล่านั้นออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ประเภทแรกได้แก่ “พฤติกรรมอันดีงาม” ประเภทที่สองคือ “การประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรม”  โดยรวมแล้วเรายกตัวอย่าง “พฤติกรรมอันดีงาม” ซึ่งเป็นประเภทแรกไปหกอย่างคือ ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิต และคุยด้วยง่าย  พวกเรายังไม่ได้สามัคคีธรรมถึงประเภทที่สอง “การประพฤติปฏิบัติอันดีงามทางศีลธรรม”  มีปัญหาบางอย่างที่พวกเราต้องทบทวนกันนิดหน่อยหลังสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านั้นไปแล้ว อธิบายความจริงและหลักธรรมต่างๆ ในสามัคคีธรรมนั้นให้เรียบง่ายและกระจ่าง ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเข้าใจง่าย  การทำเช่นนี้ย่อมจะทำให้พวกเจ้าเข้าใจความจริงง่ายขึ้น สามัคคีธรรมครั้งที่แล้วของพวกเราจึงประกอบด้วยเรื่องใหญ่ๆ บางเรื่อง รวมทั้งตัวอย่างที่เฉพาะเจาะจงบางอย่าง  ดูเหมือนจะมีอะไรอยู่มาก แต่แท้จริงแล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงรายละเอียดบางเรื่องในหัวข้อใหญ่ๆ เหล่านั้นเท่านั้น แล้วพวกเราก็แยกย่อยรายละเอียดเหล่านั้นลงไปอีก เพื่อให้สามัคคีธรรมดังกล่าวกระจ่างขึ้นและชัดเจนขึ้นอีกนิด  พวกเรายกตัวอย่างพฤติกรรมอันดีงามไว้หกอย่าง แต่ไม่ได้สามัคคีธรรมในรายละเอียดไปทีละตัวอย่าง  ในบรรดาตัวอย่างเหล่านั้น การผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเป็นตัวอย่างที่พบได้ทั่วไปของสิ่งที่ผู้คนยึดถือกันว่าถูกต้องและดีงามตามมโนคติอันหลงผิดของตน  พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงตัวอย่างนี้เพิ่มเติมกันอีกนิดหน่อย  ส่วนที่เหลือก็คล้ายกับเรื่องนี้ พวกเจ้าจึงสามารถชำแหละและแยกแยะเรื่องเหล่านั้นได้โดยใช้วิธีการเดียวกัน

ก่อนที่พวกเราจะเข้าสู่เนื้อหาจริงๆ ของสามัคคีธรรมในวันนี้ เราจะเล่าเรื่องราวสั้นๆ ให้พวกเจ้าฟังสักสองเรื่อง  พวกเจ้าชอบฟังเรื่องเล่าไหม?  (ชอบ)  การฟังเรื่องเล่าไม่ค่อยเหน็ดเหนื่อยและไม่ต้องจดจ่อเท่าใดนัก  เมื่อเทียบกันแล้วก็ไม่ค่อยกินแรงและออกจะน่าสนใจอยู่มาก  ดังนั้นจงตั้งใจฟังเถิด แล้วระหว่างที่พวกเจ้าฟังเนื้อเรื่องเหล่านี้ ก็จงพิจารณาไปด้วยว่าทำไมเราถึงเล่าเรื่องเหล่านี้—แนวคิดหลักๆ ที่เฉพาะเจาะจงในเรื่องเหล่านี้มีอะไรบ้าง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้คนสามารถได้รับอะไรที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงจากการรับฟังเรื่องเหล่านี้บ้าง  เอาละ—มาเริ่มเรื่องของพวกเรากันเถิด  นี่เป็นเรื่องราวของเสี่ยวเซี่ยวและเสี่ยวจี๋

เรื่องราวของเสี่ยวเซี่ยวและเสี่ยวจี๋

เสี่ยวเซี่ยวรู้สึกเจ็บตาทั้งสองข้างมาระยะหนึ่งแล้ว มีอาการมองเห็นไม่ชัด แพ้แสง เจอลมก็น้ำตาไหล รู้สึกว่ามีอะไรเข้าตา รวมทั้งอาการอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  เขาจะขยี้ตา แต่ก็ไม่ช่วยอะไรนัก  เสี่ยวเซี่ยวไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับตน  เขาคิดว่า “ฉันไม่เคยมีปัญหาเรื่องดวงตามาก่อน การมองเห็นก็ดี  แล้วเกิดอะไรขึ้น?”  เมื่อเขาส่องกระจก ดวงตาของเขาก็ดูเหมือนเดิมดี—แค่แดงกว่าเดิมนิดๆ และบางครั้งก็กลัดเลือดหน่อยๆ  นี่เป็นเรื่องที่น่างุนงงสำหรับเสี่ยวเซี่ยว และทำให้ไม่สบายใจอยู่บ้าง  ตอนที่เริ่มมีอาการ เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก แต่พออาการของเขาเริ่มเป็นถี่ขึ้น ในที่สุดเขาก็รับสภาพไม่ได้อีกต่อไป  เขาครุ่นคิดเรื่องนี้ว่า “ฉันควรไปหาหมอหรือควรจะพยายามหาข้อมูลเอง?  การหาข้อมูลเรื่องนี้น่าจะยุ่งยาก และฉันอาจวินิจฉัยผิดว่าปัญหาจริงคืออะไร  ฉันตรงไปหาหมอเลยดีกว่า หมอย่อมจะวินิจฉัยโรคถูกต้องแน่นอน”  ดังนั้นเสี่ยวเซี่ยวจึงไปหาหมอ  หมอตรวจแล้วไม่พบปัญหาร้ายแรงอะไร  เขาจึงจ่ายยาหยอดตาทั่วไปบางตัวมาให้และแนะให้เสี่ยวเซี่ยวดูแลดวงตาตัวเอง อย่าใช้สายตามากเกินไป  เสี่ยวเซี่ยวโล่งใจมากที่รู้ว่าดวงตาของเขาไม่ได้มีปัญหาร้ายแรง  พอกลับถึงบ้าน เสี่ยวเซี่ยวก็หยอดตาทุกวัน ตามเวลาและปริมาณที่หมอสั่ง แล้วภายในเวลาไม่กี่วัน อาการของเขาก็ดีขึ้น  เสี่ยวเซี่ยวรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขารู้สึกว่าถ้ายารักษาอาการได้ ปัญหาก็น่าจะไม่ร้ายแรง  แต่ความรู้สึกเช่นนั้นก็ไม่ยืนยาว ผ่านไปไม่นานอาการของเขาก็กลับมา  เสี่ยวเซี่ยวจึงเพิ่มปริมาณยาหยอดตา แล้วดวงตาของเขาก็รู้สึกดีขึ้นหน่อย อาการของเขาทุเลาลงบ้าง  แต่ไม่กี่วันต่อมา ดวงตาของเขาก็กลับมาเป็นอย่างเดิม อาการแย่ลงและเป็นบ่อยขึ้น  เสี่ยวเซี่ยวไม่สามารถเข้าใจได้ เขารู้สึกว่ามีคลื่นความทุกข์โถมเข้าหาเขาอีกระลอกพลางคิดว่า “ฉันควรทำอย่างไร?  ยาที่หมอให้มาใช้ไม่ได้ผล  นี่หมายความว่าดวงตาของฉันมีอะไรผิดปกติร้ายแรงหรือเปล่า?  เรื่องนี้ฉันจะปล่อยผ่านไม่ได้”  เขาตัดสินใจไม่ไปหาหมออีกหรือปรึกษาหมอถึงปัญหาเรื่องดวงตาในครั้งนี้  แต่เลือกที่จะแก้ปัญหาเอาเอง  เขาเข้าอินเทอร์เน็ตและพบเจอวิดีโอรวมทั้งข้อมูลสารพัดชนิดเกี่ยวกับอาการของเขา  ส่วนใหญ่ระบุว่าปัญหาเหล่านี้เกิดจากการใช้ดวงตาอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม เขาจำเป็นต้องดูแลดวงตาของตน และเรื่องที่สำคัญยิ่งขึ้นไปอีกก็คือเขาต้องใช้ดวงตาอย่างถูกต้องเหมาะสม  เสี่ยวเซี่ยวรู้สึกว่าคำแนะนำนี้ไม่ช่วยอะไร แก้ปัญหาให้เขาไม่ได้  ดังนั้นเขาจึงค้นข้อมูลต่อ  วันหนึ่งเขาเจอแหล่งข้อมูลที่บอกว่าอาการของเขาอาจเกิดจากการมีเลือดออกที่จอประสาทตา ซึ่งอาจเป็นอาการบ่งชี้ของต้อหินก็เป็นได้  แล้วก็เป็นไปได้ด้วยว่านานไปอาการของเขาอาจกลายเป็นต้อกระจกได้  เมื่อเสี่ยวเซี่ยวอ่านคำว่า “ต้อหิน” และ “ต้อกระจก” สมองของเขาก็อึงอลไปหมด  ทุกอย่างมืดตื้อและเขาก็เกือบจะหมดสติ หัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ในอก  “โอ พระเจ้า เกิดอะไรขึ้น?  ฉันกำลังจะเป็นต้อหินกับต้อกระจกจริงๆ หรือ?  เคยได้ยินว่าเป็นต้อกระจกต้องผ่าตัด และถ้าเป็นต้อหินก็อาจจะตาบอดได้!  นั่นก็จะกลายเป็นจุดจบของฉันไม่ใช่หรือ?  ฉันอายุยังน้อย—ถ้าตาบอด แล้วฉันที่เป็นคนตาบอดจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร?  จากนั้นไปฉันจะมีอะไรให้มุ่งหวังอีก?  ฉันจะไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดหรอกหรือ?”  เมื่อเสี่ยวเซี่ยวมองดูคำว่า “ต้อหิน” และ “ต้อกระจก” บนหน้าที่แสดงเนื้อหานั้น เขาก็ไม่อาจนั่งนิ่งได้อีกแล้ว  เขากลัดกลุ้ม และดำดิ่งอยู่ในความสลดและหดหู่มากขึ้น  เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรหรือจะเผชิญวันข้างหน้าอย่างไร  เขามีแต่ความเศร้าและทุกสิ่งตรงหน้าก็พร่ามัว  เสี่ยวเซี่ยวหมดอาลัยตายอยากอย่างสิ้นเชิงเมื่อเผชิญปัญหานี้  เขาหมดความสนใจที่จะใช้ชีวิต และไม่สามารถรวบรวมเรี่ยวแรงมาปฏิบัติหน้าที่ของตน  เขาไม่อยากกลับไปหาหมอหรือเอ่ยถึงปัญหาเรื่องดวงตาของเขากับใครอื่น  แน่นอนว่าเขากลัวผู้คนจะรู้ว่าเขากำลังจะเป็นต้อหินหรือต้อกระจก  แล้วเสี่ยวเซี่ยวก็ปล่อยให้เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าด้วยความหดหู่ คิดลบ และสับสนอยู่อย่างนั้นนั่นเอง  เขาไม่กล้าคาดการณ์หรือวางแผนให้กับอนาคตของตน เพราะสำหรับเขาแล้ว อนาคตคือเรื่องเลวร้ายที่ชวนให้หัวใจสลาย  เขาใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยความสลดและหดหู่ อยู่ในอารมณ์ที่ย่ำแย่  เขาไม่อยากอธิษฐานหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้า และแน่นอนว่าเขาไม่อยากพูดจากับคนอื่น  เหมือนเขากลายเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง  ผ่านไปเช่นนี้ไม่กี่วัน เสี่ยวเซี่ยวก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า “ดูเหมือนฉันตกอยู่ในภาวะที่น่าสมเพชนี้เสียแล้ว  ในเมื่ออนาคตของฉันมืดมนและพระเจ้าก็ปล่อยให้ฉันเป็นโรคนี้ แทนที่จะคุ้มครองฉัน ฉันควรจะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดต่อไปเพื่ออะไร?  ชีวิตสั้นนัก ทำไมฉันไม่ใช้โอกาสตอนที่สายตายังดีอยู่ ทำอะไรบางอย่างที่ฉันชอบและให้รางวัลตัวเอง?  ทำไมชีวิตของฉันถึงเหนื่อยยากขนาดนี้?  ทำไมฉันถึงทำร้ายตัวเองและทำไม่ดีกับตัวเองแบบนี้?”  ด้วยเหตุนั้น เวลาที่เสี่ยวเซี่ยวไม่ได้นอน กิน หรือทำงาน เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ท่องอินเทอร์เน็ต เล่นเกม ดูวิดีโอ ดูรายการต่างๆ ติดต่อกันรวดเดียว และพอออกไปข้างนอก เขาก็ถึงขั้นเอาโทรศัพท์มือถือติดตัวไปเล่นเกมไม่หยุด  เขาใช้เวลาขลุกอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตทุกวี่วัน  โดยธรรมชาติแล้วพอเขาทำอย่างนั้น ก็จะยิ่งเจ็บตามากขึ้นทุกที แล้วอาการของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้นด้วย  เมื่อเขาทนรับอาการไม่ไหวอีกแล้ว เขาก็ค่อยใช้ยาหยอดตาบางตัวบรรเทาอาการของตน แล้วพออาการดีขึ้นหน่อย เขาก็จะหมกตัวอยู่กับอินเทอร์เน็ตใหม่ ดูอะไรต่ออะไรที่เขาชอบ  นี่คือวิธีที่เขาใช้บรรเทาความกลัวและความหวาดหวั่นที่อยู่ลึกลงไปในหัวใจของตน และเป็นวิธีฆ่าเวลาของเขา เพื่อให้ผ่านพ้นไปวันๆ  เมื่อใดก็ตามที่เขาเจ็บตาและอาการแย่ลง เสี่ยวเซี่ยวจะมองดูผู้คนรอบๆ โดยไม่ทันรู้ตัวและคิดว่า “คนอื่นก็ใช้ดวงตาของพวกเขาเหมือนฉัน  ทำไมดวงตาของพวกเขาไม่แดง ไม่มีน้ำตาตลอดเวลา และไม่รู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ในดวงตากันบ้าง?  ทำไมฉันถึงเป็นโรคนี้อยู่คนเดียว?  แบบนี้พระเจ้าก็เลือกที่รักมักที่ชังไม่ใช่หรือ?  ฉันสละตัวเองเพื่อพระเจ้าไปมากมาย ทำไมพระองค์ถึงไม่คุ้มครองฉัน?  พระเจ้าไม่ยุติธรรมเลย!  ทำไมคนอื่นถึงโชคดีพอที่จะได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้า แต่ฉันกลับโชคดีอย่างนั้นบ้างไม่ได้?  ทำไมโชคร้ายทั้งหมดถึงมาตกอยู่ที่ฉันตลอด?”  ยิ่งเสี่ยวเซี่ยวคิด เขาก็ยิ่งโมโหและขุ่นใจ แล้วยิ่งเขาโมโห เขาก็ยิ่งอยากจะใช้ความบันเทิงทางออนไลน์และงานอดิเรกต่างๆ มาปัดเป่าความขมขื่นและความโกรธของตนให้หมดไป  เขาอยากหายจากโรคตาของตนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ยิ่งเขาอยากขจัดความขมขื่นและความโกรธของตน ความชื่นบานและความสุขของเขาก็ยิ่งลดลง แล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกโชคร้ายเข้าไปใหญ่ไม่ว่าจะขลุกอยู่กับอินเทอร์เน็ตมากเท่าใดก็ตาม  เขาพร่ำบ่นอยู่ในหัวใจของตนว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม  แล้ววันเวลาก็ล่วงเลยไปแบบนี้วันแล้ววันเล่า  ปัญหาเรื่องดวงตาของเสี่ยวเซี่ยวไม่ดีขึ้นเลย อารมณ์ของเขาก็ยิ่งขุ่นมัวลงเรื่อยๆ  ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ เสี่ยวเซี่ยวยิ่งรู้สึกอับจนและโชคร้ายมากขึ้นอีก  ชีวิตของเสี่ยวเซี่ยวดำเนินไปเช่นนี้  ไม่มีใครช่วยเขาได้ และเขาก็ไม่แสวงหาความช่วยเหลือ  เขาแค่ผ่านพ้นแต่ละวันไปในม่านหมอก หดหู่ และสิ้นไร้หนทาง

นั่นคือเรื่องราวของเสี่ยวเซี่ยว  พวกเราจะจบเรื่องนี้ไว้เท่านี้  ต่อไปก็เป็นเรื่องราวของเสี่ยวจี๋

ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของเขา เสี่ยวจี๋ก็เจอปัญหาแบบเดียวกับเสี่ยวเซี่ยว  สายตาของเขาพร่าเลือน เขามักจะรู้สึกว่าตาบวมและเจ็บตา  พร้อมกันนั้นก็รู้สึกอยู่เนืองๆ ว่ามีอะไรบางอย่างเข้าตา และพอขยี้ตา ดวงตาของเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด  เขาคิดว่า “นี่เกิดอะไรขึ้น?  สายตาของฉันเคยดีมาก ฉันไม่เคยไปหาหมอตาเลย  แล้วหมู่นี้ดวงตาเป็นอะไรไป?  เป็นไปได้ไหมว่าดวงตาของฉันมีปัญหา?”  เมื่อเขาส่องกระจก ดวงตาของเขาก็ไม่ได้ดูต่างไปจากเดิม  เขาเพียงแต่รู้สึกแสบตาทั้งสองข้าง แล้วพอกะพริบตาแรงๆ ก็ถึงกับรู้สึกว่าดวงตายิ่งเจ็บและยิ่งบวม แล้วก็เริ่มมีน้ำตา  เสี่ยวจี๋รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับดวงตาของตน แล้วก็คิดไปว่า “ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาเป็นเรื่องใหญ่  ฉันไม่ควรเพิกเฉย  ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้น แล้วปัญหาก็ไม่ได้ส่งผลกับชีวิตหรือหน้าที่ของฉัน ช่วงหลังนี้งานของคริสตจักรก็ยุ่งมาก การไปพบหมอย่อมจะส่งผลต่อหน้าที่ของฉัน  พอมีเวลาว่าง ฉันจะค้นข้อมูลดูก็แล้วกัน”  เมื่อตัดสินใจดังนี้แล้ว พอว่างจากหน้าที่ของตน เสี่ยวจี๋ก็ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องและเรียนรู้ว่าดวงตาของเขาไม่ได้มีปัญหาร้ายแรงอะไร—อาการของเขาเกิดจากการใช้ดวงตามากเกินไปเป็นระยะเวลานานๆ  หากใช้สายตาอย่างถูกต้อง ดูแลให้เหมาะสม และบริหารดวงตาบ้างตามสมควร ดวงตาของเขาก็จะกลับมาเป็นปกติ  เมื่อได้อ่านดังนั้น เสี่ยวจี๋ก็มีความสุขมากพลางคิดว่า “นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ จึงไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเกินเหตุ  แหล่งข้อมูลนี้บอกว่าฉันต้องใช้สายตาให้เหมาะสมและบริหารดวงตาให้ถูกต้อง—เพราะฉะนั้น ฉันก็จะค้นดูวิธีใช้สายตาอย่างเหมาะสมและดูว่าตัวเองควรบริหารดวงตาอย่างไรบ้างถึงจะทำให้ดวงตากลับมาเป็นปกติก็พอ”  จากนั้นเขาก็ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม และจากข้อมูลตรงนั้น เขาก็เลือกวิธีการและแนวทางบางอย่างที่เหมาะกับสถานการณ์ของเขา  แต่นั้นมา นอกจากจะใช้ชีวิตตามปกติและปฏิบัติหน้าที่ของเขาแล้ว เสี่ยวจี๋ก็มีงานใหม่คืองานดูแลดวงตาของตัวเอง  เขาฝึกดูแลดวงตาทุกวันด้วยวิธีทั้งหลายที่เรียนรู้มา  ขณะที่เขาลองทำตามวิธีเหล่านั้น เขาก็ใช้ความรู้สึกไปด้วยว่าวิธีเหล่านั้นช่วยบรรเทาอาการที่ดวงตาของเขาเป็นหรือไม่  หลังจากทดสอบและทดลองวิธีเหล่านั้นอยู่ระยะหนึ่ง เสี่ยวจี๋ก็รู้สึกว่าวิธีการบางอย่างใช้ได้ผล ขณะที่วิธีอื่นๆ นั้นดีแต่ในทางทฤษฎี ไม่ใช่ในทางปฏิบัติ—อย่างน้อยก็แก้ปัญหาให้เขาไม่ได้  ดังนั้นเสี่ยวจี๋จึงเลือกใช้แนวทางและวิธีดูแลสุขภาพดวงตาที่ได้ผลกับเขาอยู่ไม่กี่อย่างตามผลการตรวจสอบในช่วงแรกเริ่มนั้น  เขาฝึกฝนการใช้สายตาและการดูแลดวงตาอย่างเหมาะสมทุกวันเมื่อใดก็ตามที่การทำเช่นนั้นจะไม่ทำให้หน้าที่ของเขาช้าลง  ผ่านไประยะหนึ่ง ดวงตาของเสี่ยวจี๋ก็รู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างแท้จริง อาการต่างๆ ที่เคยเป็น—ตาแดง เจ็บตา แสบตา และอื่นๆ—เริ่มหายไปอย่างช้าๆ และเป็นแบบเว้นระยะห่างออกไปทุกที  เสี่ยวจี๋รู้สึกโชคดีมากและคิดว่า “ขอคำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้าสำหรับการทรงนำของพระองค์  นี่คือพระคุณและการชี้แนะของพระองค์”  แม้ดวงตาของเขาจะมีปัญหาน้อยลงและอาการของเขาก็ไม่ค่อยรุนแรงแล้ว แต่เสี่ยวจี๋ก็ยังคงฝึกวิธีดูแลดวงตาและฝึกใช้สายตาของเขาอย่างถูกต้องต่อไป ไม่ได้ปล่อยปละละเลย  ผ่านไปสักพัก ดวงตาของเขาก็กลับมาเป็นปกติโดยสมบูรณ์  จากประสบการณ์ครั้งนี้ เสี่ยวจี๋จึงได้เรียนรู้วิธีการบางอย่างในการรักษาสุขภาพดวงตาของตนให้ดี และยังได้เรียนรู้วิธีใช้สายตาและใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง  เขาได้เพิ่มความรู้เชิงบวกที่มีสามัญสำนึกให้กับคลังชีวิตของตน  เสี่ยวจี๋มีความสุขมาก  เขารู้สึกว่าแม้ตัวเองจะพบเจออะไรที่ขึ้นๆ ลงๆ บ้างและมีประสบการณ์บางอย่างที่ต่างไปจากปกติ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้รับประสบการณ์ชีวิตบางอย่างที่ล้ำค่าจากเรื่องนี้  เมื่อใดก็ตามที่คนรอบตัวเขาพูดว่าปวดตา ตาบวมและเจ็บ เสี่ยวจี๋จะเล่าประสบการณ์ของตนให้พวกเขาฟังอย่างตรงไปตรงมา รวมทั้งแนวทางและวิธีการที่เขาเคยใช้  ด้วยความช่วยเหลือจากเสี่ยวจี๋ คนที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับดวงตาด้วยอาการต่างๆ ก็พลอยได้เรียนรู้แนวทางและวิธีใช้สายตาของตนอย่างถูกต้องไปด้วย รวมทั้งวิธีดูแลดวงตาของตนให้มีสุขภาพดี  เสี่ยวจี๋เองก็สุขใจ และช่วยเหลือผู้คนรอบตัวเขาได้มาก  ดังนั้น ในช่วงเวลานั้น เสี่ยวจี๋และคนอื่นๆ จึงได้ความรู้บางอย่างในเชิงสามัญสำนึกที่ผู้คนพึงมีในชีวิตของตนในฐานะมนุษย์  ทุกคนทำงานและปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยกันอย่างมีความสุขและชื่นบาน  เสี่ยวจี๋ไม่ได้ตกอยู่ในความคิดลบหรือความอับจนหนทางเพราะปัญหาเรื่องดวงตาของเขา และเขาก็ไม่เคยพร่ำบ่นว่าตนโชคไม่ดี  แม้เขาจะมองเห็นคำกล่าวอ้างที่น่าตกใจตอนค้นหาข้อมูลดังที่เสี่ยวเซี่ยวเจอ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก  เขากลับแก้ไขปัญหาของตนอย่างแข็งขันและถูกต้องเหมาะสม  เมื่อเรื่องเดียวกันนั้นเกิดขึ้นกับเสี่ยวเซี่ยว เขากลับตกอยู่ภายใต้ความซึมเศร้า ความอับจนหนทาง และความสับสนครั้งแล้วครั้งเล่า  ส่วนเสี่ยวจี๋นั้นไม่เพียงหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในอาการซึมเศร้าและสับสนเท่านั้น เขาไม่มัวจมอยู่กับการขุ่นเคืองพระเจ้าอีกด้วย—แล้วจากเหตุการณ์เหล่านี้ ท่าทีที่เขามีต่อชีวิตกลับเป็นบวก แข็งขัน และเป็นประโยชน์มากขึ้นด้วยซ้ำ  เขาช่วยเหลือตนเอง และเขาก็ช่วยเหลือผู้อื่น

ทั้งหมดนั้นคือเรื่องราวของเสี่ยวเซี่ยวและเสี่ยวจี๋  คราวนี้พวกเจ้าก็ได้ฟังเรื่องของทั้งสองคนไปแล้ว  พวกเจ้าเข้าใจเรื่องที่เล่าไปไหม?  พวกเจ้าชอบคนไหน เสี่ยวเซี่ยวหรือว่าเสี่ยวจี๋?  (เสี่ยวจี๋)  เพราะฉะนั้นเสี่ยวเซี่ยวมีอะไรไม่ดี?  (เวลาสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับเขา เขาไม่สามารถเผชิญหน้าสิ่งเหล่านั้นอย่างถูกต้องเหมาะสม  เขาคิดลบและต้านทาน)  การคิดลบและต้านทานคือการทำลายตัวเอง  เวลาเกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นกับผู้อื่น คนเหล่านั้นสามารถแสวงหาความจริงมาแก้ไขเรื่องเหล่านั้นได้ แต่พอมีเรื่องบางอย่างบังเกิดแก่เสี่ยวเซี่ยว เขากลับไม่สามารถแสวงหาความจริง เขาเลือกที่จะคิดลบและต้านทาน  เขาเสี่ยงที่จะทำให้ตัวเองย่อยยับ  ข้อมูลทุกวันนี้อาจจะก้าวหน้า แต่ในโลกของซาตานนี้มีเรื่องโกหกและการใช้เล่ห์กลอยู่มากมาย  โลกเต็มไปด้วยเรื่องโกหกและการใช้เล่ห์กล  เมื่อเผชิญปัญหาหรือข้อมูลชนิดใดก็ตามในโลกที่โกลาหลนี้ ผู้คนต้องมีปัญญา พวกเขาต้องฉลาดและเฉลียว และต้องมีวิจารณญาณ  พวกเขาต้องกลั่นกรองข้อมูลประเภทต่างๆ อย่างเข้มงวดจากจุดยืนที่ถูกต้องเหมาะสม  ผู้คนต้องไม่เชื่อคำกล่าวอ้างใดๆ ในทันที และแน่นอนว่าต้องไม่ยอมรับข้อมูลชนิดใดในทันที  ในโลกของซาตาน ทุกคนล้วนพูดเท็จ และคนโกหกก็ไม่เคยต้องรับผิดชอบอะไร  พวกเขาพูดเรื่องโกหกของตัวเองแล้วก็จบไป  ไม่มีใครในโลกนี้ที่ประณามเรื่องโกหก ไม่มีใครประณามการใช้เล่ห์กล  หัวใจของมนุษย์นั้นยากที่จะหยั่งถึง และเบื้องหลังคนโกหกทั้งปวงก็มีเจตนาและเป้าหมายอยู่  ตัวอย่างเช่น เจ้าไปหาหมอ และเขาบอกว่า “โรคของคุณจำเป็นต้องรักษาโดยเร็ว  ถ้าไม่รีบรักษา โรคก็อาจกลายเป็นมะเร็ง!”  ถ้าเจ้ากลัวง่าย เจ้าก็จะนึกกลัวว่า “ไม่นะ!  โรคอาจกลายเป็นมะเร็ง!  รีบรักษากันเลยดีกว่า!”  ผลก็คือยิ่งเจ้าพยายามรักษาให้หายขาด อาการก็ยิ่งแย่ลง แล้วสุดท้ายเจ้าก็เข้าโรงพยาบาล  แท้จริงแล้วสิ่งที่หมอพูดก็คือโรคของเจ้าอาจกลายเป็นมะเร็ง ซึ่งหมายความว่ามันยังไม่ใช่มะเร็ง แต่เจ้าก็เข้าใจผิดว่านี่หมายความว่าต้องได้รับการรักษาโดยด่วนเหมือนเป็นมะเร็งแล้ว  เจ้ากำลังเสี่ยงตายด้วยการทำเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  ถ้าเจ้าทำเหมือนโรคนั้นเป็นมะเร็ง เช่นนั้นแล้วยิ่งเจ้าพยายามรักษามัน เจ้าก็จะยิ่งตายเร็วขึ้น  แบบนั้นเจ้าจะมีชีวิตรอดไปได้อีกนานหรือไม่?  (ไม่นาน)  อันที่จริงเจ้าป่วยด้วยโรคที่ไม่ใช่มะเร็ง ดังนั้นทำไมหมอถึงบอกเจ้าว่าถ้าเจ้าไม่รักษา โรคของเจ้าจะกลายเป็นมะเร็ง?  เขาพูดอย่างนี้เพื่อที่จะหลอกเอาเงินเจ้า ให้เจ้ามองโรคของเจ้าเหมือนเป็นโรคร้าย  ถ้าเจ้ารู้ว่าเป็นโรคที่ไม่หนักหนาอะไร เจ้าก็จะไม่พยายามรักษา และเขาก็จะเอาเงินของเจ้าไม่ได้  เวลาหมอหลายๆ คนเจอคนไข้ของตนนั้น พวกเขาย่อมคว้าตัวคนไข้เหล่านั้นไว้เหมือนปีศาจคว้าตัวคนคนหนึ่ง แล้วพวกเขาก็ยึดตัวไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยมือ  นี่เป็นท่าทีทั่วไปที่หมอส่วนใหญ่ใช้กับคนไข้ของตน  พวกเขาเริ่มด้วยการบอกเจ้าว่าพวกเขามีชื่อเสียงขนาดไหน เก่งด้านการแพทย์ขนาดไหน รักษาคนไปกี่คนแล้ว รักษาโรคอะไรหายแล้วบ้าง และเป็นหมอรักษามานานเท่าใดแล้ว  พวกเขาทำให้เจ้าไว้ใจพวกเขา ให้เจ้ายอมนั่งลงและยอมรับการรักษาจากพวกเขา  จากนั้นพวกเขาก็บอกเจ้าว่าเจ้ากำลังจะเป็นโรคร้ายแรง และถ้าเจ้าไม่รับการรักษา เจ้าก็อาจตาย  ทุกคนย่อมตาย แต่ที่จะทำให้เจ้าตายใช่โรคนี้จริงหรือ?  ไม่จำเป็น  ชีวิตและความตายของทุกคนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  พระองค์คือผู้ที่กำหนดเรื่องเหล่านั้น ไม่ใช่หมอ  หมอมักจะใช้อุบายแบบนี้มาทำให้ผู้คนหลงกล  คนที่ขลาดและกลัวตายย่อมแสวงหาคำปรึกษาทางการแพทย์ไปทั่ว แล้วก็ยอมให้หมอทั้งหลายชี้ขาดเรื่องสุขภาพของตน  ถ้าหมอของพวกเขาบอกว่าพวกเขามีโอกาสที่จะเป็นมะเร็ง พวกเขาก็จะเชื่อหมอเหล่านั้น แล้วพวกเขาก็จะรีบรุดไปให้หมอรักษา ให้หมอปัดเป่าความเสี่ยงที่พวกเขาจะตายเพราะมะเร็ง  พวกเขาเอาแต่ทำให้ตัวเองหวาดกลัวไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ตอนนี้พวกเราจะหยุดพูดถึงหมอทั้งหลายและคุยเรื่องเสี่ยวเซี่ยวกับเสี่ยวจี๋กันต่อ  มุมมอง ทัศนะ และจุดยืนของพวกเขาในทุกเรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขานั้นต่างกันอย่างที่สุด  เสี่ยวเซี่ยวมีแต่ความคิดลบ ส่วนเสี่ยวจี๋สามารถจัดการเรื่องต่างๆ ที่บังเกิดแก่ตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  เขามีเหตุผลและมีการตัดสินตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเขาก็เผชิญสิ่งต่างๆ อย่างแข็งขัน  เขายังปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไปอีกด้วย  ทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว  เมื่อบางสิ่งบังเกิดแก่เสี่ยวเซี่ยว  เขาก็มองสถานการณ์ว่าไม่มีหวัง และทำอะไรไม่ยั้งคิด  เขาไม่แสวงหาวิธีและแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสมเพื่อจัดการแก้ไขสถานการณ์ นอกจากนี้เขายังไม่มีวิจารณญาณ เลอะเลือน เขลา ดันทุรัง และดื้อแพ่ง—และออกจะมุ่งร้ายอีกด้วย  พอเขาไม่สบาย หรือเผชิญความยากลำบากบางประการ หรือพอมีเรื่องไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา เขาก็หวังว่าเรื่องนั้นๆ จะเกิดกับทุกคนด้วย  เขาเกลียดพระเจ้าที่ไม่คุ้มครองเขา และเขาก็อยากจะระบายความโมโห  แต่เขาไม่กล้าระบายและเอาความโมโหไปลงที่คนอื่น เขาก็เลยระบายความเดือดดาลและเอาความโกรธมาลงกับตัวเอง  นี่เป็นอุปนิสัยที่โหดร้ายมิใช่หรือ?  (ใช่)  การขุ่นเคือง การจงเกลียดจงชัง และการอิจฉาเมื่อเรื่องเล็กๆ บางอย่างไม่เป็นอย่างที่ตนต้องการ—นั่นคือความโหดร้าย  เวลามีเรื่องบังเกิดแก่เสี่ยวจี๋ เขากลับมีเหตุผลและมีการตัดสินที่เป็นไปตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เขามีปัญญาและเลือกสิ่งที่คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงเลือก  แม้เสี่ยวจี๋จะมีอาการแบบเดียวกับเสี่ยวเซี่ยว แต่ปัญหาของเขาก็ได้รับการแก้ไขในท้ายที่สุด ขณะที่เสี่ยวเซี่ยวไม่เคยแก้ปัญหาของตนได้ และปัญหานั้นก็เลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ  ปัญหาของเสี่ยวเซี่ยวนั้นร้ายแรง และไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเรื่องความป่วยไข้ทางเนื้อหนังเท่านั้น—เขาเผยอุปนิสัยที่ทอดตัวอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของเขาออกมา เขาเผยให้เห็นความดื้อรั้น ความดื้อแพ่ง ความเขลา และความมุ่งร้ายของเขาเอง  นั่นคือข้อแตกต่างระหว่างคนทั้งสอง  ถ้าพวกเจ้ามีความรู้และความเข้าใจที่ละเอียดขึ้นเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของทั้งสองคนนี้ รวมทั้งท่าทีและวิธีการที่พวกเขาใช้จัดการเรื่องต่างๆ พวกเจ้าก็จะสามัคคีธรรมเรื่องนี้ต่อไปได้อีกในภายหลัง เทียบดูตัวเจ้ากับเรื่องนี้ และถอดบทเรียนจากเรื่องนี้  แน่นอนว่าเจ้าควรเข้าสู่เรื่องต่างๆ อย่างแข็งขันเหมือนเสี่ยวจี๋  เจ้าควรจัดการชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสม และพยายามมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า จนถึงขั้นที่เจ้ากลายเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เจ้าต้องไม่เป็นอย่างเสี่ยวเซี่ยว  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าควรไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติเช่นนั้น

คราวนี้พวกเราจะย้อนไปดูเรื่องที่สามัคคีธรรมกันไว้ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว  พวกเราพูดถึงแง่มุมแรกของสิ่งที่ผู้คนยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาว่าถูกต้องและดีงาม—ซึ่งก็คือพฤติกรรมอันดีงาม—และพวกเราได้ยกตัวอย่างพฤติกรรมอันดีงามไว้หกอย่าง  ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับการส่งเสริมจากวัฒนธรรมดั้งเดิม และเป็นพฤติกรรมอันดีงามที่ผู้คนชื่นชอบในชีวิตจริงของพวกเขา  พวกเจ้าบอกเราได้ไหมว่าพฤติกรรมหกอย่างนั้นมีอะไรบ้าง?  (การผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล การอ่อนโยนและมีมารยาท การสุภาพอ่อนน้อม การเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ การมีไมตรีจิต และการคุยด้วยง่าย)  พวกเราไม่ได้ยกตัวอย่างอื่นใดอีก  เป็นไปได้ว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศอื่นๆ มีบางสิ่งที่แตกต่างไปจากตัวอย่างทั้งหกของพฤติกรรมอันดีงามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนนำเสนอ แต่พวกเราจะไม่ไล่เอ่ยถึงความแตกต่างเหล่านี้  คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมและชำแหละเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับพฤติกรรมอันดีงามหกอย่างนี้โดยละเอียด  รวมๆ แล้วพฤติกรรมอันดีงามภายนอกเหล่านี้ไม่ได้แสดงถึงสิ่งที่เป็นบวกในตัวมนุษยชาติ และยิ่งไม่ได้แสดงให้เห็นว่าอุปนิสัยของคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปแล้ว—แน่นอนว่าพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าใครบางคนเข้าใจความจริงและใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริง  หากแต่เป็นเพียงพฤติกรรมภายนอกที่มนุษย์มองเห็นได้เท่านั้น  กล่าวง่ายๆ ก็คือพฤติกรรมเหล่านี้คือลักษณะภายนอกที่มนุษย์สำแดงให้เห็น  ลักษณะภายนอกที่สำแดงออกมาและการพรั่งพรูเหล่านี้เป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กัน เข้ากันได้ดี และดำเนินชีวิตร่วมกันเท่านั้น  คำว่า “ธรรมเนียมปฏิบัติ” หมายถึงอะไร?  หมายถึงเรื่องฉาบฉวยที่สุดทั้งหลายที่ทำให้ผู้คนสบายใจเมื่อได้พบเห็น  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้แสดงถึงแก่นแท้ของผู้คน หรือความคิดอ่านและทัศนะ หรือท่าทีที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ ที่เป็นบวก และยิ่งไม่ได้แสดงถึงท่าทีที่ผู้คนมีต่อความจริงแต่อย่างใด  ข้อกำหนดและมาตรฐานที่มวลมนุษย์ใช้ประเมินพฤติกรรมภายนอกนั้นเป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติที่ผู้คนเข้าใจและสัมฤทธิ์ได้  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแก่นแท้ของมนุษย์เลย  ไม่ว่าภายนอกนั้นผู้คนจะดูมีไมตรีจิตหรือคุยด้วยง่ายเพียงใด และไม่ว่าผู้อื่นจะชอบใจ นับถือ เคารพ และบูชาพฤติกรรมภายนอกที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตมากเพียงใด นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์ หรือหมายความว่าแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขานั้นดีงาม หรือรักสิ่งที่เป็นบวก หรือมีสำนึกแห่งความยุติธรรม และแน่นอนว่ายิ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาคือผู้คนที่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริง  พฤติกรรมอันดีงามทั้งปวงที่มวลมนุษย์ได้สรุปรวบรวมเอาไว้เป็นเพียงลักษณะบางอย่างที่สำแดงออกมาภายนอกและเป็นเพียงบางสิ่งที่ใช้ดำเนินชีวิต ซึ่งมวลมนุษย์ให้การส่งเสริมเพื่อให้ตนแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่น  ตัวอย่างเช่น การผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล การอ่อนโยนและมีมารยาท รวมทั้งการสุภาพอ่อนน้อม—พฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้เพียงแสดงให้เห็นว่าภายนอกแล้วคนคนหนึ่งค่อนข้างประพฤติตัวดี สุภาพ ผ่านการอบรมสั่งสอนและผ่านการขัดเกลามามาก ไม่เหมือนสัตว์ที่ไม่ทำตามกฎเกณฑ์  ผู้คนเช็ดปากด้วยมือหรือผ้าเช็ดปากเมื่อกินหรือดื่มเสร็จแล้ว อันเป็นการทำความสะอาดให้ตนเองบ้าง  ถ้าเจ้าพยายามเช็ดปากให้สุนัขหลังจากที่มันกินหรือดื่มเสร็จแล้ว มันย่อมจะไม่ชอบ  สัตว์ไม่เข้าใจเรื่องเช่นนี้  แล้วเพราะเหตุใดผู้คนถึงเข้าใจ?  เพราะผู้คนเป็น “สัตว์ที่สูงส่งกว่า” พวกเขาควรที่จะเข้าใจเรื่องเหล่านี้  ดังนั้นพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้จึงเป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์ใช้กำกับพฤติกรรมของกลุ่มชีวภาพที่เป็นมวลมนุษย์เท่านั้น และพฤติกรรมเหล่านี้ก็เพียงแต่ทำให้มวลมนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตที่มีรูปแบบต่ำกว่าตน  พฤติกรรมเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการวางตัว หรือการไล่ตามเสาะหาความจริง หรือการนมัสการพระเจ้า  นี่หมายความว่าแม้ภายนอกเจ้าจะใช้ชีวิตตามมาตรฐานและข้อกำหนดให้ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท เป็นต้น แม้เจ้าจะมีพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ หรือเป็นคนที่มีความจริง หรือคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  นี่ไม่ได้หมายถึงสิ่งเหล่านั้นแต่อย่างใด  ตรงกันข้าม นี่เพียงแต่หมายความว่าหลังจากที่ผ่านพ้นระบบการศึกษาทางด้านพฤติกรรม และระบบที่เป็นบรรทัดฐานของมารยาททางสังคมแล้ว วาจา สีหน้า ท่าทาง และอื่นๆ ของเจ้าย่อมมีวินัยขึ้นบ้าง  นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้านั้นดีกว่าสัตว์และมีสภาพเสมือนมนุษย์อยู่บ้าง—แต่ก็ไม่ได้แสดงว่าเจ้าคือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  อาจกล่าวได้ด้วยซ้ำไปว่านี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริงเลย  การที่เจ้ามีพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ไม่ได้หมายความแต่อย่างใดว่าเจ้ามีภาวะที่ถูกต้องของการไล่ตามเสาะหาความจริง และยิ่งไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและได้รับความจริงแล้ว  การนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นสิ่งเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง

ใครก็ตามที่เลี้ยงแมวหรือสุนัขเอาไว้ย่อมจะรู้สึกว่าสัตว์เหล่านั้นมีอะไรบางอย่างซึ่งควรค่าที่จะรัก  แท้จริงแล้วแมวและสุนัขบางตัวก็มีมารยาทอยู่บ้าง  เมื่อแมวบางตัวอยากเข้าห้องของเจ้านาย มันจะร้องเหมียวที่ประตูสองสามครั้งก่อนเข้าไป  แมวจะไม่เข้าไปหากเจ้านายไม่พูดอะไร และจะเข้าไปต่อเมื่อเจ้าของบอกว่า “เข้ามาสิ”  กระทั่งแมวก็ยังมีมารยาทแบบนี้ได้ พวกมันรู้จักขออนุญาตก่อนเข้าห้องของเจ้านาย  นั่นเป็นพฤติกรรมอันดีงามอย่างหนึ่งมิใช่หรือ?  ถ้าแม้แต่สัตว์ยังมีพฤติกรรมอันดีงามเช่นนี้ได้ แล้วพฤติกรรมอันดีงามที่ผู้คนมีจะทำให้พวกเขาสูงส่งกว่าสัตว์ได้สักเท่าใดกัน?  นี่คือสามัญสำนึกขั้นต่ำสุดที่ผู้คนพึงมี—ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องสอนกัน นี่เป็นเรื่องที่ปกติมาก  ผู้คนอาจรู้สึกว่าพฤติกรรมอันดีงามแบบนี้ค่อนข้างเหมาะสม และพฤติกรรมเช่นนี้ก็อาจทำให้พวกเขารู้สึกชูใจขึ้นบ้าง แต่การใช้ชีวิตตามพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้แสดงถึงคุณภาพหรือแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาหรือไม่?  (ไม่)  ไม่ได้แสดงให้เห็น  พฤติกรรมเหล่านี้เป็นเพียงกฎเกณฑ์และแบบแผนที่คนเราควรมีในการกระทำของตนเท่านั้น—ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณภาพและแก่นแท้ของสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนเราเลย  จงดูแมวและสุนัขเป็นตัวอย่างเถิด—พวกมันมีอะไรเหมือนกันบ้าง?  เวลาผู้คนให้มันกินอะไร พวกมันก็จะแสดงความสนิทสนมและรู้คุณ  พวกมันมีการประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ และสามารถแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ให้เห็น  สิ่งที่แตกต่างออกไปในตัวแมวและสุนัขก็คือว่าพวกหนึ่งจับหนูเก่ง ขณะที่อีกพวกเฝ้าบ้านเก่ง  แมวอาจผละจากเจ้านายของมันไปเมื่อใดและตรงไหนก็ได้ พอมีอะไรให้สนุกด้วย แมวก็จะลืมและไม่สนใจเจ้านายของตน  สุนัขจะไม่มีวันผละจากเจ้านายของมัน ถ้ามันระบุว่าเจ้าคือเจ้านายของมัน เช่นนั้นแล้วต่อให้เปลี่ยนเจ้าของไป มันก็จะจดจำเจ้าและทำเหมือนเจ้าเป็นเจ้านายของมันอยู่ดี  นั่นคือความแตกต่างระหว่างแมวกับสุนัขในแง่คุณสมบัติทางศีลธรรมในพฤติกรรมและแก่นแท้ของพวกมัน  คราวนี้พวกเราก็มาคุยกันถึงผู้คนบ้าง  ในบรรดาพฤติกรรมที่มนุษย์เชื่อว่าดีงามอย่างการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล การสุภาพอ่อนน้อม การคุยด้วยง่าย และอื่นๆ นั้น แม้จะมีบางอย่างที่เหนือกว่าพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ—หมายความว่าสิ่งที่มนุษย์ทำได้นั้นเกินความสามารถของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น—แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงพฤติกรรมและกฎเกณฑ์ภายนอกเท่านั้น เป็นเพียงแนวทางที่หมายจะกำกับพฤติกรรมของผู้คนและทำให้พวกเขาแตกต่างจากชีวิตรูปแบบอื่น  การมีพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้อาจทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาแตกต่างหรือดีกว่าชีวิตรูปแบบอื่น แต่ข้อเท็จจริงก็คือในบางด้าน ผู้คนก็ประพฤติตนแย่กว่าสัตว์  จงดูการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์เป็นตัวอย่างเถิด  ในอาณาจักรของสัตว์นั้น หมาป่าทำเรื่องนี้ดีกว่าคน  ในฝูงหมาป่า ตัวที่โตเต็มวัยจะคอยดูแลลูกหมาป่าไม่ว่าจะเป็นลูกของตัวไหนก็ตาม  หมาป่าเหล่านั้นจะไม่รังแกหรือทำร้ายเด็กๆ ในฝูง  เรื่องนี้มนุษย์ทำไม่ได้ และเมื่อเป็นเช่นนี้ มวลมนุษย์จึงแย่กว่าฝูงหมาป่า  มวลมนุษย์มีความเคารพต่อผู้เฒ่าและมีการเอาใจใส่ผู้เยาว์ในแบบใด?  ผู้คนสามารถทำเรื่องนี้ได้จริงหรือไม่?  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถ “เอาใจใส่ผู้เยาว์” ได้ ผู้คนไม่มีพฤติกรรมอันดีงามเช่นนั้น ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์เช่นนั้น  ตัวอย่างเช่น เวลาเด็กอยู่กับพ่อแม่ของตน ผู้คนก็มีไมตรีจิตและคุยด้วยง่ายทีเดียวตอนพูดจากับเด็กคนนั้น—แต่พอพ่อแม่ของเด็กไม่อยู่ตรงนั้น ด้านที่เป็นเหมือนปีศาจของผู้คนก็จะพรั่งพรูออกมา  ถ้าเด็กนั้นพูดกับพวกเขา พวกเขาก็จะเมินเฉย หรือถึงกับเห็นว่าเด็กคนนั้นทำตัวไม่น่ารักและทำร้ายเด็ก  คนพวกนี้เลวนัก!  ในหลายๆ ประเทศในโลก การค้าเด็กก็มีอยู่ทั่วไป—เป็นปัญหาระดับโลก  ถ้าผู้คนไม่มีแม้แต่พฤติกรรมอันดีงามของการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ และไม่รู้สึกเจ็บแปลบเพราะมโนธรรมเวลารังแกเด็ก จงบอกเราเถิดว่านั่นคือความเป็นมนุษย์แบบใด?  พวกเขายังคงแสร้งทำเป็นเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ แต่นี่เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น  ทำไมเราถึงยกตัวอย่างเรื่องนี้?  เพราะแม้มวลมนุษย์จะเสนอแนะพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ นำเสนอข้อกำหนดและมาตรฐานเหล่านี้ให้กับพฤติกรรมของผู้คน แต่แก่นแท้ที่เสื่อมทรามของมนุษย์ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าผู้คนจะทำตามนั้นได้หรือไม่ หรือมีพฤติกรรมอันดีงามสักกี่อย่างก็ตาม  หลักเกณฑ์ในทัศนะที่มนุษย์มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ในการวางตนและการกระทำของเขา ล้วนเกิดจากความคิดอ่านและทัศนะของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งสิ้น และมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นตัวกำหนด  แม้ข้อกำหนดและมาตรฐานที่มวลมนุษย์นำเสนอจะได้รับการยอมรับว่าเป็นมาตรฐานที่ดีงามและสูงส่ง แต่ผู้คนสามารถทำตามนั้นได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  นั่นคือปัญหา  ต่อให้ภายนอก คนคนหนึ่งปฏิบัติตัวดีขึ้นบ้าง ได้รับรางวัลและได้รับการยอมรับเพราะเหตุนั้น แต่นั่นก็มีการเสแสร้งและการใช้เล่ห์เหลี่ยมเจือปนอยู่ด้วย เพราะนี่เป็นดังที่ทุกคนรับรู้ว่าการทำความดีเล็กน้อยนั้นง่าย—สิ่งที่ยากคือการทำความดีไปตลอดชีวิต  ถ้าคนเหล่านั้นเป็นคนดีจริง ทำไมพวกเขาถึงทำเรื่องดีๆ กันยากนัก?  ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถใช้ชีวิตได้ตามมาตรฐานที่เรียกกันว่า “ดีงาม” และเป็นที่ยอมรับของมวลมนุษย์  ทั้งหมดนั้นมีแต่การคุยโว หลอกลวง และมีแต่เรื่องแต่ง  ต่อให้ภายนอกผู้คนสามารถทำตามมาตรฐานเหล่านี้ได้บ้างและมีพฤติกรรมอันดีงามได้บ้าง—เช่น การผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล การอ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม การเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ การมีไมตรีจิต และการคุยด้วยง่าย—แม้ผู้คนจะทำได้และมีพฤติกรรมบางอย่างตามนี้ แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ชั่วครั้งชั่วคราว หรือในสภาพแวดล้อมบางอย่างที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น  พวกเขาก็แค่สำแดงลักษณะเหล่านี้ให้เห็นเมื่อจำเป็นต้องทำ ทันทีที่มีบางสิ่งแตะต้องสถานะ ความภาคภูมิใจ ความมั่งคั่ง ผลประโยชน์ หรือแม้กระทั่งชะตากรรมและความสำเร็จในภายภาคหน้าของพวกเขาเข้า ธรรมชาติและตัวตนอันดุร้ายข้างในตัวพวกเขาก็จะระเบิดออกมา  พวกเขาจะไม่ดูเหมือนผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิต หรือคุยด้วยง่ายอีกต่อไป  แต่พวกเขาจะต่อสู้และออกอุบายเล่นงานกัน ต่างฝ่ายต่างพยายามชิงไหวชิงพริบกัน ใส่ไคล้และฆ่ากัน  เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก—เพื่อผลประโยชน์ของตน สถานะ หรืออำนาจของตน ทั้งเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง แม้กระทั่งบรรดาพ่อและลูกชายทั้งหลายก็จะพยายามสังหารกันเองจนกระทั่งเหลือพวกเขาหยัดยืนอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น  สถานการณ์อันน่าอนาถที่เกิดขึ้นท่ามกลางผู้คนนี้มองเห็นได้อย่างชัดเจน  นั่นคือสาเหตุที่สามารถเรียกการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล การอ่อนโยนและมีมารยาท การสุภาพอ่อนน้อม การเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ การมีไมตรีจิต และการคุยด้วยง่ายได้แต่เพียงว่าเป็นผลผลิตของรูปการณ์ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น  ไม่มีใครสามารถใช้ชีวิตตามนั้นได้อย่างแท้จริง—แม้กระทั่งปราชญ์และผู้ยิ่งใหญ่ที่คนจีนเคารพบูชากันก็ทำเรื่องเหล่านี้ไม่ได้  ดังนั้นหลักคำสอนและทฤษฎีเหล่านี้จึงไร้สาระทั้งสิ้น  ทั้งหมดเป็นเรื่องเหลวไหลโดยแท้  ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมสามารถแก้ไขเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ส่วนตนตามพระวจนะของพระเจ้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน พวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าได้  ในลักษณะนี้ ความเป็นจริงความจริงที่พวกเขามีย่อมเหนือกว่ามาตรฐานของพฤติกรรมอันดีงามที่มวลมนุษย์ยอมรับ  ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะฝ่ากำแพงผลประโยชน์ของตนไปไม่ได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติ  พวกเขาจะรักษากฎเกณฑ์อย่างพฤติกรรมอันดีงามไม่ได้ด้วยซ้ำ  เช่นนั้นแล้ว อะไรคือหลักการและหลักเกณฑ์ของทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ของการวางตนและการกระทำของพวกเขา?  แน่นอนว่าย่อมเป็นเพียงกฎเกณฑ์และคำสอน เป็นปรัชญาและกฎของซาตาน ไม่ใช่ความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นเพราะคนเหล่านั้นไม่ยอมรับความจริง และมัวแต่สอดส่องดูแลผลประโยชน์ของตนเอง ดังนั้นจึงเป็นปกติที่พวกเขาจะไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  พวกเขาดำรงรักษาพฤติกรรมอันดีงามเอาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ—พวกเขาพยายามแสร้งทำ แต่ก็ไม่สามารถอำพรางตัวเองได้ตลอดรอดฝั่ง  เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงเผยตัวตนที่แท้จริงให้เห็น  เพื่อผลประโยชน์ของตนแล้ว พวกเขาย่อมจะดิ้นรนต่อสู้ ฉกฉวย และปล้นชิง พวกเขาจะวางแผน ออกอุบาย และใช้เล่ห์กล พวกเขาจะลงโทษผู้อื่น และถึงกับลงมือสังหารใครบางคน  พวกเขาทำเรื่องโหดร้ายทั้งหมดนี้ได้—นั่นย่อมเปิดโปงธรรมชาติของพวกเขามิใช่หรือ?  และเมื่อธรรมชาติของพวกเขาถูกเปิดโปง คนอื่นก็สามารถมองเห็นเจตนาและหลักการพื้นฐานในคำพูดคำจาและการกระทำของพวกเขาได้โดยง่าย ผู้อื่นย่อมสามารถบอกได้ว่าผู้คนเหล่านั้นดำเนินชีวิตตามปรัชญาของซาตานทั้งสิ้น หลักการในทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ในการวางตนและการกระทำของพวกเขานั้น ก็คือปรัชญาของซาตาน  ตัวอย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “เงินทำให้โลกหมุนไป” “ที่ใดมีชีวิตที่นั่นมีความหวัง” “ความใจเล็กไม่สร้างสัตบุรุษฉันใด คนจริงก็ย่อมไม่ไร้พิษสงฉันนั้น” “ถ้าเธอใจร้าย ฉันก็จะไม่ญาติดีด้วย” “ลิ้มรสขมที่ตัวเองทำไว้เสียบ้าง” เป็นต้น—สำนวนตามตรรกะและกฎของซาตานเหล่านี้ครอบงำผู้คนจากภายใน  เมื่อผู้คนใช้ชีวิตตามสำนวนเหล่านี้ พฤติกรรมอันดีงามอย่างการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล การอ่อนโยนและมีมารยาท การสุภาพอ่อนน้อม การเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ และอื่นๆ ก็กลายเป็นหน้ากากที่ผู้คนใช้อำพรางตนเอง กลายเป็นฉากบังหน้า  เหตุใดจึงกลายเป็นฉากบังหน้า?  เพราะรากฐานและกฎที่ผู้คนใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตจริงๆ นั้นคือสิ่งที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวมนุษย์ ไม่ใช่ความจริง  ดังนั้น มโนธรรมและหลักศีลธรรมขั้นพื้นฐานที่สุดย่อมไม่มีผลกับคนที่ไม่รักความจริง  เวลามีอะไรเกิดขึ้นที่เชื่อมโยงไปถึงผลประโยชน์ของพวกเขา ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาย่อมจะระเบิดออกมา และในตอนนั้นผู้คนก็จะมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขา  ผู้คนจะกล่าวด้วยความตกใจว่า “แต่ปกติแล้วพวกเขาอ่อนโยน สุภาพอ่อนน้อม และน่านับถือไม่ใช่หรือ?  ทำไมพอเกิดเรื่องบางอย่างกับพวกเขาแล้ว พวกเขากลับดูเหมือนกลายเป็นคนละคนไปเลย?”  ที่จริงแล้วคนคนนั้นไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแต่ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาไม่เคยถูกเปิดโปงและเผยให้เห็นจนกระทั่งตอนนั้น  เวลาที่เรื่องทั้งหลายไม่ไปแตะต้องผลประโยชน์ของพวกเขาและก่อนที่จะเปิดศึกเล่นงานกัน ทุกสิ่งที่พวกเขาทำล้วนใช้เล่ห์กลและมีการพรางตาทั้งสิ้น  กฎและหลักการพื้นฐานในการดำรงอยู่ของพวกเขาที่พวกเขาเผยให้เห็นเมื่อผลประโยชน์ของตนได้รับความกระทบกระเทือนหรือถูกคุกคาม และในเวลาที่พวกเขาเลิกอำพรางตัวตนแล้ว คือธรรมชาติของพวกเขา แก่นแท้ของพวกเขา และตัวตนจริงๆ ของพวกเขา  ดังนั้นไม่ว่าคนคนหนึ่งจะมีพฤติกรรมอันดีงามแบบใดก็ตาม—ไม่ว่าพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาจะดูไร้ที่ติขนาดไหนในสายตาของผู้อื่นก็ตาม—นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาคือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและรักสิ่งที่เป็นบวก  อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และยิ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเชื่อถือได้หรือคู่ควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์ด้วย

ในบรรดาพฤติกรรมอันดีงาม พวกเราได้ยกตัวอย่างเรื่องการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล การอ่อนโยนและมีมารยาท การสุภาพอ่อนน้อม การเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ การมีไมตรีจิต และการคุยด้วยง่ายไปแล้ว  คราวนี้พวกเราจะนำตัวอย่างเรื่องการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์มาสามัคคีธรรมโดยละเอียด  การเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์เกิดขึ้นเป็นปกติมากในชีวิตของมนุษย์  สามารถเกิดขึ้นในประชากรสัตว์บางชนิดด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงเป็นปกติที่จะพึงมีพฤติกรรมเช่นนี้ให้เห็นมากขึ้นอีกในหมู่มนุษย์ที่มีมโนธรรมและเหตุผล  มนุษย์จึงควรปฏิบัติตามพฤติกรรมข้อนี้ให้ดีกว่า เป็นรูปธรรมกว่า และในแบบที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น แทนที่จะทำอย่างฉาบฉวยเท่านั้น  มนุษย์ควรยึดมั่นในพฤติกรรมอันดีงามที่เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์นี้ให้มากกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เพราะมนุษย์มีมโนธรรมและเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่มี  แล้วในการรักษาพฤติกรรมอันดีงามข้อนี้ มนุษย์ก็ควรที่จะแสดงให้เห็นได้ว่าความเป็นมนุษย์ของตนยิ่งใหญ่กว่าแก่นแท้ของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น แสดงให้เห็นว่าความเป็นมนุษย์ของตนนั้นแตกต่างออกไป  แต่แท้จริงแล้วมนุษย์ทำเช่นนี้กันหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนที่รอบรู้และมีการศึกษาทำเช่นนี้กันหรือไม่?  (ไม่ได้ทำเช่นกัน)  พวกเราพักเรื่องของคนทั่วไปไว้ก่อน แล้วมาพูดเรื่องของอภิสิทธิ์ชนและเรื่องในวังกัน  ปัจจุบันนี้หลายประเทศกำลังผลิตละครเกี่ยวกับเรื่องในวังออกมาเป็นจำนวนมาก เปิดโปงเรื่องราวอันปั่นป่วนมากมายในรั้ววังทั้งหลาย  ผู้คนในรั้วในวังและคนธรรมดานั้นเหมือนกันตรงที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ให้ความสำคัญอย่างมากกับลำดับอาวุโส  ผู้คนในรั้ววังผ่านการอบรมสั่งสอนพฤติกรรมอันดีงามของการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์มามากกว่าและละเอียดกว่าคนทั่วไป แล้วคนรุ่นใหม่ในรั้ววังก็มีความนอบน้อมและเคารพผู้อาวุโสของตนมากกว่าคนทั่วไป—มีธรรมเนียมปฏิบัติด้านมารยาทเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่มาก  เมื่อเป็นเรื่องของการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ ผู้ที่อยู่ในวังมีข้อกำหนดที่สูงส่งเป็นพิเศษสำหรับพฤติกรรมอันดีงามในแง่นี้ ซึ่งพวกเขาก็ต้องทำตามอย่างไม่ผิดเพี้ยน  ดูภายนอกแล้วพวกเขาเหมือนจะยึดปฏิบัติตามข้อกำหนดของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ให้เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์เหมือนที่คนทั่วไปทำกันไม่มีผิด—แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้นได้ดีหรือเหมาะสมเพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะดูเหมือนทำตัวดีและไม่มีที่ติเพียงใด เบื้องหลังฉากหน้าที่เป็นพฤติกรรมอันหาที่ติไม่ได้นี้กลับซุกซ่อนการถ่ายโอนอำนาจและการวิ่งเต้นสารพัดอย่างระหว่างกลุ่มอิทธิพลต่างๆ เอาไว้  ระหว่างบุตรกับบิดา หลานชายกับปู่และตา คนรับใช้กับเจ้านาย รัฐมนตรีกับกษัตริย์—ดูภายนอก พวกเขาล้วนดำรงรักษาหลักเกณฑ์ที่สำคัญที่สุดทางด้านพฤติกรรมเอาไว้คือ การเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์  แต่เพราะอำนาจของกษัตริย์และกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ล้วนผสมปนเปกัน พฤติกรรมภายนอกข้อนี้จึงไม่มีบทบาทอะไรเลย  ไม่สามารถส่งผลต่อสิ่งที่จะเกิดจากการถ่ายโอนอำนาจของกษัตริย์และจากการวิ่งเต้นของกลุ่มอิทธิพลทั้งหลายในท้ายที่สุดอย่างสิ้นเชิง  โดยปกติและโดยพื้นฐานแล้วพฤติกรรมอันดีงามทำนองนี้ไม่สามารถควบคุมผู้ที่อยากได้ราชบัลลังก์หรือมีความมักใหญ่ใฝ่สูงทางอำนาจได้  คนทั่วไปค้ำชูกฎเกณฑ์ของการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ ที่บรรพชนถ่ายทอดให้แก่พวกเขา  แล้วพวกเขาเองก็ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของกฎเกณฑ์ข้อนี้เช่นกัน  ไม่ว่าจะมีผลประโยชน์มากมายเพียงใดมาบรรจบพบกัน หรือไม่ว่าจะเกิดการดิ้นรนต่อสู้อันใดเมื่อผลประโยชน์เหล่านั้นกระทบกระทั่งกัน คนทั่วไปก็ยังคงใช้ชีวิตร่วมกันในเวลาต่อมา  แต่ในรั้วในวังนั้นเรื่องราวกลับต่างออกไป เพราะข้อพิพาทด้านผลประโยชน์และอำนาจของคนเหล่านั้นมีนัยสำคัญมากกว่า  พวกเขาต่อสู้กันครั้งแล้วครั้งเล่า ผลสุดท้ายก็คือผู้ชนะได้เป็นกษัตริย์ ส่วนผู้แพ้ก็กลายเป็นอาชญากร—ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งย่อมตาย  ผู้ชนะและผู้แพ้ล้วนค้ำชูกฎเกณฑ์ที่ให้เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์นี้เหมือนกัน แต่เพราะต่างฝ่ายต่างกุมอำนาจไม่เท่ากัน มีความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานต่างกัน หรือเพราะแต่ละฝ่ายมีความเข้มแข็งต่างกันอย่างมีสาระสำคัญ บางฝ่ายจึงอยู่รอดในท้ายที่สุด ขณะที่ผู้อื่นถูกทำลายสิ้น  อะไรเป็นตัวกำหนดเรื่องนี้?  ใช่กฎเกณฑ์ที่ให้เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์หรือไม่ที่เป็นตัวกำหนด?  (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้น อะไรคือตัวกำหนด?  (ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์)  ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่ากฎเกณฑ์เหล่านี้ พฤติกรรมอันประเสริฐที่ได้ชื่อว่าดีงามของมวลมนุษย์ ไม่อาจกำหนดอะไรได้เลย  เส้นทางที่ผู้คนเดินนั้นไม่ได้ตัดสินจากพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาแม้แต่น้อยว่าพวกเขาผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล มีไมตรีจิต หรือเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์หรือไม่ เส้นทางนั้นๆ กลับมีธรรมชาติของมนุษย์เป็นตัวกำหนด  สรุปแล้วพระนิเวศของพระเจ้าไม่ส่งเสริมถ้อยแถลงด้านพฤติกรรมอันดีงามที่เกิดขึ้นในหมู่มวลมนุษย์  พฤติกรรมที่มนุษย์มองว่าดีงามเหล่านี้เป็นเพียงพฤติกรรมและลักษณะที่สำแดงให้เห็นว่าดีงามอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้แสดงถึงความจริง และหากบางคนมีพฤติกรรมและลักษณะที่สำแดงให้เห็นว่าดีงามเหล่านี้ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริง และยิ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาความจริง

ในเมื่อพฤติกรรมที่มนุษย์ยึดถือว่าดีงามเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า หรือได้รับการส่งเสริมจากพระนิเวศของพระองค์ และยิ่งไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์ และในเมื่อพฤติกรรมเหล่านี้ขัดกับพระวจนะของพระเจ้าและข้อกำหนดที่พระองค์ให้ไว้ พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดบางประการเกี่ยวกับพฤติกรรมของมวลมนุษย์ด้วยหรือไม่?  (มี)  พระเจ้าได้ประทานข้อกำหนดบางอย่างเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เชื่อที่ติดตามพระองค์ไว้ด้วย  ข้อกำหนดเหล่านี้แตกต่างจากข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ในเรื่องของความจริง ค่อนข้างเรียบง่ายกว่า แต่ก็มีรายละเอียดบางอย่างอยู่  พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดเช่นใดแก่ผู้ที่ติดตามพระองค์?  ตัวอย่างเช่น การมีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน—นั่นใช่ข้อกำหนดสำหรับพฤติกรรมของมนุษย์หรือไม่?  (ใช่)  ยังมีการไม่ทำตัวเสเพล รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่สวมเสื้อผ้าที่ผิดธรรมดา ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มสุรา ไม่ลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น ตลอดจนไม่บูชารูปเคารพ ให้เกียรติพ่อแม่ของตน เป็นต้น  ทั้งหมดนี้คือข้อกำหนดทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้ที่ติดตามพระองค์  เป็นข้อกำหนดในระดับพื้นฐานที่สุดและต้องไม่ถูกเพิกเฉย  พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดที่ชัดเจนสำหรับพฤติกรรมของผู้ที่ติดตามพระองค์ ซึ่งแตกต่างจากพฤติกรรมอันดีงามที่ผู้ไม่เชื่อกำหนดขึ้น  พฤติกรรมอันดีงามที่ผู้ไม่เชื่อเสนอแนะไว้นั้นเพียงแต่ทำให้ผู้คนเป็นสัตว์ที่สูงส่งขึ้น แตกต่างจากสัตว์อื่นๆ ที่ต่ำชั้นกว่า  ส่วนข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้ติดตามของพระองค์นั้นทำให้พวกเขาแตกต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อ จากผู้คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า  ข้อกำหนดเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องของการแตกต่างจากสัตว์  ที่ผ่านมามีการพูดถึง “การชำระให้สะอาดบริสุทธิ์” อีกด้วย  นี่เป็นการเรียกที่ไม่ถูกต้องและค่อนข้างเกินจริง แต่พระเจ้าก็ทรงมีข้อกำหนดบางอย่างสำหรับผู้ที่ติดตามพระองค์ในด้านพฤติกรรมของพวกเขา  จงบอกเราเถิดว่าข้อกำหนดเหล่านี้มีอะไรบ้าง?  (มีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน ไม่ทำตัวเสเพล รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่สวมเสื้อผ้าที่ผิดธรรมดา ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มสุรา ไม่ลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น ไม่บูชารูปเคารพ และให้เกียรติพ่อแม่ของตน)  นอกจากนี้แล้วมีอะไรอีก?  (ไม่เบียดบังทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ไม่ลักขโมย ไม่เป็นพยานเท็จ ไม่ทำผิดประเวณี)  มีข้อกำหนดเหล่านั้นเช่นกัน  ทั้งหมดคือส่วนหนึ่งของธรรมบัญญัติ เป็นข้อกำหนดบางประการที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมวลมนุษย์ในกาลแรกเริ่ม แล้วทุกวันนี้ก็ยังคงจริงและสัมพันธ์กับชีวิตจริง  พระเจ้าทรงใช้ข้อกำหนดเหล่านี้กำกับพฤติกรรมของผู้ที่ติดตามพระองค์ ซึ่งหมายความว่าพฤติกรรมภายนอกเหล่านี้คือเครื่องหมายของผู้ที่ติดตามพระเจ้า  ถ้าเจ้ามีพฤติกรรมและการสำแดงเหล่านี้ ถึงขั้นที่เมื่อผู้อื่นมองดูเจ้า พวกเขาก็รู้ว่าเจ้าคือผู้เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็จะให้ความเห็นชอบและเลื่อมใสในตัวเจ้า  พวกเขาย่อมจะกล่าวว่าเจ้ามีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน เจ้าดูเหมือนผู้เชื่อในพระเจ้า และไม่เหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ  ผู้คนที่มาเชื่อในพระเจ้าบางคนยังคงเป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ มักจะสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ต่อสู้ และวิวาทกัน  มีบางคนถึงกับทำผิดประเวณีและลักขโมย  แม้แต่พฤติกรรมของพวกเขาก็ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ และไม่เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า แล้วเมื่อผู้ไม่เมีความชื่อมองเห็นพวกเขา คนเหล่านั้นย่อมกล่าวว่า “พวกเขาเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าจริงหรือ?  ถ้าอย่างนั้น ทำไมพวกเขาถึงเหมือนคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าไม่มีผิด?”  ผู้อื่นย่อมไม่เลื่อมใสหรือไว้ใจคนแบบนั้น ดังนั้นพอคนแบบนั้นพยายามที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ผู้คนจึงไม่ยอมรับสิ่งที่เขาประกาศ  ถ้าใครบางคนสามารถทำตามพระประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมรักสิ่งที่เป็นบวก มีหัวใจที่เมตตา และมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  คนแบบนี้สามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติได้ทันทีที่ฟังพระวจนะเสร็จ และไม่มีการเสแสร้งแกล้งทำในสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติ เพราะอย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ปฏิบัติตนเช่นนั้นตามมโนธรรมและเหตุผลของตน  ข้อกำหนดจำเพาะที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์แตกต่างจากพฤติกรรมอันดีงามที่มวลมนุษย์ส่งเสริมกันอย่างไร?  (ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างชัดแจ้ง สามารถทำให้ผู้คนใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้ ส่วนวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาแต่เรียกร้องให้มีพฤติกรรมบางอย่างที่ทำเอาหน้า ไม่มีบทบาทที่จับต้องได้)  ถูกต้อง  พฤติกรรมอันดีงามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดให้มนุษย์ทำล้วนเทียมเท็จและมีไว้ใช้ปลอมแปลงทั้งสิ้น เป็นละครตบตา  คนที่ยึดปฏิบัติตามนั้นอาจพูดจาไพเราะ แต่สิ่งที่อยู่ในใจกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง  พฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้คือหน้ากาก เป็นภาพลวงตา ไม่ใช่สิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากแก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนเรา เป็นเครื่องปลอมแปลงที่มนุษย์ใช้เพื่อความภาคภูมิใจของตน เพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะของตน  พฤติกรรมเหล่านี้คือการแสดง เป็นท่าทีที่หน้าซื่อใจคดอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่คนคนหนึ่งจงใจแสดงออกให้ผู้อื่นเห็น  บางครั้งผู้คนก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าพฤติกรรมของคนคนหนึ่งนั้นจริงหรือปลอม แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ทุกคนก็จะมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของคนคนนั้น  นี่เป็นเหมือนพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคดไม่มีผิด พวกเขามีพฤติกรรมอันดีงามภายนอกมากมายและมีลักษณะที่สำแดงให้เห็นสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความเคร่งศรัทธาอยู่มากนัก แต่เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ พวกเขากลับกล่าวโทษและตรึงกางเขนพระองค์ เพราะพวกเขาเอือมระอาและเกลียดชังความจริง  นี่แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมอันดีงามและท่าทีภายนอกของผู้คนไม่ได้แสดงถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา  สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คน  ส่วนกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์ทำให้ลุล่วงนั้นสามารถนำไปปฏิบัติและใช้ดำเนินชีวิตได้จริงตราบใดที่คนเราเชื่อในพระเจ้าและมีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริง  พวกเจ้าควรทำสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าเจ้าจะทำเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่นหรือลับหลังพวกเขาก็ตาม ไม่ว่าแก่นแท้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าจะเป็นเช่นใด เจ้าก็ต้องทำตามข้อกำหนดที่พระเจ้าประทานไว้เหล่านี้ให้ลุล่วง  ในเมื่อเจ้าติดตามพระเจ้า เจ้าก็ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจและปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ไม่ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะร้ายแรงเพียงใดก็ตาม  หลังจากมีประสบการณ์เช่นนี้ไประยะหนึ่ง เจ้าก็จะมีการเข้าสู่ที่แท้จริง และเจ้าย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยแท้  ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้นย่อมเป็นของจริง

พวกเรามาสรุปสั้นๆ กันเถิดว่า พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดเช่นใดต่อพฤติกรรมของผู้คน?  ผู้คนต้องปฏิบัติตามหลักธรรมและรู้จักยับยั้งชั่งใจอยู่เสมอ พวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ถึงขั้นที่ผู้อื่นนับถือพวกเขา ไร้ซึ่งการเสแสร้งใดๆ  เหล่านี้คือข้อกำหนดทางพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์  นี่หมายความว่าคนเราต้องปฏิบัติตามนี้และมีความเป็นจริงแบบนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ต่อหน้าผู้อื่นหรือไม่ หรือพวกเขาจะอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นใด หรือเผชิญหน้าใครอยู่ก็ตาม  มนุษย์ที่ปกติควรมีความเป็นจริงเหล่านี้ อย่างน้อยในแง่ของการวางตน คนเราก็ควรทำเช่นนี้  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าใครบางคนพูดจาเสียงดังมาก แต่พวกเขาไม่ได้ใช้วาจาทารุณผู้อื่นหรือใช้ภาษาที่หยาบคาย และสิ่งที่พวกเขาพูดก็เป็นความจริงและถูกต้องแม่นยำ ไม่ได้โจมตีผู้อื่น  ต่อให้คนคนนั้นบอกว่าใครบางคนไม่ดีหรือกล่าวว่าใครบางคนไม่ได้เรื่อง นั่นก็เป็นไปตามข้อเท็จจริง  แม้คำพูดและการกระทำภายนอกของพวกเขาจะไม่ตรงตามข้อกำหนดของการมีไมตรีจิตหรือการอ่อนโยนและมีมารยาทดังที่ผู้ไม่มีความเชื่อว่าไว้ แต่ใจความของสิ่งที่พวกเขาพูด รวมทั้งหลักธรรมและหลักการทางวาจาของพวกเขากลับเปิดโอกาสให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและซื่อตรง  นั่นคือความหมายของการปฏิบัติตามหลักธรรม  พวกเขาไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ตัวเองไม่รู้โดยไม่ไตร่ตรอง หรือประเมินผู้คนที่ตัวเองไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งตามอำเภอใจ  แม้ภายนอกพวกเขาไม่ได้ดูอ่อนโยนนัก และไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานทางด้านพฤติกรรมที่ผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวถึงว่าให้มีการขัดเกลาและทำตามกฎเกณฑ์ แต่เพราะพวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า รู้จักยับยั้งวาจาและการกระทำ สิ่งที่พวกเขาใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตจึงเหนือกว่าพฤติกรรมที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท รวมทั้งสุภาพอ่อนน้อม ตามที่มวลมนุษย์พูดถึงอยู่มาก  นี่คือลักษณะที่สำแดงให้เห็นการรู้จักยับยั้งชั่งใจและมีหลักธรรมมิใช่หรือ?  (ใช่)  ไม่ว่าอย่างไร ถ้าพวกเจ้าตั้งใจดูข้อกำหนดทางด้านพฤติกรรมอันดีงามที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้เชื่อของพระองค์ มีข้อใดบ้างที่ไม่ใช่กฎเกณฑ์อันเป็นรูปธรรมเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คนควรใช้ดำเนินชีวิตในลักษณะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง?  มีข้อใดบ้างที่ขอให้ผู้คนอำพรางตัวเอง?  ไม่มีสักข้อเลยใช่ไหม?  ถ้าพวกเจ้ามีข้อสงสัยอันใด พวกเจ้าก็อาจหยิบยกขึ้นมาพูดถึง  ตัวอย่างเช่น บางคนอาจกล่าวว่า “ตอนที่พระเจ้าตรัสว่าอย่าลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น นั่นให้ความรู้สึกว่าเทียมเท็จอยู่บ้าง เพราะตอนนี้ก็มีผู้คนที่ใช้วาจาทารุณผู้อื่นในบางครั้ง และพระเจ้าก็ไม่ได้ตรัสกล่าวโทษพวกเขา”  เวลาที่พระเจ้าตรัสว่าจงอย่าใช้วาจาทารุณผู้อื่นนั้น คำว่า “การทารุณกรรมด้วยวาจา” หมายถึงอะไร?  (เวลาที่คนคนหนึ่งระบายอารมณ์ตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน)  การระบายอารมณ์ของคนเรา พูดจาด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย—นั่นคือการทารุณกรรมด้วยวาจา  ถ้าเรื่องที่พูดกันถึงคนคนหนึ่งไม่น่าฟัง แต่ตรงตามแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของพวกเขา เช่นนั้นแล้วนั่นก็ไม่ใช่การทารุณกรรมด้วยวาจา  ตัวอย่างเช่น บางคนอาจขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรและทำความชั่วเป็นอันมาก แล้วเจ้าก็กล่าวแก่พวกเขาว่า “คุณทำชั่วมากขนาดนี้  คุณมันเลว—คุณมันไม่ใช่คน!”  แบบนั้นนับเป็นการทารุณกรรมทางวาจาหรือไม่?  หรือเป็นการพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาหรือไม่?  หรือเป็นการระบายอารมณ์ของตนหรือไม่?  หรือเป็นการไม่มีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชนหรือไม่?  (นั่นเป็นไปตามข้อเท็จจริง จึงไม่นับเป็นการทารุณกรรมทางวาจา)  ถูกต้องแล้ว นั่นไม่นับรวม  นั่นเป็นไปตามข้อเท็จจริง—ทั้งหมดนี้คือถ้อยคำที่เป็นเรื่องจริง พูดออกมาจากใจจริง และไม่มีการปกปิดหรือซ่อนเร้นอะไร  นี่อาจไม่ได้ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล หรืออ่อนโยนและมีมารยาท แต่ก็ตรงตามข้อเท็จจริง  คนที่ถูกด่าว่าย่อมจะนำตัวเองไปเทียบเคียงถ้อยคำเหล่านั้นและตรวจสอบตนเอง แล้วพวกเขาก็จะมองเห็นว่าพวกเขาถูกด่าว่าเพราะพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิดและกระทำความชั่วมากนัก  พวกเขาย่อมจะเกลียดชังตนเอง พลางคิดว่า “ฉันเป็นพวกที่ไม่มีอะไรดีจริงๆ!  มีแต่คนที่ใช้ไม่ได้เท่านั้นที่จะทำสิ่งที่ฉันทำลงไป—ฉันมันไม่ใช่คน!  พวกเขาทำถูกและทำดีแล้วที่ด่าว่าฉันแบบนั้น!”  หลังจากยอมรับแล้ว พวกเขาก็จะรู้จักแก่นแท้ธรรมชาติบางอย่างของตน และหลังจากมีประสบการณ์และผ่านอะไรต่ออะไรมาระยะหนึ่ง พวกเขาย่อมจะกลับใจอย่างแท้จริง  และแล้วในภายภาคหน้า พวกเขาก็จะรู้จักแสวงหาหลักธรรมในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน  การถูกด่าว่าจึงปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้นมิใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้วย่อมมีความแตกต่างระหว่างการด่าว่าแบบนั้นกับ “การทารุณกรรมทางวาจา” ในข้อกำหนดที่พระเจ้าให้ผู้คนไม่ใช้วาจาทารุณผู้อื่นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ความแตกต่างนั้นคืออะไร?  “การทารุณกรรมทางวาจา” ในข้อกำหนดที่พระเจ้าให้ผู้คนไม่ใช้วาจาทารุณผู้อื่นนั้นหมายความว่าอย่างไร?  ในแง่หนึ่งนี่หมายความว่าถ้าใจความและคำพูดนั้นหยาบคาย ก็ย่อมไม่ดี  พระเจ้าไม่ได้ปรารถนาที่จะสดับฟังภาษาที่หยาบคายจากปากของผู้ที่ติดตามพระองค์  พระองค์ไม่โปรดที่จะได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น  แต่ถ้าระหว่างที่เปิดเผยข้อเท็จจริง มีการใช้ถ้อยคำที่ไม่น่าฟังบ้าง กรณีเช่นนั้นย่อมเป็นข้อยกเว้น  นั่นไม่ใช่การทารุณกรรมทางวาจา  ส่วนอีกแง่หนึ่งก็คือ แก่นแท้ของพฤติกรรมที่ทารุณกรรมด้วยวาจาคืออะไร?  คือการพรั่งพรูความหัวร้อนออกมามิใช่หรือ?  ถ้าสามารถอธิบายปัญหาได้อย่างชัดเจนและแจ่มแจ้งผ่านทางการสามัคคีธรรม การเตือนสติ และการสื่อสารตามปกติ ทำไมถึงใช้วาจาทารุณคนคนนั้นแทน?  การทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องดี เป็นการไม่เหมาะสม  หากเทียบกับแนวทางที่เป็นบวกเหล่านั้นแล้ว การทารุณกรรมทางวาจาไม่ใช่ครรลองปกติที่พึงใช้  นั่นคือการระบายอารมณ์ของคนเราและเผยให้เห็นความหัวร้อนของตน พระเจ้าไม่ปรารถนาให้ผู้คนใช้การระบายอารมณ์หรือการพรั่งพรูความหัวร้อนออกมาเป็นวิธีรับมือเรื่องราวแบบใดทั้งสิ้น  เมื่อมนุษย์พรั่งพรูความหัวร้อนออกมาและระบายอารมณ์ของตน พฤติกรรมที่พวกเขามักจะแสดงออกมาก็คือการใช้ภาษาเพื่อที่จะทารุณกรรมและเล่นงานด้วยวาจา  พวกเขาจะพูดอะไรก็ตามที่ไม่น่าฟังอย่างที่สุด แล้วพวกเขาก็จะพูดอะไรก็ตามที่จะทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายและปลดปล่อยความโกรธของตน  และเมื่อพวกเขาพูดจบ พวกเขาไม่เพียงแต่จะทำร้ายและทำให้อีกฝ่ายมัวหมองเท่านั้น—พวกเขาย่อมจะทำร้ายและทำให้ตัวเองพลอยมัวหมองไปด้วย  นี่ไม่ใช่ท่าทีหรือวิธีการที่ผู้ติดตามของพระเจ้าควรใช้รับมือเรื่องทั้งหลาย  ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ที่เสื่อมทรามก็มีชุดความคิดที่จะล้างแค้น ระบายอารมณ์และความไม่พอใจของตน พรั่งพรูความหัวร้อนของตนออกมาอยู่เสมอ  พวกเขาอยากใช้วาจาทารุณผู้อื่นทุกครั้งที่มีโอกาส และเมื่อเกิดเรื่องราวขึ้นมาทั้งใหญ่และเล็ก พฤติกรรมที่พวกเขาแสดงให้เห็นทันทีก็คือพฤติกรรมที่ทารุณกรรมด้วยวาจา แม้ในยามที่พวกเขารู้ว่าพฤติกรรมเช่นนั้นจะไม่แก้ปัญหาอะไร พวกเขาก็ทำเช่นนั้นอยู่ดี  นั่นคือพฤติกรรมของซาตานไม่ใช่หรือ?  พวกเขาทำเช่นนั้นเวลาอยู่บ้านคนเดียว เวลาที่ไม่มีใครสามารถได้ยินพวกเขาด้วยซ้ำ  นั่นไม่ใช่การระบายอารมณ์ของตนหรอกหรือ?  นั่นคือการเผยความหัวร้อนของคนเราออกมามิใช่หรือ?  (ใช่)  การเผยความหัวร้อนของคนเราออกมาและการระบายอารมณ์ของตนนั้น กล่าวโดยทั่วไปแล้วหมายถึงการใช้ความหัวร้อนของตนเป็นหนทางในการจัดการและรับมือบางสิ่ง หมายถึงการเผชิญหน้าเรื่องราวทั้งปวงด้วยท่าทีที่หัวร้อน แล้วพฤติกรรมและลักษณะอย่างหนึ่งที่สำแดงให้เห็นเรื่องนั้นก็คือการทารุณกรรมทางวาจา  ในเมื่อนั่นคือแก่นแท้ของการทารุณกรรมทางวาจา การที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์ไม่ทำเช่นนั้นย่อมดีงามมิใช่หรือ?  (ใช่)  การที่พระเจ้ามีพระประสงค์ให้มนุษย์ไม่ใช้วาจาทารุณผู้อื่นย่อมสมเหตุสมผลแล้วมิใช่หรือ?  นี่เป็นผลดีต่อมนุษย์หรือไม่?  (เป็น)  ท้ายที่สุดแล้ว จุดหมายของการที่พระเจ้าทรงกำหนดว่ามนุษย์ไม่ควรลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่นนั้นก็เพื่อให้ผู้คนหัดยับยั้งชั่งใจ และป้องกันไม่ให้พวกเขาดำเนินชีวิตท่ามกลางอารมณ์และความหัวร้อนของตนตลอดเวลา  ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรเวลาที่ใช้วาจาทารุณกรรมใครสักคนก็ตาม สิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากตัวคนที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอารมณ์และความหัวร้อนของตนเองก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม  แล้วนั่นเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบใด?  อย่างน้อยที่สุดก็เป็นอุปนิสัยที่โหดร้ายและโอหัง  การแก้ปัญหาใดๆ ด้วยการพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมานั้นใช่เจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่ใช่)  พระเจ้าไม่ทรงปรารถนาให้ผู้ติดตามของพระองค์ใช้วิธีการเช่นนั้นจัดการเรื่องใดๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา ความนัยที่แฝงอยู่ก็คือพระเจ้าไม่โปรดเวลาผู้คนจัดการทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวด้วยการลงไม้ลงมือกับผู้อื่นและใช้วาจาทารุณคนอื่น  เจ้าไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ด้วยการใช้วาจาทารุณผู้คน และการทำเช่นนั้นย่อมส่งผลต่อความสามารถของเจ้าในการลงมือทำตามหลักธรรม  อย่างน้อยที่สุดนั่นก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่เป็นบวก หรือพฤติกรรมซึ่งผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี  นั่นคือสาเหตุที่พระเจ้าทรงวางข้อกำหนดให้ผู้ที่ติดตามพระองค์ไม่ลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น  ใน “การทารุณกรรมทางวาจา” นั้นมีอารมณ์และความหัวร้อนอยู่  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อารมณ์” นั้น—หมายถึงอะไร?  อารมณ์หมายรวมถึงความเกลียดชังและคำสาปแช่ง การไม่อยากให้ผู้อื่นได้ดี หวังให้ผู้อื่นได้รับการลงโทษอันสาสมตามที่ตนเองต้องการ และหวังว่าผู้อื่นจะมีปลายทางที่ไม่ดี  อารมณ์ย่อมครอบคลุมสิ่งที่เป็นลบแบบนี้เป็นพิเศษ  แล้ว “ความหัวร้อน” หมายถึงอะไร?  หมายถึงการระบายอารมณ์ของตนโดยใช้วิธีการที่สุดโต่ง นิ่งเฉย เป็นลบ และชั่ว อยากให้สิ่งต่างๆ และผู้คนที่ตนไม่ชอบอันตรธานไปเสีย หรือประสบความวิบัติ ตนจะได้ยินดีปรีดาในความโชคร้ายของคนเหล่านั้นดังที่ตนปรารถนา  นั่นคือความหัวร้อน  ความหัวร้อนครอบคลุมสิ่งใดบ้าง?  ความเกลียดชัง ความเป็นอริ คำสาปส่ง รวมถึงความประสงค์ร้ายบางอย่าง—ความหัวร้อนครอบคลุมทั้งหมดนี้  สิ่งเหล่านี้มีอะไรเป็นบวกบ้างไหม?  (ไม่มี)  เมื่อใครบางคนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอารมณ์และความหัวร้อนเหล่านี้ พวกเขาย่อมอยู่ในภาวะเช่นใด?  พวกเขากำลังจะกลายเป็นปีศาจที่คลุ้มคลั่งไม่ใช่หรือ?  ยิ่งเจ้าใช้วาจาทารุณผู้คน เจ้าก็ยิ่งโกรธ ยิ่งกลายเป็นคนโหดเหี้ยม และยิ่งอยากใช้วาจาทารุณผู้อื่น แล้วในที่สุดเจ้าก็จะอยากยื่นมือออกไปลงไม้ลงมือกับใครสักคน  แล้วพอเจ้าลงมือทุบตีใครเข้า เจ้าก็จะอยากทำให้พวกเขาบาดเจ็บปางตาย อยากเอาชีวิตพวกเขา ซึ่งก็หมายความว่า “ฉันจะทำลายแก!  ฉันจะฆ่าแก!”  อารมณ์เล็กน้อยอย่างเดียว—อารมณ์ที่เป็นลบ—พาให้ความหัวร้อนของคนเราพองตัวและระเบิดออกมา แล้วในที่สุดก็ทำให้ผู้คนอยากทำลายให้ชีวิตหนึ่งสูญสิ้นไป  นั่นใช่สิ่งที่คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมีและพึงครอบครองหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่คือโฉมหน้าของอะไร?  (เป็นโฉมหน้าของมาร)  นี่คือมารที่เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของตนออกมา  เป็นใบหน้าแบบเดียวกับที่ปีศาจมีเวลาที่มันเตรียมจะกลืนกินคนเข้าไป  ธรรมชาติเยี่ยงปีศาจผุดออกมาภายนอกและไม่อาจถูกควบคุมได้  นั่นคือความหมายของการเป็นปีศาจที่คลุ้มคลั่ง  แล้วผู้คนเหล่านี้คลุ้มคลั่งขนาดไหน?  พวกเขากลายเป็นปีศาจที่อยากกลืนกินเนื้อหนังและดวงจิตของมนุษย์  ผลสืบเนื่องที่ร้ายแรงที่สุดของการทารุณกรรมทางวาจาก็คือมันอาจพลิกเรื่องธรรมดาๆ จากหน้ามือเป็นหลังมือ และนำไปสู่ความตายของใครบางคน  ปัญหามากมายเริ่มต้นด้วยการกระทบกระทั่งกันนิดหน่อยระหว่างคนสองคน ซึ่งพาให้พวกเขาแผดเสียงใส่กันและทารุณกรรมกันทางวาจา และแล้วก็ชกต่อยกัน ตามด้วยความอยากจะฆ่า ซึ่งจากนั้นก็กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา—พวกเขาคนใดคนหนึ่งถูกฆ่าตาย และอีกฝ่ายก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงฐานฆาตกรรมและต้องโทษประหารชีวิต  ทั้งสองฝ่ายต่างก็สูญเสียในท้ายที่สุด  นี่คือผลสุดท้าย  พวกเขาได้ใช้วาจาทารุณผู้อื่นไปแล้ว ได้ระบายอารมณ์ของตนไปแล้ว ได้เผยความหัวร้อนออกมาหมดแล้ว และทั้งคู่ก็ได้ลงนรกแล้ว  นั่นคือผลลัพธ์  ผลที่เกิดแก่มนุษย์เพราะการระบายอารมณ์ของตน เพราะการพองตัวและปะทุออกมาของความหัวร้อนของเขา ก็เป็นเช่นนี้  นี่ไม่ใช่ผลดี นี่คือผลชั่ว  เจ้าย่อมมองเห็นว่านี่คือจุดจบแบบที่มนุษย์ย่อมเผชิญอันเป็นผลจากพฤติกรรมที่เกิดจากอารมณ์พื้นๆ ที่เป็นลบ  ผู้คนไม่อยากพบเจอจุดจบแบบนี้ และพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะเผชิญจุดจบแบบนี้ด้วยตนเอง แต่เพราะผู้คนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอารมณ์ที่ไม่ดีสารพัดรูปแบบ และเพราะพวกเขาถูกความหัวร้อนพัวพันและควบคุมเอาไว้ ซึ่งมักจะขยายตัวและระเบิดออกมา ผลเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในที่สุด  จงบอกเราเถิดว่าการทารุณกรรมด้วยวาจาเป็นพฤติกรรมที่ธรรมดาหรือไม่?  การทารุณกรรมทางวาจาที่ผู้คนทำกันในชีวิตประจำวันนั้นอาจไม่ให้ผลชั่วอย่างนี้—กล่าวคือ ผลชั่วแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นผลจากเหตุการณ์ที่ใช้วาจาทารุณกันทุกครั้งไป  ถึงกระนั้นนี่ก็คือแก่นแท้ของการทารุณกรรมทางวาจา  มันคือการระบายอารมณ์ของคนเรา เป็นการพองตัวและระเบิดออกมาของความหัวร้อนของคนเรา  เพราะฉะนั้นจึงแน่นอนว่าข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ว่าไม่ให้ใช้วาจาทารุณผู้อื่น ย่อมเป็นผลดีต่อมนุษย์—เป็นผลดีต่อเขาอยู่ร้อยทางและไม่ได้ทำร้ายเขาในทางใดเลย—ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นนัยสำคัญอย่างหนึ่งของการที่พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดเช่นนี้ต่อมวลมนุษย์  ข้อกำหนดไม่ให้ใช้วาจาทารุณผู้อื่นอาจไม่ถึงขั้นเป็นการปฏิบัติหรือการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่มนุษย์ก็ควรปฏิบัติตามข้อกำหนดเช่นนี้อยู่ดี

ผู้คนสามารถทำตามข้อกำหนดของพระเจ้าที่ว่าพวกเขาต้องไม่ใช้วาจาทารุณกันโดยอาศัยเพียงการยับยั้งชั่งใจเท่านั้นได้หรือไม่?  เมื่อผู้คนโมโห โดยมากแล้วพวกเขาไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้  ดังนั้นผู้คนจะทำตามข้อกำหนดที่ไม่ให้ใช้วาจาทารุณกันนี้ได้อย่างไร?  เมื่อเจ้ากำลังจะใช้วาจาทารุณใครสักคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เจ้าไม่สามารถยับยั้งตนเองได้ เจ้าควรรีบอธิษฐาน  ถ้าเจ้าอธิษฐานสักครู่หนึ่งและวิงวอนพระเจ้าอย่างจริงจังตั้งใจ ความโกรธของเจ้าย่อมมีแนวโน้มที่จะเบาบางลง  ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะสามารถยับยั้งตัวเองได้อย่างมีประสิทธิผล ควบคุมอารมณ์และความหัวร้อนของเจ้าได้  ตัวอย่างเช่น บางครั้งผู้คนอาจกล่าวบางสิ่งที่ทำให้เจ้ารู้สึกว่าถูกหยาม หรือพวกเขาอาจตัดสินเจ้าลับหลัง หรืออาจจะทำร้ายเจ้าโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว หรืออาจเอาเปรียบเจ้านิดหน่อย ขโมยบางสิ่งไปจากเจ้า หรือถึงขั้นทำให้ผลประโยชน์ที่สำคัญยิ่งของเจ้าเสียหาย  เมื่อสิ่งเหล่านี้บังเกิดแก่เจ้า เจ้าย่อมจะคิดไปว่า “เขาทำร้ายฉัน เพราะอย่างนั้นฉันถึงเกลียดเขา ฉันอยากตะโกนด่าเขา อยากแก้แค้นเขา ถึงกับอยากลงมือลงไม้กับเขา  ฉันอยากเล่นสกปรกลับหลังเพื่อจะได้สอนบทเรียนแก่เขา”  ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดจากอารมณ์ต่างๆ ที่ไม่ดีหรอกหรือ?  ผลจากอารมณ์ไม่ดีก็คือเจ้าจะอยากทำเรื่องเหล่านี้  ยิ่งเจ้าครุ่นคิด เจ้าก็จะยิ่งเดือดดาล แล้วเจ้าจะยิ่งคิดว่าคนคนนี้กลั่นแกล้งเจ้า ศักดิ์ศรีและตัวตนของเจ้าถูกหยาม  เจ้าจะรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ และอยากจะแก้แค้น  นี่คือความวู่วามหัวร้อนที่อารมณ์เชิงลบเหล่านี้ก่อให้เกิดขึ้นในตัวเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ความอยากแก้แค้นของเจ้านี้เป็นพฤติกรรมแบบใด?  เจ้ากำลังจะพรั่งพรูความหัวร้อนออกมามิใช่หรือ?  ในเวลาอย่างนี้เจ้าต้องสงบใจ ก่อนอื่นเลยเจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า ยับยั้งชั่งใจ ใคร่ครวญและแสวงหาความจริง แล้วกระทำการด้วยปัญญา  นั่นเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เจ้ารู้สึกกระวนกระวาย สถานการณ์ที่มีความเกลียดชัง อารมณ์ และความหัวร้อนเกิดขึ้นในตัวเจ้า  บางคนอาจบอกว่า “ถ้าคนสองคนทำงานด้วยกันทั้งวัน เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีทางที่จะเลี่ยงสถานการณ์อย่างนี้ได้”  ต่อให้เจ้าเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้ เจ้าก็ต้องไม่โต้กลับ เจ้าต้องยับยั้งชั่งใจเอาไว้  เจ้าจะยับยั้งชั่งใจได้อย่างไร?  ก่อนอื่นเลยเจ้าต้องคิดในใจว่า “ถ้าฉันเอาคืน นั่นย่อมจะไม่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยเป็นแน่ ฉะนั้นฉันจะทำอย่างนั้นไม่ได้  ความชัง การแก้แค้น และการเกลียดล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่โปรด”  พระเจ้าไม่โปรดสิ่งเหล่านี้ แต่เจ้าก็ยังอยากทำ และไม่สามารถควบคุมตนเองได้  เจ้าควรแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร?  ปกติแล้วเจ้าต้องพึ่งพาพระเจ้า ถ้าเจ้าไม่อธิษฐานถึงพระเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้  ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าวุฒิภาวะของเจ้ามีน้อยเกินไป และเจ้าก็หัวร้อนเกินไป ไม่สามารถยับยั้งอารมณ์และความหัวร้อนของตนได้จริงๆ เจ้าอยากที่จะแก้แค้น ก็แน่นอนว่าเจ้าต้องไม่เปิดปากใช้วาจาทารุณคนคนนั้นอยู่ดี  เจ้าสามารถผละจากที่ใดก็ตามที่เจ้าอยู่ได้ และเปิดโอกาสให้คนอื่นไกล่เกลี่ยและแก้ไขสถานการณ์ให้  เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่เงียบๆ และสวดท่องบางวลีที่เกี่ยวข้องในพระวจนะของพระเจ้า  จงอธิษฐานถึงพระเจ้าในลักษณะนี้ แล้วความหัวร้อนของเจ้าก็จะค่อยๆ หมดไป  เจ้าจะตระหนักว่าการใช้วาจาทารุณผู้คนไม่อาจแก้ปัญหาได้ และย่อมจะเป็นการเผยความเสื่อมทรามออกมา นั่นมีแต่จะนำความเสื่อมเสียมาให้พระเจ้าเท่านั้น  การอธิษฐานเช่นนี้ย่อมจะแก้ปัญหาให้เจ้ามิใช่หรือ?  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับทางแก้เช่นนี้?  (ดีงาม)  สามัคคีธรรมของเราเกี่ยวกับกฎระเบียบทางด้านพฤติกรรมเรื่อง “ไม่ลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น” ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ก็มีเพียงเท่านี้

เราเพิ่งสามัคคีธรรมเรื่องพฤติกรรมอันดีงามที่พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนค้ำชู พฤติกรรมดังกล่าวมีอะไรบ้าง?  (มีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน ไม่ทำตัวเสเพล รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่สวมเสื้อผ้าที่ผิดธรรมดา ไม่ลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มสุรา ไม่บูชารูปเคารพ ให้เกียรติพ่อแม่ของตน ไม่ลักขโมย ไม่เบียดบังทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ไม่ทำผิดประเวณี และไม่เป็นพยานเท็จ)  ใช่แล้ว ทั้งหมดนี้ถูกต้อง  จงบอกเราเถิดว่าข้อกำหนดที่ระบุไว้ในธรรมบัญญัติ เช่น ข้อกำหนดที่ไม่ให้ลักขโมยและไม่เอาเปรียบผู้อื่น เดี๋ยวนี้ยังคงทำได้อยู่หรือไม่?  ยังมีประสิทธิผลอยู่หรือไม่?  (ยังคงทำได้และมีประสิทธิผล)  ถ้าเช่นนั้นพระบัญญัติจากยุคพระคุณเล่าเป็นอย่างไร?  (ยังคงปฏิบัติได้เช่นกัน)  ดังนั้นเหตุใดพระเจ้าจึงทรงวางข้อกำหนดจำเพาะเหล่านี้?  ข้อกำหนดเฉพาะเหล่านี้กล่าวถึงการปฏิบัติของมนุษย์ในแง่ใด?  ถ้าพระเจ้าไม่ทรงมีข้อกำหนดเหล่านี้ออกมา ผู้คนจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนย่อมจะไม่เข้าใจ  ข้อกำหนดเฉพาะที่พระเจ้าทรงมีเพื่อกำกับพฤติกรรมของมนุษย์นี้ แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติทั้งสิ้น  จุดประสงค์ที่มีข้อกำหนดเฉพาะเหล่านี้ออกมาก็เพื่อทำให้ผู้คนสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะและระบุสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบได้อย่างถูกต้องแม่นยำ รวมทั้งสิ่งถูกและสิ่งผิด นี่เป็นไปเพื่อที่จะสอนผู้คนว่าการล่วงประเวณีคือสิ่งที่เป็นลบ น่าละอาย เป็นที่เกลียดชังของพระเจ้า เป็นที่ดูแคลนของมนุษย์ และผู้คนควรรู้จักยับยั้งชั่งใจในเรื่องนี้ พวกเขาไม่ควรกระทำเรื่องเช่นนี้ หรือทำผิดพลาดในเรื่องนี้ นอกจากนี้ยังเป็นไปเพื่อสอนผู้คนด้วยว่าพฤติกรรม เช่น การเอาเปรียบผู้อื่น ลักขโมย เป็นต้น คือสิ่งที่เป็นลบทั้งสิ้น และผู้คนก็ไม่ควรทำเรื่องเหล่านี้  ถ้าเจ้าชอบทำเรื่องเหล่านี้ และได้ทำเรื่องเหล่านี้ลงไปแล้ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่คนดี  คนเราจะแยกแยะผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดีออกจากผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี หรือคนที่เป็นบวกออกจากคนที่เป็นลบได้อย่างไร?  ก่อนอื่นเลยเจ้าต้องยืนยันดังนี้ว่า—จะสามารถดูผู้คนออกอย่างถูกต้องแม่นยำ และสามารถแยกแยะคนที่เป็นบวกออกจากคนที่เป็นลบได้เฉพาะเมื่ออิงตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  จะสามารถแยกแยะและเข้าใจผู้คนได้อย่างชัดแจ้งก็ต่อเมื่อดูตามข้อกำหนดและมาตรฐานที่พระเจ้าทรงวางไว้เพื่อกำกับพฤติกรรมของมนุษย์เท่านั้น  เราจะยกตัวอย่างว่า ถ้าคนคนหนึ่งมีความโน้มเอียงที่จะขโมย และชอบลักเอาจากคนอื่น สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาย่อมเป็นเช่นไร?  (ไม่ดี)  การลักขโมยคือการกระทำที่ชั่วและร้ายแรง ดังนั้นผู้ที่ลักขโมยจึงเป็นคนชั่ว  ผู้อื่นล้วนระมัดระวังพวกเขา พาตัวออกห่างจากพวกเขา และมองว่าพวกเขาเป็นโจร  ในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนนั้น โจรก็คือคนที่มีลักษณะนิสัยเป็นลบ การลักขโมยคือสิ่งที่เป็นลบ และเป็นพฤติกรรมที่เป็นบาป  เมื่อเป็นดังนั้น เรื่องนี้ก็ได้รับการยืนยันแล้วมิใช่หรือ?  มีอีกตัวอย่างหนึ่งคือ สมมุติว่ามีคนทำผิดประเวณี แล้วบางคนก็ไม่รู้ว่าเรื่องเช่นนั้นเป็นบวกหรือเป็นลบ—ทางเดียวที่พวกเขาจะประเมินเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้องแม่นยำก็คือดูตามพระวจนะของพระเจ้า เพราะมีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง  ไม่ว่าระบบกฎหมายและหลักศีลธรรมสมัยนี้จะมีข้อกล่าวอ้างใหม่ๆ เกี่ยวกับการล่วงประเวณีว่าอย่างไร ทั้งหมดนั้นก็ไม่ใช่ความจริง  พระวจนะที่พระเจ้าตรัสว่า “ไม่ทำผิดประเวณี” คือความจริง และความจริงจะไม่มีวันล่วงไป  นับแต่ชั่วขณะที่พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดให้ “ไม่ทำผิดประเวณี” ทุกคนก็ควรที่จะเริ่มเดียดฉันท์และพาตัวออกห่างจากคนที่ผิดประเวณีแล้ว  ผู้คนเช่นนั้นไม่มีความเป็นมนุษย์ และอย่างน้อยที่สุด ถ้าเจ้าประเมินพวกเขาจากมุมมองของความเป็นมนุษย์ พวกเขาย่อมไม่ใช่คนดี  ใครก็ตามที่มีส่วนร่วมในความประพฤติตนเช่นนี้ และมีสภาวะความเป็นมนุษย์แบบนี้ ย่อมไร้ความละอาย เป็นที่เกลียดชังของมนุษย์ เป็นที่ดูแคลนและเดียดฉันท์ในกลุ่มต่างๆ และถูกมวลชนปฏิเสธ  พวกเราสามารถยืนยันตามพระวจนะของพระเจ้าได้ว่าการทำผิดประเวณีคือสิ่งที่เป็นลบ ผู้คนที่ทำเช่นนี้คือคนที่เป็นลบ  ไม่ว่ากระแสนิยมในสังคมจะชั่วเพียงใด การผิดประเวณีและการทำผิดศีลธรรมทางเพศคือสิ่งที่เป็นลบ และผู้ที่ทำเรื่องเหล่านี้ก็คือคนที่เป็นลบ  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด และเจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าต้องไม่ถูกกระแสนิยมอันชั่วของสังคมยั่วยวนหรือชักจูงไปในทางที่ผิด  นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้วยังมีข้อกำหนดเฉพาะบางอย่างอีกคือ พระเจ้าตรัสบอกให้ผู้คนไม่บูชารูปเคารพ ให้เกียรติพ่อแม่ของตน ไม่ลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น ให้มีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน เป็นต้น  ข้อกำหนดจำเพาะเหล่านี้คือมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้กำกับพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งสิ้น  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ก่อนที่พระเจ้าจะประทานความจริงแก่ผู้คนนั้น พระองค์ทรงสอนพวกเขาว่าการกระทำเช่นใดถูกต้องและเป็นบวก การกระทำเช่นใดผิดและเป็นลบ พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นคนดี และพวกเขาต้องมีพฤติกรรมอันดีงามเช่นใดบ้างจึงจะเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ รวมทั้งต้องทำและต้องไม่ทำเรื่องใดบ้างในฐานะคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เพื่อให้พวกเขาสามารถเลือกได้อย่างถูกต้อง  ข้อกำหนดทั้งหมดที่กำกับพฤติกรรมของมนุษย์นี้คือสิ่งที่คนที่ปกติทุกคนควรใช้ดำเนินชีวิต และแท้จริงแล้วเป็นหลักการที่ทุกคนใช้เผชิญหน้าและรับมือทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาประสบ  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าเห็นอีกคนหนึ่งมีของบางอย่างที่ดูดี และเจ้าอยากได้มาเป็นของตัวเอง แต่แล้วเจ้าก็คิดขึ้นมาว่า “พระเจ้าตรัสว่าการลักเอาจากผู้อื่นนั้นผิด พระองค์ตรัสว่าพวกเราต้องไม่ลักขโมยหรือเอาเปรียบผู้อื่น ดังนั้นฉันจะลักเอาจากพวกเขาไม่ได้”  เมื่อเป็นเช่นนั้น พฤติกรรมที่จะลักขโมยย่อมถูกระงับไปมิใช่หรือ?  แล้วเมื่อถูกระงับไป พฤติกรรมของเจ้าก็ถูกกำกับไปพร้อมกันมิใช่หรือ?  ก่อนที่พระเจ้าจะทรงมีข้อกำหนดเหล่านี้ เวลาผู้คนมองเห็นสิ่งสวยงามที่อยู่ในการครอบครองของผู้อื่น พวกเขาก็จะอยากหยิบฉวยเอามาเป็นของตน  พวกเขาไม่ได้คิดว่าการทำเช่นนั้นผิดหรือน่าละอาย หรือว่าพระเจ้าทรงเกลียดการทำเช่นนั้น หรือว่านั่นเป็นเรื่องเชิงลบ หรือเป็นบาปด้วยซ้ำ พวกเขาไม่รู้เรื่องเหล่านี้ พวกเขาไม่มีแนวคิดเหล่านี้  หลังจากที่พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดให้ “ไม่ลักขโมย” ผู้คนจึงมีเส้นแบ่งในใจเวลาจะทำเรื่องแบบนี้ และเพราะมีเส้นแบ่งนี้ พวกเขาจึงเรียนรู้ว่ามีข้อแตกต่างระหว่างการลักขโมยกับการไม่ลักขโมย  การลักขโมยเป็นสิ่งที่เท่ากับการทำสิ่งที่เป็นลบ เป็นการทำสิ่งที่ไม่ดีหรือชั่ว และเป็นเรื่องน่าละอาย  การไม่ลักขโมยคือการยึดหลักศีลธรรมของมนุษยชาติ และมีความเป็นมนุษย์อยู่ในการทำเช่นนั้น  ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์ไม่เพียงแก้ไขพฤติกรรมและแนวทางที่เป็นลบของผู้คนเท่านั้น แต่พร้อมกันนั้นก็กำกับพฤติกรรมของมนุษย์ และทำให้ผู้คนสามารถดำเนินชีวิตไปพร้อมกับความเป็นมนุษย์ที่ปกติ มีพฤติกรรมและลักษณะการแสดงออกที่ปกติ และอย่างน้อยก็ดูเป็นผู้เป็นคน เหมือนผู้คนที่ปกติอีกด้วย  จงบอกเราเถิดว่าข้อกำหนดทั้งหลายที่พระเจ้าทรงมีเพื่อกำกับพฤติกรรมของมนุษย์นี้มีความหมายยิ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  ข้อกำหนดเหล่านี้มีความหมาย  อย่างไรก็ดี ข้อกำหนดจำเพาะทั้งหลายที่กำกับพฤติกรรมของมนุษย์นี้ยังคงห่างไกลจากความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงอยู่ในตอนนี้เป็นอย่างมาก และไม่สามารถยกระดับให้เป็นความจริงได้  นี่เป็นเพราะนานมาแล้วในยุคธรรมบัญญัติ ข้อกำหนดเหล่านี้เป็นเพียงธรรมบัญญัติที่กำกับดูแลพฤติกรรมของมนุษย์เท่านั้น เป็นการที่พระเจ้าทรงใช้ภาษาที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดเพื่อบอกผู้คนว่าพวกเขาควรและไม่ควรทำสิ่งใดบ้าง แล้วก็ทรงสร้างกฎเกณฑ์บางประการสำหรับพวกเขาขึ้นมา  ในยุคพระคุณข้อกำหนดเหล่านี้ก็เป็นเพียงพระบัญญัติเท่านั้น ส่วนในยุคปัจจุบันอาจกล่าวได้เพียงว่าข้อกำหนดเหล่านี้คือหลักเกณฑ์ที่ใช้ประเมินพฤติกรรมของคนเราเอง และใช้ประเมินสิ่งต่างๆ  แม้หลักเกณฑ์เหล่านี้จะไม่สามารถยกระดับขึ้นมาเป็นความจริงได้ และมีระยะห่างอยู่บ้างระหว่างข้อกำหนดเหล่านี้กับความจริง แต่หลักเกณฑ์เหล่านี้ก็เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่สำคัญยิ่งสำหรับการที่มนุษย์จะไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง  เมื่อคนคนหนึ่งยึดถือกฎเกณฑ์เหล่านี้ ยึดถือธรรมบัญญัติและพระบัญญัติเหล่านี้ ยึดถือข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงบัญญัติไว้เพื่อกำกับพฤติกรรมของมนุษย์ ก็สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขามีปัจจัยพื้นฐานสำหรับการปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริง  ถ้าคนคนหนึ่งสูบบุหรี่และดื่มสุรา ถ้าพฤติกรรมของพวกเขานั้นเสเพล และพวกเขาทำผิดประเวณี เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น และมักจะลักขโมย แล้วเจ้ากลับกล่าวว่า “คนคนนี้รักความจริง พวกเขาย่อมจะปฏิบัติความจริงและบรรลุความรอดได้อย่างแน่นอน” ถ้อยแถลงเช่นนั้นจะฟังขึ้นหรือไม่?  (ฟังไม่ขึ้น)  เหตุใดจึงฟังไม่ขึ้น?  (คนคนนั้นไม่สามารถทำตามข้อกำหนดขั้นพื้นฐานที่สุดของพระเจ้าด้วยซ้ำ จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปฏิบัติความจริงได้ และถ้าคนเราจะกล่าวว่าพวกเขารักความจริง นั่นย่อมจะเป็นการโกหก)  ถูกต้อง  คนคนนี้ไม่มีแม้กระทั่งความยับยั้งชั่งใจขั้นพื้นฐานที่สุดด้วยซ้ำ  ความนัยที่แฝงอยู่ในเรื่องนี้ก็คือว่าพวกเขาไม่มีแม้แต่มโนธรรมและเหตุผลระดับพื้นฐานที่สุดที่คนคนหนึ่งพึงมี  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คนคนนี้ไม่มีมโนธรรมและเหตุผลตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  การไม่มีมโนธรรมและเหตุผลหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าคนคนนี้ได้ฟังพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไปแล้ว เคยฟังข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ รวมทั้งกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้ไปแล้ว และพวกเขาก็ไม่จริงจังกับสิ่งที่ได้ฟังไปแต่อย่างใด  พระเจ้าตรัสว่าการลักเอาจากผู้อื่นนั้นไม่ดี ผู้คนไม่ควรลักขโมย และคนคนนี้ก็นึกสงสัยว่า “ทำไมถึงไม่อนุญาตให้ผู้คนลักขโมย?  ฉันยากจนขนาดนี้ จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าฉันไม่ขโมย?  ฉันจะร่ำรวยได้หรือเปล่าถ้าไม่ขโมยของหรือเอาเปรียบคนอื่น?”  พวกเขาไร้มโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์ที่ปกติมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาไม่สามารถยึดตามข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงบัญญัติไว้เพื่อควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ พวกเขาจึงไม่ใช่คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ถ้าคนเรากล่าวว่าคนที่ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกตินั้นรักความจริง นั่นจะเป็นไปได้หรือ?  (เป็นไปไม่ได้)  พวกเขาไม่รักสิ่งที่เป็นบวก และแม้พระเจ้าจะตรัสว่าผู้คนต้องไม่ลักขโมยหรือทำผิดประเวณี แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำตามข้อกำหนดเหล่านี้ และนึกเอือมพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า—ดังนั้นพวกเขาสามารถรักความจริงหรือไม่?  ความจริงสูงส่งกว่าหลักเกณฑ์ทางพฤติกรรมเหล่านี้มากนัก—พวกเขาจะบรรลุความจริงได้หรือ?  (ไม่ได้)  ความจริงไม่ใช่หลักเกณฑ์ง่ายๆ ทางด้านพฤติกรรม ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของผู้คนที่นึกถึงความจริงเวลาพวกเขาทำบาปหรือเอาแต่ใจและผลีผลาม แล้วจากนั้นก็รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ทำบาป หรือกระทำการอย่างเอาแต่ใจและผลีผลามอีกต่อไป  ความจริงไม่ได้เอาแต่ควบคุมพฤติกรรมของผู้คนโดยง่ายเช่นนี้—ความจริงสามารถกลายเป็นชีวิตของคนเราได้ และสามารถมีอำนาจเหนือทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคนคนหนึ่ง  เมื่อผู้คนยอมรับความจริงมาเป็นชีวิตของตน พวกเขาย่อมทำเช่นนี้ได้ด้วยการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า มารู้จักความจริง และปฏิบัติความจริง  เมื่อผู้คนยอมรับความจริง ย่อมจะเกิดการต่อสู้ดิ้นรนในตัวพวกเขา และมีแนวโน้มที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะพรั่งพรูออกมา  เมื่อผู้คนสามารถใช้ความจริงแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ความจริงก็จะกลายเป็นชีวิตของพวกเขาได้ และกลายเป็นหลักธรรมที่พวกเขาใช้วางตนและดำเนินชีวิต  นี่คือสิ่งที่มีแต่ผู้คนที่รักความจริงและมีความเป็นมนุษย์เท่านั้นที่สามารถสัมฤทธิ์ได้  ผู้ที่ไม่รักความจริงและไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์จะสามารถไต่ขึ้นมาถึงระดับนี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ถูกต้อง ต่อให้พวกเขาอยากไต่ขึ้นมา พวกเขาก็ทำไม่ได้

ถ้าพวกเรามองดูข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาเพื่อกำกับพฤติกรรมของมนุษย์ ในบรรดาพระวจนะที่พระเจ้าตรัสและในบรรดาเงื่อนไขจำเพาะที่พระองค์ทรงมีนั้น มีข้อไหนที่เกินจำเป็นบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  ทั้งหมดนั้นมีความหมายหรือไม่?  มีคุณค่าหรือไม่?  (มี)  ผู้คนควรยึดปฏิบัติตามทั้งหมดนั้นหรือไม่?  (ควร)  ถูกต้อง ผู้คนควรยึดปฏิบัติตามทั้งหมดนั้น  และพร้อมกับที่ยึดปฏิบัติตามทั้งหมดนั้น ผู้คนก็ควรทิ้งถ้อยแถลงที่วัฒนธรรมดั้งเดิมใช้ล้างสมองพวกเขามา เช่น การผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล การอ่อนโยนและมีมารยาท เป็นต้น  พวกเขาควรทำตามข้อกำหนดแต่ละข้อที่พระเจ้าทรงมีไว้กำกับพฤติกรรมของมนุษย์ และวางตนให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด  พวกเขาควรใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติด้วยการตั้งใจปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งปวงที่พระเจ้าทรงมี และโดยปกติแล้วพวกเขาก็ควรประเมินผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามข้อกำหนดเหล่านี้อย่างเคร่งครัดด้วย  แม้ข้อกำหนดเหล่านี้จะห่างไกลจากมาตรฐานของความจริง แต่ทั้งหมดก็เป็นพระวจนะของพระเจ้า และเพราะเป็นพระวจนะของพระเจ้า จึงสามารถให้ผลในการชี้นำผู้คนทั้งในเชิงบวกและเชิงรุก  เราได้นิยามการไล่ตามเสาะหาความจริงไว้ว่าอย่างไร?  การมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของคนเรา  พระวจนะของพระเจ้าครอบคลุมสิ่งต่างๆ อย่างกว้างไกล  บางครั้งพระวจนะของพระองค์วลีหนึ่งก็แสดงให้เห็นความจริงเรื่องหนึ่งแล้ว  บางครั้งก็ใช้หลายวลีหรือบทตอนหนึ่งเพื่อที่จะอธิบายความจริงเรื่องเดียว  บางครั้งจำเป็นต้องใช้ทั้งบทเพื่อที่จะแสดงความจริงเรื่องหนึ่ง  ความจริงนั้นดูเหมือนเรียบง่าย แต่ที่จริงแล้วไม่ได้เรียบง่ายแต่อย่างใด  หากจะอธิบายความจริงให้กว้างขึ้นก็ย่อมเป็นว่า พระเจ้าคือความจริง  พระวจนะทั้งปวงของพระเจ้าคือความจริง พระวจนะของพระเจ้ามีจำนวนมหาศาล ครอบคลุมเนื้อหามากมาย และเป็นถ้อยคำที่แสดงถึงความจริงทั้งสิ้น  ตัวอย่างเช่น ธรรมบัญญัติและพระบัญญัติที่พระเจ้าทรงวางไว้ รวมทั้งข้อกำหนดทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงมีในยุคใหม่นี้ คือพระวจนะของพระเจ้าทั้งสิ้น  แม้บางส่วนของพระวจนะเหล่านี้จะไม่เข้าขั้นความจริง และไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นความจริง แต่ก็เป็นสิ่งที่เป็นบวก  แม้บางส่วนจะเป็นเพียงพระวจนะไว้ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ แต่ผู้คนก็ยังคงต้องยึดถือพระวจนะเหล่านี้  อย่างน้อยที่สุดผู้คนต้องมีพฤติกรรมเช่นนี้ และต้องไม่ออกห่างจากมาตรฐานเหล่านี้  เพราะฉะนั้นทัศนะที่คนเรามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและการกระทำของคนเรา ก็ต้องเป็นไปตามพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า  ผู้คนควรยึดปฏิบัติตามพระวจนะเพราะนั่นคือพระวจนะของพระเจ้า ทุกคนควรมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า เพราะว่านั่นคือพระวจนะของพระเจ้า  เช่นนั้นจึงถูกต้องมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อก่อนเราก็เคยกล่าวอะไรทำนองนี้ไว้ว่าพระเจ้าทรงหมายความตามที่พระองค์ตรัส พระวจนะของพระองค์ย่อมจะสำเร็จลุล่วง และสิ่งที่พระวจนะของพระองค์สำเร็จลุล่วงย่อมจะดำรงอยู่ตลอดไป ซึ่งหมายความว่าพระวจนะของพระเจ้าจะไม่มีวันสูญสลาย  เหตุใดพระวจนะจึงไม่สูญสลาย?  เพราะไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสพระวจนะไปเท่าใด และไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสพระวจนะไว้เมื่อใด พระวจนะทั้งหมดก็คือความจริง และไม่สูญสลายไปอย่างเด็ดขาด  แม้ในยามที่โลกเข้าสู่ยุคใหม่ พระวจนะของพระเจ้าก็จะไม่เปลี่ยนไป และจะไม่สูญหาย  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพระวจนะของพระเจ้าย่อมไม่สูญหาย?  เพราะพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และสิ่งใดก็ตามที่เป็นความจริงย่อมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ดังนั้นธรรมบัญญัติและพระบัญญัติทั้งปวงที่พระเจ้าทรงมีและตรัสไว้ รวมทั้งข้อกำหนดเฉพาะทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์จะไม่มีวันสูญสลาย  ข้อกำหนดทุกข้อในพระวจนะของพระเจ้าเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ที่ทรงสร้าง ทุกข้อล้วนกำกับพฤติกรรมของมนุษย์ เป็นที่เจริญใจและมีคุณค่าต่อการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติและต่อวิธีวางตนของผู้คน  พระวจนะทั้งหมดนี้สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้ และทำให้พวกเขาใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริงได้  ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้คนไม่ยอมรับพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า และไม่ยอมรับข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ แต่กลับยึดปฏิบัติตามถ้อยแถลงเกี่ยวกับพฤติกรรมอันดีงามที่มนุษย์นำเสนอ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวง  ไม่เพียงพวกเขาจะไม่มีความเป็นมนุษย์และเหตุผลมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาย่อมจะเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและเทียมเท็จยิ่งขึ้น และจะสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย แล้วความเป็นมนุษย์ที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตก็จะมีเล่ห์เหลี่ยมมากขึ้นทุกที  ไม่เพียงพวกเขาจะใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้อื่นเท่านั้น แต่พวกเขาจะพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมกับพระเจ้าเช่นกัน

ในบรรดาข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์ มีข้อพึงประสงค์เรื่อง “ให้เกียรติพ่อแม่ของตน” อยู่  ปกติแล้วผู้คนไม่มีความคิดอ่านหรือมโนคติอันหลงผิดใดๆ เกี่ยวกับข้อกำหนดที่เหลือ ดังนั้นพวกเจ้าคิดอย่างไรกับข้อพึงประสงค์เรื่อง “ให้เกียรติพ่อแม่ของตน”?  มีอะไรขัดแย้งกันหรือไม่ระหว่างทัศนะของพวกเจ้ากับหลักธรรมความจริงที่พระเจ้าตรัส?  ถ้าเจ้ามองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน นั่นก็ดีแล้ว  ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริง รู้แต่วิธีปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และกล่าวคำพูดและคำสอนย่อมไร้วิจารณญาณ เวลาพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจึงเก็บงำมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เอาไว้เสมอ พวกเขารู้สึกตลอดเวลาว่ามีบางอย่างขัดแย้งกัน และพวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นพระวจนะของพระองค์ได้อย่างชัดเจน  ส่วนผู้ที่เข้าใจความจริงย่อมไม่เห็นว่าพระวจนะของพระเจ้ามีความขัดแย้งกันตรงไหน พวกเขาคิดว่าพระวจนะของพระองค์นั้นชัดเจนอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาเข้าใจเรื่องราวทางฝ่ายวิญญาณและสามารถเข้าใจความจริง  บางครั้งพวกเจ้าก็ไม่สามารถมองเห็นพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างชัดเจน และไม่สามารถตั้งคำถามได้—ถ้าพวกเจ้าไม่ถามอะไร ก็ย่อมดูเหมือนว่าพวกเจ้าไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่จริงแล้วพวกเจ้ามีปัญหาและมีเรื่องติดขัดมากมาย พวกเจ้าเพียงแต่ไม่ตระหนักรู้เรื่องนี้เท่านั้น  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเจ้ามีวุฒิภาวะน้อยเกินไป  ก่อนอื่นพวกเรามาดูข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่ว่าผู้คนต้องให้เกียรติพ่อแม่ของตนกันเถิด—ข้อพึงประสงค์นี้ถูกหรือผิด?  ผู้คนควรยึดปฏิบัติตามนี้หรือไม่?  (ควร)  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนและไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลังเลหรือใคร่ครวญอะไรในเรื่องนี้ ข้อพึงประสงค์นี้ถูกต้อง  ถูกต้องอย่างไร?  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงมีข้อพึงประสงค์ที่ว่านี้?  การ “ให้เกียรติพ่อแม่ของตน” ที่พระเจ้าตรัสถึงนั้นหมายความว่าอย่างไร?  พวกเจ้ารู้หรือไม่?  พวกเจ้าไม่รู้  ทำไมพวกเจ้าถึงไม่รู้อยู่เสมอ?  ตราบใดที่บางสิ่งเกี่ยวข้องกับความจริง พวกเจ้าย่อมไม่รู้ แต่พวกเจ้ากลับสามารถพูดถึงคำพูดและคำสอนได้อย่างไม่รู้จบ—ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าจะปฏิบัติตามพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้ากันอย่างไร?  นี่เกี่ยวข้องกับความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเจ้ามองเห็นว่ามีวลีหนึ่งในพระวจนะของพระเจ้าที่บอกว่า “เจ้าต้องให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้า” เจ้าก็คิดในใจว่า “พระเจ้ากำลังขอให้ฉันให้เกียรติพ่อแม่ของฉัน ดังนั้นจากนี้ไปฉันก็จะต้องให้เกียรติพ่อแม่” แล้วเจ้าก็เริ่มทำตามนี้  เจ้าทำอะไรก็ตามที่พ่อแม่ของเจ้าขอให้ทำ—พอพ่อแม่ป่วย เจ้าก็รับใช้พวกเขาอยู่ข้างเตียง รินอะไรให้ดื่ม ปรุงอะไรอร่อยๆ ให้กิน แล้วพอถึงวันหยุดตามเทศกาล เจ้าก็ซื้อของที่พ่อแม่ชอบให้พวกเขาเป็นของขวัญ  พอเห็นว่าพ่อแม่เหนื่อย เจ้าก็คลึงบ่าและนวดหลังให้ เมื่อใดที่พ่อแม่มีปัญหา เจ้าก็สามารถคิดหาทางออกเพื่อแก้ปัญหานั้น  ด้วยเหตุทั้งหมดนี้ พ่อแม่ของเจ้าจึงรู้สึกพอใจในตัวเจ้ามาก  เจ้ากำลังให้เกียรติพ่อแม่ ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกว่ามีความมั่นคงในหัวใจและคิดว่า “ดูสิ—พ่อแม่บอกว่าฉันเปลี่ยนไปตั้งแต่เริ่มเชื่อในพระเจ้า  พวกท่านบอกว่าเดี๋ยวนี้ฉันสามารถให้เกียรติท่านและมีเหตุผลมากขึ้น  พวกท่านยินดีมากและคิดว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นยอดเยี่ยม เพราะบุตรธิดาที่เชื่อในพระเจ้าไม่เพียงให้เกียรติพ่อแม่ของตนเท่านั้น แต่ยังเดินบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์อีกด้วย—พวกเขาดีกว่าผู้ไม่มีความเชื่ออย่างมาก  หลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ฉันก็เริ่มปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและลงมือทำตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์ แล้วพ่อแม่ของฉันก็มีความสุขมากที่เห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ในตัวฉัน  ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก  ฉันกำลังนำพระสิริมาสู่พระเจ้า—พระเจ้าต้องพอพระทัยในตัวฉันเป็นแน่ และพระองค์ก็จะตรัสว่าฉันเป็นคนที่ให้เกียรติพ่อแม่ของตนและมีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน”  วันหนึ่งคริสตจักรก็จัดแจงให้เจ้าไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่อื่น และเป็นไปได้ว่าเจ้าจะกลับบ้านไม่ได้ไปอีกนาน  เจ้ายอมไป รู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถละเลยพระบัญชาของพระเจ้าได้ และเชื่อว่าเจ้าต้องให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้าที่บ้านพร้อมกับค้ำชูพระบัญชาของพระเจ้าเมื่ออยู่นอกบ้าน  แต่เมื่อเจ้าหารือเรื่องดังกล่าวกับพ่อแม่ พวกเขากลับเดือดดาลและกล่าวว่า “เจ้าลูกไม่เชื่อฟัง!  พวกเราทำงานหนักขนาดนี้เพื่อเลี้ยงดูแกมา แล้วตอนนี้ก็จะมาจากไปเสียเฉยๆ  พอแกไปแล้ว ใครจะมาดูแลสามีภรรยาแก่ๆ อย่างพวกเรา?  ถ้าพวกเราไม่สบายหรือถ้ามีภัยพิบัติบางอย่างเกิดขึ้น ใครจะพาพวกเราไปโรงพยาบาล?”  พวกเขาไม่ยอมให้เจ้าไป และเจ้าก็วิตกว่า “พระเจ้าตรัสบอกให้พวกเราให้เกียรติพ่อแม่ แต่พ่อแม่ของฉันไม่ยอมให้ฉันไปทำหน้าที่ของตน  ถ้าฉันเชื่อฟังพวกท่าน ฉันก็ต้องละเลยพระบัญชาของพระเจ้า และพระเจ้าก็จะไม่โปรดที่เป็นอย่างนั้น  แต่ถ้าฉันเชื่อฟังพระเจ้าและไปทำหน้าที่ของตน พ่อแม่ของฉันก็จะไม่มีความสุข  ฉันควรทำอย่างไร?”  เจ้าใคร่ครวญแล้วก็ครุ่นคิดว่า “ในเมื่อพระเจ้าทรงมีข้อกำหนดว่าผู้คนต้องให้เกียรติพ่อแม่ของตนเป็นอันดับแรก ฉันก็จะทำตามข้อกำหนดนั้น  ฉันไม่จำเป็นต้องจากไปทำหน้าที่ของตนเอง”  เจ้าจึงทิ้งหน้าที่ของตนเองและเลือกที่จะให้เกียรติพ่อแม่ที่บ้าน แต่เจ้าก็ไม่รู้สึกมั่นคงในหัวใจ  เจ้ารู้สึกว่าแม้เจ้าจะให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ได้ทำให้หน้าที่ของเจ้าลุล่วง และเจ้าก็คิดว่าเจ้าทำให้พระเจ้าผิดหวังเสียแล้ว  จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร?  เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง จนถึงวันหนึ่งที่เจ้าเข้าใจความจริงและตระหนักว่าการทำหน้าที่ของเจ้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุด  เมื่อนั้นเจ้าก็จะสามารถออกจากบ้านและลุล่วงหน้าที่ของเจ้าได้เอง  บางคนบอกว่า “พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ฉันทำหน้าที่ของฉัน และพระองค์ก็อยากให้ฉันให้เกียรติพ่อแม่  จุดนี้มีอะไรที่ขัดแย้งกันอยู่ไม่ใช่หรือ?  ฉันควรปฏิบัติอย่างไรดี?”  การ “ให้เกียรติพ่อแม่ของตน” เป็นข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์ แต่การตัดขาดจากทุกสิ่งเพื่อติดตามพระเจ้าและทำให้พระบัญชาของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์ก็เป็นข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามิใช่หรือ?  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องยิ่งกว่าอีกมิใช่หรือ?  นี่คือการปฏิบัติความจริงยิ่งกว่านั้นอีกไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากข้อกำหนดสองอย่างนี้เกิดขัดแย้งกัน เจ้าควรทำเช่นใด?  บางคนกล่าวว่า “ดังนั้นฉันต้องให้เกียรติพ่อแม่และทำให้พระบัญชาของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์ และฉันก็ต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติความจริง—ถ้าอย่างนั้นก็ง่าย  ฉันจะจัดการทุกอย่างที่บ้านให้ลงตัว เตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตให้พ่อแม่ จ้างพยาบาล แล้วจากนั้นก็ออกไปปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง  แน่นอนว่าฉันจะกลับมาบ้านสัปดาห์ละครั้ง ดูว่าพ่อแม่สบายดีหรือเปล่า แล้วค่อยผละจากมา ถ้ามีอะไรผิดปกติ ฉันก็จะอยู่ด้วยสักสองวัน  จะให้ห่างพ่อแม่ไปเลยและไม่กลับมาอีกเลย ฉันทำไม่ได้หรอก แล้วจะให้อยู่ที่บ้านตลอดไป ไม่ออกไปทำหน้าที่ของตัวเองเลยก็ทำไม่ได้  นี่ย่อมดีที่สุดแล้วสำหรับทั้งสองโลกไม่ใช่หรือ?”  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับทางออกแบบนี้?  (นี่จะไม่ได้ผล)  นี่คือการคิดไปเอง ไม่อยู่กับความเป็นจริง  ดังนั้นเมื่อเจ้าเผชิญสถานการณ์แบบนี้ แท้จริงแล้วเจ้าควรทำอย่างไรให้สอดคล้องกับความจริง?  (เมื่อเป็นเรื่องของความจงรักภักดีและความกตัญญู การที่จะทำได้ทั้งสองอย่างย่อมเป็นไปไม่ได้—ข้าพระองค์ต้องยกให้หน้าที่มาก่อน)  พระเจ้าตรัสบอกผู้คนว่าจงให้เกียรติพ่อแม่ของตนก่อน แล้วหลังจากนั้นพระเจ้าก็ทรงมีข้อกำหนดที่สูงขึ้นแก่ผู้คนเกี่ยวกับการปฏิบัติความจริง การปฏิบัติหน้าที่ของตน และการเดินตามหนทางของพระเจ้า—สองอย่างนี้เจ้าควรยึดปฏิบัติตามอย่างไหน?  (ข้อพึงประสงค์ที่สูงกว่า)  การปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ที่สูงกว่านั้นถูกต้องหรือไม่?  ความจริงสามารถแบ่งออกเป็นความจริงที่สูงกว่าและต่ำกว่า หรือความจริงที่เก่ากว่าและใหม่กว่าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ดังนั้นเมื่อเจ้าปฏิบัติความจริง เจ้าควรปฏิบัติตามสิ่งใด?  การปฏิบัติความจริงหมายถึงอะไร?  (การจัดการเรื่องราวต่างๆ ตามหลักธรรม)  การจัดการเรื่องราวต่างๆ ตามหลักธรรมคือสิ่งที่สำคัญที่สุด  การปฏิบัติความจริงหมายถึงการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าในห้วงเวลา สถานที่ สภาพแวดล้อม และบริบทที่ต่างกัน ไม่ใช่การเอากฎเกณฑ์ไปใช้กับสิ่งต่างๆ อย่างดื้อดึง เป็นการค้ำจุนหลักธรรมความจริง  นั่นคือความหมายของการปฏิบัติความจริง  ดังนั้นจึงชัดเจนว่าไม่มีอะไรขัดแย้งกันระหว่างการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้ากับการยึดปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ทั้งหลายที่พระเจ้าทรงให้ไว้  กล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือไม่มีอะไรขัดแย้งกันเลยระหว่างการให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้ากับการทำตามพระบัญชาและทำหน้าที่ที่พระเจ้าทรงมอบหมายแก่เจ้าให้เสร็จสมบูรณ์  สองอย่างนี้อย่างไหนคือพระวจนะและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าในยุคปัจจุบัน?  เจ้าควรตรึกตรองคำถามข้อนี้ก่อน  พระเจ้าทรงเรียกร้องสิ่งที่ต่างออกไปจากผู้คนที่แตกต่างกัน พระองค์ทรงมีข้อพึงประสงค์ที่แตกต่างอย่างชัดเจนสำหรับพวกเขา  ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำและคนทำงานถูกพระเจ้าเรียกมา พวกเขาจึงต้องประกาศตัดขาด ไม่สามารถอยู่กับพ่อแม่ของตนและให้เกียรติพ่อแม่ได้  พวกเขาควรยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าและตัดขาดจากทุกสิ่งเพื่อมาติดตามพระองค์  นั่นคือสถานการณ์แบบหนึ่ง  ผู้ที่ติดตามอย่างสม่ำเสมอนั้นไม่ได้ถูกพระเจ้าเรียกมา พวกเขาจึงอยู่กับพ่อแม่ของตนและให้เกียรติพ่อแม่ได้  ไม่มีรางวัลในการทำเช่นนี้ และพวกเขาจะไม่ได้รับพรอันใดจากการทำเช่นนี้ แต่หากพวกเขาไม่แสดงความกตัญญูให้เห็น เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์  อันที่จริงการให้เกียรติพ่อแม่ของตนเป็นเพียงความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง และห่างไกลจากการปฏิบัติความจริง  การนบนอบพระเจ้าต่างหากที่เป็นการปฏิบัติความจริง การยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าต่างหากที่สำแดงถึงการเชื่อฟังพระเจ้า และผู้ที่ตัดขาดจากทุกสิ่งเพื่อมาทำหน้าที่ของตนนั่นเองคือผู้ที่ติดตามพระเจ้า  สรุปแล้วงานที่สำคัญที่สุดที่อยู่เบื้องหน้าเจ้าก็คือการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี  นั่นคือการปฏิบัติความจริง และเป็นการสำแดงถึงการเชื่อฟังพระเจ้า  ดังนั้นความจริงที่ผู้คนควรปฏิบัติเป็นหลักในเวลานี้คืออะไร?  (ปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง)  ถูกต้อง การปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดีคือการปฏิบัติความจริง  ถ้าคนคนหนึ่งไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยใจจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เป็นเพียงคนลงแรงเท่านั้น

พวกเราเพิ่งเสวนาถึงคำถามอะไรไป?  (ในตอนแรกพระเจ้ามีพระประสงค์ให้ผู้คนให้เกียรติพ่อแม่ของตน แล้วจากนั้นพระองค์ก็ทรงมีข้อพึงประสงค์ที่สูงขึ้นเกี่ยวกับการปฏิบัติความจริง การปฏิบัติหน้าที่ของตน และการเดินตามหนทางของพระเจ้า ดังนั้นผู้คนควรยึดปฏิบัติข้อใดก่อน?)  พวกเจ้าเพิ่งบอกว่าผู้คนควรปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ที่สูงกว่า  คำกล่าวนี้ถูกต้องในระดับทฤษฎี—เหตุใดเราจึงบอกว่าคำกล่าวนี้ถูกต้องในระดับทฤษฎี?  นี่หมายความว่าถ้าพวกเจ้านำกฎเกณฑ์และสูตรสำเร็จต่างๆ มาใช้กับเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วคำตอบนี้ย่อมจะถูกต้อง แต่เมื่อผู้คนเผชิญชีวิตจริง คำกล่าวนี้มักจะใช้ไม่ได้ผล และยากที่จะนำไปใช้  ดังนั้นควรตอบคำถามนี้ว่าอย่างไร?  ก่อนอื่นเจ้าควรมองดูสถานการณ์และสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่เจ้าเผชิญอยู่ รวมทั้งบริบทรอบตัวเจ้าเอง  เมื่อดูสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตของเจ้าและบริบทรอบตัวเจ้า ถ้าการให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้าไม่ขัดแย้งกับการทำให้พระบัญชาของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์และไม่ขัดกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าการให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้าไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยความจงรักภักดี—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งสองไปพร้อมกันได้  เจ้าไม่จำเป็นต้องแยกจากพ่อแม่อย่างเป็นทางการ และไม่จำเป็นต้องประกาศตัดขาดหรือปฏิเสธพวกเขาอย่างเป็นทางการ  นี่ใช้ได้กับสถานการณ์แบบใด?  (เมื่อการให้เกียรติพ่อแม่ของตนไม่ขัดแย้งกับการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา)  ถูกต้อง  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือถ้าพ่อแม่ของเจ้าไม่พยายามขัดขวางการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า แล้วพวกเขาก็เป็นผู้เชื่อเช่นกัน พวกเขาเกื้อหนุนและหนุนใจเจ้าอย่างแท้จริงให้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยความจงรักภักดีและทำให้พระบัญชาของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์ เช่นนั้นแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับพ่อแม่ก็ไม่ใช่สัมพันธภาพทางเนื้อหนังในหมู่ญาติตามความหมายทั่วไปของคำที่ใช้ และเป็นสัมพันธภาพระหว่างพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร  ในกรณีนั้นนอกจากการมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ฉันพวกพ้องน้องพี่ทั้งชายและหญิงในคริสตจักรแล้ว เจ้ายังต้องลุล่วงความรับผิดชอบบางอย่างซึ่งเป็นการแสดงความกตัญญูต่อพวกเขาอีกด้วย  เจ้าต้องแสดงให้พวกเขาเห็นความห่วงใยเพิ่มขึ้นอีกนิด  ตราบใดที่ไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า นั่นคือตราบใดที่หัวใจของเจ้าไม่ถูกพวกเขาบีบคั้น เจ้าก็สามารถโทรหาพ่อแม่ของเจ้าเพื่อถามไถ่ทุกข์สุขและแสดงความห่วงใยในตัวพวกเขาบ้าง เจ้าสามารถช่วยพวกเขาแก้ไขเรื่องติดขัดบางอย่างและจัดการปัญหาชีวิตให้พวกเขาได้บ้าง เจ้าสามารถช่วยพวกเขาแก้ไขความยากลำบากบางประการที่พวกเขามีเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตด้วยซ้ำ—เจ้าสามารถทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าพ่อแม่ของเจ้าไม่ได้ขวางกั้นการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้าก็ควรรักษาความสัมพันธ์เช่นนี้กับพวกเขาเอาไว้ และควรลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพวกเขา  แล้วทำไมเจ้าถึงควรแสดงความห่วงใยในตัวพวกเขา ดูแลและถามไถ่ทุกข์สุขของพวกเขา?  เพราะเจ้าเป็นลูกของพวกเขาและมีสัมพันธภาพเช่นนี้กับพวกเขา เจ้ามีความรับผิดชอบอีกแบบหนึ่ง และเพราะความรับผิดชอบนี้ เจ้าจึงต้องถามไถ่ทุกข์สุขของพวกเขาให้มากขึ้นอีกนิดและให้ความช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรมแก่พวกเขามากขึ้น  ตราบใดที่การทำเช่นนี้ไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และตราบใดที่พ่อแม่ของเจ้าไม่ได้ขัดขวางหรือรบกวนความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า ตลอดจนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า แล้วพวกเขาก็ไม่ได้เหนี่ยวรั้งเจ้าไว้เช่นกัน ตราบนั้นก็ย่อมเป็นปกติและเหมาะสมที่เจ้าจะลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพวกเขา และเจ้าต้องทำตามนี้จนถึงขั้นที่มโนธรรมของเจ้าไม่ติเตียนเจ้า—นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำสุดที่เจ้าต้องทำ  ถ้าเจ้าไม่สามารถให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้าที่บ้านเพราะรูปการณ์ที่แวดล้อมตัวเจ้าอยู่ส่งผลกระทบและกีดขวางเอาไว้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ต้องยึดถือกฎเกณฑ์ข้อนี้  เจ้าควรยอมให้เป็นไปตามการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและนบนอบการจัดแจงเตรียมการของพระองค์ เจ้าไม่จำเป็นต้องยืนกรานที่จะให้เกียรติพ่อแม่ของตน  พระเจ้าทรงกล่าวโทษเรื่องนี้หรือไม่?  พระเจ้าไม่ทรงกล่าวโทษเรื่องนี้ พระองค์ไม่บีบบังคับให้ผู้คนทำเช่นนี้  ตอนนี้พวกเรากำลังสามัคคีธรรมเรื่องใดอยู่?  พวกเรากำลังสามัคคีธรรมว่าผู้คนควรปฏิบัติอย่างไรเวลาที่การให้เกียรติพ่อแม่ของตนเกิดขัดแย้งกับการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันถึงหลักธรรมของการปฏิบัติและความจริง  เจ้ามีความรับผิดชอบที่จะต้องให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้า และถ้าสภาพการณ์เอื้ออำนวย เจ้าก็สามารถลุล่วงความรับผิดชอบนี้ได้ แต่เจ้าก็ไม่ควรถูกอารมณ์ของตนบีบคั้น  ตัวอย่างเช่น ถ้าพ่อแม่ของเจ้ามีคนใดคนหนึ่งล้มป่วย จำต้องไปโรงพยาบาล และไม่มีใครดูแล ส่วนเจ้าเองก็ยุ่งกับหน้าที่เกินกว่าจะกลับบ้านได้ เจ้าควรทำอย่างไร?  ในเวลาแบบนี้ เจ้าจะถูกอารมณ์ของตนเองบีบคั้นไม่ได้  เจ้าควรยกให้เป็นเรื่องของการอธิษฐาน ฝากเรื่องนี้ไว้กับพระเจ้า และยอมให้เป็นไปตามการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า  นั่นคือท่าทีอย่างที่เจ้าควรมี  ถ้าพระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะเอาชีวิตพ่อหรือแม่ของเจ้า และพาพวกเขาไปจากเจ้า เจ้าก็ควรนบนอบอยู่ดี  บางคนกล่าวว่า “แม้ฉันจะนบนอบมาตลอด แต่ฉันก็ยังคงรู้สึกทุกข์ทรมานและร้องไห้เพราะเรื่องนี้อยู่หลายวัน—นี่คือความรู้สึกทางเนื้อหนังไม่ใช่หรือ?”  นี่ไม่ใช่ความรู้สึกทางเนื้อหนัง นี่คือความเมตตาของมนุษย์ นี่คือการมีความเป็นมนุษย์ และพระเจ้าก็ไม่ทรงกล่าวโทษเรื่องนี้  เจ้าร้องไห้ได้ แต่ถ้าเจ้าร้องไห้อยู่หลายวันและกินไม่ได้นอนไม่หลับ เจ้าไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำหน้าที่ของเจ้า และถึงกับอยากกลับบ้านไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่ของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้ดี และเจ้าไม่ได้นำความจริงไปปฏิบัติ ซึ่งหมายความว่าเจ้าไม่ได้กำลังลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าด้วยการให้เกียรติพ่อแม่ เจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความรู้สึกของตนเอง  ถ้าเจ้าให้เกียรติพ่อแม่ในขณะที่ใช้ชีวิตท่ามกลางความรู้สึกของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้กำลังลุล่วงความรับผิดชอบของตน และไม่ได้ยึดปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เพราะเจ้าละทิ้งพระบัญชาของพระเจ้าไปแล้ว และไม่ใช่คนที่เดินตามหนทางของพระเจ้า  เมื่อเจ้าเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ หากสถานการณ์ไม่ได้ถ่วงหน้าที่ของเจ้าหรือส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยความจงรักภักดี เจ้าก็อาจทำบางสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้เพื่อแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ของเจ้า และเจ้าก็สามารถลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้าสามารถทำให้ลุล่วงได้  สรุปแล้วนี่คือสิ่งที่ผู้คนพึงทำ และสามารถทำได้ภายในขอบเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์  หากเจ้าติดกับดักที่เป็นความรู้สึกของตนเอง และเรื่องนี้ก็ถ่วงให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนล่าช้า เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมขัดต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง  พระเจ้าไม่เคยมีพระประสงค์ให้เจ้าทำเช่นนั้น พระเจ้ามีแต่กำหนดให้เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพ่อแม่ของตนเท่านั้นเอง  นั่นคือความหมายของการมีความกตัญญู  เมื่อพระเจ้าตรัสถึงการ “ให้เกียรติพ่อแม่ของตน” ย่อมมีบริบทของเรื่องนี้อยู่  เจ้าเพียงต้องลุล่วงความรับผิดชอบบางอย่างที่สามารถทำได้ภายใต้ภาวะต่างๆ สารพัดรูปแบบเท่านั้นเอง  ส่วนเรื่องที่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะป่วยหนักหรือเสียชีวิต เรื่องเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้ากระนั้นหรือ?  ชีวิตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร พวกเขาจะตายเมื่อใด โรคอะไรจะคร่าชีวิตของพวกเขา หรือพวกเขาจะตายอย่างไร—สิ่งเหล่านี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่?  (ไม่มี)  สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า  บางคนกล่าวว่า “ฉันต้องลุล่วงความรับผิดชอบที่มี จะได้ให้เกียรติพ่อแม่ได้  ฉันต้องดูให้แน่ใจว่าพวกท่านไม่ล้มป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เป็นมะเร็งหรือโรคร้ายบางอย่าง  ฉันต้องทำให้แน่ใจว่าท่านจะมีชีวิตอยู่จนถึงอายุร้อยปี  เมื่อนั้นเท่านั้นฉันถึงจะลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อพ่อแม่แล้วอย่างแท้จริง”  ผู้คนเหล่านี้เป็นพวกไร้สาระไม่ใช่หรือ?  ชัดเจนว่านี่คือการคิดไปเองของมนุษย์ และแน่นอนว่าไม่ใช่ข้อกำหนดของพระเจ้า  เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงร้อยปีหรือไม่ แต่เจ้าก็เรียกร้องให้พ่อแม่ของเจ้ามีชีวิตอยู่ถึงวัยนั้น—นั่นเป็นความฝันของคนเขลา!  เวลาที่พระเจ้าตรัสถึงการ “ให้เกียรติพ่อแม่ของตน” พระองค์เพียงขอให้เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบที่มีอยู่ในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ตราบใดที่เจ้าไม่ได้ทำไม่ดีต่อพ่อแม่ของตนหรือทำอะไรที่ขัดต่อมโนธรรมและหลักศีลธรรมของเจ้า นั่นก็เพียงพอแล้ว  นี่ย่อมเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  แน่นอนว่าพวกเราเพิ่งจะเอ่ยถึงกรณีที่พ่อแม่ของเจ้าขัดขวางการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าด้วย แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาคือแก่นแท้ธรรมชาติของผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อ หรือถึงขั้นเป็นแก่นแท้ธรรมชาติของคนชั่วและมารทั้งหลาย แล้วพวกเขาก็ไม่ได้อยู่บนเส้นทางเดียวกับเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพวกเขาไม่ได้เป็นคนแบบเดียวกับเจ้าแต่อย่างใด และแม้เจ้าจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกับพวกเขามาหลายปี แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้มีการไล่ตามเสาะหาหรือลักษณะนิสัยเหมือนที่เจ้ามี และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้มีความชอบส่วนตนหรือความมุ่งมาดปรารถนาเหมือนอย่างเจ้า  เจ้าเชื่อในพระเจ้า ส่วนพวกเขานั้นไม่เชื่อในพระเจ้าเลย และต้านทานพระเจ้าด้วยซ้ำ  ควรทำเช่นไรในสภาพการณ์เหล่านี้?  (ปฏิเสธพวกเขา)  ในรูปการณ์เหล่านี้พระเจ้าไม่ได้บอกให้เจ้าปฏิเสธหรือสาปแช่งพวกเขา  พระเจ้าไม่ได้ตรัสเช่นนั้น  ข้อกำหนดของพระเจ้าเรื่อง “ให้เกียรติพ่อแม่ของตน” ยังคงมีผล  นี่หมายความว่าระหว่างที่เจ้าใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ของเจ้านั้น เจ้าก็ควรค้ำชูข้อกำหนดเรื่องให้เกียรติพ่อแม่ของตนไปด้วย  ไม่มีอะไรขัดแย้งกันในเรื่องนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ไม่มีอะไรขัดแย้งกันในเรื่องนี้เลย  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเมื่อเจ้าสามารถกลับไปเยี่ยมบ้านได้ เจ้าก็สามารถทำอาหารให้พวกเขาสักมื้อหรือปรุงเกี๊ยวให้พวกเขากินบ้าง และถ้าเป็นไปได้ เจ้าก็สามารถซื้อผลิตภัณฑ์บางอย่างเกี่ยวกับสุขภาพให้พวกเขา แล้วพวกเขาก็จะพอใจในตัวเจ้าเป็นอย่างมาก  ถ้าเจ้าพูดถึงความเชื่อของเจ้า แล้วพวกเขาไม่ยอมรับหรือไม่เชื่อ ถึงกับใช้วาจาทารุณกรรมเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ต้องประกาศข่าวประเสริฐให้พวกเขาฟัง  หากมีความเป็นไปได้ที่เจ้าจะพบหน้าพวกเขา ก็จงปฏิบัติตามนี้เถิด ถ้าไม่มีความเป็นไปได้ นั่นก็เป็นไปตามที่ควรจะเป็นเท่านั้น และย่อมเป็นการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และเจ้าก็ต้องรีบพาตัวออกห่างและหลีกเลี่ยงพวกเขา  อะไรคือหลักธรรมในเรื่องนี้?  ถ้าพ่อแม่ของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า และพวกเขาไม่ได้พูดภาษาเดียวกันหรือมีสิ่งที่ไล่ตามเสาะหาและเป้าหมายเดียวกันกับเจ้า ไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับเจ้า ถึงกับกีดขวางและข่มเหงการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถดูพวกเขาออก มองทะลุแก่นแท้ของพวกเขา และปฏิเสธพวกเขาได้  แน่นอนว่าถ้าพวกเขาใช้วาจาล่วงเกินพระเจ้าหรือสาปแช่งเจ้า เจ้าก็สามารถสาปแช่งพวกเขาในหัวใจของเจ้าได้  ดังนั้นการ “ให้เกียรติพ่อแม่ของตน” ที่พระเจ้าตรัสถึงหมายความว่าอย่างไร?  เจ้าควรปฏิบัติตามนั้นอย่างไร?  นั่นก็คือถ้าเจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตนได้ เช่นนั้นแล้วก็จงลุล่วงความรับผิดชอบบ้าง และถ้าเจ้าไม่มีโอกาสทำเช่นนั้น หรือถ้าปฏิสัมพันธ์ที่เจ้ามีกับพวกเขามีการกระทบกระทั่งกันมากเกินไป มีความขัดแย้งกันระหว่างพวกเจ้าทั้งสองฝ่าย และเจ้าก็ถึงจุดที่ไม่อาจมองหน้ากันได้อีกต่อไปแล้ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรรีบแยกตัวออกมาจากพวกเขา  เมื่อพระเจ้าตรัสถึงการให้เกียรติพ่อแม่ประเภทต่างๆ เหล่านี้ พระองค์หมายความว่าเจ้าควรลุล่วงความรับผิดชอบด้านความกตัญญูของตนจากมุมมองของเจ้าในฐานะที่เป็นลูกของพวกเขา และทำสิ่งต่างๆ ที่ลูกคนหนึ่งพึงทำ  เจ้าไม่ควรทำไม่ดีกับพ่อแม่ หรือโต้เถียงด้วย เจ้าไม่ควรทุบตีหรือแผดเสียงใส่ เจ้าไม่ควรทารุณกรรมพวกเขา และเจ้าควรลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพวกเขาอย่างสุดความสามารถของตน  นี่คือสิ่งที่พึงทำภายในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ นี่คือหลักธรรมต่างๆ ที่คนเราควรปฏิบัติในการ “ให้เกียรติพ่อแม่ของตน”  ทั้งหมดนี้ทำง่ายมิใช่หรือ?  เจ้าไม่จำเป็นต้องคุยกับพ่อแม่ด้วยความหัวร้อนว่า “มารและผู้ปราศจากความเชื่ออย่างพ่อแม่ พระเจ้าทรงสาปแช่งให้ลงบึงไฟและกำมะถัน ให้ลงบาดาลลึก พระองค์จะส่งพ่อกับแม่ลงนรกขุมที่สิบแปด!”  นั่นไม่จำเป็น เจ้าไม่จำเป็นต้องสุดโต่งแบบนี้  ถ้าสภาพการณ์เอื้ออำนวย และถ้าสถานการณ์บีบให้ต้องทำ เจ้าก็สามารถลุล่วงความรับผิดชอบด้านความกตัญญูที่เจ้ามีต่อพ่อแม่ได้  ถ้านี่ไม่มีความจำเป็น หรือถ้าสภาพการณ์ไม่เป็นใจและทำไม่ได้ เจ้าก็ละเว้นภาระหน้าที่นี้ได้  สิ่งที่เจ้าต้องทำมีเพียงการลุล่วงความรับผิดชอบเรื่องความกตัญญูเมื่อเจ้าพบหน้าพ่อแม่และมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาเท่านั้น  เมื่อเจ้าทำเช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ทำกิจของเจ้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับหลักธรรมข้อนี้?  (ดีงาม)  ต้องมีหลักธรรมว่าพวกเจ้าควรปฏิบัติต่อผู้คนทั้งปวงอย่างไร รวมถึงพ่อแม่ของพวกเจ้าด้วย  เจ้าจะลงมือทำอะไรอย่างมุทะลุไม่ได้ และจะใช้วาจาทารุณกรรมพ่อแม่เพียงเพราะพวกเขาข่มเหงการเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้าก็ไม่ได้  มีผู้คนมากมายในโลกที่ไม่เชื่อในพระเจ้า มีผู้ไม่เมีความชื่อมากมายนัก และมีผู้คนมากมายที่ใช้วาจาจาบจ้วงพระเจ้า—เจ้าจะเที่ยวสาปแช่งและแผดเสียงใส่พวกเขาทุกคนกระนั้นหรือ?  ถ้าไม่ใช่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ควรแผดเสียงใส่พ่อแม่ของเจ้าเช่นกัน  ถ้าเจ้าขึ้นเสียงกับพ่อแม่ แต่ไม่ขึ้นเสียงกับคนอื่น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหัวร้อน และพระเจ้าย่อมไม่โปรดเรื่องแบบนี้  จงอย่าคิดว่าพระเจ้าจะพอพระทัยในตัวเจ้าถ้าเจ้าใช้วาจาทารุณและสาปแช่งพ่อแม่ของตนโดยไม่มีเหตุอันควร บอกว่าพวกเขาเป็นมาร เป็นซาตานที่มีชีวิต เป็นลูกสมุนของซาตาน ทั้งยังสาปแช่งให้พวกเขาลงนรก—ไม่ใช่อะไรเช่นนั้นเลย  พระเจ้าจะไม่เห็นว่าเจ้านั้นเป็นที่ยอมรับได้หรือตรัสว่าเจ้ามีความเป็นมนุษย์เพราะแสร้งกระทำสิ่งที่เตรียมการไว้ล่วงหน้า  แต่พระเจ้าจะตรัสว่าการกระทำของเจ้ามีภาวะอารมณ์และความหัวร้อนอยู่ด้วย  พระเจ้าจะไม่โปรดที่เจ้าทำตัวเช่นนี้ นี่สุดโต่งเกินไป และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เจ้าต้องมีหลักธรรมในการปฏิบัติต่อผู้คนทั้งปวง รวมถึงพ่อแม่ของเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่และไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนชั่วหรือไม่ก็ตาม เจ้าก็ต้องปฏิบัติต่อพวกเขาตามหลักธรรม  พระเจ้าเคยตรัสบอกหลักธรรมข้อนี้แก่มนุษย์ว่า นี่เป็นเรื่องของการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นธรรม—เพียงแต่ผู้คนมีความรับผิดชอบต่อพ่อแม่ของตนเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น  สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำมีเพียงการลุล่วงความรับผิดชอบนี้เท่านั้น  ไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะเป็นผู้เชื่อหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะไล่ตามเสาะหาความเชื่อของตนหรือไม่ ไม่ว่าทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิตและสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะตรงกับของเจ้าหรือไม่ เจ้าก็เพียงต้องลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพวกเขาก็พอ  เจ้าไม่จำเป็นต้องเลี่ยงพวกเขา—แค่ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามครรลองของมันโดยธรรมชาติ ตามการจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้า  ถ้าพวกเขากีดขวางการเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรลุล่วงความรับผิดชอบเรื่องความกตัญญูอย่างสุดความสามารถของเจ้าอยู่ดี เพื่อที่อย่างน้อยมโนธรรมของเจ้าจะได้ไม่รู้สึกติดค้างพวกเขา  ถ้าพวกเขาไม่ขัดขวางเจ้า และสนับสนุนการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรปฏิบัติตามหลักธรรมเช่นกัน ปฏิบัติต่อพวกเขาให้ดีเมื่อเหมาะสมที่จะทำเช่นนั้น  สรุปแล้วไม่ว่าจะอย่างไร ข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ก็ไม่เปลี่ยนไป และหลักธรรมความจริงที่ผู้คนควรปฏิบัติก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  ในเรื่องเหล่านี้เจ้าเพียงต้องค้ำชูหลักธรรมและลุล่วงความรับผิดชอบเท่าที่เจ้าสามารถทำได้เท่านั้น

คราวนี้เราจะพูดถึงสาเหตุที่พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น การ “ให้เกียรติพ่อแม่ของตน”  ข้อกำหนดอื่นๆ ของพระเจ้าล้วนเป็นกฎระเบียบเชิงพฤติกรรมทางด้านการวางตัวของแต่ละคน แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงมีข้อกำหนดต่างชนิดกันในเรื่องของความกตัญญู?  จงบอกเราเถิดว่าถ้าคนเราไม่อาจให้เกียรติได้แม้กระทั่งพ่อแม่ของตนเอง แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาย่อมเป็นเช่นใด?  (แย่มาก)  พ่อแม่ของพวกเขาทนทุกข์อย่างมากเพื่อที่จะให้กำเนิดและเลี้ยงดูพวกเขาให้เติบใหญ่ และแน่นอนว่าการเลี้ยงดูพวกเขาย่อมจะไม่ง่าย—อันที่จริงพ่อแม่ไม่ได้คาดหวังว่าลูกของตนจะนำความสุขหรือความพอใจอันยิ่งใหญ่อะไรมาให้พวกเขา พวกเขาเพียงแต่หวังว่าหลังจากที่ลูกโตขึ้น ตนเองจะได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข ไม่ต้องวิตกกังวลถึงลูกมากนัก  แต่ลูกของพวกเขาก็ไม่ได้พากเพียรหรือทำงานหนัก และไม่ได้มีชีวิตที่ดี—ซ้ำยังพึ่งพาพ่อแม่ให้ดูแลตน ลูกๆ จึงกลายเป็นปลิงที่ไม่เพียงไม่ให้เกียรติพ่อแม่เท่านั้น แต่ยังอยากรังแกและขู่กรรโชกเอาทรัพย์สินของพ่อแม่อีกด้วย  ถ้าพวกเขาสามารถทำพฤติกรรมเลวทรามเช่นนี้ได้ พวกเขาย่อมเป็นคนเช่นใด?  (คนที่มีความเป็นมนุษย์ย่ำแย่)  พวกเขาไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อผู้ที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูตนมาแต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่รู้สึกผิดในเรื่องนี้เลย—ถ้าเจ้ามองพวกเขาจากมุมนี้ พวกเขามีมโนธรรมหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาจะลงไม้ลงมือและใช้วาจาทารุณใครก็ได้ รวมถึงพ่อแม่ของพวกเขาด้วย  พวกเขาทำกับพ่อแม่ของตนเหมือนเป็นคนอื่นไม่มีผิด—ทุบตีและใช้วาจาทารุณพ่อแม่ตามใจตน  พอตัวเองไม่มีความสุข ก็เอาความโกรธมาลงที่พ่อแม่ ทุบทำลายจานชาม และทำให้พ่อแม่ของตนหวาดกลัว  คนแบบนี้มีเหตุผลหรือไม่?  (ไม่มี)  ถ้าใครสักคนไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล สามารถทารุณแม้กระทั่งพ่อแม่ของตนได้โดยไม่คิดอะไร เช่นนั้นแล้วคนเหล่านี้ใช่คนหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ถ้าเช่นนั้นพวกเขาคืออะไร?  (สัตว์เดรัจฉาน)  พวกเขาคือสัตว์เดรัจฉาน  กล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  อันที่จริงถ้าคนเราลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อพ่อแม่บ้าง คอยดูแลเอาใจใส่ และรักพวกเขาให้มาก—โดยปกติแล้วนี่ก็คือสิ่งที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมีมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าคนเราทำไม่ดีต่อพ่อแม่และทารุณพวกเขา มโนธรรมของคนเหล่านั้นจะยอมรับการกระทำเช่นนั้นได้หรือไม่?  คนที่ปกติจะทำอะไรอย่างนั้นได้หรือไม่?  ผู้คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลย่อมจะทำเช่นนั้นไม่ได้—ถ้าพวกเขาโมโหพ่อแม่ของตน พวกเขาย่อมจะรู้สึกทุกข์ใจไปนานหลายวัน  บางคนอารมณ์ร้อนเป็นไฟ และเวลาท้อแท้สิ้นหวังก็อาจโมโหพ่อแม่ของตน แต่พอโกรธแล้ว มโนธรรมของพวกเขาก็จะติเตียนตัวเอง และต่อให้พวกเขาไม่ขอโทษ พวกเขาก็จะไม่ทำเช่นเดิมอีก  นี่คือสิ่งที่ผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์พึงมี และเป็นการพรั่งพรูสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติออกมา  ผู้ที่ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ย่อมสามารถทารุณพ่อแม่ของตนในทางใดก็ได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไร และนั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาทำอยู่  หากพ่อแม่ตีพวกเขาสักครั้งในตอนที่พวกเขาเป็นเด็ก พวกเขาก็จะจดจำไปชั่วชีวิต และพอโตขึ้น พวกเขาก็จะยังคงอยากทุบตีพ่อแม่และเอาคืน  ผู้คนส่วนมากเวลาพ่อแม่ตีพวกเขาตอนเด็กๆ จะไม่ตีกลับ บางคนที่อยู่ในช่วงอายุ 30 ปีก็จะไม่ตีกลับเวลาพ่อแม่ทุบตีพวกเขา ต่อให้รู้สึกเจ็บ พวกเขาก็จะไม่เอ่ยอะไรสักคำ  นี่คือสิ่งที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เอ่ยอะไรสักคำ?  ถ้าใครอื่นทุบตีพวกเขา พวกเขาจะยอมให้คนคนนั้นทุบตีตนหรือไม่?  (ไม่)  ถ้าเป็นคนอื่น ไม่ว่าใครก็ตาม พวกเขาจะไม่ยอมให้คนคนนั้นทุบตี—พวกเขาจะไม่ยอมให้คนเหล่านั้นพูดจาทารุณตนสักคำด้วยซ้ำไป  ดังนั้นเหตุใดพวกเขาจึงไม่ฟาดกลับหรือโมโหไม่ว่าพ่อแม่ของตนจะทุบตีพวกเขาอย่างไรก็ตาม?  ทำไมพวกเขาถึงยอมผ่อนปรนให้?  นี่เป็นเพราะความเป็นมนุษย์ของพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลมิใช่หรือ?  พวกเขาคิดในใจว่า “พ่อแม่ของฉันเลี้ยงฉันมา  แม้การที่พวกเขาตีฉันจะไม่ถูกต้อง แต่ฉันก็ต้องทนไว้  นอกจากนี้ฉันยังเป็นคนทำให้พ่อแม่โกรธเอง จึงสมควรแล้วที่ฉันจะถูกตี  พ่อแม่เพียงแต่ตีฉันเพราะฉันไม่เชื่อฟังพวกท่านและทำให้โมโห  ฉันสมควรถูกตีแล้ว!  ฉันจะไม่ทำอย่างนี้อีกเป็นอันขาด”  นี่คือเหตุผลซึ่งผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมีมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติซึ่งเปิดโอกาสให้พวกเขาสู้ทนการถูกพ่อแม่ปฏิบัติด้วยแบบนี้  นี่คือความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ดังนั้นผู้คนที่สู้ทนการปฏิบัติด้วยแบบนี้ไม่ได้และตีพ่อแม่ตนเองกลับ มีความเป็นมนุษย์ที่ว่านี้หรือไม่?  (ไม่มี)  ถูกต้อง พวกเขาไม่มี  ผู้คนที่ไม่มีมโนธรรมและเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติย่อมถึงขั้นสามารถลงไม้ลงมือและใช้วาจาทารุณพ่อแม่ของตน ดังนั้นพวกเขาจะสามารถปฏิบัติต่อพระเจ้าและพี่น้องชายหญิงของตนในคริสตจักรได้ในลักษณะใดบ้าง?  พวกเขาสามารถปฏิบัติต่อผู้คนที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูตนมาจนเติบใหญ่ด้วยวิธีนี้ ดังนั้นพวกเขาย่อมจะใส่ใจผู้อื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายโลหิตน้อยลงไปอีกมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาจะปฏิบัติต่อพระเจ้าที่พวกเขามองไม่เห็นหรือจับต้องไม่ได้อย่างไรบ้าง?  พวกเขาจะสามารถปฏิบัติต่อพระเจ้าที่ตนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างมีมโนธรรมและเหตุผลได้กระนั้นหรือ?  พวกเขาจะสามารถนบนอบสภาพแวดล้อมทั้งปวงที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงไว้ให้กระนั้นหรือ?  (ไม่สามารถ)  ถ้าพระเจ้าทรงตัดแต่ง พิพากษา หรือตีสอนพวกเขา พวกเขาจะต้านทานพระองค์หรือไม่?  (ต้านทาน)  จงคิดเรื่องนี้ดูเถิดว่า มโนธรรมและเหตุผลของคนเราทำหน้าที่อะไรบ้าง?  ในระดับหนึ่ง มโนธรรมและเหตุผลของคนเราสามารถยับยั้งและกำกับพฤติกรรมของพวกเขาได้บ้าง—สามารถทำให้พวกเขามีท่าทีที่ถูกต้องและเลือกสิ่งที่ถูกต้องเมื่อมีอะไรต่ออะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา รวมทั้งจัดการทุกสิ่งที่บังเกิดแก่พวกเขาอย่างมีมโนธรรมและเหตุผล  โดยมากแล้วการลงมือทำตามมโนธรรมและเหตุผลย่อมจะช่วยให้ผู้คนหลีกเลี่ยงโชคร้ายได้มาก  แน่นอนว่าผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมสามารถเลือกเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงบนรากฐานนี้ได้ เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ และไม่มีมโนธรรมและเหตุผลในลักษณะนี้—ผลสืบเนื่องต่อจากนี้ย่อมเลวร้าย  พวกเขาย่อมทำอะไรกับพระเจ้าก็ได้—เหมือนที่พวกฟาริสีทำกับองค์พระเยซูเจ้านั่นเอง พวกเขาสามารถจาบจ้วงพระเจ้า แก้แค้นเอากับพระเจ้า หมิ่นประมาทพระเจ้า หรือถึงขั้นกล่าวหาและทรยศพระเจ้า  ปัญหานี้ร้ายแรงมาก—นี่ย่อมสร้างความเดือดร้อนไม่ใช่หรือ?  ผู้คนที่ไม่มีเหตุผลตามสภาวะความเป็นมนุษย์มักจะแก้แค้นเอากับผู้อื่นเพราะความหัวร้อนของตน พวกเขาไม่มีเหตุผลที่เกิดจากความเป็นมนุษย์คอยยับยั้ง ดังนั้นจึงง่ายที่พวกเขาจะเกิดความคิดอ่านและทัศนะที่สุดโต่ง แล้วจากนั้นก็มีพฤติกรรมบางอย่างที่สุดโต่ง กระทำการในลักษณะต่างๆ ที่ไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผล จนท้ายที่สุดผลสืบเนื่องของการนี้ก็หลุดจากการควบคุมโดยสิ้นเชิง  เราสามัคคีธรรมเรื่องการ “ให้เกียรติพ่อแม่ของตน” และการปฏิบัติความจริงเสร็จสิ้นแล้วไม่มากก็น้อย—สรุปว่าในท้ายที่ความเป็นมนุษย์ย่อมสำคัญที่สุด  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงมีข้อกำหนดอย่างการ “ให้เกียรติพ่อแม่ของตน”?  เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวางตัวของมนุษย์  ในแง่หนึ่งพระเจ้าทรงใช้ข้อกำหนดนี้มากำกับพฤติกรรมของมนุษย์ และพร้อมกันนั้นพระองค์ก็ทรงใช้ข้อกำหนดนี้มาทดสอบและนิยามสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คน  ถ้าคนเราไม่ปฏิบัติต่อพ่อแม่ของตนด้วยมโนธรรมและเหตุผล เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน  บางคนกล่าวว่า “แล้วถ้าพ่อแม่ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ดี และไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อลูกของตนอย่างสิ้นเชิง—คนคนนั้นควรแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่อยู่ดีหรือไม่?”  ถ้าพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผล เช่นนั้นแล้วในฐานะลูกสาวหรือลูกชาย พวกเขาย่อมจะไม่ทารุณพ่อแม่ของตน  ผู้คนที่ทารุณพ่อแม่ของตนนั้นไม่มีมโนธรรมและเหตุผลอย่างสิ้นเชิง  ดังนั้นไม่ว่าพระเจ้าจะทรงมีข้อกำหนดอันใด ไม่ว่าข้อกำหนดนั้นจะเกี่ยวข้องกับท่าทีที่ผู้คนใช้ปฏิบัติต่อพ่อแม่ของตน หรือเกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ที่ผู้คนมักจะใช้ดำเนินชีวิตและเผยให้เห็นเป็นปกติ ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อพระเจ้าทรงวางแนวทางเหล่านี้ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมภายนอกไว้ให้แล้ว พระองค์ก็ต้องมีเหตุผลและวัตถุประสงค์ของพระองค์เองในการทำเช่นนั้น  แม้ข้อกำหนดทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงมีนี้จะยังคงห่างไกลจากความจริงอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นมาตรฐานที่พระเจ้าทรงวางไว้เพื่อกำกับพฤติกรรมของมนุษย์  ทั้งหมดนี้จึงมีนัยสำคัญและยังคงมีผลอยู่ในปัจจุบัน

เราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงความเชื่อมโยงและความแตกต่างนานัปการระหว่างหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์กับความจริงที่พระองค์ทรงกำหนดไว้  ถึงจุดนี้พวกเราได้สามัคคีธรรมเรื่องพฤติกรรมอันดีงามซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ผู้คนยึดถือในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงามเสร็จสิ้นกันไปแล้วไม่มากก็น้อยมิใช่หรือ?  หลังจากที่สรุปปิดตัวสามัคคีธรรมเรื่องนี้แล้ว พวกเราก็สื่อสารกันถึงมาตรฐานและคำกล่าวบางประการที่พระเจ้าทรงมีเพื่อกำกับพฤติกรรมของมนุษย์และแบบอย่างที่มนุษย์ใช้ในการดำเนินชีวิต แล้วพวกเราก็แจกแจงตัวอย่างบางประการ เช่น ไม่ลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น ให้เกียรติพ่อแม่ของตน ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มสุรา ไม่ลักขโมย ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ไม่เป็นพยานเท็จ ไม่บูชารูปเคารพ เป็นต้น  แน่นอนว่านี่เป็นเพียงเรื่องหลักๆ เท่านั้น ยังมีรายละเอียดอีกมากซึ่งพวกเราจะไม่กล่าวถึง  ดังนั้นหลังจากสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้ พวกเจ้าควรได้รับความจริงเรื่องใดไปแล้วบ้าง?  พวกเจ้าควรปฏิบัติตามหลักธรรมข้อใดบ้าง?  พวกเจ้าควรทำอะไรบ้าง?  เจ้าจำเป็นต้องเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์หรือไม่?  เจ้าจำเป็นต้องเป็นคนที่สุภาพอ่อนน้อมหรือไม่?  เจ้าจำเป็นต้องมีไมตรีจิตและคุยด้วยง่ายหรือไม่?  ผู้หญิงจำเป็นต้องอ่อนโยนและมีมารยาทหรือผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลหรือไม่?  ผู้ชายจำเป็นต้องเป็นบุรุษที่ยิ่งใหญ่ มีความทะเยอทะยาน และประสบความสำเร็จหรือไม่?  ไม่จำเป็น  แน่นอนว่าพวกเราได้สามัคคีธรรมกันไปมากแล้ว  เห็นได้ชัดว่าซาตานใช้เรื่องทั้งหลายที่วัฒนธรรมดั้งเดิมให้การสนับสนุนนี้ชักพาผู้คนให้หลงผิด  ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พาให้หลงผิดอย่างมากและเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนหลงกล  พวกเจ้าควรตรวจสอบตนเองและดูว่าพวกเจ้ายังคงเก็บงำความคิดอ่านและทัศนะเหล่านี้ หรือพฤติกรรมและลักษณะที่สำแดงถึงสิ่งเหล่านี้อยู่บ้างหรือไม่  ถ้าพวกเจ้ายังคงเก็บงำเอาไว้ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ควรรีบแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องเหล่านี้ แล้วจากนั้นพวกเจ้าก็ควรยอมรับความจริงและใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อทำเช่นนั้นพวกเจ้าก็จะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  พวกเจ้าควรคิดทบทวนว่าเวลาที่เจ้าใช้ชีวิตตามวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้น สภาวะภายในของพวกเจ้าเป็นเช่นไร และลึกลงไปในหัวใจของตน พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร เจ้าได้อะไร และผลลัพธ์เป็นอย่างไร จากนั้นก็จงดูว่าการวางตนตามมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่มนุษย์ เช่น การรู้จักยับยั้งชั่งใจ มีความถูกต้องเหมาะควรอย่างธรรมิกชน ไม่ลงไม้ลงมือหรือใช้วาจาทารุณผู้อื่น เป็นต้น ให้ความรู้สึกอย่างไร  จงดูว่าวิถีชีวิตเหล่านี้แบบใดเปิดโอกาสให้เจ้าใช้ชีวิตง่ายขึ้น เป็นอิสระขึ้น มั่นคงขึ้น และมีสันติสุขยิ่งขึ้น ทั้งยังทำให้เจ้าสามารถใช้ชีวิตอยู่กับสภาวะความเป็นมนุษย์มากขึ้น แบบใดทำให้รู้สึกเหมือนว่าเจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้หน้ากากที่เทียมเท็จ ทำให้ชีวิตของเจ้าทั้งปลอมและทุกข์ทรมานอย่างมาก  จงดูว่าวิถีชีวิตเหล่านี้แบบใดเปิดโอกาสให้เจ้าดำเนินชีวิตในแบบที่ใกล้เคียงข้อกำหนดของพระเจ้ามากขึ้นทุกที ทำให้สัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้าเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์เช่นนี้อย่างแท้จริง เจ้าจะรู้  เฉพาะการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเท่านั้นที่จะสามารถทำให้เจ้าเป็นอิสระและมีเสรี เปิดโอกาสให้เจ้าได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเพื่อที่จะให้ผู้อื่นกล่าวว่าเจ้าเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ ยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และเป็นคนดี เมื่อใดก็ตามที่เจ้าพบพี่น้องชายหญิงที่อาวุโสกว่า เจ้าจึงเรียกพวกเขาว่า “พี่ชาย” หรือ “พี่สาว” ไม่เคยกล้าเรียกพวกเขาด้วยชื่อ และรู้สึกกระดากเกินที่จะเรียกพวกเขาด้วยชื่อ คิดไปว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง  มโนคติดั้งเดิมอันหลงผิดเรื่องการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์นี้ซ่อนตัวอยู่ในหัวใจของเจ้า ดังนั้นเมื่อเจ้าพบเห็นคนที่มีอายุ เจ้าจึงทำตัวอ่อนโยนและใจดีมาก เหมือนว่าเจ้ายึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และมีการขัดเกลาอย่างมาก และเจ้าอดไม่ได้ที่จะโค้งให้โดยทำมุมตั้งแต่ 15 องศาไปจนถึง 90 องศา  เจ้าปฏิบัติต่อผู้คนที่มีอายุมากกว่าด้วยความเคารพ—ยิ่งคนที่อยู่ต่อหน้าเจ้ามีวัยสูงขึ้น เจ้าก็ยิ่งแสร้งประพฤติตัวดีขึ้น  การประพฤติตัวดีแบบนี้ใช่สิ่งที่ดีหรือไม่?  นี่คือการใช้ชีวิตที่ไร้กระดูกสันหลังและไม่มีศักดิ์ศรี  เวลาผู้คนแบบนี้มองเห็นเด็กเล็ก พวกเขาจะทำตัวน่ารักและร่าเริงเหมือนเด็กไม่มีผิด  พอพวกเขาเห็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับตน พวกเขาก็ยืนตัวตรงแหน็วและทำตัวเป็นผู้ใหญ่ คนอื่นจะได้ไม่กล้าเสียมารยาทกับตน  พวกเขาเป็นคนแบบใด?  เป็นคนที่มีหลายหน้ามิใช่หรือ?  พวกเขาเปลี่ยนเร็วเหลือเกินมิใช่หรือ?  เวลาพวกเขาพบเจอคนชรา พวกเขาก็เรียกคนเหล่านั้นว่า “คุณปู่ทวด” หรือ “คุณย่าทวด”  พอเจอคนที่มีอายุมากกว่าตนหน่อย พวกเขาก็เรียกคนเหล่านั้นว่า “คุณอา” “คุณน้า” “พี่ชาย” หรือ “พี่สาว”  เวลาพบหน้าคนที่อายุน้อยกว่าตน พวกเขาก็จะเรียกคนเหล่านั้นว่า “น้องชาย” หรือ “น้องสาว”  พวกเขาใช้คำนำหน้าและตั้งชื่อเล่นต่างๆ นานาให้แก่ผู้คนตามวัยของคนเหล่านั้น แล้วก็ใช้รูปแบบการเรียกหาเหล่านี้อย่างเที่ยงตรงและแม่นยำมาก  สิ่งเหล่านี้ได้หยั่งรากลงไปในกระดูกของพวกเขาแล้ว และพวกเขาก็สามารถใช้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขามาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ยิ่งปักใจเชื่อมากขึ้นอีกว่า “ตอนนี้ฉันเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าแล้ว ฉันต้องยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และมีการขัดเกลา ฉันต้องผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  ฉันจะทำผิดกฎหรือเป็นกบฏเหมือนคนหนุ่มสาวที่ไม่เชื่อและมีปัญหาไม่ได้—แบบนั้นผู้คนจะไม่ชอบใจ  ถ้าฉันอยากให้ทุกคนชอบฉัน ฉันก็ต้องเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์”  ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงกำกับพฤติกรรมของตนเองอย่างเข้มงวดเข้าไปอีก แบ่งผู้คนในช่วงวัยต่างๆ ออกเป็นระดับต่างๆ กัน ใช้คำนำหน้าและชื่อเล่นสารพัดกับพวกเขา แล้วจากนั้นก็ทำเช่นนี้ในชีวิตประจำวันของตนอย่างต่อเนื่อง และแล้วพวกเขาก็ยิ่งคิดมากขึ้นทุกทีว่า “ดูฉันสิ ฉันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า  ฉันผ่านการอบรมสั่งสอนมาดี มีเหตุผล และสุภาพอ่อนน้อม ฉันเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ และฉันก็มีไมตรีจิต  ฉันกำลังใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์โดยแท้  ฉันรู้จักเรียกทุกคนที่ฉันพบเจอด้วยคำนำหน้าที่ถูกต้องเหมาะสมไม่ว่าพวกเขาจะมีอายุเท่าใดก็ตาม  ฉันไม่จำเป็นต้องให้พ่อแม่สอนฉันเรื่องนี้ และไม่ต้องให้ผู้คนรอบตัวบอกให้ฉันทำเช่นนี้ ฉันรู้จักทำแบบนี้เอง”  หลังจากที่มีพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็คิดว่าตนนั้นมีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง ยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์จริง และพระเจ้าก็ต้องโปรดเรื่องอย่างนี้—พวกเขากำลังหลอกตัวเองและผู้อื่นอยู่มิใช่หรือ?  จากนี้ไปพวกเจ้าต้องทิ้งเรื่องเหล่านี้  ก่อนหน้านี้เราเคยเล่าเรื่องของต้าหมิงกับเสี่ยวหมิง—เรื่องนั้นเกี่ยวพันกับการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ใช่หรือไม่?  (ใช่)  พอบางคนเห็นคนเฒ่า พวกเขาก็คิดว่าการเรียกคนเหล่านั้นว่า “พี่ชาย” หรือ “พี่สาว” ไม่ค่อยมีมารยาทนัก และจะไม่ทำให้ผู้คนคิดว่าพวกตนนั้นมีการขัดเกลามากพอ พวกเขาจึงเรียกคนเหล่านั้นว่า “คุณปู่ ทวด” หรือ “คุณย่าน้อย”  นี่ดูเหมือนว่าเจ้านั้นให้ความเคารพแก่พวกเขามากพอ แล้วความเคารพที่เจ้ามีต่อพวกเขานั้นมาจากไหน?  เจ้าไม่ได้มีใบหน้าของคนที่เคารพผู้อื่น  เจ้ามีรูปลักษณ์ที่น่ากลัวและดุดัน ก้าวร้าวและโอหัง การกระทำของเจ้าก็โอหังกว่าใครอื่น  เจ้าไม่เพียงไม่แสวงหาหลักธรรมความจริงเท่านั้น เจ้ายังไม่ปรึกษาใครอีกด้วย เจ้าทำตัวเป็นกฎเสียเอง และไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย  เจ้ามองเพื่อที่จะดูว่าใครมีสถานะบ้าง จากนั้นเจ้าก็เรียกพวกเขาว่า “คุณตา” หรือ “คุณยาย” หวังว่าจะได้รับคำชมจากผู้คนเพราะเรื่องนี้—การเสแสร้งเช่นนี้มีประโยชน์หรือไม่?  ถ้าเจ้าเสแสร้งอยู่อย่างนี้ เจ้าจะมีความเป็นมนุษย์และมีศีลธรรมหรือไม่?  ในทางตรงกันข้าม เมื่อผู้อื่นเห็นเจ้าทำเช่นนี้ พวกเขาย่อมจะรู้สึกรังเกียจเจ้ายิ่งขึ้นอีก  เมื่อมีเรื่องราวเกิดขึ้นซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าก็สามารถขายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้ลงคอ  เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อทำให้ตัวเองพึงพอใจ และระหว่างที่มีความเป็นมนุษย์แบบนี้ เจ้าก็ยังคงเรียกผู้คนว่า “คุณยาย”—นี่คือการเสแสร้งมิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าช่างเสแสร้งเก่งจริงๆ!  จงบอกเราเถิดว่าคนแบบนี้น่ารังเกียจหรือไม่?  (น่ารังเกียจ)  ผู้คนแบบนี้ขายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าอยู่เสมอ—พวกเขาไม่ปกป้องผลประโยชน์เหล่านี้เลย  พวกเขาแว้งกัดมือที่ป้อนพวกตน และไม่สมควรที่จะใช้ชีวิตอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า  จงตรวจสอบตนเองเถิด และดูว่ามีความคิดอ่าน ทัศนะ ท่าที วิธีปฏิบัติต่อผู้คน และแนวทางเช่นใดบ้างที่เจ้ายังคงเก็บงำไว้ซึ่งมนุษยชาติก็รับรู้กันทั่วไปว่าเป็นพฤติกรรมอันดีงาม ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชังโดยแท้  พวกเจ้าควรรีบปล่อยมือจากสิ่งไร้ค่าเหล่านี้ และต้องไม่ยึดเกาะเอาไว้เป็นอันขาด  บางคนกล่าวว่า “การทำเช่นนั้นมีอะไรผิด?”  ถ้าเจ้าทำเช่นนั้น เราย่อมจะรังเกียจเจ้าและเราก็จะเกลียดเจ้า เจ้าต้องไม่ทำเช่นนั้นเป็นอันขาด  บางคนกล่าวว่า “ถ้าพระองค์รังเกียจพวกเรา นั่นก็ไม่สำคัญ ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับพระองค์”  แม้พวกเราจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เจ้าก็ต้องไม่ทำอย่างนั้นอยู่ดี  เราย่อมจะรู้สึกรังเกียจเจ้าเพราะเจ้าไม่สามารถยอมรับหรือปฏิบัติความจริงได้ ซึ่งหมายความว่าเจ้าไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าละทิ้งสิ่งเหล่านั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก็ย่อมจะดีกว่า  จงอย่าเสแสร้งและอย่าใช้ชีวิตอยู่หลังหน้ากากอันเทียมเท็จ  เราคิดว่าชาวตะวันตกทำตัวเป็นปกติมากในเรื่องนี้  ตัวอย่างเช่น ในอเมริกา เจ้าเพียงจำเป็นต้องเรียกผู้คนด้วยชื่อตัวเท่านั้น  เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกคนนี้ว่า “คุณปู่” และเรียกคนนั้นว่า “คุณย่า” อย่างประดักประเดิด และเจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าผู้คนจะตัดสินเจ้า—เจ้าสามารถเรียกผู้คนด้วยชื่อของพวกเขาเท่านั้นในแบบที่มีศักดิ์ศรีได้ และเมื่อผู้คนได้ยินเจ้าเรียกเช่นนั้น พวกเขาก็รู้สึกเป็นสุขมากทั้งผู้ใหญ่และเด็ก และพวกเขาก็จะคิดว่าเจ้าให้ความเคารพ  ในทางกลับกันถ้าเจ้ารู้ชื่อของพวกเขา แล้วยังคงเรียกพวกเขาว่า “คุณ” หรือ “คุณน้า” พวกเขาก็จะไม่พอใจ และจะมึนตึงใส่เจ้า ส่วนเจ้าก็คิดว่านี่แปลกมาก  วัฒนธรรมตะวันตกนั้นต่างจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน  คนจีนถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมล้างสมองและครอบงำตลอดมา พวกเขาอยากยืนตระหง่านอยู่บนที่สูง เป็นผู้อาวุโสในกลุ่ม และทำให้ผู้อื่นเคารพตนตลอดเวลา  การมีคนเรียกพวกเขาว่า “คุณปู่” หรือ “คุณย่า” นั้นไม่เพียงพอ พวกเขาอยากให้ผู้คนเติมคำว่า “ทวด” เข้าไป และเรียกพวกเขาว่า “ปู่ทวด” “ย่าทวด” หรือ “ปู่น้อย”  แล้วยังมี “ป้าใหญ่” หรือ “ลุงใหญ่”—ถ้าไม่ได้เรียกว่า “ทวด” เช่นนั้นแล้วก็อยากให้เรียกว่า “ใหญ่”  ผู้คนแบบนี้ไม่น่ารังเกียจหรอกหรือ?  นี่คืออุปนิสัยชนิดใด?  ไม่เลวร้ายหรอกหรือ?  นี่น่ารังเกียจมาก!  ผู้คนแบบนี้ไม่เพียงไม่สามารถได้รับความเคารพจากผู้อื่นเท่านั้น แต่ผู้อื่นยังเกลียดและดูแคลนพวกเขาอีกด้วย พากันออกห่างและปฏิเสธพวกเขา  ดังนั้นการที่พระเจ้าทรงเปิดโปงวัฒนธรรมดั้งเดิมในแง่มุมเหล่านี้และทรงรังเกียจเดียดฉันท์สิ่งเหล่านี้จึงมีสาเหตุ  นี่เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้มีกลลวงและอุปนิสัยของซาตานอยู่ และสามารถส่งผลกระทบต่อวิธีและทิศทางการวางตัวของคนเรา  แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ยังสามารถส่งผลต่อมุมมองที่คนคนหนึ่งมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายได้อีกด้วย และพร้อมกันนั้นก็ทำให้ผู้คนมืดบอด ส่งผลต่อความสามารถของพวกเขาในการเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง  ดังนั้นผู้คนจึงควรละทิ้งสิ่งเหล่านี้มิใช่หรือ?  (ใช่)

ชาวจีนถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมครอบงำอย่างหนักหนาสาหัสมาตลอด  แน่นอนว่าทุกประเทศในโลกย่อมมีวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง และวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ก็แตกต่างกันในแง่เล็กๆ เท่านั้น  แม้คำกล่าวบางประการของพวกเขาจะแตกต่างจากคำกล่าวในวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน แต่ก็มีธรรมชาติเดียวกัน  คำกล่าวเหล่านี้ล้วนมีอยู่เพราะผู้คนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้พฤติกรรมบางอย่างที่หลอกลวงยิ่ง ดูภายนอกเหมือนดีงาม สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ ง่ายต่อการที่ผู้คนจะนำไปใช้ นำไปทำให้ตัวเองดูดี จะได้ดูเป็นสุภาพชน ประเสริฐ และน่านับถืออย่างยิ่ง และพวกเขาก็จะได้ดูมีศักดิ์ศรีและซื่อตรง  แต่ก็เป็นแง่มุมเหล่านี้ของวัฒนธรรมดั้งเดิมนี่เองที่ทำให้ดวงตาของผู้คนพร่ามัวและลวงให้พวกเขาหลงกล เป็นสิ่งเหล่านี้นี่เองที่ขัดขวางไม่ให้ผู้คนใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง  ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือ ซาตานใช้สิ่งเหล่านี้มาทำให้สภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนเสื่อมทราม และพาพวกเขาออกห่างจากเส้นทางที่ถูกต้อง  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  พระเจ้าตรัสบอกให้ผู้คนไม่ลักขโมย ไม่ทำผิดประเวณี และอื่นๆ ขณะที่ซาตานบอกผู้คนว่าพวกเขาต้องผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม เป็นต้น—ทั้งหมดนี้แท้จริงแล้วตรงข้ามกับข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีมิใช่หรือ?  ทั้งหมดนี้จงใจขัดแย้งกับข้อกำหนดของพระเจ้ามิใช่หรือ?  ซาตานสอนผู้คนว่าจะใช้วิธีการและพฤติกรรมภายนอก รวมทั้งแบบอย่างที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตมาหลอกผู้อื่นให้หลงเชื่ออย่างไร  แล้วพระเจ้าสอนผู้คนว่าอย่างไร?  ทรงสอนว่าพวกเขาไม่ควรใช้พฤติกรรมภายนอกมาหลอกเอาความไว้วางใจจากผู้อื่น แต่พวกเขาควรวางตนตามพระวจนะของพระองค์และความจริงแทน  เมื่อทำเช่นนั้นพวกเขาย่อมจะคู่ควรแก่ความเชื่อใจและความมั่นใจของผู้อื่น—มีแต่ผู้คนแบบนี้เท่านั้นที่มีความเป็นมนุษย์  ตรงนี้มีความแตกต่างกันอยู่มิใช่หรือ?  มีความแตกต่างอย่างมาก  พระเจ้าตรัสบอกเจ้าว่าควรวางตนอย่างไร ส่วนซาตานก็บอกเจ้าว่าควรเสแสร้งและหลอกผู้อื่นให้หลงเชื่ออย่างไร—นั่นแตกต่างกันอย่างมากมิใช่หรือ?  ดังนั้นตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าผู้คนควรเลือกอะไรในท้ายที่สุด?  เส้นทางใดในสองทางนี้ที่เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง?  (พระวจนะของพระเจ้า)  ถูกต้อง พระวจนะของพระเจ้าคือเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง  ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะระบุข้อกำหนดแบบใดเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์เอาไว้ ต่อให้เป็นกฎเกณฑ์ พระบัญญัติ หรือธรรมบัญญัติที่พระเจ้าตรัสแก่มนุษย์ ทั้งหมดย่อมจะถูกต้องอย่างไร้ข้อสงสัย และผู้คนก็ต้องยึดปฏิบัติตามนั้น  นี่เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้าย่อมจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้องและเป็นสิ่งที่เป็นบวกเสมอไป ส่วนวาจาของซาตานนั้นหลอกให้ผู้คนหลงกลและทำให้พวกเขาเสื่อมทราม วาจาของซาตานย่อมมีกลอุบายของมันอยู่ และไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะสอดคล้องกับรสนิยมหรือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คนเพียงใดก็ตาม  พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่?  (เข้าใจ)  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟังเนื้อหาของสามัคคีธรรมในวันนี้แล้ว?  สัมพันธ์กับความจริงหรือไม่?  (สัมพันธ์)  พวกเจ้าเข้าใจความจริงในแง่มุมนี้มาก่อนหรือไม่?  (ไม่แจ่มแจ้งนัก)  คราวนี้พวกเจ้าเข้าใจชัดเจนแล้วหรือไม่?  (ชัดเจนกว่าแต่ก่อน)  สรุปแล้วการเข้าใจความจริงเหล่านี้จะมีผลดีต่อผู้คนในภายหลัง  จะเป็นผลดีต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงในอนาคตของพวกเขา ต่อการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และต่อจุดหมายและทิศทางของสิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาในชีวิต

26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (3)

ถัดไป: การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (5)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger