สิ่งใดหรือคือความเป็นจริงความจริง?

มีผู้คนจำนวนมากที่เชื่อในพระเจ้า แต่มีน้อยคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เจ้าจะสามารถแยกแยะได้อย่างไรว่าใครบางคนไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  เจ้าจะสามารถประเมินได้อย่างไรว่าใครบางคนเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  สมมุติว่ามีบุคคลที่เชื่อในพระเจ้ามาเจ็ดปีหรือแปดปีแล้ว  พวกเขาสามารถกล่าวคำพูดและคำสอนได้หลายประการ ปากของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยคำศัพท์ฝ่ายวิญญาณ พวกเขาช่วยเหลือผู้อื่นบ่อยๆ พวกเขาดูเหมือนมีใจกระตือรือร้นมาก พวกเขาสามารถละทิ้งสิ่งทั้งหลายได้ และพวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความกระฉับกระเฉงยิ่งนัก  ทว่าคนเราไม่สามารถเห็นพวกเขาปฏิบัติความจริงได้มากนัก และพวกเขาก็ไม่สามารถพูดคุยถึงประสบการณ์จริงในการเข้าสู่ชีวิตได้ นับประสาอะไรกับการที่คนเราไม่สามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาได้  อาจกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าใครบางคนที่เป็นเช่นนี้ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง  หากใครบางคนรักความจริงอย่างจริงใจ หลังจากช่วงเวลาหนึ่งผ่านไป พวกเขาย่อมจะสามารถพูดถึงความเข้าใจของตนได้ และอย่างน้อยก็สามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมในบางสิ่งได้ พวกเขาจะมีประสบการณ์ในการเข้าสู่ชีวิตอยู่บ้าง และอย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็จะแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมบางประการ  บรรดาผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นมีสภาวะฝ่ายวิญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อย พวกเขามีความเข้าใจอยู่บ้างในสิ่งที่พวกเขาเผยออกมาและในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา และพวกเขาก็มีประสบการณ์ส่วนตนและมีความเข้าใจลึกซึ้งอย่างถ่องแท้ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างไรเพื่อช่วยผู้คนให้รอด  สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกยกระดับขึ้นในตัวพวกเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป  หากเจ้ามองเห็นการสำแดงเหล่านี้ในตัวบุคคลหนึ่ง เจ้าย่อมสามารถรู้ได้อย่างมั่นใจว่านี่คือใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้คนมีใจกระตือรือร้นพอควรตอนที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรก แต่พวกเขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าเลย  พวกเขาคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงการเป็นคนดีและการเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง  ต่อมาโดยผ่านทางการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและการฟังเทศนาและการสามัคคีธรรม พวกเขาก็สามารถแยกแยะเรื่องนานัปการได้  พวกเขาตระหนักว่าผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและพวกเขาควรจะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้น และพวกเขาควรน้อมรับความรอดจากพระเจ้า และพวกเขาก็เข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงอะไร  พวกเขาได้รับความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าและเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดอย่างค่อยเป็นค่อยไป  ความเข้าใจนี้สะสมไปทีละเล็กละน้อย และพวกเขาก็ออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป  ความเข้าใจและประสบการณ์กับความเป็นจริงความจริงของพวกเขาถูกยกระดับขึ้นทีละเล็กละน้อย และพวกเขาก็ไม่ติดอยู่กับการตีความตามตัวอักษรหรือตามคำพูดและคำสอน  หากบุคคลหนึ่งเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้วและยังคงกล่าวคำพูดและคำสอนต่อไป กล่าวบางวลีที่พูดกันติดปากเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าอยู่บ่อยๆ และดูราวกับว่าความเชื่อของพวกเขากำลังดำเนินไปได้ดีทีเดียว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเล่าถึงประสบการณ์ชีวิตหรือการรู้จักตนเองได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถแยกแยะผู้ไม่เชื่อและคนชั่วได้ หากมีปัญหาเหล่านี้อยู่ในตัวพวกเขา นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า และสามารถตัดสินได้ว่าพวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงในช่วงสองสามปีที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า  นี่เป็นเครื่องหมายที่ชัดเจนมาก

ในการประเมินว่าผู้นำหรือคนทำงานคนหนึ่งมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ จงดูก่อนว่าการสามัคคีธรรมของพวกเขานั้นประกอบด้วยคำพยานที่แท้จริงและความสว่างใหม่หรือไม่  เมื่อเจ้าไม่ได้เห็นคนบางคนมาสองสามปีแล้ว การสามัคคีธรรมของพวกเขาอาจจะให้ความรู้สึกใหม่และสดในตอนแรก เพราะพวกเขาสามารถพูดด้วยความสว่างใหม่หลังจากที่ได้ยินการเทศนา  อย่างไรก็ตามหลังจากที่เจ้าใช้เวลาสองวันหรือสามวันกับพวกเขา พวกเขาก็เริ่มเล่าประสบการณ์และคำพยานเล็กน้อยในอดีตของพวกเขาอีกครั้ง ถึงเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงช่วยพวกเขาให้รอดอย่างไรและพระองค์ประทานพระคุณและพระพรแก่พวกเขาอย่างไร  ในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาเล่าซ้ำถึงความรู้จากประสบการณ์อันผิวเผินเหล่านั้นที่พวกเขาได้พูดถึงไปก่อนหน้านั้น  นี่คือความก้าวหน้าหรือไม่?  ด้วยการมองดูครั้งเดียว เจ้าก็สามารถเห็นได้ว่านี่ไม่ใช่ความก้าวหน้า  หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี พวกเขาได้รับการเตรียมพร้อมด้วยคำพูดและคำสอนมากมายและพวกเขาก็สามารถกล่าวบางสิ่งที่ถูกต้องได้ แต่เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ยังคงสับสนและไม่สามารถจัดการสิ่งเหล่านั้นได้  พวกเขาไม่สามารถค้นพบหลักธรรมความจริงได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถแยกแยะผู้คนได้  นี่คือความก้าวหน้าหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่ไม่ใช่ความก้าวหน้า  แม้ว่าพวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนมาหลายปีแล้ว หากเจ้าถามพวกเขาว่าพวกเขาได้สัมฤทธิ์ความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแล้วหรือยัง พวกเขาเองก็ไม่เข้าใจ  ไม่ว่าในกรณีใด พวกเขามาตรงเวลาในการชุมนุมทุกครั้งและดูเหมือนว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนตามปกติ  แต่หากเจ้าถามพวกเขาว่า พวกเขาได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงใดๆ แล้วหรือยัง พวกเขาก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้  นี่เป็นปัญหา  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริง  หากพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาจะสามารถมองเห็นปัญหาเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน  บางคนได้ผลลัพธ์บางอย่างในหน้าที่ของตน แต่หากเจ้าถามพวกเขาว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาสามารถบอกได้เพียงว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ แต่พวกเขาไม่รู้ชัดเจนในรายละเอียด  หากเจ้าถามพวกเขาว่าพวกเขามีหลักธรรมของการปฏิบัติในการปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่ พวกเขาก็ไม่สามารถประเมินเรื่องนี้ได้  เจ้าจะกล่าวว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่ตรงตามมาตรฐานหรือไม่?  (ไม่ พวกเขาไม่สามารถทำได้)  นี่ไม่ใช่ความก้าวหน้า  นี่หมายความว่าพวกเขาย่อมเดือดร้อนมิใช่หรือ?  หากเจ้าถามพวกเขาว่า พวกเขาเข้าหาการถูกตัดแต่งในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไร พวกเขาก็บอกว่าพวกเขารับฟัง เชื่อฟัง และไม่ขัดขืน  หลายปีก่อนพวกเขามีหลักธรรมนี้ และตอนนี้พวกเขาก็ยังคงมีหลักธรรมเดียวกันนี้ และสิ่งนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง  ไม่ว่าในกรณีใด พวกเขาเพียงทำตามสิ่งที่คนอื่นบอกพวกเขา  หากเจ้าถามพวกเขาว่า พวกเขาได้รับความเข้าใจจากการถูกตัดแต่งบ้างหรือไม่ พวกเขาได้ค้นพบสภาวะที่เป็นกบฏและธรรมชาติอันเสื่อมทรามของตนเองหรือไม่ หรือความรู้เกี่ยวกับตนเองของพวกเขาลึกซึ้งมากขึ้นหรือไม่ พวกเขาย่อมไม่รู้หรือไม่เข้าใจเรื่องใดนั้นเลย  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขายึดมั่นในกฎเกณฑ์ข้อหนึ่ง นั่นคือเมื่อเผชิญกับการถูกตัดแต่ง พวกเขาต้องเชื่อฟัง ปรับเปลี่ยนความคิดของตน ไม่ขัดขืนหรือหาข้ออ้างให้ตนเอง และพวกเขาต้องสู้ทนและเชื่อฟังอย่างว่าง่าย  นี่คือมุมมองของพวกเขาก่อนหน้านี้ และยิ่งหนักแน่นขึ้นในตอนนี้  นี่เป็นการสำแดงการได้รับความจริงใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ในกระบวนการของการเชื่อในพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงในแง่มุมใดเลย และพวกเขาก็ไม่ได้จับความเข้าใจในหลักธรรมของความจริงในแง่มุมใดอย่างหนักแน่นเลย  ถึงแม้จะมีคนบอกพวกเขาว่า “เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับคุณ คุณต้องปฏิบัติความจริง จับความเข้าใจในหลักธรรมความจริงอย่างหนักแน่น และไม่ออกห่างจากขอบเขตนี้” พวกเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าจะแสวงหาหลักธรรมความจริงอย่างไรเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับตน พวกเขาไม่มีความละเอียดถี่ถ้วน และพวกเขาก็ทำอะไรแค่พอให้พ้นตัว  ดูเหมือนว่าพวกเขายึดมั่นในทิศทางที่ครอบคลุม พวกเขาเชื่อฟังและรับฟัง พวกเขาทำงานที่ตนมีอยู่ในมืออย่างดี ไม่ทำอย่างสุกเอาเผากิน และพวกเขาก็สามารถคุ้มครองผลประโยชน์ของคริสตจักรได้ แต่พวกเขาเข้าใจรายละเอียดของความจริงในแต่ละแง่มุมหรือไม่?  พวกเขาสามารถนำรายละเอียดเหล่านั้นไปปฏิบัติได้หรือไม่?  เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้คนมีความรู้และประสบการณ์ที่แท้จริงกับความจริงในแต่ละแง่มุมหรือไม่  พวกเขาไม่รู้สัมพันธภาพระหว่างความจริงแต่ละแง่มุม หรือความจริงแง่มุมใดและสภาวะใดที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น หรืออุปนิสัยใดเป็นเหตุให้เกิดสภาวะนั้น  หากคนสองคนกล่าวถึงสิ่งเดียวกัน พวกเขาก็ไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างธรรมชาติของคนสองคนนั้น และไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร  นี่คือการเข้าใจความจริงใช่หรือไม่?  นี่ไม่ใช่การเข้าใจความจริง  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาสามปีถึงห้าปีแล้ว แต่ไม่รู้ความจริงเหล่านี้ในด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และหากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาแปดปีหรือสิบปีแล้วและเจ้ายังคงไม่รู้เรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังไม่ได้รับความจริง  ตอนนี้พวกเจ้ากำลังขาดอะไรอยู่?  ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อในพระเจ้าเหมือนกับที่พวกเขากำลังตั้งมั่นในแนวรบ โดยคิดว่าตราบใดที่พวกเขายึดมั่นในคำว่า “การเชื่อในพระเจ้า” จนถึงปลายทางที่สุด พวกเขาย่อมจะประสบความสำเร็จ  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ริเริ่มที่จะแสวงหาหรือยอมรับความจริง พวกเขาล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ในการตั้งมั่นในคำพยานของตน และในการเอาชนะศัตรู ซึ่งก็คือซาตาน และพวกเขาก็ไม่ได้รับความจริงและชีวิต  ช่างเป็นความผิดพลาดที่หนักหนานัก!  นี่เป็นเรื่องที่น่าเวทนาเหลือเกิน การที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีโดยไม่มีประสบการณ์ชีวิตแต่อย่างใด  เมื่อผู้คนตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ พวกเขาเพียงแต่กำลังทำตัวให้ยุ่งทุกวันที่ภายนอก ยึดมั่นในข้อบังคับบางประการ ไม่ละเมิดกฎการปกครองภายในขอบเขตนี้ และทำงานที่พวกเขามีอยู่ในมือให้แล้วเสร็จ  เรื่องนี้ถือว่าเหมาะควรในสายตาของมนุษย์ และหากเจ้าใช้ความจริงประเมินสภาวะนี้ พวกเขาก็ไม่ได้กระทำความผิดพลาดที่น่ากลัวนัก  เจ้าคิดอย่างไรกับการเชื่อในหนทางนี้?  (พระเจ้าไม่โปรดการเชื่อเช่นนี้)  คำตอบนี้เป็นเพียงคำสอนเท่านั้น  จากมุมมองของเจ้าเอง การเชื่อประเภทนี้ไม่สามารถได้รับความจริงเพราะเจ้าไม่เคยมีความก้าวหน้า  ในช่วงเวลาหนึ่งเมื่อพระนิเวศของพระเจ้ากล่าวถึงความจริงเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้า เจ้าก็มุ่งความสนใจไปที่การรู้จักพระเจ้า เมื่อพระนิเวศของพระเจ้ากล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย เจ้าก็มุ่งความสนใจไปที่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย เมื่อพระนิเวศของพระเจ้ากล่าวถึงการรู้จักพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ เจ้าก็มุ่งความสนใจไปที่การรู้จักพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ เมื่อพระนิเวศของพระเจ้ากล่าวถึงนิมิตของพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าก็มุ่งความสนใจไปที่ความจริงที่เกี่ยวข้องกับนิมิต เมื่อพระนิเวศของพระเจ้ากล่าวถึงความจริงเกี่ยวกับการประกาศข่าวประเสริฐ เจ้าก็มุ่งความสนใจไปที่ความจริงในแง่มุมนี้  เจ้าฟังและเข้าใจสิ่งใดก็ตามที่พระนิเวศของพระเจ้ากล่าว ดังนั้นเมื่อไม่มีใครประกาศคำเทศนาเพื่อจัดหาให้เจ้า เจ้าจะมีเส้นทางของตนเองหรือไม่?  เจ้าจะยังคงสามารถก้าวไปข้างหน้าได้หรือไม่?  เจ้าจะเดินอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น ในการชุมนุมเมื่อผู้คนสามัคคีธรรมเรื่องที่ว่าการนบนอบพระเจ้าคืออะไร เจ้ากล่าวว่า “ฉันไม่มีประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมากนักกับเรื่องนี้ ฉันแค่รู้สึกว่าการนบนอบพระเจ้านั้นสำคัญยิ่งยวด”  เมื่อผู้คนถามเจ้าว่าเจ้าปฏิบัติการนบนอบพระเจ้าอย่างไร เจ้าก็บอกว่า “การนบนอบพระเจ้าคือการคิดว่าพระเจ้าตรัสอะไรบ้างเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเจ้า และการปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์”  เมื่อผู้คนขอให้เจ้าสามัคคีธรรมรายละเอียดเพิ่มเติม และสิ่งที่ควรทำหากเจ้าไม่สามารถนบนอบได้เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า หรือสิ่งที่ควรทำเมื่อมีผลประโยชน์ส่วนตนของเจ้ามาเกี่ยวข้อง เจ้าก็บอกว่า “ฉันยังไม่เคยมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้นเลย”  นี่หมายความว่าเจ้ายังไม่ได้รับการเข้าสู่  ช่วงหนึ่งพระนิเวศของพระเจ้ากล่าวถึงความจริงเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้า  เมื่อบุคคลหนึ่งถามเจ้าว่าเจ้ามีความก้าวหน้าในความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าของเจ้าหรือยัง เจ้าก็บอกว่า “ฉันมีความก้าวหน้าแล้ว  ฉันคิดว่าการรู้จักพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเชื่อในพระเจ้า  หากผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า พวกเขาจะก้าวล่วงอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นนิตย์ และหากผู้คนทำเช่นนี้อยู่เสมอ พวกเขาจะตกอยู่ในความมืดมิด สามารถกล่าวได้เพียงคำพูดอันผิวเผิน และพวกเขาก็จะไม่เข้าใจความจริงใดๆ พวกเขาแค่จะเป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ—พวกเขาจะทำสิ่งทั้งหลายที่ขัดแย้งกับความจริงอยู่เสมอ และพวกเขาจะทำสิ่งทั้งหลายที่ต้านทานพระเจ้าเป็นนิตย์”  บุคคลนั้นถามอีกครั้งว่า “แล้วคุณรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร?  เมื่อคุณมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า อธิปไตยของพระเจ้า และการทรงนำของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของคุณ มีสิ่งใดบ้างที่เจ้าตระหนักว่าเป็นการที่พระเจ้ากำลังทรงนำคุณ และในสิ่งใดบ้างที่คุณสามารถรู้สึกถึงอธิปไตยของพระเจ้าได้อย่างชัดเจน?  คุณเข้าใจอธิปไตยของพระเจ้าได้อย่างไร?  ในชีวิตจริง บนพื้นฐานของสิ่งที่คุณสัมผัสได้และรู้สึก คุณมองเห็นอุปนิสัยของพระเจ้าในแง่มุมใดในอธิปไตยของพระองค์?”  หากเจ้าไม่สามารถกล่าวอะไรได้เลย นั่นย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าไม่มีประสบการณ์  หากเจ้ากล่าวว่า “มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกถึงการทรงนำของพระเจ้า” นี่เป็นเพียงการมีความรู้สึกเล็กน้อย และไม่ได้หมายความว่าเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า  อันที่จริงในชีวิตจริงพระเจ้าทรงปกครอง จัดการเตรียมการ และลิขิตทุกสิ่ง  หากผู้คนมีประสบการณ์มามากแล้ว พวกเขาย่อมรู้สึกได้ว่าไม่มีสิ่งใดเรียบง่าย และทุกสิ่งเกิดขึ้นเพื่อให้ผู้คนสามารถเรียนรู้บทเรียนทั้งหลาย และเห็นอธิปไตยของพระเจ้าและมหิทธานุภาพของพระองค์ และเริ่มรู้อุปนิสัยของพระเจ้าในท้ายที่สุด  เมื่อเจ้าสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้เท่านั้น เจ้าจึงจะรู้ว่าควรนบนอบพระเจ้าอย่างไรให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์ จากนั้นเจ้าจะมีเส้นทางข้างหน้าในการปฏิบัติของเจ้าอย่างครบบริบูรณ์  ด้วยประสบการณ์ในระดับนี้ ไม่เพียงแต่ความเชื่อของบุคคลหนึ่งจะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขามีความเข้าใจในอุปนิสัยของพระเจ้า และพวกเขารู้ว่าจะนบนอบพระเจ้าอย่างไร  นี่คือการได้รับความจริง

บางคนมีการเบี่ยงเบนในการไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่เป็นนิตย์ พวกเขามักจะมุ่งความสนใจไปที่การพูดคุยอันว่างเปล่าเกี่ยวกับคำสอนฝ่ายวิญญาณและทฤษฎีที่กลวงเปล่าเพื่อที่จะโอ้อวด  เจ้าคิดอย่างไรกับการไล่ตามเสาะหาประเภทนี้?  ไม่ว่าพวกเจ้าจะคิดว่าตนเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้คำถามที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดก็คือพวกเจ้าได้รับสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ซึ่งก็คือความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง บ้างหรือยัง?  (ข้าพระองค์ได้รับบ้างแล้ว)  เจ้าได้รับอะไรบ้าง?  เจ้าสามารถประเมินเรื่องนี้ได้หรือไม่?  (ข้าพระองค์ได้รับความเข้าใจบางประการและความเข้าใจอันลึกซึ้งเกี่ยวกับว่าผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างไร และเกี่ยวกับโลกที่ชั่วนี้)  เจ้าได้รับความรู้เล็กน้อยแล้ว  ดังนั้นความรู้นี้สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางชีวิตของเจ้า เป้าหมายในชีวิตของเจ้า และหลักธรรมของเจ้าในการประพฤติปฏิบัติตนในชีวิตจริงของเจ้าได้หรือไม่?  ไม่ว่าเจ้าจะใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คนกลุ่มใด ความรู้นี้หรือความจริงที่เจ้าเข้าใจแล้วสามารถมีอิทธิพลต่อชีวิตของเจ้าและเป้าหมายในชีวิตของเจ้าได้หรือไม่?  หากความรู้หรือความจริงเหล่านั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางประการและการยับยั้งชั่งใจอยู่บ้างในสิ่งที่เจ้าพูดและทำ  ตอนนี้พวกเจ้าส่วนใหญ่ยังคงติดอยู่ที่ระดับนี้ในแง่ของวุฒิภาวะของพวกเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  สิ่งนี้ต้องมีการเติบโต  หากความเข้าใจความจริงของเจ้านั้นผิวเผินเกินไป นั่นย่อมไม่มีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์ใดที่จะสามารถกล่าวคำสอนได้เล็กน้อยและยับยั้งชั่งใจได้นิดหน่อย  เจ้าต้องเข้าใจความจริงเพื่อที่จะมีเส้นทางในการปฏิบัติความจริงและสามารถเปลี่ยนแปลงเป้าหมายในชีวิตของเจ้าได้  หากความจริงที่เจ้าเข้าใจและคำเทศนาที่เจ้าได้ฟังนั้นได้รับการยอมรับในหัวใจของเจ้าแล้ว และสามารถมีอิทธิพลต่อชีวิตของเจ้า เปลี่ยนแปลงทิศทางและเป้าหมายในการประพฤติปฏิบัติตนของเจ้า และเปลี่ยนแปลงหลักธรรมของเจ้าในการประพฤติปฏิบัติตนได้ การนี้ย่อมดีกว่าผลที่สัมฤทธิ์โดยการยอมรับการยับยั้งชั่งใจเล็กน้อยอยู่นิดหน่อยมิใช่หรือ?  ตอนนี้พวกเจ้าติดอยู่กับการยอมรับการยับยั้งชั่งใจและการทำตามข้อบังคับ—นี่เป็นเส้นทางสำหรับการปฏิบัติและการเข้าสู่อย่างกระตือรือร้นใช่หรือไม่?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  หากเจ้ายังคงติดอยู่กับการยอมรับการยับยั้งชั่งใจหรือการทำตามข้อบังคับตลอดกาล ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร?  เจ้าจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงจริงได้หรือไม่?  นอกจากนั้นในขณะที่ยับยั้งชั่งใจและทำตามข้อบังคับ เจ้าได้รับผลลัพธ์ใดในการปฏิบัติความจริงหรือไม่?  ไม่ได้รับเลย  ดังนั้นการมุ่งความสนใจไปที่การเข้าใจความจริงก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  การยับยั้งชั่งใจและการทำตามข้อบังคับไม่ได้หมายความว่าเจ้าเข้าใจความจริง ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริง  การยับยั้งชั่งใจและการทำตามข้อบังคับตลอดชีวิตจะไม่สัมฤทธิ์ผลของการเข้าใจความจริงและการปฏิบัติความจริง  การนี้เปล่าประโยชน์!  ดังนั้นไม่ว่าคนเราจะสู้ทนความทุกข์จากการยับยั้งชั่งใจและการทำตามข้อบังคับมากเพียงใด การทำเช่นนั้นก็ไม่มีคุณค่าหรือความหมายแม้แต่น้อย

หลังจากฟังการเทศนาทั้งหลายและเข้าใจความจริงแล้ว พวกเจ้าเคยมีประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงจริงบ้างหรือไม่?  ตัวอย่างเช่น การคิดว่าการไล่ตามไขว่คว้าความรู้และทฤษฎีอันซึ่งดูคล้ายมีเหตุผลก่อนหน้านี้ของเจ้า และการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของเจ้านั้นไม่ใช่การเชื่อในพระเจ้า และเป็นการกระทำที่เป็นของการเชื่อทางศาสนามากกว่า และการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะนั้นเลวทราม และหากเจ้าใช้ชีวิตและประพฤติปฏิบัติตัวเจ้าเองเช่นนั้น เจ้าย่อมจะกลายเป็นปีศาจที่ควรตกนรกโดยสิ้นเชิง และการใช้ชีวิตเช่นนั้นก็เจ็บปวดเกินไป  พวกเจ้ามีประสบการณ์และความรู้นี้หรือไม่?  เจ้ามีประสบการณ์ส่วนตนอย่างไรบ้าง?  การไล่ตามไขว่คว้าความรู้และชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเช่นนั้นช่างน่าเหน็ดหนื่อยมาก!  เจ้ารู้สึกว่ามีข้อโต้แย้งมากเกินไป มีปัญหามากเกินไป และชีวิตช่างน่าเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดเกินไปในการใช้ชีวิตท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อ  เจ้ากล่าวว่า “ฉันไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างนั้นได้  หากฉันใช้ชีวิตเหมือนพวกเขา ฉันก็จะเจ็บปวดมากพอๆ กับพวกเขา  ฉันจำเป็นต้องแยกตัวออกจากหนทางชีวิตของพวกเขา”  นี่เป็นประสบการณ์ตรงของเจ้าใช่หรือไม่?  เจ้าได้มีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งกับการที่มนุษยชาติอันเสื่อมทรามไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย พวกเขาทั้งหมดทะเลาะกัน วางแผนร้าย และพยายามเล่นไม่ซื่อต่อกัน พวกเขาบ่อนทำลายกันและกันอย่างลับๆ และพวกเขาทุบตีกันและกันจนเลือดตกยางออกเพื่อผลประโยชน์เพียงน้อยนิด  เจ้าได้มีประสบการณ์กับการที่ไม่มีพวกเขาสักคนต้องการเดินในเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับพึ่งพากลอุบายและแผนร้ายในการทำสิ่งทั้งหลาย  เมื่อใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น เจ้ารู้สึกอย่างไรมากที่สุด?  เจ้ารู้สึกว่าไม่มีความยุติธรรมหรือความชอบธรรมในโลกนั้น โลกช่างเลวร้ายเกินไปและมืดมิดเกินไป และผู้คนใช้ชีวิตเหมือนกับปีศาจที่นั่น  เจ้าคิดว่าหากเจ้าต้องพยายามที่จะเป็นคนดี คงจะไม่ง่ายและเจ้าก็คงไม่สามารถสัมฤทธิ์การเป็นคนดีได้  เจ้ารู้สึกว่าหากเจ้าต้องการปรับตัวให้เข้ากับโลกนั้น เจ้าคงจะต้องกลายเป็นปีศาจและใช้ชีวิตเหมือนกับปีศาจเช่นกัน เพื่อให้เจ้าสามารถทำตัวกลมกลืนกับกลุ่มปีศาจและเข้าร่วมกับกระแสทางสังคมได้ เพื่อที่จะต่อสู้เพื่ออาหารหนึ่งคำและเพื่อการดำรงชีวิตและความอยู่รอดของเจ้าเอง เจ้าจะต้องต่อสู้กับพวกเขาและพูดและทำสิ่งทั้งหลายที่ขัดแย้งกับเจตจำนงของเจ้า  การใช้ชีวิตเช่นนี้ในแต่ละวันคงจะเหนื่อยล้ามาก แต่หากเจ้าไม่ใช้ชีวิตเช่นนี้ ผู้คนก็จะผลักไสเจ้า และเจ้าจะไม่มีหนทางที่จะใช้ชีวิต  ในสภาพแวดล้อมของการใช้ชีวิตประเภทนี้ เจ้าได้มีประสบการณ์กับอะไรบ้าง?  ความเจ็บปวด ความทรมาน และความอับจนหนทาง  เจ้าได้มีประสบการณ์กับความเลวร้าย ความโหดร้าย และความมืดมิดที่มีอยู่ระหว่างผู้คน และเจ้าก็ไม่สามารถมองเห็นความสว่างของชีวิตมนุษย์ได้  เมื่อเจ้าเริ่มเชื่อในพระเจ้าและมุ่งความสนใจไปที่การอ่านพระวจนะของพระเจ้า เจ้าได้มีประสบการณ์กับอะไรบ้าง  (ข้าพระองค์เข้าใจความจริงในหัวใจของข้าพระองค์ ข้าพระองค์รู้สึกว่าเป็นการดีกว่าที่จะเชื่อในพระเจ้า และข้าพระองค์รู้สึกถึงความชูใจในหัวใจของข้าพระองค์)  ขณะที่ใช้ชีวิตในพระนิเวศของพระเจ้า เจ้ารู้สึกมีความสุข เจ้าได้รับพรจากพระเจ้า และเจ้าสามารถเข้าใจความจริงหลายประการ เมื่อเจ้าอยู่กับพี่น้องชายหญิงของเจ้า เจ้าสามารถช่วยเหลือและเกื้อหนุนกันและกันได้ ปฏิบัติต่อกันและกันอย่างเท่าเทียม และใช้ชีวิตอย่างปรองดองกัน  ทุกวันเจ้ารู้สึกสบายในหัวใจของเจ้า และเป็นอิสระและได้รับการปลดปล่อย  เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกหลอก และเจ้าก็ไม่ถูกคนอื่นกดขี่และข่มเหงอีกต่อไป  คนทำชั่วถูกเผยออกมาและถูกกำจัดออกไปทีละเล็กละน้อย และพวกเขาก็มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ  พระนิเวศของพระเจ้าได้รับการปกครองโดยความจริงและพระเจ้า  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถพูดได้อย่างอิสระโดยไม่มีข้อจำกัด พวกเขามีสิทธิที่จะเลือก และมีสิทธิที่จะเปิดโปงคนชั่ว  บรรดาผู้คนที่ไม่ยอมรับความจริงและยิ่งไปกว่านั้นสามารถทำชั่วได้ก็จะถูกขจัดออกไปทีละเล็กละน้อย  ไม่มีปรากฏการณ์ที่ผู้คนถูกทรมานหรือถูกกดขี่ดำรงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า  หากมีประเด็นหนึ่งประเด็นใด ทุกคนจะหารือถึงประเด็นนั้น  หากมีปัญหาหนึ่งปัญหาใด เหล่าผู้นำและคนทำงานจะสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหานั้น  ผู้คนเริ่มเข้าใจความจริงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสิ่งที่ไม่เป็นไปตามกฎเหล่านั้นก็เกิดขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งปวงสามารถยอมรับความจริงได้ ยับยั้งชั่งใจด้วยความจริงได้ และเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้ในแง่ของคำพูดและความประพฤติของพวกเขา  หากใครทำความชั่ว ทุกคนก็สามารถมองเห็นการกระทำนั้นได้อย่างชัดเจนและรายงานการกระทำนั้นได้  ดังนั้นจึงมีคนชั่วในพระนิเวศของพระเจ้าน้อยลงเรื่อยๆ  ตอนนี้เจ้ารู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าสภาพแวดล้อมในพระนิเวศของพระเจ้านั้นดีอย่างแท้จริง—พี่น้องชายหญิงรักกันและกัน และใครก็ตามที่มีความลำบากยากเย็นหรือการเบี่ยงเบนก็สามารถได้รับความช่วยเหลือ ใครก็ตามที่มีความยากลำบากก็สามารถแก้ไขความยากลำบากนั้นได้ และหากมีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ผู้คนก็สามารถมองไปที่พระเจ้าและพึ่งพิงพระองค์ และแก้ปัญหาเหล่านั้นตามพระวจนะของพระองค์  การใช้ชีวิตในพระนิเวศของพระเจ้าทำให้เจ้ารู้สึกมีความสุขและมีความหวัง เจ้าสามารถมองเห็นความสว่าง และเจ้าก็สามารถชื่นชมยินดีกับความรักและความรอดของพระเจ้าได้เต็มที่  สภาพแวดล้อมนี้มีประโยชน์อย่างมากต่อความก้าวหน้าในชีวิตของผู้คน  ด้วยการใช้ชีวิตในคริสตจักร ในสภาพแวดล้อมนี้ที่มีความจริง เจ้าย่อมสามารถเข้าใจความจริงได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป หัวใจของเจ้าย่อมสว่างขึ้นทีละเล็กละน้อย และเจ้าจะรู้สึกเป็นอิสระและได้รับการปลดปล่อย  สิ่งเหล่านี้เป็นผลลัพธ์ที่ได้มาจากการเข้าใจความจริง  ผู้คนที่ได้รับความจริงแล้วมีลักษณะเฉพาะประการหนึ่งที่เห็นได้ชัด นั่นก็คือพวกเขาค่อนข้างเป็นอิสระและได้รับการปลดปล่อย  พวกเขาไม่จำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจ ความจริงจะมีอิทธิพลต่อคำพูดและความประพฤติของพวกเขา และความจริงจะเปลี่ยนหนทางชีวิตและทิศทางชีวิตของพวกเขา  เมื่อหัวใจแห่งการยำเกรงพระเจ้าผุดขึ้นภายในตัวเจ้า และเมื่อเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้านำเจ้า ธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่เจ้าทำเมื่อก่อนตอนที่เจ้าใช้การควบคุมตนเองและการยับยั้งชั่งใจ  ภายใต้สภาพการณ์เหล่านี้ หากเจ้าได้รับสถานะ และเจ้ามีโอกาสและภาวะที่เหมาะสมที่จะทรมานผู้อื่น เจ้าจะยังคงทำเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่)  เพราะเหตุใดจึงไม่ทำ?  เป็นเพราะว่าเจ้าไม่ได้วางแผนที่จะทรมานผู้คน หรือเพราะว่าเจ้าไม่มีความสามารถที่จะทรมานผู้คน?  (เป็นเพราะอุปนิสัยของข้าพระองค์จะได้เปลี่ยนไปแล้ว)  นั่นถูกต้องแล้ว เจ้าจะมีหัวใจแห่งการยำเกรงพระเจ้า และเจ้าจะมีหลักธรรมและพื้นฐานในการกระทำของเจ้า  ณ จุดนี้ ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญกับการทดลองใดก็ตาม เจ้าก็จะสามารถกล่าวจากหัวใจของตนได้ว่า “การทำเช่นนี้ไม่ทำให้พระเจ้ายินดี และฉันไม่สามารถทำสิ่งทั้งหลายที่ล่วงเกินพระเจ้าได้”  วุฒิภาวะของเจ้าจะมาถึงขั้นนี้ตามธรรมชาติ และเจ้าจะสามารถกล่าวคำพูดเช่นนี้ได้  ตอนนี้พวกเจ้าสามารถทำให้ขั้นตอนนี้สำเร็จลุล่วงอย่างเป็นธรรมชาติมากๆ ได้หรือไม่?  (ยังไม่ได้)  นี่เป็นการพิสูจน์ว่าความจริงยังไม่มีผลภายในตัวเจ้า ความจริงเพียงแต่ยับยั้งพฤติกรรมของเจ้าเท่านั้น แต่ไม่สามารถยับยั้งหัวใจของเจ้าได้อย่างมั่นคง หรือเปลี่ยนแปลงทิศทางชีวิตของเจ้า หรือหลักธรรมและเป้าหมายในการประพฤติปฏิบัติตนของเจ้าได้

ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนได้เริ่มมุ่งความสนใจไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริงในการเชื่อในพระเจ้าของตน แล้วพวกเจ้าใช้สิ่งใดเป็นพื้นฐานของการประพฤติปฏิบัติตนของพวกเจ้า?  มโนธรรม พื้นฐานสำหรับการประพฤติปฏิบัติตน และศีลธรรม  สิ่งเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากความจริงเพียงใด?  มโนธรรม พื้นฐานสำหรับการประพฤติปฏิบัติตน และศีลธรรมนั้นเกี่ยวข้องกับความจริงหรือไม่?  ห่างไกลจากความจริง  อย่างดีที่สุดการประพฤติปฏิบัติตัวเจ้าเองบนพื้นฐานของมโนธรรมจะสามารถทำให้เจ้าเป็นคนดีได้ ทว่าการนี้ก็อยู่ต่ำกว่าข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าอยู่มาก  ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าคือการให้ผู้คนประพฤติปฏิบัติตนเองบนพื้นฐานของความจริงและใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์  เมื่อบุคคลหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าสามารถจับความเข้าใจในความจริง เข้าใจและปฏิบัติความจริง และยับยั้งตนเองตามหลักธรรมของความจริงได้ พวกเขาก็จะเติบโตขึ้นมาแล้ว  หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็จะไม่มีวันเติบโตขึ้น  บางคนเริ่มไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว และพวกเขามีความแน่วแน่โดยกล่าวว่า “ฉันต้องทำเต็มกำลังของฉันเพื่อเพียรพยายามไปให้ถึงความจริงและมุมานะในการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ในการทำสิ่งทั้งหลายตามกฎเกณฑ์ ในการปฏิบัติตนด้วยหลักธรรมและขอบเขต และในการละเว้นจากการทำสิ่งทั้งหลายที่ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือเป็นบาปต่อพระเจ้า โดยไม่จำเป็นต้องมีใครมาบริหารจัดการ ยับยั้ง หรือกำกับดูแลฉันเพื่อให้ทำเช่นนั้น  แม้ว่าจะไม่มีใครกำลังกำกับดูแลฉัน หากการทำบางสิ่งจะก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า ขาดพร่องหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และจะล่วงเกินพระเจ้า ฉันจะไม่ทำการนั้นโดยเด็ดขาด  ต่อให้ฉันมีความคิดนั้นในหัวใจของฉัน ฉันก็สามารถยับยั้งตนเองได้—ฉันต้องไม่ดำเนินการเช่นนั้น”  สภาวะนี้กระตือรือร้นและเป็นบวก  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าพระนิเวศของพระเจ้าขอให้ใครบางคนพิทักษ์วัตถุล้ำค่าชิ้นหนึ่ง และมีผู้คนเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้  เมื่อคนอื่นรู้เรื่องนี้ บุคคลนั้นก็สามารถดูแลวัตถุชิ้นนั้นเป็นอย่างดี ใส่ใจในวัตถุนั้น และป้องกันไม่ให้วัตถุชิ้นนั้นสูญหาย เสียหาย ถูกขโมย หรือถูกทำลายได้  ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็สามารถละเว้นจากการเป็นคนละโมบและหวงทรัพย์สมบัติได้เช่นกัน และในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาก็แยกวัตถุชิ้นนี้เอาไว้ในฐานะวัตถุศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์  นี่คือคนดีมิใช่หรือ?  จากมุมมองในปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นคนดีเพราะพวกเขาไม่มีแนวคิดหรือความคิดที่จะยักยอกวัตถุชิ้นนั้น  เมื่อก้าวต่อไปอีกหนึ่งก้าว พวกเขาก็สามารถพิทักษ์วัตถุชิ้นนี้ด้วยความจงรักภักดีต่อตำแหน่งของตนที่สุด และแบกรับความรับผิดชอบนี้อย่างสุดจิตสุดใจและสุดความสามารถของตน และอาจกล่าวได้ว่าพวกเขากำลังทุ่มเทหมดทั้งหัวใจของตนให้กับการนั้น และทำงานของตนเป็นอย่างดี  แต่วันหนึ่งสิ่งทั้งหลายก็เปลี่ยนไป  บางคนที่รู้เรื่องนี้ถูกจับกุมและคุมขัง และบางคนถูกย้ายไปยังสถานที่อื่น  บุคคลนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ที่รู้เกี่ยวกับวัตถุชิ้นนี้  ภายใต้สภาพการณ์เหล่านี้ สภาพแวดล้อมของพวกเขาเปลี่ยนไปแล้วมิใช่หรือ?  ใช่แล้ว สภาพแวดล้อมของพวกเขาเปลี่ยนไป และการทดสอบได้มาถึงแล้ว  ตอนแรกหัวใจของพวกเขายังคงไม่หวั่นไหว และพวกเขายังคงพิทักษ์วัตถุชิ้นนั้นอย่างจริงจังและมีความรับผิดชอบโดยไม่มีความคิดอื่นใด  ต่อมาพวกเขาก็ได้ยินว่าผู้คนที่รู้เรื่องนี้ได้หายตัวไป  แม้จะเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยังคงคิดว่า “ฉันไม่สามารถคิดวางแผนใดๆ เกี่ยวกับวัตถุชิ้นนี้ได้ ฉันต้องพิทักษ์วัตถุชิ้นนี้ให้ดีต่อไป  ต่อให้ผู้คนไม่รู้เรื่องนี้ พระเจ้าทรงรู้!”  นี่คือคนดีมิใช่หรือ?  (ในปัจจุบันพวกเขายังคงดูเป็นคนดีอยู่)  เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะเมื่อประเมินด้วยมาตรฐานของการเป็นคนดีแล้ว หากคนเราสามารถเอื้อมถึงระดับนี้ได้ พวกเขาก็ดีมากแล้ว  แต่วันหนึ่งเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ในครอบครัวของพวกเขา พวกเขาต้องการเงินอย่างเร่งด่วน และพวกเขาก็ไม่มีเงินในมือเพียงพอ  สภาพแวดล้อมของพวกเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง และเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง ก็ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะถูกทดสอบอีกครั้งหนึ่ง  ตอนแรกพวกเขายังคงพิจารณาถึงการยืมเงิน แต่หลังจากที่พยายามแล้วไม่ประสบความสำเร็จสองครั้งหรือสามครั้ง หัวใจของพวกเขาก็เริ่มวอกแวกว่า “ฉันมีวัตถุล้ำค่าอยู่ในครอบครองมิใช่หรือ?  การที่ฉันไปยืมเงินเมื่อฉันมีของมีค่าอยู่ตรงหน้าฉันเลยนั้นเป็นเรื่องที่โง่เขลามิใช่หรือ?  ไม่มีใครรู้ว่าฉันกำลังพิทักษ์วัตถุชิ้นนี้  นอกจากนั้นวัตถุชิ้นนี้ก็แค่กำลังมีฝุ่นจับอยู่ที่นี่  พอเหมาะพอดีที่ฉันจะใช้วัตถุชิ้นนี้มิใช่หรือ?  ฉันอาจจะทำอย่างนั้นด้วย!”  จากนั้นพวกเขาก็มีความคิดเชิงตรรกะที่ดีกว่าว่า “พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งนี้ไว้ให้ฉันมิใช่หรือ?  พระเจ้าทรงกำลังแสดงพระคุณแก่ฉัน สาธุการแด่พระเจ้า!”  ยิ่งพวกเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่เหมาะควรที่จะทำ  หลังจากใคร่ครวญมาสองวันหรือสามวัน พวกเขาก็รู้สึกสงบในหัวใจของตน และมโนธรรมของพวกเขาก็ไม่ตำหนิพวกเขา  ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจว่า “ฉันจะใช้เงินนี้ละ!”  เกิดอะไรขึ้น?  (เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงในการคิดของพวกเขา)  ความเปลี่ยนแปลงในการคิดของพวกเขาครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  (สภาพแวดล้อมเป็นต้นเหตุ)  ดังนั้นมีปัญหากับสภาพแวดล้อมหรือไม่?  สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงพวกเขาใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วเราจะสามารถอธิบายเรื่องนี้ให้ถูกต้องได้อย่างไร?  ตอนที่สภาพแวดล้อมของพวกเขาเปลี่ยนไปสองครั้งก่อน เพราะเหตุใดหัวใจของพวกเขาจึงไม่หวั่นไหวในตอนนั้น?  (ยังไม่ถึงเวลาแห่งความยากจนและความท้อแท้อย่างที่สุด)  ก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ ความคิดภายในที่แท้จริงและอุปนิสัยที่แท้จริงของบุคคลหนึ่งจะไม่ถูกเปิดโปง  ณ เวลานั้น เราจะสามารถกล่าวว่าบุคคลนี้จงรักภักดีต่อพระเจ้าได้หรือไม่?  หรือกล่าวว่าพวกเขารักความจริงได้หรือไม่?  เราอาจกล่าวเช่นนั้นได้ เพราะตอนที่พวกเขาพิทักษ์เครื่องบูชา พวกเขาก็สามารถทำการนั้นได้อย่างสุดหัวใจและสุดกำลังของพวกเขา โดยไม่มีแนวคิดหรือความคิดที่ไม่ถูกควรอื่นใดเลย  พวกเขาไม่เคยคิดวางแผนใดเกี่ยวกับวัตถุชิ้นนั้นเลย—ช่างเป็นบุคคลที่ดีเลิศ!  อย่างไรก็ตาม เมื่อสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไป และพวกเขารู้สึกว่ากำลังติดกับดักโดยไม่มีทางออก ความคิดที่ไม่ถูกควรของพวกเขาก็ผุดขึ้น และพวกเขาก็เริ่มคิดวางแผนเกี่ยวกับเครื่องบูชา  อันที่จริงไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีความคิดเหล่านี้มาก่อน แต่พวกเขาซ่อนเร้นความคิดเหล่านี้ไว้ในหัวใจของตน  เมื่อเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ความคิดของพวกเขาก็ผุดออกมาภายนอกตามธรรมชาติราวกับน้ำพุ  ในตอนท้ายพวกเขาก็พบแม้กระทั่ง “พื้นฐาน” สำหรับความคิดนี้ โดยกล่าวว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งนี้ไว้สำหรับพวกเขา  เมื่อพบ “พื้นฐาน” เหล่านี้ ธรรมชาติอันเลวร้ายของพวกเขาก็ถูกเปิดโปงมิใช่หรือ?  ความจงรักภักดี ความดี และสำนึกในความยุติธรรมของพวกเขาหายไปที่ใด?  (สิ่งเหล่านั้นหายไปแล้ว)  ดังนั้นการสำแดงก่อนหน้านี้ของพวกเขาเป็นการแสร้งทำเท่านั้นหรือ?  การสำแดงเหล่านั้นไม่ใช่การแสร้งทำ เป็นการเผยตามธรรมชาติเช่นกัน แต่ไม่ใช่การเผยที่ลึกซึ้ง  การสำแดงเหล่านั้นเป็นการเผยที่ผิวเผินที่สุด เป็นปรากฏการณ์ในระดับผิวเผิน  มีภาพลวงตาบางอย่างอยู่ท่ามกลางปรากฏการณ์ในระดับผิวเผินของมนุษยชาติ และบางครั้งผู้คนก็มองภาพลวงตาเหล่านี้ไม่ออกและถูกชักพาให้หลงผิดอย่างง่ายดาย  ตัวอย่างเช่น คนบางคนดูเหมือนจะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างดีมากเป็นเวลาหกเดือนหรือหนึ่งปี แต่หลังจากหนึ่งปีพวกเขาก็กลายเป็นคนคิดลบ  หลังจากสองปีพวกเขาอาจจะหนีไปและกลับสู่โลกปุถุชน บางคนไปเพื่อหาเงิน และบางคนไปเพื่อใช้ชีวิตของพวกเขาเอง  ดังนั้นจึงจะเป็นการไม่ถูกต้องที่เจ้าจะตัดสินว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่สละตนเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจบนพื้นฐานของผลงานของพวกเขาภายในหกเดือนหรือหนึ่งปี  พฤติกรรมของพวกเขาในช่วงหกเดือนหรือหนึ่งปีนั้นแท้จริงแล้วเป็นภาพลวงตา เป็นความมีใจกระตือรือร้นชั่วคราว  เมื่อเผชิญกับสภาพแวดล้อมและการทดลองบางประการ โฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขา และสิ่งเจือปนในเจตนารมณ์ที่อยู่เบื้องหลังการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็ถูกเปิดโปง  นี่คือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  พระเจ้าทรงต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดในตัวผู้คนกันแน่?  พระเจ้าทรงต้องการแก้ปัญหาใดโดยการให้ผู้คนยอมรับความจริง?  (สิ่งทั้งหลายที่อยู่ภายในธรรมชาติของมนุษย์)  นั่นถูกต้องแล้ว สิ่งทั้งหลายที่อยู่ภายในธรรมชาติของมนุษย์คือสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไข  เมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขา ผู้คนก็มีพื้นฐานทางศีลธรรมเบื้องต้นและพวกเขาก็ไม่เอาเปรียบผู้อื่น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสมักจะกล่าวว่า “จงอย่าโลภในทรัพย์สินของผู้อื่น และจงอย่าผละจากทรัพย์สินของตนเอง”  นั่นเป็นการกล่าวว่าจงอย่าแจกทรัพย์สมบัติของเจ้าเองโดยไม่ใส่ใจ และจงอย่ากลายเป็นคนละโมบหรือมีความคิดโลภต่อทรัพย์สมบัติของผู้อื่น  นี่เป็นเพียงสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมีและอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานของความจริง  ดังนั้นผู้คนสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้หรือไม่?  (พวกเขาทำไม่ได้)  ผู้คนไม่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้ด้วยซ้ำ ทว่าพวกเขากลับบอกว่าจงอย่ามีความคิดโลภ  การยึดทรัพย์สมบัติของผู้อื่นโดยไม่รอให้ความคิดโลภผุดขึ้นภายในตนเองด้วยซ้ำ—นี่เป็นผลลัพธ์ของการครอบงำโดยธรรมชาติของคนเรา  ตราบเท่าที่สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ผู้คนไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ พวกเขาจะเผยให้เห็นธรรมชาติอันเลวร้ายภายในตัวพวกเขา และอุปนิสัยอันชั่วร้าย โลภ และหลอกลวงของพวกเขา  เกี่ยวกับบุคคลที่ยักยอกเครื่องบูชาในตัวอย่างที่เราเพิ่งกล่าวถึง—แนวคิดและการสำแดงใดของพวกเขาเป็นการหลอกลวง?  (พวกเขายึดเครื่องบูชาของพระเจ้า ในขณะที่กล่าวอ้างว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งนี้และเปิดหนทางออกให้พวกเขา)  นี่เป็นการหลอกลวง เป็นการหลอกลวงตนเองและผู้อื่นด้วย  พวกเขาใช้เล่ห์ลวงตนเองและพยายามใช้เล่ห์ลวงพระเจ้าด้วย  พวกเขาใช้คำพูดที่ฟังแล้วรื่นหูเหล่านี้เพื่อโกหกตนเอง และปลอบโยนมโนธรรมของตนเองเพื่อให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการกล่าวหาจากมโนธรรมนั้น  ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังแต่งเติมคำโกหกอันสวยงามสำหรับตนเอง และพวกเขาก็ต้องการใช้คำโกหกนี้เพื่อหลอกและลวงพระเจ้า  การนี้หลอกลวงมิใช่หรือ?  (ใช่แล้ว)  การนี้หลอกลวง  เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ และธรรมชาติของเจ้าทำให้เกิดความคิดทั้งหลายและทำให้เจ้าต้องการทำบางสิ่ง ก่อนอื่นมโนธรรมของเจ้าจะเกิดผลภายในตัวเจ้า และจากนั้นความจริงทั้งหลายที่เจ้าเข้าใจก็จะเกิดผลเช่นกัน ทำให้เจ้าตระหนักว่าการคิดในหนทางนี้จะไม่เป็นประโยชน์เลยสำหรับเจ้า การคิดเช่นนี้น่าดูหมิ่นและเลวร้าย และสิ่งที่เจ้าคิดและเชื่อนั้นไม่ใช่ความจริง  แม้ว่าเจ้าจะมีแรงดลใจชั่วคราวที่จะทำสิ่งนี้ หลังจากอธิษฐานถึงพระเจ้าแล้ว เจ้าก็คิดว่า “ฉันไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ นี่จะล่วงเกินพระเจ้า  การนี้เลวร้าย!  การทำเช่นนี้ขัดแย้งกับความจริง และจะเป็นการใช้เล่ห์ลวงพระเจ้ามิใช่หรือ?  ฉันไม่มีวันทำเช่นนี้ได้  นี่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ถูกแยกเอาไว้ว่าเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นของพระเจ้า และต้องไม่มีการแตะต้องสิ่งนี้โดยเด็ดขาด  แม้ว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องของสิ่งนี้ และมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้เรื่องของสิ่งนี้ เพราะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้เรื่องของสิ่งนี้ ฉันจึงไม่สามารถแตะต้องสิ่งนี้โดยเด็ดขาด”  หากบุคคลหนึ่งสามารถคิดในหนทางนี้ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมมีวุฒิภาวะที่แท้จริง  หากพวกเขาพึ่งพาเจตนารมณ์ที่ดีและพื้นฐานทางศีลธรรมของตน พวกเขาจะสามารถยับยั้งตนเองได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถรับประกันได้หรือไม่ว่าพวกเขาจะไม่ขโมยเครื่องบูชา?  (พวกเขาไม่สามารถทำได้)  บุคคลหนึ่งต้องมีสิ่งใดเพื่อที่จะสัมฤทธิ์การนี้?  (พวกเขาต้องมีความยำเกรงพระเจ้าในหัวใจของตน)  มีเพียงความจริงทั้งหลายที่เจ้าเข้าใจ ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าของเจ้า และความยำเกรงพระเจ้าในหัวใจของเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถยับยั้งหัวใจและการกระทำของของเจ้าได้ และตัดสินว่าเจ้าจะเลือกเส้นทางใดและเจ้าจะประพฤติปฏิบัติตนเองให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างไร  นอกจากความจริงและพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ยังมีสิ่งที่สองที่สามารถช่วยให้ผู้คนสัมฤทธิ์การนี้ได้หรือไม่?  ไม่มีเลย  นี่คือหนทางเดียวเท่านั้น นี่อาจทำให้เจ้าสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้  ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญกับสภาพแวดล้อมประเภทใด ไม่ว่าจะเป็นบททดสอบหรือการทดลองก็ตาม สภาพแวดล้อมเหล่านั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจงรักภักดีและการนบนอบพระเจ้าของเจ้าได้  เมื่อเจ้าทำให้ความแน่วแน่ของเจ้ามั่นคงแล้ว ความแน่วแน่นั้นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากเพียงใด ต่อให้เป็นการทดลองครั้งใหญ่เป็นพิเศษสำหรับเจ้า ความแน่วแน่ของเจ้าจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และหลักธรรมสำหรับการทำสิ่งทั้งหลายของเจ้าก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ในหนทางนี้เจ้าจะตั้งมั่นในการเป็นพยานของตน และเจ้าจะได้รับความจริง  พระเจ้าจะไม่ทรงทดสอบเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก  เจ้าจะเอาชนะเรื่องนี้แล้ว และเจ้าจะตั้งมั่นแล้ว  ตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่สามารถเอื้อมถึงวุฒิภาวะนี้ได้หรือไม่?  (พวกเขาทำไม่ได้)  พวกเขายังคงเอื้อมไม่ถึงวุฒิภาวะนี้ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าความจริงยังไม่ได้กลายเป็นชีวิตของพวกเขา  เช่นนั้นแล้วตอนนี้สิ่งใดคือชีวิตของพวกเขา?  ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของซาตาน ยาพิษของซาตาน และสัญชาตญาณบางอย่างของมนุษย์ กล่าวคือการตั้งมั่นในพื้นฐานของศีลธรรมและการประพฤติปฏิบัติตน ตลอดจนคำสอนและการแสดงออกฝ่ายวิญญาณบางประการที่พวกเขาได้มาหลังจากที่เริ่มเชื่อในพระเจ้า  เมื่อได้จับความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้คนก็คิดเสมอว่า “ฉันได้รับความจริงแล้ว  ในการเชื่อในพระเจ้าของฉัน ฉันได้เข้าใจมากเหลือเกิน  ฉันได้เปลี่ยนแปลงและได้รับบางสิ่งแล้ว”  สิ่งที่พวกเขาได้รับแล้วคืออะไรบ้าง?  อันที่จริงก็เป็นเพียงสิ่งทั้งหลายในระดับผิวเผินเท่านั้น  เป็นแค่การมีความยับยั้งชั่งใจอยู่บ้างในพฤติกรรมของพวกเขา และพฤติกรรมของพวกเขาก็ค่อนข้างเป็นไปตามข้อบังคับมากขึ้น  นอกจากนั้นพวกเขายังสามารถไตร่ตรองในหนทางที่เป็นบวกมากขึ้นในจิตใจและหัวใจของตน และคิดถึงสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกมากขึ้น  เนื่องด้วยอิทธิพลของสภาพแวดล้อมของพวกเขา การฟังการเทศนาบ่อยๆ ตลอดจนการปฏิบัติหน้าที่ของตน และการสัมผัสกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกบ่อยขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงได้รับอิทธิพลในบางหนทางที่เป็นบวกบางประการ  เหล่านี้คือคุณประโยชน์และการเปลี่ยนแปลงซึ่งสภาพแวดล้อมของคริสตจักรนำมาสู่ผู้คน  แต่การเปลี่ยนแปลงที่ความจริงนำมาสู่ผู้คนนั้นใหญ่โตและมากมายเพียงใด?  นี่ขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา  หากเจ้าเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะได้รับบางสิ่งในเชิงของแง่มุมของความจริงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่เสมอ และเจ้าจะได้รับเล็กน้อยและเข้าใจเล็กน้อยในแต่ละระยะ  ในหัวใจของพวกเขา ผู้คนเข้าใจและมีความรู้สึกเกี่ยวกับการที่พวกเขาได้รับบางสิ่งแล้วหรือไม่  ตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกเช่นไร?  บนพื้นฐานของเจตนารมณ์ที่ดีของพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าตนมักจะขยันหมั่นเพียรและจงใจทำสิ่งที่ดีบางประการ กล่าวคือสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนเชื่อว่ามีมโนธรรมและเหตุผล และสิ่งทั้งหลายที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นกล่าวหาหรือวิจารณ์พวกเขา  ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่ดี ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านั้นคือการปฏิบัติความจริง  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่แล้ว)  ผู้คนส่วนใหญ่มีหลักธรรมเบื้องต้นสำหรับการกระทำของตน ซึ่งก็คือการกระทำตามมโนธรรมของพวกเขา  พวกเขารู้สึกว่าความจริงนั้นลึกซึ้งเกินไป เป็นนามธรรมเกินไป และดูห่างไกลจากผู้คนเกินไป  ผู้คนไม่เข้าใจความจริงเป็นอย่างดีและพวกเขาก็ไม่สามารถอธิบายความจริงได้ชัดเจน ดังนั้นพวกเขาก็เพียงแต่กระทำตามมโนธรรมของตนและทำแต่พอให้พ้นตัววันแล้ววันเล่า  บางคนไม่มีแม้กระทั่งความตระหนักรู้ถึงมโนธรรมใดๆ และพวกเขาก็ไม่กระทำตามมาตรฐานของมโนธรรม  บางคนปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยไม่ได้รับผลลัพธ์ใดเลย พวกเขาแค่กำลังรับพระคุณของพระเจ้ามาฟรีๆ และเพลิดเพลินกับพระคุณของพระองค์ แต่ไม่ได้ให้สิ่งใดตอบแทน โดยไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ ในหัวใจของตน  ผู้คนเหล่านี้มีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่?  หากเจ้าถามพวกเขาว่า “คุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการใช้ชีวิตเช่นนี้?”  พวกเขาก็กล่าวว่า “เจตนารมณ์ของพระเจ้านั้นใหญ่หลวงเกินไป ฉันไม่สามารถเอื้อมถึงเจตนารมณ์เหล่านั้นได้  ไม่ว่าในกรณีใดฉันเป็นบุคคลหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ และฉันไม่ได้ทำความชั่ว  ฉันรู้สึกถึงสันติในหัวใจของฉัน”  ผู้คนที่เป็นดังนี้ปฏิบัติความจริงหรือไม่?  แม้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่พวกเขากำลังสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่?  จากมุมมองของมนุษย์ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่พวกเขากลับไม่ได้รับผลลัพธ์ในหน้าที่เหล่านั้นเลย  พระเจ้าทรงเห็นชอบพวกเขาได้หรือไม่?  พวกเขาอาจกล่าวว่า “ฉันปฏิบัติหน้าที่ของฉันบนพื้นฐานของมโนธรรมของฉัน ฉันไม่อยู่ว่าง ฉันไม่เกียจคร้าน และฉันจ่ายราคา”  แต่มาตรฐานของมโนธรรมนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริงหรือไม่?  เมื่อพวกเจ้ามีเวลา พวกเจ้าควรไตร่ตรอง คิดหาหัวข้อที่จะสามัคคีธรรมร่วมกัน และดูว่าพวกเจ้าควรกระทำอย่างไรเพื่อที่จะปฏิบัติความจริง  จงอย่าเพียงแค่หยุดอยู่ที่มาตรฐานของมโนธรรม หรือที่มาตรฐานของการเป็นคนดีและมีพฤติกรรมที่ดี  จงอย่าพึงพอใจกับการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คน  เจ้าจำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาและเข้าสู่จุดสูงสุดของความจริง  ในหนทางนี้เท่านั้นที่เจ้าจะสามารถตอบสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  หากเจ้าพยายามที่จะตอบสนองมโนธรรมของเจ้าเป็นนิตย์ และคิดว่าเจ้าทำได้ดีตราบเท่าที่เจ้าไม่ละเมิดพื้นฐานทางศีลธรรม เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะอยู่ภายในขอบเขตนี้เสมอเมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลาย และเจ้าจะไม่ไปเกินขอบเขตนี้ ซึ่งหมายความว่าความจริงจะไม่มีวันเกี่ยวข้องกับเจ้าแต่อย่างใด  หากการกระทำและคำพูดของเจ้าไม่มีวันเกี่ยวข้องกับความจริง เจ้าจะยังคงสามารถได้รับความจริงหรือไม่?  นั่นจะเป็นการยากสำหรับเจ้าที่จะได้รับความจริง

ในสมัยโบราณ นักวิชาการมักจะศึกษาหนังสืออย่าง “ปกิณกคดีของขงจื๊อ” “เต้าเต๋อจิง” และ “คัมภีร์สามอักษร”  พวกเขาส่ายหัวตลอดทั้งวัน ราวกับกำลังสวดข้อพระคัมภีร์ โดยมีคำกล่าวที่โด่งดั่งอยู่บนริมฝีปากของพวกเขาเสมอ  หลังจากอ่านหนังสือสองสามเล่มและท่องจำบทกวีสมัยราชวงศ์ถังและซ่งสองสามบท พวกเขาก็มองว่าตนเองมีความรู้และใช้เวลาในแต่ละวันของพวกเขาไปกับการสอนผู้อื่น พลางคิดว่าตนเองน่าประทับใจมาก  ตลอดชีวิตของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใดที่ยุติธรรมให้สำเร็จลุล่วงได้ และประพฤติปฏิบัติตนเองบนพื้นฐานของหนังสือของนักปราชญ์สองสามเล่มเหล่านั้นที่พวกเขาได้อ่านเท่านั้น  พวกเขาไม่ได้เข้าใจสิ่งใด และพวกเขาก็ไม่สามารถคิดอะไรออกได้  พวกเขาทำแต่พอให้พ้นตัวในชีวิตโดยไม่สัมฤทธิ์สิ่งใดเลย  ทว่าในหัวใจของพวกเขา พวกเขายังคงรู้สึกยินดีกับตนเอง พลางคิดว่าพวกเขาเข้าใจมากมายและเหนือกว่าผู้อื่นทั้งหมด  มีวลีหนึ่งที่เรียกกันว่า “การคิดว่าตนเองบริสุทธิ์กว่าผู้อื่น”—วลีนี้ถูกต้องอย่างมาก และพวกเจ้าต้องไม่ใช้ชีวิตในสภาวะเช่นนั้นโดยเด็ดขาด  บางคนรู้สึกอยู่เสมอว่าพวกเขามีความรู้ ความเมตตากรุณา และความชอบธรรมในหัวใจของตน  ผลที่ตามมาก็คือพวกเขารู้สึกเป็นผู้ที่บริสุทธิ์กว่าผู้อื่นทั้งหมด และคิดว่าพวกเขาควรค่าอย่างบริบูรณ์ที่จะถูกเรียกว่าคนดีและสัตบุรุษ  บางคนให้ความสำคัญกับความจงรักภักดีเป็นพิเศษและจะยอมรับลูกกระสุนแทนเพื่อนของพวกเขา  บางคนให้ความสำคัญกับมโนธรรมเป็นพิเศษและสามารถลุล่วงคำกล่าวที่ว่า “น้ำใจหนึ่งหยดควรได้รับการตอบแทนด้วยน้ำพุอันพวยพุ่ง”  บางคนไม่แต่งงาน และพวกเขาพัฒนาจิตใจและร่างกายของตนผ่านการทบทวนตนเอง และไล่ตามเสาะหาความเป็นอมตะ  บางคนอุทิศตนเองอย่างเต็มที่ในการศึกษาหนังสือของนักปราชญ์และไม่ใส่ใจกับเรื่องภายนอกเลย  ผู้คนที่ถูกเรียกขานว่าคนดีเหล่านี้เป็นคนดีอย่างแท้จริงหรือไม่?  พวกเขาใช้ชีวิตตามความรู้ของตน และพวกเขาพูดและกระทำด้วยมโนธรรมเล็กน้อย ดังนั้นสามารถมองว่าผู้คนเหล่านี้มีความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่?  สามารถรับประกันได้จริงหรือว่าพวกเขาจะไม่ทำความชั่ว?  บางคนมีเจตนารมณ์ที่ดีต่อผู้อื่น และทำการกุศลและให้ความช่วยเหลืออยู่บ่อยๆ ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าตนเองเป็นคนใจบุญที่ยิ่งใหญ่  แต่เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่จะตัดสินว่าบุคคลหนึ่งดีหรือชั่วโดยพึ่งพาคำกล่าวอ้างของวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่เสมอ?  การใช้มาตรฐานทางศีลธรรมในการประเมินผู้อื่นและโอ้อวดตัวเจ้าเองอยู่เสมอนั้นเป็นการทำตัวเป็นผู้ที่บริสุทธิ์กว่าผู้อื่น  ผู้คนเหล่านี้ที่เป็นผู้ที่บริสุทธิ์กว่าผู้อื่นนั้นมีความจริงหรือไม่?  พวกเขาสามารถยอมรับและนบนอบความจริงได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  หากพวกเขาได้รับอำนาจและสถานะ พวกเขาจะสามารถต่อต้านพระเจ้าและข่มเหงผู้คนที่เชื่อในพระองค์อย่างโหดร้ายได้หรือไม่?  พวกเขายิ่งกว่าสามารถทำเช่นนี้ได้ ซึ่งเป็นการแสดงตัวอย่างให้เห็นว่าพวกเขายังคงมีความมุ่งร้ายในธรรมชาติของพวกเขา และธรรมชาติของพวกเขาก็คือธรรมชาติของซาตาน  บนพื้นฐานนี้ก็สามารถตัดสินได้ว่าผู้ที่ใช้ชีวิตตามความรู้และวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่เสมอล้วนเป็นคนหน้าซื่อใจคด ที่สามารถทำความชั่วและขัดขืนพระเจ้าได้  บางคนเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว ทว่าน่าประหลาดใจที่พวกเขาไม่มีวิจารณญาณในเรื่องของวัฒนธรรมดั้งเดิมและความรู้เลย  ในแก่นแท้แล้วพวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้อย่างหมดจดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปรัชญา ตรรกะ และกฎหมายเยี่ยงซาตาน และเป็นความรู้และวัฒนธรรมที่ทำร้ายผู้คน  ผู้คนเช่นนี้มีความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  ผู้คนที่รู้ไม่เท่าทันวัฒนธรรมดั้งเดิมและความรู้ และไม่มีวิจารณญาณเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เป็นผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงเลย และไม่มีความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อย  มีผู้คนที่คิดว่าความรู้บางประเภทสามารถช่วยผู้คนให้เป็นคนดีได้เช่นกัน และความรู้ประเภทนี้สั่งผู้คนให้ทำดี  นี่ไม่ถูกต้องอย่างมาก  ความรู้ไม่ใช่ชีวิต ความรู้เป็นข้อบังคับประเภทหนึ่ง เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริง และเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน  ไม่ว่าความรู้ของบุคคลหนึ่งจะสูงส่งหรือลึกซึ้งเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นได้ทะลุปรุโปร่งแม้กระทั่งแก่นแท้อันเสื่อมทรามของมนุษยชาติ หรือธรรมชาติของตัวพวกเขาเอง หรือว่ามนุษยชาติที่เสื่อมทรามนั้นเป็นอย่างไร  เช่นนั้นแล้วความรู้ของพวกเขาจะมีประโยชน์อะไร?  นั่นไม่ใช่คำสอนที่ผิวเผินและชักพาให้หลงผิดที่สุดหรอกหรือ?  เช่นเดียวกับทฤษฎีของลัทธิขงจื๊อและ “เต้าเต๋อจิง”—คำพูดในหนังสือของนักปราชญ์จีนเหล่านี้ที่เรียกว่าโด่งดังนั้นดูดีแต่ภายนอก เป็นวาจาเยี่ยงมารที่ชักพาผู้คนให้หลงผิด เป็นความเห็นนอกรีตและความเข้าใจคลาดเคลื่อนของคนหน้าซื่อใจคด และเป็นน้ำพิษและตรรกะเยี่ยงซาตาน  บางคนบูชาสิ่งเหล่านี้ในฐานะความจริง—พวกเขายังคงเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าในหัวใจของเจ้า และฟังการเทศนาและอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน เพราะเหตุใดเจ้าจึงจะไม่สามารถเข้าใจความจริงได้?  เพราะเหตุใดเจ้าจึงจะไม่สามารถทำให้ความจริงเป็นเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของเจ้าได้?  ผู้คนเหล่านี้เป็นคนเขลาที่สุดและไม่รู้ความโดยสิ้นเชิง พวกเขาเป็นสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์

สิ่งใดหรือคือความจริง?  ก่อนอื่นต้องตกลงปลงใจว่าปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอน และคติพจน์ของบุคคลที่มีชื่อเสียงและบุคคลสำคัญทั้งหลายก็ไม่ใช่ความจริง  คำกล่าวจากลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า พฤติกรรมและการกระทำอันดีที่สืบทอดกันมาและได้รับการยอมรับทั่วไปโดยมวลมนุษย์อันเสื่อมทราม สิ่งทั้งหลายและทฤษฎีต่างๆ ที่ชี้นำจิตใจของผู้คน และอื่นๆ อีก—สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ความจริง  การได้รับความยินดีจากการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นความจริงใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  การได้รับความยินดีจากการช่วยเหลือผู้อื่นและการทำการกุศลเป็นการกระทำที่ดี และอย่างน้อยบุคคลที่มีหัวใจอันอบอุ่นก็มีหัวใจที่กรุณาและสามารถสงสารผู้อื่นได้—เพราะเหตุใดการนี้จึงไม่เป็นไปตามความจริง?  (ไม่มีหลักธรรมที่ว่าพวกเขาจะช่วยเหลือผู้คนอย่างไร)  การช่วยเหลือผู้คนโดยไม่มีหลักธรรมคือการเป็นคนดีใช่หรือไม่?  นั่นคือการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนและการพยายามที่จะมีสัมพันธภาพที่ดีกับทุกคน  การแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดาของคนเรานั้นเป็นความจริงใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  การกตัญญูต่อบิดามารดาของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นบวก แต่เพราะเหตุใดพวกเราจึงบอกว่าการนี้ไม่ใช่ความจริง?  (เพราะผู้คนไม่ได้แสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดาของพวกเขาโดยมีหลักธรรมและพวกเขาก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าแท้จริงแล้วบิดามารดาของพวกเขาเป็นคนประเภทใด)  วิธีที่บุคคลหนึ่งควรปฏิบัติต่อบิดามารดาของพวกเขานั้นเกี่ยวข้องกับความจริง  หากบิดามารดาของเจ้าเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี เจ้าควรกตัญญูต่อพวกเขาหรือไม่?  (ควรกตัญญู)  เจ้ากตัญญูอย่างไร?  เจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาแตกต่างไปจากบรรดาพี่น้องชายหญิง  เจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูด และหากพวกเขาแก่เฒ่า เจ้าต้องอยู่เคียงข้างพวกเขาเพื่อดูแลเอาใจใส่พวกเขา ซึ่งหยุดยั้งเจ้าจากการออกไปปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  การทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าควรทำสิ่งใดในช่วงเวลาเช่นนั้น?  นี่ขึ้นอยู่กับสภาพการณ์  หากเจ้ายังคงมีความสามารถที่จะดูแลพวกเขาในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอยู่ใกล้กับบ้านของเจ้า และบิดามารดาของเจ้าไม่คัดค้านความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบของเจ้าให้ลุล่วงในฐานะบุตรชายหรือบุตรสาว และช่วยเหลือบิดามารดาของเจ้าด้วยการทำงานบางอย่าง  หากพวกเขาเจ็บป่วย จงดูแลพวกเขา หากบางสิ่งกำลังทำให้พวกเขาเดือดร้อน จงชูใจพวกเขา หากสภาพการณ์ทางการเงินของเจ้าเอื้ออำนวย จงซื้ออาหารเสริมบำรุงร่างกายที่เหมาะกับงบประมาณของเจ้าให้พวกเขา  อย่างไรก็ตาม เจ้าควรเลือกทำสิ่งใดหากเจ้าติดธุระอยู่กับหน้าที่ของเจ้า ไม่มีผู้ใดที่จะดูแลบิดามารดาของเจ้า และพวกเขาก็เชื่อในพระเจ้าเช่นกัน?  ความจริงใดที่เจ้าควรปฏิบัติ?  เนื่องจากการกตัญญูต่อบิดามารดาของคนเราไม่ใช่ความจริง แต่เป็นเพียงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของมนุษย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าควรทำอย่างไรหากภาระผูกพันของเจ้าขัดแย้งกับหน้าที่ของเจ้า?  (จัดลำดับความสำคัญให้กับหน้าที่ของข้าพระองค์ ให้หน้าที่เป็นลำดับแรก)  ภาระผูกพันไม่จำเป็นต้องเป็นหน้าที่ของคนเรา  การเลือกที่จะปฏิบัติหน้าที่ของคนเราคือการปฏิบัติความจริง ในขณะที่การทำให้ภาระผูกพันลุล่วงนั้นไม่ใช่  หากเจ้ามีภาวะนี้ เจ้าอาจจะทำให้ความรับผิดชอบหรือภาระผูกพันนี้ลุล่วง แต่หากสภาพแวดล้อมในขณะนั้นไม่เอื้ออำนวยให้เจ้าทำเช่นนั้น เจ้าควรจะทำอย่างไร?  เจ้าควรกล่าวว่า “ฉันต้องทำหน้าที่ของฉัน—นั่นคือการปฏิบัติความจริง  การกตัญญูต่อบิดามารดาของฉันคือการใช้ชีวิตตามมโนธรรมของฉัน และการนี้ต่ำกว่ามาตรฐานของการปฏิบัติความจริง”  ดังนั้นเจ้าจึงควรจัดลำดับความสำคัญให้หน้าที่ของเจ้าและเชิดชูหน้าที่นั้น  หากตอนนี้เจ้าไม่มีหน้าที่ และไม่ได้ทำงานไกลบ้าน และอาศัยอยู่ใกล้กับบิดามารดาของเจ้า เช่นนั้นแล้วจงหาหนทางที่จะดูแลพวกเขา  จงทำดีที่สุดที่เจ้าทำได้ในการช่วยพวกเขาให้ใช้ชีวิตได้ดีขึ้นเล็กน้อยและบรรเทาความทุกข์ของพวกเขา  แต่นี่ก็ขึ้นอยู่กับว่าบิดามารดาของเจ้าเป็นคนประเภทใดเช่นกัน  หากบิดามารดาของเจ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ย่ำแย่ หากพวกเขาขัดขวางไม่ให้เจ้าเชื่อในพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์ และหากพวกเขาคอยดึงเจ้าออกจากการเชื่อในพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าควรทำอย่างไร?  ความจริงที่เจ้าควรปฏิบัติคือสิ่งใด?  (การปฏิเสธ)  ณ เวลานี้ เจ้าต้องปฏิเสธพวกเขา  เจ้าได้ลุล่วงภาระผูกพันของเจ้าแล้ว  บิดามารดาของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า ดังนั้นเจ้าก็ไม่มีภาระผูกพันที่จะแสดงความเคารพกตัญญูต่อพวกเขา  หากพวกเขาเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เป็นครอบครัว เป็นบิดามารดาของเจ้า  หากพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็กำลังเดินในเส้นทางที่แตกต่างกัน  พวกเขาเชื่อในซาตานและบูชากษัตริย์มาร และพวกเขาก็เดินในเส้นทางของซาตาน พวกเขาเป็นผู้คนที่กำลังเดินในเส้นทางที่แตกต่างจากผู้เชื่อในพระเจ้า  พวกเจ้าไม่ได้เป็นครอบครัวอีกต่อไป  พวกเขาถือว่าผู้เชื่อในพระเจ้าเป็นปรปักษ์และศัตรูของพวกเขา ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องดูแลพวกเขาอีกแล้วและต้องตัดขาดจากพวกเขาโดยสิ้นเชิง  สิ่งใดเป็นความจริง การกตัญญูต่อบิดามารดาของคนเรา หรือการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา?  แน่นอนว่าการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราคือความจริง  การปฏิบัติหน้าที่ของคนเราในพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้เกี่ยวกับการทำให้ภาระผูกพันของคนเราลุล่วงและการทำสิ่งที่คนเราควรทำเท่านั้น  การนี้ยังเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ในที่นี้ก็คือพระบัญชาของพระเจ้า นี่เป็นภาระผูกพันของเจ้า ความรับผิดชอบของเจ้า  นี่คือความรับผิดชอบที่แท้จริง ซึ่งก็คือการทำให้ความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้าลุล่วงเฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้าง  นี่คือสิ่งที่พระผู้สร้างทรงพึงประสงค์จากผู้คน และนี่เป็นเรื่องใหญ่หลวงของชีวิต  แต่การแสดงความเคารพกตัญญูต่อบิดามารดาของคนเรานั้นเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของบุตรชายหรือบุตรสาวคนหนึ่งเท่านั้น  ไม่ใช่พระบัญชาของพระเจ้าอย่างแน่นอน และยิ่งไปกว่านั้นการนี้ก็ไม่ตรงตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  ดังนั้นระหว่างการแสดงความเคารพกตัญญูต่อบิดามารดาของคนเรากับการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา และมีแต่การนี้เท่านั้นที่เป็นการปฏิบัติความจริง  การปฏิบัติหน้าที่ของคนเราในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้นเป็นความจริง และเป็นหน้าที่ที่จำต้องทำ  การแสดงความเคารพกตัญญูต่อบิดามารดาของคนเรานั้นเกี่ยวกับการกตัญญูต่อผู้คน  นั่นไม่ได้หมายความว่าคนเรากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน และไม่ได้หมายความว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริง  หลังจากสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในหนทางนี้ พวกเจ้าควรจะสามารถแยกแยะความแตกต่างของสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง และรู้ว่าสิ่งใดเป็นความจริงและสิ่งใดไม่ใช่ความจริง  ตอนนี้จงคิดดูว่ามีสิ่งอื่นใดอีกหรือไม่ที่ผู้คนนับถือซึ่งถูกมองว่าเป็นความจริง?  (คำศัพท์ที่ว่า “พลังงานเชิงบวก” ถูกใช้ในสังคมบ่อยๆ นี่ก็เป็นสิ่งที่เป็นลบและไม่ใช่ความจริงเช่นกัน)  คำศัพท์ส่วนใหญ่ที่ผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวถึงนั้นเป็นสรรพสิ่งเยี่ยงมาร  คำศัพท์ที่ว่า “พลังงานเชิงบวก” นั้นผุดขึ้นมาจากเบื้องหลังใด?  คำกล่าวยอดนิยม ทฤษฎีแปลกๆ หรือถ้อยคำที่แพร่หลายเหล่านี้ที่ผุดขึ้นมาในสังคมล้วนมีเบื้องหลังทั้งนั้น  พวกเจ้ารู้เบื้องหลังที่ถ้อยคำที่แพร่หลายนี้ผุดขึ้นมาหรือไม่?  ในประเทศจีน บรรยากาศทางสังคมกำลังเริ่มเลวร้ายลง และผู้คนก็สนับสนุนความเลวร้าย  ไม่ว่าเหล่ามารจะพูดหรือทำสิ่งใด ผู้คนก็ทำตาม  แม้ว่าบางคนจะไม่สามารถทนเรื่องนี้ได้และแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ และไม่มีใครตอบสนอง  ในประเทศจีน ความเลวร้ายได้กลายเป็นกระแสนิยม และไม่มีผู้คนกลุ่มใดสามารถหยุดยั้งกระแสนิยมอันเลวร้ายนี้ได้  ทุกคนรู้สึกว่าศีลธรรมของประเทศกำลังเสื่อมลงมากขึ้นในแต่ละวันที่ผ่านไป  เหล่าปีศาจชั่วกุมอำนาจทั้งหมด และควบคุมประเทศและประชากรของประเทศไว้โดยสมบูรณ์  หมู่มารทำทุกอย่างที่พวกมันต้องการ และไม่มีใครสามารถหยุดยั้งพวกมันได้  เพื่อที่จะหลอกสาธารณชน บรรดาผู้มีอำนาจได้ทำสิ่งลวงโลกมากมายเพื่อหลอกลวงและชักพาผู้คนให้หลงผิด แม้กระทั่งกล่าวอ้างว่าการกระทำเหล่านี้ล้วนเป็นพลังงานเชิงบวก  นี่คือเบื้องหลังซึ่ง “พลังงานเชิงบวก” ผุดขึ้นมา  สำหรับผู้ไม่มีความเชื่อ “พลังงานเชิงบวก” หมายถึงอะไร?  หมายถึงสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความเที่ยงธรรมหรือพฤติกรรมที่ดีประเภทหนึ่ง  ในความเป็นจริงพลังงานเชิงบวกนี้สามารถส่งผลในสังคมได้หรือไม่?  พลังงานนี้สามารถแก้ปัญหาความท่วมท้นของกระแสนิยมอันเลวร้ายได้หรือไม่?  พลังงานนี้สามารถหยุดยั้งแนวโน้มของกระแสนิยมอันเลวร้ายไม่ให้พัฒนาได้หรือไม่?  พลังงานนี้ไม่สามารถทำได้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้เลย  เพราะเหตุใดพลังงานนี้จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้เลย?  คำศัพท์ที่ว่า “พลังงานเชิงบวก” นั้นฟังดูทรงพลังมาก แล้วเพราะเหตุใดพลังงานนี้จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดหรือแก้ปัญหาใดได้เลย?  พลังงานนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ปัญหาของเด็กที่เสพติดอินเทอร์เน็ตตลอดทั้งวันได้ด้วยซ้ำไป  ในอดีต ยังคงมีความรักใคร่เอ็นดูเล็กน้อย และมโนธรรมและเหตุผลนิดหน่อยระหว่างผู้คน และยังคงมีความเหมาะควรระหว่างเพื่อนบ้านอยู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้แตกต่างไป  สัมพันธภาพของมนุษย์ได้กลายเป็นสิ่งที่กลับกลอกและไม่แน่นอน และผู้คนล้วนเป็นเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน  ผู้คนไม่ใส่ใจด้วยซ้ำเมื่อพวกเขาเห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับเพื่อนบ้านของตน และพวกเขาก็ไม่กล้าเข้าไปข้องเกี่ยวเมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนร้องขอความช่วยเหลือ  ในที่นี้ปัญหาคืออะไร?  เป็นเพราะไม่มีพลังงานเชิงบวกผู้คนจึงกลายเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมื่อก่อนมีพลังงานเชิงบวกในสังคม?  ไม่ใช่ สังคมก็เหมือนกันเลย  “พลังงานเชิงบวก” เป็นเพียงคำศัพท์ที่ไพเราะน่าฟัง ไม่มีอะไรที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในคำนี้เลย  เป็นทฤษฎีที่ว่างเปล่าซึ่งไม่มีประสิทธิผลโดยสิ้นเชิง

จงบอกเราเถิดว่าใครแย่กว่ากัน ผู้คนในอดีตหรือผู้คนในปัจจุบัน?  (ในปัจจุบันผู้คนแย่กว่า)  เจ้าประเมินเรื่องนั้นอย่างไร?  มุมมองของพวกเจ้าก็คือผู้คนในปัจจุบันมีหัวใจที่แข็งกระด้างและขาดความรักในครอบครัวและมิตรภาพที่แท้จริง ไม่มีใครใส่ใจกับความจงรักภักดีหรือมโนธรรม และผู้คนก็พูดเสมอว่า “มโนธรรมมีค่าเท่าไร?”  “เกี่ยวอะไรกับมโนธรรมหรือ?  การหาเงินมาเป็นอันดับแรก!”  เจ้าคิดว่าผู้คนได้สูญสิ้นมโนธรรมของตนไปแล้ว และตอนนี้เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะทอนเงินขาดให้ผู้อื่นตอนที่ขายสินค้าและได้เงินสกปรกมา และพวกเขาก็ต้มตุ๋นและฉ้อโกงใครก็ตามที่พวกเขาสามารถทำได้  ในทางตรงกันข้ามเจ้าเชื่อว่าพ่อค้าที่เชี่ยวชาญในสมัยโบราณมีหลักธรรมในการขายสินค้า พวกเขาขายสินค้าของตนในราคาที่กำหนดไว้แน่นอน ซื่อสัตย์กับลูกค้าของพวกเขาทุกคน ทั้งผู้เยาว์และผู้อาวุโส และไม่หลอกลวงใคร  ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าผู้คนในอดีตดีกว่าผู้คนในปัจจุบันมากนัก  แล้วคำว่า “ดีกว่า” นี้หมายถึงอะไร?  แท้จริงแล้วคำนี้อยู่บนพื้นฐานของมโนธรรมและพฤติกรรมที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิต  หากเจ้าประเมินผู้คนบนพื้นฐานนี้ ผู้คนในอดีตย่อมดีกว่าผู้คนในปัจจุบัน  ผู้คนในอดีตนั้นเรียบง่ายกว่าและไร้เล่ห์มารยากว่า และพวกเขามีสำนึกของมโนธรรมและความละอายใจ  พวกเขามีบรรทัดฐานสำหรับการประพฤติปฏิบัติตนและอย่างน้อยก็ไม่ทำสิ่งใดที่ขาดมโนธรรมจนเกินไป และพวกเขาก็ไม่ทำสิ่งใดเพื่อให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ตนลับหลังหรือทำให้พวกเขาเสียชื่อเสียง  ผู้คนทุกวันนี้ไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านั้น พวกเขาไม่มีสำนึกของความละอายใจ  พวกเขาต้องการหาเงินและชื่อเสียงสำหรับตนเองเท่านั้น  นั่นเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงมีการกล่าวว่าผู้คนสมัยนี้ไม่ดีโดยสิ้นเชิง  แล้วคนไม่ดีโดยสิ้นเชิงทุกวันนี้พัฒนามาในหนทางนี้ได้อย่างไร?  พวกเขาแค่ทวีคูณจากรุ่นสู่รุ่นจากสมัยโบราณจนถึงปัจจุบันมิใช่หรือ?  ผู้คนทุกวันนี้ไม่แตกต่างจากผู้คนในสมัยโบราณ  สารพันธุกรรมของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปและรูปร่างหน้าตาของพวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน  เพียงแต่ว่าภาวะความเป็นอยู่ดีกว่าในสมัยโบราณ  ทุกวันนี้ผู้คนเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนมากขึ้นและมีความเชี่ยวชาญในหลายสาขาวิชามากขึ้น ความรู้ของพวกเขาสูงกว่าความรู้ของคนสมัยโบราณ พวกเขามีทักษะมากกว่าที่คนสมัยโบราณมี และพวกเขามีต้นทุนของความโอหัง  หากพวกเรามองดูเรื่องนี้จากมุมมองนี้ การกล่าวว่าผู้คนสมัยนี้แย่กว่าผู้คนในอดีตถูกต้องหรือไม่?  พวกเราจะสามารถประเมินได้อย่างไรว่าถ้อยแถลงนี้ถูกต้องและเป็นไปตามความจริงหรือไม่?  อธิบายเช่นนี้ก็แล้วกัน หากเจ้าดูละครประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นละครที่เกี่ยวกับราชสำนัก เจียงหู[ก] หรือชีวิตของคนธรรมดาสามัญ เค้าโครงเรื่องจะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง  นี่คือด้านที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์  มนุษย์ต่อสู้กันเพื่ออำนาจและความอยากได้อยากมีของตนเองในการดิ้นรนต่อสู้ที่อาจเป็นหรือตายก็ได้  ในการนี้ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมถูกเปิดโปงอย่างถ้วนทั่วและแจ่มชัดมาก และธรรมชาติของมนุษย์ก็เหมือนกับซาตานทุกประการ  ดังนั้นเป็นความจริงหรือไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งปวงที่เจ้าเห็นว่ากำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น?  ผู้คนทะเลาะกันอย่างดุเดือดในบางพื้นที่บนโลกเพราะว่าที่นั่นมีฮวงจุ้ยที่ไม่ดี และเพราะว่าปีศาจที่มีมลทินจับกลุ่มอยู่ที่นั่นใช่หรือไม่?  หรือเป็นเพราะว่าผู้คนเหล่านั้นมีลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่ไม่ดี ทำให้พวกเขาก้าวร้าวตามธรรมชาติ?  (ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง)  เช่นนั้นแล้วความขัดแย้งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างไร?  พวกเขาล้วนต่อสู้เพื่ออำนาจ สถานะ และผลประโยชน์ส่วนตน  ไม่ว่าระดับชั้นทางสังคมจะเป็นเช่นไร จากระดับสูงไปถึงต่ำ ผู้คนก็ต่อสู้และแข่งขันกันอย่างต่อเนื่องเสมอมา โดยต่อสู้จนกระทั่งพวกเขาเหนื่อยล้า และแข่งขันจนแทบล้มประดาตาย  จากปรากฏการณ์เหล่านี้พวกเราสามารถเห็นอะไรได้บ้าง?  เมื่อตัดสินจากพัฒนาการของประวัติศาสตร์มนุษย์ทั้งปวงในระดับจุลภาคเหล่านี้และจากมุมมองของข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ธรรมชาติของมวลมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย  ตราบเท่าที่ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน เนื้อหาของชีวิตที่แสดงออกมาในแต่ละยุคสมัยและแต่ละช่วงระยะก็ยังคงเหมือนเดิม เช่นเดียวกับแก่นแท้ของชีวิต  นี่เป็นเพราะว่าเป้าหมาย สาเหตุ และรากเหง้าของความขัดแย้งของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งเดียวกันเสมอ—พวกเขาล้วนต่อสู้เพื่ออำนาจ สถานะ และท้ายที่สุดก็เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน  วิถีทางแห่งความขัดแย้งทั้งปวงมีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน—ธรรมชาติและอุปนิสัยของซาตาน  เพราะเหตุใดวิถีทางและแบบแผนของความขัดแย้งของมนุษย์จึงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง?  นี่เป็นเพราะธรรมชาติของมนุษย์ทั้งสิ้น  ผู้คนใช้สมองของตนอย่างหนักและมองหาทุกวิถีทางที่จะต่อสู้และทำร้ายกัน ฉ้อโกง หลอกลวง และเล่นไม่ซื่อต่อกัน—พวกเขาใช้วิถีทางที่หลอกลวงทุกประเภท  ไม่ว่าในการดิ้นรนต่อสู้ทางการเมืองครั้งสำคัญหรือในความขัดแย้งท่ามกลางครอบครัวที่ต่ำต้อย พวกเขาก็กำลังต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองอยู่เสมอ  นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์ คือตัวตนที่แท้จริงของมวลมนุษย์  มวลมนุษย์ที่ได้พัฒนามาถึงปัจจุบันยังคงเป็นมวลมนุษย์เดิมและยังคงเป็นซาตานตนเดิมที่ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม  ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมภายนอกกำลังเปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อย นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าธรรมชาติของมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงไป  แม้ว่าแบบแผนและวิถีทางของความขัดแย้งของมนุษย์อาจเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้ว ธรรมชาติการต่อสู้ของมนุษย์และจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งเหล่านี้กลับไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  มนุษย์ยังคงมีธรรมชาติเดียว และความขัดแย้งเหล่านี้ยังคงมีเป้าหมายเดียวและที่มาแหล่งเดียว—สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย  พวกเจ้ากล่าวว่าผู้คนในสมัยก่อนนั้นดีกว่า  พวกเขาดีกว่าในหนทางใดบ้าง?  พวกเขาถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมจำกัดอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถทำสิ่งที่ดีได้บ้างไม่มากก็น้อย  ในปัจจุบันมวลมนุษย์ได้พัฒนามาจนถึงทุกวันนี้ และไม่ว่าคุณภาพชีวิตจะสูงเพียงใด ผู้คนได้รับความรู้และการศึกษามากเพียงใด หรือประสบการณ์ของพวกเขากว้างขวางเพียงใดก็ตาม ธรรมชาติของมนุษย์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป  ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการพัฒนาของสังคม การเผยธรรมชาติของมนุษย์ให้เห็นกลายเป็นเลวร้าย โจ่งแจ้ง และไร้ศีลธรรมมากยิ่งขึ้น  ไม่ว่าพระเจ้าตรัสพระวจนะมากเพียงใดหรือพระองค์ทรงแสดงความจริงมากเพียงใดก็ตาม ผู้คนก็เมินเฉยต่อสิ่งเหล่านั้น  ผู้คนไม่ได้รักความจริงเลย แต่พวกเขากลับรังเกียจความจริงมากยิ่งขึ้น และรู้สึกเกลียดชังความจริงมากยิ่งขึ้น  ปัจจุบันมีผู้คนที่ทำสิ่งที่ดีในสังคมบ้างหรือไม่?  (มีแต่น้อยกว่าสมัยก่อน)  เช่นนั้นแล้วเจ้าสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าผู้คนเหล่านี้เป็นคนดี และพวกเขายังไม่ได้กลายเป็นคนไม่ดี?  (ไม่ได้)  แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้กำลังใช้ชีวิตอยู่ในสุญญากาศใช่หรือไม่?  พวกเขาทำสิ่งที่ดีประเภทใดบ้าง?  สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงพฤติกรรมและเจตนารมณ์ที่ดี  หากเจ้าพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องของการเชื่อในพระเจ้า อย่างเช่น การเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะเป็นคนดีและนมัสการพระเจ้า จงสังเกตปฏิกิริยาของพวกเขา  หากพวกเขาได้ยินว่าผู้คนจะลงเอยด้วยการถูกทางการข่มเหงหากคนเหล่านั้นเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็จะปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะศัตรูและเยาะเย้ยเจ้า  หากเจ้าถูกไล่ล่าและข่มเหง และเจ้าพยายามที่จะหลบซ่อนที่บ้านของพวกเขาเป็นเวลาสั้นๆ พวกเขาจะรายงานเรื่องเจ้าและมอบตัวเจ้าให้แก่ทางการ  พวกเขาจะนำผู้เคราะห์ร้ายที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปส่งโรงพยาบาลเพื่อช่วยชีวิตของคนเหล่านั้น แต่พวกเขาก็จะส่งมอบคนดีที่เชื่อในพระเจ้าให้ไปอยู่ในมือของเหล่าปีศาจชั่วเช่นกัน เพื่อที่จะให้ถูกทารุณกรรมหรือแม้กระทั่งถูกข่มเหงจนตาย  เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  พฤติกรรมใดสะท้อนให้เห็นธรรมชาติของพวกเขา?  อย่างหลังคือธรรมชาติของพวกเขา  พวกเขาช่วยชีวิตคนอื่น และพวกเขาก็ทำให้คนอื่นตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน  ผู้คนเช่นนี้เป็นมนุษย์หรือปีศาจ?  หากมีเพียงวันหนึ่งที่บุคคลหนึ่งไม่ได้สลัดทิ้งธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตน พวกเขาจะสามารถทำความชั่วและต้านทานพระเจ้าได้  ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถต้านทานพระเจ้าได้ พวกเขาก็ไม่ใช่คนดี  ถ้อยแถลงนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  สิ่งใดถูกต้องเกี่ยวกับถ้อยแถลงนี้?  (สิ่งที่พวกเขาปฏิบัติไม่ใช่ความจริง  ไม่ว่าการกระทำและพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาจะดีเพียงใด ธรรมชาติของพวกเขาก็ยังคงเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า)  ธรรมชาติของพวกเขาเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า  ถ้อยแถลงนี้เป็นจริง  พวกเราจะอธิบายถ้อยแถลงนี้ว่าอย่างไร?  เพราะเหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าใครบางคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้านั้นไม่ใช่คนดี?  (พระเจ้าทรงเป็นสัญลักษณ์ของทุกสิ่งที่เป็นบวก  หากใครบางคนสามารถเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่อยู่ภายในตัวพวกเขาย่อมเป็นลบทั้งสิ้น)  ในทางทฤษฎีเป็นอย่างนั้น และถ้อยแถลงนั้นก็เป็นจริง  ไม่ว่าจากภายนอกใครบางคนอาจดูเป็นคนดีหรือเคร่งศาสนาเพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับความยินดีจากการช่วยเหลือผู้อื่นมากเพียงใดหรือพวกเขาจะมีใจกรุณาต่อผู้อื่นเพียงใด หากพวกเขารู้สึกถึงความรังเกียจและความเกลียดชังเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่เป็นบวก และหากพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้เมื่อพวกเขาได้ยินความจริงและรู้สึกรังเกียจความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาเป็นคนประเภทใด?  พวกเขาไม่ใช่คนดี  ผู้คนที่เป็นศัตรูกับสิ่งที่เป็นบวกและความจริงย่อมไม่ใช่คนดี  โดยทั่วไปเจ้าสามารถกล่าวเช่นนั้นได้  แน่นอนว่ามีรายละเอียดมากมายภายในเรื่องนี้  เราขอยกตัวอย่างให้เจ้าฟัง และจากนั้นเจ้าจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดถ้อยแถลงนี้จึงเป็นความจริง  ตัวอย่างเช่น บางคนละทิ้งครอบครัวเพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงเพราะเหตุนี้และทางการก็ตรวจค้นบ้านของพวกเขาอยู่เนืองๆ คุกคามบิดามารดาของพวกเขา และแม้กระทั่งข่มขู่บิดามารดาของพวกเขาให้มอบตัวพวกเขา  เพื่อนบ้านล้วนแต่พูดถึงพวกเขา โดยกล่าวว่า “คนคนนี้ไม่มีมโนธรรม  พวกเขาไม่ใส่ใจบิดามารดาที่สูงอายุ  พวกเขาไม่เพียงแต่อกตัญญูเท่านั้น แต่พวกเขายังสร้างความเดือดร้อนมากมายให้บิดามารดาของพวกเขาด้วย  พวกเขาเป็นลูกอกตัญญู!”  ในถ้อยคำเหล่านี้มีคำใดที่เป็นไปตามความจริงบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  แต่ถ้อยคำทั้งหมดนี้ได้รับการพิจารณาว่าถูกต้องในสายตาของผู้ไม่มีความเชื่อมิใช่หรือ?  ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาคิดว่านี่เป็นหนทางที่ถูกทำนองคลองธรรมและสมเหตุสมผลที่สุดในการมองเรื่องนี้ และเป็นไปตามจริยธรรมของมนุษย์ และสอดคล้องกับมาตรฐานการประพฤติปฏิบัติตน  ไม่ว่ามาตรฐานเหล่านี้จะรวมถึงเนื้อหามากน้อยเพียงใด อย่างเช่น วิธีแสดงความเคารพกตัญญูต่อบิดามารดา วิธีดูแลพวกเขาในวัยชราและจัดแจงงานศพของพวกเขา หรือจะตอบแทนพวกเขามากน้อยเพียงใด และไม่ว่ามาตรฐานเหล่านี้จะตรงตามความจริงหรือไม่ ในสายตาของผู้ไม่มีความเชื่อ การกระทำเหล่านี้คือสิ่งที่เป็นบวก เป็นพลังงานเชิงบวก เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีข้อครหาภายในทุกหมู่เหล่าของผู้คน  ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ สิ่งเหล่านี้เป็นมาตรฐานในการใช้ชีวิตสำหรับผู้คน และเจ้าต้องทำสิ่งเหล่านี้เพื่อที่จะเป็นคนดีที่ตรงตามมาตรฐานในหัวใจของพวกเขา  ก่อนที่เจ้าจะเชื่อในพระเจ้าและเข้าใจความจริงนั้น เจ้าก็เชื่ออย่างมั่นคงเช่นกันว่าการประพฤติปฏิบัติตนในหนทางเช่นนั้นหมายความว่าเจ้าเป็นคนดีมิใช่หรือ?  (ใช่)  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังใช้สิ่งเหล่านี้ประเมินและยับยั้งชั่งใจตนเองเช่นกัน และเจ้าก็พึงประสงค์ให้ตนเองเป็นบุคคลประเภทนี้  หากเจ้าต้องการที่จะเป็นคนดี แน่นอนว่าเจ้าต้องรวมสิ่งเหล่านี้ไว้ในมาตรฐานการประพฤติปฏิบัติตนของเจ้า ได้แก่ วิธีกตัญญูต่อบิดามารดาของเจ้า วิธีทำให้พวกเขารู้สึกกังวลน้อยลง วิธีนำเกียรติยศและชื่อเสียงมาสู่พวกเขา และวิธีนำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของเจ้า  เหล่านี้คือมาตรฐานการประพฤติปฏิบัติตนในหัวใจของเจ้าและทิศทางการประพฤติปฏิบัติตนของเจ้า  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เจ้าได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าและการเทศนาของพระองค์แล้ว มุมมองของเจ้าก็เริ่มเปลี่ยนไป และเจ้าก็เข้าใจว่าเจ้าต้องละทิ้งทุกสิ่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนประพฤติปฏิบัติตนเองในหนทางนี้  ก่อนที่เจ้าจะแน่ใจว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้นเป็นความจริง เจ้าคิดว่าเจ้าควรกตัญญูต่อบิดามารดาของเจ้า แต่เจ้าก็รู้สึกเช่นกันว่าเจ้าควรปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเจ้ารู้สึกขัดแย้งอยู่ภายใน  ผ่านทางการให้น้ำและการดูแลโดยพระวจนะของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง เจ้าก็เริ่มเข้าใจความจริงทีละเล็กละน้อย และในตอนนั้นเองเจ้าก็ตระหนักว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้นเป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้  จนถึงทุกวันนี้ ผู้คนจำนวนมากสามารถยอมรับความจริงได้แล้วและละทิ้งมาตรฐานการประพฤติปฏิบัติตนที่มาจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันดั้งเดิมของมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง  เมื่อเจ้าปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้โดยสมบูรณ์ เจ้าก็ไม่ถูกตีกรอบด้วยวาจาแห่งการพิพากษาและการกล่าวโทษจากผู้ไม่มีความเชื่ออีกต่อไปในยามที่เจ้าติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเจ้าก็สามารถสลัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย  ดังนั้นเพราะเหตุใดมโนคติอันหลงผิดที่เป็นสิ่งดั้งเดิมและโบราณเหล่านั้นจึงหายไปจากหัวใจของเจ้า?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้ากลายเป็นคนไม่ดีไปแล้ว?  หัวใจของเจ้าแข็งกระด้างขึ้นแล้วและมโนธรรมของเจ้าหายไปแล้วใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  อันที่จริงมโนธรรมของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เจ้ายังคงเป็นคนเดิม และบุคลิกลักษณะ ความชอบส่วนตน และมาตรฐานแห่งมโนธรรมและศีลธรรมของเจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  แล้วเพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่รู้สึกเศร้าสลดหรือเจ็บปวดเมื่อผู้ไม่มีความเชื่อกล่าววาจาแห่งการพิพากษาและการกล่าวโทษเหล่านั้น และกลับรู้สึกถึงสันติและความชื่นบานยินดีในหัวใจของเจ้าแทน?  นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เจ้ากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?  (ผ่านทางการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และการเริ่มเข้าใจความจริงบางประการ ข้าพระองค์ได้รับมาตรฐานในการประเมินที่ถูกต้อง และสามารถแยกแยะได้ว่าวาจาของพวกเขาเป็นเพียงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน)  ผู้ไม่มีความเชื่อกุข่าวลือที่ไม่มีมูลเกี่ยวกับพวกเราโดยกล่าวว่า “หลังจากที่ผู้คนเหล่านี้เริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไม่ดูแลครอบครัวของตน พวกเขาไม่มีความรักให้สำหรับครอบครัวของตน และพวกเขาก็เย็นชาเป็นพิเศษ—พวกเขากลายเป็นเหมือนสัตว์เลือดเย็น”  จากภายนอกอาจดูเหมือนเป็นไปในหนทางนั้น แต่นั่นไม่ใช่ความเป็นจริง  มีปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่นี่ซึ่งคนตาบอดไม่มีหนทางที่จะมองเห็น  เป็นไปได้จริงหรือไม่ว่าความจริงทำให้ผู้คนมีหัวใจที่เย็นชาหลังจากที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า?  (เป็นไปไม่ได้)  ดังนั้นจริงๆ แล้วกำลังเกิดอะไรขึ้น?  (มุมมองต่อสิ่งทั้งหลายของบรรดาผู้ที่เชื่อได้เปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาเข้าใจความจริงและได้รับวิจารณญาณแล้ว)  นี่คือผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์ผ่านทางการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า  ผลลัพธ์นี้สัมฤทธิ์ได้อย่างไร?  สิ่งใดเปลี่ยนแปลงมุมมองของเจ้าต่อสิ่งทั้งหลาย?  มุมมองของเจ้าเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อใด?  เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้าที่เปลี่ยนมุมมองของผู้คน โดยเปลี่ยนมุมมองทั้งปวงของพวกเขาเกี่ยวกับชีวิตและเรื่องนานัปการ ทำให้มุมมองของพวกเขาแตกต่างจากมุมมองของผู้ไม่มีความเชื่อ

ในอดีตผู้คนปฏิบัติตนตามมโนธรรมของตนและใช้มโนธรรมเหล่านั้นประเมินทุกคนอยู่เสมอ  ผู้คนต้องผ่านการทดสอบมโนธรรมอยู่เป็นนิตย์ พวกเขารู้สึกอยู่เสมอว่าการนินทาเป็นสิ่งที่น่ากลัว และกลัวการถูกหัวเราะเยาะหรือการเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือการถูกเรียกขานว่า “ไม่มีมโนธรรม คนไม่ดี”  ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพูดและทำบางสิ่งเพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมอย่างไม่สู้เต็มใจ  ในปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ควรได้รับการประเมินวัดอย่างไร?  (ตามหลักธรรมความจริง)  ย้อนกลับไปตอนนั้นสิ่งทั้งหลายเป็นอย่างไร เมื่อชีวิตของผู้คนถูกผูกมัดด้วยมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจคลาดเคลื่อนของผู้ไม่มีความเชื่อ?  ตัวอย่างเช่น ตั้งแต่เจ้ายังเล็ก บิดามารดาของเจ้าคอยปลูกฝังคำสอนให้เจ้าด้วยคำพูดอย่างเช่น “เมื่อลูกโตขึ้น ลูกต้องทำให้พวกเราภูมิใจ ลูกต้องนำเกียรติมาสู่ครอบครัวของพวกเรา!”  คำพูดเหล่านี้เป็นอย่างไรสำหรับเจ้า?  การให้กำลังใจ หรือข้อผูกมัด?  อิทธิพลที่เป็นบวก หรือการควบคุมที่เป็นลบประเภทหนึ่ง?  ข้อเท็จจริงก็คือคำพูดเหล่านี้เป็นการควบคุมประเภทหนึ่ง  บิดามารดาของเจ้าตั้งเป้าหมายให้เจ้าบนพื้นฐานของถ้อยแถลงหรือทฤษฎีบางอย่างที่ผู้คนคิดว่าถูกต้องและดีงาม ทำให้เจ้าต้องใช้ชีวิตของตนในการรับใช้เป้าหมายนั้น และเจ้าก็ลงเอยด้วยการสูญสิ้นอิสรภาพของตน  เหตุใดเจ้าจึงลงเอยด้วยการสูญสิ้นอิสรภาพของตนและตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเป้าหมายนั้น?  เพราะผู้คนคิดว่าการนำเกียรติมาสู่ครอบครัวของพวกเขาเป็นสิ่งที่ดีที่ควรทำ  หากเจ้าไม่มีความคิดนั้นหรือไม่เสาะแสวงที่จะทำสิ่งทั้งหลายที่นำเกียรติมาสู่ครอบครัวของเจ้า เจ้าจะถูกมองว่าเป็นคนเขลาที่สิ้นเปลืองพื้นที่ เป็นคนขี้แพ้ที่ไร้ประโยชน์ และผู้คนจะดูถูกเจ้า  เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ เจ้าต้องเรียนหนัก ได้รับทักษะมากขึ้นเรื่อยๆ และนำเกียรติมาสู่วงศ์ตระกูลของเจ้า  ด้วยหนทางนี้ ผู้คนจะไม่รังแกเจ้าในอนาคต  สิ่งทั้งปวงที่เจ้าทำเพื่อประโยชน์ของเป้าหมายนี้มิได้มีผลเป็นโซ่ตรวนที่ผูกมัดเจ้าหรอกหรือ?  (สิ่งเหล่านั้นเป็น)  เนื่องจากการไล่ตามไขว่คว้าความสำเร็จและนำเกียรติมาสู่ครอบครัวเป็นสิ่งที่บิดามารดาของเจ้าร้องขอ และเนื่องจากพวกเขากระทำเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของเจ้าเพื่อให้เจ้าได้ใช้ชีวิตที่ดีและทำให้ครอบครัวของเจ้าภูมิใจ จึงเป็นเพียงเรื่องปกติที่เจ้าจะเสาะแสวงที่จะมีวิถีชีวิตเช่นนี้  แต่โดยประสิทธิผลแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเดือดร้อนและโซ่ตรวนจำพวกหนึ่ง  เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นบวก เป็นความจริง เป็นหนทางที่ถูกต้อง และดังนั้นพวกเขาจึงทึกทักเอาว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริงและยอมทำตามหรือเชื่อฟังสิ่งเหล่านี้ และพวกเขาก็ปฏิบัติตามคำพูดและข้อพึงประสงค์เหล่านี้ที่มาจากบิดามารดาของพวกเขาโดยสมบูรณ์  หากเจ้าดำเนินชีวิตตามคำพูดเหล่านี้ โดยพยายามอย่างหนักและอุทิศวัยเยาว์และทั้งชีวิตของเจ้าให้กับคำพูดเหล่านี้ และในที่สุดเจ้าก็ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ใช้ชีวิตที่ดี และทำให้ครอบครัวของเจ้าภูมิใจ เจ้าอาจเป็นคนฉลาดหลักแหลมสำหรับคนอื่น ทว่าภายใน เจ้ากลับกลวงเปล่ามากยิ่งขึ้น  เจ้าไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายของชีวิตคืออะไร หรือบั้นปลายจะเป็นเช่นไรในอนาคต หรือผู้คนควรจะเลือกเส้นทางประเภทใดในชีวิต  เจ้ายังไม่เข้าใจหรือได้รับสิ่งใดเลยที่เกี่ยวกับปริศนาของชีวิตเหล่านั้นซึ่งเจ้าโหยหาคำตอบ และต้องการรู้ และต้องการเข้าใจ  เจ้าได้ถูกทำลายโดยเจตนารมณ์ที่ดีของบิดามารดาของเจ้าอย่างชะงัดเลยมิใช่หรือ?  วัยเยาว์และทั้งชีวิตของเจ้าถูกทำลายไปแล้วโดยข้อร้องขอของบิดามารดาของเจ้า ซึ่งในคำพูดของพวกเขาคือ “เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของลูก” มิใช่หรือ?  (สิ่งเหล่านั้นถูกทำลายไปแล้ว)  ดังนั้นบิดามารดาของเจ้าถูกหรือผิดที่จะร้องขอสิ่งที่เป็นไป “เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของลูก”?  อาจเป็นไปได้ว่าบิดามารดาของเจ้าคิดจริงๆ ว่าพวกเขากำลังทำเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของเจ้า แต่พวกเขาคือคนที่เข้าใจความจริงหรือไม่?  พวกเขามีความจริงหรือไม่?  (พวกเขาไม่มี)  หลายคนใช้เวลาทั้งชีวิตของพวกเขาโดยยึดมั่นอยู่กับคำพูดของบิดามารดาของตนที่ว่า “ลูกต้องทำให้พวกเราภาคภูมิใจ ลูกต้องนำเกียรติมาสู่ครอบครัว”—คำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขา และมีอิทธิพลต่อพวกเขาไปตลอดชีวิต  เมื่อบิดามารดากล่าวว่า “นี่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของลูก” สิ่งนี้ก็กลายเป็นแรงดลใจที่อยู่เบื้องหลังชีวิตของคนคนหนึ่ง โดยให้ทิศทางและเป้าหมายที่จะพยายามไปให้ถึง  ผลลัพธ์ก็คือ ไม่ว่าชีวิตของบุคคลนั้นจะมีเสน่ห์ดึงดูดใจเพียงใด ไม่ว่าชีวิตของพวกเขาจะสง่างามและประสบความสำเร็จเพียงใด ชีวิตของพวกเขาก็ถูกทำลายไปแล้วจริงๆ  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (เป็นเช่นนั้น)  นี่หมายความว่าหากใครบางคนไม่ใช้ชีวิตตามข้อร้องขอของบิดามารดาของตน พวกเขาก็ไม่ถูกทำลายใช่หรือไม่?  ไม่ใช่ พวกเขามีเป้าหมายของตนเองเช่นกัน  นั่นคือเป้าหมายใดหรือ?  เป้าหมายยังคงเหมือนเดิม กล่าวคือ “การใช้ชีวิตที่ดีและทำให้บิดามารดาของพวกเขาภูมิใจ” ไม่ใช่เพราะบิดามารดาของพวกเขาได้บอกให้พวกเขาทำ แต่เป็นเพราะพวกเขายอมรับเป้าหมายนี้จากที่อื่น  พวกเขายังคงต้องการที่จะดำเนินชีวิตตามคำพูดเหล่านี้ และทำให้ครอบครัวของพวกเขาภูมิใจ และขึ้นไปสู่จุดสูงสุด และกลายเป็นบุคคลหนึ่งที่มีเกียรติและสง่างาม  เป้าหมายของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไป พวกเขายังคงอุทิศตลอดทั้งชีวิตของตน และใช้ชีวิตตลอดทั้งชีวิตของตน โดยพยายามสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้  ดังนั้น เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง และยอมรับสิ่งที่เรียกว่าคำสอนที่ถูกต้อง ถ้อยแถลงที่ถูกต้อง และทัศนะที่ถูกต้องที่แพร่หลายอยู่มากมายในสังคม พวกเขาจึงเปลี่ยนสิ่งที่ถูกต้องเหล่านั้นไปเป็นทิศทาง รากฐาน และแรงจูงใจสำหรับความพยายามในชีวิตของตนเอง  ในท้ายที่สุด ผู้คนก็ใช้ชีวิตอย่างไม่ประนีประนอมและเต็มกำลังเพื่อเห็นแก่เป้าหมายเหล่านี้ พลางดิ้นรนตลอดชีวิตจนกระทั่งพวกเขาตาย ซึ่ง ณ จุดนั้น บางคนก็ยังคงไม่เต็มใจที่จะปล่อยวาง  ผู้คนช่างใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนานัก!  อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมละทิ้งสิ่งที่เรียกกันว่าสิ่งที่ถูกต้อง หลักคำสอนที่ถูกต้อง และถ้อยแถลงที่ถูกต้องเหล่านี้ ตลอดจนความคาดหวังที่บิดามารดาของเจ้ามีต่อเจ้าไว้เบื้องหลังทีละเล็กละน้อยมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าละทิ้งสิ่งที่เรียกกันว่าสิ่งที่ถูกต้องเหล่านี้ไว้เบื้องหลังทีละเล็กละน้อย และมาตรฐานที่เจ้าใช้ประเมินสิ่งทั้งหลายก็ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของถ้อยแถลงของวัฒนธรรมดั้งเดิมอีกต่อไป เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่ถูกถ้อยแถลงเหล่านั้นผูกมัดอีกต่อไปใช่หรือไม่?  และหากเจ้าไม่ถูกสิ่งเหล่านี้ผูกมัด เจ้าจะใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระหรือไม่?  ในตอนนั้นเจ้าอาจจะไม่ได้เป็นอิสระโดยสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยโซ่ตรวนก็จะถูกคลายออกแล้ว  ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ผู้คนยังคงมีมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน เจตนารมณ์ และความไม่บริสุทธิ์อยู่มาก ตลอดจนมีปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของพวกเขา ความคิดที่หลอกลวง ธรรมชาติอันเสื่อมทราม และอื่นๆ  เมื่อสิ่งเหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้ว และผู้คนสามารถดำเนินชีวิตตามความจริงได้โดยสมบูรณ์ พวกเขาจะใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและได้รับการปลดปล่อยและเป็นอิสระอย่างแท้จริง

อะไรคือสิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกเมื่อเป็นเรื่องของการไล่ตามเสาะหาและการได้รับความจริงในตอนนี้?  ก่อนอื่นจงชำแหละตรรกะวิบัติและคำกล่าวซึ่งดูคล้ายมีเหตุผลที่ก่อนหน้านี้เจ้าเคยคิดว่าถูกต้องและเป็นหนึ่งในบรรดามโนคติอันหลงผิดดั้งเดิม และสลัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปเมื่อเจ้าเข้าใจแก่นแท้ของสิ่งเหล่านี้อย่างหมดจดแล้ว  สิ่งเหล่านี้เป็นโซ่ตรวนชั้นแรกที่ผูกมัดผู้คน  ตอนนี้พวกเจ้ายังคงเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ในหัวใจของพวกเจ้ากี่ประการ?  พวกเจ้าสลัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปหมดแล้วหรือยัง?  (ยังไม่หมด)  การสลัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปนั้นง่ายหรือไม่?  ตัวอย่างเช่น บางคนต้องการปฏิบัติหน้าที่ของตนแต่ก็รู้สึกว่าพวกเขาต้องให้เกียรติบิดามารดาของตนด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้สึก  หากเจ้าเพียงแต่คอยจัดการกับอารมณ์ของตนอยู่ร่ำไป โดยบอกตนเองว่าจงอย่าคิดถึงบิดามารดาและครอบครัวของตน และจงคิดถึงแต่พระเจ้าและมุ่งความสนใจไปที่ความจริง แต่เจ้าก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงบิดามารดาของเจ้า การนี้จึงไม่สามารถแก้ปัญหาพื้นฐานได้  เพื่อแก้ปัญหานี้ เจ้าจำเป็นต้องชำแหละสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเคยคิดว่าถูกต้อง รวมถึงคำกล่าว ความรู้ และทฤษฎีที่เจ้าได้รับมรดกตกทอดมาและตรงกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์  นอกจากนั้น ในยามที่ติดต่อสัมพันธ์กับบิดามารดาของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะลุล่วงภาระผูกพันของตนในฐานะบุตรที่ดูแลบิดามารดาหรือไม่นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของภาวะส่วนตนของเจ้าและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าโดยสมบูรณ์  นี่อธิบายเรื่องนี้อย่างครบบริบูรณ์มิใช่หรือ?  เมื่อบางคนไปจากบิดามารดาของตน พวกเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นหนี้บิดามารดามากมายและพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อบิดามารดาเลย  ทว่าตอนนั้นเมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็ไม่กตัญญูต่อบิดามารดาของพวกเขาเลย และพวกเขาก็ไม่ได้ลุล่วงภาระผูกพันของตนแต่ประการใด  นี่คือคนที่กตัญญูอย่างแท้จริงหรือ?  นี่คือการกล่าววาจาอันว่างเปล่า  ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร เจ้าจะคิดอะไร หรือเจ้าจะวางแผนอย่างไร สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญ  สิ่งสำคัญคือเจ้าสามารถเข้าใจและเชื่ออย่างแท้จริงได้หรือไม่ว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  บิดามารดาบางคนมีพรและโชคชะตานั้นที่จะสามารถชื่นชมยินดีกับความสำราญในบ้านและความสุขของครอบครัวใหญ่ที่เจริญรุ่งเรือง  นี่คืออธิปไตยของพระเจ้า และพระพรที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา  บิดามารดาบางคนไม่มีโชคชะตานี้ พระเจ้าไม่ได้ทรงจัดการเตรียมการโชคชะตานี้ไว้สำหรับพวกเขา  พวกเขาไม่ได้รับพระพรที่จะชื่นชมยินดีกับการมีครอบครัวที่มีความสุข หรือชื่นชมยินดีกับการมีบุตรของตนอยู่เคียงข้าง  นี่คือการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและผู้คนก็ไม่สามารถใช้กำลังบังคับเรื่องนี้ได้  ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเป็นเรื่องของความกตัญญูรู้คุณ อย่างน้อยผู้คนก็ต้องมีกรอบความคิดของการนบนอบ  หากสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยและเจ้ามีวิถีทางที่จะทำอย่างนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมสามารถแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดาของเจ้าได้  หากสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยและเจ้าขาดพร่องวิถีทาง เช่นนั้นแล้วจงอย่าพยายามฝืนเรื่องนี้  การทำเช่นนี้เรียกว่าอะไร?  (การนบนอบ)  สิ่งนี้เรียกว่าการนบนอบ  การนบนอบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  พื้นฐานสำหรับการนบนอบคืออะไร?  การนบนอบอยู่บนพื้นฐานที่ว่าสิ่งทั้งปวงนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและทรงครองอธิปไตย  แม้ว่าผู้คนอาจปรารถนาที่จะเลือก พวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือก และพวกเขาควรนบนอบ  เมื่อเจ้ารู้สึกว่าผู้คนควรนบนอบและพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงทุกสิ่ง เจ้าไม่รู้สึกสงบในหัวใจของตนมากขึ้นหรอกหรือ?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วมโนธรรมของเจ้ายังคงรู้สึกถูกตำหนิอยู่หรือไม่?  มโนธรรมของเจ้าจะไม่รู้สึกว่าถูกตำหนิอยู่เนืองนิจอีกต่อไป และแนวคิดว่าเจ้าได้อกตัญญูต่อบิดามารดาของเจ้าก็จะไม่ครอบงำเจ้าอีกต่อไป  บางครั้งบางคราวเจ้าอาจยังคงคิดถึงเรื่องนี้ เนื่องจากความคิดเหล่านี้เป็นความคิดหรือสัญชาตญาณปกติภายในความเป็นมนุษย์ และไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงความคิดเหล่านี้ได้  ตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นว่ามารดาของพวกเขาป่วย คนปกติย่อมรู้สึกทุกข์ใจและปรารถนาที่จะสามารถทนทุกข์แทนเธอได้  บางคนกล่าวว่า “หากเพียงแต่สามารถรักษามารดาของฉันให้หายได้ ต่อให้นั่นหมายถึงการลดทอนชีวิตของฉันให้สั้นลงสองสามปีก็ตาม!”  นี่คือด้านที่เป็นบวกของความเป็นมนุษย์ เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์  ดังนั้นเมื่อเจ้าเห็นว่ามารดาของตนเจ็บป่วยและเจ้ารู้สึกทุกข์ใจ ความรู้สึกทุกข์ระทมนี้เป็นปัญหาหรือไม่?  ไม่ นี่ไม่ใช่ปัญหา  เพราะนี่เป็นบางสิ่งบางอย่างซึ่งความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี  การรู้สึกทุกข์ระทมในหัวใจของเจ้าเป็นสิ่งที่ดี นี่เป็นการพิสูจน์ว่าเจ้ามีหัวใจและเจ้ามีความเป็นมนุษย์  ในโลกนี้ มารดาของเจ้าคือบุคคลที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้าได้อยู่ใกล้ชิดมากที่สุด  หากเธอเจ็บป่วยและเจ็บปวด และเจ้าไม่แยแส เช่นนั้นแล้วเจ้ายังคงเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?  หากเจ้ากล่าวว่า “ฉันไม่รู้สึกอะไรกับแม่และฉันไม่รู้สึกอะไรที่แม่เจ็บปวด ฉันรู้สึกเจ็บปวดเมื่อพระเจ้าทรงรู้สึกเจ็บปวดเท่านั้น!”  ถ้อยแถลงนี้จริงหรือไม่?  ไม่จริง ถ้อยแถลงนี้เป็นเท็จ  มารดาของเจ้าให้กำเนิดเจ้า เธอเลี้ยงดูเจ้ามาหลายปีนัก เธอคือคนที่ใกล้ชิดกับเจ้ามากที่สุด และเธอรักเจ้ามากที่สุด  เมื่อเธอเจ็บป่วยและเจ็บปวด หากเจ้าไม่รู้สึกทุกข์ระทมในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้วหัวใจของเจ้าย่อมต้องแข็งกระด้างมาก!  นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ จงอย่าเสาะแสวงที่จะเป็นคนประเภทนี้  การรู้สึกทุกข์ใจกับสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติมาก แต่หากเจ้าหยุดปฏิบัติหน้าที่ของตนเพราะการรู้สึกทุกข์ใจนี้และเจ้าก็พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า นี่เป็นเรื่องปกติหรือไม่?  (ไม่ปกติ)  เหตุใดจึงไม่ปกติ?  เพราะการคิดของเจ้าไม่ตรงกับความจริง และไม่ใช่สิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี การคิดเช่นนี้จึงไม่ปกติ  ผู้คนมีธรรมชาติของซาตาน พวกเขาดำเนินชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถละเมิดความจริง และสูญสิ้นมโนธรรมและเหตุผลของตนได้ เหมือนกับการป่วยทางจิตอย่างฉับพลันนั่นเอง  นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ แล้วเรื่องนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร?  เรื่องนี้มีสาเหตุมาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน  เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาถูกเผยออกมา พวกเขาสามารถต้านทานพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา และพวกเขาสามารถก่อให้เกิดความคิดบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามความจริงและกบฏต่อพระเจ้าด้วยความคิดชั่วแล่นทุกที่และทุกเวลา  นั่นคือที่มาของเรื่องนี้

มนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนแต่มีความรู้สึกและมักถูกจำกัดโดยความรู้สึกอยู่บ่อยๆ ซึ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถนบนอบพระเจ้าหรือปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริงได้  เพื่อที่จะสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า คนเราต้องแก้ปัญหาเรื่องความรู้สึก  ความรู้สึกประเภทใดที่ขัดขวางไม่ให้ผู้คนปฏิบัติความจริงและต้องสลัดทิ้งไปมากที่สุด?  ความรู้สึกประเภทใดเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมีและไม่ใช่ปัญหา?  ความรู้สึกประเภทใดเป็นส่วนหนึ่งของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม?  สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการแยกแยะให้ชัดเจน  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าบุตรของเจ้าถูกรังแก และในฐานะที่เป็นพ่อแม่ของพวกเขา เจ้าก็คุ้มครองพวกเขาและไปหาครอบครัวที่รังแกบุตรของเจ้าเพื่อใช้เหตุผลกับพวกเขา—นี่เป็นเรื่องปกติหรือไม่?  นั่นคือบุตรของเจ้า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ถูกควรและปกติสำหรับเจ้าที่จะคุ้มครองพวกเขา  แต่หากบุตรของเจ้ารังแกเด็กคนอื่น หากพวกเขารังแกแม้แต่เด็กที่ประพฤติตัวดี และเจ้ามองเห็นสิ่งนี้แต่ไม่สนใจ และเจ้าเชื่อว่าบุตรของตนดีเลิศทีเดียว และเจ้าถึงกับแอบสอนพวกเขาให้ตีคนอื่นด้วย และเมื่อคนอื่นมาใช้เหตุผลกับเจ้า เจ้าก็ยังคงแก้ต่างให้บุตรของเจ้า พฤติกรรมนี้ถูกต้องหรือไม่?  ไม่ถูกต้อง  พฤติกรรมนี้มีปัญหาอะไร?  ความรู้สึกเป็นแรงผลักดันพฤติกรรมนี้  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าความรู้สึกเป็นแรงผลักดันพฤติกรรมนี้?  เจ้าคิดว่าการที่คนอื่นรังแกบุตรของเจ้าเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และหากบุตรของเจ้าทนทุกข์เล็กน้อย เจ้าก็ไปแก้ปัญหาและขอคำอธิบายทันที แล้วเหตุใดเจ้าจึงทำเป็นไม่เห็นว่าบุตรของเจ้ารังแกบุตรของคนอื่น?  เจ้ายุยงให้บุตรของเจ้าตีคนอื่นด้วยซ้ำไป นั่นเป็นการประสงค์ร้ายมิใช่หรือ?  ผู้คนที่ทำเช่นนี้ประสงค์ร้ายในแง่ของอุปนิสัยของพวกเขา  เรื่องนี้สามารถอธิบายในแง่ของความรู้สึกได้อย่างไร?  ความรู้สึกมีลักษณะอย่างไร?  แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก  ความรู้สึกเป็นการมุ่งความสนใจไปที่สัมพันธภาพทางเนื้อหนังและการตอบสนองความพอใจของเนื้อหนัง  การเลือกที่รักมักที่ชัง การแก้ต่างให้การกระทำผิด การหลงใหล การเอาอกเอาใจ และการปล่อยตัวปล่อยใจล้วนตกอยู่ภายใต้ความรู้สึกทั้งนั้น  บางคนใส่ใจในความรู้สึกอย่างมาก พวกเขาตอบสนองต่อสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับตนบนพื้นฐานของความรู้สึกของตน ในหัวใจของพวกเขา พวกเขารู้ดีอย่างเต็มที่ว่าการนี้ไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังคงใช้อคติอยู่ดี นับประสาอะไรกับการปฏิบัติตนตามหลักธรรม  เมื่อผู้คนถูกตีกรอบโดยความรู้สึกเป็นนิตย์ พวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่?  นี่เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งยวด!  การที่ผู้คนมากมายไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้นั้นมีปัจจัยสำคัญมาจากความรู้สึก พวกเขาถือว่าความรู้สึกมีความสำคัญเป็นพิเศษ พวกเขาจึงจัดให้ความรู้สึกอยู่ในอันดับแรก  พวกเขาเป็นคนที่รักความจริงหรือไม่?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  โดยแก่นแท้แล้วความรู้สึกคืออะไร?  ความรู้สึกคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทหนึ่ง  การสำแดงของความรู้สึกสามารถอธิบายได้ด้วยการใช้คำหลายคำ การเลือกที่รักมักที่ชัง การคุ้มครองผู้อื่นอย่างไร้หลักธรรม การรักษาสัมพันธภาพทางเนื้อหนัง รวมถึงความลำเอียง สิ่งเหล่านี้คือความรู้สึก  ผลที่มีแววว่าจะตามมาจากการที่ผู้คนมีความรู้สึกและดำเนินชีวิตตามความรู้สึกคืออะไร?  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเกลียดความรู้สึกของผู้คนมากที่สุด?  บางคนถูกจำกัดด้วยความรู้สึกของตนอยู่เสมอ พวกเขาไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ และแม้ว่าพวกเขาปรารถนาที่จะนบนอบพระเจ้า พวกเขาก็ทำไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าถูกทรมานด้วยความรู้สึกของตน  มีผู้คนมากมายที่เข้าใจความจริงแต่ไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาถูกตีกรอบด้วยความรู้สึกเช่นกัน  ตัวอย่างเช่น บางคนออกจากบ้านของตนไปปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่พวกเขาก็มักจะคิดถึงครอบครัวของพวกเขาอยู่เสมอ ทั้งวันทั้งคืน และพวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีนัก  นี่เป็นปัญหามิใช่หรือ?  บางคนแอบหลงรักคนอื่น และมีแต่พื้นที่สำหรับคนนั้นในหัวใจของพวกเขา ซึ่งส่งผลต่อการที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน  นี่เป็นปัญหามิใช่หรือ?  บางคนชื่นชมและยกย่องผู้อื่นให้เป็นบุคคลในอุดมคติ พวกเขาจะไม่ฟังใครเลยยกเว้นบุคคลนั้น ถึงขั้นที่พวกเขาไม่ฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัสด้วยซ้ำไป  ต่อให้ใครคนอื่นสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ยอมรับการสามัคคีธรรมนั้น พวกเขาฟังแต่คำพูดของบุคคลนั้นเท่านั้น คำพูดของบุคคลในอุดมคติของพวกเขา  บางคนมีบุคคลในอุดมคติอยู่ในหัวใจของตน และพวกเขาก็ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นพูดถึงหรือแตะต้องบุคคลในอุดมคติของพวกเขา  หากมีใครพูดถึงปัญหาของบุคคลในอุดมคติของพวกเขา พวกเขาก็โมโหและต้องแก้ต่างให้บุคคลในอุดมคติของพวกเขาและพลิกคำพูดของบุคคลนั้นไปในทางตรงกันข้าม  พวกเขาจะไม่เปิดโอกาสให้บุคคลในอุดมคติของพวกเขาต้องทนทุกข์กับความอยุติธรรมโดยไม่มีการแก้ต่างให้ และพวกเขาก็ทำทุกสิ่งที่อยู่ในอำนาจของพวกเขาเพื่อปกป้องชื่อเสียงของบุคคลในอุดมคติของตน ผ่านทางคำพูดของพวกเขา ความผิดของบุคคลในอุดมคติของพวกเขาก็กลายเป็นความถูกต้อง และพวกเขาก็ไม่ยอมให้ผู้คนกล่าวคำพูดที่แท้จริงหรือเปิดโปงความผิดเหล่านั้น  นี่คือความลำเอียง เหล่านี้คือสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึก  ความรู้สึกเป็นสิ่งที่มุ่งไปที่ครอบครัวของคนเราเท่านั้นใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ค่อนข้างกว้าง ความรู้สึกคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทหนึ่ง ความรู้สึกไม่เพียงแต่เกี่ยวกับสัมพันธภาพทางเนื้อหนังระหว่างสมาชิกในครอบครัว ความรู้สึกไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ขอบเขตนั้น  ความรู้สึกอาจข้องเกี่ยวกับผู้บังคับบัญชาของเจ้า หรือใครบางคนที่ได้แสดงความปรารถนาดีต่อเจ้าหรือช่วยเหลือเจ้า หรือใครบางคนที่มีสัมพันธภาพใกล้ชิดกับเจ้ามากที่สุด หรือที่เข้ากับเจ้าได้ หรือคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกันกับเจ้าหรือเพื่อนของเจ้า หรือแม้แต่ใครบางคนที่เจ้าเลื่อมใสก็ได้เช่นกัน—เรื่องนี้ไม่ตายตัว  เช่นนั้นแล้วการสลัดความรู้สึกทิ้งไปนั้นก็เพียงแค่เรียบง่ายพอๆ กับการไม่คิดถึงบิดามารดาหรือครอบครัวของเจ้าใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  การสลัดความรู้สึกทิ้งไปนั้นง่ายมากใช่หรือไม่?  เมื่อคนส่วนใหญ่เข้าสู่ช่วงวัย 30 ปีของพวกเขา และสามารถใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งพาใครได้ พวกเขาก็จะไม่คิดถึงบ้านมากนัก และเมื่อเข้าสู่ช่วงวัย 40 ปีของพวกเขา เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องปกติโดยสิ้นเชิง  เมื่อผู้คนยังไม่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ พวกเขาจะรู้สึกคิดถึงบ้านมากและไม่สามารถไปจากบิดามารดาของตนได้เพราะพวกเขายังไม่มีความสามารถที่จะอยู่รอดได้โดยไม่พึ่งพาใคร  การคิดถึงครอบครัวของเจ้าและคิดถึงบิดามารดาของเจ้านั้นเป็นเรื่องปกติ  นี่ไม่ใช่เรื่องของความรู้สึก  ตอนที่ท่าทีและมุมมองของเจ้าเกี่ยวกับการทำสิ่งทั้งหลายถูกเจือปนด้วยความรู้สึก เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องของความรู้สึก  เนื่องจากมีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างเจ้ากับบิดามารดาของเจ้าในระดับเนื้อหนัง และเจ้าใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหลายปีมากแล้ว จึงเป็นเรื่องปกติสำหรับเจ้าที่จะคิดถึงบิดามารดาของตน  บางคนกล่าวว่าพวกเขาไม่คิดถึงบิดามารดาของพวกเขาเลย แต่บางทีพวกเขาก็เพิ่งออกจากบ้านเมื่อไม่นานมานี้ และไม่ว่าพวกเขามองไปทางไหนก็ดูสดใหม่ ในที่สุดพวกเขาก็หลุดพ้นจากการจู้จี้จุกจิกของบิดามารดาของตน และไม่มีใครกำลังพยายามควบคุมพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกมีความสุข  แต่การรู้สึกมีความสุขหมายถึงพวกเขาไม่มีความรู้สึกใช่หรือไม่?  ไม่ใช่  บางคนกล่าวว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว และฉันก็เริ่มเข้าใจความจริงบางประการแล้ว  ฉันปฏิบัติหน้าที่ของฉันโดยไม่ถูกตีกรอบด้วยความรู้สึกใดเลย และฉันก็ไม่มีความรู้สึกอีกต่อไป”  คำกล่าวนี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้เป็นของใครบางคนที่ไม่เข้าใจความจริง  เมื่อผู้คนฟังการเทศนามามาก เข้าใจคำพูดและคำสอนบางประการ และสามารถพูดถึงทฤษฎีฝ่ายวิญญาณบางอย่างได้ พวกเขาก็คิดว่า “ฉันมีวุฒิภาวะที่เติบโตขึ้นแล้วและเข้าใจความจริงหลายประการ  หากฉันถูกจับ ฉันจะไม่เป็นยูดาส  อย่างน้อยฉันก็มีความเชื่อและความแน่วแน่นี้  นี่คือวุฒิภาวะมิใช่หรือ?  เมื่อฉันคิดย้อนกลับไปถึงความมีใจกระตือรือร้นตั้งแต่ตอนแรกที่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันก็เต็มใจที่จะอุทิศทั้งชีวิตของฉันให้พระเจ้า  ความมีใจกระตือรือร้นและคำสัตย์สาบานนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปและไม่ได้จางหายไปแม้แต่น้อย  นี่ไม่ใช่ความก้าวหน้าหรอกหรือ?”  นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ผิวเผินใช่หรือไม่?  (ใช่)  เหล่านี้ล้วนเป็นปรากฏการณ์อันผิวเผิน  หากผู้คนต้องการมีความก้าวหน้าที่แท้จริง พวกเขาต้องเข้าใจความจริง  การมีความสามารถในการพูดถึงคำสอนและทฤษฎีฝ่ายวิญญาณนั้นสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้หรือไม่?  (ไม่สามารถทำได้)  หากเจ้าไม่สามารถแก้ปัญหาของตัวเจ้าเองด้วยซ้ำและเจ้าก็ไม่สามารถนำความจริงใดไปปฏิบัติได้ เจ้าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้หรือไม่?  เพียงแค่การฟังการเทศนาและการเข้าใจคำสอนก็ไร้ประโยชน์ เจ้าต้องปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง เจ้าต้องปฏิบัติความจริง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความเป็นจริง  เจ้าจะสามารถเข้าใจความจริงได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นโดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น เจ้าจะสามารถได้รับความจริงเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงเท่านั้น และเจ้าจะสามารถเติบโตขึ้นได้โดยการได้รับความจริงเท่านั้น

ตอนนี้เมื่อเราได้สามัคคีธรรมกับพวกเจ้าและช่วยพวกเจ้าแยกแยะว่าสิ่งใดคือความจริงและสิ่งใดคือคำพูดที่ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าเข้าใจอะไรบ้าง?  (พวกเราต้องมีทัศนะต่อสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริง และพวกเราไม่อาจถือว่าพฤติกรรมภายนอกที่ดีตามปกติหรือคำสอนฝ่ายวิญญาณเป็นความจริงได้)  พฤติกรรมที่ดีและคำกล่าวที่ถูกต้องไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบุคคลหนึ่งได้  ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะแท้จริงเพียงใด ไม่เพียงแค่สิ่งเหล่านั้นจะไม่ใช่ความจริงเท่านั้น แต่สิ่งเหล่านั้นยังไม่เกี่ยวข้องกับความจริงด้วย  หากเจ้าเกาะติดอยู่กับสิ่งเหล่านั้นและปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นในฐานะความจริงอยู่เป็นนิตย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่มีวันเข้าใจความจริงและได้รับความจริง  นี่คือแง่มุมหนึ่ง  มีอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งก็คือ คำสอนฝ่ายวิญญาณสามารถทำให้บุคคลหนึ่งเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  (ไม่สามารถทำได้)  เพราะเหตุใด?  แม้ว่าคำสอนฝ่ายวิญญาณทั้งมวลอาจถูกมองว่าเป็นคำพูดที่ถูกต้องได้ คำสอนเหล่านั้นก็ไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของบุคคลหนึ่งได้  ดังนั้น เพื่อการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของบุคคลหนึ่งนั้น อะไรคือสิ่งที่พึ่งพาได้กันแน่?  บางคนบอกให้พึ่งพาความจริง บางคนบอกให้พึ่งพาการเข้าใจและการยอมรับความจริง และคนอื่นบอกให้พึ่งพาการปฏิบัติความจริง  คำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  จากมุมมองตามตัวอักษร คำพูดเหล่านั้นทั้งหมดมีด้านที่ถูกต้อง แต่คำพูดเหล่านั้นล้วนเป็นคำสอนที่ตื้นที่สุด คำสอนเหล่านี้ไม่สามารถช่วยเจ้าให้รอดหรือแก้ไขความลำบากยากเย็นของเจ้าได้  เมื่อเจ้าเผชิญกับสถานการณ์หนึ่งและผู้คนบอกเจ้าว่าเจ้าต้องยอมรับความจริง เจ้าจะกล่าวว่า “ฉันจะยอมรับความจริงได้อย่างไร?  ฉันมีความลำบากยากเย็น และฉันไม่สามารถปล่อยมือได้!”  คำสอนเหล่านี้สามารถกลายเป็นเส้นทางในการปฏิบัติความจริงของเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่สามารถ)  บางคนบอกว่าเมื่อเจ้าเผชิญกับสถานการณ์หนึ่ง เจ้าควรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น  เจ้าได้ยินเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่การนี้แก้ไขความลำบากยากเย็นใดของเจ้าไปแล้วบ้าง?  การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นนั้นถูกต้อง แต่เจ้าควรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าในแง่มุมใด?  เจ้าควรเชื่อมโยงพระวจนะของพระเจ้ากับความลำบากยากเย็นของเจ้าอย่างไร?  หลังจากที่เจ้าเชื่อมโยงพระวจนะกับความลำบากยากเย็นของเจ้าแล้ว เจ้าจะแก้ไขความลำบากยากเย็นนั้นอย่างไร?  เส้นทางของการปฏิบัติคืออะไร?  เจ้าควรใช้แง่มุมใดของความจริงในการแก้ไขความลำบากยากเย็นของเจ้า?  เหล่านี้เป็นปัญหาจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  เหล่านี้เป็นปัญหาจริง  ดังนั้นคำสอนที่ถูกต้องจึงไม่สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของผู้คนได้ นับประสาอะไรกับการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน  สิ่งที่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนได้นั้นคืออะไรกันแน่?  ทุกคนรู้ว่ามีแต่ความจริงเท่านั้นที่สามารถแก้ปัญหาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนได้ แต่หากผู้คนไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร หรือหากพวกเขาไม่แสวงหาหรือยอมรับความจริง จะสามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ดังนั้น เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา คนเราต้องมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  กล่าวคือ มีเพียงการมีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราให้บริสุทธิ์ได้  การนี้พึงประสงค์ให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงและให้ความร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผล  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมุ่งความสนใจไปที่การเข้าใจคำสอนฝ่ายวิญญาณเท่านั้น โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำสอนเหล่านั้นเป็นความจริงหรือไม่ แต่ยอมรับคำสอนเหล่านั้นในฐานะความจริง การนี้จะสามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้หรือไม่?  นอกจากนั้น หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เมื่อเจ้าเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา เจ้าจะสามารถแยกแยะเรื่องนี้ได้หรือไม่?  เจ้าสามารถตรวจสอบเรื่องนี้กับพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเปรียบเทียบได้หรือไม่?  เจ้าทำไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์  เจ้าอาจใช้ข้อบังคับอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ซึ่งสามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้น้อยลงไปอีก  สิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามคืออะไร?  สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้คนต้องเข้าใจความจริง  ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่ถือว่าคำสอนคือความจริงและไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร  เหมือนกันเลยกับตัวอย่างเรื่องความรู้สึกที่เราเพิ่งกล่าวถึง แนวทางแรกของมารดาคือการคุ้มครองบุตรของเธอจากการถูกรังแก ซึ่งก็ชอบด้วยเหตุผล  จากมุมมองของพวกเจ้า “เหล่านี้คือความรู้สึก คุณไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  พฤติกรรมประเภทนี้ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์และกล่าวโทษ”  พวกเจ้าระบุลักษณะสิ่งทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง ที่ไม่สัมพันธ์กับความจริง และอันที่จริง บางสิ่งที่ผู้คนควรทำตามสัญชาตญาณ ว่าเป็นสิ่งที่ละเมิดความจริง และจากนั้นพวกเจ้าย่อมปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น  พวกเจ้าคิดว่าการยึดมั่นในหลักธรรมนี้คือการปฏิบัติความจริง  และสำหรับแนวทางที่สองที่มารดาไม่เอาผิดบุตรของเธอที่รังแกบุตรของคนอื่นนั้น เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องจริงๆ กับการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและการปฏิบัติความจริง เจ้าคิดว่า “ตราบเท่าที่ไม่ใช่การทำความชั่ว ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก”  เหตุใดเจ้าจึงมีความคิดและความเข้าใจเช่นนั้น?  (เพราะพวกเราไม่เข้าใจความจริง)  ปัญหาอยู่ตรงนี้!  ดังนั้น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง หลายครั้งผู้คนจึงเลือกแนวทางที่พวกเขาถือว่าถูกต้อง และคิดว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริง  หลายครั้งเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง ผู้คนจึงสามารถใช้และปฏิบัติตามข้อบังคับเท่านั้น และเมื่อเผชิญกับเรื่องทั้งหลาย พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับเรื่องเหล่านั้นอย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติต่อการปฏิบัติตามข้อบังคับในฐานะของการปฏิบัติความจริง  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าเช่นนี้สามารถสัมฤทธิ์ความก้าวหน้าในชีวิตได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงได้หรือไม่?  หลายคนเชื่อว่าการที่สามารถกล่าวถึงคำพูดและคำสอนได้นั้นเป็นการเข้าใจความจริงและเป็นคนที่ตรงตามมาตรฐานในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงยังคงเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาในหลายเรื่อง?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พวกเขาเผชิญได้?  นี่เป็นการพิสูจน์ว่าการที่สามารถพูดถึงคำพูดและคำสอนนั้นไม่ใช่การเข้าใจความจริงแต่ประการใด  ไม่ว่าเจ้าจะสามารถพูดถึงคำสอนได้มากมายเพียงใด ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าได้รับความจริงแล้ว  เจ้าต้องสามารถแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและค้นพบหลักธรรมของการปฏิบัติได้ นั่นเท่านั้นจึงจะเป็นการเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง  หลายคนคิดว่าตราบเท่าที่พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตน ทนทุกข์ และจ่ายราคาได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดก็ตาม นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่  พวกเขาคิดว่าตราบเท่าที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถทนทุกข์ได้ และไม่พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาก็กำลังรักพระเจ้าและถวายการอุทิศตน  เพราะผู้คนไม่เข้าใจความจริง มีหลายครั้งที่พวกเขาแสดงเจตนารมณ์ที่ดีบางอย่าง แต่อันที่จริงพวกเขากำลังขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร และแม้กระนั้นพวกเขาก็ยังคิดว่าตนกำลังพิทักษ์ผลประโยชน์ของพระเจ้าและพระนิเวศของพระเจ้า  เกิดอะไรขึ้น?  เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะผู้คนไม่เข้าใจความจริงและไม่มีความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเกี่ยวกับความจริง ซึ่งนำพวกเขาไปสู่การทำสิ่งทั้งหลายที่ตรงกันข้ามกับความจริงอยู่เนืองนิจ  ขณะเดียวกันพวกเขาก็คิดว่าตนกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง พวกเขาได้ปฏิบัติความจริง และพวกเขาได้ตอบสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  นี่คือความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวงที่สุดของพวกเขา  แม้ว่านี่จะเป็นความลำบากยากเย็น ก็มีหนทางที่จะแก้ไขเรื่องนี้อยู่เสมอ  หนทางเดียวก็คือเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับปัญหาและเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา เจ้าต้องทบทวนตนเองและแสวงหาความจริงเพื่อที่จะเข้าใจความจริง  ตราบเท่าที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่ภายในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วสภาวะหลายประเภทย่อมจะเกิดขึ้นในตัวเจ้า  เมื่อผู้คนใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมและสภาวะที่แตกต่างกัน พวกเขาจะเผยให้เห็นความคิด มุมมอง และเจตนารมณ์บางอย่าง—เหล่านี้เป็นสภาวะภายในที่แท้จริงของพวกเขา  โดยการสังเกตความคิด มุมมอง และเจตนารมณ์ของผู้คน เจ้าจะสามารถมองเห็นอุปนิสัยของพวกเขาและรู้ว่าธรรมชาติของพวกเขาเป็นอย่างไร  โดยการทบทวนตัวเจ้าเองและแยกแยะผู้อื่นในหนทางนี้ การสัมฤทธิ์ผลทั้งหลายก็จะง่าย  โดยการรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเจ้าเองและเข้าใจแก่นแท้ของอุปนิสัยเหล่านั้นอย่างถ้วนทั่วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ผลในการรู้จักตนเองได้อย่างเต็มที่  เช่นนั้นแล้วตามธรรมชาติเจ้าย่อมจะมีเส้นทางว่าเจ้าควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอย่างไร  ตราบเท่าที่ผู้คนสามารถยอมรับความจริงได้ ก็สามารถชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาให้บริสุทธิ์ได้ และสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องความเสื่อมทรามของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย  หากผู้คนไม่สามารถยอมรับความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีวันสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาได้  ตอนนี้พวกเจ้าล้วนเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ดังนั้นพวกเจ้าต้องมุ่งความสนใจไปที่ความจริง

ในการแก้ไขธรรมชาติของผู้คน พวกเราต้องขุดค้นธรรมชาตินั้นจากต้นตอ และจากอุปนิสัยของผู้คน มากกว่าจากวิธีการที่ผู้คนทำสิ่งทั้งหลาย  พวกเราไม่ควรมุ่งเน้นเหตุผลและภาวะที่ปราศจากอคติด้วย แต่พวกเราต้องเปรียบเทียบธรรมชาติของผู้คนกับความจริงแทน  ความจริงที่แสดงออกในพระวจนะของพระเจ้านั้นมุ่งเป้าไปที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน  จงดูตัวอย่างความรู้สึกที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ ผู้คนคิดว่าบางครั้งการคิดถึงบิดามารดาของคนเราหรือการรู้สึกคิดถึงบ้านนั้นเป็นความรู้สึก  สิ่งเหล่านี้เหมือนกับสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่าเป็นความรู้สึกใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วความรู้สึกที่เจ้าเข้าใจย่อมไม่สามารถเทียบได้กับความรู้สึกที่พระเจ้าตรัสถึง  ความรู้สึกที่เจ้ากล่าวถึงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสภาวะของมนุษย์ที่ปกติ ความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  หากเจ้าปฏิบัติต่อญาติทางเนื้อหนังของเจ้าในฐานะบุคคลในอุดมคติ และการนี้เป็นสาเหตุให้เจ้าไม่ติดตามหรือนบนอบพระเจ้า เช่นนั้นแล้วความรู้สึกของเจ้าก็รุนแรงเกินไป และการนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ดังนั้นการนี้จึงเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ว่าเจ้ามีความเข้าใจความจริงโดยสมบูรณ์หรือไม่  เมื่อเจ้าปฏิบัติต่อสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าเป็นความคิดถึงบ้านหรือการมีใจกรุณาต่อบิดามารดาของคนเรามากขึ้นเล็กน้อยในฐานะความรู้สึก นี่เป็นความเข้าใจความจริงที่บิดเบือนมิใช่หรือ?  อันที่จริงสิ่งที่เจ้าเข้าใจนั้นไม่ใช่ความจริง และไม่ตรงกับความจริง สิ่งที่เจ้าเข้าใจนั้นเป็นเพียงปรากฏการณ์ภายนอก  พระเจ้าตรัสถึงความรู้สึกใดบ้าง?  ความรู้สึกเหล่านั้นคือแนวทางที่สองที่มารดาปฏิบัติต่อบุตรของเธอดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นสภาวะของการเลือกที่รักมักที่ชังและให้การคุ้มครองใครบางคนอย่างไร้หลักธรรม  สิ่งเหล่านี้คือความรู้สึกที่พระเจ้าทรงเปิดโปง—การเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในเรื่องนี้ของมารดา  สองแนวทางนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมิใช่หรือ?  แนวทางแรกเป็นปรากฏการณ์ที่ปกติ และไม่มีความจำเป็นต้องตัดแต่งการนี้ และไม่ต้องขุดลึกลงไปในการนี้ ชำแหละการนี้ และยิ่งมีความจำเป็นน้อยลงไปอีกที่จะยกการนี้มาเปรียบเทียบกับความจริง หรือปฏิบัติบางแง่มุมของความจริง หรือปล่อยมือจากบางสิ่ง  เช่นนั้นแล้ว แนวทางนี้ถูกควรหรือไม่?  จำเป็นต้องปฏิบัติตนในหนทางนี้หรือไม่?  ไม่จำเป็น ไม่มีถูกหรือผิดในแนวทางนี้  แนวทางที่สองเกี่ยวข้องกับอุปนิสัย  มีการสำแดงความรู้สึกประเภทใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม?  (การเลือกที่รักมักที่ชัง การคุ้มครองผู้อื่นอย่างไร้หลักธรรม การรักษาสัมพันธภาพของเนื้อหนัง และการขาดพร่องความยุติธรรม)  เหล่านี้คือสิ่งที่รวมอยู่ในคำว่า “ความรู้สึก” ที่พระเจ้าตรัสถึง  หากเจ้าสามารถเข้าใจได้มากเพียงนี้และเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้กับตัวเจ้าเองได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรทุ่มเทพยายามในการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้  เมื่อเจ้าไม่ถูกจำกัดด้วยความรู้สึกเหล่านี้อีกต่อไปเท่านั้น การกระทำของเจ้าจึงจะเป็นการปฏิบัติความจริงทั้งหมด  เช่นนั้นแล้วสภาวะที่เจ้าเข้าใจว่าความรู้สึกมีความหมายรวมถึงสิ่งใดจึงจะสอดคล้องกับคำว่า “ความรู้สึก” ดังที่พระเจ้าตรัสไว้โดยสมบูรณ์  นี่คือความจริงที่เจ้าจะเข้าใจ  หากเจ้าถูกขอให้สามัคคีธรรมว่าความรู้สึกคืออะไร และเจ้ากล่าวถึงแนวทางแรกของมารดา นี่เป็นการสำแดงการไม่เข้าใจความจริง  หากเจ้าสามัคคีธรรมถึงแนวทางที่สองของมารดาและชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเธอ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเข้าใจความจริง  หากสิ่งทั้งหลายที่เจ้าสามัคคีธรรม มีประสบการณ์ และเข้าใจนั้นเป็นไปตามความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และไม่มีข้อขัดแย้งหรือสิ่งที่ไม่สอดคล้องกัน นี่เป็นการพิสูจน์ว่าเจ้าเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เจ้าได้จับความเข้าใจในความหมายของพระวจนะแล้ว เจ้าเข้าใจพระวจนะแล้ว และเจ้าสามารถปฏิบัติและนำพระวจนะไปประยุกต์ใช้ได้  เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะได้รับความจริงและชีวิตแล้ว และความหมายโดยนัยของเรื่องนี้ก็คือเจ้าจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว  ในเวลานั้นเมื่อเจ้ามองเห็นสิ่งใดที่เป็นประเภทนี้อีก เจ้าจะสามารถแยกแยะสิ่งนี้ได้ และเจ้าจะรู้ว่าการเผยประเภทใดเป็นปกติ และการเผยประเภทใดเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเจ้าจะรู้ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหัวใจของเจ้าโดยสมบูรณ์  ในหนทางนี้ การปฏิบัติตนของเจ้าจะไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  การปฏิบัติตนของเจ้าจะไม่สอดรับกับความจริงหรอกหรือ?  เจ้าจะไม่มีความเป็นจริงความจริงหรอกหรือ?  หากเจ้าปฏิบัติตนอย่างถูกต้องและเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วความเข้าใจและประสบการณ์ที่เจ้าสามัคคีธรรมถึงย่อมจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นและแก้ไขความลำบากยากเย็นของพวกเขาได้มิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของความจริง

บางคนไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีเพราะขีดความสามารถของพวกเขาย่ำแย่ แต่พวกเขาก็กล่าวอ้างเสมอว่านั่นเป็นเพราะพวกเขาขาดพร่องมโนธรรม  คำอธิบายใดถูกต้อง?  (พวกเขามีขีดความสามารถที่ย่ำแย่)  บางครั้งเมื่อบุคคลหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาอาจจับความเข้าใจในความรู้พื้นฐานของสายงานนั้น แต่ไม่เข้าใจความรู้ในแง่มุมที่เป็นขั้นสูงกว่า เพราะพวกเขาไม่เคยเรียนรู้แง่มุมเหล่านั้นมาก่อน  ผู้นำของพวกเขาตราหน้าพวกเขาว่าเป็นคนสุกเอาเผากิน ตลบตะแลง และเกียจคร้านในการทำงาน แต่จริงๆ แล้ว พวกเขาเพียงขาดพร่องความรู้ในสายงาน และยังไม่ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้น แต่พวกเขาก็กำลังพยายามอย่างสุดความสามารถของพวกเขาแล้ว  แต่ผู้นำของพวกเขากลับบอกว่าพวกเขาเป็นคนสุกเอาเผากิน—นี่ไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง  นี่เป็นการใช้คำศัพท์และการตราหน้าผู้อื่นตามอำเภอใจ  เหตุใดผู้คนจึงใช้คำศัพท์และตราหน้าผู้อื่นตามอำเภอใจ?  ไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงหรอกหรือ?  บางคนจะบอกว่าใช่อย่างแน่นอน บางคนจะบอกว่าเป็นเพราะพวกเขามีขีดความสามารถที่ย่ำแย่และเลอะเลือนเกินไป และคนอื่นบางคนจะบอกว่านั่นเป็นเพราะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาชั่วเกินไปและพวกเขามีเจตนารมณ์ที่ไม่ถูกต้อง  คำอธิบายใดถูกต้อง?  อันที่จริงทั้งสามสภาวะนี้มีอยู่ และต้องทำการตัดสินตามแต่ละกรณีโดยเฉพาะ  หากมีสาเหตุมาจากการที่พวกเขาไม่เข้าใจความจริง แต่ใครบางคนกล่าวว่าเป็นเพราะพวกเขามีขีดความสามารถที่ย่ำแย่และเลอะเลือนเกินไป เช่นนั้นแล้วคำพูดเหล่านี้ก็ไม่ถูกต้อง  หากเห็นได้ชัดเจนว่ามีสาเหตุมาจากความเป็นมนุษย์ที่ชั่วและเหตุจูงใจแอบแฝงของพวกเขา แต่ใครบางคนกล่าวว่าเป็นเพราะพวกเขามีขีดความสามารถที่ย่ำแย่และเลอะเลือนเกินไป นี่ก็เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และมีแววว่าจะทำให้ผู้คนที่ชั่วสามารถรอดหูรอดตาไปได้  มีกรณีอื่นๆ ที่มีสาเหตุมาจากการที่ผู้คนไม่เข้าใจความจริง แต่คนอื่นก็กล่าวว่ากรณีเหล่านั้นมีสาเหตุมาจากความเป็นมนุษย์ที่ชั่วของผู้คนเหล่านั้น  การมองดูสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ไม่ถูกต้อง และมีแววว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อคนดีในฐานะคนชั่ว ซึ่งจะส่งผลเสียตามมา  มีผู้คนจำนวนมากที่ไม่สามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้และไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาได้อย่างถ้วนทั่ว  พวกเขาใช้ข้อบังคับอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าและหาข้อสรุปบนพื้นฐานของแนวคิดของตนเอง และจากนั้นจึงรู้สึกว่าพวกเขามีวิจารณญาณและพวกเขาสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายได้อย่างชัดเจน  นี่เป็นความโอหังและความคิดว่าตนเองถูกมิใช่หรือ?  หากใครบางคนมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี และตราหน้าและกล่าวโทษผู้คนตามอำเภอใจบนพื้นฐานของเหตุจูงใจแอบแฝงของพวกเขาเอง นี่เป็นธรรมชาติของคนชั่ว  ผู้คนเช่นนี้เป็นคนส่วนน้อย ผู้คนส่วนใหญ่ทำอะไรทำนองนี้เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง  บรรดาคนที่ไม่เข้าใจความจริงจะใช้ข้อบังคับและคำศัพท์ฝ่ายวิญญาณตามอำเภอใจ  ตัวอย่างเช่น บางคนมีปัญหากับความเป็นมนุษย์ของตนเองอย่างชัดเจน พวกเขามองหาหนทางที่จะหย่อนยานและไม่ทุ่มเทพยายามในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เป็นนิตย์ แต่บรรดาคนที่ไม่มีวิจารณญาณเหล่านั้นกลับกล่าวว่านี่เป็นขีดความสามารถที่ย่ำแย่  บางคนมีสำนึกในเรื่องของความยุติธรรมอย่างชัดเจน และเมื่อพวกเขาเห็นบางสิ่งที่ละเมิดหลักธรรมนั้น พวกเขาจะหยิบยกเรื่องนั้นขึ้นมาและพิทักษ์ผลประโยชน์ของคริสตจักร แต่พวกเขามักจะถูกผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงตราหน้าว่าเป็นคนโอหังและคิดว่าตนถูกอยู่บ่อยๆ และแม้กระทั่งได้รับการปฏิบัติในฐานะคนชั่ว ซึ่งเป็นการไม่ยุติธรรมต่อคนดีอย่างแท้จริง  เห็นได้ชัดว่าบางคนมีวุฒิภาวะน้อย และพวกเขาก็กลายเป็นคนอ่อนแอไปชั่วครู่ในขณะที่ถูกจำกัดโดยความรู้สึกของพวกเขา และผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงจะอธิบายลักษณะของพวกเขาว่าเป็นคนที่มีความรู้สึกรุนแรงเกินไปและขาดพร่องหัวใจที่จริงใจสำหรับพระเจ้า  ผู้คนที่ขาดพร่องความจริงเป็นเช่นนี้—ไม่คำนึงถึงภูมิหลังหรือสถานการณ์จริง พวกเขาเอาแต่ใช้ข้อบังคับตามอำเภอใจ โดยพูดอย่างหนึ่งในคราวหนึ่ง และพูดอีกอย่างหนึ่งในคราวต่อไป  ผู้คนเช่นนี้สามารถใช้ความจริงแก้ปัญหาได้หรือไม่?  (พวกเขาไม่สามารถ)  เมื่อผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงพยายามแก้ปัญหา พวกเขาย่อมไม่สามารถสั่งยารักษาโรคที่ถูกต้องได้  นี่เหมือนกับว่าพวกเขากำลังพยายามรักษาคนที่ปวดท้องโดยรักษาที่ศีรษะของผู้ป่วย พวกเขาจึงไม่สามารถค้นพบต้นตอของปัญหาได้  พวกเขาไม่เข้าใจว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ใด หรือพระวจนะของพระเจ้ากล่าวและอ้างอิงถึงเรื่องใด  นี่คือการไม่เข้าใจความจริง  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจความจริงมากหรือน้อย?  (น้อย)  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีใครบางคนถามว่า “เหตุใดคุณจึงไม่สามารถนบนอบเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคุณ?”  ผู้คนมักจะบอกว่า “เพราะฉันไม่รู้จักพระเจ้า!”  คำอธิบายนี้ถูกต้องหรือไม่?  บางครั้งคำอธิบายนี้ถูกต้องและบางครั้งก็ไม่ถูกต้อง  ส่วนใหญ่คำอธิบายนี้ไม่ถูกต้อง และนี่เป็นเพียงการตราหน้าตามอำเภอใจ  ผู้คนจับความเข้าใจในคำศัพท์ฝ่ายวิญญาณเล็กน้อยและจากนั้นก็นำไปประยุกต์ใช้และใช้คำศัพท์นั้นตามอำเภอใจ และผลลัพธ์ก็คือ มีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย  บางอย่างเป็นการตีความที่ไม่ถูกต้องและบางอย่างเป็นการตัดสิน และเรื่องนี้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นอันตราย และก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายด้วยซ้ำไป  เมื่อคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง พวกเขาจะนำสิ่งนั้นไปประยุกต์ใช้และใช้ตามอำเภอใจ  พวกเขามีแววมากที่สุดว่าจะทำผิดพลาดและมีความโน้มเอียงที่จะทำผิดพลาดในเรื่องหลักธรรม  ขณะที่ผู้คนที่มีความสามารถที่จะเข้าใจก็อาจทำผิดพลาดสองสามครั้ง แต่ความผิดพลาดเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นของหลักธรรมและพวกเขาก็สามารถเรียนรู้บทเรียนจากความผิดพลาดเหล่านั้นได้  หากผู้คนมีความเข้าใจที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล หากพวกเขาตีความพระวจนะของพระเจ้าผิดไปเมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะ หากพวกเขามีความเข้าใจที่เบี่ยงเบนในยามที่พวกเขาฟังการเทศนา และหากพวกเขาหมิ่นเหม่ที่จะค้นหาความผิดและจ้องจับผิด นี่เป็นความเดือดร้อนอย่างมาก  ไม่เพียงแต่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาจะเริ่มกระทำชั่วด้วยความบุ่มบ่ามและเป็นเหตุให้เกิดการรบกวนงานของคริสตจักร  นี่เป็นจุดจบที่ร้ายแรง

ตอนนี้พวกเจ้าควรไตร่ตรองว่า คำพูด คำสอน และทฤษฎีฝ่ายวิญญาณทั้งหลายที่พวกเจ้ากล่าวถึงบ่อยๆ นั้นเป็นความจริงหรือไม่?  พวกเจ้าเข้าใจความจริง หรือพวกเจ้าแค่เข้าใจคำสอน?  ภายในความเข้าใจของพวกเจ้ามีความเป็นจริงความจริงกี่ประการ?  เมื่อพวกเจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าย่อมจะมีความตระหนักรู้ในตนเองอย่างแท้จริงและพวกเจ้าย่อมจะรู้วิธีประเมินวัดตนเอง  ตัวอย่างเช่น พวกเจ้าได้สามัคคีธรรมความจริงไปมากมายเกี่ยวกับการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่พวกเจ้าเข้าใจความจริงเหล่านั้นอย่างแท้จริงแล้วหรือไม่?  บางทีพวกเจ้าอาจจะสามัคคีธรรมถึงพระวจนะบางคำและพูดถึงความเข้าใจบางอย่างได้ แต่พวกเจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงเหล่านี้กี่ประการแล้ว?  ตอนนี้พวกเจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์อย่างแท้จริงใช่หรือไม่?  พวกเจ้าสามารถพูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนได้หรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “การเป็นคนที่ซื่อสัตย์หมายถึงการไม่พูดโกหก การกล่าวสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในหัวใจของคุณ การไม่ซ่อนเร้นสิ่งใด และการไม่หลบเลี่ยงสิ่งใด  นี่คือมาตรฐานของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์”  เจ้าคิดอย่างไรกับถ้อยแถลงนี้?  ถ้อยแถลงนี้สอดรับกับความจริงหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าสามารถกล่าวถึงคำพูดและคำสอนได้ แต่เมื่อเป็นเรื่องของรายละเอียดในการปฏิบัติหรือปัญหาเฉพาะ เจ้าก็พูดไม่ออก  นี่คือการไม่เข้าใจความจริง  ผู้คนไม่เข้าใจความจริง แต่พวกเขากลับคิดเสมอว่า “ฉันเข้าใจมากแล้ว แต่พระเจ้าไม่ทรงใช้ฉัน  หากพระเจ้าทรงใช้ฉัน และฉันได้กลายเป็นผู้นำของคริสตจักร ฉันก็สามารถทำให้แน่ใจได้ว่าพี่น้องชายหญิงทุกคนเริ่มเข้าใจความจริง”  นี่เป็นการคุยโวอย่างมากมิใช่หรือ?  เจ้ามีความสามารถนั้นจริงหรือ?  ผู้คนที่สามารถคุยโวและโอ้อวดได้นั้นเป็นคนที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  ผู้คนเหล่านี้ไม่เข้าใจความจริง แต่พวกเขาก็คุยโวและโอ้อวด—พวกเขาน่าเวทนามิใช่หรือ?  (ใช่ พวกเขาน่าเวทนา)  ตอนนี้พวกเจ้ากำลังฟังการเทศนามากมาย แต่หากพวกเจ้าไม่เคยเข้าใจความจริง ไม่ช้าก็เร็วพวกเจ้าก็จะเดินไปในเส้นทางเดียวกันกับพวกฟาริสี และจากนั้นพวกเจ้าก็จะเป็นฟาริสียุคใหม่  เรื่องนี้มีความเป็นไปได้มิใช่หรือ?  (ใช่)  มีแววว่าจะเป็นไปได้มากเกินไป  ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์นั้นฝังลึก  หากพวกเขาได้รับความรู้หรือการศึกษามาบ้าง และสามารถเทศน์สอนทฤษฎีที่ถูกต้องและคำเทศนาอันสูงส่งบางประการได้ ก็มีแววมากว่าพวกเขาจะกลายเป็นพวกฟาริสี  หากพวกเจ้าไม่ต้องการเป็นฟาริสีหรือเดินในเส้นทางของฟาริสี หนทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงการนี้ก็คือการเสาะแสวงที่จะเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง และเปลี่ยนคำสอนที่เจ้าเข้าใจให้กลายเป็นความเป็นจริงของความจริง  ดังนั้นสิ่งใดถูกมองว่าเป็นการเข้าใจความจริงของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์อย่างแท้จริง?  พวกเจ้าควรใคร่ครวญเรื่องนี้ด้วยตนเองและสามัคคีธรรมถึงเรื่องนี้เมื่อพวกเจ้ามีเวลาว่างบ้าง  คนที่ซื่อสัตย์เป็นอย่างไรกันแน่?  ในพระวจนะของพระเจ้าอะไรคือมาตรฐานที่พึงประสงค์สำหรับคนที่ซื่อสัตย์ที่พระองค์ตรัสถึง?  ในมาตรฐานเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์มีมาตรฐานใดที่ผู้คนสามารถปฏิบัติได้?  คนที่ซื่อสัตย์ที่พระเจ้าตรัสถึงนั้นเป็นเช่นไร?  การเป็นคนที่ซื่อสัตย์นั้นมุ่งเป้าไปที่แง่มุมใดของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน?  คำถามเหล่านี้ควรค่าที่จะเจาะลึกลงไปมิใช่หรือ?  พระวจนะและความจริงที่พระเจ้าพึงประสงค์ให้ผู้คนปฏิบัตินั้นไม่ได้มุ่งเป้าไปที่หนทางในการทำสิ่งทั้งหลายหรือพฤติกรรมของผู้คน  พระวจนะและความจริงเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่ธรรมชาติและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของผู้คน  นั่นคือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงมีการกล่าวว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นความจริง  หากเป้าประสงค์เดียวของพระวจนะเหล่านี้คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนและสอนผู้คนว่าควรคิดอย่างไร เช่นนั้นแล้วพระวจนะเหล่านี้ย่อมจะไม่ใช่ความจริง พระวจนะเหล่านี้ย่อมจะเป็นเพียงทฤษฎีประเภทหนึ่ง  อาจมีการกล่าวว่าผู้ให้การศึกษาคนใดก็สามารถมีอิทธิพลต่อผู้คนเล็กน้อยและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพวกเขาได้นิดหน่อย และโดยการนำหลักคำสอนเหล่านี้ไปปฏิบัติและสรุปหลักคำสอนเหล่านี้ พฤติกรรมของผู้คนก็สามารถเป็นไปตามข้อบังคับได้ทีละเล็กละน้อย  มีความรู้ประเภทนี้อยู่มากมาย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริงเพราะไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนได้ และก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องบาปของพวกเขาที่ต้นตอได้  มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถแก้ไขและชำระความเสื่อมทรามของผู้คนให้บริสุทธิ์ได้ มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถแก้ไขธรรมชาติเยี่ยงซาตานของผู้คนได้อย่างถ้วนทั่ว และดังนั้นจึงมีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง  นัยสำคัญที่แท้จริงของความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าคืออะไร?  นี่เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การใคร่ครวญ คิดคำนึง และสามัคคีธรรมร่วมกันบ่อยๆ  จงอย่าลืมเรื่องนี้ สิ่งทั้งหลายที่ทำได้เพียงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้นย่อมไม่ใช่ความจริง สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงความรู้และกฎเกณฑ์  ความจริงไม่เพียงแต่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนได้เท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้เช่นกัน  นอกจากนี้ความจริงยังสามารถเปลี่ยนแปลงแนวคิดและมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา และกลายเป็นชีวิตของบุคคลหนึ่งได้  นั่นคือความจริง  ตอนนี้มีผู้คนที่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนน้อยเกินไป  หลายคนไม่เคยตระหนักว่าสิ่งเหล่านั้นที่บังคับควบคุมพฤติกรรมและทำให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตภายนอกที่ดีได้นั้นไม่ใช่ความจริง และสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความรู้ คำสอน และปรัชญาเยี่ยงซาตาน  เมื่อผู้คนยอมรับสิ่งเหล่านั้น แม้ว่าพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาจะสูงศักดิ์ สง่างาม และประณีตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หัวใจของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความมีเงื่อนงำและความเลวร้าย และมืดมนมากขึ้นเรื่อยๆ  สิ่งเหล่านี้คือน้ำพิษและทฤษฎีของซาตาน สิ่งที่ซาตานใช้ในการชักพาผู้คนให้หลงผิดและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริงแต่ประการใด และไม่ได้มาจากพระเจ้า  มีเพียงสิ่งทั้งหลายที่ทำให้ผู้คนสามารถกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ได้รับการปลดปล่อย และเป็นอิสระ ที่ทำให้พวกเขารู้จักพระผู้สร้าง มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง  ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับมุมมองใดและไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติตามเส้นทางใดก็ตาม หากเจ้าปรับปรุงพฤติกรรมของตนให้ดีขึ้นและเจ้าได้รับความนิยม แต่เจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าน้อยเกินไป และมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าน้อยเกินไป และสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็ย่ำแย่มาก และหัวใจของเจ้าก็ล่องลอยไปไกลจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วสิ่งทั้งหลายที่เจ้ายึดติดอยู่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวกและสิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอน  หากเจ้าเลือกเส้นทางหรือวิถีชีวิต และเจ้ายอมรับบางสิ่ง และสิ่งเหล่านี้ทำให้เจ้ากลายเป็นคนที่จริงแท้และซื่อสัตย์ และทำให้เจ้ารักสิ่งที่เป็นบวกและเกลียดชังสิ่งที่เลวร้ายและเป็นลบ และทำให้เจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างอย่างเต็มใจ เช่นนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นความจริง และสิ่งเหล่านี้ย่อมมาจากพระเจ้าอย่างแท้จริง  พวกเจ้าสามารถประเมินวัดสิ่งทั้งหลายตามมาตรฐานเหล่านี้ได้  มีคำสอนบางประการที่หลายคนสามารถกล่าวได้และได้กล่าวมาหลายปีแล้ว  อย่างไรก็ตาม หลังจากพูดสิ่งเหล่านี้ไปหลายครั้ง อุปนิสัยภายในของผู้คนก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป สภาวะของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย และมุมมองของผู้คน หนทางของการคิด และจุดเริ่มต้นและเจตนารมณ์เบื้องหลังการกระทำของพวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปในหนทางใดเลย  ดังนั้นเจ้าควรรีบละทิ้งและเลิกเกาะติดอยู่กับสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอน  เมื่อผู้คนเริ่มปฏิบัติพระวจนะบางประการเป็นครั้งแรก การทำเช่นนั้นดูตรากตรำและยากลำบาก และพวกเขาก็ไม่สามารถจับความเข้าใจในหลักธรรมได้  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเขาได้มีประสบการณ์และปฏิบัติพระวจนะเป็นระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาก็รู้สึกว่าสภาวะภายในของตนได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น หัวใจของตนใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงและหวั่นเกรงพระเจ้า พวกเขาไม่ค่อยดื้อแพ่งหรือเป็นกบฏเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา เจตนารมณ์และความอยากได้อยากมีส่วนตนของพวกเขาไม่รุนแรงอย่างเดิม และพวกเขาก็สามารถนบนอบพระเจ้าได้  สภาวะนี้เป็นบวก พระวจนะเหล่านี้เป็นความจริงและเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง  พวกเจ้าสามารถแยกแยะสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของหลักธรรมเหล่านี้ได้  การให้นิยามความจริงในประโยคเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  หากเราให้นิยามความจริงในประโยคหนึ่ง และพวกเจ้าสามารถเข้าใจความจริงได้หลังจากได้ยินคำนิยามนี้ เช่นนั้นแล้วนั่นคงจะดี  แต่หากเจ้าถือว่าคำนิยามนั้นเป็นข้อบังคับและคำสอนที่ต้องปฏิบัติตาม เช่นนั้นแล้วนั่นคงจะเป็นความเดือดร้อน—นั่นคือการไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ดังนั้นเราได้ให้หลักธรรมเหล่านี้แก่พวกเจ้าแล้ว และพวกเจ้าควรไปเปรียบเทียบ มีประสบการณ์ ปฏิบัติ และได้รับความรู้จากประสบการณ์ตามหลักธรรมเหล่านี้  จงอย่าเพียงแต่กระทำการและประพฤติปฏิบัติตนตามหลักธรรมเหล่านี้ เจ้าควรมีทัศนะต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และประเมินวัดผู้คนตามหลักธรรมเหล่านี้ด้วย  โดยการมีประสบการณ์และการปฏิบัติในหนทางนี้ เจ้าจะรู้ว่าความจริงคืออะไร  หากผู้คนไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร และหากพวกเขาไม่รู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถได้รับชีวิตหรือไม่?  พวกเขาสามารถได้รับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตได้หรือไม่?  แม้ว่าจากภายนอกข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงเสนอแนะสำหรับผู้คนในพระวจนะของพระองค์นั้นไม่ได้เป็นมาตรฐานที่สูงนัก และข้อพึงประสงค์เหล่านั้นก็ค่อนข้างเรียบง่าย หากเจ้าไม่เข้าใจว่าความหมายโดยนัยของความจริงคืออะไร หรือความจริงนั้นรวมถึงเนื้อหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากน้อยเพียงใด และเจ้าเพียงแต่เข้าใจความจริงในแง่ของคำพูดและคำสอน เจ้าย่อมจะไม่มีวันสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนเข้าสู่ได้

26 พฤษภาคม ค.ศ. 2017

เชิงอรรถ:

ก. เจียงหูเป็นคำศัพท์ภาษาจีนที่หมายถึงโลกในจินตนาการของนักศิลปะการต่อสู้และอาชญากรในสมัยโบราณของประเทศจีน

ก่อนหน้า: มีเพียงการรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหกประเภทเท่านั้นที่เป็นการรู้จักตนเองอย่างแท้จริง

ถัดไป: สิ่งใดกันแน่ที่ผู้คนพึ่งพาในการดำรงชีวิต?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger