สิ่งใดกันแน่ที่ผู้คนพึ่งพาในการดำรงชีวิต?
วันนี้พวกเจ้าต้องการฟังความจริงแง่มุมใดมากที่สุด? เราจะยกมาสักสองสามหัวข้อให้พวกเจ้าเลือก และพวกเราจะได้สามัคคีธรรมในเรื่องพวกเจ้าต้องการ นี่คือคำถามข้อแรก เจ้ารู้จักตัวเองได้อย่างไร? อะไรคือหนทางในการรู้จักตัวเอง? เหตุใดเจ้าจึงควรรู้จักตัวเอง คำถามข้อที่สองคือ ผู้คนดำเนินชีวิตตามสิ่งใดตลอดหลายปีของการเชื่อในพระเจ้า? ที่ผ่านมาเจ้าดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง หรือเจ้าดำเนินชีวิตตามอุปนิสัยและปรัชญาเยี่ยงซาตาน? พฤติกรรมใดแสดงให้เห็นว่าเจ้าดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง? หากเจ้าดำเนินชีวิตตามอุปนิสัยและปรัชญาเยี่ยงซาตาน ความเสื่อมทรามของเจ้าจะสำแดงและเผยตัวออกมาอย่างไร? คำถามข้อที่สามคือ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามคืออะไร? ก่อนหน้านี้พวกเราได้หารือถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหกแง่มุม ดังนั้นเราจะพูดถึงเรื่องที่ว่าสภาวะใดคือการสำแดงอันเฉพาะเจาะจงของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ คราวนี้เป็นตัวเลือกของพวกเจ้าแล้ว คำถามใดที่พวกเจ้าเข้าใจน้อยที่สุด แต่ต้องการเข้าใจมากที่สุด และพบว่าเป็นสิ่งที่จับความเข้าใจได้ยากที่สุด? (พวกเราเลือกคำถามที่สอง) เช่นนั้นพวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหัวข้อนี้ จงไตร่ตรองสักครู่หนึ่งเถิด ผู้คนดำเนินชีวิตตามสิ่งใดตลอดหลายปีของการเชื่อในพระเจ้า และหัวข้อนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งใด? ประเด็นหลักของประโยคนี้อยู่ที่คำว่า “สิ่งใด” ขอบเขตของคำว่า “สิ่งใด” นี้หมายรวมถึงอะไร? พวกเจ้าสามารถเข้าใจอะไรจากคำนี้ได้บ้าง? สิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าคิดสำคัญยิ่งยวดที่สุด เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติในยามที่เชื่อในพระเจ้า และเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงมีภายใต้ขอบเขตของคำว่า “สิ่งใด” นี้ ไม่ว่าสิ่งใดที่พวกเจ้ามีปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าสิ่งใดที่พวกเจ้าจับความเข้าใจได้ด้วยขีดความสามารถและความสามารถในการทำความเข้าใจของเจ้า ซึ่งพวกเจ้าคิดว่าเป็นบวก ใกล้เคียงและสอดคล้องกับความจริง คือความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า เป็นสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าใช้ในการดำเนินชีวิตขณะติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ามาตลอดหลายปีนี้ พวกเราก็สามารถหยิบยกขึ้นมาและสามัคคีธรรมได้ พวกเจ้านึกถึงสิ่งใดได้บ้าง? (ข้าพระองค์คิดว่าในการเชื่อในพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เพียงต้องทนทุกข์ ยอมลำบาก และเกิดผลลัพธ์ในหน้าที่เพื่อให้ได้รับความรอดของพระเจ้า) ทัศนะนี้คือสิ่งที่เจ้ามองว่าเป็นบวก เช่นนั้นแล้วทัศนะนี้แตกต่างจากทัศนะของเปาโลอย่างไร? แก่นแท้นี้เหมือนกันมิใช่หรือ? (ใช่) แก่นแท้ที่ว่านี้เหมือนกัน แก่นแท้ของทัศนะนี้เป็นแค่ความคิดฝันมิใช่หรือ? (ใช่) ตลอดหลายปีมานี้เจ้าดำเนินชีวิตตามความคิดฝันนี้และสิ่งที่เจ้าคิดว่าถูกต้อง เจ้ายังพึ่งพาสิ่งนี้เพื่อเชื่อในพระเจ้า ปฏิบัติหน้าที่ของตน และใช้ชีวิตคริสตจักรด้วย นี่เป็นสถานการณ์หนึ่ง ประการแรก เจ้าจำเป็นที่จะต้องยืนยันว่าความคิดและทัศนะของเจ้าถูกต้องหรือไม่และมีรากฐานอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ หากเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านั้นถูกต้อง มีรากฐาน และสิ่งที่เจ้ากำลังทำคือการปฏิบัติความจริง แต่อันที่จริงเจ้าเข้าใจผิด นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราจะหารือกันในสามัคคีธรรมของพวกเราวันนี้
วิธีที่เรียบง่ายที่สุดในการสามัคคีธรรมถึงแง่มุมที่ว่าที่ผ่านมาผู้คนดำเนินชีวิตด้วยสิ่งใดกันแน่เริ่มต้นด้วยหัวข้อที่ทุกคนสามารถเข้าใจ นั่นคือกรณีของเปาโล แล้วจึงเชื่อมโยงเข้ากับสภาวะของพวกเจ้าเอง เหตุใดจึงพูดถึงเปาโลน่ะหรือ? ผู้คนส่วนมากรู้จักเรื่องราวของเปาโล เรื่องราวหรือหัวข้อใดเกี่ยวกับเปาโลที่มีอยู่ในพระคัมภีร์? ตัวอย่างเช่น คำกล่าวอันโด่งดังของเปาโลคืออะไร หรือบุคลิก ลักษณะนิสัย และความสามารถพิเศษของเขาเป็นเช่นไร? บอกเราทีเถิด (เปาโลศึกษาเล่าเรียนจากกามาลิเอลผู้เป็นอาจารย์สอนธรรมบัญญัติ ซึ่งเป็นตราที่ดีสำหรับเขา เทียบได้กับการจบจากมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ) ในแง่สมัยใหม่ เปาโลเป็นนักศึกษาเทววิทยาผู้จบการศึกษาจากวิทยาลัยด้านเทววิทยาอันทรงเกียรติ นี่คือหัวข้อแรกที่ค่อนข้างเป็นตัวแทนของเปาโลในเรื่องภูมิหลัง ระดับการศึกษา และสถานะทางสังคมของเขา ส่วนหัวข้อที่สองก็คือ คำกล่าวที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของเปาโลคืออะไร? (“ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8)) นี่คือแรงจูงใจในการทำตัววิ่งวุ่นของเขา ในแง่ของสมัยใหม่ เปาโลทนทุกข์และยอมลำบาก ทำงาน และประกาศข่าวประเสริฐ ทว่าแรงจูงใจของเขาคือเพื่อให้ได้รับมงกุฏ นี่คือหัวข้อที่สอง เจ้าพูดต่อได้ (เปาโลกล่าวว่า “เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่คือพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร” (ฟีลิปปี 1:21)) นี่เป็นหนึ่งในคำกล่าวอมตะของเปาโลเช่นกัน นี่คือหัวข้อที่สาม พวกเราเพิ่งกล่าวถึงทั้งสามหัวข้อไป หัวข้อแรกคือเปาโลเป็นนักเรียนของกามาลิเอลอาจารย์ผู้สอนธรรมบัญญัติ ซึ่งเทียบได้กับการเรียนจบโรงเรียนสอนศาสนาในยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าเขามีความรู้เรื่องพระคัมภีร์มากกว่าคนทั่วไป เปาโลมีความรู้เรื่องพันธสัญญาเดิมจากการเรียนจบจากโรงเรียนเช่นนั้น นั่นคือภูมิหลังด้านการศึกษาที่เปาโลมี สิ่งนั้นส่งผลต่อการประกาศและการจัดหาต่อคริสตจักรทั้งหลายของเขาในอนาคตอย่างไร? ภูมิหลังที่ว่านั้นอาจมีประโยชน์อยู่บ้าง—แต่มันก่อให้เกิดความเสียหายใดบ้างหรือไม่? (ใช่ สิ่งนี้ก่อให้เกิดความเสียหาย) การศึกษาด้านเทววิทยาสอดคล้องกับความจริงหรือไม่? (ไม่ ไม่สอดคล้อง) การศึกษาด้านเทววิทยาล้วนเป็นสิ่งตบตา เป็นทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งเพ สิ่งนี้ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง หัวข้อที่สองคืออะไร? (เปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า”) เปาโลดำเนินชีวิตตามคำพูดเหล่านี้ เขาไล่ตามเสาะหาตามคำพูดเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว พวกเราอาจกล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเจตนาและจุดมุ่งหมายของเปาโลในการทนทุกข์ ในการยอมลำบากของเขาใช่หรือไม่? (ใช่) พูดง่ายๆ ก็คือ เจตนาของเขาคือเพื่อให้ได้รับการปูนบำเหน็จ ซึ่งหมายความว่าเขาวิ่งแข่ง ยอมลำบาก และต่อสู้อย่างเต็มกำลังเพื่อแลกเปลี่ยนกับมงกุฏแห่งความชอบธรรม สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการไล่ตามไขว่คว้าตลอดหลายปีของเปาโลนั้นเป็นไปเพื่อให้ได้รับการปูนบำเหน็จและได้รับมงกุฏแห่งความชอบธรรม หากนี่ไม่ใช่เจตนาและจุดมุ่งหมายของเขา เขาจะสามารถก้าวผ่านความทุกข์และยอมลำบากเช่นนั้นได้หรือ? เขาจะสามารถทำงานและยอมลำบากอย่างที่เขาทำตามคุณสมบัติด้านระดับศีลธรรม ความทะเยอทะยาน และความมุ่งมาดปรารถนาของเขาเองได้หรือ (ไม่ได้) สมมุติองค์พระเยซูเจ้าตรัสบอกเขาไว้ล่วงหน้าว่า “เมื่อเราทำงานบนแผ่นดินโลก เจ้าย่อมข่มเหงเรา ผู้คนเช่นเจ้าย่อมถูกลงโทษและถูกสาปแช่ง ไม่ว่าเจ้าทำเช่นไร เจ้าก็ไม่สามารถชดเชยความผิดพลาดนั้นได้ ไม่ว่าเจ้ากลับใจอย่างไร เราก็จะไม่ช่วยเจ้าให้รอด” เปาโลจะมีท่าทีเช่นไร? (เขาคงจะละทิ้งพระเจ้าและเลิกเชื่อ) ไม่เพียงแต่เขาจะเลิกเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น เขาคงจะปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระคริสต์ และปฏิเสธการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าบนสวรรค์ แล้วเปาโลดำเนินชีวิตตามสิ่งใดเล่า? เขาไม่ได้รักพระเจ้าด้วยใจจริง และเขาก็ไม่ใช่คนที่นบนอบพระองค์ แล้วเหตุใดเขาจึงสามารถตรากตรำผ่านความทุกข์ลำบากมากมายในการประกาศข่าวประเสริฐได้? สิ่งนี้พอจะกล่าวได้ว่า แรงสนับสนุนหลักของเขาคือความอยากที่มีต่อพระพร นั่นเป็นสิ่งที่มอบเรี่ยวแรงให้แก่เขา นอกจากนี้ ย้อนไปตอนที่เปาโลเห็นความสว่างอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าบนถนนสู่ดามัสกัส เขาก็ตาบอดไป เขาล้มลงหมอบราบลงกับพื้น พลางสั่นเทิ้มไปทั้งตัว เขาสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและความน่าเกรงขามของพระองค์ และกลัวพระเจ้าจะทรงเฆี่ยนตีเขา เขาจึงไม่กล้าปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้า เขาจำต้องประกาศข่าวประเสริฐต่อไปไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน เขาไม่กล้าเสี่ยงที่จะเกียจคร้าน นั่นเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามส่วนที่หนักหนาที่สุดของเรื่องนี้คือความอยากได้รับพรอันมากเกินไปของเขา หากไร้ซึ่งความอยากได้รับพร ไร้ซึ่งเศษเสี้ยวแห่งความหวังนั้น เขาจะทำอย่างที่ทำลงไปหรือไม่? ไม่ทำอย่างแน่นอน หัวข้อที่สามคือเปาโลเป็นพยานยืนยันว่าสำหรับตัวเขา การมีชีวิตอยู่คือพระคริสต์ ก่อนอื่นพวกเรามาดูงานที่เปาโลทำกันเถิด เปาโลมีความรู้มากมายเกี่ยวกับศาสนา เขามีระดับภูมิหลังทางการศึกษาที่โด่งดังและค่อนข้างโดดเด่น เจ้าสามารถกล่าวได้ว่าเขามีความรู้มากกว่าคนทั่วไป แล้วเขาพึ่งพาสิ่งใดในการทำงานของเขาหรือ? (พรสวรรค์ ความสามารถพิเศษ และความรู้ทางพระคัมภีร์ของเขา) จากภายนอกเขาอาจดูเหมือนกำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันให้องค์พระเยซูเจ้า แต่เขาเป็นพยานยืนยันให้เพียงพระนามขององค์พระเยซูเจ้าเท่านั้น เขาไม่ได้เป็นพยานยืนยันอย่างแท้จริงว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าที่ทรงสำแดงและทรงพระราชกิจ ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าพระองค์เอง แล้วที่จริงเปาโลเป็นพยานยืนยันให้ใครกันเล่า? (เขาเป็นพยานยืนยันให้ตัวเอง เขากล่าวว่า “เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่คือพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร”) คำพูดของเขาสื่อถึงอะไร? สื่อว่าเปาโลคือพระคริสต์ คือองค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเจ้า ไม่ใช่องค์พระเยซูเจ้า เปาโลสามารถวิ่งวุ่นไปทั่วและประกาศในหนทางนี้ได้เพราะความตั้งใจและความทะเยอทะยานของเขา ความทะเยอทะยานของเขาคืออะไร? คือเพื่อทำให้ผู้คนทั้งปวงที่เขาประกาศหรือได้ยินเกี่ยวกับเขาเขานั้นคิดว่าเขามีชีวิตอยู่ในฐานะพระคริสต์และพระเจ้า นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง เขาดำเนินชีวิตตามความมุ่งมาดปรารถนาของเขา นอกจากนี้งานของเปาโลยังอ้างอิงจากความรู้ทางพระคัมภีร์ของเขา การประกาศและคำพูดทั้งหมดของเขาล้วนแสดงให้เห็นว่าเขามีความรู้ทางพระคัมภีร์ เขาไม่ได้พูดถึงพระราชกิจหรือการให้ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือความเป็นจริงความจริง ในจดหมายของเขาไม่มีหัวข้อเหล่านี้อยู่เลย และเขาก็ไม่มีประสบการณ์ทำนองนี้อย่างแน่นอน ในงานของเปาโลนั้นไม่มีส่วนใดที่เขาเป็นพยานยืนยันให้พระวจนะที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสเลย จงดูที่คำสอนขององค์พระเยซูเจ้าว่าผู้คนควรปฏิบัติการสารภาพและการกลับใจใหม่อย่างไร หรือดูพระวจนะมากมายจากคำสอนที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสแก่ผู้คนเป็นตัวอย่าง—เปาโลไม่เคยประกาศสิ่งเหล่านั้นเลย ไม่มีงานชิ้นใดของเปาโลที่เกี่ยวข้องกับพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า และทุกสิ่งที่เขาประกาศก็เป็นสิ่งที่มาจากการศึกษาและทฤษฎีด้านเทววิทยาที่เขาร่ำเรียนมาทั้งสิ้น สิ่งที่เป็นทฤษฎีและการศึกษาด้านเทววิทยานั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง? มโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ปรัชญา และการแทรกแซงของมนุษย์ รวมถึงประสบการณ์ บทเรียนทั้งหลายที่ได้รับมา และอื่นๆ นั่นเอง สรุปก็คือทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจากความคิดของมนุษย์ และสะท้อนความคิดกับทัศนะของมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดเป็นความจริงเลย นับประสาอะไรกับการตรงตามความจริง ทั้งหมดนั้นล้วนขัดกับความจริง
หลังจากฟังตัวอย่างของเปาโลไปแล้ว ก็จงนำเขามาเปรียบเทียบกับตัวเจ้าเอง สำหรับหัวข้อที่พวกเราพูดถึงในวันนี้ นั่นคือ “ผู้คนดำเนินชีวิตตามสิ่งใดตลอดหลายปีของการเชื่อในพระเจ้า” พวกเจ้านึกถึงสภาวะและพฤติกรรมของตัวเองบ้างหรือไม่? (เรื่องนี้ทำให้ข้าพระองค์นึกถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ข้าพระองค์เชื่อว่าหากข้าพระองค์ไม่มีครอบครัวเลย ไม่เคยทรยศพระบัญชาของพระเจ้า ไม่เคยพร่ำบ่นพระเจ้าเวลาเกิดบททดสอบใหญ่หลวงขึ้นกับตัวเอง สุดท้ายแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้ข้าพระองค์ตาย) นั่นเป็นการใช้ชีวิตตามความคิดเพ้อฝัน ซึ่งค่อนข้างใกล้เคียงกับหัวข้อของการสามัคคีธรรมวันนี้และแตะไปถึงสภาวะแท้จริง นี่คือทัศนะต่อการไล่ตามเสาะหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในชีวิตจริง มีเรื่องใดอีก? (ข้าพระองค์มีทัศนะที่ว่า ข้าพระองค์รู้สึกว่าตราบใดที่ติดตามพระเจ้าไปจนสุดทางของความเชื่อ ข้าพระองค์จะต้องได้รับพร อีกทั้งได้รับจุดจบและบั้นปลายที่เลอเลิศอย่างแน่นอน) ผู้คนมากมายมีทัศนะเช่นนั้นใช่หรือไม่? โดยพื้นฐานแล้วนี่คือทัศนะที่ทุกคนค่อนข้างที่จะเห็นด้วยได้ ใครมีทัศนะที่ต่างไปจากนี้หรือไม่? มาฟังกันเถิด เราจะชี้อะไรบางอย่างให้พวกเจ้าเห็น คนบางคนเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี และพวกเขาก็สรุปวิธีการบางอย่างในเรื่องของการปฏิบัติโดยอ้างอิงจากประสบการณ์ส่วนตัว ความคิดฝัน หรือประสบการณ์และตัวอย่างบางประเภทที่พวกเขาได้รับจากการอ่านหนังสือฝ่ายวิญญาณ อย่างเช่น ผู้เชื่อในพระเจ้าควรปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อให้กลายเป็นคนฝ่ายวิญญาณ พวกเขาควรปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อที่จะปฏิบัติความจริง และอื่นๆ พวกเขาคิดว่าสิ่งที่ตนทำคือการปฏิบัติความจริง และการทำสิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้พวกเขาสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อคนบางคนทนทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องนี้พึงอาศัยการแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าและความจริง นี่คือหนึ่งในสิ่งพื้นฐานที่สุดที่ผู้เชื่อในพระเจ้าควรรู้ แต่พวกเขาปฏิบัติอย่างไรหรือ? พวกเขากล่าวว่า “ความเจ็บป่วยนี้ได้รับการจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้า และฉันต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ ดังนั้นฉันจะไม่กินยา ฉีดยา หรือไปโรงพยาบาล คุณว่าความเชื่อของฉันเป็นอย่างไร? แข็งแกร่งใช่ไหมล่ะ?” บุคคลประเภทนี้มีความเชื่อหรือไม่? (มี) พวกเจ้าเห็นด้วยกับทัศนะนี้ และนี่ยังเป็นวิธีที่พวกเจ้าปฏิบัติอีกด้วย เจ้าคิดว่าหากเจ้าเจ็บป่วย การไม่ฉีดยา กินยา หรือไปหาหมอนั้นเทียบเท่ากับการปฏิบัติความจริงเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า แล้วพวกเจ้าใช้รากฐานใดมากล่าวว่านี่คือการปฏิบัติความจริง? การปฏิบัติเช่นนี้ถูกต้องงั้นหรือ? รากฐานคืออะไร? เจ้าเคยเห็นว่าสิ่งนี้ได้รับการยืนยันว่าเป็นจริงบ้างหรือไม่? พวกเจ้าไม่แน่ใจ ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งนี้สอดคล้องกับความจริงหรือไม่ เหตุใดจึงยืนกรานที่จะปฏิบัติเช่นนี้เล่า? หากเจ้าเจ็บป่วย เจ้าเพียงแต่เพียรอธิษฐานถึงพระเจ้า ไม่ฉีดยา ไม่กินยา ไม่ไปหาหมอ และเจ้าเพียงแต่พึ่งพาและอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในใจ ขอให้พระเจ้าทรงกำจัดความเจ็บป่วยนี้หรือทรงกรุณาเจ้า—การปฏิบัติเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) พวกเจ้าเพียงคิดว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้องเอาตอนนี้ หรือพวกเจ้าตระหนักว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้องอยู่ก่อนแล้ว? (เมื่อก่อนเวลาข้าพระองค์เจ็บป่วย ข้าพระองค์รู้สึกว่าการไปหาหมอหรือการกินยานั้นเป็นวิธีการภายนอก และเป็นการแสดงออกถึงการไร้ความเชื่อ ข้าพระองค์จึงพึ่งพาการอธิษฐานหรือวิธีการอื่นๆ ในการจัดการเรื่องนี้) นี่บอกเป็นนัยว่าหากพระเจ้าประทานโรคภัยไข้เจ็บแก่เจ้าและเจ้าได้รับการรักษาจนหาย เช่นนั้นเจ้าก็กำลังทรยศพระเจ้าและไม่นบนอบการจัดการเตรียมการที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้างั้นหรือ? (นั่นคือมุมมองของข้าพระองค์) แล้วเจ้าคิดว่าทัศนะนี้ถูกหรือผิด? หรือเจ้ายังคงสับสนและไม่รู้ว่าทัศนะนี้ถูกหรือผิด และคิดว่าอย่างไรก็ตาม นั่นเป็นวิธีที่เจ้าปฏิบัติตนมาตลอด และไม่มีใครเคยบอกว่าเป็นสิ่งที่ผิด อีกทั้งเจ้าไม่รู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าจึงยังปฏิบัติเช่นนั้นอยู่ร่ำไป? (ข้าพระองค์ปฏิบัติตนเช่นนี้เสมอ และข้าพระองค์ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ) เช่นนั้นพวกเจ้าจึงรู้สึกค่อนข้างสับสนเกี่ยวกับการทำเช่นนี้ใช่หรือไม่? ขอให้วางเรื่องที่พวกเจ้าถูกหรือผิดเอาไว้ก่อน แต่อย่างน้อยพวกเราก็แน่ใจได้เรื่องหนึ่ง นั่นคือการปฏิบัติเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับความจริง เพราะหากสิ่งนี้สอดคล้องกับความจริง อย่างน้อยเจ้าจะรู้ว่าเจ้ากำลังติดตามหลักธรรมความจริงข้อใด และการปฏิบัติดังกล่าวตกร่วงอยู่ภายใต้หลักธรรมข้อใด แต่ขณะนี้เมื่อพวกเรามองเรื่องนี้ พวกเราก็เห็นว่าผู้คนปฏิบัติตนเช่นนี้จากความคิดฝันของพวกเขาเอง นี่คือการบีบคั้นที่ผู้คนนำมาใส่ตัวเอง นอกจากนี้ ผู้คนยังตั้งสิ่งนี้เป็นมาตรฐานสำหรับพวกเขาโดยอ้างอิงจากความคิดฝันของพวกเขาเอง คิดว่าในยามเจ็บป่วยพวกเขาควรทำเช่นนี้ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าต้องประสงค์สิ่งใดหรือทรงหมายความว่าอย่างไรกันแน่ พวกเขาเพียงปฏิบัติตนไปตามวิธีการที่พวกเขาคิดฝันและกำหนดขึ้นเองโดยไม่รู้ว่าผลลัพธ์จากการปฏิบัติตนเช่นนี้จะเป็นอย่างไร ผู้คนดำเนินชีวิตตามสิ่งใดเมื่อพวกเขาอยู่ในสภาวะนี้? (ตามความคิดฝันของพวกเขาเอง) ในความคิดฝันเหล่านี้มีมโนคติอันหลงผิดอยู่หรือไม่? มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาเป็นเช่นไร? (พวกเขาหลงผิดว่าตนจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าด้วยการปฏิบัติเช่นนี้) นี่คือมโนคติอันหลงผิด นี่เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องต่อเรื่องนี้ใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) ในส่วนนี้มีคำนิยามและผลลัพธ์อยู่ นั่นคือ เมื่อเจ้าดำเนินชีวิตตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเช่นนั้น เจ้าก็ไม่ได้กำลังปฏิบัติความจริง
มาถึงจุดนี้ พวกเจ้าจะได้ใคร่ครวญถึงหัวข้อที่ว่า “สิ่งใดกันแน่ที่ผู้คนพึ่งพาในการดำรงชีวิต” อยู่พอสมควร และเจ้าย่อมรู้ไม่มากก็น้อยว่าสิ่งที่จะสามัคคีธรรมในหัวข้อนี้คืออะไร ดังนั้นเรามาพูดถึงสภาวะสองถึงสามประเภทกันเถิด จงตั้งใจฟังและไตร่ตรองตามไปด้วย จุดมุ่งหมายของการไตร่ตรองนี้คืออะไร? เพื่อเปรียบเทียบสภาวะที่เรากล่าวถึงกับสภาวะของตัวเจ้าเอง เพื่อจับความเข้าใจสภาวะเหล่านั้น และเพื่อให้รู้ว่าเจ้ามีสภาวะและปัญหาเหล่านั้นอยู่ แล้วจึงแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น เพียรพยายามที่จะดำเนินชีวิตตามความจริงแทนการดำเนินชีวิตตามสิ่งนานาสารพันที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริงโดยสิ้นเชิง หัวข้อที่ว่า “สิ่งใดกันแน่ที่ผู้คนพึ่งพาในการดำรงชีวิต” แตะไปถึงสิ่งต่างๆ มากมาย เพราะฉะนั้นพวกเรามาเริ่มต้นที่พรสวรรค์กันเถิด คนบางคนสามารถพูดได้อย่างฉะฉานและชัดเจน พวกเขาพูดและปฏิสัมพันธ์กับผู้คนด้วยคำพูดคล่องแคล่ว คารมที่คมคาย ทั้งยังเป็นพวกที่หัวไวเป็นพิเศษ ในทุกๆ สถานการณ์ พวกเขารู้ดีว่าต้องพูดอะไร ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ยังปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยคารมคมคายและมีไหวพริบ คำหวานจอมปลอมของพวกเขาเปลี่ยนปัญหาทั่วไปให้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ปัญหา พวกเขาดูเหมือนสามารถแก้ปัญหาได้มากมาย ด้วยความคิดที่ชาญฉลาด รวมกับประสบการณ์ในสังคมและความเข้าใจเชิงลึกของพวกเขา พวกเขาจึงเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้นกับตน สิ่งเหล่านั้นล้วนใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำจากพวกเขาในการแก้ปัญหา คนอื่นๆ ต่างเลื่อมใสพวกเขา คิดว่า “พวกเขาสามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้ง่ายดายเหลือเกิน ทำไมฉันถึงทำไม่ได้?” พวกเขายังรู้สึกพอใจในตัวเองมากพลางคิดว่า “ดูสิ พระเจ้าประทานคำพูดที่คล่องแคล่วและคมคาย ความคิดที่ปราดเปรื่อง ความเข้าใจเชิงลึก และความสามารถในการตอบสนองอย่างรวดเร็วให้กับฉัน ดังนั้นไม่มีอะไรที่ฉันรับมือไม่ได้!” และปัญหาก็เกิดขึ้นจากจุดนี้เอง คนบางคนที่มีคารมคมคายและมีไหวพริบอาจใช้ความสามารถพิเศษและความสามารถของพวกเขาในการปฏิบัติหน้าที่บางอย่าง และในระหว่างปฏิบัติหน้าที่นั้น พวกเขาแก้ไขปัญหาบางอย่างหรือทำสองสามสิ่งให้พระนิเวศของพระเจ้า แต่หากเจ้าตรวจสอบทุกสิ่งที่พวกเขาทำโดยละเอียด เจ้าจะเหลือเพียงเครื่องหมายคำถามว่าทุกสิ่งที่พวกเขาทำสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ สิ่งที่พวกเขาทำสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่ และเป็นสิ่งที่สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่ ผู้คนเช่นนั้นมักจะไม่เข้าใจความจริงหรือวิธีปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับความจริง ทว่าพวกเขาก็ยังปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง แต่ไม่ว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีเพียงใด พวกเขาพึ่งพาสิ่งใดหรือ? จุดกำเนิดของการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาคืออะไร? ความคิด ความเข้าใจเชิงลึก และคารมที่คมคายของพวกเขานั่นเอง ในหมู่พวกเจ้ามีคนเช่นนี้อยู่หรือไม่? (มี) บุคคลที่ดำเนินชีวิตตามความคิด สติปัญญาระดับสูง หรือคำพูดที่คล่องแคล่วของพวกเขารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาทำสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่? (ไม่รู้) พวกเจ้ามีหลักธรรมในยามที่ปฏิบัติตนหรือไม่? หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือในยามที่พวกเจ้าปฏิบัติตน พวกเจ้าปฏิบัติตนเช่นนั้นตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน ตามไหวพริบของตัวเจ้า ตามความฉลาดและปัญญาของตัวเจ้า—หรือเจ้าทำเช่นนั้นตามพระวจนะของพระเจ้าและตามหลักธรรมความจริง? หากพวกเจ้าปฏิบัติตนตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน ตามความชอบส่วนตนและแนวคิดของตัวเจ้าเองอยู่เสมอ เช่นนั้นในการกระทำของเจ้าย่อมไม่มีหลักธรรมใดเลย แต่หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงและปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า ตามหลักธรรมความจริงได้—นั่นย่อมเป็นการปฏิบัติตนตามหลักธรรม จากวิธีพูดและประพฤติตนของพวกเจ้าในตอนนี้ มีสิ่งใดที่ขัดต่อความจริงบ้างหรือไม่? พวกเจ้าขัดต่อหลักธรรมหรือไม่? ในยามที่พวกเจ้าเป็นเช่นนั้น พวกเจ้ารู้หรือไม่? (รู้บางครั้ง) เจ้าทำอย่างไรในเวลาเหล่านั้น? (พวกเราอธิษฐานถึงพระเจ้า ตั้งใจแน่วแน่ที่จะกลับใจ และสาบานกับพระเจ้าว่าพวกเราจะไม่ปฏิบัติตนเช่นนั้นอีก) แล้วครั้งถัดไปที่มีสิ่งที่คล้ายกันเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็ปฏิบัติตนเช่นนั้นอีก และตั้งใจแน่วแน่อีกใช่หรือไม่? (ใช่) เมื่อไรก็ตามที่มีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็ถอยกลับไปตั้งมั่นในเจตจำนงของตนเสมอ—ครั้นเจตจำนงของเจ้าตั้งมั่น แล้วเจ้านำความจริงไปปฏิบัติจริงๆ หรือไม่? เจ้าปฏิบัติตนตามหลักธรรมจริงๆ หรือไม่? พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนหรือไม่? ผู้คนมากมายไม่แสวงหาความจริงในยามที่มีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา ทว่าใช้ชีวิตด้วยอุบายต่ำช้าของพวกเขา ด้วยพรสวรรค์ของพวกเขา การมีสมองที่ดีและเป็นนักพูดที่ไหลลื่นเป็นพรสวรรค์ประเภทเดียวหรือ? การใช้ชีวิตด้วยพรสวรรค์สำแดงให้เห็นอย่างไรอีก? ตัวอย่างเช่น คนบางคนชอบร้องเพลงอย่างมาก และพวกเขาก็สามารถร้องได้ทั้งเพลงหลังจากฟังเพลงนั้นสองถึงสามครั้ง ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงมีหน้าที่ในด้านนี้ และพวกเขาก็คิดว่าหน้าที่นี้คือสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ ความรู้สึกนี้ถูกต้องและเที่ยงตรง ตลอดหลายปีพวกเขาได้เรียนรู้บทเพลงสรรเสริญมากมาย และยิ่งร้อง พวกเขาก็ร้องได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามพวกเขามีปัญหาที่ไม่ได้ตระหนักถึงอยู่หนึ่งเรื่อง ปัญหาอะไรหรือ? การร้องเพลงของพวกเขาดีขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็ถือว่าพรสวรรค์นี้คือชีวิตของพวกเขา สิ่งนี้ไม่ผิดหรอกหรือ? พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยพรสวรรค์ของตัวเองทุกวัน และเนื่องจากพวกเขาขับร้องบทเพลงสรรเสริญทุกวัน พวกเขาจึงเชื่อว่าตัวเองได้รับชีวิตแล้ว แต่นี่เป็นเพียงมายามิใช่หรือ? ต่อให้เจ้ารู้สึกได้รับการดลใจจากการร้องเพลงนั้น อีกทั้งผู้อื่นเพลิดเพลินและได้รับประโยชน์จากการนี้ ทว่าสิ่งนี้สามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าเจ้าได้รับชีวิตแล้ว? นี่เป็นเรื่องที่พูดยาก เรื่องนี้ขึ้นอยู่ที่ว่าเจ้าเข้าใจความจริงมากแค่ไหน เจ้าสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่ เจ้ามีหลักธรรมในการปฏิบัติตนและหน้าที่ของเจ้าหรือไม่ อีกทั้งเจ้ามีคำพยานจากประสบการณ์จริงหรือไม่ เจ้าสามารถตัดสินว่าผู้คนมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่จากแง่มุมเหล่านี้เท่านั้น หากพวกเขามีความเป็นจริงความจริง พวกเขาก็คือคนที่มีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว รวมถึงคนที่สามารถรักและนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง หากบุคคลหนึ่งมีพรสวรรค์และความสามารถพิเศษ อีกทั้งเกิดผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ แต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและใช้ชีวิตด้วยพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว โอ้อวดคุณสมบัติของตน และไม่เคยเชื่อฟังผู้ใดเลย บุคคลเช่นนั้นจะสามารถมีชีวิตได้หรือ? กุญแจสำคัญที่ว่าใครบางคนมีชีวิตหรือไม่นั้น คือพวกเขามีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ บุคคลที่มีความสามารถพิเศษและพรสวรรค์จะได้รับความจริงได้อย่างไร? พวกเขาจะใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งพาพรสวรรค์ได้อย่างไร? พวกเขาจะสามารถหนีจากการใช้ชีวิตในหนทางนี้ได้อย่างไร? พวกเขาควรแสวงหาความจริง ประการแรก พวกเขาควรรู้ถึงความแตกต่างโดยชัดเจนว่าพรสวรรค์คืออะไรและชีวิตคืออะไร เวลาที่ใครบางคนมีพรสวรรค์หรือมีความสามารถพิเศษ นั่นหมายความว่าพวกเขาเก่งหรือเชี่ยวชาญบางอย่างมากกว่ามาตั้งแต่เกิดเมื่อเทียบกับผู้อื่น ตัวอย่างเช่น เจ้าอาจจะตอบโต้ได้เร็วกว่าผู้อื่นเล็กน้อย เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้เร็วกว่าผู้อื่นเล็กน้อย มีความเชี่ยวชาญในทักษะทางวิชาชีพบางอย่าง หรือเจ้าอาจจะเป็นนักพูดที่มีวาทศิลป์ และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้เป็นพรสวรรค์และความสามารถพิเศษที่บุคคลหนึ่งอาจมีได้ หากเจ้ามีพรสวรรค์หรือจุดแข็งบางอย่าง วิธีที่เจ้าเข้าใจและจัดการสิ่งเหล่าย่อมสำคัญมาก หากเจ้าคิดว่าเจ้าคือคนที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้เพราะไม่มีผู้ใดมีความสามารถพิเศษและพรสวรรค์อย่างเจ้า และคิดว่าหากเจ้าใช้พรสวรรค์และความสามารถพิเศษในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็กำลังปฏิบัติความจริง ทัศนะนี้ถูกหรือผิด? (ผิด) เหตุใดเจ้าจึงบอกว่าผิดเล่า? พรสวรรค์และความสามารถพิเศษคืออะไรกันแน่? เจ้าควรเข้าใจ ใช้ และจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร? ข้อเท็จจริงคือไม่ว่าเจ้ามีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษเช่นไร ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้ามีความจริงและชีวิต หากผู้คนมีพรสวรรค์และความสามารถพิเศษบางอย่าง การที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่โดยนำพรสวรรค์และความสามารถพิเศษเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ย่อมเป็นเรื่องที่เหมาะสม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริง และไม่ได้หมายความว่าพวกเขากำลังทำสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับหลักธรรม ตัวอย่างเช่น หากเจ้าเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง ความสามารถในการร้องเพลงของเจ้าเป็นตัวแทนของการปฏิบัติความจริงใช่หรือไม่? นั่นหมายความว่าเจ้าร้องเพลงอย่างสอดคล้องกับหลักธรรมใช่หรือไม่? ไม่ใช่เลย ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้ามีความสามารถพิเศษด้านคำพูดมาตั้งแต่เกิดและถนัดด้านการเขียน หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง งานเขียนของเจ้าจะสามารถสอดคล้องกับความจริงได้หรือ? สิ่งนี้จำเป็นต้องหมายความว่าเจ้ามีคำพยานจากประสบการณ์หรือไม่? (ไม่ ไม่จำเป็น) ด้วยเหตุนี้พรสวรรค์และความสามารถพิเศษจึงต่างจากความจริงและไม่อาจเทียบกันได้ ไม่ว่าเจ้ามีพรสวรรค์อย่างไร หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าจะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดี คนบางคนมักจะโอ้อวดพรสวรรค์ของตัวเองและรู้สึกว่าพวกเขาเก่งกว่าผู้อื่นอยู่เป็นปกติ พวกเขาจึงดูถูกคนอื่นและไม่เต็มใจที่จะให้ความร่วมมือกับผู้อื่นเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาต้องการเป็นผู้สั่งการยู่เสมอ และผลก็คือพวกเขาละเมิดหลักธรรมอยู่บ่อยครั้งเวลาปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาก็ต่ำมาก พรสวรรค์ทำให้พวกเขาโอหังและคิดว่าตนเองถูกเสมอ ทำให้พวกเขาดูถูกผู้อื่น และทำให้พวกเขารู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นและไม่มีใครเก่งเท่าพวกเขา และสิ่งนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นคนใจแคบ ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ถูกพรสวรรค์ของตนเองทำให้พินาศแล้วหรอกหรือ? อันที่จริงก็ใช่ ผู้คนที่มีพรสวรรค์และมีความสามารถพิเศษมีแนวโน้มที่จะทำตัวโอหังและคิดว่าตนเองถูกมากที่สุด หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและดำเนินชีวิตด้วยพรสวรรค์ของตนอยู่เสมอ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ไม่ว่าบุคคลหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ใดในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขามีความสามารถพิเศษประเภทใด หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่อาจลุล่วงหน้าที่ของตัวเองได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าบุคคลหนึ่งมีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษอะไร พวกเขาก็ควรปฏิบัติหน้าที่ประเภทนั้นให้ดี หากพวกเขาสามารถเข้าใจความจริงและทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมได้ด้วย เช่นนั้นแล้ว พรสวรรค์และความสามารถพิเศษของพวกเขาย่อมจะมีบทบาทในการปฏิบัติหน้าที่นั้น พวกที่ไม่ยอมรับความจริงและไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง ทั้งยังพึ่งพาแต่พรสวรรค์ของตนในการทำสิ่งทั้งหลายย่อมจะไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดจากการปฏิบัติหน้าที่ และเสี่ยงที่จะถูกกำจัดออกไป นี่คือตัวอย่าง คนบางคนมีความสามารถพิเศษด้านการเขียนแต่ไม่เข้าใจความจริง และในงานเขียนของเขาก็ไม่มีความเป็นจริงความจริงอยู่เลย งานชิ้นนั้นจะสอนใจผู้อื่นได้อย่างไร? สิ่งนั้นย่อมเกิดผลน้อยกว่าการที่คนไร้การศึกษาแต่เข้าใจความจริงพูดถึงคำพยานของพวกเขาเสียอีก ผู้คนมากมายดำเนินชีวิตท่ามกลางพรสวรรค์และคิดว่าพวกเขาคือคนที่มีประโยชน์ในพระนิเวศของพระเจ้า แต่บอกเราทีว่า หากพวกเขาไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงตามที่ตั้งใจสักที พวกเขาจะยังมีคุณค่าอยู่หรือไม่? หากใครบางคนมีพรสวรรค์และความสามารถพิเศษแต่ขาดหลักธรรมความจริง พวกเขาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่? ผู้ใดก็ตามที่มองเห็นประเด็นนี้อย่างทะลุปรุโปร่งและเข้าใจเรื่องนี้ย่อมรู้ว่าจะปฏิบัติต่อพรสวรรค์และความสามารถพิเศษอย่างไร หากสภาวะของเจ้าคืออยู่ในจุดที่เจ้าโอ้อวดพรสวรรค์ของตนเสมอและคิดว่าเจ้ามีความเป็นจริงความจริง คิดว่าเจ้าเก่งกว่าผู้อื่นในขณะที่เจ้าแอบดูถูกพวกเขา เจ้าควรทำอย่างไร? เจ้าจำเป็นต้องแสวงหาความจริง เจ้าต้องมองทะลุไปถึงแก่นแท้ของการโอ้อวดเรื่องพรสวรรค์ การโอ้อวดเรื่องพรสวรรค์คือจุดสูงสุดของความโง่เขลาและไม่รู้ความมิใช่หรือ? หากใครบางคนเป็นคนที่พูดหว่านล้อมเก่ง นั่นหมายความว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริงหรือ? การมีพรสวรรค์หมายความว่าใครบางคนมีความจริงและชีวิตงั้นหรือ? คนที่โอ้อวดพรสวรรค์ของตนทั้งที่ไม่มีความเป็นจริงอยู่เลยคือคนที่ไร้ยางอายมิใช่หรือ? หากพวกเขามองสิ่งเหล่านี้ออก พวกเขาย่อมจะไม่โอ้อวด คำถามอีกข้อหนึ่งก็คือ ความท้าทายอันใหญ่หลวงซึ่งผู้คนที่ค่อนข้างมีพรสวรรค์และความสามารถพิเศษเผชิญคืออะไร? พวกเจ้ามีประสบการณ์หรือเคยสัมผัสกับเรื่องดังกล่าวหรือไม่? (ความท้าทายอันใหญ่หลวงของพวกเขาคือพวกเขามักคิดว่าตัวเองดีกว่าผู้อื่น คิดว่าตัวเองเก่งไปทุกเรื่อง พวกเขาโอหังและทะนงตนอย่างมาก พวกเขาดูถูกทุกคน การที่ผู้คนเช่นนั้นจะยอมรับและปฏิบัติความจริงไม่ใช่เรื่องง่าย) นั่นเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ มีอะไรอีก? (เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะปล่อยวางพรสวรรค์และความสามารถพิเศษของตัวเอง พวกเขาคิดอยู่เสมอว่าพวกเขาสามารถแก้ไขปัญหาได้มากมายด้วยการใช้พรสวรรค์และความสามารถพิเศษของตัวเอง พวกเขาไม่รู้ว่าจะมองดูสิ่งทั้งหลายตามความจริงอย่างไรเลยจริงๆ) (คนที่มีพรสวรรค์มักคิดว่าพวกเขาสามารถรับมือกับสิ่งทั้งหลายได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นเมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขาจึงยากที่พวกเขาจะพึ่งพาพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะแสวงหาความจริง) สิ่งที่พวกเจ้าพูดคือข้อเท็จจริง และไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจากข้อเท็จจริง คนที่มีพรสวรรค์และความสามารถพิเศษนั้นคิดว่าพวกเขาแสนปราดเปรื่อง คิดว่าพวกเขาเข้าใจทุกอย่าง—แต่พวกเขาไม่รู้ว่าพรสวรรค์และความสามารถพิเศษไม่ได้แสดงถึงความจริง สิ่งเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความจริงเลย เมื่อผู้คนพึ่งพาพรสวรรค์และความคิดฝันของพวกเขาในการปฏิบัติตน ความคิดและความคิดเห็นของพวกเขาก็มักจะขัดกับความจริง—แต่พวกเขามองไม่เห็นเรื่องนี้ และยังคงคิดว่า “ดูเอาเถอะว่าฉันปราดเปรื่องแค่ไหน ฉันเลือกได้ฉลาดเหลือเกิน! ช่างเป็นการตัดสินใจที่หลักแหลม! พวกคุณเทียบฉันไม่ติดสักคน” พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่หลงตัวเองและชื่นชมตัวเองตลอดกาล สำหรับพวกเขาแล้ว การสงบหัวใจและไตร่ตรองว่าพระเจ้าทรงร้องขอสิ่งใดจากพวกเขา ความจริงคืออะไร และหลักธรรมความจริงคืออะไรนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้นจึงยากที่พวกเขาจะเข้าใจความจริง และถึงแม้พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ ดังนั้นการที่พวกเขาจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงจึงเป็นเรื่องยากมากเช่นเดียวกัน สรุปคือ หากบุคคลหนึ่งไม่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขามีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษอย่างไร พวกเขาก็จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดีได้—นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย
พรสวรรค์และความสามารถพิเศษนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งประเภทเดียวกัน ความสามารถพิเศษมีอะไรบ้าง? คนบางคนเชี่ยวชาญเทคโนโลยีบางอย่างเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่น ผู้ชายบางคนชอบเล่นอุปกรณ์ต่างๆ และมีบางคนที่ค่อนข้างชำนาญด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คนที่เพลิดเพลินกับการใช้รหัสภายในระบบคอมพิวเตอร์หรือโปรแกรมซอฟต์แวร์อย่างมาก พวกเขาสามารถเกิดความชำนาญและจดจำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว—นั่นคือ พวกเขามีความสามารถที่ยอดเยี่ยมในการเข้าใจและจดจำสิ่งเหล่านี้ นี่คือความสามารถพิเศษ คนบางคนถนัดด้านการเรียนรู้ภาษา ไม่ว่าภาษาอะไรพวกเขาก็เรียนรู้ได้เร็วมาก และความจำของพวกเขาก็เหนือกว่าคนทั่วไป คนบางคนถนัดด้านการร้องเพลง การเต้น หรือศิลปะ บางคนถนัดด้านการแต่งหน้าและการแสดง บางคนสามารถเป็นผู้กำกับได้ เป็นต้น ไม่ว่าเป็นความสามารถพิเศษในด้านใด ตราบเท่าที่ใครบางคนมีส่วนร่วมในงานชนิดหนึ่ง สิ่งนี้ย่อมแตะไปยังหัวข้อที่ว่า “สิ่งใดกันแน่ที่ผู้คนพึ่งพาในการดำรงชีวิต” เหตุใดพวกเราจึงต้องชำแหละพรสวรรค์และความสามารถพิเศษของมนุษย์? เพราะผู้คนเพลิดเพลินกับการดำเนินชีวิตด้วยพรสวรรค์และความสามารถพิเศษของพวกเขา ทั้งยังถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุน เป็นแหล่งทรัพยากรในการดำรงชีวิตของพวกเขา เป็นชีวิต และเป็นคุณค่า เป็นเป้าหมายในการไล่ตามไขว่คว้า และเป็นนัยสำคัญของชีวิตพวกเขา ผู้คนรู้สึกว่าเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ในการดำเนินชีวิต และมองว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ของชีวิตมนุษย์ ในปัจจุบัน เกือบทุกคนดำเนินชีวิตด้วยพรสวรรค์และความสามารถพิเศษของพวกเขา พวกเจ้าแต่ละคนดำเนินชีวิตด้วยพรสวรรค์ประเภทใดหรือ? (ข้าพระองค์คิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านภาษา ดังนั้นข้าพระองค์จึงเผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยพรสวรรค์นั้น—เวลาข้าพระองค์พูดคุยกับคนที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริง ข้าพระองค์ก็สามารถชักชวนพวกเขาเข้ามาสนิทสนม และพวกเขาก็อยากฟังสิ่งที่ข้าพระองค์พูด) ถ้าอย่างนั้น การที่เจ้ามีพรสวรรค์เช่นนี้เป็นเรื่องที่ดีหรือไม่? (ตอนนี้ที่ข้าพระองค์ได้ฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้า ข้าพระองค์ก็คิดว่าพรสวรรค์นี้จะเข้ามาขวางทางในการแสวงหาหลักธรรมความจริงของข้าพระองค์) เจ้ากำลังบอกว่าการมีพรสวรรค์ด้านภาษาไม่ใช่เรื่องดี และเจ้าไม่ต้องการที่จะใช้พรสวรรค์นี้อีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้วเจ้ากำลังจะบอกอะไรหรือ? ตอนนี้พวกเจ้าจำเป็นต้องเข้าใจว่า หัวใจหลักในการหารือวันนี้คืออะไร เรื่องนี้จะแก้ปัญหาใดของพวกเจ้า การดำเนินชีวิตด้วยพรสวรรค์เหล่านี้มีอะไรผิดและมีอะไรถูก เจ้าต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ให้ชัดเจน หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ และหากว่าหลังจากพูดคุยไปมากมาย ท้ายที่สุดเจ้าก็รู้สึกว่าสิ่งที่ถูกต้องนั้นผิด และสิ่งที่ผิดก็ผิดเช่นกัน อีกทั้งทุกสิ่งที่เจ้าทำนั้นผิด เจ้าจะสามารถแก้ไขปัญหาของการดำเนินชีวิตด้วยพรสวรรค์ของตนได้หรือไม่? (ไม่ได้ จากการพึ่งพาพรสวรรค์ด้านภาษาในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ข้าพระองค์คิดว่าความตั้งใจของข้าพระองค์ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่กลับเพื่ออวดตน เทิดทูนตัวเอง และรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเอง) เจ้าเพิ่งพูดถึงเหตุผลที่ว่าทำไมการดำเนินชีวิตด้วยพรสวรรค์ของเจ้าจึงเป็นเรื่องผิด เจ้าคิดว่าพรสวรรค์นี้เป็นต้นทุนของเจ้า เป็นการตระหนักถึงคุณค่าในตัวเอง และความคิดเหล่านี้กับจุดกำเนิดนี้ไม่ถูกต้อง เจ้าจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร? (ข้าพระองค์จำเป็นต้องรู้ว่าพรสวรรค์ของข้าพระองค์เป็นเพียงเครื่องมือในการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น จุดประสงค์ในการใช้พรสวรรค์ของข้าพระองค์คือเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้ดีและทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น) หลังจากคิดเช่นนี้แล้ว เจ้าจะสามารถปฏิบัติความจริงได้ในทันทีหรือไม่? (ไม่) แล้วเจ้าจะสามารถมาปฏิบัติความจริงและไม่ดำเนินชีวิตด้วยพรสวรรค์เหล่านี้ได้อย่างไร? ในยามที่เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ หากเจ้าใช้พรสวรรค์ของตนเพื่อโอ้อวดทักษะและความสามารถส่วนตัวของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็กำลังดำเนินชีวิตด้วยพรสวรรค์ของตัวเอง อย่างไรก็ตาม หากเจ้าใช้พรสวรรค์และความรู้ของเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีและแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี แล้วเจ้าก็สามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่พระเจ้าต้องประสงค์ได้ และหากเจ้าใคร่ครวญถึงวิธีพูดและสิ่งที่เจ้าจะพูดเพื่อให้เจ้าสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้ดีขึ้น และช่วยเหลือผู้อื่นให้เข้าใจชัดเจนมากขึ้นว่าพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจใดอยู่ และในที่สุดก็ช่วยเหลือผู้คนให้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็กำลังปฏิบัติความจริง ในเรื่องนี้มีความแตกต่างอยู่หรือไม่? (มี) พวกเจ้าเคยติดลมขณะที่โอ้อวดพรสวรรรค์ ความสามารถพิเศษ หรือความสามารถของตนจนลืมว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ และกลับอวดตนต่อหน้าผู้อื่นเหมือนกับผู้ไม่มีความเชื่อบ้างหรือไม่? เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นกับพวกเจ้าหรือไม่? (เคย) แล้วในสถานการณ์เหล่านี้ สภาวะภายในของบุคคลหนึ่งเป็นอย่างไร? นั่นเป็นสภาวะของความหลงระเริงที่พวกเขาไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า การยับยั้งชั่งใจ หรือความรู้สึกผิด ไร้ซึ่งเป้าหมายหรือหลักธรรมในใจเมื่อพวกเขาทำสิ่งต่างๆ และพวกเขาก็ได้เสียศักดิ์ศรีกับความถูกต้องเหมาะควรพื้นฐานที่คริสตชนพึงมีไปแล้ว เรื่องนี้กลายเป็นอย่างไร? นี่กลายเป็นว่าพวกเขาโอ้อวดทักษะของตนและขายความเป็นตัวตนของพวกเขา ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เจ้ามักจะประสบกับสภาวะที่เจ้าสนใจแต่การแสดงความสามารถพิเศษและพรสวรรค์ของตน และไม่แสวงหาความจริงใช่หรือไม่? เมื่อเจ้าอยู่ในสภาวะดังกล่าว เจ้าสามารถตระหนักถึงสภาวะนั้นด้วยตัวเองได้หรือไม่? เจ้าสามารถหันวิถีทางของตนกลับมาได้หรือไม่? หากเจ้าสามารถตระหนักถึงการนี้และหันวิถีทางของเจ้ากลับมาได้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะสามารถปฏิบัติความจริงได้ แต่หากเจ้าเป็นเช่นนี้เสมอ และประสบกับสภาวะนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นเวลาเนิ่นนาน เช่นนั้นเจ้าก็คือคนที่ดำเนินชีวิตด้วยพรสวรรค์โดยสมบูรณ์ และเป็นคนที่ไม่ได้ปฏิบัติความจริงเลย พวกเจ้าคิดว่าความยับยั้งชั่งใจของพวกเจ้ามาจากไหน? พลังแห่งความยับยั้งชั่งใจของพวกเจ้าถูกกำหนดจากสิ่งใด? สิ่งนี้ถูกกำหนดโดยเรื่องที่ว่าเจ้ารักความจริงมากแค่ไหนและเจ้าเกลียดชังสิ่งทั้งหลายที่ชั่วหรือเป็นลบมากแค่ไหน เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงแล้ว เจ้าจะไม่ต้องการทำชั่ว และเมื่อเจ้าเกลียดชังสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบ เจ้าจะไม่ต้องการทำชั่วเช่นกัน—สำนึกแห่งความยับยั้งชั่งใจมาจากจุดนั้นนั่นเอง ผู้คนที่ไม่รักความจริงไม่มีทางเกลียดชังสิ่งทั้งหลายที่ชั่วได้เลย นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาไร้ซึ่งสำนึกแห่งความยับยั้งชั่งใจ และเมื่อไม่มีสิ่งนั้น พวกเขาก็หมิ่นเหม่ที่จะยอมแพ้ให้กับความเสเพล โดยไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจ พวกเขาบุ่มบ่ามและทำตามอำเภอใจ อีกทั้งไม่ใส่ใจเลยสักนิดว่าพวกเขาทำชั่วมากแค่ไหน
ยังมีอีกสภาวะหนึ่งที่ผู้คนดำเนินชีวิตด้วยการพึ่งพาพรสวรรค์ของพวกเขาประสบ ไม่ว่าผู้คนมีความสามารถพิเศษ พรสวรรค์ หรือทักษะใด หากพวกเขาเพียงแต่ตรากตรำทำสิ่งทั้งหลายและไม่เคยแสวงหาความจริง อีกทั้งไม่พยายามจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย ราวกับว่าแนวคิดเรื่องการปฏิบัติความจริงไม่มีอยู่ในจิตใจของพวกเขา และแรงผลักดันหนึ่งเดียวของพวกเขาก็คือการทำงานให้สำเร็จและทำภาระหน้าที่ให้เสร็จสิ้น นี่คือการดำเนินชีวิตด้วยพรสวรรค์และความสามารถพิเศษ รวมถึงด้วยความสามารถและทักษะของพวกเขาเองโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ? ในการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาเพียงต้องการที่จะตรากตรำทำงานเพื่อให้ตัวเองสามารถได้รับพระพร และแลกเปลี่ยนพรสวรรค์และทักษะของพวกเขากับพระพรของพระเจ้า นี่คือสภาวะที่ผู้คนส่วนใหญ่เป็นอยู่ ผู้คนส่วนใหญ่เก็บซ่อนมุมมองนี้ไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายงานประจำบางประเภทให้พวกเขา—ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือตรากตรำทำงาน พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขาต้องการพึ่งพาการตรากตรำทำงานเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของตัวเอง บางครั้งจากการพูดคุยหรือมองดูบางสิ่ง บางครั้งก็ด้วยการใช้มือทำงานและวิ่งวุ่นไปมา พวกเขาคิดว่าตัวเองได้มีส่วนช่วยมากมายจากการทำเช่นนี้ นี่คือความหมายของการดำเนินชีวิตโดยพึ่งพาพรสวรรค์ของคนเรา เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าการดำเนินชีวิตด้วยพรสวรรค์และความสามารถพิเศษของเจ้าเป็นการตรากตรำทำงานมากกว่าการทำหน้าที่ ยังไม่รวมถึงการปฏิบัติความจริงเลยเล่า? ในส่วนนี้มีความแตกต่างอยู่ ตัวอย่างเช่น สมมุติพระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายงานหนึ่งอย่างให้แก่เจ้า และหลังจากที่เจ้าเริ่มทำงานนั้น เจ้าก็คิดว่าจะทำงานนั้นให้เสร็จโดยเร็วที่สุดได้อย่างไรเพื่อที่เจ้าจะได้รายงานกลับไปยังผู้นำของเจ้าและได้รับการยกย่องจากพวกเขา เจ้าอาจจะมีท่าทีที่ค่อนข้างตั้งใจและวางแผนไปทีละขั้นเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้าก็มุ่งเน้นเพียงการทำงานให้เสร็จสิ้นและทำให้คนอื่นมองเท่านั้น หรือขณะทำงานนั้นเจ้าอาจจะตั้งมาตรฐานของตนไว้ พลางคิดหาวิธีทำงานนั้นในหนทางที่เจ้าพอใจและทำให้เจ้ามีความสุข และตรงตามมาตรฐานของความเพียบพร้อมที่เจ้าแสวงหา ไม่ว่าเจ้าตั้งมาตรฐานไว้อย่างไร หากสิ่งที่เจ้าทำไม่สัมพันธ์กับความจริง หากการนี้ไม่ได้ทำหลังจากแสวงหาความจริง และเกิดความเข้าใจอีกทั้งยืนยันข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และหากการนี้ทำไปโดยสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยความคิดที่เลอะเลือนแทน นี่ย่อมเป็นการตรากตรำทำงาน นี่คือการทำสิ่งทั้งหลายด้วยการพึ่งพาความคิด พรสวรรค์ ความสามารถ และทักษะต่างๆ ของตัวเจ้าเองในขณะที่เก็บซ่อนชุดความคิดเพ้อฝันเอาไว้ ผลของการทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้เป็นอย่างไร? เจ้าอาจจะทำงานจนเสร็จสมบูรณ์และไม่มีผู้ใดชี้ให้เห็นปัญหาเลย เจ้ามีความสุขมาก แต่ในกระบวนการทำงานนั้น ประการแรกคือเจ้าไม่ได้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ประการที่สอง เจ้าไม่ได้ทำงานนั้นอย่างสุดหัวใจ สุดจิตใจ และสุดกำลัง หัวใจของเจ้าไม่ได้แสวงหาความจริง หากเจ้าได้แสวงหาหลักธรรมความจริงและแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า เช่นนั้นการปฏิบัติงานของเจ้าย่อมจะถึงมาตรฐาน อีกทั้งเจ้าย่อมจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และย่อมจะเข้าใจได้อย่างถูกต้องว่าในสิ่งที่เจ้าได้ทำนั้นตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่ทุ่มเทหัวใจลงไปในการนี้ และทำงานให้หนทางที่เลอะเลือน แม้ว่างานจะสำเร็จและภาระหน้าที่นั้นเสร็จสิ้น ในหัวใจเจ้าย่อมจะไม่รู้ว่าเจ้าทำได้ดีแค่ไหน เจ้าจะไม่มีมาตรฐานใดๆ และเจ้าจะไม่รู้ว่างานที่ทำไปนั้นตรงกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือความจริงหรือไม่ ในกรณีนั้น เจ้าไม่ได้กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่เจ้ากำลังออกแรงทำงาน
ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าควรเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเป็นอย่างดีเท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าทรงพึงพอพระทัยได้ และมีเพียงโดยการทำพระบัญชาของพระเจ้าจนครบบริบูรณ์เท่านั้นที่การปฏิบัติหน้าที่ของคนเราจึงจะเป็นที่น่าพึงพอใจ การทำพระบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จลุล่วงนั้นมีมาตรฐานอยู่ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดความคิดของท่านและด้วยสุดกำลังของท่าน” “การรักพระเจ้า” เป็นแง่มุมหนึ่งของสิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์จากผู้คน ข้อพึงประสงค์นี้ควรสำแดงตนออกมาที่ใด? ในการที่เจ้าต้องทำพระบัญชาของพระเจ้าจนครบบริบูรณ์ ในแง่ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง นี่คือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีในฐานะมนุษย์ แล้วสิ่งใดคือมาตรฐานในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี? สิ่งนั้นคือข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าให้เจ้าทำหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ดีอย่างสุดหัวใจ สุดดวงจิต สุดความคิด และสุดกำลังของเจ้า นี่ควรเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจ ในการที่จะทำให้ได้ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า โดยหลักแล้วเจ้าจำเป็นต้องทุ่มเทหัวใจให้กับหน้าที่ของตน หากเจ้าสามารถทุ่มเทหัวใจให้กับหน้าที่ได้ เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติตนด้วยสุดดวงจิต สุดความคิด และสุดกำลังของเจ้าย่อมจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเจ้า หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยการพึ่งเพียงความคิดฝันในความคิดของเจ้า และด้วยการพึ่งพรสวรรค์ของเจ้า เจ้าจะสามารถทำได้ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่? ไม่ได้อย่างแน่นอน แล้วการจะลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้า รวมถึงปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีอย่างจงรักภักดีนั้นต้องทำได้ตามมาตรฐานใดหรือ? นั่นคือปฏิบัติหน้าที่ด้วยสุดหัวใจ สุดดวงจิต สุดความคิด และสุดกำลังของเจ้านั่นเอง หากเจ้าพยายามปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีโดยไร้หัวใจที่รักพระเจ้า สิ่งนั้นย่อมจะไม่เกิดผล หากหัวใจที่รักพระเจ้าของเจ้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้นและจริงแท้มากขึ้น เช่นนั้นเจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีอย่างสุดหัวใจ สุดดวงจิต สุดความคิด และสุดกำลังได้โดยธรรมชาติ สุดหัวใจของเจ้า สุดดวงจิตของเจ้า สุดความคิดของเจ้า สุดกำลังของเจ้า—คำที่มาเป็นคำสุดท้ายคือ “สุดกำลังของเจ้า” โดยที่ “สุดหัวใจของเจ้า” มาเป็นอันดับแรก หากเจ้าไม่ทำหน้าที่ของตนอย่างสุดหัวใจของเจ้า เจ้าจะทำสิ่งนั้นอย่างสุดกำลังของเจ้าได้อย่างไร? นั่นเป็นเหตุผลที่การพยายามทำหน้าที่ของเจ้าโดยสุดกำลังเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดได้—หรือไม่สามารถดำเนินชีวิตตามหลักธรรมได้เช่นกัน อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่พระเจ้าต้องประสงค์? (ด้วยสุดหัวใจของคนเรา) ไม่ว่าพระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายหน้าที่หรือสิ่งใดแก่เจ้า หากเจ้าเพียงแต่ตรากตรำทำงาน วิ่งวุ่น และทุ่มเทความพยายาม เจ้าจะเป็นคนที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงได้หรือ? เจ้าจะปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้หรือไม่? (ไม่ได้) แล้วเจ้าจะสามารถเป็นคนที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร? (ด้วยสุดหัวใจของพวกเรา) คำว่า “ด้วยสุดหัวใจของพวกเจ้า” เป็นคำที่พูดง่าย และผู้คนมักจะกล่าวเช่นนี้ แล้วเจ้าจะสามารถทำอย่างสุดหัวใจของเจ้าได้อย่างไร? บางคนกล่าวว่า “นั่นคือตอนที่คุณทำสิ่งต่างๆ ด้วยความพยายามและความจริงใจมากขึ้นอีกนิด คิดมากขึ้น ไม่ปล่อยให้สิ่งใดมาครอบงำความคิดของคุณ และมุ่งสนใจแค่ว่าจะทำงานที่อยู่ตรงหน้าอย่างไรไม่ใช่หรือ?” สิ่งนี้เรียบง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ? (ไม่) ดังนั้น พวกเรามาพูดถึงหลักธรรมเบื้องต้นในการปฏิบัติกันสักสองสามประการเถิด จากหลักธรรมที่ปกติพวกเจ้าปฏิบัติหรือยึดถือ สิ่งที่เจ้าควรทำเป็นอย่างแรกในการทำสิ่งทั้งหลายอย่างสุดหัวใจของเจ้าคืออะไร? เจ้าต้องใช้ความคิดทั้งหมดของเจ้า ใช้เรี่ยวแรงของเจ้า ทุ่มเทหัวใจให้กับการทำสิ่งทั้งหลาย และไม่ทำตัวสุกเอาเผากิน หากบุคคลหนึ่งไม่สามารถทำสิ่งทั้งหลายอย่างสุดหัวใจได้ เช่นนั้นพวกเขาก็ย่อมสูญสิ้นหัวใจไปแล้ว ซึ่งเหมือนกับการสูญเสียดวงจิตของคนเราทีเดียว ความคิดของพวกเขาจะล่องลอยในขณะที่พวกเขาพูด พวกเขาจะไม่มีวันทุ่มเทหัวใจให้การทำสิ่งทั้งหลาย และพวกเขาจะไม่ใส่ใจไม่ว่าทำสิ่งใดก็ตาม ผลก็คือพวกเขาจะไม่สามารถรับมือกับสิ่งทั้งหลายให้ดีได้ หากเจ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างสุดหัวใจ และไม่ทุ่มเททั้งใจให้กับหน้าที่นั้น เจ้าย่อมจะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้แย่ ต่อให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่มาหลายปี เจ้าก็จะไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้ดีพอ หากเจ้าไม่ทุ่มเทหัวใจลงไป เจ้าจะไม่สามารถทำสิ่งใดให้ดีได้เลย คนบางคนไม่ใช่คนทำงานที่ขยันขันแข็ง พวกเขาทำตัวไม่แน่นอนและเปลี่ยนใจไปมาอยู่เสมอ พวกเขาตั้งเป้าไว้สูงเกินไป และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเอาหัวใจไปทิ้งไว้ที่ไหน ผู้คนเช่นนั้นมีหัวใจหรือไม่? พวกเจ้าจะบอกได้อย่างไรว่าบุคคลหนึ่งมีหัวใจหรือไม่? หากใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่แทบไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าเลย พวกเขามีหัวใจหรือไม่? หากพวกเขาไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้าเลยไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขามีหัวใจหรือไม่? หากพวกเขาไม่เคยแสวงหาความจริงเลยไม่ว่าจะเผชิญกับความลำบากยากเย็นใด พวกเขามีหัวใจหรือไม่? คนบางคนปฏิบัติหน้าที่ของตนมาหลายปีโดยไม่เกิดผลลัพธ์ใดที่ชัดเจน พวกเขามีหัวใจหรือไม่? (ไม่มี) ผู้คนที่ไม่มีหัวใจจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ดีได้หรือไม่? ผู้คนจะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างสุดหัวใจได้อย่างไร? ประการแรก เจ้าควรนึกถึงความรับผิดชอบ “นี่คือความรับผิดชอบของฉัน ฉันต้องแบกรับไว้ ฉันไม่อาจหนีไปในตอนนี้ที่ผู้อื่นต้องการฉันมากที่สุด ฉันต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีและอธิบายเรื่องนี้ให้พระเจ้าฟัง” สิ่งนี้หมายความว่าเจ้ามีรากฐานทางทฤษฎี แต่การมีรากฐานทางทฤษฎีเพียงอย่างเดียวหมายความว่าเจ้ากำลังทำหน้าที่ของตนอย่างสุดหัวใจใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) เจ้ายังห่างไกลจากการลุล่วงข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าในเรื่องของการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและการทำหน้าที่ของเจ้าอย่างสุดหัวใจ แล้วการทำหน้าที่ของเจ้าอย่างสุดหัวใจหมายถึงอะไร? ผู้คนจะสามารถมาทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างสุดหัวใจได้อย่างไร? ประการแรกเจ้าจำเป็นต้องคิดว่า “ฉันกำลังปฏิบัติหน้าที่นี้เพื่อใครหรือ? ฉันกำลังทำหน้าที่นี้เพื่อพระเจ้า เพื่อคริสตจักร หรือเพื่อคนบางคน?” เรื่องนี้จำเป็นต้องตอบให้ได้โดยชัดเจน รวมถึงเรื่องที่ว่า “ใครเป็นผู้บัญชาหน้าที่นี้ให้ฉัน? พระเจ้า หรือผู้นำบางคนหรือคริสตจักรบางแห่งกันนะ?” เรื่องนี้ก็จำเป็นต้องหาคำตอบให้ได้โดยชัดเจนเช่นกัน นี่อาจจะดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังจำเป็นต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องนี้ บอกเราทีว่า ผู้ที่บัญชาหน้าที่แก่พวกเจ้าคือผู้นำหรือคนทำงานบางคน หรือคริสตจักรบางแห่งใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) ดีแล้ว ตราบใดที่เจ้ามั่นใจเรื่องนี้อยู่ในหัวใจ เจ้าต้องยืนยันว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้มีพระบัญชาหน้าที่ให้แก่เจ้า สิ่งนี้อาจดูเหมือนผู้นำคริสตจักรเป็นผู้มอบหมายให้เจ้า แต่ที่จริงแล้วทั้งหมดล้วนมาจากการจัดการเตรียมการของพระเจ้า บางคราวอาจชัดเจนว่ามาจากเจตจำนงของมนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ต้องยอมรับสิ่งนี้จากพระเจ้าเสียก่อน นั่นเป็นวิธีที่ถูกต้องในการมีประสบการณ์กับเรื่องนี้ หากเจ้ายอมรับสิ่งนี้จากพระเจ้าและตั้งใจนบนอบการจัดการเตรียมการของพระองค์ รวมถึงก้าวขึ้นมายอมรับพระบัญชาของพระองค์—หากเจ้าก้าวผ่านเรื่องนี้เช่นนั้น เจ้าจะมีการทรงนำและพระราชกิจของพระเจ้า หากเจ้าเชื่ออยู่เป็นนิจว่าทุกสิ่งถูกกระทำโดยมนุษย์และมาจากมนุษย์ หากเจ้ามีประสบการณ์กับสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ เจ้าย่อมจะไม่มีพระพรของพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระองค์ เพราะเจ้าเมินเฉยมากเกินไปสำหรับการนั้น ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมากเกินไป เจ้าไม่มีชุดความคิดที่ถูกต้อง หากเจ้ามองเรื่องทั้งหมดด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ เจ้าย่อมจะไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ปกครองเรื่องทั้งหมดนั้น ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจัดแจงให้ใครทำงานประเภทใดก็ตาม สิ่งนี้ก็มาจากอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า อีกทั้งมีน้ำพระทัยอันดีของพระเจ้าอยู่ในนั้น เจ้าต้องรู้เรื่องนี้เสียก่อน การเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจนนั้นสำคัญมาก การเข้าใจแค่คำสอนย่อมใช้ไม่ได้ เจ้าต้องยืนยันในหัวใจว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้ไว้วางพระทัยมอบหมายหน้าที่นี้ให้ฉัน ฉันกำลังทำหน้าที่เพื่อพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อใครทั้งสิ้น นี่เป็นหน้าที่ของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้ฉัน” ในเมื่อหน้าที่นี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า แล้วพระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายสิ่งนี้มาให้เจ้าอย่างไร? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการทำสิ่งทั้งหลายอย่างสุดหัวใจของเจ้าหรือไม่? การแสวงหาความจริงจำเป็นหรือไม่? เจ้าต้องแสวงหาความจริง ข้อพึงประสงค์ มาตรฐาน และหลักธรรมของหน้าที่ที่พระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า รวมถึงสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ หากพระวจนะของพระองค์กล่าวไว้ค่อนข้างชัดเจน เช่นนั้นก็ถึงเวลาที่เจ้าจะไตร่ตรองว่าจะปฏิบัติและทำให้พระวจนะเหล่านั้นเป็นจริงอย่างไร เจ้าควรสามัคคีธรรมกับผู้คนที่เข้าใจความจริงด้วย แล้วจึงปฏิบัติตนตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า นั่นคือความหมายของการทำหน้าที่อย่างสุดหัวใจของเจ้า นอกจากนี้ สมมุติว่าก่อนที่เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ เจ้าแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า เกิดความเข้าใจความจริง และรู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติตนกลับมีความขัดแย้งและความไม่ตรงกันเกิดขึ้นระหว่างความคิดของตัวเจ้ากับหลักธรรมความจริง เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นเจ้าควรทำอย่างไร? เจ้าต้องยึดมั่นใจหลักธรรมของการทำหน้าที่อย่างสุดหัวใจของเจ้า และทุ่มเททั้งหัวใจให้การนบนอบและทำให้พระเจ้าพอพระทัย โดยไร้ซึ่งสิ่งเจือปนส่วนตัว และแน่นอนว่าไร้ซึ่งการปฏิบัติตนตามเจตจำนงของตัวเจ้าเอง บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นหรอก อย่างไรเสียฉันก็ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่นี้ ดังนั้นฉันควรเป็นคนได้ยื่นคำขาด ฉันมีสิทธิ์ที่จะกระทำการตามความคิดริเริ่มของฉันเอง ฉันจะทำในสิ่งที่คิดว่าควรจะทำ ฉันยังคงทำหน้าที่ของฉันอย่างสุดหัวใจ แล้วมีความผิดอะไรให้คุณมาต่อว่าอีกเล่า?” และจากนั้น พวกเขาก็พยายามอยู่ประมาณหนึ่งในการหาคำตอบว่าจะทำอย่างไร ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดงานจะเสร็จสิ้น แต่วิธีปฏิบัติและสภาวะเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? นี่คือการทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างสุดหัวใจใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ปัญหาในเรื่องนี้คืออะไร? นี่คือความโอหัง เอาตัวเองเป็นใหญ่ รวมถึงบุ่มบ่ามและทำตามอำเภอใจนั่นเอง นี่คือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) สิ่งนี้คือการประกอบกิจการส่วนตัว ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา นี่เป็นเพียงการทำในสิ่งที่ทำให้พวกเขาพอใจและสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบตามเจตจำนงของพวกเขาเอง นี่ไม่ใช่การทำหน้าที่อย่างสุดหัวใจของพวกเขา
ขณะนี้เราเพิ่งพูดถึงความสามารถพิเศษและพรสวรรค์เป็นหลัก ความสามารถพิเศษและพรสวรรค์เหล่านี้รวมถึงความรู้ด้วยหรือไม่? ระหว่างความรู้กับความสามารถพิเศษมีความแตกต่างใดอยู่หรือไม่? ความสามารถพิเศษนั้นหมายถึงทักษะ สิ่งนี้อาจเป็นด้านที่บุคคลหนึ่งโดดเด่นกว่าผู้อื่น เป็นขีดความสามารถส่วนหนึ่งที่ที่เด่นชัดกว่า เป็นสิ่งที่พวกเขาถนัดมากที่สุด หรือเป็นทักษะที่พวกเขาค่อนข้างเชี่ยวชาญและรู้เป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้เรียกว่าความสามารถพิเศษและพรสวรรค์ ความรู้คืออะไร? ความรู้นั้นหมายถึงอะไรกันแน่? หากผู้รอบรู้ศึกษาเล่าเรียนมานานหลายปี อ่านวรรณกรรมชั้นเอกมากมาย ศึกษาด้านวิชาชีพหรือความรู้บางแขนงมาอย่างลึกซึ้ง สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ และมีความเชี่ยวชาญที่เฉพาะทางและลึกซึ้ง สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความสามารถพิเศษและพรสวรรค์หรือไม่? ความรู้สามารถรวมอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับความสามารถพิเศษได้หรือไม่? (ไม่ได้) หากบุคคลหนึ่งใช้ความสามารถพิเศษของตนในการทำงาน เป็นไปได้ว่าพวกเขาคือคนเซ่อซ่าและบ้านนอก พวกเขาคือคนที่ไร้ซึ่งการศึกษาระดับสูง ไม่เคยอ่านหนังสือที่โด่งดังเลยสักเล่ม หรือไม่สามารถเข้าใจพระคัมภีร์ได้เสียด้วยซ้ำ แต่พวกเขาอาจจะยังมีขีดความสามารถอยู่เล็กน้อย และสามารถพูดได้อย่างฉะฉาน นี่คือความสามารถพิเศษใช่หรือไม่ (ใช่) บุคคลนี้มีความสามารถพิเศษเช่นนั้น นี่หมายความว่าพวกเขามีความรู้ใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) ดังนั้นแล้วความรู้หมายความว่าอย่างไร? สิ่งนี้ได้รับการนิยามว่าอย่างไร? เราจะบอกดังนี้ว่า ตัวอย่างเช่น สมมุติบุคคลหนึ่งได้รับการศึกษา พวกเขาย่อมมีความรู้ในวิชาชีพนี้ใช่หรือไม่? สิ่งทั้งหลายอย่างเช่นวิธีให้การศึกษาผู้คน วิธีถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้อื่น ความรู้ที่จะถ่ายทอด และอื่นๆ? พวกเขามีความรู้ในแขนงนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นผู้รอบรู้ในแขนงนี้ใช่หรือไม่? เรียกได้ว่าพวกเขาคือบุคคลผู้มีความสามารถพิเศษที่มีความรู้ในแขนงนี้ใช่หรือไม่? (ใช่) มาใช้เรื่องนี้เป็นตัวอย่างกันเถิด หากบุคคลหนึ่งเป็นผู้รอบรู้ด้านการศึกษา เวลาบุคคลนั้นทำงานหรือนำคริสตจักร โดยปกติแล้วพวกเขาจะทำอย่างไร? สิ่งที่พวกเขาปฏิบัติอยู่เป็นปกติคืออะไร? พวกเขาพูดคุยกับทุกคนเหมือนที่ครูพูดคุยกับนักเรียนใช่หรือไม่? ไม่สำคัญว่าพวกเขาใช้น้ำเสียงอย่างไร สิ่งสำคัญก็คือพวกเขาปลูกฝังและสั่งสอนสิ่งใดให้แก่ผู้อื่น พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยความรู้นี้มาหลายปี และโดยพื้นฐานแล้ว ความรู้นี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขา จนถึงจุดที่ในทุกแง่มุมของพฤติกรรมหรือชีวิตของพวกเขานั้น เจ้าเห็นได้ว่าพวกเขามีความรู้นี้และใช้ชีวิตตามความรู้ที่พวกเขาได้รับมา นี่คือเรื่องที่เห็นได้เป็นปกติอย่างมาก แล้วผู้คนเช่นนี้มักจะพึ่งพาสิ่งใดในการทำงาน? ความรู้ที่พวกเขาได้รับมานั่นเอง ตัวอย่างเช่น สมมุติพวกเขาได้ยินใครบางคนพูดว่า “ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าไม่ออก ฉันถือเอาไว้อย่างนั้นแต่ฉันไม่รู้ว่าจะอ่านพระวจนะเหล่านั้นอย่างไร ถ้าฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าไม่ออก ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าความจริงคืออะไร? ถ้าฉันอ่านพระวจนะของพระองค์ไม่ออก ฉันจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ได้อย่างไร?” พวกเขาก็ย่อมพูดว่า “ฉันรู้วิธี ฉันมีความรู้ เพราะฉะนั้นฉันสามารถช่วยคุณได้ บทตอนนี้แบ่งเป็นสี่ย่อหน้า ปกติแล้วถ้าบทความนั้นเป็นการเล่าเรื่องก็จะมีองค์ประกอบหกอย่าง นั่นคือ เวลา สถานที่ ตัวละคร ต้นเรื่อง กระบวนการพัฒนา และบทสรุป เวลาที่พระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ตีพิมพ์อยู่ท้ายสุด—คือวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 2011 นี่เป็นองค์ประกอบแรก ส่วนเรื่องของตัวละคร พระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้พูดถึง ‘เรา’ เพราะฉะนั้นบุคคลแรกคือพระเจ้า และจากนั้นพระเจ้าทรงเอ่ยถึง ‘พวกเจ้า’ ซึ่งหมายถึงพวกเรา จากนั้นพระวจนะนี้ก็ชำแหละสภาวะของคนบางคน อย่างเช่น บางคนมีสภาวะที่เป็นกบฏและโอหัง ซึ่งหมายถึงคนที่โอหังและเป็นกบฏ คนที่ไม่ทำงานจริง คนที่คอยแต่สร้างความเสียหาย คนไม่ดีและคนชั่ว แนวทางของสิ่งทั้งหลายก็คือผู้คนทำสิ่งที่แย่ นอกจากนี้ยังมีสิ่งอื่นที่สัมพันธ์กับแง่มุมต่างๆ อีกด้วย” เจ้าคิดอย่างไรกับวิธีทำงานเช่นนี้? การที่พวกเขาช่วยเหลือผู้คนอย่างเปี่ยมรักนั้นเป็นสิ่งที่ดี ทว่ารากฐานในการกระทำของพวกเขาคืออะไร? (ความรู้) เหตุใดเราจึงยกตัวอย่างนี้ขึ้นมา? ก็เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจชัดเจนมากขึ้นว่าความรู้คืออะไร คนบางคนไม่รู้ว่าจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร แต่พวกเขาได้รับการศึกษาและอาจจะทำได้ดีในวิชามนุษยศาสตร์ที่โรงเรียน พวกเขาจึงอาจเปิดพระวจนะของพระเจ้าสักหนึ่งหน้าแล้วอ่าน และกล่าวว่า “พระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้สื่อออกมาได้ดีมาก! ในส่วนแรก พระเจ้าตรัสอย่างตรงไปตรงมา แล้วจากนั้นในส่วนที่สอง น้ำเสียงที่ใช้ก็แสดงให้เห็นถึงพระบารมีและพระพิโรธเล็กน้อย ในส่วนที่สาม ทุกอย่างถูกเปิดโปงอย่างเฉพาะเจาะจงและชัดเจน พระวจนะของพระเจ้าควรเป็นเช่นนี้ ส่วนที่สี่ซึ่งเป็นบทสรุปทั่วไปนั้นให้เส้นทางปฏิบัติแก่ผู้คน พระวจนะของพระเจ้าช่างสมบูรณ์แบบ!” การย่อความและสรุปพระวจนะของพระเจ้าของพวกเขามาจากความรู้ใช่หรือไม่? (ใช่) ถึงแม้ตัวอย่างนี้อาจจะไม่ได้เหมาะเจาะมากนัก แต่จากการพูดเช่นนี้ เราต้องการให้พวกเจ้าเข้าใจเรื่องใดหรือ? เราต้องการให้พวกเจ้าเห็นถึงความอัปลักษณ์ของการใช้ความรู้ในการเข้าหาพระวจนะของพระเจ้าโดยชัดเจน นี่คือสิ่งที่น่ารังเกียจ ผู้คนเช่นนั้นพึ่งพาความรู้ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า แล้วพวกเขาจะสามารถพึ่งพาความจริงในการทำสิ่งทั้งหลายได้หรือไม่? (ไม่ได้) ไม่ได้อย่างแน่นอน
การที่ผู้คนดำเนินชีวิตด้วยความรู้ในการทำสิ่งต่างๆ นั้นมีลักษณะอย่างไรหรือ? อันดับแรก พวกเขาคิดว่าข้อได้เปรียบที่พวกเขามีคืออะไร? ความรู้และการเรียนรู้ของพวกเขา ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเป็นผู้รอบรู้ และข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาได้ทำงานในแวดวงที่ใช้ความรู้นั่นเอง เวลาทำสิ่งต่างๆ ผู้รอบรู้ย่อมมีลักษณะ นิสัย และแบบแผนอย่างผู้รอบรู้ ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะทำให้เกิดบรรยากาศแบบผู้รอบรู้ในสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ผู้อื่นเกิดความเลื่อมใสต่อพวกเขา นั่นเป็นวิธีที่ผู้รอบรู้ทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขามุ่งเน้นที่บรรยากาศแบบผู้รอบรู้เสมอ ไม่ว่าภายนอกพวกเขาจะดูอ่อนแอและอ่อนโยนแค่ไหน สิ่งทั้งหลายในตัวพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอหรืออ่อนโยนอย่างแน่นอน และพวกเขาก็มีทัศนะของตัวเองต่อทุกสิ่งเสมอ พวกเขามักต้องการอวดตนในทุกสิ่ง ใช้อุบายต่ำช้าของพวกเขา รวมถึงวิเคราะห์และรับมือกับสิ่งทั้งหลายตามทัศนะ ท่าที และรูปแบบความคิดทางความรู้ของพวกเขา สำหรับพวกเขาแล้วความจริงเป็นสิ่งที่อยู่นอกประเด็น และเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากมาก ด้วยเหตุนี้ ท่าทีอันดับแรกที่ผู้คนเช่นนั้นมีต่อความจริงก็คือวิเคราะห์ความจริงนั้น รากฐานของการวิเคราะห์ของพวกเขาคืออะไร? ความรู้นั่นเอง เราจะยกตัวอย่างให้เจ้าฟัง ผู้คนที่ศึกษาด้านการกำกับนั้นมีความรู้ด้านการกำกับหรือไม่? ไม่ว่าเจ้าได้ศึกษาเรื่องการกำกับอย่างเป็นระบบจากในหนังสือ หรือได้ศึกษาในทางปฏิบัติและทำงานประเภทนั้นก็ตาม โดยสรุปคือเจ้าเข้าใจความรู้ในด้านนี้ ไม่ว่าเจ้าได้ศึกษาเรื่องการกำกับอย่างลึกซึ้งหรือเพียงผิวเผิน หากเจ้าได้มีส่วนร่วมในงานด้านการกำกับในโลกของผู้ไม่มีความเชื่อ ความรู้ด้านนี้ที่เจ้าได้รับมาหรือประสบการณ์ด้านการกำกับของเจ้าก็ย่อมจะเป็นประโยชน์และมีคุณค่าอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การมีความรู้ประเภทนี้หมายความว่าเจ้าจะสามารถทำงานด้านภาพยนตร์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้ดีอย่างแน่นอนเช่นนั้นหรือ? ความรู้ที่เจ้าได้รับมาสามารถช่วยให้เจ้าใช้ภาพยนตร์เป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้จริงหรือ? ไม่จำเป็นเลย หากเจ้าเฝ้าแต่เน้นย้ำในสิ่งที่ตำราสอนเจ้า รวมถึงเน้นย้ำในกฎและข้อพึงประสงค์จากความรู้ในสาขานี้ เจ้าจะสามารถทำหน้าที่ของตนให้ดีได้เช่นนั้นหรือ? (ไม่ได้) ในเรื่องนี้มีจุดโต้แย้งหรือขัดแย้งกันอยู่มิใช่หรือ? เมื่อหลักธรรมความจริงขัดกับความรู้แง่มุมนี้ เจ้าจะแก้ไขสิ่งนี้อย่างไร? เจ้ายอมรับความรู้ของเจ้าในฐานะเครื่องชี้นำ หรือยอมรับหลักธรรมของความจริง? พวกเจ้าสามารถรับประกันได้ไหมว่าทุกภาพ ทุกฉาก และทุกสิ่งที่เจ้าถ่ายทำจะไม่เจือปนหรือประกอบด้วยการเจือปนจากความรู้ของพวกเจ้าแม้แต่น้อย และภาพยนตร์นั้นสอดคล้องโดยสมบูรณ์กับมาตรฐานและหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้าพึงประสงค์? หากนี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นความรู้ที่พวกเจ้าได้รับมาก็ไม่มีประโยชน์ในพระนิเวศของพระเจ้าเลย ลองคิดดูเถิดว่า ประโยชน์ของความรู้คืออะไร? ความรู้ใดที่เป็นประโยชน์? ความรู้ประเภทใดที่ขัดต่อความจริง? ความรู้นำสิ่งใดมาสู่ผู้คน? เมื่อผู้คนได้รับความรู้มากขึ้น พวกเขาก็กลายเป็นคนที่เคร่งมากขึ้นและมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้ามากขึ้น หรือพวกเขาจะกลายเป็นคนที่โอหังและคิดว่าตนเองถูกมากกว่าเดิมเล่า? เมื่อได้รับความรู้มามากมาย ผู้คนก็เริ่มซับซ้อน ดันทุรัง และโอหัง ยังมีบางสิ่งซึ่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่พวกเขาอาจยังไม่ตระหนักถึง นั่นคือ เมื่อผู้คนเชี่ยวชาญความรู้มากมาย พวกเขาก็เกิดความยุ่งเหยิงในใจและไร้ซึ่งหลักธรรม ยิ่งพวกเขาเชี่ยวชาญในความรู้มากเท่าไร พวกเขายิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้นเท่านั้น ในความรู้นั้น สามารถพบคำตอบต่อคำถามทั้งหลายซึ่งเกี่ยวกับเหตุผลที่ผู้คนมีชีวิต และเกี่ยวกับคุณค่าและความหมายในการดำรงอยู่ของมนุษย์ได้หรือ? สามารถพบบทสรุปเกี่ยวกับว่าผู้คนมาจากที่ใดและพวกเขาจะไปที่ใดได้หรือ? ความรู้สามารถบอกเจ้าได้หรือว่าเจ้ามาจากพระเจ้าและได้รับการทรงสร้างโดยพระเจ้า? (ไม่ได้) ดังนั้นแล้ว สิ่งใดกันแน่ที่ผู้คนศึกษาในความรู้? หรือความรู้ปลูกฝังสิ่งใดให้พวกเขากันแน่? สิ่งทั้งหลายที่เป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นอเทวนิยม สิ่งที่ผู้คนสามารถมองเห็นและสิ่งทั้งหลายในจิตใจที่พวกเขาสามารถระลึกถึงได้ ซึ่งหลายสิ่งในนั้นเกิดขึ้นจากความคิดฝันของผู้คนและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างแน่นอน ความรู้ยังปลูกฝังปรัชญา อุดมการณ์ ทฤษฎี กฎธรรมชาติ และอื่นๆ เข้าไปในผู้คนอีกด้วย แต่ทว่ายังมีหลายสิ่งที่ความรู้ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ฟ้าร้องและฟ้าแลบก่อร่างขึ้นอย่างไร หรือเหตุใดฤดูกาลจึงเปลี่ยนแปลง ความรู้สามารถให้คำตอบที่แท้จริงเหล่านั้นแก่เจ้าได้หรือ? เหตุใดสภาพอากาศในปัจจุบันจึงเปลี่ยนแปลงและกลายเป็นผิดปกติ? ความรู้สามารถอธิบายสิ่งนี้อย่างชัดเจนได้หรือ? ความรู้สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้หรือ? (ไม่ได้) ความรู้ไม่สามารถบอกเจ้าเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับที่มาของทุกสรรพสิ่งได้ ดังนั้นแล้วความรู้จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ ยังมีพวกคนเหล่านั้นอีกเช่นกันที่ถามว่า “เหตุใดบางคนจึงฟื้นจากความตาย?” ความรู้ได้ให้คำตอบต่อคำถามนี้แก่เจ้าแล้วหรือไม่? (ไม่) เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดกันแน่ที่ความรู้บอกกับเจ้า? ความรู้บอกผู้คนเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมและข้อบังคับมากมาย ตัวอย่างเช่น แนวคิดที่ว่าผู้คนต้องเลี้ยงดูบุตรและแสดงความกตัญญูต่อบุพการีก็เป็นความรู้ประเภทหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ความรู้นี้มาจากที่ใด? ความรู้นี้ถูกสอนโดยวัฒนธรรมตามประเพณี เช่นนั้นแล้วความรู้ทั้งหมดนี้นำพาสิ่งใดมาสู่ผู้คน? อะไรหรือคือแก่นแท้ของความรู้? ในโลกนี้มีผู้คนมากมายที่ได้อ่านวรรณกรรมชิ้นเอก ได้รับการศึกษาระดับสูง เป็นผู้ทรงความรู้ หรือผู้ที่แตกฉานความรู้ในสาขาเฉพาะทางแล้ว ดังนั้น ผู้คนเช่นนี้มีทิศทางและเป้าหมายที่ถูกต้องบนเส้นทางชีวิตกระนั้นหรือ? พวกเขามีเส้นฐานและหลักธรรมสำหรับการประพฤติปฏิบัติของพวกเขาหรือ? นอกจากนี้ พวกเขารู้จักที่จะนมัสการพระเจ้าหรือไม่? (พวกเขาไม่รู้จัก) ขยับไปอีกขั้นหนึ่ง พวกเขาเข้าใจองค์ประกอบใดของความจริงหรือไม่? (พวกเขาไม่เข้าใจ) ดังนั้นแล้ว ความรู้คืออะไรเล่า? ความรู้ให้อะไรแก่ผู้คน? ผู้คนอาจจะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้อยู่บ้าง เมื่อก่อนตอนที่พวกเขาไม่มีความรู้ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนนั้นเรียบง่าย—ทว่าตอนนี้ที่ผู้คนได้รับความรู้แล้ว สิ่งเหล่านั้นยังคงเรียบง่ายอยู่หรือไม่? ความรู้ทำให้ผู้คนซับซ้อนขึ้นและไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป ความรู้ทำให้ผู้คนขาดความเป็นมนุษย์ที่ปกติมากขึ้นและไร้ซึ่งเป้าหมายในชีวิต ยิ่งผู้คนได้รับความรู้มากเท่าไร พวกเขายิ่งห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งผู้คนได้รับความรู้ พวกเขาก็ยิ่งปฏิเสธความจริงและพระวจนะของพระเจ้า ยิ่งผู้คนมีความรู้มากเท่าไร พวกเขายิ่งกลายเป็นสุดโต่ง ดื้อรั้น และน่าขันมากขึ้นเท่านั้น แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไรเล่า? โลกมืดลงอย่างต่อเนื่องและชั่วลงเรื่อยๆ นั่นเอง
พวกเราเพิ่งพูดถึงวิธีแก้ไขในยามที่เกิดความขัดแย้งหรือความไม่ลงรอยระหว่างการนำความรู้และหลักธรรมความจริงมาใช้ ในยามที่พวกเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นพวกเจ้าทำอย่างไรหรือ? พวกเจ้าบางคนจะให้คำสอนว่า “สิ่งที่ยากเกี่ยวกับการปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงคืออะไร? มีสิ่งใดที่ไม่สามารถปล่อยวางได้บ้าง?” แต่เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าย่อมทำต่อไปเช่นเดิม นั่นคือทำตามเจตจำนงและมโนคติอันหลงผิดกับความคิดฝันของตัวเจ้าเอง และแม้หลายครั้งเจ้าจะอยากปฏิบัติความจริงและกระทำการตามหลักธรรม ก็ดูเหมือนเจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างรู้ว่าในเรื่องของคำสอนนั้น การปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง พวกเขารู้ว่าความรู้เป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงอย่างแน่นอน และเมื่อสองสิ่งมาประจันหน้าหรือขัดแย้งกัน พวกเขาก็ต้องเริ่มด้วยการปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงและปล่อยวางความรู้ของตนไปเสีย แต่ในความเป็นจริงสิ่งนี้เรียบง่ายเช่นนั้นหรือ? (ไม่) ไม่ สิ่งนี้ไม่เรียบง่ายขนาดนั้น แล้วความลำบากยากเย็นในยามที่ปฏิบัติมีอะไรบ้าง? คนเราควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อที่จะกระทำการตามหลักธรรมความจริง? นี่คือปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมิใช่หรือ? สิ่งเหล่านี้ควรได้รับการแก้ไขอย่างไร? สิ่งสำคัญที่สุดคือคนเราควรนบนอบ แต่ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และบางครั้งพวกเขาก็ไม่สามารถพาตัวเองให้นบนอบได้ พวกเขากล่าวว่า “‘คุณพาม้าไปที่แหล่งน้ำได้ แต่คุณทำให้มันดื่มน้ำไม่ได้’—การพยายามทำให้ฉันนบนอบก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ? การที่ฉันกระทำการตามจุดแข็งด้านความรู้ของตัวเองมันแย่ตรงไหน? ถ้าคุณยืนกรานให้ฉันกระทำการตามหลักธรรมความจริง ฉันก็จะไม่นบนอบ” ในช่วงเวลาเหล่านี้ที่อุปนิสัยอันเป็นกบฏมีแนวโน้มว่าจะสร้างปัญหา เจ้าทำอย่างไรหรือ? (อธิษฐาน) บางครั้งการอธิษฐานก็ไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหานี้ได้ หลังจากอธิษฐาน ท่าทีและชุดความจริงของเจ้าอาจจะดีขึ้นเล็กน้อย และเจ้าอาจเปลี่ยนแปลงสภาวะส่วนหนึ่งของเจ้าให้กลับมาดีขึ้นได้ แต่หากเจ้าไม่เข้าใจหรือขาดความกระจ่างในหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้อง การนบนอบของเจ้าก็อาจลงเอยด้วยการเป็นเพียงพิธีรีตองเท่านั้น ในช่วงเวลาเหล่านี้เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจความจริง แสวงหาความจริงที่เกี่ยวข้อง และเพียรพยายามที่จะรู้ให้ได้ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่เป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า เป็นพยานยืนยันให้พระองค์ และเผยแผ่พระวจนะของพระองค์อย่างไร เจ้าต้องเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจนอยู่ในหัวใจ ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าคืออะไร ไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ เจ้าก็ต้องเริ่มจากการคำนึงถึงงานและผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า นึกถึงการเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้า หรือสิ่งที่พึงบรรลุจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า นั่นคือสิ่งที่มาเป็นอันดับแรก ในเรื่องนี้ไม่มีที่ให้กับความคลุมเครือและการประนีประนอม หากเจ้าประนีประนอมในช่วงเวลาเช่นนี้ เจ้าย่อมไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอย่างจริงใจ และเจ้าไม่ได้กำลังปฏิบัติความจริง—ที่แย่กว่านั้นก็คือ นี่พอจะกล่าวได้ว่าเจ้ากำลังดำเนินกิจการของตัวเจ้าเอง เจ้ากำลังทำสิ่งทั้งหลายเพื่อตัวเจ้าแทนที่จะปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง หากคนเราจะทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสมบูรณ์และปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์ให้ดี ความจริงที่พวกเขาควรเข้าใจและปฏิบัติเป็นอันดับแรกคือพวกเขาต้องสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า เจ้าต้องมีนิมิตที่ว่านี้ การปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช่เรื่องของการทำสิ่งทั้งหลายเพื่อตัวเจ้าหรือดำเนินกิจการของตัวเจ้าเอง นับประสาอะไรกับการเป็นพยานยืนยันให้ตัวเจ้าและเลื่อนขั้นให้ตัวเจ้า และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของเจ้า นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเจ้า ในทางกลับกัน นี่เป็นเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า นี่เป็นเรื่องของการเข้ารับความรับผิดชอบและทำให้พระเจ้าพอพระทัย สิ่งนี้เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตตามมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ การดำเนินชีวิตด้วยสภาพที่คล้ายมนุษย์ การใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ชุดความคิดที่ถูกต้องเช่นนี้ย่อมทำให้คนเราสามารถก้าวข้ามอุปสรรคจากการดำเนินชีวิตด้วยความรู้ของตัวเองได้โดยง่าย ต่อให้มีความท้าทายหลงเหลืออยู่บ้าง สิ่งเหล่านั้นย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยผ่านกระบวนการนี้ และรูปการณ์แวดล้อมก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แล้วปัจจุบันประสบการณ์ของพวกเจ้าเป็นอย่างไรหรือ? สิ่งนั้นกำลังดีขึ้นหรือหยุดนิ่งไป? หากพวกเจ้ากระทำการตามความรู้และมันสมองของตัวเองอยู่เสมอ อีกทั้งไม่เคยแสวงหาหลักธรรมความจริงเลย เจ้าจะสามารถเติบโตในชีวิตได้หรือไม่? พวกเจ้าเคยได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องนั้นบ้างหรือไม่? ดูเหมือนพวกเจ้าทุกคนยังคงสับสนเรื่องของการเข้าสู่ชีวิตอยู่เล็กน้อยและไม่มีหลักธรรมอันเฉพาะเจาะจงสำหรับเรื่องนี้ ซึ่งหมายความว่าพวกเจ้ากำลังพลาดประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมากขึ้นหรือจริงแท้มากขึ้นในเรื่องของหลักธรรมและเส้นทางสำหรับปฏิบัติความจริง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา คนบางคนก็กระทำการตามความรู้ของตัวเองอยู่เสมอ พวกเขาค้ำจุนหลักธรรมความจริงอยู่เพียงไม่กี่ข้อแบบภาพรวมกับเรื่องทั่วไป ปล่อยให้ความรู้ของตัวเองเป็นฝ่ายนำมาโดยตลอด และหลักธรรมความจริงอยู่รองลงมา พวกเขาปฏิบัติหนทางที่ไกล่เกลี่ยและประนีประนอมเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้พึงให้ตัวเองเคร่งครัดในการนบนอบอย่างสมบูรณ์หรือปฏิบัติตนอย่างสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงโดยสมบูรณ์ นี่เป็นสิทธิ์ของพวกเขา หรือว่าไม่ใช่? อันตรายของการปฏิบัติประเภทนี้คืออะไร? ไม่ใช่การหมิ่นเหม่ที่จะพลัดหลงไปจากครรลองหรอกหรือ? ไม่ใช่การต้านทานพระเจ้าและก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระองค์หรือ? นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนควรหาคำตอบให้ได้มากที่สุด ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจชัดเจนหรือยังว่าระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้ากับการมีงานทำและใช้ชีวิตให้พอผ่านไปในทางโลกแตกต่างกันอย่างไร? ในหัวใจเจ้ามีความตระหนักรู้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่หรือไม่? พวกเจ้าควรนึกถึงประเด็นนี้และใคร่ครวญเรื่องนี้ให้บ่อย ความแตกต่างที่ใหญ่หลวงที่สุดระหว่างสองสิ่งนี้คืออะไร? พวกเจ้ารู้หรือไม่? (การปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าเป็นเรื่องของการได้รับความจริงและทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเรา ส่วนการมีงานทำในทางโลกเป็นเรื่องของชีวิตทางเนื้อหนัง) นั่นใกล้เคียงทีเดียว ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เจ้าไม่ได้กล่าวถึง นั่นคือ การปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าคือการดำเนินชีวิตด้วยความจริง นัยสำคัญของการดำเนินชีวิตด้วยความจริงคืออะไร? สำหรับผู้คนคืออุปนิสัยของพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และพวกเขาย่อมถูกช่วยให้รอดได้ในท้ายที่สุด สำหรับพระเจ้าคือพระองค์ทรงสามารถรับเจ้าผู้เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเอาไว้ได้ และทรงยอมรับว่าเจ้าคือสิ่งทรงสร้างของพระองค์ แล้วเมื่อผู้คนมีงานทำในทางโลก พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยสิ่งใด? (ปรัชญาของซาตาน) ด้วยปรัชญาของซาตาน—โดยรวมแล้ว นี่หมายความว่าพวกเขาดำเนินชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน ไม่ว่าเจ้ามุ่งมั่นเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ เพื่อความมั่งคั่ง หรือเพื่อให้อยู่รอดและก้าวผ่านแต่ละวันของเจ้าไปได้—เจ้าก็กำลังดำเนินชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหมือนกัน เมื่อเจ้าได้งานทำในทางโลก เจ้าก็ต้องเค้นสมองในการพยายามหาเงิน การที่จะไต่บันไดแห่งชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะขึ้นไป เจ้าจำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งต่างๆ อย่างการแข่งขัน การต่อสู้ การดิ้นรน ความโหดเหี้ยม ความมุ่งร้าย และการเข่นฆ่าโดยสมบูรณ์—นั่นเป็นหนทางเดียวที่เจ้าจะยืนหยัดอยู่ได้ การจะปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น เจ้าต้องดำเนินชีวิตด้วยพระวจนะของพระเจ้า และเจ้าต้องเข้าใจความจริง สิ่งทั้งหลายอันเป็นลบของซาตานไม่เพียงแต่ไร้ประโยชน์—ทว่ายังเป็นสิ่งที่ต้องทิ้งไปอีกด้วย สิ่งเยี่ยงซาตานนั้นยึดถือไม่ได้สักสิ่งเดียว หากใครบางคนดำเนินชีวิตด้วยสิ่งทั้งหลายเยี่ยงซาตาน พวกเขาก็ต้องถูกพิพากษาและตีสอน หากใครบางคนดำเนินชีวิตด้วยสิ่งทั้งหลายเยี่ยงซาตานและยืนกรานที่จะไม่สำนึกผิด พวกเขาก็ต้องถูกกำจัดและถูกทอดทิ้ง นั่นคือความแตกต่างที่ใหญ่หลวงที่สุดระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าและการมีงานทำในทางโลก
ในยามที่ผู้คนดำเนินชีวิตด้วยความรู้ของพวกเขา พวกเขากำลังใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะแบบใด? พวกเขามีประสบการณ์ในเรื่องใดลึกซึ้งที่สุด? ทันทีที่เจ้าเรียนรู้อะไรบางอย่างในบางสาขา เจ้าย่อมรู้สึกว่าตัวเองคือผู้รอบรู้ รู้สึกว่าตัวเองคือผู้เป็นเลิศ—และจากนั้น ผลที่เกิดขึ้นคือเจ้าถูกพันธนาการด้วยความรู้ของตัวเอง เจ้าถือว่าความรู้เป็นชีวิตของเจ้า และเมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้า สิ่งที่ผุดขึ้นมาก็คือความรู้ของเจ้าที่บงการให้เจ้าทำเช่นนั้นเช่นนี้ เจ้าต้องการที่จะสลัดสิ่งนี้ทิ้งแต่ไม่สามารถทำได้เพราะสิ่งนี้ฝังแน่นอยู่ในหัวใจของเจ้า และไม่มีอะไรมาแทนที่สิ่งนี้ได้ นี่คือความหมายของคำว่า “ภาพจำแรกคือภาพจำสุดท้าย” นั่นเอง ความรู้บางอย่างเป็นสิ่งที่คนเราไม่ได้เรียนรู้เลยจะดีกว่า การเรียนรู้เรื่องเหล่านั้นนับว่าเป็นภาระ และเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ ความรู้นั้นครอบคลุมถึงหลากหลายสาขา อาทิ การศึกษา กฎหมาย วรรณกรรม คณิตศาสตร์ แพทยศาสตร์ ชีววิทยา และอื่นๆ ทั้งหมดนี้ตกทอดมาจากประสบการณ์ตรงของผู้คน สิ่งเหล่านี้คือรูปแบบของความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ผู้คนไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากความรู้เหล่านี้ และพวกเขาก็ควรที่จะศึกษามัน แต่กระนั้นก็มีความรู้บางรูปแบบที่เป็นพิษต่อมวลมนุษย์—ความรู้เหล่านั้นคือพิษร้ายเยี่ยงซาตาน เป็นสิ่งที่มาจากซาตาน จงดูตัวอย่างด้านสังคมศาสตร์ที่การสอนหมายรวมถึงเรื่องของแนวคิดอเทวนิยม วัตถุนิยม ทฤษฎีวิวัฒนาการ รวมไปถึงลัทธิขงจื๊อ ลัทธิคอมมิวนิสต์ และความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่คร่ำครึ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความรู้อันเป็นลบที่มาจากซาตาน และจุดประสงค์หลักของความรู้เหล่านี้คือเพื่อรังควาญ กัดกร่อน และบิดเบือนความคิดมนุษย์ ผูกมัดและควบคุมการคิดของผู้คน ไปถึงขั้นที่สร้างความเสียหาย ทำลาย และทำให้ผู้คนเสื่อมทราม ตัวอย่างเช่น การสืบทอดวงศ์ตระกูล ความกตัญญูกตเวที การเชิดชูวงศ์ตระกูล และคำกล่าวที่ว่า “จงฝึกฝนตัวเอง จัดการเรื่องราวในครอบครัวให้เรียบร้อย ปกครองประเทศชาติ และนำสันติสุขมาสู่ปวงชน”—ทั้งหมดนี้คือหลักคำสอนของวัฒนธรรมดั้งเดิม และนอกเหนือจากนี้ก็คือทฤษฎีเทววิทยาต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคมพลเมืองในปัจจุบันทั้งทางพุทธศาสนา ลัทธิเต๋า และศาสนาสมัยใหม่ สิ่งเหล่านี้ก็ถูกจัดอยู่ในขอบเขตของคำว่าความรู้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น คนบางคนทำหน้าที่เป็นศิษยาภิบาลหรือผู้ประกาศ หรือได้ศึกษาเล่าเรียนด้านเทววิทยามา ผลที่เกิดขึ้นจากการมีความรู้เช่นนั้นคืออะไรหรือ? สิ่งนี้เป็นพรหรือเป็นคำสาป? (คำสาป) สิ่งนี้กลายเป็นคำสาปไปได้อย่างไร? หากพวกเขาไม่พูด เช่นนั้นก็แล้วแต่—แต่เมื่อพวกเขาเปิดปากพูด คำสอนทางศาสนาก็พรั่งพรูออกมา พวกเขาพยายามประกาศคำสอนฝ่ายวิญญาณอยู่เสมอ พวกเขาปลูกฝังหนทางอันหน้าซื่อใจคดของฟาริสีให้ผู้คนแทนที่จะปล่อยให้พวกเขาเข้าใจความจริง โดยหลักแล้ว ความรู้ทางเทววิทยาเป็นเรื่องของทฤษฎีทางเทววิทยา ลักษณะที่เด่นชัดที่สุดของทฤษฎีทางเทววิทยาคืออะไร? ทฤษฎีเหล่านี้ปลูกฝังผู้คนว่าสิ่งนี้คือเรื่องฝ่ายวิญญาณ และเมื่อผู้คนหลงเชื่อในเรื่องฝ่ายงิญญาณจอมปลอมนั้นแล้ว นี่ก็ย่อมเป็นภาพจำแรกและเป็นภาพจำสุดท้ายของพวกเขา ต่อให้เจ้าได้ฟังพระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดง เจ้าก็จะไม่สามารถเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นได้ทันที และเจ้าจะถูกตีกรอบจากความรู้และทฤษฎีทั้งหลายของฟาริสี นี่เป็นสิ่งที่อันตรายมาก การที่บุคคลเช่นนั้นจะยอมรับความจริงย่อมเป็นเรื่องยากมิใช่หรือ? สรุปก็คือ หากเจ้าดำเนินชีวิตด้วยคำสอนและความรู้ และหากเจ้าปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติตนโดยพึ่งพาพรสวรรค์ของเจ้า เจ้าก็อาจจะทำสิ่งที่ดีได้บ้างอย่างที่ผู้อื่นเห็น แต่ขณะที่เจ้าดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่? เจ้ารับรู้ได้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังดำเนินชีวิตด้วยความรู้ของตัวเอง? เจ้ารู้สึกได้หรือไม่ว่าการดำเนินชีวิตด้วยความรู้สามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ใดได้บ้าง? เจ้าไม่ลงเอยด้วยความรู้สึกว่างเปล่าในหัวใจ ด้วยสำนึกที่ว่าการดำเนินชีวิตเช่นนั้นไร้ซึ่งนัยสำคัญหรอกหรือ? แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นกันแน่? คำถามเหล่านี้ควรได้รับการสะสาง นั่นคือประเด็นปัญหาที่พวกเรามีในเรื่องของความรู้
พวกเราเพิ่งพูดคุยถึงประเด็นปัญหาเรื่องความรู้และพรสวรรค์ไป ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง นั่นคือ มีคนมากมายเชื่อในพระเจ้าตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันโดยไม่เคยรู้เลยว่าความจริงคืออะไรหรือพวกเขาควรปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อมั่น หรือด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์มาโดยตลอด พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง พวกเขาวนเวียนอยู่กับการค้ำจุนสิ่งเหล่านี้ด้วยความหมกมุ่น และถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริงเสียด้วยซ้ำ พวกเขาคิดว่าตราบเท่าที่ตรากตรำปฏิบัติไปจนถึงปลายทาง พวกเขาก็ย่อมจะเป็นผู้ชนะและจะอยู่รอดต่อไป พวกเขาเชื่อในพระเจ้าด้วยศีลธรรมจากมโนคติอันหลงผิดดังกล่าว พวกเขาสามารถทนทุกข์ ยอมทิ้งครอบครัวและหน้าที่การงาน อีกทั้งปล่อยวางสิ่งทั้งหลายที่พวกเขารักได้—และพวกเขาก็ยังคงสรุปสิ่งต่างๆ มาเป็นข้อบังคับสองสามประการที่พวกเขาปฏิบัติราวกับเป็นความจริง ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนกำลังมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก หรือครอบครัวของใครบางคนกำลังเกิดความระหองระแหง พวกเขาก็เสนอตัวเข้าช่วยคนเหล่านั้น พวกเขาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ดูแล และเอาใจใส่คนเหล่านั้น เวลามีงานที่น่าเบื่อหรือจำเป็นต้องทำให้เสร็จ พวกเขาก็จะไปทำงานนั้นด้วยความกระตือรือร้น ความน่าเบื่อหรือความจำเป็นไม่ได้กวนใจพวกเขา พวกเขาไม่เรื่องมาก พวกเขาไม่ปะทะคารมกับผู้อื่นในยามที่จัดการคนเหล่านั้น และพวกเขาก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะบรรลุข้อตกลงร่วมกับทุกคนฉันมิตร พวกเขาไม่ทะเลาะกับใคร ทั้งยังเรียนรู้ที่จะอดกลั้นและมีเมตตาต่อผู้คน นั่นทำให้ทุกคนที่ใช้เวลาร่วมกับพวกเขาย่อมจะพูดว่าพวกเขาเป็นคนดีและเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง เมื่อเป็นเรื่องของพระเจ้า พวกเขาทำทุกอย่างที่พระองค์ทรงให้พวกเขาทำและไปทุกที่ที่พระองค์ทรงให้พวกเขาไปโดยไม่ขัดขืน พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยสิ่งใด? (ความกระตือรือร้น) นี่ไม่ใช่แค่ความกระตือรือร้นทั่วไป—พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อมั่นที่พวกเขาถือว่าถูกต้อง ผู้คนเช่นนั้นย่อมจะไม่เข้าใจความจริงแม้เชื่อในพระเจ้ามาแล้วหลายปี และจะไม่รู้ว่าการปฏิบัติความจริงคืออะไร การนบนอบพระเจ้าคืออะไร การทำให้พระเจ้าพอพระทัยคืออะไร การแสวงหาความจริงคืออะไร หรือหลักธรรมความจริงคืออะไร พวกเขาย่อมจะไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าคนที่ซื่อสัตย์คืออะไรหรือต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นเช่นนั้น พวกเขาเชื่อว่า “ทั้งหมดที่ฉันต้องทำคือใช้ชีวิตแบบนี้และติดตามต่อไป ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าประกาศคำเทศนาอะไร ฉันก็จะยึดมั่นการทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตัวเอง ไม่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อฉันยังไง ฉันก็จะไม่ล้มเลิกความเชื่อที่มีต่อพระองค์หรือจากพระองค์ไป ไม่ว่าถูกขอให้ปฏิบัติหน้าที่ใดฉันก็ทำได้ทั้งนั้น” พวกเขาอยู่ภายใต้ภาพจำที่ว่าการปฏิบัติเช่นนี้ย่อมทำให้พวกเขาได้รับการช่วยให้รอด อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ท่าทีของพวกเขาจะไม่ได้มีปัญหาใหญ่โตอะไร แต่การที่พวกเขาไม่เข้าใจความจริงแม้ได้ฟังคำเทศนามาแล้วหลายปีนั้นช่างน่าเวทนาเหลือเกิน พวกเขาไม่เข้าใจความจริงของการนบนอบหรือไม่รู้ว่าจะปฏิบัติความจริงนั้นอย่างไร พวกเขาไม่เข้าใจความจริงของการเป็นคนซื่อสัตย์ ความจริงของการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราอย่างจงรักภักดี หรือความหมายของการทำตัวสุกเอาเผากิน พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองโกหกหรือเป็นคนหน้าซื่อใจคดหรือไม่ ผู้คนเช่นนั้นไม่น่าเวทนาหรอกหรือ? (น่าเวทนา) พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยสิ่งใด? นี่อาจจะกล่าวได้ว่าพวกเขาดำเนินชีวิตด้วยหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ ใช่หรือไม่? เหตุใดจึงอาจจะเป็นเช่นนั้นเล่า? เพราะอย่างที่พวกเขาเชื่อว่า “หัวใจของฉันมีไว้ให้จักรวาลได้เห็น สิ่งนี้ไม่ชัดเจนสำหรับผู้คน พวกเขามองไม่เห็นสิ่งนี้—แต่ฟ้าสวรรค์ย่อมรู้” หัวใจที่ “จริงใจ” ของพวกเขาเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีใครสามารถเข้าใจหัวใจนี้ได้ ทั้งยังเป็นสิ่งที่เกินเอื้อมสำหรับทุกคน เหตุใดจึงเรียกสิ่งนี้ว่าหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ? เพราะพวกเขามีอารมณ์บางอย่าง มีความอ่อนไหว และพวกเขาใช้ความอ่อนไหวส่วนตัวหรือความคิดเพ้อฝันของตัวเองมาตีความว่าผู้เชื่อในพระเจ้าควรทำสิ่งใดและหน้าที่คืออะไร พวกเขายังใช้ความอ่อนไหวดังกล่าวในการประมวลข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่า “อันที่จริงพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนทำอะไรทั้งสิ้น และไม่ทรงต้องประสงค์ให้พวกเขามีทักษะมากมายหรือเข้าใจความจริงมากนัก การที่ใครบางคนจะมีหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ ย่อมเพียงพอแล้ว การเชื่อในพระเจ้านั้นแสนเรียบง่าย—ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือปฏิบัติตนด้วยจุดแข็งของหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ ต่อไป” ทว่าคำโกหก รวมถึงการขัดขืน ความเป็นกบฏ มโนคติอันหลงผิด และการทรยศของพวกเขายังไม่จบสิ้น ไม่ว่าพวกเขาทำอะไร พวกเขาก็ไม่รู้สึกว่าสิ่งนั้นสำคัญ แต่กลับคิดว่า “ฉันมีหัวใจที่รักพระเจ้า ไม่มีใครทำให้ความสัมพันธ์ของฉันกับพระเจ้าขาดสะบั้นลงได้ ไม่มีใครทำให้ความรักที่ฉันมีต่อพระเจ้าจืดจางลงได้ และไม่มีใครส่งผลต่อความจงรักภักดีที่ฉันมีต่อพระเจ้าได้” ความนึกคิดประเภทนี้คืออะไร? คือสิ่งที่ไร้สาระมิใช่หรือ? นี่เป็นความนึกคิดที่ไร้สาระ ทั้งยังน่าเวทนา ในวิญญาณของบุคคลเช่นนั้นมีสภาวะหนึ่งอยู่—นั่นคือแห้งผาก แร้นแค้น และน่าเวทนา เหตุใดจึง “แห้งผาก”? เพราะเมื่อพวกเขาเผชิญกับบางอย่างที่เรียบง่าย—พวกเขาก็พูดปดโดยบอกว่า—พวกเขาไม่รู้หรือไม่ตระหนักถึงเรื่องนั้น พวกเขาไม่รู้สึกตำหนิตัวเอง พวกเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาติดตามพระเจ้ามาถึงตอนนี้โดยไม่มีหลักเกณฑ์อันเข้มงวดในการประเมินสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนประเภทไหน และไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนหลอกลวงหรือไม่ สามารถเป็นคนซื่อสัตย์ได้จริงหรือไม่ หรือสามารถนบนอบข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าได้หรือไม่ พวกเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย พวกเขาน่าเวทนาเช่นนั้นเอง และวิญญาณของพวกเขาก็แห้งผาก เหตุใดจึงกล่าวว่าวิญญาณของพวกเขาแห้งผากหรือ? เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าต้องประสงค์สิ่งใดจากพวกเขา ทำไมพวกเขาจึงเชื่อในพระเจ้า หรือพวกเขาควรไล่ตามเสาะหาที่จะเป็นคนแบบใด พวกเขาไม่รู้ว่าการกระทำใดที่ไร้เหตุผลหรือการกระทำใดที่ละเมิดหลักธรรมความจริง พวกเขาไม่รู้ว่าควรนำท่าทีใดมาใช้กับคนชั่วและท่าทีแบบใดที่ควรนำมาใช้กับคนดี พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองควรปฏิสัมพันธ์กับใครหรือควรสร้างความสนิทชิดเชื้อกับใคร เมื่อพวกเขาคิดลบ พวกเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตกอยู่ในสภาวะใด นั่นคือความหมายของวิญญาณที่แห้งผาก พวกเจ้าเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่? (ใช่) เราไม่ปลื้มที่ได้ยินพวกเจ้ากล่าวเช่นนั้น แต่นั่นคือสภาวะของพวกเจ้า พวกเจ้าถือเอาอารมณ์เป็นใหญ่อยู่เสมอ และไม่มีผู้ใดรู้ว่าเมื่อไรเรื่องนั้นจะเปลี่ยนแปลง
การถือเอาอารมณ์เป็นใหญ่คืออะไร? พวกเราจะมาดูตัวอย่างกัน คนบางคนรู้สึกว่าตัวเองรักพระเจ้าอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวงและรู้สึกโชคดีเป็นทวีคูณที่ได้เกิดมาในยุคสุดท้าย ได้ยอมรับพระราขกิจช่วงระยะนี้ของพระเจ้า ได้ฟังพระวจนะของพระองค์ด้วยหูของพวกเขาและได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรู้สึกว่าพวกเขาควรจะหาวิธีการบางอย่างในการแสดงออกซึ่งหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ ของตัวเอง แล้วพวกเขาทำเช่นนั้นอย่างไรเล่า? อารมณ์ของพวกเขาผุดขึ้นมา ความกระตือรือร้นของพวกเขาพร้อมที่จะระเบิด พวกเขากลายเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเหตุมีผล และอารมณ์ของพวกเขาก็เริ่มผิดปกติ แล้วหลังจากนั้นความอัปลักษณ์ก็เกิดขึ้น ย้อนกลับมาที่จีนแผ่นดินใหญ่ พวกเขาตกอยู่ในสภาพแวดล้อมอันน่ารังเกียจเพราะเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาก็มีชีวิตที่ถูกกดขี่ ในตอนนั้นพวกเขามีความกระตือรือร้นและปรารถนาที่จะตะโกนออกไปว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์รักพระองค์!” ทว่าไม่มีที่ใดให้ทำเช่นนั้น—พวกเขาทำแบบนั้นไม่ได้เพราะกลัวถูกจับ ขณะนี้พวกเขาอยู่ต่างถิ่นและมีเสรีภาพในการเชื่อ ในที่สุดพวกเขาก็มีที่ให้ได้ระบายซึ่งหัวใจอันเปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ นั้นแล้ว พวกเขาจำเป็นต้องแสดงออกว่าพวกเขารักพระเจ้ามากเพียงใด ดังนั้นพวกเขาจึงออกไปตามถนนและหาที่ที่มีผู้คนอยู่รอบตัวไม่มากนักเพื่อที่จะตะโกนออกไปอย่างที่พวกเขาปรารถนา อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับรู้สึกหมดความมั่นใจที่จะตะโกนออกไปโดยไม่ทันที่จะได้ทำเช่นนั้น พวกเขามองไปรอบตัวและเสียงตะโกนของพวกเขาก็ไม่ออกมา สิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดของพวกเขาคืออะไร? “แบบนี้ใช้ไม่ได้ แค่มีหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ ยังไม่พอ ฉันยังไม่มีหัวใจที่รักพระเจ้า ไม่แปลกใจว่าทำไมฉันถึงไม่รู้ว่าจะตะโกนอะไร” และด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงกลับบ้านไปอธิษฐานถึงพระเจ้าทั้งน้ำตาด้วยความเศร้าใจและเจ็บปวดว่า “ข้าแต่พระเจ้า เมื่อครั้งที่ข้าพระองค์อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย ข้าพระองค์ก็ไม่กล้าตะโกนออกไปว่า ‘ข้าพระองค์รักพระองค์’ ตอนนี้ข้าพระองค์อยู่ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยแล้ว แต่ข้าพระองค์ก็ยังไม่มีความมั่นใจ ข้าพระองค์ตะโกนไม่ออก ดูเหมือนว่าข้าพระองค์มีวุฒิภาวะและความมั่นใจน้อยเหลือเกิน ข้าพระองค์ไม่ได้มีชีวิตเลย” นับแต่นั้นมาพวกเขาก็อธิษฐานเกี่ยวกับประเด็นปัญหานี้ รวมถึงเตรียมการและทุ่มเทให้กับเรื่องนี้ พวกเขามักจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าและตื้นตันใจจนร้องไห้เพราะพระวจนะเหล่านั้น อีกทั้งอารมณ์และความกระตือรือร้นก็ก่อตัวและเพิ่มพูนขึ้นในหัวใจของพวกเขา การนี้ดำเนินไปจนกระทั่งวันหนึ่ง พวกเขารู้สึกมีอารมณ์เต็มเปี่ยมมากพอที่จะออกไปยังลานสาธารณะซึ่งรองรับผู้คนได้หลายพันคนและตะโกนว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์รักพระองค์!” ต่อหน้ามวลชน—แต่เมื่อพวกเขาไปยังที่แห่งนั้นและเห็นผู้คนทั้งหมด พวกเขาก็ตะโกนไม่ออก บางทีแม้กระทั่งในเวลานี้พวกเขาอาจจะยังไม่ได้ตะโกนออกไปเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าพวกเขาตะโกนออกไปหรือไม่ การนั้นจะมีความหมายอะไรเล่า? การตะโกนออกไปแบบนั้นเป็นการปฏิบัติความจริงหรือ? สิ่งนี้เป็นคำพยานให้พระเจ้างั้นหรือ? (ไม่) แล้วเหตุใดพวกเขาจึงตั้งใจที่จะตะโกนออกไปเช่นนั้น? พวกเขายึดติดอยู่กับความเชื่อที่ว่า การที่พวกเขาตะโกนออกไปเช่นนั้นย่อมจะหนักแน่นและเห็นผลมากกว่าการเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าด้วยวิธีอื่น นั่นคือความหมายของการเป็นคนที่มีหัวใจเปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ การเป็นคนที่มีอารมณ์เช่นนั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือแย่? นี่เป็นสิ่งที่ปกติหรือผิดปกติ? สิ่งนี้สามารถจัดอยู่ในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้หรือไม่? (ไม่ได้) เหตุใดจึงไม่ได้เล่า? เป้าหมายของพระเจ้าในการให้ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของตน รวมถึงเข้าใจและปฏิบัติความจริงคืออะไร? คือเพื่อให้ผู้คนมีอารมณ์รักต่อพระองค์หรือมีอารมณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ของตนพุ่งพล่านมากขึ้นใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) พวกเจ้ามีอารมณ์เช่นนั้นเป็นบางครั้ง หรืออาจจะมีอยู่บ่อยครั้งใช่หรือไม่? (ใช่) เมื่อเจ้ามีอารมณ์เช่นนั้น เจ้ารู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นมากระทันหันและผิดปกติ หรือรู้สึกว่ายากที่จะข่มไว้? เจ้าต้องระงับอารมณ์เหล่านั้นไว้แม้ยากจะข่มมากเพียงใดก็ตาม นอกจากนี้สิ่งเหล่านี้ยังเป็นเพียงอารมณ์ ไม่ใช่ความสำเร็จที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้คนเข้าใจและปฏิบัติความจริง หรือหลังจากที่พวกเขาได้เดินตามหนทางของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เป็นสภาวะที่ผิดปกติ เช่นนั้นแล้วสภาวะอันผิดปกตินี้สามารถจัดอยู่ในความดื้อรั้นขั้นรุนแรงได้หรือไม่? เรื่องนั้นต่างกันไปตามกรณี สิ่งนี้มีระดับที่แตกต่างกันอยู่ นั่นคือ บางอารมณ์สามารถจัดอยู่ในความดื้อรั้นขั้นรุนแรงได้ และบางอารมณ์ก็เกิดขึ้นในระดับที่ไร้สาระ การที่ใครบางคนเกิดอารมณ์นี้ขึ้นมาเล็กน้อยเป็นครั้งคราวนั้นเป็นเรื่องปกติ แล้วการสำแดงอารมณ์ดังกล่าวแบบใดที่ผิดปกติ? การทำอะไรบางอย่างด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจข่มไว้ได้นั่นเอง เมื่อคนเราใช้ชีวิตทุกๆ วันตะเกียกตะกายเพื่อสิ่งนั้น อ่านพระวจนะของพระเจ้าและเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อสิ่งนั้น อีกทั้งปฏิบัติหน้าที่ใดก็ตามเพื่อสิ่งนั้น—เมื่อทุกสิ่งหมุนรอบสิ่งนั้น อีกทั้งสิ่งนั้นได้กลายเป็นคุณค่าและนัยสำคัญของชีวิตและการดำรงอยู่ของพวกเขา—นั่นย่อมเป็นปัญหา เป้าหมายและทิศทางของบุคคลนั้นเกิดเฉออกไป ผู้คนที่ดำเนินชีวิตด้วยหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ นั้นมีความอัปลักษณ์อยู่ พวกเขามีความดื้อรั้นบางอย่าง ทั้งยังมีอารมณ์ที่ผิดปกติ หากใครบางคนดำเนินชีวิตด้วยสิ่งเหล่านี้และมักจะใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะดังกล่าว พวกเขาจะสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) หากพวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ ในยามที่พวกเขาฟังคำเทศนา กรอบความคิดของพวกเขาจะเป็นเช่นไร? เจตนาที่พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าคืออะไร? คนที่เชื่อในพระเจ้าด้วยพิธีกรรมทางศาสนากับหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ อยู่เสมอนั้นสามารถเข้าใจและได้รับความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) เหตุใดจึงไม่ได้? ทั้งหมดที่พวกเขาทำไม่ได้อ้างอิงตามความจริง ทว่าอ้างอิงตามทฤษฎีทางศาสนาและมโนคติอันหลงผิดกับความคิดฝัน และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องของการไล่ตามเสาะหาและการปฏิบัติความจริงเช่นกัน พวกเขาไม่สนใจเลยว่าอันที่จริงความจริงคืออะไรหรือพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่าอย่างไร พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ราวกับทั้งหมดที่คนเราต้องการสำหรับการเชื่อในพระเจ้าคือหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ ราวกับทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำคือจัดการสิ่งทั้งหลายและทุ่มเทความพยายามในคริสตจักร สำหรับพวกเขาเป็นเรื่องที่เรียบง่ายเช่นนั้นเอง พวกเขาไม่เข้าใจว่าการเข้าใจและปฏิบัติความจริงคืออะไร และไม่เข้าใจว่าต้องไล่ตามเสาะหาสิ่งใดเพื่อให้ได้รับการช่วยให้รอด พวกเขาอาจจะนึกถึงเรื่องพวกนี้เป็นครั้งคราว ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจมันได้ พวกเขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “ตราบเท่าที่ฉันมีความกระตือรือร้น มีอารมณ์พุ่งพล่านมากขึ้น และรักษาเอาไว้จนถึงปลายทางได้ ฉันก็น่าจะได้รับการช่วยให้รอด” และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงทำแต่สิ่งที่โง่เขลา สิ่งที่ขัดต่อหลักธรรมความจริงเพราะถูกอารมณ์อันพุ่งพล่านพัดพาไป ท้ายที่สุดพวกเขาย่อมถูกเผยให้เห็นและถูกกำจัด สุดท้ายแล้วอารมณ์อันพุ่งพล่านจึงดูไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก
มีอีกสภาวะหนึ่งที่ค่อนข้างร้ายแรงจากการดำเนินชีวิตด้วยหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ นั่นคือคนบางคนมักพึ่งพาความกระตือรือร้นเพื่อที่จะเชื่อในพระเจ้าอยู่เสมอนั่นเอง ไฟในหัวใจของพวกเขาไม่เคยมอดดับ พวกเขาคิดว่าสิ่งเดียวพวกเขาต้องการในการเชื่อพระเจ้าคือหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ พวกเขาคิดว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องเข้าใจความจริง ฉันไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตัวเอง และฉันไม่จำเป็นต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อสารภาพบาปและกลับใจ—แน่นอนว่าฉันไม่จำเป็นต้องยอมรับการพิพากษา การตีสอน การตัดแต่ง หรือการตำหนิและการวิพากษ์วิจารณ์จากใครทั้งนั้น” “ฉันไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น ทั้งหมดที่ฉันต้องการคือหัวใจอันเปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ” นี่เป็นหลักธรรมในการเชื่อพระเจ้าของพวกเขา พวกเขาคิดว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องยอมรับการพิพากษาและการตีสอน แค่ฉันรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเองก็พอ ฉันเชื่อว่าพระเจ้าต้องพอพระทัยที่ฉันทำแบบนั้นอย่างแน่นอน ถ้าฉันมีความสุข พระเจ้าก็ทรงมีความสุข—ทั้งหมดคือแค่นั้นเอง ถ้าฉันเชื่อในพระเจ้าแบบนั้น ฉันก็จะได้รับการช่วยให้รอด” นี่คือวิธีคิดที่ไร้เดียงสาเสียเหลือเกินมิใช่หรือ? พวกเจ้าเคยอยู่ในสภาวะเช่นนั้นใช่หรือไม่? (ใช่) หากพวกเจ้าดำเนินชีวิตไปจนถึงปลายทางด้วยสภาวะเช่นนั้นโดยไม่อาจกลับเนื้อกลับตัวได้เลย เช่นนั้นก็พอจะกล่าวได้ว่าพวกเจ้าไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อย ความจริงไม่มีผลอันใดต่อพวกเจ้าเลย พวกเจ้าไม่รู้ว่าเป้าหมายหรือนัยสำคัญของความรอดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์คืออะไร และไม่เข้าใจว่าความเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องของอะไร สิ่งใดคือความแตกต่างระหว่างความเชื่อในพระเจ้ากับการเชื่อในศาสนา ทุกคนมโนภาพการเชื่อในศาสนาว่าเป็นเพราะบุคคลนั้นขาดพร่องการดำรงชีพ ว่าพวกเขาอาจจะมีความลำบากยากเย็นที่บ้าน หากไม่เช่นนั้น ก็เป็นว่าพวกเขาต้องการที่จะค้นหาบางสิ่งที่จะพึ่งพิง ที่จะค้นหาเสบียงอาหารทางจิตวิญญาณ บ่อยครั้งที่การเชื่อในศาสนาไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าการให้ผู้คนเป็นคนดี มีเมตตากรุณา ช่วยเหลือผู้อื่น ใจดีต่อผู้อื่น ทำความประพฤติดีให้มากขึ้นเพื่อสั่งสมคุณธรรม ไม่ก่อฆาตกรรมหรือการลอบวางเพลิง ไม่ทำผิดกฎหมายหรือก่ออาชญากรรม ไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่ไม่ดี ไม่ทำร้ายผู้คนหรือสาปแช่งพวกเขา ไม่ขโมยหรือปล้น และไม่เล่นไม่ซื่อและฉ้อโกง นี่คือมโนทัศน์แห่ง “การเชื่อในศาสนา” ซึ่งดำรงอยู่ในจิตใจของทุกคน มโนทัศน์แห่งการเชื่อในศาสนาดำรงอยู่ภายในหัวใจของพวกเจ้าในวันนี้มากเพียงใดเล่า? สิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อในศาสนานั้นสอดคล้องกับความจริงหรือไม่? สิ่งเหล่านั้นมาจากไหนกันแน่? พวกเจ้ารู้หรือไม่? หากพวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าด้วยหัวใจที่แอบแฝงการเชื่อในศาสนา ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรหรือ? นี่คือหนทางที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้าใช่หรือไม่? ระหว่างสภาวะของการเชื่อในศาสนากับสภาวะของการมีความเชื่อในพระเจ้านั้นมีความแตกต่างอยู่หรือไม่? อะไรคือความแตกต่างระหว่างการเชื่อในศาสนากับความเชื่อในพระเจ้า? ในตอนแรกที่เจ้าได้เริ่มเชื่อในพระเจ้า เจ้าอาจได้รู้สึกว่า การเชื่อในศาสนาและการมีความเชื่อในพระเจ้าคือสิ่งเดียวกัน แต่ในวันนี้ หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี เจ้าคิดว่าการมีความเชื่อจริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่? มีความแตกต่างอันใดไปจากการเชื่อในศาสนาหรือไม่? การเชื่อในศาสนาหมายถึงการปฏิบัติตามพิธีกรรมบางอย่างเพื่อที่จะนำพาความสุขและความชูใจมาสู่จิตวิญญาณของคนเรา นั่นไม่สัมพันธ์กับคำถามที่ว่าผู้คนเดินบนเส้นทางใดหรือพวกเขาใช้ชีวิตของพวกเขาอย่างไร ในโลกภายในของเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใดเลย เจ้ายังคงเป็นเจ้า และแก่นแท้ธรรมชาติของเจ้ายังคงเป็นเหมือนเดิม เจ้ายังไม่ได้ยอมรับความจริงที่มาจากพระเจ้าและยังไม่ได้ทำให้ความจริงเหล่านั้นเป็นชีวิตของเจ้า แต่เพียงแค่ได้ทำความประพฤติดีบางอย่างหรือปฏิบัติตามพิธีกรรมและข้อบังคับ เจ้าเพียงแค่ทำกิจกรรมบางอย่างที่สัมพันธ์กับการเชื่อในศาสนา—แค่การนี้เท่านั้น ทั้งหมดก็เท่านั้นเอง อย่างนั้นแล้วความเชื่อในพระเจ้าหมายถึงสิ่งใด? สิ่งนี้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีที่เจ้าใช้ชีวิต นั่นหมายถึงว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงในค่านิยมของการดำรงอยู่ของเจ้าและเป้าหมายในชีวิตของเจ้าแล้ว แต่เดิมนั้นเจ้าได้ใช้ชีวิตเพื่อสิ่งทั้งหลาย อาทิ การให้เกียรติบรรพบุรุษของเจ้า การโดดเด่นจากฝูงชน การมีชีวิตที่ดี และการเพียรพยายามให้ได้ชื่อเสียงและโชคลาภ วันนี้ เจ้าได้ทอดทิ้งสิ่งเหล่านั้นแล้ว เจ้าไม่ติดตามซาตานอีกต่อไป แต่เจ้าปรารถนาที่จะละทิ้งมัน ที่จะละทิ้งกระแสนิยมชั่วนี้ เจ้ากำลังติดตามพระเจ้า สิ่งที่เจ้ายอมรับคือความจริง และเส้นทางที่เจ้าเดินคือเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง ทิศทางของชีวิตของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงแล้วอย่างครบบริบูรณ์ หลังจากเชื่อในพระเจ้า เจ้าย่อมเข้าหาชีวิตอย่างแตกต่างออกไป การมีหนทางแห่งชีวิตที่แตกต่างออกไป การติดตามพระผู้สร้าง การยอมรับและนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง การยอมรับความรอดของพระผู้สร้าง และการกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงในท้ายที่สุด การนี้ไม่ได้กำลังเปลี่ยนแปลงหนทางแห่งชีวิตของเจ้าหรอกหรือ? นั่นคือสิ่งตรงข้ามอันครบบริบูรณ์กับการไล่ตามเสาะหาก่อนหน้านี้ หนทางแห่งชีวิตของเจ้า รวมถึงแรงจูงใจและนัยสำคัญเบื้องหลังทั้งหมดที่เจ้าทำ—สิ่งเหล่านี้ไม่ลงรอยกันทั้งสิ้น ไม่แม้แต่จะอยู่ในขอบเขตเดียวกัน พวกเราจะจบเรื่องของความแตกต่างระหว่างความเชื่อในพระเจ้ากับการเชื่อในศาสนาไว้แค่นั้น พวกเจ้าสามารถมองเห็นสภาวะของการมี “หัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ” ที่พวกเราพูดถึงในตัวเจ้าเองได้หรือไม่? (ได้) แล้วพวกเจ้าดำเนินชีวิตด้วยหัวใจที่เปลือยเปล่าและไร้เดียงสาเป็นส่วนมาก หรือเจ้าแค่มีสภาวะนั้นอยู่เป็นครั้งคราว? หากเจ้ามีสภาวะนั้นอยู่เป็นครั้งคราว นี่ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าได้ทิ้งสภาวะนั้นไปแล้วและได้เริ่มไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าเริ่มหลุดจากสภาวการณ์นั้นแล้ว หากเจ้ายังคงดำเนินชีวิตด้วยหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ เป็นส่วนมากและไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตด้วยพระวจนะของพระเจ้าและความจริงอย่างไร ไม่รู้ว่าจะสลัดทิ้งซึ่งการบีบคั้นจากหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ อีกทั้งหลุดพ้นจากสภาวะนั้นอย่างไร นี่ก็ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้กำลังใช้ชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้ายังไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรหรือจะแสวงหาความจริงนั้นอย่างไร นี่คือความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงใช่หรือไม่? (ใช่) หากเจ้าดำเนินชีวิตในหนทางนั้นต่อไปโดยไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อย เจ้าย่อมตกอยู่ในอันตราย—เจ้าจะต้องถูกกำจัดออกไปในไม่ช้าก็เร็ว ในเรื่องที่ว่าหัวใจอันเปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ เกิดขึ้นมาอย่างไรนั้น เจ้าจะต้องแสวงหาความจริง ชำแหละสภาวะ และเปลี่ยนแปลงสภาวะนั้นเสีย ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใดคนเราถึงมีหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ ผลของการพึ่งพาศรัทธาอันแรงกล้าในการเชื่อพระเจ้าคืออะไร เจ้าจะได้รับความจริงจากการเชื่อในพระเจ้าเช่นนั้นหรือไม่ การนั้นจะเสริมความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้นหรือไม่—เจ้าต้องเข้าใจคำถามเหล่านี้อย่างชัดเจนในหัวใจ การนี้พึงให้เจ้านำตัวเองมาเปรียบเทียบ ทบทวน และแสวงหาหนทางแก้ไข
มีบุคคลประเภทหนึ่งคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยหัวใจที่กระตือรือร้น สำหรับพวกเขาแล้วให้ทำหน้าที่ใดก็ได้ และเจอเรื่องยากลำบากเล็กน้อยก็ได้ แต่พื้นอารมณ์ของพวกเขาไม่มั่นคง—พวกเขาถืออารมณ์เป็นใหญ่และเอาแน่เอานอนไม่ได้ พวกเขากระทำการตามอารมณ์ของตนเพียงอย่างเดียว ในยามที่มีความสุข พวกเขาก็ทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ดี ทั้งยังเข้ากับคนที่เป็นคู่ทำงานและคนที่พวกเขาข้องเกี่ยวได้เป็นอย่างดี พวกเขาเต็มใจที่จะรับผิดชอบหน้าที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน—ไม่ว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่ พวกเขาก็มีสำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่นั้น นั่นคือวิธีที่พวกเขาปฏิบัติตนเมื่อพวกเขาอยู่ในสภาวะที่ดี การที่พวกเขาอยู่ในสภาวะที่ดีอาจจะมีเหตุผลอยู่ นั่นคือ พวกเขาอาจได้รับการชมเชยเพราะทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีและได้รับความนับถือกับความเห็นชอบจากคนในกลุ่ม หรืออาจจะมีผู้คนมากมายเห็นคุณค่าในงานที่พวกเขาทำ พวกเขาจึงรู้สึกพองโตราวกับลูกโป่งที่พองขึ้นเรื่อยๆ จากคำชมเชยแต่ละคำที่เป่าเข้าไป และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติหน้าที่เดิมต่อไปในทุกวัน ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือแสวงหาหลักธรรมความจริง พวกเขากระทำการตามจุดแข็งจากประสบการณ์ของตัวเองอยู่เสมอ ประสบการณ์ใช่ความจริงหรือไม่? การกระทำการตามประสบการณ์นั้นเชื่อถือได้หรือไม่? การนั้นสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่? การกระทำตามประสบการณ์นั้นไม่สอดคล้องกับหลักธรรม สิ่งนี้ย่อมจะมีคราวที่ล้มเหลวอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นวันที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีย่อมมาถึง สิ่งต่างๆ มากมายเกิดผิดพลาด และพวกเขาถูกตัดแต่ง คนในกลุ่มไม่พอใจในตัวพวกเขา แล้วจากนั้นพวกเขาก็คิดลบขึ้นมาว่า “ฉันจะไม่ปฏิบัติหน้าที่นี้อีกต่อไปแล้ว ฉันทำหน้าที่ได้แย่ พวกคุณดีกว่าฉันกันทั้งนั้น ฉันเองที่เป็นคนไม่ได้เรื่อง ใครเต็มใจจะทำหน้าที่นี้ก็เชิญเลย!” ใครบางคนสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา แต่นั่นไม่ได้เข้าหูพวกเขา และพวกเขาก็ไม่เข้าใจ ทั้งยังกล่าวว่า “จะสามัคคีธรรมเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร? ฉันไม่สนใจว่านี่ใช่ความจริงหรือเปล่า—ฉันจะทำหน้าที่ของฉันตอนที่มีความสุข ถ้าไม่มีความสุขฉันก็จะไม่ทำ ทำไมต้องทำให้มันซับซ้อนมากขนาดนั้น? ฉันไม่ทำตอนนี้หรอก ฉันจะรอวันที่มีความสุขก่อน” พวกเขาเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ในการฟังคำเทศนาและการเข้าชุมนุม หรือในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นของพวกเขา—ในทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับแง่มุมใดก็ตามในชีวิตของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาเปิดเผยคืออาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ชั่วขณะหนึ่งมีความสุขจนตัวลอยและต่อมาก็หดหู่ ชั่วขณะหนึ่งเย็นชาและต่อมาก็รุ่มร้อน ชั่วขณะหนึ่งคิดลบและต่อมาก็คิดบวก สรุปคือสภาวะทั้งดีและแย่ของพวกเขาค่อนข้างชัดแจ้งอยู่เสมอ เจ้าย่อมเห็นสิ่งนี้ได้ในทันที พวกเขาขาดความสม่ำเสมอในทุกสิ่งที่ทำ เพียงแต่ปล่อยตัวไปตามพื้นอารมณ์ของตัวเอง ในยามที่มีความสุขพวกเขาก็ทำงานได้ดีขึ้น แต่ในยามที่พวกเขาไม่มีความสุข พวกเขาก็ทำงานได้แย่—พวกเขาอาจจะหยุดและเลิกทำงานนั้นไปเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าพวกเขาทำสิ่งใดอยู่ พวกเขาก็ต้องทำตามอารมณ์ ตามสภาพแวดล้อม และตามความต้องการของตัวเอง พวกเขาไร้ซึ่งเจตจำนงที่จะก้าวผ่านความยากลำบาก พวกเขาเอาแต่ใจและเคยตัว ตีโพยตีพาย ไม่ฟังเหตุผล ทั้งยังไม่ทำอะไรเพื่อควบคุมนิสัยนั้นเลย ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ล่วงเกินพวกเขา ใครก็ตามที่ทำเช่นนั้นย่อมเป็นสนามอารมณ์ที่มาราวกับพายุของพวกเขา—และทันทีที่เรื่องนั้นผ่านไป พวกเขาก็คิดลบและหดหู่ในอารมณ์ ที่มากกว่านั้นคือ พวกเขาทำทุกอย่างตามความชอบส่วนตน “ถ้าฉันชอบงานนี้ ฉันก็จะทำ แต่ถ้าฉันไม่ชอบฉันก็จะไม่ทำ และจะไม่มีวันทำ พวกคุณคนไหนเต็มใจที่จะทำก็ทำได้เลย เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว” นี่คือคนประเภทใด? เมื่อพวกเขามีความสุขและอยู่ในสภาวะที่ดี พวกเขาก็เกิดความตื่นเต้นขึ้นในหัวใจและกล่าวว่าพวกเขาต้องการที่จะรักพระเจ้า พวกเขาตื่นเต้นมากเสียจนร้องไห้ น้ำตาแห่งความรู้สึกอันท่วมท้นไหลอาบหน้า พลางสะอื้นไห้เสียงดัง หัวใจของพวกเขาเป็นหัวใจที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงงั้นหรือ? สภาวะของการรักพระเจ้าด้วยหัวใจนั้นเป็นสภาวะที่ปกติ แต่เมื่อดูที่อุปนิสัย พฤติกรรม และการเผยของพวกเขา เจ้าย่อมจะคิดว่าพวกเขาเป็นเด็กที่อายุสิบกว่าปี อุปนิสัยนี้ของพวกเขาและหนทางในการดำเนินชีวิตของพวกเขานั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ พวกเขาไม่สม่ำเสมอ ไม่จงรักภักดี ขาดความรับผิดชอบ และไม่เอาไหนในทุกสิ่งที่ทำ พวกเขาไม่เคยประสบกับความยากลำบากและไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบ เมื่อพวกเขามีความสุข พวกเขาก็ทำได้ทุกอย่าง ความยากลำบากเล็กน้อยนั้นไม่เป็นไร และหากผลประโยชน์ของพวกเขาได้รับความเสียหาย นั่นก็ไม่เป็นไรเช่นกัน แต่หากพวกเขาไม่มีความสุข พวกเขาก็จะไม่ทำอะไรทั้งสิ้น พวกเขาเป็นคนประเภทใดหรือ? สภาวะเช่นนั้นปกติหรือไม่? (ไม่ปกติ) นี่เป็นประเด็นปัญหาที่เกินกว่าเรื่องของสภาวะที่ผิดปกติ—นี่คือการสำแดงถึงความเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างสุดขีด ความโง่เขลาและไม่รู้ความอันสุดโต่ง และความไม่รู้จักโตอย่างที่สุด ปัญหาของความเอาแน่เอานอนไม่ได้คืออะไร? บางคนอาจจะกล่าวว่า “ปัญหานั้นคือความไม่มั่นคงทางพื้นอารมณ์ พวกเขายังเด็กเกินไปและผ่านความยากลำบากมาน้อยเกินไป แถมบุคลิกของพวกเขาก็ยังไม่อยู่ตัว ดังนั้นพฤติกรรมของพวกเขาจึงมีความเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่บ่อยครั้ง” ข้อเท็จจริงก็คือ ความเอาแน่เอานอนไม่ได้นั้นไม่เกี่ยวกับอายุ บางครั้งคนที่อายุสี่สิบกว่าและคนที่อายุไม่ต่ำกว่าเจ็ดสิบปีก็ทำตัวเอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นกัน เรื่องนี้จะอธิบายว่าอย่างไร? ที่จริงแล้วความเอาแน่เอานอนไม่ได้เป็นปัญหาในอุปนิสัยของคนเรา และเป็นอุปนิสัยที่ร้ายแรงที่สุดเท่านั้นเอง! หากพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่สำคัญ สิ่งนี้อาจจะทำให้หน้าที่ดังกล่าวและความคืบหน้าของงานล่าช้า ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และกับหน้าที่ธรรมดาทั่วไปก็เช่นกัน อุปนิสัยนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อหน้าที่เหล่านั้นอยู่เป็นครั้งคราว และกีดขวางสิ่งทั้งหลาย อุปนิสัยนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อพวกเขาเอง หรือต่องานของคริสตจักรแต่อย่างใด งานเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเขาทำและราคาที่พวกเขาจ่ายแลกมาด้วยการขาดทุนสุทธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ไม่เหมาะที่จะปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า และผู้คนเช่นนั้นก็มีอยู่มากมาย ความเอาแน่เอานอนไม่ได้เป็นการสำแดงที่พบได้ทั่วไปมากที่สุดในบรรดาอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ในทางปฏิบัติแล้วคนทุกคนต่างมีอุปนิสัยดังกล่าวอยู่ แล้วอุปนิสัยที่ว่านั้นคืออะไร? โดยธรรมชาติแล้ว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทุกประการต่างเป็นหนึ่งในอุปนิสัยทั้งหลายของซาตาน และความเอาแน่เอานอนไม่ได้ก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม พูดแบบละมุนละม่อมคือ สิ่งนี้ไม่ใช่การรักหรือยอมรับความจริง พูดแบบหนักหน่วงขึ้นก็คือ สิ่งนี้เป็นการรังเกียจและเกลียดชังความจริง คนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้สามารถนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่? ไม่ได้อย่างแน่นอน พวกเขาอาจทำได้ชั่วขณะในยามที่มีความสุขและได้ประโยชน์ แต่เมื่อพวกเขาไม่มีความสุขและไม่ได้ประโยชน์ พวกเขาก็พลันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและกล้าที่จะต้านทานและทรยศพระองค์ พวกเขาจะกล่าวกับตัวเองว่า “ฉันไม่สนหรอกว่านี่คือความจริงหรือเปล่า—สิ่งสำคัญคือฉันมีความสุข ฉันพึงพอใจ ถ้าฉันไม่มีความสุข ใครจะพูดอะไรก็ไม่ช่วยทั้งนั้น! ความจริงสำคัญตรงไหน? พระเจ้าสำคัญยังไง? ฉันนี่แหละเจ้านาย!” นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทใด? (การเกลียดชังความจริง) นี่คืออุปนิสัยที่เกลียดชังความจริง คืออุปนิสัยที่รังเกียจความจริง ในอุปนิสัยนี้มีองค์ประกอบของความโอหังและความทะนงตนอยู่ใช่หรือไม่? มีองค์ประกอบของการดื้อแพ่งอยู่ใช่หรือไม่? (ใช่) ในที่นี้ยังมีสภาวะที่ร้ายแรงอีกประการหนึ่ง เมื่อพวกเขาอารมณ์ดี พวกเขาก็ดีกับทุกคนและมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง ผู้คนย่อมคิดว่าพวกเขาเป็นคนดี นบนอบ เป็นคนที่เต็มใจยอมลำบาก และรักความจริงอย่างแท้จริง แต่ทันทีที่พวกเขาเกิดคิดลบ พวกเขาก็จะหยุดทำงาน พร่ำบ่น และไม่ฟังเหตุผลเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้เองที่ด้านชั่วร้ายของพวกเขาโผล่ออกมา ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ตำหนิพวกเขาได้ พวกเขาจะถึงขั้นกล่าวว่า “ฉันเข้าใจความจริงทุกอย่าง แค่ไม่ปฏิบัติเท่านั้นเอง สำหรับฉัน แค่ฉันสบายใจกับตัวเองก็พอแล้ว!” นี่คืออุปนิสัยใดหรือ? (ความชั่วร้าย) คนชั่วเหล่านี้ไม่เพียงแต่พร้อมที่จะสู้กลับคนที่อาจจะตัดแต่งพวกเขาเท่านั้น พวกเขายังถึงกับทำร้ายและสร้างความเสียหายต่อคนเหล่านั้นราวกับปีศาจชั่ว ไม่มีใครกล้ายุ่งกับพวกเขา นี่คือการที่พวกเขาเอาแน่เอานอนไม่ได้และชั่วร้ายอย่างมากมิใช่หรือ? นี่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับการอายุน้อยใช่หรือไม่? หากพวกเขาอายุมากขึ้น พวกเขาจะเลิกเอาแน่เอานอนไม่ได้งั้นหรือ? หากพวกเขาอายุมากขึ้น พวกเขาจะรอบคอบและมีเหตุมีผลมากขึ้นงั้นหรือ? ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่เรื่องของบุคลิกหรืออายุของพวกเขา อุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ฝังรากลึกซ่อนตัวอยู่ในเรื่องนี้ พวกเขาถูกควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และพวกเขาดำเนินชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั่นเอง คนที่ดำเนินชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมีความนบนอบอยู่ในตัวหรือไม่? พวกเขาสามารถแสวงหาความจริงได้หรือไม่? พวกเขามีส่วนที่รักความจริงอยู่หรือไม่? (ไม่) ไม่ ไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย พวกเจ้าทุกคนต่างมีสภาวะที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ใช่หรือไม่? (ใช่) หากพวกเราไม่ได้สามัคคีธรรมเรื่องนี้ พวกเจ้าจะรู้สึกว่าสภาวะนี้เป็นปัญหาหรือไม่ (ไม่รู้สึก) ในตอนนี้ที่ได้สามัคคีธรรมเรื่องนี้แล้ว พวกเจ้าก็รู้สึกว่านี่เป็นปัญหาที่ค่อนข้างร้ายแรงใช่หรือไม่? (ใช่) บางครั้ง ความเอาแน่เอานอนไม่ได้ในบางโอกาสก็เกิดขึ้นจากมูลเหตุตามความเป็นจริง สิ่งนั้นไม่ใช่ปัญหาทางอุปนิสัย ทุกปัญหาทางอุปนิสัย และทุกการเผยถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในการกระทำของคนเราย่อมจะก่อให้เกิดผลอันเป็นลบตามมา นี่คือตัวอย่างของมูลเหตุตามความเป็นจริง สมมุติว่าวันนี้ใครบางคนปวดท้องอย่างรุนแรง พวกเขาปวดมากเสียจนแทบจะไม่มีแรงพูด พวกเขาเพียงต้องการเอนตัวนอนสักพักหนึ่ง ทันใดนั้นใครบางคนก็เข้ามาพูดคุยกับพวกเขาสองสามคำ และน้ำเสียงที่พวกเขาตอบกลับไปก็มีความกระด้างอยู่เล็กน้อย นี่เป็นปัญหาทางอุปนิสัยของพวกเขาใช่หรือไม่? ไม่ นี่ไม่ใช่ปัญหาทางอุปนิสัย พวกเขาเป็นเช่นนั้นเพียงเพราะพวกเขาป่วยและเจ็บปวด หากในเวลาปกติพวกเขาเป็นคนประเภทนั้น เป็นคนที่พูดจาเช่นนั้น นั่นจึงจะเป็นปัญหาทางอุปนิสัย ในกรณีนี้ พวกเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แย่เพราะความเจ็บปวดของพวกเขาได้เลยขีดจำกัดบางอย่างไปแล้ว นั่นเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ หากมีมูลเหตุตามความเป็นจริง และเมื่อพิจารณาถึงรูปการณ์แวดล้อมแล้วทุกคนยอมรับว่าการพูดหรือการกระทำเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ให้อภัยกันได้และมีเหตุมีผล ทั้งยังเป็นเพียงธรรมชาติของมนุษย์ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นพฤติกรรมและการเผยถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ยกตัวอย่างใครบางคนที่สูญเสียญาติพี่น้องและเริ่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ นั่นเป็นเรื่องปกติทีเดียว ทว่าย่อมจะมีคนที่ตัดสินพวกเขาและกล่าวว่า “คนคนนี้อ่อนไหวเสียจริง พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาตลอดหลายปีแต่ยังปล่อยวางความรักใคร่ที่มีต่อครอบครัวของตัวเองไม่ได้ พวกเขาถึงกับร้องไห้เวลาที่มีญาติพี่น้องเสียชีวิต ช่างโง่เขลาจริงๆ!” ต่อมา บังเอิญว่ามารดาของผู้พูดได้เสียชีวิตลง พวกเขากลับร้องไห้หนักกว่าใคร คนเราควรมองดูเรื่องนี้อย่างไรหรือ? เจ้าไม่สามารถนำข้อบังคับมาปรับใช้หรือใช้การไปทั่วแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้—บางอย่างมีมูลเหตุตามความเป็นจริง และสิ่งเหล่านั้นเป็นพฤติกรรมและการเผยถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติ สิ่งใดที่ใช่หรือไม่ใช่อุปนิสัยและการเผยถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติกันเล่า—เรื่องนั้นแตกต่างกันไปตามรูปการณ์แวดล้อม ทุกสิ่งที่กล่าวถึงนั้นมาจากสิ่งที่คนเราใช้ในการดำเนินชีวิต ในแง่หนึ่ง สิ่งที่กล่าวไปนั้นแตะไปถึงปัญหาในอุปนิสัยของผู้คน และในอีกแง่หนึ่ง นี่เป็นเรื่องของปัญหาในมุมมองของผู้คน ในเส้นทาง และรูปแบบการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา นี่ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์หรือบุคลิกของพวกเขา หรือวิธีการภายนอกที่พวกเขาใช้ทำสิ่งต่างๆ แต่อย่างใด
ยังมีสภาวะอีกประเภทหนึ่ง นั่นก็คือการดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก ในการเชื่อในพระเจ้านั้น ผู้คนส่วนใหญ่ชอบไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะโดยไม่มุ่งกับการไล่ตามเสาะหาความจริง เพราะฉะนั้น ตราบเท่าที่ใครบางคนพอจะมีขีดความสามารถอยู่เล็กน้อยและมีแนวคิดทั้งหลายอยู่บ้าง พวกเขาก็ย่อมมีปรัชญาและกฎของซาตานจำนวนหนึ่งสำหรับการดำเนินชีวิต แต่ละคนล้วนมี “หมัดเด็ด” ของตัวเองในเรื่องของการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข การดำเนินชีวิตในหนทางที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นและนำเกียรติยศมาสู่ครอบครัว รวมถึงได้รับการยกย่องสรรเสริญจากทุกคน หมัดเด็ดเหล่านั้นคืออะไรหรือ? สิ่งเหล่านั้นก็คือปรัชญา “สูงสุด” ในการดำรงชีวิตทางโลกนั่นเอง คนบางคนอาจจะรู้สึกน่าขันเมื่อได้ยินเช่นนี้ คำว่า “สูงสุด” และ “ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก” เป็นคำที่ไม่เข้ากัน สองคำนี้เป็นการจับคู่ที่ประหลาด แล้วเหตุใดในที่นี้จึงใช้คำว่า “สูงสุด” หรือ? โดยทั่วไปแล้วคนที่มีปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกเชื่อว่าในการดำเนินชีวิตนั้น พวกเขาจำเป็นต้องพร้อมด้วยกฎเกณฑ์บางอย่างในการดำรงอยู่ พูดอีกอย่างก็คือ เคล็ดลับบางอย่างในการเอาตัวรอดนั่นเอง พวกเขาคิดว่านั่นเป็นหนทางเดียวที่พวกเขาจะบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ พวกเขาถือว่ากฎเกณฑ์ในการดำรงอยู่ ซึ่งก็คือปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกเหล่านี้ เป็นหลักคำสอนสูงสุดของพวกเขาเช่นเดียวกับบรรดาคติพจน์ที่ผู้คนมักจะพูดกัน พวกเขาค้ำจุนและยึดติดกับปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของตัวเองราวกับสิ่งนี้คือความจริงโดยไม่แยกประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรออกจากการปฏิบัติเช่นนี้เสียด้วยซ้ำ พวกเขาคิดว่า “ไม่มีมนุษย์คนไหนแยกตัวเองออกจากกิจทางโลกได้ พวกคุณเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่เหรอ? พวกคุณทำตามหลักธรรมไม่ใช่เหรอ? พวกคุณเข้าใจความจริงไม่ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้น ฉันก็มีปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกไว้รับมือกับพวกคุณ พวกคุณเป็นคนละเอียดรอบคอบใช่ไหม? พวกคุณทำตามหลักธรรมความจริงใช่ไหม? คือฉันไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง แล้วฉันก็ยังทำให้พวกคุณทำตัวดีกับฉันและวนเวียนอยู่รอบๆ ต่อไปได้ ฉันจะเก็บพวกคุณทุกคนไว้ในวงโคจรของฉัน พวกคุณจะได้พูดว่าฉันเป็นคนดีและจะไม่พูดอะไรแย่ๆ เกี่ยวกับฉันลับหลังฉัน เวลาพวกคุณไม่อยู่ใกล้ตัว ฉันก็จะถึงกับตัดสินพวกคุณ ทำเรื่องไม่ดีใส่พวกคุณ และขายพวกคุณเสียด้วยซ้ำ—และพวกคุณก็จะไม่รู้เรื่องอะไรเลย” นั่นคึอคนที่ดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก สิ่งใดอยู่ในปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกเหล่านั้นหรือ? กลอุบาย การหลอกลวง และกลยุทธ์ รวมไปถึงแนวทางและวิธีการต่างๆ นั่นเอง ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเขาเห็นคนที่มีสถานะหรือคนที่อาจเป็นประโยชน์ พวกเขาก็สุภาพมาก ทั้งก้มหัว สอพลอ และพูดจายกย่องคนเหล่านั้น กับคนที่พวกเขาคิดว่าไม่ค่อยมีประโยชน์และไม่ได้ดีเท่าพวกเขานั้น พวกเขาก็มักพูดจาเหยียดหยามและดูถูกคน จนทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกว่าพวกเขาเหนือกว่าและต้องเคารพนับถืออยู่เสมอ ในโลกภายในของพวกเขานั้น พวกเขามีระบบที่ใช้หยอกเย้าและควบคุมผู้คน อีกทั้งมีวิธีในการปฏิบัติต่อคนแต่ละประเภทอยู่ เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับใครบางคน พวกเขาก็รู้ในทันทีว่าคนเหล่านั้นเป็นคนประเภทไหน และพวกเขาควรจัดการและเกี่ยวพันกับคนเหล่านั้นอย่างไร พวกเขาคิดหาสูตรอยู่ในใจทันที พวกเขามีความช่ำชองและเชี่ยวชาญในเรื่องนี้โดยไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องการนำปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกเหล่านี้มาใช้—พวกเขาไม่ต้องการโครงร่างเบื้องต้นหรือคำชี้แนะจากใครทั้งสิ้น พวกเขามีวิธีการเป็นของตัวเอง บ้างก็คิดวิธีการเหล่านั้นขึ้นมาด้วยตัวเอง บ้างก็เรียนรู้จากผู้อื่น ดูมาจากผู้อื่น หรือได้รับอิทธิพลมาจากผู้อื่น อาจจะไม่มีใครบอกวิธีการเหล่านั้นแก่พวกเขาเลย ทว่าพวกเขาก็สามารถอนุมานถึงรายละเอียดต่างๆ แล้วเรียนรู้ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก เทคนิค แนวทางและวิธีการ อุบาย และการคาดคะเนของตัวเอง ผู้คนที่ดำเนินชีวิตด้วยสิ่งเหล่านี้มีความจริงหรือไม่? พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตด้วยความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาไม่สามารถทำได้ แล้วพวกเขาส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไร? ผู้อื่นมักจะถูกพวกเขาหลอกลวงและตบตา ถูกพวกเขาหลอกใช้ และอื่นๆ ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในขอบเขตอำนาจของปัญญาชนหรือผู้คนบางกลุ่มเท่านั้น—ข้อเท็จจริงก็คือ ปรัชญาเหล่านี้มีอยู่ในตัวของทุกคน
ปรัชญาเยี่ยงซาตานสำแดงออกมาในหนทางใดอีก? บางคนเป็นนักพูดที่ยอดเยี่ยม พวกเขาโน้มน้าวให้ผู้คนมีความสุขและพึงพอใจ และกลับไปด้วยความสบายใจที่ได้ฟังพวกเขาพูด ทว่าพวกเขาไม่ได้ทำงานจริงเลย นี่คือบุคคลประเภทใด? นี่คือคนที่ควบคุมผู้อื่นด้วยคำพูดสวยหรูนั่นเอง ผู้นำและคนทำงานบางคนทำงานมาระยะหนึ่ง แล้วพวกเขาก็คิดกับตัวเองว่า “เบื้องบนเข้าใจฉันใช่ไหม? พระเจ้าทรงรู้จักฉันใช่ไหม? ฉันต้องรายงานปัญหาสองสามอย่างเพื่อให้เบื้องบนรู้ว่าฉันกำลังทำงานอยู่ หากเบื้องบนเห็นว่าปัญหาที่ฉันรายงานค่อนข้างจริงและเป็นสาระสำคัญ เห็นว่าปัญหาเหล่านั้นเป็นประเด็นปัญหาหลัก เบื้องบนก็อาจจะยกย่องฉันเพราะเห็นว่าฉันสามารถทำงานจริงได้” และดังนั้น พวกเขาก็หาโอกาสที่จะเอ่ยถึงปัญหาทั้งหลาย พวกเขาชอบด้วยเหตุผลในการเอ่ยถึงปัญหา นั่นเป็นสามัญสำนึก และเป็นสิ่งที่พึงต้องการในงาน ทว่าสิ่งนี้ไม่ควรแปดเปื้อนด้วยเจตนาส่วนตัวของพวกเขา พวกเจ้าสามารถเห็นถึงเจตนาในการรายงานปัญหาของบุคคลนี้ได้หรือไม่? ที่จริงแล้วสิ่งใดคือปัญหาในเจตนาที่พวกเขามีกันแน่? คำถามนี้ชวนให้คิดและใช้วิจารณญาณ หากพวกเขาเอ่ยถึงประเด็นปัญหานั้นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดีและทำให้พระเจ้าพอพระทัย นั่นย่อมจะชอบด้วยเหตุผล สิ่งนั้นจะหมายความว่าพวกเขาเป็นคนมีความรับผิดชอบ เป็นคนที่ทำงานจริง แต่ในปัจจุบันนี้ยังมีผู้นำและคนทำงานบางคนที่ไม่ทำงานจริง ทว่าทำตัวฉวยโอกาสและมักง่าย โกหกหัวหน้างานของตัวเองและซ่อนเร้นสิ่งทั้งหลายจากผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขา แต่กระนั้นพวกเขาก็ชอบที่จะปากหวานและพูดจาไพเราะ ทำให้ทุกๆ คนพอใจ การปฏิบัติในหนทางนี้คือการที่พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาเยี่ยงซาตานมิใช่หรือ? หากเป็นเช่นนั้น ปัญหานี้ควรได้รับการแก้ไขอย่างไร? ความจริงใดที่ควรแสวงหา พวกเราจะรู้จักและหยั่งรู้ความจริงนั้นอย่างไร—สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการเข้าใจให้กระจ่าง ก่อนที่จะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องเจตนาอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้ นี่คืออีกตัวอย่างหนึ่ง คนสองคนถูกจับคู่กันให้ปฏิบัติหน้าที่ พวกเขากำลังจะเดินทางไปยังคริสตจักรซึ่งตั้งอยู่ในอีกพื้นที่หนึ่งเพื่อจัดการปัญหาที่นั่น สภาพความเป็นอยู่ของคริสตจักรแห่งนั้นค่อนข้างแย่ ความปลอดภัยสาธารณะก็ไม่ดี ทั้งยังเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างเสี่ยง หนึ่งในพวกเขากล่าวว่า “คนที่คริสตจักรนั้นไม่ชอบฉัน ต่อให้ฉันไป ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าฉันจะแก้ไขปัญหาที่นั่นได้ แต่ทุกคนที่นั่นชอบคุณนะ ถ้าให้คุณเป็นคนไปแก้ไขปัญหาน่าจะได้ผล” อีกคนหนึ่งพบว่าเรื่องนี้เป็นจริงและเดินทางไป ทว่าเหนือจากเรื่องนี้ คนที่หาเหตุผลและข้อแก้ตัวที่จะไม่ไปนั้นไม่มีปัญหาหรอกหรือ? ไม่ว่าข้อแก้ตัวและเหตุผลของพวกเขาสมเหตุสมผลหรือไม่ ในเรื่องนี้คือพวกเขากำลังปฏิบัติความจริงอยู่หรือ? พวกเขานึกถึงพี่น้องชายหญิงของตัวเองอยู่งั้นหรือ? ไม่ใช่ พวกเขากำลังโกหก พวกเขากำลังใช้คำพูดสวยหรูเพื่อให้บรรลุจุดหมายของพวกเขาเอง นี่คือเทคนิคมิใช่หรือ? หากเจ้าคิดและกระทำการเช่นนี้ เจ้าก็ยังไม่ได้ขัดขืนเนื้อหนัง เจ้ายังคงดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาเยี่ยงซาตาน แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากเจ้าสามารถกบฏต่อตัวเจ้าเองและไม่ดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาเยี่ยงซาตาน? ในทีแรกเจ้าจะไม่อยากไปจัดการปัญหาที่คริสตจักรแห่งนั้น แต่เจ้าจะไตร่ตรองเรื่องนี้ว่า “แบบนั้นไม่ถูกต้อง ข้อเท็จจริงก็คือการที่ฉันคิดแบบนั้นหมายความว่าฉันเป็นคนไม่ดี เป็นคนไร้ศีลธรรม ฉันต้องถอนคำพูดที่พูดไปให้เร็วที่สุด ฉันต้องขอโทษเขาและเปิดใจถึงความเสื่อมทรามที่ฉันเผยไป วันนี้ฉันต้องไปที่นั่น ต่อให้หมายถึงฉันจะตายที่นั่นก็ตาม” อันที่จริง การที่เจ้าจะตายที่นั่นไม่ใช่เรื่องที่แน่นอน ความตายเกิดขึ้นง่ายดายเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อไรหรือ? ชีวิตและความตายเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า โดยรวมก็คือในกรณีเช่นนั้น เจ้าต้องมีความแน่วแน่และความสามารถในการกบฏต่อตัวเอง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถดำเนินชีวิตด้วยความจริงได้ เราจะยกอีกตัวอย่างหนึ่งให้เจ้าฟัง คนสองคนถูกจับคู่กันให้ปฏิบัติหน้าที่ ทั้งคู่ต่างกลัวที่จะรับผิดชอบต่อหน้าที่ เพราะฉะนั้นนี่จึงกลายเป็นการประชันไหวพริบ คนหนึ่งกล่าวว่า “คุณไปจัดการเรื่องนี้สิ” อีกคนก็กล่าวว่า “คุณเป็นคนไปจัดการดีกว่า ฉันมีขีดความสามารถแย่กว่าคุณ” สิ่งที่พวกเขาคิดอยู่จริงๆ ก็คือ “ถึงจะทำสิ่งนี้ได้ดีก็ไม่มีรางวัลตอบแทน และถ้าทำได้ไม่ดี ฉันก็จะโดนตัดแต่ง ฉันไม่ไปหรอก—ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น! ฉันรู้ว่าคุณกำลังทำอะไร เลิกพยายามให้ฉันไปเถอะ” สุดท้ายแล้วการเกี่ยงกันไปมาของพวกเขาจบลงอย่างไร? พวกเขาทั้งคู่ต่างไม่ไป และผลก็คืองานเกิดความล่าช้านั่นเอง นั่นเป็นเรื่องที่ไร้ศีลธรรมมิใช่หรือ? (ใช่) การทำให้งานเกิดความล่าช้าเป็นผลลัพธ์ที่ร้ายแรงมิใช่หรือ? นี่คือผลลัพธ์ที่แย่ ดังนั้นแล้วสองคนนี้ดำเนินชีวิตด้วยสิ่งใด? ทั้งคู่ต่างดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาเยี่ยงซาตาน พวกเขาถูกบีบคั้นและผูกมัดจากปรัชญาเยี่ยงซาตานและกลอุบายของพวกเขาเอง พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติความจริง และด้วยเหตุนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาจึงไม่ถึงมาตรฐาน นี่คือการสุกเอาเผากิน และในการนี้ย่อมไม่มีคำพยานอยู่เลย สมมุติว่าคนสองคนถูกจับคู่กันให้ปฏิบัติหน้าที่ หนึ่งในพวกเขาพยายามที่จะอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นกว่าในทุกเรื่องและต้องการเป็นผู้ชี้ขาดอยู่เสมอ อีกคนหนึ่งอาจจะคิดว่า “คนพวกนี้หัวแข็ง พวกเขาชอบเป็นผู้นำ อย่างนั้นก็เชิญนำไปทุกเรื่องได้เลย แล้วถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา พวกเขาก็จะเป็นคนที่ถูกตัดแต่ง ‘จับงูข้างหางก็ย่อมจะถูกงูกัด’! ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไม่จับหางงู บังเอิญเหลือเกินที่ฉันขีดความสามารถแย่ และฉันก็ไม่ชอบให้มีเรื่องมากวนใจ พวกเขารักที่จะเป็นผู้นำใช่ไหม? งั้นถ้ามีอะไรต้องทำ ฉันก็จะปล่อยให้พวกเขาทำ!” บุคคลที่พูดเช่นนั้นเพลิดเพลินกับการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คน เป็นผู้ติดตาม เจ้าได้อะไรจากการที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ในหนทางนั้น? พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยสิ่งใดเล่า? (ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก) พวกเขากำลังคิดถึงเรื่องอื่นด้วยเช่นกัน “ถ้าฉันขโมยความสนใจมาจากพวกเขา พวกเขาจะไม่โกรธฉันเอาเหรอ? ต่อไประหว่างเราสองคนจะไม่บาดหมางกันเหรอ? ถ้าเรื่องนี้จะกระทบกับความสัมพันธ์ของพวกเรา พวกเราคงจะเข้ากันได้ลำบาก ฉันปล่อยให้พวกเขาทำตามวิธีของตัวเองน่าจะดีกว่า” นี่มิใช่ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกหรือ? วิธีดำเนินชีวิตของพวกเขาช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากปัญหา สิ่งนี้ช่วยให้พวกเขาบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบได้ พวกเขาจะทำตามสิ่งที่พวกเขาถูกสั่งให้ทำโดยไม่เป็นฝ่ายนำหรือยื่นหน้าออกไป และไม่นึกถึงปัญหาใดทั้งสิ้น คนอื่นคอยจัดการให้ทุกๆ เรื่อง เพราะฉะนั้นพวกเขาก็จะไม่เหนื่อย ความเต็มใจที่จะเป็นผู้ตามของพวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไร้สำนึกรับผิดชอบ พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ด้วยปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก พวกเขาไม่ยอมรับความจริงหรือค้ำจุนหลักธรรม นั่นไม่ใช่การร่วมมือด้วยความปรองดอง—นั่นคือการเป็นผู้ตาม เป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนต่างหาก เหตุใดสิ่งนั้นจึงไม่ใช่การร่วมมือ? เพราะพวกเขาไม่ได้ทำตามความรับผิดชอบของตัวเองในเรื่องใดเลย พวกเขาไม่กระทำการอย่างสุดความคิดหรือสุดหัวใจของพวกเขา อีกทั้งพวกเขาก็อาจจะไม่ได้กระทำการอย่างสุดกำลังของพวกเขาด้วยเช่นกัน นั่นคือเหตุผลที่เรากล่าวว่าพวกเขาดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกมากกว่าที่จะดำเนินชีวิตด้วยความจริง นี่คืออีกตัวอย่างหนึ่ง คนบางคนทำเรื่องชั่วร้ายในขณะปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าเห็นสิ่งนั้น แต่เจ้ากลับคิดกับตัวเองว่า “นั่นไม่ใช่เรื่องของฉัน สิ่งนั้นไม่ได้สร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของฉัน แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ใช่คนที่รับผิดชอบ ฉันกำลังทำอะไรอยู่ ยื่นจมูกเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นงั้นหรือ? ใครสักคนสามารถไปจัดการดูแลเรื่องนั้นได้ ใครก็ได้ที่เต็มใจจะทำ ทั้งหมดที่ฉันต้องทำคือจัดการงานของตัวเองให้ได้ การที่คนอื่นทำสิ่งที่ไม่ดีนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน ถึงฉันเห็นฉันก็ไม่ใส่ใจหรอก ฉันไม่สนใจว่าพวกเขาพลัดหลงไปไหม และถึงเกิดความสูญเสียต่องานของคริสตจักร เรื่องนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวกับฉัน” นี่คือปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกมิใช่หรือ? (ใช่) ความตั้งใจของคนคนนี้ดีหรือไม่? (ไม่ดี) พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ด้วยปรัชญาเยี่ยงซาตาน คนบางคนทำสิ่งนี้อยู่เป็นครั้งคราวในบางเรื่อง คนบางคนทำสิ่งนี้อยู่เป็นประจำโดยไม่เคยแสวงหาความจริงหรือทบทวนตัวเอง และไม่เคยแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเลย ผู้คนสองประเภทนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ต่างกัน แต่ไม่ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเดี่ยวๆ หรือในทุกเรื่อง นี่ก็แตะไปถึงปัญหาของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม นี่ไม่ใช่ประเด็นปัญหาทั่วไปในเรื่องวิธีการของคนเรา—แต่เป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตของคนเราด้วยปรัชญาเยี่ยงซาตาน สิ่งใดอีกหรือที่เป็นปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกที่ผู้คนได้เห็นและสัมผัสอยู่เป็นปกติ? (การติดสินบนผู้อื่นด้วยการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ การตอบสนองความชอบส่วนตนเล็กๆ น้อยๆ ของเล็กๆ น้อยๆ การสนองความชอบส่วนตนของผู้อื่น การยกย่องผู้คนและการเอาอกเอาใจพวกเขา) การสนองความชอบส่วนตนของผู้อื่นเป็นเทคนิคอย่างหนึ่ง เป็นปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกประเภทหนึ่ง มีอะไรอีกเล่า? (การไม่พูดออกไปตรงๆ เมื่อเห็นใครบางคนทำสิ่งที่ละเมิดหลักธรรมเพราะกลัวทำร้ายความรู้สึกของพวกเขา) การพูดจาอ้อมค้อม วนเวียนอยู่กับประเด็นปัญหาเสมอ เลือกใช้คำพูดรื่นหูที่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมหรือปัญหาสำคัญอยู่เสมอ—นี่คือปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกอีกประเภทหนึ่ง มีอะไรอีก? (การประจบสอพลอและยกยอปอปั้นผู้ที่มีสถานะ) นั่นคือการประจบประแจง ทั้งยังเป็นปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกอีกประเภทหนึ่งด้วย มีผู้คนที่โดยธรรมชาติของพวกเขานั้นหวังที่จะควบคุมและเอาเปรียบผู้อื่นอยู่เสมอ พวกเขาคือคนที่คิดคดเป็นอย่างยิ่ง มีผู้คนที่ปากหวานและพูดจาไพเราะในทุกที่ที่ไป สิ่งที่พวกเขาพูดขึ้นอยู่กับว่าพวกเขากำลังพูดกับใคร ความคิดของพวกเขาตอบสนองเร็วมาก พวกเขารู้วิธีรับมือกับคนคนหนึ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาสบตา ผู้คนเช่นนั้นเจ้าเล่ห์อย่างที่สุด พวกเขาไม่สามารถดำเนินชีวิตด้วยความจริงได้ ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกสำแดงออกมาในหนทางใดอีก? (การไม่กล้าพูดออกไปหลังพบเห็นปัญหาเพราะกลัวที่จะต้องรับผิดหากเรื่องนั้นกลายเป็นความเข้าใจผิด การมองดูว่าผู้อื่นกำลังพูดและทำอะไร รวมถึงการไม่แสดงความคิดเห็นจนกว่าคนส่วนมากจะพูดออกไปแล้ว) ผู้คนมีแนวโน้มที่จะไหลตามน้ำ คิดว่ากฎหมายไม่อาจบังคับใช้ได้เมื่อทุกคนเป็นผู้ก้าวล่วง นั่นเป็นปัญหาประเภทใด? นั่นคืออุปนิสัยประเภทใด? นั่นคืออุปนิสัยที่หลอกลวงมิใช่หรือ? การไม่กล้าค้ำจุนหลักธรรมความจริงเพราะต้องการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนอยู่เสมอและกลัวว่าจะก่อการล่วงเกินนั้นจะทำให้เจ้าถูกเปิดโปงและถูกกำจัดเพราะไม่ปฏิบัติความจริง—นั่นย่อมเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทีเดียว! นั่นคือสภาพอันน่าเวทนาของคนที่ชอบเอาใจผู้คน เมื่อผู้คนไม่ปฏิบัติความจริง พวกเขาย่อมดำเนินชีวิตตามภาวะที่อัปลักษณ์เช่นนั้น พวกเขาล้วนมีสภาพเยี่ยงปีศาจของซาตาน ในบรรดาคนเหล่านี้บางคนมีเล่ห์เหลี่ยม บางคนคิดคด บางคนน่าดูหมิ่น บางคนเลวทราม บางคนต่ำช้า และบางคนก็น่าเวทนา พวกเจ้ากำลังดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาเยี่ยงซาตานอยู่หรือไม่? การประจบประแจงคนเป็นผู้นำในขณะที่ดูดายผู้นำที่ถูกเปลี่ยนตัวและกำจัดออกไป การที่เจ้าเอาอกเอาใจผู้ที่ได้รับเลือกเป็นผู้นำไม่ว่าพวกเขาเป็นใครก็ตาม การพูดในสิ่งที่ชวนคลื่นเหียนอย่าง “โอ้โห คุณสวยจังเลย แถมรูปร่างก็ดี—เป็นภาพลักษณ์ที่งดงามมาก คุณมีเสียงพูดที่เหมือนเสียงของผู้ประกาศข่าวและเสียงร้องของนกหงส์หยกเลยละ” การหาทางที่จะประจบสอพลอพวกเขา การพูดจาเยินยอพวกเขาทุกครั้งที่เจ้ามีโอกาส การติดสินบนพวกเขาด้วยของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ การคอยจับตาดูว่าพวกเขาพูดและทำสิ่งใด และคิดหาหนทางที่จะทำให้พวกเขาพอใจเมื่อเจ้าเห็นสิ่งที่พวกเขาชอบ สิ่งเหล่านี้คือกลยุทธ์ที่พวกเจ้ามีใช่หรือไม่? (ใช่ บางครั้งข้าพระองค์เห็นว่าผู้นำหรือคนทำงานมีปัญหาหรือข้อบกพร่องบางอย่าง แต่ข้าพระองค์ก็ไม่กล้าพูดอะไรเพราะกลัวพวกเขาจะโทษข้าพระองค์และปฏิบัติแย่ต่อข้าพระองค์) นั่นคือการไร้ซึ่งหลักธรรม เช่นนั้นแล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าระบุปัญหาเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง และการที่เจ้าพูดถึงปัญหาเหล่านั้นย่อมเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร? (รู้อยู่เล็กน้อย) เจ้าพอจะรู้อยู่เล็กน้อย—แล้วการจะเป็นคนที่ตรงตามหลักธรรมความจริงนั้น เจ้าต้องทำสิ่งใดเล่า? หากเจ้ามั่นใจว่าเจ้าพบปัญหา และในหัวใจของเจ้าเข้าใจว่าปัญหานี้ควรได้รับการแก้ไขมิเช่นนั้นจะทำให้งานล่าช้า แต่เจ้ายังไม่สามารถยึดตามหลักธรรมได้ อีกทั้งกลัวที่จะล่วงเกินผู้อื่น ปัญหาที่มีอยู่คืออะไร? เหตุใดเจ้าจึงกลัวที่จะยึดตามหลักธรรม? นี่คือประเด็นปัญหาของธรรมชาติที่ร้ายแรง ทั้งยังแตะถึงเรื่องที่ว่าเจ้ารักความจริงและมีสำนีกของความยุติธรรมหรือไม่ เจ้าควรส่งเสียงแสดงความคิดเห็น ต่อให้เจ้าไม่รู้ว่าสิ่งนั้นถูกต้องหรือไม่ก็ตาม หากเจ้ามีความคิดเห็นหรือแนวคิด เจ้าก็ควรพูดออกไป และปล่อยให้ผู้อื่นประเมินดู การทำเช่นนั้นย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้า และจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหา หากเจ้าคิดกับตัวเองว่า “ฉันไม่ขอเกี่ยวข้องแล้วกัน ถ้าสิ่งที่ฉันพูดถูกต้อง ฉันก็จะไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ แต่ถ้ามันไม่ถูก ฉันก็จะถูกตัดแต่ง แบบนี้ไม่คุ้มหรอก” นั่นคือการที่เจ้าเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นมิใช่หรือ? ผู้คนคำนึงถึงผลประโยชน์ของพวกเขาเองอยู่เสมอและไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ นั่นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดเกี่ยวกับผู้คน พวกเจ้าทุกคนต่างก็มีปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกและกลอุบายมากมายเช่นนั้นอยู่ในตัวมิใช่หรือ? ในตัวของคนทุกคนย่อมมีปรัชญาของซาตานอยู่มากมาย และพวกเขาก็ถูกปรัชญาเหล่านั้นควบคุมมานานนมแล้ว เช่นนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนฟังคำเทศนามานานหลายปีโดยไม่เข้าใจความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ช้านัก อีกทั้งวุฒิภาวะของพวกเขาก็ยังน้อยมากอยู่เสมอ เหตุผลก็คือ สิ่งอันเสื่อมทรามเหล่านั้นกำลังขัดขวางและก่อกวนพวกเขาอยู่ เมื่อผู้คนจำเป็นต้องปฏิบัติความจริง พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยสิ่งใด? พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ ด้วยมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก รวมถึงพรสวรรค์ การดำเนินชีวิตด้วยสิ่งเหล่านี้ย่อมยากมากที่ผู้คนจะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะสัมภาระของพวกเขาชิ้นใหญ่เกินไปและแอกของพวกเขาก็หนักเกินไป การที่มนุษย์ดำเนินชีวิตด้วยสิ่งเหล่านี้นั้นห่างไกลจากความจริงมาก สิ่งเหล่านี้กีดขวางเจ้าจากการเข้าใจและปฏิบัติความจริง หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าจะมีความเชื่อในพระเจ้าเพิ่มขึ้นหรือไม่? (ไม่) ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน นับประสาอะไรกับความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระองค์ นี่เป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจและน่ากลัวอย่างยิ่ง
สิ่งที่ผู้คนใช้ในการดำเนินชีวิตนั้นสัมพันธ์กับอุปนิสัย รวมไปถึงทัศนะที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ คนบางคนดิ้นรนเพื่อความฝันและความอยากของตัวเองอยู่เสมอ นั่นคือพวกที่มีความฝัน บางคนก็ดำเนินชีวิตตามความอยากของตนอยู่เป็นนิจ ความอยากของพวกเขาหมายรวมถึงเรื่องใดบ้าง? มีความอยากที่จะทำงานและทำตัวเองให้เป็นที่รู้จัก และความอยากที่จะอวดตนเอง ตัวอย่างเช่นมีพวกที่ชื่นชอบสถานะ เมื่อไม่มีสถานะ พวกเขาก็จะไม่เชื่อในพระเจ้า เมื่อไม่มีสถานะ พวกเขาก็ไม่คิดที่จะทำอะไรทั้งสิ้น และการเชื่อในพระเจ้าก็เป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับพวกเขาด้วยเช่นกัน พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยความอยากไล่ตามไขว่คว้าสถานะ และใช้ชีวิตผ่านไปวันแล้ววันเล่าโดยถูกความอยากนี้ครอบงำ ไม่ว่าจะมีสถานะใดก็ค่อนข้างล้ำค่าสำหรับพวกเขา ในบรรดาสิ่งที่พวกเขาทำ ไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่ได้ทำไปเพื่อสถานะ ทั้งการรักษาสถานะ การพยุงสถานะ การขยายขอบเขตอำนาจของตัวเอง—ทุกอย่างที่พวกเขาทำในทุกๆ ทางล้วนข้องเกี่ยวกับความอยากของพวกเขาทั้งสิ้น พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความอยาก มีคนอื่นๆ ซึ่งใช้ชีวิตที่น่าเวทนาบนโลกนี้ พวกเขาเป็นคนไร้เล่ห์มารยาที่ถูกกลั่นแกล้งอยู่เสมอ เป็นคนที่มาจากครอบครัวที่ไม่ดี มาจากสภาพสังคมแย่ๆ โดยไม่มีใครให้พึ่งพา พวกเขาโดดเดี่ยวและไม่มีผู้ใดสนใจ จนกระทั่งพวกเขาได้มาเชื่อในพระเจ้า ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าในที่สุดก็ได้พบกับเสาหลักที่คอยเกื้อหนุน พวกเขามีความมุ่งมาดปรารถนา และการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็ขับเคลื่อนด้วยสิ่งนี้ แม้จวบจนปัจจุบัน ความมุ่งมาดปรารถนาของพวกเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนไป พวกเขาคิดว่า “การเชื่อในพระเจ้าคือการที่ฉันดำเนินชีวิตด้วยศักดิ์ศรีและคุณลักษณะที่ดี การเชื่อในพระเจ้าทำให้ฉันสามารถเชิดหน้าชูคอเหนือคนอื่น และใช้ชีวิตที่สูงส่งกว่าคนอื่นได้ เมื่อฉันไปสวรรค์แล้ว พวกคุณทุกคนจะต้องนับถือฉัน จะไม่มีใครดูถูกฉันอีกต่อไป” ความปรารถนานี้ ความหวังนี้ของพวกเขาช่างว่างเปล่าและคลุมเครือเหลือเกิน พวกเขารู้สึกว่าการที่พวกเขามีชีวิตอย่างน่าอนาถบนโลกใบนี้เป็นเพราะรูปการณ์แวดล้อมทางครอบครัวหรือเพราะเหตุผลบางอย่าง การใช้ชีวิตในพระนิเวศของพระเจ้าทำให้พวกเขามีบางสิ่งให้พึ่งพา พี่น้องชายหญิงไม่กลั่นแกล้งพวกเขา พวกเขาไม่ได้เป็นคนเคราะห์ร้ายอีกต่อไป พวกเขามีเสาหลักที่คอยเกื้อหนุน นอกจากนี้ ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว พวกเขาอาจจะได้รับบั้นปลายอันแสนวิเศษ หรือจะสามารถภาคภูมิใจในตัวเองได้ในชีวิตนี้ นั่นคือเป้าหมายของพวกเขา พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยความมุ่งมาดปรารถนานี้ ทั้งยังใช้ความคิดและความปรารถนานี้เป็นแรงจูงใจของตัวเองในทุกที่และทุกๆ สิ่ง สำหรับพวกเขาแล้ว การดำเนินชีวิตด้วยความจริงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ผู้คนเช่นนั้นใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนา นอกจากนี้ยังมีบางคนที่อยากอวดตนหรือทำตัวเองให้เป็นที่รู้จัก ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงชอบใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มเป็นอย่างมาก ทั้งยังสนองความถือดีของตัวเองด้วยการทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้คนในกลุ่มมานับถือ พวกเขาเชื่อว่า “ฉันอาจจะไม่ใช่ผู้นำ แต่ตราบใดที่ฉันสามารถแสดงให้คนในกลุ่มเห็นถึงความสามารถพิเศษของฉันและดูเฉิดฉายโดดเด่นด้วยเสน่ห์ได้ สำหรับฉันการเชื่อในพระเจ้าก็เป็นเรื่องที่คุ้มค่า ฉันดำเนินชีวิตเพื่อสิ่งนั้น ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการอยู่ในโลกนี้แล้ว” นับแต่นั้นมา พวกเขาจึงดำเนินชีวิตด้วยสิ่งเหล่านั้น พวกเขาดำเนินชีวิตเช่นนั้นอยู่ทุกวันเดือนปีโดยไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงในความตั้งใจดั้งเดิมของพวกเขาเลย นี่คือการดำเนินชีวิตด้วยความจริงเช่นนั้นหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน พวกเขากำลังดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความฝันและความอยากเช่นเดียวกับผู้ไม่มีความเชื่อ นี่คือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทัศนะที่คนเรามีต่อสิ่งทั้งหลาย รวมไปถึงเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม หากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข คนเราย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจหรือปฏิบัติความจริงได้ เช่นนั้นแล้วการดำเนินชีวิตด้วยความจริงก็จะเป็นเรื่องที่ยากทีเดียว
นอกจากนี้ ยังมีผู้หญิงบางคนที่ดำเนินชีวิตด้วยรูปลักษณ์ภายนอก คนที่คิดว่าตัวเองเลอโฉมอยู่เสมอ ไม่ว่าพวกเธอไปที่ใดทุกคนก็ย่อมชื่นชอบ นับถือ และเห็นชอบในตัวพวกเธอ ไม่ว่าไปที่ใด พวกเธอก็ได้ยินคำชมจากผู้คนและได้เห็นคนเหล่านั้นมองตรงมาที่พวกเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม การดำเนินชีวิตเช่นนั้นทำให้พวกเธอค่อนข้างพอใจในตัวเองและมั่นใจทีเดียว ดังนั้น พวกเธอจึงเชื่อว่าการดำเนินชีวิตเช่นนั้นมอบต้นทุนให้พวกเธอ เชื่อว่าการดำเนินชีวิตของพวกเธอมีค่ามาก—เชื่อว่าอย่างน้อยก็มีผู้คนมากมายเห็นคุณค่าในตัวพวกเธอ ทว่าก็มีผู้ชายที่การดำเนินชีวิตของพวกเขาเกี่ยวข้องกับรูปลักษณ์ภายนอกอยู่เช่นกันมิใช่หรือ? สมมุติว่าเจ้าเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา และเวลาพูดคุยกับบรรดาพี่น้องหญิง เจ้าก็มีไหวพริบ มีเสน่ห์ และโรแมนติก เจ้าค่อนข้างพอใจในตัวเอง อีกทั้งทุกคนต่างก็นับถือเจ้าและโคจรอยู่รายล้อมเจ้า “ฉันไม่ได้พยายามคบหาเป็นแฟนกับใคร ฉันแค่ใช้ชีวิตแบบนี้ และมันก็ดีมากทีเดียว! การปฏิบัติความจริงน่ะเหรอ—น่าเบื่อจะตาย!” นอกจากนี้ยังมีคนที่อาศัยต้นทุนบางอย่าง และการที่จะมีต้นทุนเหล่านั้นได้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องมีอะไรบางอย่างที่เป็นของแท้ ของแท้เหล่านั้นเป็นอะไรได้บ้าง? ตัวอย่างเช่น บางคนรู้สึกว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าตั้งแต่ออกมาจากครรภ์มารดา พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาไม่น้อยกว่าห้าสิบปี และนั่นคือต้นทุนของพวกเขา เมื่อพวกเขาเจอพี่น้องชายหรือหญิง พวกเขาก็ถามว่า “คุณเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้ว?” อีกฝ่ายตอบกลับมาว่า “ห้าปี” พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานกว่าคนคนนี้ถึงสิบเท่า และเมื่อเห็นดังนั้น พวกเขาก็คิดกับตัวเองว่า “คุณเชื่อในพระเจ้ามานานมากพอๆ กับที่ฉันเชื่อหรือเปล่า? คุณยังเด็กอยู่มาก ทำตัวให้ดีเข้าไว้ดีกว่า—หนทางข้างหน้ายังอีกไกล!” นี่คือการที่พวกเขาอาศัยต้นทุนของตัวเอง ยังมีต้นทุนประเภทใดอีก? คนบางคนทำหน้าที่ผู้นำและคนทำงานมาแล้วทุกระดับ พวกเขาออกไปทำงาน วิ่งวุ่นไปมาระหว่างคริสตจักรทั้งหลายมาเป็นเวลานาน แล้วพวกเขาก็มีประสบการณ์มากมาย พวกเขาคุ้นเคยกับการจัดการเตรียมงานของเบื้องบน รวมถึงคุ้นเคยกับคนและงานหลากหลายประเภทในคริสตจักรอยู่พอสมควร ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่า “ฉันคือผู้นำมากประสบการณ์ที่มีต้นทุนของผู้มากประสบการณ์ ฉันทำงานมานาน และฉันก็มีประสบการณ์ พวกคุณทุกคนจะไปรู้อะไร? พวกคุณยังเด็ก จะทำงานมาแค่กี่วันกันเชียว? พวกคุณยังใหม่กับงานนี้อยู่มาก พวกคุณไม่รู้อะไรเลย ใช่แล้ว พวกคุณต้องฟังฉัน อย่างนั้นแหละ!” แล้วดังนั้น พวกเขาก็เดินหน้าประกาศต่อไปตลอดทั้งวันโดยไม่มีอะไรที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในนั้นเลย—ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงคำพูดและคำสอน ทว่าพวกเขาก็จะหาข้อแก้ตัวบอกว่า “วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ฉันรู้สึกรำคาญใจเพราะมีศัตรูของพระคริสต์ที่คอยขัดขวางและก่อกวนอยู่ คราวหลังฉันจะประกาศให้ถูกควรแล้วกัน” นั่นแสดงถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขามิใช่หรือ? พวกเขากำลังดำเนินชีวิตด้วยต้นทุนของผู้ที่มากประสบการณ์ ทั้งยังพอใจในตัวเองอย่างมากเท่านั้นเอง อันที่จริงเรื่องนี้ช่างน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงเหลือเกิน! นั่นคือต้นทุนประเภทหนึ่ง ทั้งนี้ ยังมีคนที่ติดคุกเพราะเชื่อในพระเจ้า มีประสบการณ์บางอย่างอันยอดเยี่ยม หรือได้ปฏิบัติหน้าที่พิเศษ พวกเขาทนทุกข์มา และนั่นก็เป็นต้นทุนประเภทหนึ่งของพวกเขาเช่นกัน เหตุใดผู้คนจึงอาศัยต้นทุนของพวกเขาอยู่เสมอ? ในเรื่องนี้มีปัญหาอยู่ นั่นคือ พวกเขาเชื่อว่าต้นทุนดังกล่าวคือชีวิตของพวกเขา ตราบเท่าที่พวกเขาอาศัยต้นทุนของตัวเอง พวกเขาก็สามารถนับถือและชื่นชมในตัวเองได้อยู่เป็นนิจ อีกทั้งใช้ต้นทุนดังกล่าวชี้นำและสร้างอิทธิพลต่อผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้พวกเขาได้รับการยกย่องจากคนเหล่านั้น พวกเขาเชื่อว่าการมีต้นทุนของตัวเองเป็นรากฐาน ตราบใดที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่บ้าง หรือทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดีและได้ทำดีมาบ้าง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็อาจจะได้รับมงกุฏแห่งความชอบธรรมที่สงวนไว้ให้พวกเขาเช่นเดียวกับเปาโล พวกเขาจะมีชีวิตรอดอย่างแน่นอน พวกเขาย่อมจะมาถึงบั้นปลายที่ดีอย่างแน่นอน การอาศัยต้นทุนมักจะทำให้พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะที่ปลาบปลื้มในตัวเอง พอใจในตัวเองอย่างมาก และอิ่มเอิบใจ พวกเขารู้สึกว่าพระเจ้าพอพระทัยกับต้นทุนของพวกเขา รู้สึกว่าพระองค์ทรงปีติในตัวพวกเขา และพระองค์จะทรงอนุญาตให้พวกเขาอยู่รอดไปจนถึงปลายทาง นี่คือการอาศัยต้นทุนมิใช่หรือ? พวกเขาเผยชุดความคิดนี้ออกมาทุกหนแห่ง สิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเขานั้นมองเห็นได้ชัดเจนจากสิ่งที่พวกเขาเผยออกมา สิ่งที่พวกเขาใช้ในการดำเนินชีวิต และสิ่งที่พวกเขาประกาศต่อผู้อื่นทุกครั้งที่มีโอกาส คนบางคนได้รับพระคุณหรือความใส่พระทัยจากพระเจ้าเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครได้รับ—มีเพียงพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ คิดว่าตัวเองแตกต่างจากทุกคนที่เหลือ พวกเขากล่าวว่า “การเชื่อในพระเจ้าของพวกคุณต่างจากของฉัน พระเจ้าทรงเริ่มจากการประทานพระคุณมากมายแก่พวกคุณและทรงนำพวกคุณ แล้วพอพวกคุณค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้นบ้างแล้ว พระเจ้าก็ทรงตัดแต่ง ทรงพิพากษา และทรงตีสอนพวกคุณ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกคุณทุกคน ส่วนของฉันน่ะต่างออกไป พระเจ้าประทานพระคุณพิเศษแก่ฉัน พระองค์ทรงปฏิบัติต่อฉันด้วยความโปรดปรานเป็นพิเศษ และความโปรดปรานเป็นพิเศษนั้นเองคือต้นทุนของฉัน—นี่คือบัตรกำนัลและตั๋วของฉันในการเข้าสู่ราชอาณาจักร” เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินพวกเขาพูดสิ่งเหล่านี้? พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับตัวเองหรือไม่? ไม่มีเลย เรื่องนี้พอจะกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาเชื่อว่าตัวเองสามารถได้รับความรอดโดยไม่ต้องไล่ตามเสาะหาความจริง แสวงหาความจริง หรือยอมรับการพิพากษาและการตีสอน คนที่มีสภาวะเช่นนี้เป็นคนแบบใดหรือ? พวกเขาคือคนส่วนน้อยที่ได้เห็นนิมิตบางอย่าง คนที่ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษบางอย่างและรอดพ้นจากหายนะมาได้ หรือไม่พวกเขาก็คือคนที่เสียชีวิตไปแล้วและได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา แล้วมีคำพยานหรือประสบการณ์พิเศษบางอย่าง พวกเขาถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นชีวิตของพวกเขา เป็นรากฐานในการดำเนินชีวิตของพวกเขา และใช้สิ่งเหล่านี้แทนการปฏิบัติความจริง นอกจากนี้ พวกเขายังถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นหมายสำคัญและเป็นมาตรฐานของความรอด นั่นคือต้นทุน พวกเจ้ามีต้นทุนดังกล่าวหรือไม่? พวกเจ้าอาจจะไม่มีประสบการณ์พิเศษในลักษณะนี้ แต่หากพวกเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งมาเป็นเวลานานและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ เจ้าย่อมจะทึกทักไปว่าตัวเจ้ามีต้นทุน สมมุติว่าเจ้าปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้กำกับมาอย่างยาวนาน และผลิตผลงานที่ดีมามากมาย นั่นย่อมปรากฏเป็นต้นทุนสำหรับเจ้า เจ้าอาจจะยังไม่มีต้นทุนเพราะเจ้ายังไม่ได้ผลิตผลงานสักชิ้น หรือเจ้าอาจจะถ่ายทำภาพยนตร์ที่เจ้าคิดว่าไม่ได้แย่มาสองเรื่อง แต่เจ้าก็ยังไม่กล้าถือว่าสิ่งเหล่านั้นคือต้นทุน เจ้าขาดความมั่นใจในงานเหล่านั้น เจ้ารู้สึกว่าตัวเองยังมีประสบการณ์หรือต้นทุนไม่มากพอ ดังนั้นเจ้าจึงระมัดระวัง สงวนท่าที และสงบเสงี่ยม เจ้าไม่กล้าล้ำเส้นใครทั้งสิ้น นับประสาอะไรกับการทำตัวอวดดีและเดินอวดตนไปทั่ว แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ยังพอใจในตัวเองอย่างหนักและยกย่องนับถือตัวเองอยู่ตลอดเวลา และนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าใช้ในการดำเนินชีวิต นั่นมิใช่สภาพอันน่าเวทนาของมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามหรอกหรือ?
คนบางคนมีรูปลักษณ์ที่ดูเป็นภัยอย่างมาก พวกเขาตัวสูงใหญ่ กำยำ แข็งแรง ทั้งยังคอยกลั่นแกล้งผู้อื่นอยู่เสมอ เวลาพูด พวกเขาค่อนข้างที่จะครอบงำและเป็นเผด็จการ พวกเขาไม่อ่อนข้อให้ใคร ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นใครก็ตาม เพราะฉะนั้น ผู้คนจึงค่อนข้างกลัวเวลาที่เห็นพวกเขา อีกทั้งปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเคารพ พยายามทำให้ตนเป็นที่โปรดปราน สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกภูมิใจอย่างเหลือล้น พวกเขารู้สึกว่าชีวิตนั้นแสนง่ายดาย และเชื่อว่าทั้งหมดนี้คือความสามารถพิเศษของพวกเขา—พวกเขาคิดว่าการใช้ชีวิตอย่างที่ตนทำจะทำให้ไม่มีใครกล้ากลั่นแกล้งพวกเขา หากเจ้าต้องการที่จะยืนหยัดท่ามกลางฝูงชน เจ้าต้องเป็นคนที่พึ่งพาตัวเองให้ได้ เสริมสร้างพลังให้ตัวเอง รวมถึงแข็งแกร่งและทรหด—นี่คือหลักคำสอนในชีวิตของพวกเขา การที่จะยืนหยัดท่ามกลางผู้อื่นโดยไม่มีใครกล้าที่จะกลั่นแกล้งหรือเย้าแหย่พวกเขา และไม่มีใครกล้าที่จะคดโกงหรือเอารัดเอาเปรียบนั้น พวกเขาสรุปเป็นหลักคำสอนได้ดังนี้ว่า “ถ้าฉันอยากมีชีวิตที่ดี ฉันจำเป็นที่จะต้องแข็งแกร่งและทรหด—ยิ่งฉันดุดันมากเท่าไรก็ยิ่งดี แบบนั้นก็จะไม่มีใครหน้าไหนคิดแกล้งฉันด้วยซ้ำ” ดังนั้น พวกเขาจึงดำเนินชีวิตเช่นนี้อยู่สองสามปี และปรากฏว่าไม่มีใครกล้ากลั่นแกล้งพวกเขาเลยจริงๆ ในที่สุดพวกเขาก็บรรลุเป้าหมายของตัวเอง ไม่ว่าพวกเขาอยู่กลุ่มใด พวกเขาก็ทำหน้าตาจริงจัง ทำสีหน้าเรียบเฉย แสดงท่าทีขึงขังและทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความดูถูกอันเฉยชา ไม่มีใครกล้าพูดคุยกันเวลาอยู่ใกล้พวกเขา เพียงเห็นหน้าพวกเขา เด็กๆ ก็ร้องไห้ ปีศาจกลับชาติมาเกิด—นั่นคือสิ่งที่พวกเขาเป็น! การดำเนินชีวิตด้วยกำปั้น—นั่นคืออุปนิสัยใด? นั่นคืออุปนิสัยที่ชั่วร้าย ไม่ว่าไปที่ใด สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือเรียนรู้วิธีออกอุบายและเอาเปรียบผู้คน พวกเขาต้องการควบคุมผู้คนด้วยเช่นกัน อีกทั้งกำราบคนเหล่านั้น พวกคิดหาวิธีต่อว่าคนที่ไม่เคารพพวกเขา ทั้งยังหาโอกาสลงโทษคนที่พูดจาไม่สุภาพกับพวกเขาด้วยถ้อยคำที่ทิ่มแทง การดำเนินชีวิตด้วยสิ่งเหล่านี้ไม่ชั่วร้ายหรอกหรือ? การใช้กำปั้นในการรับมือสิ่งทั้งหลายอย่างที่พวกเขาทำนั้นมีผลกระทบบางอย่างอยู่ นั่นคือ ผู้คนมากมายหวาดกลัวพวกเขา ซึ่งนั่นเป็นการเปิดทางให้กับพวกเขา แต่เมื่อพิจารณาจากการที่พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยอุปนิสัยที่มุ่งร้ายและมุทะลุแล้ว ผู้คนเช่นนั้นจะสามารถยอมรับความจริงได้หรือ? พวกเขาจะสามารถกลับใจอย่างแท้จริงได้หรือ? เรื่องนั้นย่อมจะเป็นไปไม่ได้เพราะพวกเขาเห็นด้วยกับปรัชญาเยี่ยงซาตานและการใช้กำลัง พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาเยี่ยงซาตานและการใช้กำลังเพียงอย่างเดียว ทำให้ทุกคนเชื่อฟังและหวาดกลัวตัวเอง จนพวกเขาสามารถอาละวาดอย่างไม่ยั้งคิดและทำทุกอย่างตามใจชอบได้ สิ่งที่ทำให้พวกเขากังวลไม่ใช่การมีชื่อเสียงที่ไม่ดี แต่คือการไม่มีชื่อเสียงในทางชั่วต่างหาก นั่นคือหลักการของพวกเขา ครั้นพวกเขาบรรลุเป้าหมายเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็คิดว่า “ฉันสามารถยืนหยัดในพระนิเวศของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้จนได้ ทุกคนกลัวฉัน ไม่มีใครกล้ายุ่งกับฉัน ใครๆ ต่างก็ทำตัวนอบน้อมกับฉันทั้งนั้น” พวกเขาเชื่อว่าตัวเองชนะแล้ว แต่ไม่มีใครกล้ายุ่งกับพวกเขาจริงหรือ? การไม่กล้ายุ่งกับพวกเขาเป็นเรื่องภายนอก แต่ลึกๆ ในหัวใจแล้วทุกคนมองผู้คนเช่นนั้นอย่างไร? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกคนต่างเบื่อหน่าย รังเกียจ เกลียดชัง ถอยหนี และหลีกเลี่ยงพวกเขา พวกเจ้าเต็มใจที่จะจัดการกับคนเช่นนั้นหรือไม่? (ไม่เต็มใจ) เพราะอะไรจึงไม่เต็มใจ? พวกเขามักจะคิดหาวิธีทรมานเจ้าอยู่เสมอ เจ้าจะสามารถทนได้หรือไม่? บางครั้งแทนที่จะข่มขู่เจ้าด้วยกำลัง พวกเขากลับใช้เทคนิคบางอย่างเพื่อทำให้เจ้าสับสนเสียก่อนแล้วค่อยข่มขู่เจ้า คนบางคนไม่อาจสู้ทนกับการข่มขู่ได้ พวกเขาจึงวิงวอนขอความเมตตาและยอมสยบต่อซาตาน คนชั่วย่อมพูดและทำทุกวิถีทางที่จำเป็น พวกที่ขี้ขลาดและหวาดกลัวต่างยอมสยบต่อพวกเขา จากนั้นก็พูดและปฏิบัติตนตามพวกเขา คนเหล่านั้นต่างก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของคนชั่วมิใช่หรือ? พวกเจ้าจะทำอย่างไรเมื่อเจอคนชั่วเช่นนั้น? อันดับแรก จงอย่ากลัว เจ้าต้องหาทางจัดการกับคนเหล่านั้นและเปิดโปงพวกเขา เจ้ายังสามารถร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงเพื่อรายงานเรื่องของพวกเขาได้ด้วย ความกลัวนั้นไร้ประโยชน์—ยิ่งเจ้ากลัวพวกเขา พวกเขาก็จะยิ่งกลั่นแกล้งและคุกคามเจ้า การร่วมมือกันเพื่อรายงานคนชั่วเป็นทางเดียวที่จะทำให้พวกเขารู้สึกกลัวและละอายใจได้ หากเจ้าขี้ขลาดและขาดปัญญามากเกินไป เจ้าย่อมจะถูกคนชั่วคนนั้นทำร้ายอย่างแน่นอน ผู้คนมีความเชื่อน้อยเหลือเกิน—ช่างน่าเวทนาอะไรเช่นนี้! อันที่จริงต่อให้คนชั่วทุ่มจนสุดตัว พวกเขาจะทำอะไรผู้คนได้เล่า? พวกเขาจะกล้าเหวี่ยงหมัดไปเรื่อยเปื่อยและทุบตีผู้คนจนถึงแก่ความตายงั้นหรือ? ตอนนี้บ้านเมืองของพวกเรามีขื่อมีแป พวกเขาจะไม่กล้าทำเช่นนั้น นอกจากนี้ คนที่ชั่วร้ายราวกับปีศาจก็เป็นเพียงชนกลุ่มน้อยที่โดดเดี่ยว หากคนเรามีความกล้าที่จะกลั่นแกล้งผู้คนและทำตัวกระด้างต่อคริสตจักร สิ่งเดียวที่ต้องทำคือให้คนสองสามคนร่วมมือกันรายงานและเปิดโปงพวกเขา นั่นจะเป็นการจัดการพวกเขา เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพียงไม่กี่คนมีความคิดและหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกัน พวกเขาก็ย่อมจัดการคนชั่วได้อย่างง่ายดาย เจ้าต้องเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ชอบธรรม เชื่อว่าพระองค์ทรงชิงชังคนชั่ว และพระองค์จะทรงหนุนประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร ดังนั้นตราบใดที่ใครบางคนมีความเชื่อ พวกเขาก็ไม่ควรหวาดกลัวคนชั่ว—และด้วยปัญญากับกลยุทธ์เล็กน้อย หากพวกเขาสามารถร่วมมือกับผู้อื่นได้ คนชั่วก็จะอ่อนข้อไปโดยธรรมชาติ หากเจ้าไม่มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่กลับหวาดกลัวคนชั่วและเชื่อว่าคนเหล่านั้นจะสามารถบีบเจ้าไว้ในกำมือและบงการชะตากรรมของเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็จบสิ้นกัน เจ้าจะไม่มีคำพยาน ไม่มีอะไรมามอบ และเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างขี้ขลาดและน่าสงสาร ในสถานการณ์เช่นนั้นเจ้าควรทำเช่นไร? คนบางคนดำเนินชีวิตด้วยอุบายเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ พลางคิดว่า “ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ที่ไหน และฉันก็ไม่มั่นใจว่าเบื้องบนรู้เรื่องนี้หรือเปล่า ถ้าฉันรายงานไปแล้วคนชั่วเกิดรู้เข้า พวกเขาจะไม่ทรมานฉันยิ่งกว่าเดิมเพราะเรื่องนั้นเหรอ?” ยิ่งพวกเขาคิดเรื่องนี้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกกลัว และอยากที่จะมุดไปหลบอยู่ใต้โต๊ะ คนที่ทำเช่นนั้นจะยังสามารถปฏิบัติความจริงและค้ำจุนหลักธรรมได้อยู่หรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาคือมนุษย์ตัวจ้อยผู้ขี้ขลาดมิใช่หรือ? พวกเจ้าส่วนมากต่างก็เป็นเช่นนี้ ครั้งหนึ่ง มีศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งที่ทรมานผู้คนส่วนหนึ่ง คนเหล่านั้นขลาดกลัวมากเสียจนปล่อยให้ตัวเองถูกทรมาน การถูกทรมานเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี? จากมุมมองของมนุษย์นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ดี สิ่งนั้นหมายถึงการเป็นถูกกระทำอย่างไม่ถูกต้อง การถูกทำให้เจ็บปวด แต่คนเราสามารถเรียนรู้บทเรียนและได้รับประโยชน์จากการถูกทรมานนั้นได้ และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี—ทว่าเป็นสิ่งที่ดี อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่ขาดปัญญาและกลัวเสียจนเข่าอ่อน เมื่อใครบางคนทรมานและกลั่นแกล้งพวกเขา พวกเขาก็ไม่ขืนต้าน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม พวกเขารู้ว่าบุคคลนั้นเป็นผู้นำเทียมเท็จ เป็นศัตรูของพระคริสต์ แต่พวกเขาก็ไม่รายงานเรื่องของเขา อีกทั้งไม่กล้าตอกกลับและเปิดโปงพวกเขา พวกคนขี้ขลาดไม่ได้เรื่อง! หากใครบางคนถูกบีบคั้นได้เมื่อเป็นเรื่องเช่นนั้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีวุฒิภาวะน้อยเกินไปและมีความเชื่อที่น่าเวทนา พวกเขาไม่รู้จักพึ่งพาพระเจ้า และไม่คิดที่จะรักษางานของคริสตจักรไว้ พวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีสิทธิ์ที่จะยืนหยัดต้านทานคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ การทำเช่นนั้นย่อมได้รับความเห็นชอบและได้รับการอวยพรจากพระเจ้า การที่เจ้าไม่ก่อสงครามกับซาตานและเอาชนะมันให้ได้เป็นเรื่องที่น่าเวทนามิใช่หรือ? เห็นได้ชัดว่าบุคคลนั้นคือคนทำชั่ว คือกำลังบังคับที่เป็นลบ เขาเป็นซาตาน เป็นมาร และเป็นวิญญาณชั่วที่โสมม—แต่เจ้าก็ยังถูกเขาทรมาน และไม่ใช่แค่เจ้า—ยังมีคนอีกมากมายที่ถูกทรมานด้วยเช่นกัน นั่นคือความขี้ขลาดมิใช่หรือ? เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่สามารถจับมือกันสู้รบกับเขาได้? พวกเจ้าช่างไร้ซึ่งความฉลาดและปัญญาเสียจริง จงหาผู้มีวิจารณญาณที่เข้าใจความจริงสักสองสามคนเพื่อชำแหละพฤติกรรมของบุคคลนั้น จงทำเช่นนี้ แล้วประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรส่วนใหญ่จะสามารถเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงและลุกขึ้นได้ จากนั้นปัญหาย่อมจะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดายมิใช่หรือ? เมื่อเจ้าเผชิญกับสิ่งเหล่านั้นในครั้งต่อไป เจ้าจะสามารถลุกขึ้นสู้รบกับศัตรูของพระคริสต์ได้ใช่หรือไม่? (ใช่) เราต้องการเห็นว่าพวกเจ้าจะสามารถรับมือและจัดการศัตรูของพระคริสต์ได้กี่คน นั่นคือคำพยานของผู้ชนะ พวกเจ้ากล่าวว่าตอนนี้พวกเจ้าสามารถทำได้แล้ว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง พวกเจ้าจะสามารถค้ำจุนหลักธรรมได้หรือ? เจ้าอาจจะกลัวเสียจนหลบอยู่ใต้โต๊ะอีกก็ได้ ภาพของผู้เคราะห์ร้ายที่น่าสงสารที่คนไม่เข้าใจความจริงแสดงออกมาในยามที่มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา—เห็นแล้วช่างเจ็บปวดเสียจริง! ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน! พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้นเวลาที่ถูกทรมาน และหลังจากนั้นความกลัวก็ยังค้างเติ่งอยู่ในตัวพวกเขา พวกเขากลัวจนสุดขีด คนที่ถึงกับไม่สามารถบอกได้เมื่อพวกเขาเจอคนชั่ว ช่างเป็นบุคคลที่มีวุฒิภาวะน้อยเสียเหลือเกิน พวกเขาไม่เข้าใจความจริงเลย คนเช่นนี้น่าเวทนามิใช่หรือ? คนชั่วดำเนินชีวิตด้วยกำปั้น พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยการกดขี่ผู้คน กลั่นแกล้งคนดี และหาประโยชน์จากความเสียหายของผู้อื่น พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยธรรมชาติอันมุ่งร้ายและอุปนิสัยอันชั่วร้ายของพวกเขา ทำให้ผู้อื่นกลัวพวกเขา ประจบประแจงพวกเขา และยกย่องสรรเสริญพวกเขา พวกเขาคิดว่าการดำเนินชีวิตเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาคือผู้นำที่อยู่นอกกฎหมายมิใช่หรือ? พวกเขาคือโจรและผู้ร้ายมิใช่หรือ? พวกเจ้าไม่ใช่คนชั่ว แต่พวกเจ้าก็มีสภาวะเช่นนั้นใช่หรือไม่? พวกเจ้าก็ดำเนินชีวิตด้วยสิ่งเหล่านั้นมิใช่หรือ? เมื่อพวกเจ้าบางคนถูกจับคู่กับใครบางคนและเห็นว่าพวกเขายังเด็ก พวกเจ้าก็คิดว่า “คุณไม่เข้าใจอะไรเลย ฉันสามารถกลั่นแกล้งคุณ และคุณก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ฉันแข็งแกร่งกว่าและเหนือกว่าคุณ ฉันตัวใหญ่กว่า แถมหมัดของฉันก็หนักกว่าคุณ—เพราะฉะนั้นฉันเลยแกล้งคุณได้” นั่นคือการดำเนินชีวิตด้วยสิ่งใด? นั่นคือการดำเนินชีวิตด้วยกำปั้น คือการดำเนินชีวิตและปฏิบัติตนตามอุปนิสัยอันชั่วร้าย เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนที่ไร้เล่ห์มารยา พวกเขาก็กลั่นแกล้งคนเหล่านั้น และเมื่อพวกเขาเห็นคนที่น่าเกรงขาม พวกเขาก็ซ่อนตัว พวกเขาทำร้ายคนที่อ่อนแอและหวาดกลัวคนที่แข็งแกร่ง คนชั่วบางคนกลัวความโดดเดี่ยวเวลาที่เห็นผู้คนหลบเลี่ยงพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกเข้าหาคนขี้ขลาดที่ไร้เล่ห์มารยาสองถึงสามคนและผูกมิตรกับคนเหล่านั้น นั่นทำให้พวกเขามีอำนาจมากขึ้น แล้วพวกเขาก็ใช้เหล่าคนขี้ขลาดที่ไร้เล่ห์มารยาในการทรมานคนดี โจมตีคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และทรมานทุกคนที่ไม่พอใจหรือไม่สยบต่อพวกเขา จากเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าคนชั่วมีเจตนาและจุดประสงค์ในการผูกมิตรกับคนที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมมารยาทสองสามคนนั้น สรุปก็คือ หากเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงหรือทบทวนว่าในพฤติกรรมและการกระทำของเจ้านั้น เจ้าทำดีหรือทำชั่ว เช่นนั้นไม่ว่าเจ้าเป็นคนดีหรือคนไม่ดี และไม่ว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี เจ้าก็จะไม่สามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง เจ้าอาจจะไม่ใช่คนที่มีอุปนิสัยชั่วร้าย—แต่เจ้าแค่ดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาเยี่ยงซาตานเท่านั้น เจ้าอาจจะไม่ได้ทำชั่ว หรืออาจจะเคยทำดีมาบ้าง แต่กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้กำลังดำเนินชีวิตด้วยความจริง เจ้าดำเนินชีวิตด้วยสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง โดยสรุปแล้ว ตราบเท่าที่เจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน เช่นนั้นไม่ว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี เจ้าก็อาจดำเนินชีวิตด้วยสิ่งทั้งหลายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความจริงแต่อย่างใด สิ่งเหล่านี้อาจจะจับต้องได้ หรืออาจจะจับต้องไม่ได้ เจ้าอาจจะตระหนัก หรืออาจไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้เลย สิ่งเหล่านี้อาจจะมาภายนอก หรืออาจจะเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกแน่นหนาอยู่ในอุปนิสัยของเจ้า—แต่ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็มิใช่ความจริง สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นมาจากตัวของมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามเอง—หรือพูดให้แม่นยำก็คือ สิ่งเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาจากซาตาน เพราะฉะนั้นเมื่อผู้คนดำเนินชีวิตด้วยสิ่งเยี่ยงซาตานเหล่านี้ พวกเขากำลังอยู่บนถนนแบบใดกันแน่? พวกเขากำลังเดินตามหนทางของพระเจ้าใช่หรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอน หากใครบางคนไม่ได้ปฏิบัติความจริงในพฤติกรรมและการกระทำของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พูดตามข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาไม่ได้กำลังปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ดูภายนอกพวกเขาอาจจะกำลังปฏิบัติหน้าที่ แต่ระหว่างการนั้นกับมาตรฐานของการปฏิบัติหน้าที่ก็มีความต่างอยู่พอสมควร โดยหลักแล้วการนั้นปลอมปนไปด้วยเจตนาและการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนของพวกเขา พวกเขาอาจจะกำลังปฏิบัติหน้าที่ แต่พวกเขาไม่ได้จงรักภักดีหรือเป็นคนมีหลักธรรม และการที่พวกเขาทำเช่นนั้นก็ไม่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างแน่นอน นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าในการปฏิบัติหน้าที่ อันที่จริงพวกเขาได้ทำสิ่งต่างๆ มากมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง สิ่งเหล่านั้นไม่ได้แตะไปถึงหลักธรรมความจริงเลย ทั้งหมดล้วนทำไปตามความชอบส่วนตนและความคิดฝันของบุคคลนั้น การปฏิบัติหน้าที่ในหนทางนั้นจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าได้อย่างไร?
พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงสภาวะเหล่านี้ในทุกแง่มุมไปแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าสามารถประเมินได้หรือยังว่าเจ้าดำเนินชีวิตด้วยสิ่งใด? ไม่ว่าในการปฏิบัติหน้าที่หรือในชีวิตประจำวัน พวกเจ้าดำเนินชีวิตด้วยความจริงอยู่เป็นประจำใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) เราเปิดโปงพวกเจ้าจนถึงแก่นอยู่เสมอในการสามัคคีธรรมของพวกเรา และพวกเจ้าก็กำลังรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตอันน่าอับอาย เจ้าเสียความมั่นใจไปแล้ว และไม่ได้เป็นคนที่แสนทรงเสน่ห์อีกต่อไป อีกทั้งมีหลายสิ่งซึ่งเจ้าละอายใจที่จะกล่าว—เจ้าไม่รู้สึกว่าการได้รับพรหรือการมีบั้นปลายที่ดีในอนาคตช่างชอบด้วยเหตุผลอีกต่อไป แล้วเรื่องนั้นจะทำอย่างไรเล่า? การเปิดโปงเจ้าอย่างที่เจ้าเป็นมานั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่? (ดี) เช่นนั้นแล้ว เป้าหมายของการเปิดโปงเจ้าจนถึงแก่นคืออะไรหรือ? ผู้คนต้องมีความรู้ชัดเจนว่าพวกเขากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะประเภทใด และพวกเขากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะไหน พวกเขาต้องมีความรู้ชัดเจนว่าตัวเองกำลังเดินอยู่บนถนนเส้นใด กำลังดำเนินชีวิตในรูปแบบใด มีพฤติกรรมใดที่ผิดปกติ ทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะควร และพวกเขาสามารถได้รับความจริงและมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือไม่หากดำเนินชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เจ้าอาจจะกล่าวว่า “ฉันมีมโนธรรมที่ชัดเจนว่าฉันกำลังใช้ชีวิตอย่างไร ฉันไม่เคยรู้สึกไม่สบายใจหรือไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบนี้ และฉันก็ไม่เคยรู้สึกว่างเปล่าด้วย” แต่ผลจากการนั้นคืออะไร? ความไม่พอพระทัยของพระเจ้านั่นเอง เจ้าไม่ได้กำลังเดินตามหนทางของพระองค์ ถนนที่เจ้าเดินอยู่ไม่ใช่ถนนที่แท้จริงของชีวิตมนุษย์ที่พระเจ้าทรงชี้ให้เจ้าเห็น—ในทางกลับกัน เจ้าก้าวเดินไปบนถนนที่ในความฝันเฟื่องของเจ้านั้น เจ้าค้นพบด้วยความคิดฝันของเจ้า ถึงแม้เจ้าจะมีความสุขกับการวิ่งวุ่นและมีเรื่องให้จัดการมากมาย ทว่าท้ายที่สุดจุดจบของเจ้าจะเป็นเช่นไร? เจตนาและความอยากของเจ้า รวมถึงถนนที่เจ้าเดินจะสร้างความเสียหายแก่เจ้าและทำให้เจ้าถูกทำลาย—ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าย่อมจะถึงคราวล้มเหลว คำว่าความเชื่อในพระเจ้าของคนคนหนึ่งจะล้มเหลวหมายความว่าอย่างไร? (หมายความว่าพวกเขาย่อมจะไร้ซึ่งจุดจบ) เมื่อมองดูในเวลานี้ นี่ย่อมจะเป็นผลจากการที่เจ้าไม่ได้รับความจริงนั่นเอง เจ้าจะเชื่อในพระเจ้าต่อไปอีกหลายปีแต่ไร้ซึ่งการมุ่งเน้นที่จะได้รับความจริง แล้ววันที่เจ้าจะถูกเผยและถูกกำจัดเพราะเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมจะมาถึง เมื่อถึงคราวนั้นก็ย่อมสายเกินไปที่จะเสียใจ เจ้ากล่าวว่า “นี่คือหนทางในการดำเนินชีวิตที่สมเหตุสมผลสำหรับฉัน! ฉันรู้สึกมั่นใจที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ แถมในหัวใจยังรู้สึกอิ่มเอมและสมบูรณ์มากทีเดียว” แล้วสิ่งนั้นจะช่วยได้หรือ? ไม่ว่าเจ้าจะเดินอย่างไรบนถนนของการเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าดำเนินชีวิตอย่างไร และไม่ว่าเจ้าดำเนินชีวิตด้วยสิ่งใดต่างก็ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์โดยแท้ นั่นคือ สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับว่าท้ายที่สุดเจ้าได้รับความจริงหรือไม่ เจ้ามีคำพยานที่แท้จริงหรือไม่ อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ และเจ้าได้ใช้ชีวิตที่มีคุณค่าหรือไม่ หากเจ้าสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ทั้งหมดนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ย่อมจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าและได้รับการยกย่องนับถือจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าเจ้าอยู่บนถนนที่ถูกต้องแล้ว หากเจ้าไม่ได้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์อันเป็นบวกเหล่านี้ ทั้งยังไม่มีคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริง และไม่มีความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงทางด้านอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตเลย นั่นย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้อยู่บนถนนที่ถูกต้อง เมื่อกล่าวเช่นนั้น นี่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายใช่หรือไม่? โดยสรุปก็คือ ไม่ว่าเจ้าจะดำเนินชีวิตอย่างไร มีชีวิตที่สุขสบายเพียงไร และไม่ว่าเจ้าจะได้รับความเห็นชอบเช่นไรจากผู้อื่น นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ เจ้ากล่าวว่า “การที่ฉันดำเนินชีวิตและปฏิบัติเช่นนี้นั้นมีอะไรให้ชื่นชมยินดีตั้งมากมาย ฉันมีสำนึกอันยอดเยี่ยมของความเป็นอยู่ที่ดี เป็นคนที่มีเกียรติ และเรื่องนั้นก็มีสิ่งยืนยันอยู่” เจ้ามิได้กำลังหลอกตัวเองอยู่หรือ? สมมุติมีใครบางคนถามเจ้าว่า “คุณเคยทำตัวซื่อสัตย์บ้างไหม? ความท้าทายของคุณในการทำเช่นนั้นคืออะไร? สำหรับคุณแล้ว รูปการณ์แวดล้อมแบบไหนที่ทำให้การเป็นคนซื่อสัตย์เป็นเรื่องยาก? ถ้าคุณมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ก็ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย คุณมีคำพยานเรื่องการรักพระเจ้าไหม? คุณมีประสบการณ์ในการรักพระเจ้าและนบนอบพระองค์ไหม? หลังจากยอมรับการพิพากษา การตีสอน และการตัดแต่งแล้ว คุณมีประสบการณ์ในการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยไหม? ตลอดเส้นทางของการเติบโตในชีวิต อะไรคือสิ่งพิเศษที่คุณได้ประสบพบเจอซึ่งทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และขยับเข้าใกล้เป้าหมายที่พระเจ้าทรงตั้งไว้และมีพระประสงค์ให้คุณทำได้มากขึ้นเรื่อยๆ?” หากเจ้าไร้ซึ่งคำตอบที่ชัดเจนให้แก่สิ่งเหล่านี้ หากเจ้าไม่รู้ นี่ก็พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้อยู่บนถนนที่ถูกต้อง นั่นเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดแจ้ง
คำสามัคคีธรรมที่กล่าวไปด้านบนเป็นเพียงถ้อยแถลงทั่วไป สิ่งเหล่านั้นเป็นประเด็นเล็กน้อยบางส่วนที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายโดยละเอียด ยกตัวอย่างการที่ผู้คนทำสิ่งต่างๆ ด้วยความเพียร ด้วยความดีที่มีอยู่ในหัวใจของพวกเขา ด้วยความเต็มใจที่จะทนทุกข์ของพวกเขา หรือด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา และอื่นๆ—สิ่งเหล่านี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นการดำเนินชีวิตด้วยความจริงเลย ทั้งหมดล้วนเป็นตัวอย่างของผู้คนที่ดำเนินชีวิตด้วยความคิดฝันเฟื่องของพวกเขา อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา ความดีตามประสามนุษย์ของพวกเขา และปรัชญาทั้งหลายของซาตาน ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากสมองของมนุษย์ และพูดให้มากกว่านั้นก็คือมาจากซาตาน การดำเนินชีวิตด้วยสิ่งเหล่านี้อาจจะไม่สามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ ไม่ว่านี่เป็นสิ่งที่ดีเพียงใดพระองค์ก็ไม่ทรงต้องการ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การปฏิบัติความจริง การดำเนินชีวิตด้วยสิ่งเหล่านี้คือการดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาของซาตานและอุปนิสัยอันเสื่อมทราม นั่นเป็นการดูถูกพระเจ้า ไม่ใช่คำพยานที่แท้จริง หากเจ้ากล่าวว่า “ฉันรู้ว่าการกระทำเหล่านี้เป็นแค่ความใจดีที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง นั่นไม่ใช่วิธีที่ฉันควรปฏิบัติ” ด้วยความเข้าใจเรื่องนั้นอย่างแท้จริงในหัวใจ ด้วยความรู้สึกที่ว่าการกระทำเช่นนั้นไม่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะมีความรู้ มุมมองของเจ้าจะปรับเปลี่ยนไป นั่นคือผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงต้องการ เจ้าต้องรู้ว่าการบิดเบือนของเจ้าอยู่ตรงจุดไหน จงปรับเปลี่ยนมุมมองและปล่อยวางมโนคติอันหลงผิดของเจ้า แล้วมาเข้าใจความจริงกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า เมื่อเจ้าทำเช่นนั้นแล้ว จงฝึกฝนเพิ่มเติมไปในทิศทางนั้น และก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง นั่นเป็นความหวังเดียวที่เจ้าได้สัมฤทธิ์เป้าหมายที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า หากเจ้าไม่ปฏิบัติและเข้าสู่เส้นทางที่พระเจ้าต้องประสงค์ แต่กล่าวว่า “นี่คือสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ ฉันไม่ได้อยู่เฉยๆ เสียหน่อย ฉันทำหน้าที่ของตัวเองมาตลอด ฉันมั่นใจว่าตัวเองคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และฉันก็ยอมรับพระผู้สร้างของฉัน” แบบนั้นจะมีประโยชน์หรือไม่? ไม่ นั่นย่อมจะไม่มีประโยชน์ เจ้ากำลังขืนต้านพระเจ้า เจ้าคนดื้อแพ่ง! คราวนี้ได้เวลาเลือกถนนในชีวิตแล้ว สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดคือเจ้าต้องเดินตามถนนที่พระเจ้าต้องประสงค์ให้เจ้าพึงเดิน ประการแรก จงอย่าดำเนินการด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ ประการที่สอง จงอย่าดำเนินการด้วยความมุ่งมาดปรารถนาของมนุษย์ ประการที่สาม จงอย่าดำเนินการด้วยความพอใจส่วนตนของมนุษย์ และประการที่สี่ จงอย่าดำเนินการด้วยการถือเอาอารมณ์เป็นใหญ่ของมนุษย์ ที่สำคัญกว่านั้นคือ จงอย่าดำเนินการด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจ้าต้องรีบทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปเสีย ไม่ว่าเจ้ามีต้นทุนอะไร สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งไร้ค่า เป็นขยะราคาถูกสำหรับพระเจ้า ซึ่งไม่ได้มาจากสิ่งที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเลย เจ้าต้องโยนสิ่งเหล่านั้นทิ้งไปทีละอย่าง และปล่อยวางทั้งหมดไปเสีย แล้วเจ้าจะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่ามีเพียงสิ่งที่ได้มาจากการวางใจในการปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่มีคุณค่าและตรงตามมาตรฐานที่พระเจ้าต้องประสงค์จากมนุษย์ ทุกอย่างที่มาจากมนุษย์ล้วนไร้ค่า—และท้ายที่สุดก็ย่อมไร้ประโยชน์ ไม่ว่าเจ้าเรียนรู้จากสิ่งนั้นมากมายแค่ไหน ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงขยะราคาถูก เป็นเรื่องเหลวไหล มีเพียงความจริงที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์เท่านั้นที่เป็นสมบัติล้ำค่าและเป็นชีวิต ความจริงเป็นสิ่งที่มีค่าชั่วนิรันดร์ เจ้ามักค้ำจุนสิ่งที่เป็นของเจ้าเองอยู่เสมอ พลางคิดว่า “ฉันต้องตั้งหน้าตั้งตาเรียนตั้งหลายปีถึงจะมีทักษะนี้ พ่อแม่ทุ่มเทขนาดนั้นเพื่อฉัน แถมยังเสียเงินทองมากมาย ยอมลำบากรากเลือด เสียทั้งเหงื่อและน้ำตา—ฉันจะชำแหละและกล่าวโทษเรื่องนั้นแบบนั้นได้อย่างไร? นี่เป็นเรื่องใหญ่โต เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย! ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านั้นฉันจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยอะไรเล่า?” เจ้าช่างโง่เขลาเหลือเกิน หากดำเนินชีวิตด้วยสิ่งเหล่านั้น เจ้าย่อมจะตกนรกอย่างแน่นอน เจ้าต้องดำเนินชีวิตด้วยพระวจนะของพระเจ้า เปลี่ยนแปลงหนทางในการดำเนินชีวิตของเจ้า ยอมให้พระวจนะของพระเจ้าเข้ามาแล้วชำระสิ่งเก่าๆ เหล่านั้นออกไปจากตัวเจ้า เจ้าต้องชำแหละและรู้จักสิ่งเหล่านั้น เปิดใจและแสดงให้ทุกคนเห็นเพื่อให้คนในกลุ่มได้เกิดวิจารณญาณ รู้ตัวอีกทีเจ้าก็จะรังเกียจสิ่งเหล่านั้น รังเกียจสิ่งที่เจ้าเคยรัก รังเกียจสิ่งที่เจ้าเคยพึ่งพาในการเอาตัวรอด รวมถึงรังเกียจสิ่งที่ครั้งหนึ่งเจ้าเคยเชื่อว่าเป็นชีวิตของเจ้าและเป็นสิ่งที่เจ้าทะนุถนอมมากที่สุด นั่นเป็นหนทางในการแยกตัวและตัดสิ่งเหล่านั้นออกไปจากตัวเจ้าโดยสมบูรณ์ เป็นหนทางสู่การเข้าใจความจริงโดยแท้จริง และเป็นหนทางเข้าสู่ถนนแห่งการปฏิบัติความจริง แน่นอนว่านี่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและยากลำบาก รวมถึงเป็นกระบวนการที่เจ็บปวด แต่นี่คือกระบวนการที่มนุษย์ต้องก้าวผ่าน การไม่ก้าวผ่านกระบวนการนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ การมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้านั้นเหมือนกับการรักษาอาการเจ็บป่วย หากเจ้ามีเนื้องอก วิธีเดียวที่จะจัดการเนื้อก้อนนั้นคือการขึ้นเตียงผ่าตัด หากเจ้าไม่ขึ้นเตียงผ่าตัดและยอมให้มีดตัดเนื้อก้อนนั้นทิ้งไปเสีย โรคของเจ้าจะไม่ได้รับการรักษา และเจ้าก็จะไม่ดีขึ้น
มีคนมากมายมองที่ว่าคนซื่อสัตย์คือคนโง่ คิดว่า “พวกเขาทำตามที่พระเจ้าตรัสทุกอย่าง พระองค์ตรัสว่าให้เป็นคนซื่อสัตย์ แล้วพวกเขาก็ทำแบบนั้นจริงๆ พวกเขาพูดความจริงโดยไม่พูดเท็จแม้แต่คำเดียว พวกเขาโง่เขลาไม่ใช่เหรอ? คุณเป็นคนที่ซื่อสัตย์ได้ แต่ก็เท่าที่มันไม่สร้างความสูญเสียหรือความเสียหายอะไรให้คุณเท่านั้น คุณจะพูดทุกอย่างไม่ได้! การเปิดเผยทุกอย่างออกไป—นั่นคือความโง่เขลาไม่ใช่เหรอ?” พวกเขาคิดว่าการเป็นคนซื่อสัตย์คือความโง่เขลาใช่หรือไม่? บุคคลเช่นนั้นคือผู้ที่ปราดเปรื่องที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด เพราะพวกเขาเชื่อว่า “พระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าคือความจริง และการเป็นคนซื่อสัตย์ก็เป็นความจริง ดังนั้นการที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า ผู้คนก็ควรซื่อสัตย์ ดังนั้นไม่ว่าพระเจ้าตรัสอะไรฉันก็จะทำ ไม่ว่าพระองค์จะทรงให้ฉันไปไกลแค่ไหน ฉันก็จะไปไกลแค่นั้น พระเจ้าต้องประสงค์ให้ฉันนบนอบ ฉันจึงนบนอบ และฉันจะนบนอบต่อไปตลอดกาล ฉันไม่สนใจถ้าจะมีใครพูดว่าฉันโง่—สำหรับฉันแค่พระเจ้าทรงเห็นชอบก็พอแล้ว” บุคคลเช่นนั้นมิใช่ผู้ที่ปราดเปรื่องที่สุดในบรรดาคนทั้งหมดหรอกหรือ? พวกเขามองเห็นอย่างแม่นยำว่าสิ่งใดที่สำคัญและสิ่งใดไม่สำคัญ มีคนบางคนที่มีวาระซ่อนเร้น ผู้ที่คิดว่า “การนบนอบไปทุกอย่างย่อมจะโง่เขลาไม่ใช่เหรอ? การทำเช่นนั้นเป็นการไร้ซึ่งอิสรภาพไม่ใช่เหรอ? ถ้าใครบางคนไม่มีแม้กระทั่งความเป็นตัวเอง พวกเขาจะมีศักดิ์ศรีเหรอ? แน่นอนว่าเรายังได้รับอนุญาตให้รักษาศักดิ์ศรีของตัวเองไว้บ้างใช่ไหมล่ะ? เราไม่สามารถนบนอบได้โดยสมบูรณ์หรอกใช่ไหม?” และดังนั้น พวกเขาจึงปฏิบัติการนบนอบในหนทางที่ลดลงอย่างมาก สิ่งนั้นจะสามารถเพิ่มขึ้นจนถึงมาตรฐานของการปฏิบัติความจริงได้หรือ? ไม่ได้—นี่ย่อมห่างไกลจากเรื่องนั้นอยู่มาก! หากเจ้าไม่ปฏิบัติความจริงตามหลักธรรม กลับเลือกทางประนีประนอมที่จะไม่หันเหไปทางความจริงและซาตานอยู่เสมอ ทั้งยังเอาแต่อยู่บนทางสายกลาง เช่นนั้นแล้วเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงอยู่หรือ? นี่คือปรัชญาของซาตาน คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชังมากที่สุด พระเจ้าทรงรังเกียจท่าทีเช่นนี้ที่มนุษย์มีต่อความจริง พระองค์ทรงรังเกียจที่ผู้คนกังขาความจริงและพระวจนะของพระองค์อยู่เสมอ ทรงรังเกียจที่พวกเขาแคลงใจในพระวจนะของพระองค์อยู่ตลอดเวลา หรือมักนำเอาท่าทีที่มีอคติ ดูถูกเหยียดหยาม และโอหังมาใช้อยู่เป็นนิจ ทันทีที่มนุษย์มีท่าทีเช่นนี้ต่อพระเจ้า กังขาในตัวพระองค์ คลางแคลงใจ ตั้งคำถาม คิดวิเคราะห์ และเข้าใจพระองค์ผิด มักศึกษาเรื่องของพระองค์และพยายามชั่งใจเรื่องของพระองค์อยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงซ่อนพระองค์จากเจ้า แล้วเมื่อพระเจ้าทรงซ่อนพระองค์จากเจ้า เจ้าจะยังสามารถได้รับความจริงอยู่อีกหรือ? “ได้สิ!” เจ้ากล่าว “ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน ฉันเข้าชุมนุมตลอดเวลา และฉันก็ฟังคำเทศนาทุกสัปดาห์ และหลังจากนั้นก็ใคร่ครวญและจดบันทึกทุกวัน แถมฉันยังร้องเพลงนมัสการและอธิษฐานด้วย ฉันคิดว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงงานในตัวฉันอยู่” แบบนั้นจะได้ผลหรือ? หนทางเหล่านั้นในการเชื่อพระเจ้านับว่าใช้ได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดคือการที่เจ้าเป็นคนประเภทที่ถูกต้อง และมีหัวใจที่ถูกต้อง—เมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงจะไม่ทรงหลบพระพักตร์ของพระองค์ไปจากเจ้า เมื่อพระเจ้าไม่ทรงหลบพระพักตร์ของพระองค์ไปจากเจ้า ทว่าทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเจ้าอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งทรงทำให้เจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์และความจริงในทุกสรรพสิ่ง นั่นย่อมทำให้ท้ายที่สุดเจ้าได้รับความจริง และเจ้าจะได้รับการอวยพรอย่างยิ่งใหญ่ แต่หากเจ้ามีหัวใจที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งเจ้ายังกังขาในพระเจ้า ระวังตัวจากพระองค์ ทดสอบพระองค์ และเข้าใจพระองค์ผิดอยู่เสมอด้วยความคิดเห็นและความเฉลียวฉลาดที่มีเพียงน้อยนิดของเจ้า หรือด้วยสิ่งที่เจ้าเรียนรู้มาและปรัชญาเยี่ยงซาตาน เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมตกที่นั่งลำบาก คนบางคนนั้นยิ่งกว่าระวังตัว ทดสอบ กังขา และเข้าใจพระเจ้าผิด พวกเขาไปถึงขั้นขืนต้านพระองค์และแข่งขันกับพระองค์ พวกเขาได้กลายเป็นซาตาน และตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิม เจ้าจะไม่เข้าใจความจริงจากการแค่เข้าใจความหมายตามตัวอักษรของคำพูดในความจริงเหล่านั้นและคำสอนทั่วไป การเข้าใจความจริงไม่ใช่เรื่องทั่วไป ผู้คนส่วนใหญ่ลงแรงภายใต้ความเข้าใจผิดนี้ และพวกเขาก็ไม่เข้าใจแม้จะเน้นย้ำให้พวกเขาฟังครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาคิดว่า “ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้า แถมยังฟังคำเทศนาและสามัคคีธรรมทุกวัน และฉันก็ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองมาปีแล้วปีเล่า ฉันเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ในไร่นา—ต่อให้คุณไม่รดน้ำหรือใส่ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์นี้ก็จะค่อยๆ โตขึ้นเองเพราะน้ำฝน และจะให้ผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วงอยู่ดี” ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น นี่เป็นองค์ประกอบที่อาศัยความร่วมมือของบุคคล สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดคือนิสัยในการให้ความร่วมมือของพวกเขา หัวใจของพวกเขา และท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญโดยแท้ นี่ก็เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่บุคคลใช้ในการดำเนินชีวิตมิใช่หรือ? (ใช่) หากเจ้าดำเนินชีวิตด้วยความชอบส่วนตนของมนุษย์และปรัชญาเยี่ยงซาตานอยู่เสมอ ตั้งแง่กับพระเจ้าอยู่เป็นนิจ และไม่ถือว่าพระวจนะของพระองค์คือความจริง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่สนพระทัยเจ้าอีกต่อไป และเมื่อพระเจ้าไม่สนพระทัยเจ้าอีกต่อไป เจ้าจะยังได้รับสิ่งใดอีกหรือ? หากพระผู้สร้างทรงเมินเฉยต่อเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์อีกต่อไป หากพระองค์ทรงมองว่าเจ้าเป็นมาร เป็นซาตาน เจ้าจะยังสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อยู่หรือไม่? เจ้าจะยังเป็นเป้าหมายแห่งความรอดของพระองค์อยู่หรือไม่? เจ้าจะยังมีหวังที่จะได้รับความรอดอยู่หรือไม่? นั่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนั้นจึงไม่สำคัญว่าชีวิตที่บ้านของเจ้าเป็นเช่นไร เจ้ามีขีดความสามารถประเภทใด หรือเจ้ามีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมแค่ไหน และไม่สำคัญว่าเจ้าทำงานใดในคริสตจักร เจ้าปฏิบัติหน้าที่ใด หรือบทบาทของเจ้าคืออะไร ไม่สำคัญว่าในอดีตเจ้าเคยกระทำผิดรูปแบบใด ปัจจุบันเจ้าอยู่ในสภาวะประเภทใด เจ้าเติบโตในชีวิตจนถึงระดับไหน หรือเจ้ามีวุฒิภาวะมากมายเพียงไร ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าเป็นอย่างไร เจ้ากังขาและเข้าใจพระองค์ผิดอยู่เป็นนิจ หรือศึกษาเกี่ยวกับพระองค์อยู่เป็นประจำหรือไม่ หัวใจของเจ้าตั้งอยู่อย่างถูกต้องหรือไม่ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ผู้คนจะรู้ถึงสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดนี้ได้อย่างไร? การที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาต้องหมั่นตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ ไม่สับสนวกวนเช่นเดียวกับผู้ไม่เชื่อ ไม่ดูวีดิทัศน์ทางโลก และมัวแต่เล่นหยอกล้อกันในเวลาว่าง หากหัวใจของใครบางคนไม่สามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไร? หากเจ้าไม่พยายามมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระองค์ก็จะไม่ทรงทำให้เจ้ามา เพราะพระเจ้าทรงไม่บังคับผู้คนให้ทำสิ่งทั้งหลาย พระเจ้าทรงแสดงความจริงเพื่อที่ผู้คนอาจจะเข้าใจและยอมรับความจริงนั้น หากผู้คนไม่กลับมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาจะยอมรับความจริงได้อย่างไร? หากผู้คนทำตัวเฉื่อยชาอยู่เสมอ หากพวกเขาไม่มองหาพระเจ้าหรือต้องการพระองค์อยู่ในหัวใจ เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาได้อย่างไร? ดังนั้นแล้วเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า การที่เจ้าควรจะแสวงหาพระองค์และร่วมมือกับพระองค์ด้วยความกระตือรือร้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดมิใช่หรือ? นั่นคืองานของเจ้า! หากการเชื่อในพระเจ้าเป็นเพียงงานเสริมของเจ้า เป็นงานอดิเรกที่อยู่นอกหลักสูตร เจ้าก็ลำบากเสียแล้ว! มีผู้คนที่ตอนนี้ยังเป็นผู้เชื่อและได้ฟังคำเทศนามามากมาย แต่ยังคงคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าคือการเชื่อในศาสนา คิดว่านี่เป็นงานอดิเรกในเวลาว่างของพวกเขา พวกเขาช่างเหลาะแหละกับความเชื่อในพระเจ้าเหลือเกิน! แม้กระทั่งตอนนี้ ในช่วงระยะนี้ พวกเขาก็ยังคงมีมุมมองนี้อยู่ ในการเชื่อพระเจ้านั้น นอกจากพวกเขาจะไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับพระองค์ได้แล้ว—พวกเขายังไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับพระองค์เลย หากพระเจ้าไม่ทรงยอมรับเจ้าในฐานะผู้ติดตามของพระองค์ เจ้ายังคงมีหวังที่จะได้รับความรอดอยู่อีกหรือ? ไม่ เจ้าย่อมไม่มีหวัง นั่นคือเหตุผลที่การสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญ! เช่นนั้นแล้ว ความสัมพันธ์อันเป็นปกตินั้นสร้างขึ้นบนรากฐานใด? จากการร่วมมือของผู้คนนั่นเอง! ดังนั้นแล้วผู้คนควรนำจุดยืนหรือมุมมองแบบใดมาใช้? สภาวะของพวกเขาควรเป็นอย่างไร? พวกเขาต้องมีเจตจำนงประเภทใด? ในหัวใจเจ้าปฏิบัติต่อความจริงอย่างไร? ด้วยความกังขา ด้วยการศึกษา ด้วยการไม่ไว้วางใจ หรือด้วยการปฏิเสธกันเล่า? หากเจ้ามีสิ่งเหล่านี้เจ้าจะมีหัวใจที่ถูกต้องหรือไม่? (ไม่มี) หากเจ้าตั้งใจที่จะมีหัวใจที่ถูกต้อง เจ้าต้องมีท่าทีประเภทใด? เจ้าต้องมีหัวใจที่นบนอบ ไม่ว่าพระเจ้าตรัสเช่นไร ไม่ว่าพระองค์ต้องประสงค์สิ่งใด เจ้าก็ต้องตั้งใจนบนอบต่อสิ่งนั้นโดยไม่กังขาและไม่หาความชอบด้วยเหตุผล นั่นคือท่าทีที่ถูกต้อง เจ้าต้องเชื่อ ยอมรับ และนบนอบ โดยไม่มีการผ่อนปรน การไม่ยอมผ่อนปรนเป็นสิ่งที่ทำได้ทันทีไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่—แต่เจ้าต้องพยายามที่จะเข้าสู่สิ่งนั้น ลองจินตนาการดูว่า หากพระเจ้าตรัสกับเจ้าว่า “เจ้าป่วย” และเจ้าตอบว่า “เปล่า ข้าพระองค์ไม่ได้ป่วย” นั่นย่อมจะไม่เป็นปัญหา เจ้าอาจจะไม่เชื่อเรื่องนั้น แต่แล้วพระเจ้าก็ตรัสว่า “เจ้าป่วยหนักทีเดียว กินยาเสียหน่อยเถิด” และเจ้าตอบว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้ป่วย แต่ข้าพระองค์จะกินยาตามที่พระองค์ทรงบอกสักหน่อยก็ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร และหากข้าพระองค์ป่วย นี่อาจจะเป็นการดีที่สุด ข้าพระองค์จะกินสักหน่อยแล้วกัน” เจ้ากินยานั้น และเจ้าก็รู้สึกว่าร่างกายของเจ้าต่างไปจากที่เคย เจ้ากินยานั้นต่อไปในปริมาณที่กำหนด หลังจากผ่านระยะหนึ่ง เจ้าก็รู้สึกว่าร่างกายของเจ้ากำลังดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วจากนั้น เจ้าก็เชื่อว่าความเจ็บป่วยที่พระเจ้าทรงบอกนั้นเป็นจริงโดยแน่แท้ การปฏิบัติลักษณะนี้ทำให้เกิดผลลัพธ์อย่างไรหรือ? เจ้าหายจากความเจ็บป่วยเพราะเจ้าเชื่อและนบนอบพระวจนะของพระเจ้า แม้ว่าทีแรกเจ้าจะไม่ได้กินยามากเท่าที่พระเจ้าทรงบอกให้กิน ทว่ากลับกระทำการผ่อนปรนให้ตัวเองเล็กน้อย มีความไม่ไว้วางใจอยู่นิดหน่อย ทั้งยังคับข้องใจและอึกอักอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดเจ้าก็กินยาตามที่พระเจ้าทรงบอก และรู้สึกถึงประโยชน์ของยานั้นในภายหลัง ดังนั้นเจ้าจึงกินยาต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งเจ้ากินยามากเท่าไร ความเชื่อของเจ้าก็เติบโตยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น เจ้าเริ่มรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้องและเป็นเจ้าเองที่ผิด และเจ้าไม่ควรกังขาในพระวจนะของพระองค์ ท้ายที่สุดเมื่อเจ้ากินยาที่พระเจ้าต้องประสงค์ให้เจ้ากินจนหมด สุขภาพของเจ้าก็ได้รับการฟื้นฟู เมื่อถึงจุดนั้น ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าจะไม่จริงแท้มากยิ่งขึ้นหรอกหรือ? เจ้าย่อมจะรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้อง รู้ว่าเจ้าควรนบนอบพระองค์โดยไม่ผ่อนปรนและปฏิบัติพระวจนะของพระองค์โดยไม่ผ่อนปรน ตัวอย่างนี้มีจุดประสงค์อะไร? ความเจ็บป่วยของเจ้าในตัวอย่างนี้หมายถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และการกินยาเป็นตัวแทนของการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้า ใจความหลักของตัวอย่างนี้คือ หากผู้คนสามารถยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้าได้ ความเสื่อมทรามของพวกเขาย่อมจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และพวกเขาก็สามารถบรรลุความรอดได้ นี่คือผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นจากการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเจ้ากลัวความล้มเหลวหรือไม่? เจ้าอาจจะกล่าวว่า “ฉันต้องมุ่งเป้าไปสู่ความเพียบพร้อม พระเจ้าตรัสว่าฉันต้องนบนอบโดยสมบูรณ์และไม่ผ่อนปรน ดังนั้น ฉันต้องสัมฤทธิ์การนบนอบพระวจนะของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ปฏิบัติพระวจนะเหล่านั้น หากคราวนี้ฉันไม่สัมฤทธิ์การนบนอบนี้ ฉันก็จะรอโอกาสหน้า และจะไม่ปฏิบัติการนบนอบในคราวนี้” การทำเช่นนั้นเป็นทางที่ดีงั้นหรือ? (ไม่ใช่) จากมุมของพระเจ้า การที่มนุษย์จะปฏิบัติความจริงย่อมมีกระบวนการอยู่ พระองค์ประทานโอกาสแด่ผู้คน เมื่อใครบางคนมีสภาวะที่เสื่อมทราม พระเจ้าก็จะทรงเปิดโปงสภาวะนั้นและตรัสว่า “เจ้ากระทำการผ่อนปรนให้ตัวเอง เจ้าไม่นบนอบ เจ้าเป็นกบฏ” แล้วเป้าหมายของพระเจ้าในการทรงเปิดโปงสภาวะดังกล่าวคืออะไร? คือเพื่อให้เจ้ากระทำการผ่อนปรนให้ตัวเองน้อยลงเรื่อยๆ ปฏิบัติการนบนอบมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้การทำความเข้าใจของเจ้าบริสุทธิ์มากขึ้นและเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เจ้าสามารถนบนอบต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ขณะที่พระเจ้าทรงเปิดโปงเจ้านั้น พระองค์ทรงลงโทษเจ้าหรือไม่? เมื่อพระองค์ทรงตัดแต่งเจ้าและทรงทำให้เจ้าก้าวผ่านบททดสอบ พระองค์ทรงเพียงบ่มวินัยและสั่งสอนเจ้า เจ้าย่อมถูกเปิดโปงอยู่บ้าง ถูกตำหนิอยู่บ้าง และถูกทำให้รู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง—ทว่าพระเจ้าทรงพรากชีวิตของเจ้าไปจากเจ้าหรือไม่? (ไม่) พระองค์ไม่ได้ทรงพรากชีวิตไปจากเจ้า และพระองค์ก็ไม่ทรงส่งตัวเจ้าให้แก่ซาตาน ในการนั้น เจ้าอาจจะเห็นถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ แล้วเจตนารมณ์ของพระองค์คืออะไร? พระองค์จะทรงช่วยเจ้าให้รอดนั่นเอง บางครั้ง หลังผ่านพ้นความยากลำบากเล็กน้อยมา ผู้คนก็เกิดความรู้สึกอึกอักในใจ พลางคิดว่า “พระเจ้าทรงไม่ชอบฉัน ฉันหมดหวังเสียแล้ว” หากเจ้าเข้าใจพระเจ้าผิดเช่นนั้นอยู่เป็นนิจ เจ้าก็ย่อมตกที่นั่งลำบาก การเติบโตในชีวิตของเจ้าช่างล่าช้าเหลือเกิน ดังนั้นไม่ว่าเป็นคราวใด ไม่ว่าเจ้าจะอ่อนแอหรือแข็งแรง ไม่ว่าสภาวะของเจ้าจะดีหรือแย่ ไม่ว่าการเติบโตในชีวิตของเจ้าจะอยู่ในระดับไหน—เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องเหล่านั้นในตอนนี้ จงใส่ใจเพียงการปฏิบัติพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้ ต่อให้เจ้าแค่กำลังพยายามที่จะปฏิบัติพระวจนะเหล่านั้นก็ตาม การนั้นก็ใช้ได้เช่นกัน จงพยายามอย่างหนักในการให้ความร่วมมือและทำสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ จงเข้าสู่สภาวะที่กล่าวไว้ในพระวจนะของพระเจ้า ดูว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรในการปฏิบัติความจริงที่พระเจ้าได้ทรงแสดง เจ้าได้ประโยชน์จากการนั้นหรือไม่ และเจ้ามีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเพียรพยายามมุ่งสู่ความจริง ผู้คนไม่เข้าใจกระบวนการของการเติบโตในชีวิต พวกเขาหวังที่จะสร้างกรุงโรมให้เสร็จภายในหนึ่งวันเสมอ คิดว่า “ถ้าฉันนบนอบโดยสมบูรณ์ไม่ได้ ฉันก็จะไม่นบนอบ ฉันจะนบนอบก็ต่อเมื่อฉันสามารถทำได้โดยสมบูรณ์เท่านั้น ฉันจะไม่น่าเสื่อมเสียในเรื่องนี้ สิ่งนั้นแสดงให้เห็นว่าฉันมีความมุ่งมั่นแค่ไหน มีคุณลักษณะและศักดิ์ศรีแค่ไหน!” นั่นเป็น “ความมุ่งมั่น” ประเภทใดหรือ? สิ่งนั้นคือความเป็นกบฏและการดื้อแพ่งต่างหาก!
จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปให้ดี พวกเราได้เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมถึงสี่หัวข้อย่อยของคำถามที่ว่า “ผู้คนดำเนินชีวิตตามสิ่งใดตลอดหลายปีของความเชื่อในพระเจ้า?” ไปแล้ว ในการดำเนินชีวิตนั้น พวกเขาพึ่งพาพรสวรรค์ของตัวเอง พึ่งพาความรู้ พึ่งพาหัวใจที่เปลือยเปล่าและเหมือนเด็กๆ ของตัวเอง รวมถึงพึ่งพาปรัชญาของซาตาน พวกเจ้าเข้าใจสภาวะทั้งสี่ที่ได้ฟังไปหรือไม่? พวกเจ้าเห็นได้หรือไม่ว่ามีสภาวะใดอยู่ในตัวเจ้า? พวกเจ้าสามารถทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้หรือไม่? พวกเราเคยสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้มาก่อนหรือไม่? พวกเจ้าอาจจะเคยรับมือกับบางสภาวะและรู้จักสภาวะเหล่านั้นมาบ้าง แต่ไม่ใช่ในหนทางที่เกี่ยวกับการปฏิบัติความจริงหรือหัวข้อที่พวกเราสามัคคีธรรมกันในวันนี้ วันนี้ พวกเราได้สามัคคีธรรมเรื่องของสภาวะเหล่านี้จากหัวข้อและแง่มุมของคำถามที่ว่า “ผู้คนดำเนินชีวิตตามสิ่งใดตลอดหลายปีของความเชื่อในพระเจ้า?” สิ่งนี้เข้าใกล้การปฏิบัติความจริงและการดำเนินชีวิตด้วยความจริงขึ้นอีกเล็กน้อย เรามีอีกคำถามหนึ่ง จงจดเอาไว้ คำถามนั้นคือ อะไรคือสิ่งที่เจ้ารักมากที่สุด? ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อสิ่งเหล่านั้นที่เจ้ารักมากที่สุดเป็นอย่างไร? พวกเราจะใช้เวลาสามัคคีธรรมถึงคำถามนี้กันภายหลัง วันนี้ โดยหลักแล้วพวกเราได้เปิดโปงสภาวะที่เป็นลบมากมายซึ่งมาจากสิ่งที่ผู้คนใช้ในการดำเนินชีวิต ทว่าพวกเราไม่ได้สามัคคีธรรมถึงวิธีปฏิบัติความจริงที่อ้างอิงถึงสภาวะที่เป็นลบเหล่านั้นโดยเฉพาะ ถึงแม้ไม่ได้สามัคคีธรรมเรื่องนั้น พวกเจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ว่าข้อผิดพลาดอยู่ตรงไหนในสภาวะเหล่านี้? ปัญหาทั้งหลายเกิดมาจากที่ไหน? ปัญหาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของอุปนิสัยใด? ความจริงควรปฏิบัติอย่างไร? เมื่อมีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อเจ้ามีสภาวะดังกล่าวและวิธีการดังกล่าว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าควรใช้ความจริงแทนสิ่งเหล่านั้นอย่างไร? ความจริงประการใดที่เจ้าควรปฏิบัติ? สิ่งสำคัญในเบื้องต้นที่เจ้าควรทำในเวลานี้คือ เริ่มจากการจับความเข้าใจสภาวะเหล่านี้และชำแหละตัวเจ้าเองเสียก่อน เมื่อเจ้าดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะเหล่านี้ อย่างน้อยเจ้าควรรู้อยู่ในหัวใจว่าสภาวะเหล่านี้ไม่ถูกต้อง การชิงชังสภาวะเหล่านี้เป็นขั้นตอนหลังจากที่เจ้ารู้ว่าไม่ถูกต้อง หากเจ้าไม่รู้ว่าสภาวะเหล่านี้ถูกหรือผิด และไม่รู้ว่าข้อผิดพลาดของสภาวะเหล่านี้อยู่ตรงไหน เจ้าจะสามารถพลิกฟื้นสภาวะเหล่านี้กลับมาได้อย่างไร? ดังนั้น ขั้นตอนแรกสุดคือเจ้าต้องหยั่งรู้ให้ได้ว่าสภาวะเหล่านี้ถูกหรือผิด หลังจากนั้นเองเจ้าจึงจะรู้ได้ว่าขั้นตอนต่อไปควรปฏิบัติอย่างไร วันนี้พวกเราเพียงสามัคคีธรรมถึงประเด็นปัญหาไม่กี่อย่างของสภาวะอันเสื่อมทรามทั้งหลายในตัวมนุษย์เท่านั้น และมีมายมากให้กล่าวถึง เพราะฉะนั้น ในส่วนของการเจาะจงว่าผู้คนจะมาดำเนินชีวิตด้วยความจริงได้อย่างไรกันแน่ ขอให้พวกเจ้าจงพิจารณาถึงประเด็นปัญหานี้เพิ่มเติมด้วยตัวเจ้าเอง เจ้าควรจะทำให้เกิดผลลัพธ์ขึ้นได้
5 กันยายน ค.ศ. 2017