ด้วยการปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

พวกเจ้าแทบทั้งหมดเชื่อในพระเจ้ามาแล้วอย่างน้อยประมาณสิบปี แล้วขณะนี้ประสบการณ์ชีวิตของพวกเจ้ามาถึงระยะใดแล้ว?  ปัจจุบันนี้วุฒิภาวะของพวกเจ้าอยู่ที่ระยะใด?  (เมื่อข้าพระองค์มองเห็นว่าตัวเองเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่เป็นนิจ ข้าพระองค์จึงกำหนดว่าตัวเองต้องไม่ใช่หนึ่งในประชากรของพระเจ้า แต่เป็นเพียงคนรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น จากนั้นข้าพระองค์จึงคิดลบและกังวลว่าตนเองจะไม่สามารถได้รับความรอด)  การเกิดความเกรงกลัวเมื่อกำหนดว่าตนเป็นคนรับใช้—นี่เป็นสัญญาณว่าวุฒิภาวะของเจ้านั้นเหมือนเด็กและยังไม่เป็นผู้ใหญ่  การมีวุฒิภาวะที่เหมือนเด็กหมายถึงการขาดดุลยพินิจ การขาดความสามารถปกติที่จะชั่งน้ำหนักและพิจารณาปัญหาทั้งหลาย การขาดขั้นตอนความคิดแบบผู้ใหญ่ และถูกตีกรอบโดยชะตากรรมและจุดหมายปลายทางในอนาคตของตนเสมอ  มีใครอื่นที่ต้องการจะกล่าวอะไรสักเล็กน้อยหรือไม่?  (ยามที่เกิดการเบี่ยงเบนในการปฏิบัติหน้าที่ของข้า ข้าพระองค์เป็นกังวลเสมอ นึกสงสัยว่าพระเจ้าจะทรงเผยและกำจัดข้าพระองค์ออกไปหรือไม่)  เหตุใดพวกเจ้าจึงกำลังหวาดกลัวว่าจะถูกกำจัด?  เมื่อวิเคราะห์จนถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่พวกเจ้ามองว่าเป็น “การถูกกำจัด” นี้หมายถึงอะไร?  (การไปถึงปลายทางที่ไม่ดี)  เมื่อพวกเจ้ามองว่า “การถูกกำจัด” หมายถึงการไม่ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่หรือการสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอดใดๆ ที่เจ้าอาจมี สิ่งนี้—คือการที่เจ้ากำหนดว่าเป็นสิ่งเดียวกันกับวิธีที่พระเจ้าทรงมองเจ้าและวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติกับเจ้าใช่หรือไม่?  ตามครรลองทั่วไปนั้น พวกที่มีวุฒิภาวะเหมือนเด็กย่อมจะเข้าหาทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและการคิดฝันแบบมนุษย์มากกว่าที่จะเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง  แต่บรรดาผู้ที่โตแล้วและเป็นผู้ใหญ่ในชีวิตแล้วจะเข้าหาทุกสิ่งทุกอย่างโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง การตรวจสอบประเด็นปัญหาในหนทางนี้ย่อมมีความถูกต้องแม่นยำสูงกว่ามาก  เป็นธรรมดาที่คนคนหนึ่งตกสู่การเบี่ยงเบนและความลำบากยากเย็นขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน หากคนคนนั้นจะต้องถูกกำจัดตั้งแต่ข้อผิดพลาดแรกก็คงไม่มีใครสามารถทำหน้าที่ของตนอย่างถูกควรได้เลย  เจ้าควรเข้าใจว่าแรงหนุนทั้งหมดในการทำหน้าที่ของคนเราก็เพื่อที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราอาจถูกชำระให้บริสุทธิ์โดยผ่านทางประสบการณ์จากการพิพากษาของพระเจ้า เพื่อที่คนเราอาจเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงได้ในบทบาทการทำหน้าที่ของตน และเพื่อที่คนเราอาจหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตานและได้รับความรอดได้ในบทบาทการทำหน้าที่ของตน  นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้คนเรียนรู้วิธีแสวงหาความจริงในทุกสิ่งและแก้ปัญหาโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าในบทบาทการทำหน้าที่ของพวกเขา นี่คือการมีความก้าวหน้าที่จำเป็นในประสบการณ์ของชีวิต  ภายใต้สภาพการณ์ธรรมดา ไม่มีปัจเจกบุคคลใดสักคนที่เจนจัดในทุกสิ่ง ทั้งยังไม่มีปัจเจกบุคคลใดเลยที่มีทักษะแบบครอบจักรวาล จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการทำหน้าที่ของคนเรา  แต่ตราบเท่าที่การกระทำนั้นไม่ได้เป็นการจงใจก่อกวน นั่นก็ย่อมอยู่ในข่ายของความคาดหวังตามปกติ  อย่างไรก็ตาม หากนั่นเกิดจากการใช้เพทุบายแบบมนุษย์ หากนั่นเป็นผลสืบเนื่องในทางร้ายที่เกิดจากการจงใจประพฤติผิด เช่นนั้นความเป็นมนุษย์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องย่อมมีบางสิ่งที่ผิดปกติ และนั่นจะเป็นกรณีของการก่อกวนและการทำลายล้างโดยเจตนา  เช่นนั้นคนชั่วผู้นั้นย่อมถูกเผยออกมาจนหมดเปลือก  พระเจ้าทรงใช้การประเมินและการวัดอันถูกต้องแม่นยำต่อผู้คนในพระเนตรของพระองค์เอง นั่นก็คือ ในการใช้คนผู้หนึ่ง ในการให้คนผู้นั้นทำบางสิ่งนั้น แน่นอนว่าพระเจ้าทรงมีมาตรฐานที่คนผู้นี้ต้องทำให้ได้ตามที่พระองค์ทรงกำหนด  พระเจ้าไม่ได้ทรงประสงค์ให้เจ้าเป็นยอดมนุษย์ รอบรู้ แต่กลับกัน พระองค์ทรงกำหนดสิ่งที่ทรงประสงค์จากเจ้า และทรงปฏิบัติต่อเจ้าบนพื้นฐานของขอบข่ายความสามารถของผู้คนธรรมดาสามัญ  พระเจ้าจะทรงตั้งมาตรฐานอันถูกต้องแม่นยำที่สุดและเหมาะควรที่สุดสำหรับการประเมินค่าเจ้าไปตามความรู้ที่เจ้ามีพร้อมอยู่ในตัว ขีดความสามารถของเจ้า ภาวะที่เจ้าดำรงชีวิตอยู่ และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกทั้งหมดที่เจ้าได้รับมา รวมถึงสิ่งที่อยู่ในความสามารถตามประสบการณ์และอายุ ณ ปัจจุบันของเจ้า  อะไรคือมาตรฐานการประเมินค่าของพระเจ้า?  มาตรฐานนั้นก็คือการตรวจสอบเจตนา หลักธรรม และเป้าหมายในหนทางที่เจ้าทำสิ่งทั้งหลาย เพื่อดูว่าสิ่งเหล่านั้นคล้อยตามความจริงหรือไม่  บางทีสิ่งที่เจ้าทำอาจคล้อยตามมาตรฐานที่ผู้คนอื่นกำหนดสำหรับเจ้า และเจ้าควรได้คะแนนเต็มสำหรับมาตรฐานนี้ แต่พระเจ้าทรงประเมินค่าเจ้าอย่างไร?  มาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้วัดเจ้าก็คือว่าเจ้าสามารถมอบหัวใจ จิตใจ และพละกำลังทั้งหมดได้หรือไม่ ว่าเจ้าสามารถมาถึงจุดที่เจ้าอุทิศความพยายามทั้งหมดที่เจ้ามีและเป็นผู้ที่อุทิศตนได้หรือไม่  นี่คือมาตรฐานการประเมินค่าของพระเจ้า  หากเจ้าอุทิศความพยายามทั้งหมดที่เจ้ามีไปแล้ว เช่นนั้นพระเจ้าก็จะทรงมองว่าเจ้าทำได้ตามมาตรฐานแล้ว  สิ่งทรงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนล้วนอยู่ในความสามารถที่พวกเขาจะทำตามได้ และไม่ได้อยู่ไกลเกินกว่าพวกเขาจะเอื้อม

บางคราวพระเจ้าทรงใช้เรื่องบางอย่างมาเผยเจ้าหรือบ่มวินัยเจ้า  นี่หมายความว่าเจ้าถูกกำจัดแล้วใช่หรือไม่?  นี่หมายความว่าปลายทางของเจ้ามาถึงแล้วใช่หรือไม่?  ไม่ใช่  นี่ก็เหมือนตอนที่เด็กคนหนึ่งไม่เชื่อฟังและทำความผิดไป พ่อแม่ของเขาอาจจะดุว่าและลงโทษเขา แต่หากเขาไม่อาจหยั่งถึงเจตนารมณ์ของพ่อแม่หรือเข้าใจเหตุผลที่พ่อแม่กำลังทำแบบนี้ เขาก็จะเข้าใจเจตนาของพ่อแม่ผิดไป  ตัวอย่างเช่น พ่อแม่อาจบอกเด็กคนนั้นว่า “อย่าออกนอกบ้านตามลำพัง และอย่าออกไปข้างนอกเอง” แต่คำพูดนี้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา และเด็กคนนั้นก็แอบออกจากบ้านตามลำพังอยู่ดี  พอพ่อแม่รู้เข้า พวกเขาก็ดุว่าเด็กคนนั้นและให้เขายืนเข้ามุมเพื่อทบทวนพฤติกรรมตัวเองเป็นการลงโทษ  เมื่อไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพ่อแม่ เด็กคนนั้นจึงเริ่มมีข้อกังขาว่า “พ่อแม่ของฉันไม่ต้องการฉันต่อไปแล้วหรือ?  ฉันเป็นลูกของพ่อแม่จริงๆ หรือ?  ถ้าฉันไม่ได้เป็นลูกของพ่อแม่จริงๆ นั่นหมายความว่าฉันเป็นลูกบุญธรรมหรือ?”  เขาไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้  เจตนารมณ์จริงของพ่อแม่คืออะไร?  พ่อแม่พูดว่าทำแบบนั้นอันตรายเกินไปและบอกลูกของตนไม่ให้ทำ  แต่ลูกไม่ฟังและคำพูดนั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา  เพราะฉะนั้น พ่อแม่จำเป็นต้องใช้การลงโทษบางรูปแบบเพื่ออบรมสั่งสอนลูกของตนอย่างถูกควร และให้ลูกเรียนรู้จากความผิดพลาดของเขา  พ่อแม่ต้องการสัมฤทธิ์สิ่งใดจากการทำแบบนี้?  นั่นเพียงเพื่อให้เด็กคนนั้นเรียนรู้จากความผิดพลาดของเขาเท่านั้นหรือไม่?  การเรียนรู้ประเภทนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุด  จุดมุ่งหมายของพ่อแม่ในการทำแบบนี้ก็คือเพื่อให้เด็กคนนั้นทำตามที่ถูกบอกให้ทำ ประพฤติตนโดยสอดคล้องกับคำแนะนำของพ่อแม่ และไม่ทำสิ่งใดที่ไม่เชื่อฟังซึ่งทำให้พ่อแม่เป็นกังวล—นี่เป็นผลที่พึงปรารถนา  หากเด็กคนนั้นฟังพ่อแม่ของเขา นั่นแสดงว่าความเข้าใจของเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว และพ่อแม่ของเขาก็จะเบาใจลง  เช่นนั้นพ่อแม่ย่อมจะพึงพอใจในตัวเขาไม่ใช่หรือ?  พ่อแม่จะยังคงจำเป็นต้องลงโทษเขาแบบนั้นหรือไม่?  พวกเขาจะไม่จำเป็นต้องทำอีกต่อไป  การเชื่อในพระเจ้าก็เป็นแบบนี้เอง  ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะฟังพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจพระทัยของพระองค์  พวกเขาต้องไม่เข้าใจพระเจ้าผิด  อันที่จริงแล้วมีหลายกรณีที่ผู้คนเกิดความกังวลเนื่องจากผลประโยชน์ส่วนตัวของตนเอง  กล่าวโดยทั่วไปแล้วก็คือเป็นความกลัวว่าพวกเขาจะไม่มีจุดจบ  พวกเขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “จะเกิดอะไรขึ้นหากพระเจ้าทรงเผยฉันออกมา กำจัดฉันออกไป และปฏิเสธฉัน?”  นี่คือการเข้าใจพระเจ้าผิด เหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดาด้านเดียวของเจ้าเท่านั้น  เจ้าต้องคิดให้ออกว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร  เมื่อพระองค์ทรงเผยผู้คนออกมา นั่นไม่ใช่เพื่อการกำจัดพวกเขาออกไป  ผู้คนถูกเผยออกมาเพื่อเปิดโปงข้อบกพร่องและความผิดพลาดของพวกเขา รวมทั้งแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา เพื่อทำให้พวกเขารู้จักตนเองและกลายเป็นสามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง เพราะเหตุผลนี้ การเผยผู้คนออกมาจึงเป็นไปเพื่อช่วยให้ชีวิตของพวกเขาเติบโต  หากไม่มีความเข้าใจอันถ่องแท้ ผู้คนก็มีแนวโน้มที่จะตีความพระเจ้าผิดไป อีกทั้งกลายเป็นคิดลบและอ่อนแอ  พวกเขาอาจถึงกับยอมจำนนให้แก่ความสิ้นหวัง  ในข้อเท็จจริงนั้น การถูกพระเจ้าทรงเผยออกมาไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเจ้าจะถูกกำจัดออกไป  นี่คือการช่วยให้เจ้ารู้จักความเสื่อมทรามของตัวเองและทำให้เจ้ากลับใจ  บ่อยครั้งเนื่องจากผู้คนเป็นกบฏ และไม่เสาะแสวงที่จะหาทางออกในความจริงเมื่อพวกเขาเผยความเสื่อมทรามออกมา พระเจ้าจึงต้องทรงใช้การบ่มวินัย  และดังนั้นบางครั้งพระองค์จึงทรงเผยผู้คนออกมา เปิดโปงความอัปลักษณ์และความน่าเวทนาของพวกเขา ทำให้พวกเขาได้รู้จักตนเอง ซึ่งช่วยให้ชีวิตของพวกเขาเติบโต  การเผยผู้คนออกมามีความหมายโดยนัยที่แตกต่างกันอยู่สองประการคือ สำหรับคนชั่ว การถูกเผยออกมาย่อมหมายความว่าพวกเขาถูกกำจัด  สำหรับผู้ที่สามารถยอมรับความจริง การถูกเผยออกมาคือการเตือนใจและการตักเตือน ทำให้พวกเขาทบทวนตนเอง ให้เห็นสภาวะที่แท้จริงของตน เลิกเอาแต่ใจและวู่วาม เพราะการทำเช่นนี้ต่อไปย่อมจะอันตราย  การเผยผู้คนออกมาในหนทางนี้เป็นการเตือนใจของพวกเขา หาไม่แล้วยามที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาก็จะเกิดการเลอะเลือนและสะเพร่าไม่จริงจังกับสิ่งทั้งหลาย กลายเป็นพึงพอใจกับผลลัพธ์เพียงน้อยนิด และคิดไปว่าการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเป็นไปตามมาตรฐาน—ขณะที่ในข้อเท็จจริงนั้น หากโดยสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ พวกเขายังห่างไกลอยู่มาก แต่ทว่าพวกเขายังคงชะล่าใจและคิดไปว่าตัวเองกำลังทำได้ดี  ในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ พระเจ้าจะทรงบ่มวินัย เตือนให้ระวัง และเตือนใจของผู้คน  บางครั้งพระเจ้าทรงเผยความอัปลักษณ์ของพวกเขาออกมา—ซึ่งใช้เป็นการเตือนใจอย่างชัดแจ้ง  ในช่วงเวลาเช่นนี้ เจ้าควรทบทวนตนเองว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเช่นนี้ยังไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีความเป็นกบฏอยู่ภายในตัวเจ้า มีองค์ประกอบที่เป็นลบมากเกินไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นสุกเอาเผากิน และหากเจ้ายังคงไม่กลับใจ เจ้าก็ควรถูกลงโทษ  เมื่อพระเจ้าทรงบ่มวินัยเจ้าหรือเผยเจ้าออกมา นี่ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเจ้าจะถูกกำจัดออกไป  เรื่องนี้ควรถูกจัดการอย่างถูกต้อง  ต่อให้เจ้าถูกกำจัดออกไป เจ้าก็ควรยอมรับและนบนอบการถูกกำจัดออกไป และรีบคิดทบทวนแล้วกลับใจ  โดยสรุปก็คือ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะนบนอบความหมายใดก็ตามที่อยู่เบื้องหลังการเผยเจ้าออกมา  หากเจ้าแสดงการต่อต้านแบบนิ่งเฉย และแทนที่จะแก้ไขข้อเสียของตน เจ้ากลับยิ่งแย่ลง เจ้าก็จะถูกลงโทษอย่างแน่นอน  เพราะฉะนั้นในการจัดการกับเรื่องของการถูกเผยออกมา คนเราต้องแสดงให้เห็นถึงการนบนอบ หัวใจของคนเราต้องเต็มเปี่ยมด้วยความยำเกรง และคนเราต้องมีความสามารถที่จะกลับใจ ถึงตอนนั้นเท่านั้น คนเราจึงจะมีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และโดยการปฏิบัติในหนทางนี้เท่านั้น คนเราจึงสามารถช่วยตัวเองให้รอดและได้รับการละเว้นจากการลงโทษของพระเจ้า  เช่นนั้นผู้คนที่มีเหตุผลควรสามารถตระหนักถึงข้อเสียของตนและแก้ไขเสีย อย่างน้อยที่สุดก็บรรลุไปถึงจุดที่พวกเขาพึ่งพามโนธรรมของตนเพื่อลุล่วงหน้าที่  นอกจากนั้น พวกเขาต้องเอื้อมขึ้นไปหาความจริงอีกด้วย โดยไม่เพียงบรรลุไปถึงจุดที่พฤติกรรมของตนมีหลักธรรมเท่านั้น แต่ต้องไปถึงจุดที่มอบความคิด หัวใจ วิญญาณ และพละกำลังของตนโดยหมดสิ้น เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางเป็นไปตามมาตรฐาน เมื่อนั้นเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาเป็นผู้คนที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง  อะไรคือสิ่งที่คนเราควรใช้เป็นมาตรฐานเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า?  คนเราต้องมีการกระทำที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรมความจริง แง่มุมหลักของการนี้อยู่ที่การเน้นย้ำผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้ากับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า การคอยนึกถึงภาพรวม และไม่มุ่งเน้นแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งจนเสี่ยงต่อการหลงลืมอีกแง่มุมไป ส่วนแง่มุมรองนั้นอยู่ที่การทำงานของตัวเองให้เสร็จลงอย่างถูกควร และเพื่อสัมฤทธิ์ผลอันพึงปรารถนาตามสิ่งที่ประสงค์จากคนเรา โดยปราศจากการทำพอเป็นพิธีในลักษณะสุกเอาเผากิน โดยไม่มีการนำความอัปยศมาสู่พระเจ้า  หากผู้คนแตกฉานในหลักธรรมเหล่านี้ พวกเขาย่อมจะปล่อยมือจากความกังวลและมโนทัศน์ที่ผิดๆ ไม่ใช่หรือ?  ครั้นเจ้าละวางความกังวลและมโนทัศน์ที่ผิดแล้ว และไม่มีแนวคิดที่ไม่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับพระเจ้า องค์ประกอบที่เป็นลบก็จะค่อยๆ เลิกครอบงำภายในตัวเจ้า และเจ้าก็จะเข้าหาเรื่องจำพวกนี้ในลักษณะที่ถูกต้อง  ด้วยเหตุนั้นจึงสำคัญที่จะต้องแสวงหาความจริงและพากเพียรทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า

ขณะที่คนบางคนปฏิบัติหน้าที่ของตน บ่อยครั้งที่พวกเขาอยู่ในภาวะของความคิดลบและการเฉื่อยชา หรือการต่อต้านและความเข้าใจผิด  พวกเขาหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าจะถูกเผยและถูกกำจัด อีกทั้งยังถูกตีกรอบโดยอนาคตและโชคชะตาของตนอยู่เป็นนิตย์  นี่คือการแสดงออกของวุฒิภาวะอันเล็กน้อยไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนบางคนพูดเสมอว่าพวกเขากลัวจะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ไม่ดี และคนเราอาจจะถึงกับมองว่าพวกเขาค่อนข้างมีความจงรักภักดี โดยปราศจากการวิเคราะห์ในรายละเอียดด้วยซ้ำ  อันที่จริงแล้วในหัวใจของพวกเขากังวลเกี่ยวกับสิ่งใด?  พวกเขากังวลว่าหากทำหน้าที่ได้ไม่ดี ตัวเองก็จะถูกกำจัดและไม่มีบั้นปลายที่ดี  คนบางคนพูดว่าตัวเองกลัวจะกลายเป็นคนรับใช้  พอคนอื่นได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็จะเข้าใจความหมายไปตามนั้นในเรื่องการไม่ต้องการกลายเป็นคนรับใช้ ผู้คนเหล่านี้แค่ต้องการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีในฐานะประชากรของพระเจ้าคนหนึ่ง และเข้าใจผิดคิดไปว่าตนเองเป็นผู้คนที่มีความแน่วแน่  ที่จริงนั้นในหัวใจของผู้คนเหล่านั้นที่กลัวการกลายเป็นคนรับใช้กำลังคิดว่า “ถ้าฉันกลายเป็นคนรับใช้ สุดท้ายแล้วฉันก็จะยังคงพินาศและไม่มีบั้นปลายที่ดี แล้วก็ไม่มีส่วนแบ่งในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์อยู่ดี”  คำพูดของพวกเขามีนัยแฝงแบบนี้ พวกเขากังวลถึงจุดจบและบั้นปลายของตัวเอง  หากพระเจ้าตรัสว่าพวกเขาเป็นคนรับใช้ พวกเขาก็ใช้ความพยายามน้อยลงไปบ้างในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  หากพระเจ้าตรัสว่าพวกเขาเป็นประชากรคนหนึ่งของพระองค์ และพวกเขาได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็อุทิศความพยายามมากขึ้นมาบ้างในการทำหน้าที่มากขึ้น  ตรงนี้มีปัญหาอย่างไร?  ปัญหาก็คือขณะปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่กระทำไปตามหลักธรรมความจริง  พวกเขาคำนึงถึงจุดหมายปลายทางในอนาคตและชะตากรรมของตัวเอง อีกทั้งยังถูกตีกรอบโดยสมญา “คนรับใช้” เสมอ  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี และแม้ว่าพวกเขาต้องการปฏิบัติความจริง แต่พวกเขาก็ไร้พละกำลังที่จะทำเช่นนั้น  พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะของความคิดลบและมองหาความหมายเบื้องหลังพระวจนะของพระเจ้าเสมอ โดยพยายามหาทางยืนยันว่าตนเป็นประชากรของพระเจ้าหรือคนรับใช้  หากพวกเขาคือประชากรของพระเจ้า เช่นนั้นพวกเขาก็จะแข็งขันปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างดี  หากพวกเขาเป็นคนรับใช้ เช่นนั้นพวกเขาก็จะสุกเอาเผากินในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ก่อให้เกิดองค์ประกอบที่เป็นลบขึ้นมากมายและถูกตีกรอบโดยสมญาที่เรียกว่า “คนรับใช้” ไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้  บางคราว หลังจากถูกตัดแต่งอย่างรุนแรง พวกเขาบอกกับตัวเองว่า “ไม่มีความหวังสำหรับฉัน ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้  ฉันจะทำเท่าที่ฉันทำได้ก็พอ”  พวกเขาจึงทนต่อสมญานี้และลงมือปฏิบัติหน้าที่ไปอย่างอิดออดด้วยความคิดแบบเฉื่อยชา เป็นลบ และเสื่อมถอย  เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดี?  สามัคคีธรรมในระหว่างการชุมนุมทั้งหลายเป็นเรื่องเกี่ยวกับความจริงเสมอ—การรักพระเจ้า การนบนอบพระเจ้า การพึ่งพาพระวจนะของพระเจ้าเพื่อดำเนินชีวิต การเป็นคนที่อุทิศตนแก่พระเจ้า—แต่คนแบบนั้นก็ไม่สามารถนำสิ่งเหล่านี้มาปฏิบัติได้บ้างเลย เขาเพียงเอาแต่ใส่ใจจุดหมายปลายทางในอนาคตและชะตากรรมในภายภาคหน้าของตน ถูกตีกรอบโดยความโลภต่อพรทั้งหลายอยู่เป็นนิตย์ ไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริงไม่ว่าในแง่มุมใด  ในหนทางนี้ เขาจึงไม่ยอมรับและต่อต้าน คิดลบและเต็มไปด้วยความคับข้องใจ ในหัวใจของเขาเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าไว้ตลอดเวลา สร้างกำแพงกับพระเจ้า อีกทั้งคอยอยู่ห่างจากพระเจ้า  เขาระวังตัวกับพระเจ้าเสมอ เกรงว่าหาไม่แล้วพระเจ้าจะทรงรู้เท่าทันเขา ควบคุมเขา และกระทำการขัดผลประโยชน์ของเขา  และในการติดตามพระเจ้า เขาจึงอิดออดกัดฟันฝืนเสมอ โดยมีผู้คนคอยจูงจมูกและผู้คนคอยเข็น ราวกับเขาได้ตกลงไปอยู่ในปลักตมและทุกๆ ย่างก้าวช่างยากลำบากมากมายนัก อีกทั้งการมีชีวิตอยู่ก็ช่างทุกข์ทนมากมายนัก!  สิ่งทั้งหลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?  ที่กลายเป็นแบบนี้ก็เพราะหัวใจมนุษย์นั้นหลอกลวงเกินไป  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำเพื่อช่วยมนุษย์ชาติให้รอดนั้นถูกหัวใจมนุษย์เข้าใจไปในทางที่ผิดเสมอ  ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำการปฏิบัติต่อผู้คนเช่นไร พวกเขาก็จะกังขาเสมอโดยคิดว่า “นี่หมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องการฉันอีกต่อไปแล้วหรือ?  สุดท้ายแล้วพระเจ้าจะทรงช่วยฉันให้รอดหรือไม่?  การดำเนินการไล่ตามเสาะหาต่อไปมีประโยชน์อะไรบ้างหรือสำหรับคนอย่างฉัน?  ฉันสามารถเข้าไปในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์หรือไม่?”  เมื่อผู้คนเก็บงำความคิดที่เป็นลบแบบนี้เอาไว้เสมอ การนี้ย่อมจะส่งผลต่อความสามารถในการลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาไม่ใช่หรือ?  นี่ยังจะส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขาอีกด้วยไม่ใช่หรือ?  เว้นเสียแต่ว่าองค์ประกอบที่เป็นลบเหล่านี้ถูกขจัดทิ้งไปทั้งหมด เมื่อใดหรือพวกเขาจึงจะมีวันสามารถเข้าสู่ร่องครรลองอันถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า?  นั่นพูดยาก  และดังนั้นผู้คนที่ปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงจึงรับมือได้ยากเย็นที่สุด จนสุดท้ายแล้วสิ่งเดียวที่ทำกับพวกเขาได้ก็คือการกำจัดพวกเขาออกไป

ท่ามกลางมนุษยชาติที่เสื่อมทราม องค์ประกอบอันเป็นลบบางอย่างได้กลายมาเป็นฝังลึกอยู่ในหัวใจพวกเขา ตัวอย่างเช่น สิ่งต่างๆ อาทิ หน้าตา ความทะนงตน สถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ เป็นต้น  เมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า หากเจ้าปรารถนาที่จะยอมรับความจริง อันหมายถึงการสู้รบกับองค์ประกอบอันเป็นลบเหล่านี้อย่างไม่หยุดยั้ง รวมทั้งสู้ไม่ถอยกับประสบการณ์และการดิ้นรนอันลำบากยากเข็ญในทุกรูปแบบ  การสู้รบนี้จะไม่จบสิ้นจนกว่าความจริงซึ่งมีชัยในตัวผู้คนจะกลายมาเป็นชีวิต  ระหว่างช่วงเวลานี้ เมื่อผู้คนได้มาเข้าใจความจริงโดยผ่านทางการกินและการดื่มพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งได้จับความเข้าใจในเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็จะเริ่มปฏิบัติความจริงและขัดขืนเนื้อหนัง  เมื่อถึงเวลาที่ความจริงกลายเป็นชีวิตของพวกเขา นั่นจึงจะเป็นไปได้ที่พวกเขาจะใช้ความจริงขจัดองค์ประกอบอันเป็นลบเหล่านี้ทิ้งไป  ความทะนงตนและเกียรติยศส่วนบุคคล ชื่อเสียง ผลประโยชน์ รวมถึงสถานะ ความอยากลิ้มรสแบบมนุษย์ เจตนาแบบมนุษย์อันไม่บริสุทธิ์ ความเข้าใจผิดที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า ตัวเลือกและสิ่งที่พวกเขาเลือกชอบ ความคิดว่าตนเองถูก ความโอหัง ความหลอกลวงของพวกเขา รวมทั้งสิ่งที่เหมือนกันอื่นๆ—ปัญหาเหล่านี้ทั้งหมดจะค่อยๆ พบทางออกหลังจากที่ผู้คนเกิดความเข้าใจความจริง  ในข้อเท็จจริงแล้ว ขั้นตอนของการมาเชื่อในพระเจ้านั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าขั้นตอนของการยอมรับความจริง ขั้นตอนของการใช้ความจริงเอาชนะเนื้อหนัง และขั้นตอนของการกินและการดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง การแสวงหาความจริง รวมทั้งการใช้ความจริงที่เจ้าได้มาเข้าใจ พระวจนะของพระเจ้าที่เจ้าได้มารู้จัก และหลักธรรมความจริงที่เจ้าได้มาจับความเข้าใจเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้  การเข้าสู่ชีวิตคือการได้ก้าวผ่านประสบการณ์เหล่านี้ และในการทำเช่นนี้ ผู้คนก็จะค่อยๆ กลับกลายแปลงสภาพไป  องค์ประกอบอันเสื่อมทรามเหล่านี้มีอยู่ในตัวทุกคน และไม่มีปัจเจกบุคคลสักคนที่ไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่เพื่อเห็นแก่ผลกำไรและชื่อเสียง  มนุษย์ล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อสิ่งเหล่านี้ อาจแตกต่างกันก็เพียงหนทางที่แต่ละคนรับมือกับสิ่งเหล่านี้และแสดงความอยากต่อสิ่งเหล่านี้ออกมา  แต่ในแก่นแท้นั้น สิ่งที่พวกเขาเผยออกมาก็คือสิ่งเดียวกัน  คนบางคนพูดส่งเสียงออกมา ส่วนคนอื่นจะไม่พูด บางคนเผยตัวตนอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่คนอื่นพยายามเก็บซ่อนโดยใช้วิธีการทุกจำพวกในการปิดบังสิ่งทั้งหลายและคอยระวังไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเปิดเผยออกมา เพื่อที่ผู้อื่นจะได้ไม่รู้เท่าทันพวกเขา  การไม่ยอมให้ผู้อื่นรู้เท่าทันตัวเจ้าและการปิดบังสิ่งทั้งหลาย—เจ้าคิดว่าเจ้าจะกันไม่ให้พระเจ้าทรงค้นพบได้ด้วยการทำแบบนี้หรือ?  เจ้าคิดว่าหากเจ้าทำแบบนี้แล้วเจ้าจะไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอีกต่อไปอย่างนั้นหรือ?  แก่นแท้อันเสื่อมทรามของปัจเจกบุคคลทุกคนนั้นเหมือนกัน—สิ่งที่แตกต่างระหว่างบุคคลหนึ่งกับอีกบุคคลหนึ่งคืออะไร?  ท่าทีที่คนคนหนึ่งใช้เข้าหาความจริงอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน  คนบางคนนั้น ทันทีที่ฟังความจริงจบก็สามารถยอมรับได้  พวกเขารับความจริงไว้ราวกับพวกเขาจะกลืนยาขมเข้าปากแต่ดีต่อการรักษา ใช้ยานั้นรักษาความเจ็บป่วยและแก้ไขปัญหาที่สร้างความทุกข์ร้อนให้พวกเขาจากภายใน  ในการบริหารจัดการกิจการงาน การประพฤติปฏิบัติตน การทำหน้าที่ของตน การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมทั้งการตั้งจุดมุ่งหมายและการกำหนดทิศทางในชีวิตตน พวกเขาแสวงหาคำตอบในพระวจนะแห่งพระเจ้าและใช้พระวจนะแห่งพระเจ้าแก้ไขปัญหาที่ตนเผชิญในชีวิต ปฏิบัติสิ่งที่พวกเขามาเข้าใจไปทีละน้อย  ตัวอย่างเช่นเมื่อพระเจ้าตรัสว่า “พวกเจ้าทุกคนต้องพากเพียรที่จะกลายเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์” บุคคลเช่นนั้นก็จะไตร่ตรองว่า “ฉันจะกลายเป็นคนซื่อสัตย์ได้อย่างไร?”  พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้คนมีความซื่อสัตย์ พวกเขาต้องกล่าววาจาที่ซื่อสัตย์ เปิดใจสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของตน และยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้คือหลักธรรมที่เกี่ยวข้อง และบุคคลเช่นนั้นก็จะนำหลักธรรมเหล่านี้มาปฏิบัติในทันทีที่เขาได้ฟัง  เป็นธรรมดาที่ระหว่างการปฏิบัติของเขาจะมีช่วงเวลาที่เขาอาจจะหันเหไปทางซ้ายหรือทางขวา ไม่สามารถค้นพบหลักธรรมที่ถูกต้องได้ไม่ว่าเขาจะตั้งใจมองหาสักเพียงใด และก็จะมีช่วงเวลาที่การปฏิบัติของเขาบิดเบือนไปบ้างเล็กน้อย  แต่ในการพากเพียรอย่างไม่หยุดยั้งที่จะทำให้ได้ตามมาตรฐานนี้ของการกลายเป็นคนซื่อสัตย์ เขาย่อมจะเข้าใกล้ผลที่พึงปรารถนามากขึ้นทุกทีภายในไม่กี่ปี  ยิ่งเขามีชีวิตอยู่นานขึ้น เขาก็ยิ่งกลายเป็นมนุษย์มากขึ้น และเขาจะรู้สึกว่าตัวเองยิ่งอยู่ในการสถิตของพระเจ้ามากขึ้น อีกทั้งเขาก็ยิ่งมีความก้าวหน้าในชีวิตดีขึ้น  ผู้คนเช่นนั้นคือผู้ที่พระเจ้าทรงอวยพร  ผู้คนเช่นนั้นคือผู้คนประเภทที่หนึ่ง

ตอนนี้พวกเราก็ได้จบการเสวนาเกี่ยวกับผู้คนประเภทที่หนึ่งกันไปแล้ว พวกเราไปพูดคุยเกี่ยวกับคนประเภทที่สองกันเถิด  แม้ว่าทั้งสองประเภทนั้นรับฟังคำเทศนาและอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่คนประเภทที่หนึ่งสามารถจับความเข้าใจความจริงได้ และเมื่อพวกเขาเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา พวกเขาก็สามารถทบทวนและเปิดเผยตัวเองออกมาโดยพูดว่า “ฉันเป็นคนโอหังและคิดว่าตัวเองถูก  ฉันชอบโอ้อวดในการทำสิ่งต่างๆ เก็บงำเจตนาและความอยากทางกายของตัวเองเอาไว้ ยินดีปรีดาในสถานะและหาความสำราญจากการแก่งแย่งทุกวิถีทางเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์”  ด้วยการพูดเช่นนั้นพวกเขาก็กลายเป็นสามารถรู้จักตนเองและสามารถเอื้อมขึ้นไปถึงความจริงได้  อย่างไรก็ดี คนประเภทที่สองนั้นต่างออกไป  คนเช่นนั้นอาจยอมรับว่าเขาเสื่อมทรามอยู่ในตัวเอง และเมื่อเผชิญการตัดแต่งก็อาจถึงกับยอมรับได้ว่าเขาทำผิดไป แต่เขาก็แค่จะไม่กลับตัวเท่านั้นเอง  ไม่ว่าเขาจะฟังคำเทศนาไปมากเพียงใด และไม่ว่าเขาจับความเข้าใจในคำพูดและคำสอนได้มากมายเพียงใด เขาก็แค่ไม่ยอมนำความจริงไปปฏิบัติและเอาแต่ทำในสิ่งที่เขารู้สึกว่าตัวเองควรทำ  คนเช่นนั้นก็สามารถเปิดกว้างเพื่อสามัคคีธรรมและยอมรับการถูกตัดแต่ง รวมทั้งการบ่มวินัยของพระเจ้าได้เช่นเดียวกัน  แต่เมื่อยอมรับสิ่งนั้นไปแล้ว เขากลับถือสิ่งนั้นเป็นคำสอน ทันทีที่เขาจับใจความได้ก็ถือว่าจบแค่นั้น และหลังจากนั้นเขาก็หวนกลับไปใช้หนทางเดิมๆ โดยไม่เปลี่ยนแปลง  การรับความจริงไว้และปฏิบัติต่อความจริงเสมือนเป็นคำสอน—ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรสำหรับคนเช่นนั้น?  แน่นอนที่สุดว่าเขาจะเข้าใจผิดไปว่าการถือปฏิบัติข้อบังคับทั้งหลายก็คือการปฏิบัติความจริง  คนเช่นนั้นไม่ทำหน้าที่ของตนไปตามพระวจนะของพระเจ้าหรือสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ แต่กลับพยายามที่จะแก้ไขปัญหาไปตามปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของซาตาน รวมทั้งตามหนทางและวิถีทางเช่นที่เขาได้สรุปไว้กับตัวเอง  ถึงแม้เขาอาจยอมรับด้วยลมปากว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงและปรัชญาของซาตานคือตรรกะวิบัติ แต่เขาก็ยังคงปฏิบัติตรรกะวิบัติเยี่ยงซาตานอยู่ในชีวิตจริง และถึงกับรู้สึกว่าจิตใจมีสันติสุขในการทำเช่นนั้น  คนที่ยอมรับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงทว่ายังล้มเหลวที่จะนำมาปฏิบัติ—นี่ก็คือใครบางคนซึ่งหลอกลวงพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  ถึงแม้เขาอาจยอมรับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงและปรัชญาของซาตานเป็นตรรกะวิบัติ แต่เขาก็รู้สึกว่าปรัชญาของซาตานสามารถใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นเขาจึงนำวิธีการแบบรอมชอมมาใช้ โดยเลือกเดินสายกลางระหว่างสองสิ่งนี้ และมองว่านี่คือการปฏิบัติความจริง  ในการที่ไม่ยืนอยู่ทั้งฝั่งพระเจ้าและฝั่งซาตานเพื่อไม่ให้เป็นการล่วงเกินทั้งสองฝ่ายนั้น เขาถึงกับมองว่าตัวเองฉลาดแยบยลที่สุดโดยคิดว่า “ฉันคือคนที่ทำหน้าที่ของตน ทั้งยังเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอีกด้วย ดังนั้นฉันย่อมสามารถได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด”  พวกเจ้าจงบอกเราทีว่าคนประเภทนี้ใช่ใครบางคนที่ปฏิบัติความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เขารับฟังพระวจนะแห่งพระเจ้าอย่างตั้งใจจริง จดบันทึกและจดจำทุกสิ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ และถึงกับใช้เวลาขบคิดเกี่ยวกับพระวจนะด้วยซ้ำ แต่ที่จริงนั้น เขาทำอะไรกับพระวจนะของพระเจ้า?  อะไรคือจุดประสงค์ที่เขาฟังพระวจนะของพระเจ้า?  (เขาใช้สิ่งที่ได้ฟังไปจาระไนกับผู้อื่นเพื่อโอ้อวดตัวเอง)  นั่นคือแง่มุมหนึ่ง  มีอย่างอื่นอีกหรือไม่?  (เขาถือพระวจนะนั้นเป็นข้อบังคับที่ต้องถือปฏิบัติ)  บางคราวเขาก็ถือพระวจนะนั้นเป็นข้อบังคับที่ต้องถือปฏิบัติ แต่ยังมีอะไรอื่นอีก?  ตรงนี้มีหลายสถานการณ์  บางคนทำให้พระวจนะแห่งพระเจ้าเป็นข้อบังคับที่ต้องถือปฏิบัติ โดยทำตามความหมายตามตัวอักษรแห่งพระวจนะของพระเจ้า และก็หมดแค่นั้น  ตัวอย่างเช่น เมื่อทุกคนสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีที่จะเป็นคนซื่อสัตย์ เขาก็ร่วมสามัคคีธรรมไปกับทุกคนด้วย  และพอคนอื่นพูดว่า “ไหนล่ะประสบการณ์จริงของคุณเกี่ยวกับการเป็นคนซื่อสัตย์?”  เขาก็จะพูดว่า “อ๋อ ขอฉันดูในสมุดบันทึกก่อนนะ”  หากเขาพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง เขาก็คงแค่พูดออกมาเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ?  หากเขามีประสบการณ์ของตัวเองจริง เหตุใดเขาจึงจำเป็นต้องอ่านตามที่จดไว้ด้วย?  นี่เปิดโปงอย่างสิ้นเชิงว่าเขาไม่มีความเป็นจริงอะไรเลย  แล้วจากนั้นก็มีคนบางคนที่พอฟังคำเทศนาจบก็เชื่อว่าตัวเองเข้าใจคำเทศนาเหล่านั้นแล้ว กับบางคนที่เชื่อว่าตัวเองเข้าใจความจริงแล้วหากสามารถยกคำสอนสองสามบรรทัดมากล่าวอ้างได้  นี่เป็นการคิดในหนทางที่เข้าใจผิดไม่ใช่หรือ?  คนเช่นนั้นพูดว่า “ฉันสามารถจับใจความความจริงได้ ฉันมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ฉันสามารถเข้าใจทุกแง่มุมแห่งพระวจนะของพระเจ้า และในทุกแง่มุมของสิ่งที่ฉันได้ยินมาเกี่ยวกับคำเทศนา และนี่ย่อมหมายความว่าฉันมีความเป็นจริงความจริง”  เขาไม่รู้ข้อเท็จจริงที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พระวจนะคือสิ่งที่สร้างชีวิตคน ไม่เพียงจำเป็นต้องนำความจริงไปปฏิบัติ แต่ควรประยุกต์ใช้ความจริงในการแก้ไขทุกปัญหาและความลำบากยากเย็นที่เกิดขึ้นกับคนคนหนึ่งอีกด้วย  เพราะคนเช่นนั้นไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริง เมื่อใดก็ตามที่เขากบฏต่อพระเจ้า เขาก็พยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองทุกครั้ง  เมื่อไม่ตระหนักว่านี่เป็นการกบฏต่อพระเจ้า จึงกลายเป็นว่า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาความเป็นกบฏนี้ของตัวเอง  ในกรณีนั้น ผู้คนประเภทนี้หาทางออกให้กับความลำบากยากเย็นของตนอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่?  สำหรับคนที่ไม่รับพระวจนะของพระเจ้าไว้เป็นหลักธรรมความจริง ครั้นเขาฟังพระวจนะของพระเจ้าจบแล้ว เขาก็จะไตร่ตรองดังนี้ว่า “ฉันเป็นกบฏจริงหรือ?  นี่เป็นสภาพการณ์ที่ค่อนข้างให้อภัยได้  ใครๆ ก็คงคิดเหมือนกันทั้งนั้น นี่ก็แค่การคิดแบบหนึ่ง และไม่นับว่าเป็นความเป็นกบฏ  ถ้าคราวหน้าฉันไม่คิดแบบนี้ก็จะไม่เป็นไรแล้ว ฉันจะทำตัวดีและนบนอบ!”  จากนั้นเขาก็ขบคิดต่อไปว่า “ถ้าฉันนบนอบได้ นี่ก็หมายความว่าฉันยังคงเป็นใครคนหนึ่งที่รักพระเจ้า ใครคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงปีติยินดี”  และดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงให้อภัยตัวเอง  เขาไม่ชำแหละหาเหตุผลที่ทำให้ตัวเองสามารถกบฏต่อพระเจ้า หรือชำแหละที่มาแห่งความเป็นกบฏของตน เขาไม่เสาะแสวงที่จะทำความรู้จักตัวเองในเรื่องนี้ และไม่ว่าเขาเก็บงำความเป็นกบฏอยู่มากเท่าใด เขาก็ไม่ทบทวนตนเอง—นี่คือใครบางคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เพราะคนเช่นนั้นไม่คำนึงว่าความจริงคือชีวิต ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด และไม่ว่าเขาเผยความเป็นกบฏหรือความเสื่อมทรามใดออกมา เขาก็ไม่พยายามเทียบเคียงหรือค้นหาความเกี่ยวพันกับความจริงและเรียนรู้บทเรียน  นี่เพียงพอที่จะยืนยันว่าเขาไม่รักความจริงและเขาไม่ใช่ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหา เขาไม่เคยตรวจสอบตัวเอง ไม่เคยเอื้อมขึ้นไปหาความจริง ไม่เคยพยายามค้นหาความเกี่ยวพันกับความจริง—เขาก็เหมือนกับพวกผู้ไม่มีความเชื่อไม่ใช่หรือ?  ไม่ว่าเขาได้เป็นผู้เชื่อมากี่ปีก็ตาม เขาก็ไม่เคยมีการเข้าสู่ชีวิตเลยแม้แต่น้อย และทั้งหมดที่เขาทำก็คือคอยถือปฏิบัติข้อบังคับไม่กี่ข้อและพยายามทำความประพฤติชั่วให้น้อยลง นี่จะเรียกว่าการปฏิบัติความจริงได้อย่างไร?  การเชื่อในพระเจ้าในลักษณะนี้จะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าได้อย่างไร?  ผู้คนมากมายเหลือเกินที่ประกาศตนว่าเชื่อในพระเจ้ามากว่าสิบหรือยี่สิบปี และสามารถกล่าวคำพูดและคำสอนทั้งหมดได้  เมื่อได้ยินพวกเขาพูดแบบนั้น ใครบางคนที่เพิ่งเริ่มเชื่อก็คงประทับใจอย่างแรงกล้า แต่ทว่าพวกเขาไม่มีความจริงความเป็นจริงแม้สักนิด ทั้งพวกเขายังไม่สามารถแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์อันถ่องแท้อันใดได้เลย  นี่เกิดขึ้นได้อย่างไร?  การไม่มีคำพยานจากประสบการณ์อันถ่องแท้แม้สักนิดกลายเป็นปัญหา  นี่หมายถึงการไม่มีการเข้าสู่ชีวิตแม้สักนิด!  ยามที่ผู้อื่นสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา คนเช่นนั้นจะพูดว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันเข้าใจทุกอย่าง และฉันก็จับความเข้าใจคำสอนทั้งหมดแล้ว”  เขาพูดแบบนี้บนพื้นฐานของอะไร?  และเขาพูดแบบนี้ผิดตรงไหน?  เหตุใดจึงเป็นว่าเมื่อเขาฟังคำเทศนาและอ่านพระวจนะของพระเจ้า เขาก็เพียงสามารถจับใจความคำสอนได้เท่านั้นและไม่ใช่ความจริง?  เขารู้วิธีพูดคุยเกี่ยวกับคำสอนแต่ไม่ใช่วิธีรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า ผลลัพธ์จึงเป็นว่า ไม่ว่าเขาได้เป็นผู้เชื่อมากี่ปีก็ตาม เขาก็ไม่มีความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้เลยสักอย่าง  นี่เกิดขึ้นได้อย่างไร?  (เขาไม่ยอมรับความจริง)  เป็นเช่นนั้นเอง  นั่นเป็นเพราะเขาไม่ยอมรับความจริง  ก็เหมือนกรณีของแพทย์ที่ทำการรักษาความเจ็บป่วยให้กับผู้ป่วยของตัวเองตามปกติ เขียนใบสั่งยาให้พวกเขาและผ่าตัดให้กับพวกเขา เขาอาจเข้าใจทุกแง่มุมของหลักการเบื้องหลังปฏิบัติการทางการแพทย์ กระนั้นเมื่อตัวเขาเองถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง เขาก็จะพูดว่า “ไม่มีใครรักษาความเจ็บป่วยให้ฉันได้”  พอมีใครบางคนพูดกับเขาว่า “คุณต้องรับเคมีบำบัด คุณต้องรับการผ่าตัด!”  เขาก็จะตอบว่า “คุณไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องนี้กับฉัน ฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้”  หากเมื่อเขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่ลงมือทำอะไรเพื่อรักษาความเจ็บป่วยของตนเองเลย เขาจะฟื้นตัวจากความเจ็บป่วยนั้นได้หรือ?  การเป็นแพทย์จะไม่ให้ประโยชน์อันใดกับเขาเลย  คนคนหนึ่งผู้ซึ่งเข้าใจคำสอนทุกแง่มุม แต่กลับไม่นำมาปฏิบัติเสียอย่างนั้น—นี่คือคนประเภทที่สอง  กับทุกอย่างที่ปรากฏให้เห็นภายนอก คนชนิดนี้ดูเหมือนยอมรับการตัดแต่ง รับฟังคำสอนทั้งหลาย และเข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำสม่ำเสมอ และกระตือรือร้นในการทำงาน การทำหน้าที่ การสู้ทนความยากลำบาก และการสละตนเอง  แต่ก็มีอยู่ประเด็นหนึ่งที่คนเช่นนั้นตกหล่นไป และนั่นเป็นการล้มเหลวซึ่งมีธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุด  เขาไม่เคยถือว่าสิ่งที่เขาได้ยินจากคำเทศนาหรือพระวจนะแห่งพระเจ้าเป็นความจริงที่ต้องนำไปปฏิบัติ  นี่หมายความว่าเขาไม่ยอมรับความจริง  อะไรคือปัญหาที่เป็นสาระสำคัญของคนที่ไม่ยอมรับความจริง?  (เขาไม่รักความจริง)  สำหรับบางคนที่ไม่รักความจริง เขามีมุมมอง มีท่าทีต่อพระเจ้าอย่างไร?  เหตุใดคนเช่นนั้นจึงไม่รักความจริง?  เหตุผลหลักก็คือ เขาไม่คำนึงว่าความจริงคือความจริง  จากมุมมองของเขา ความจริงเป็นแค่คำสอนที่ดีเท่านั้นเอง  คนชนิดนี้รู้วิธีใช้วิจารณญาณแยกแยะเหตุผลนอกรีตกับตรรกะวิบัติของซาตานในรูปแบบสารพัดทั้งหมดหรือไม่?  ไม่รู้อย่างสิ้นเชิง เพราะพวกมนุษย์ล้วนมองเหตุผลนอกรีตกับตรรกะวิบัติของซาตานเป็นคำสอนที่ดี  แม้แต่ในการก่อความประพฤติชั่ว คนชั่วก็มองหาเหตุผลที่ฟังขึ้นเพื่อชักพาผู้อื่นให้หลงผิด เพื่อที่ผู้อื่นจะหนุนหลังตน เห็นชอบกับตน และมองว่าตนทำถูก  หากคนคนหนึ่งซึ่งเชื่อในพระเจ้ามองว่าความจริงเป็นคำสอนที่ดี นั่นคงไร้เหตุผลเกินไปจริงๆ  คนประเภทนี้ไม่เพียงขาดความสามารถในการทำความเข้าใจเท่านั้น แต่เขายังถูกผู้อื่นชักพาให้หลงผิดและรับใช้ในฐานะเครื่องมือของซาตานได้อย่างง่ายดายอีกด้วย  นี่คือเหตุผลที่เรากล่าวว่า ผู้ใดก็ตามที่ขาดความสามารถในการทำความเข้าใจความจริง เขาคือคนที่ปราศจากความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  เขาคิดว่าการเข้าใจความจริงหมายถึงการเข้าใจคำสอน และตราบที่คนเรารู้วิธีที่จะเอ่ยคำสอนออกมา นั่นย่อมหมายความว่าคนเราได้เข้าใจความจริงแล้ว  แน่นอนที่สุดว่า คนประเภทนี้ไม่รู้วิธีที่จะนำความจริงมาปฏิบัติ ทั้งยังจะไม่สามารถจับความเข้าใจได้ว่าหลักธรรมหมายถึงอะไร  ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือการพยายามที่จะถือปฏิบัติข้อบังคับทั้งหลายไปตามความเข้าใจของเขาเองที่มีต่อคำสอน  เมื่อได้เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี และเมื่อได้มาเข้าใจคำสอนบ้างพอสมควร เขาก็จะถือปฏิบัติข้อบังคับมากขึ้นสองสามข้อ และทำสิ่งที่ดีมากขึ้นสองสามอย่าง หรือไม่เขาก็อาจทำการพลีอุทิศสักเล็กน้อยโดยการสู้ทนความยากลำบากมากมายอย่างไม่พร่ำบ่น  เขาพิจารณาว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า เป็นการปฏิบัติความจริง  ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่ว่าภายนอกคนเราดูเหมือนทำตามข้อบังคับมากเพียงใด อีกทั้งไม่ว่าคนเราทนทุกข์มากเพียงใด และคนเราจ่ายราคาโดยไม่พร่ำบ่นไปมากเพียงใด ก็ไม่มีสิ่งใดในนี้ที่หมายความว่าคนเรากำลังปฏิบัติความจริง นับประสาอะไรกับการนบนอบพระเจ้า

เมื่อพิจารณารอบด้านแล้ว อะไรคือมาตรฐานของการปฏิบัติความจริง?  คนคนหนึ่งจะประเมินวัดอย่างไรว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงอยู่หรือไม่?  เมื่อพิจารณารอบด้านแล้ว เจ้าคือคนคนหนึ่งซึ่งรับฟังและยอมรับพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่—พระเจ้าทรงมองเรื่องนี้อย่างไร?  พระเจ้าทรงมองสิ่งต่อไปนี้ที่ว่า ขณะประกาศตนว่าเชื่อในพระเจ้าและรับฟังคำเทศนา เจ้าได้นำสภาวะภายในอันไม่ถูกต้องของตน ความเป็นกบฏต่อพระเจ้าของตน และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในรูปแบบต่างๆ กันของตนออกมาและแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยความจริงหรือไม่?  เจ้าได้เปลี่ยนไปหรือไม่?  เจ้าเพียงได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการกระทำภายนอกเท่านั้น หรืออุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว?  พระเจ้าทรงประเมินวัดเจ้าบนพื้นฐานของการพิจารณาเหล่านี้  เมื่อได้ฟังคำเทศนามาหลายปียิ่งนัก และได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามาหลายปียิ่งนัก การเปลี่ยนแปลงภายในตัวเจ้านั้นผิวเผินหรือเป็นธรรมชาติพื้นฐาน?  เจ้าได้เปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตัวเองหรือไม่?  ความเป็นกบฏต่อพระเจ้าของเจ้านั้นบรรเทาเบาบางลงหรือไม่?  เมื่อเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหาและความเป็นกบฏของเจ้าถูกเผยออกมา เจ้าสามารถทบทวนตนเองได้หรือไม่?  เจ้าสามารถแสดงให้เห็นถึงการนบนอบพระเจ้าหรือไม่?  ท่าทีที่เจ้ามีต่อหน้าที่ของตนและพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้กับเจ้าได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงบ้างหรือไม่?  การอุทิศตนของเจ้าเติบโตขึ้นหรือไม่?  เจ้ายังคงมีความไม่บริสุทธิ์อยู่ภายในตัวหรือไม่?  เจตนา ความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากมี และแผนการที่เจ้าเก็บงำในฐานะปัจเจกบุคคล—สิ่งเหล่านี้ได้ถูกชำระให้บริสุทธิ์ไปแล้วในระหว่างช่วงเวลาที่เจ้ารับฟังคำเทศนาหรือไม่?  ทั้งหมดนี้คือมาตรฐานการประเมินค่า  นอกจากข้างต้นแล้ว มโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าที่เจ้ามีอยู่ได้ถูกกำจัดออกไปแล้วหรือยัง?  เจ้ายังคงยึดมั่นอยู่กับมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และบทสรุปอันคลุมเครือเหล่านั้นจากเมื่อก่อนนี้หรือไม่?  เจ้ายังคงเก็บงำความคับข้องใจ การต่อต้าน หรือภาวะอารมณ์ที่เป็นลบต่อบททดสอบและการถลุงทั้งหลายหรือไม่?  หากองค์ประกอบที่เป็นลบเหล่านี้ยังคงไม่ได้ถูกแก้ไขอย่างแท้จริง และหากเจ้ายังคงไม่ได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงอันใด นี่ย่อมยืนยันข้อเท็จจริงหนึ่ง—ที่ว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ปฏิบัติความจริง  ในทำนองเดียวกัน หลังจากที่เมล็ดพันธุ์หนึ่งถูกหว่านลงในดิน เมื่อได้รับการให้น้ำและใส่ปุ๋ย แต่ทว่าหลายวันผ่านไปก็ยังไม่อาจออกหน่อได้ นี่พิสูจน์ว่าเมล็ดพันธุ์นั้นไม่มีชีวิต  ตัวอย่างเช่น มีคนบางคนที่เชื่อในพระเจ้าเพราะก่อนหน้านี้พวกเขาถูกรังแก ไม่รับเข้าพวก รวมทั้งดูถูก และบัดนี้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่ในภายภาคหน้าตัวเองจะสามารถเชิดหน้าชูตาได้  เมื่อได้ประกาศตนเรื่องการเชื่อมาเป็นเวลาหนึ่ง คนแบบนั้นก็เก็บงำเจตนานี้ต่อไปในขณะทำหน้าที่ของตนและสละตนเอง และเขาก็เอาแต่ทุ่มเทพลังงานให้กับการสละตนมากขึ้นทุกที จนกระทั่งในที่สุดเขาก็กลายเป็นผู้นำในคริสตจักร แล้วจากนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถเชิดหน้าชูตาได้  ภายในนั้น เจตนาของเขายังคงไม่ถูกแก้ไข เขาไตร่ตรองว่า “ถ้าฉันจะกลายเป็นผู้นำที่ใหญ่โตยิ่งกว่านี้ นั่นจะไม่เปิดโอกาสให้ฉันเชิดหน้าชูตาได้สูงส่งยิ่งกว่านี้หรอกหรือ?  การเชื่อในพระเจ้านี่ยอดเยี่ยมไปเลย!”  การที่เขามาที่พระนิเวศของพระเจ้าล้วนเพื่อเห็นแก่การได้รับสถานะเพื่อให้เขาสามารถเชิดหน้าชูตาได้ และเจตนานี้ก็คงอยู่อย่างไม่ได้รับการแก้ไขเรื่อยมา  เขาทำงานอยู่หลายปียิ่งนัก ได้ฟังคำเทศนามาหลายปียิ่งนัก รวมทั้งได้กินและได้ดื่มพระวนะของพระเจ้ามาหลายปียิ่งนัก แต่กระนั้นก็ยังล้มเหลวที่จะจัดการแก้ไขปัญหาข้อเดียวนี้  การเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้คือการละเลยกิจอันถูกควรของเขาไม่ใช่หรือ?  คนคนหนึ่งรับฟังคำเทศนาและอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อประโยชน์แห่งการได้รับความจริง การได้รับชีวิต แต่เขาได้ประกาศตนมาหลายปียิ่งนักโดยไม่ได้รับชีวิตหรือความจริงแง่มุมใดเลย  นี่เป็นปัญหาที่สมควรแก่การใคร่ครวญ  คนบางคนแม้อาจไม่รู้วิธีสามัคคีธรรมความจริงหรือเป็นพยานต่อพระเจ้า แต่กระนั้นก็มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่บ้าง  เมื่อเผชิญกับการตัดแต่ง พวกเขาสามารถทบทวนตนเอง และนอกจากนั้นพวกเขายังสามารถยอมรับความจริง แล้วในภายหลังก็กลับใจและเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงได้บ้าง  นี่พิสูจน์ว่าผู้คนเหล่านี้มีความเชื่อที่เป็นจริง  ไม่ว่าความเจ็บปวดและความทุกข์เข็ญมาเยือนพวกเขามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่ถอยหนี แต่หัวใจที่รักพระเจ้าของพวกเขากลับเป็นจริงมากขึ้นทุกที  บัดนี้พวกเขามีหลักธรรมชี้นำในการบริหารจัดการกิจธุระทั้งหลาย ความเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมาก็บรรเทาเบาบางลงอย่างมหาศาล รวมทั้งพวกเขาก็มีสำนึกของความรับผิดชอบที่แรงกล้ากว่าเดิมในยามที่ทำหน้าที่ของตน  กับคนประเภทนี้ เจ้ากล่าวได้หรือไม่ว่าเขาไม่เข้าใจความจริง?  เมื่อได้มองจากมุมมองของการเปลี่ยนแปลงในตัวเขา มั่นใจได้เลยว่าคนผู้นี้กำลังใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแห่งความจริง  ในการทำเช่นนั้นเท่านั้น เขาจึงได้ซึมซับพระวจนะของพระเจ้าลงไปถึงแก่นใจของตน  แม้เขาอาจจะพูดไม่เก่ง เขาก็รู้จริงถึงวิธีปฏิบัติความจริง และยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีหลักธรรมคอยชี้นำในการรับมือกับกิจธุระทั้งหลายของตน ในการทำให้ดีที่สุดเพื่อสำเร็จลุล่วงเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและการสู้ทนความยากลำบากทุกรูปแบบโดยปราศจากการพร่ำบ่นแม้สักคำ  นี่เป็นสิ่งพิสูจน์ว่าพระวจนะของพระเจ้ากำลังทำงานอยู่ในตัวเขา กำลังสัมฤทธิ์ผลของพระวจนะและกำลังเริ่มกลายเป็นชีวิตของเขา

พวกเราเพิ่งพูดคุยเกี่ยวกับผู้คนสองประเภทกันไปเมื่อสักครู่  พฤติกรรมของคนประเภทแรกนั้นเรียบง่าย  ทันทีที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า เขาก็สามารถนำมาปฏิบัติได้  ส่วนประเภทที่สองนั้นก็ไม่ได้ล้มเหลวไปเสียทั้งหมดในการนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติหลังจากที่ฟังพระวจนะไปอย่างมากมาย  ในจิตใจของเขาเองนั้น เขาคิดฝันไปว่าตัวเองกำลังปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าอยู่ เพราะเขาได้ละทิ้งครอบครัวกับอาชีพของเขา และได้ถวายทั้งหมดที่เขามีไปแล้ว  มีกระทั่งบางคนที่ถวายทั้งชีวิตของตนให้กับพระเจ้า เลือกเส้นทางแห่งการถือพรหมจรรย์ ปฏิเสธการไล่ตามไขว่คว้าความมั่งคั่ง และถวายทุกสิ่งจนหมด แต่สภาวะภายในของพวกเขาก็ไม่เคยเปลี่ยน  ความคับข้องใจ ความเข้าใจผิด มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝันที่มีต่อพระเจ้า ตลอดจนอุปนิสัยอันโอหัง การประพฤติปฏิบัติแบบเผด็จการและแบบพลการ—ทั้งหมดนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนั้น และพวกเขาก็ดำเนินชีวิตตามปรัชญาของซาตานต่อไป โดยมีความแตกต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อเล็กน้อย  คนประเภทนี้เชื่อในพระเจ้าเพียงลมปากเท่านั้น และดีกว่าพวกไม่มีความเชื่อนิดเดียวเท่านั้นตรงที่พวกเขาไม่ก่อการกระทำความชั่วอันใหญ่หลวง  คนเช่นนี้ดูดีที่ภายนอก  ทว่าเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ว่าเขาฟังคำเทศนามากมายเพียงใดก็ตาม เขาก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตน  คนประเภทนี้ทำอะไรกับพระวจนะของพระเจ้า?  เขาถือว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นคำสอนที่ดี  เขาคำนึงว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง แต่สิ่งที่เขาคำนึงว่าเป็นความจริงนั้นที่แท้ก็คือคำสอน—คือบางสิ่งที่มีธรรมชาติแบบคำสอน บางสิ่งซึ่งไม่แย่จนเกินไป  เขาสามารถถือปฏิบัติข้อบังคับไม่กี่ข้อ แต่อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเขาไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักน้อย  เหล่านี้คือผู้คนประเภทที่สอง

ต่อไปเราจะพูดเรื่องคนประเภทที่สาม—พวกผู้ไม่เชื่อ  พวกผู้ไม่เชื่อมีความระแวงสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้าเสมอ  คนประเภทนี้เมื่อได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าแล้วก็ยอมรับอยู่ในใจว่า “คำเทศนานี้ถูกต้อง นี่เป็นพระวจนะที่ตรัสโดยพระเจ้าผู้ทรงประสูติเป็นมนุษย์  คริสตจักรนี้มีคนดีๆ เต็มไปหมด  นี่เป็นสถานที่ที่ดีที่ผู้คนไม่ถูกกดขี่และทารุณ ที่พวกเขาไม่ต้องหลั่งน้ำตาและไม่ต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวด นี่เป็นที่ลี้ภัย เป็นรังนอนที่สุขสบายอย่างแท้จริง  ผู้คนเหล่านี้มาจากทั่วทุกสารทิศ จากต่างประเทศและต่างสถานที่ ใจดีมีเมตตาและมีความใส่ใจดูแล สามารถเปิดใจกว้างในการสามัคคีธรรม และเข้ากันได้อย่างกลมเกลียวมาก—พวกเขาล้วนเป็นคนดี  คำเทศนาที่เบื้องบนประทานให้นั้นดีงามและเต็มไปด้วยพลังงานบวก และพระวจนะของพระเจ้าล้วนเป็นความจริงและเป็นสิ่งที่เป็นบวก  การฟังคำเทศนาเหล่านี้บำรุงเลี้ยงและให้คุณประโยชน์แก่จิตวิญญาณ  ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า รับประสบการณ์กับความชูใจ ความชื่นบาน และความสุข  มีความรู้สึกราวกับดำรงชีวิตอยู่ในแดนสวรรค์บนดิน  คงดียิ่งกว่านี้หากคนเราสามารถกลายเป็นปัจเจกบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ และมีคุณูปการในพระนิเวศของพระเจ้า”  พวกเขาถือพระวจนะของพระเจ้าและเนื้อหาของคำเทศนาเป็นทฤษฎีเชิงบวก เป็นการสอน และเป็นคำสอนที่ดีของผู้ยิ่งใหญ่และบุคคลสำคัญซึ่งมีชื่อเสียง—แต่พวกเขานำพระวจนะมาปฏิบัติหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ทำ?  เพราะการปฏิบัติความจริงเหล่านี้มีความลำบากยากเย็นมาเกี่ยวข้องอยู่ระดับหนึ่ง พวกเขาจะต้องทนทุกข์กับความยากลำบากและจ่ายราคา!  พวกเขาคิดว่าแค่รู้วิธีกล่าวพระวจนะเหล่านี้ก็ดีพอแล้ว และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำมาปฏิบัติ คนเราไม่ต้องจริงจังกับการเชื่อในพระเจ้าขนาดนั้น—ดังเช่นในศาสนา การเชื่อในพระเจ้าเป็นแค่งานอดิเรกที่เจ้าแค่ทุ่มเทความพยายามเล็กน้อยและเข้าร่วมการชุมนุมก็ใช้ได้แล้ว  พวกเขาไม่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างถ่องแท้และครบบริบูรณ์ ทั้งพวกเขายังถึงกับมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะด้วยซ้ำ  ตัวอย่างเช่นเมื่อพระเจ้าตรัสว่า การเป็นคนซื่อสัตย์หมายถึงการพูดคำไหนคำนั้นและไม่มีวันพูดโกหก พวกเขาก็แค่ไม่เข้าใจเรื่องนี้เสียอย่างนั้น พลางคิดว่า “ทุกคนพูดโกหกไม่ใช่หรือ?  การเปิดเผยกับทุกคน การไม่ระวังตัว การนบนอบพระเจ้าอย่างที่สุด—นั่นเป็นความโง่เง่าไม่ใช่หรือ?”  พวกเขาคิดว่าการปฏิบัติตนในหนทางนั้นเป็นความโง่เง่า คนเราไม่อาจประพฤติปฏิบัติแบบนี้ได้  พวกเขายอมรับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง แต่การขอให้พวกเขาปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้านั้นเปล่าประโยชน์  ด้วยเหตุนี้ผู้คนเช่นนั้นจึงปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าด้วยท่าทีครึ่งๆ กลางๆ  เพียงยอมรับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าถูกต้องและเป็นความจริง แต่ปฏิเสธที่จะยอมรับและปฏิบัติตามพระวจนะ  เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าจำเป็นต้องให้ผู้คนมานะพยายามบ้าง พวกเขาก็เต็มใจทำสิ่งนี้ แต่จุดมุ่งหมายที่พวกเขาทำเช่นนั้นคืออะไร?  นั่นก็เพื่อเห็นแก่การได้รับพรและได้ชื่นชมยินดีกับพระคุณของพระเจ้ามากขึ้น และหากพวกเขาได้โอกาสที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์จริงๆ นั่นย่อมจะเป็นโชคที่เกินคาดฝันยิ่งขึ้นไปอีก  พวกเขามีความคาดหวังประเภทเหล่านี้ ความเชื่อมั่นของพวกเขาเป็นเช่นนี้  แต่พวกเขามีท่าทีต่อความจริงและพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร?  สำหรับพวกเขา พระวจนะของพระเจ้ากับความจริงคือตัวเลือกเสริมและจะมีหรือไม่มีก็ได้ คือบางสิ่งที่พวกเขาใช้เวลาว่างพินิจพิเคราะห์เพื่อเป็นหนทางสร้างความสนุกสนานให้กับตัวเองและเป็นการฆ่าเวลาพักผ่อนยามว่างของตน พวกเขาแค่ไม่คำนึงว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงหรือชีวิตก็เท่านั้นเอง  นี่เป็นคนประเภทใด?  พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ  พวกผู้ไม่เชื่อปฏิเสธที่จะยอมรับรู้ว่าความจริงสามารถชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยผู้คนให้รอด อีกทั้งไม่เข้าใจว่าความจริงและชีวิตล้วนเป็นเรื่องของสิ่งใด  ตราบที่เป็นเรื่องของการเชื่อในพระเจ้าและการรับความรอด ตลอดจนวิธีแก้ไขธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของผู้คน พวกเขามีเพียงความเข้าใจที่คลุมเครือและไม่ให้ความสนใจ  พวกเขาพูดว่า “ที่จริงแล้ว ผู้คนไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ในสุญญากาศ ตราบที่พวกเรามีชีวิต พวกเราก็ต้องกิน พวกเราไม่ต่างอะไรนักจากพวกสัตว์  พวกเราเหล่ามนุษย์ก็แค่สัตว์ที่สูงกว่า ดำรงอยู่เพื่อเห็นแก่การอยู่รอดของตนเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”  ส่วนความจริง พวกเขาไม่สนใจ และดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าพวกเขาได้เชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปีหรือได้ยินได้ฟังคำเทศนามามากเท่าใด พวกเขาก็ยังไม่อาจกล่าวได้อย่างชัดเจนว่า พระวจนะของพระเจ้าคือความจริงหรือไม่ การเชื่อในพระเจ้าสามารถให้ความรอดหรือไม่ หรือจุดจบและบั้นปลายในภายหน้าของมวลมนุษย์จะเป็นอย่างไร  หากพวกเขาไม่ชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ พวกเขาต้องสับสนหนักขนาดไหน!  พวกเขาไม่แสดงความสนใจว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดอย่างไร รวมทั้งผู้คนได้รับความรอดอย่างไรโดยการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า และผู้คนสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าโดยการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงอย่างไร  กล่าวให้ละเอียดขึ้นได้ว่า พวกเขาไม่แสดงความสนใจวิธีที่จะเป็นคนซื่อสัตย์ วิธีที่จะทำหน้าที่ของตน และเรื่องต่างๆ ในทำนองนั้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้อื่นเอ่ยว่า ผู้คนต้องมีการนบนอบพระเจ้าโดยสมบูรณ์ พวกเขายิ่งรู้สึกอยากผลักไสมากขึ้นไปอีกโดยคิดว่า “หากผู้คนนบนอบพระเจ้าเสมอ เช่นนั้นการมีสมองจะมีประโยชน์อะไร?  ถ้าผู้คนเอาแต่นบนอบพระเจ้า พวกเขาก็กลายเป็นทาส”  ทัศนะของพวกผู้ไม่เชื่อเริ่มเผยตัวออกมาจากตรงนี้  พวกเขาเชื่อว่าการนบนอบพระเจ้าเป็นการกระทำที่เกินจำเป็น เป็นการกระทำที่ลดตัว เป็นการเสียศักดิ์ศรี พระเจ้าไม่ควรตั้งความประสงค์เช่นนั้นต่อผู้คน และผู้คนก็ไม่ควรยอมรับความประสงค์เหล่านั้น  สำหรับคำเทศนาบางอย่าง อาทิ คำเทศนาที่เสวนาถึงการทำให้ผู้คนสามารถได้มาซึ่งพระคุณ ทำสิ่งที่ดี และมีความประพฤติที่ดีนั้น พวกเขาสามารถยอมรับได้อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ในแง่ที่เปโตรได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยการยอมรับบททดสอบนับร้อยนั้น พวกเขาไม่อาจเข้าใจหรือยอมรับได้เลย  พวกเขาคิดว่า “นั่นเป็นการทรมานและการใช้ผู้คนเป็นของเล่นไม่ใช่หรือ?  จริงอยู่ว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง แต่ถึงเป็นเช่นนั้น พระองค์ก็ปฏิบัติแบบนั้นกับผู้คนไม่ได้!”  พวกเขาไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าว่าเป็นความจริง พวกเขามองวิธีการนี้ที่พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดว่าเป็นหนทางที่นายทาสใช้ปฏิบัติต่อทาสของตน ทำกับทาสตามแต่ตนจะพอใจ—นี่คือความสัมพันธ์ที่พวกเขาเชื่อมโยงกัน  คนประเภทนี้สามารถเข้าใจความจริงหรือไม่?  (ไม่)  ในคริสตจักรมีผู้คนเช่นนั้นหรือไม่?  (มี)  คนแบบนี้จะออกจากคริสตจักรไปเองหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดพวกเขาจึงจะไม่ออกไป?  เพราะพวกเขากำลังหวังที่จะมีโชคช่วยโดยคิดว่า “โลกภายนอกนั่นมืดมนและเลวร้าย ไม่ง่ายเลยที่จะดำเนินชีวิต  ฉันฆ่าเวลาอย่างไรจะต่างกันตรงไหน?  ฉันอาจจะทำแบบนั้นในคริสตจักรด้วยก็ได้  ฉันสามารถชื่นชมยินดีกับพระคุณของพระเจ้าในที่แห่งนี้ได้ด้วยซ้ำ และฉันก็จะไม่เสียอะไรมากนักกับการนี้  ที่นี่มีให้กินและดื่มอย่างเหลือเฟือ และผู้คนก็ค่อนข้างอยู่ในทำนองคลองธรรม—จะไม่มีใครรังแกฉัน  ยิ่งกว่านั้น พอคุณทำหน้าที่และสละตน รวมทั้งจ่ายราคา คุณก็จะถึงกับได้รับพรจากพระเจ้าด้วยซ้ำ  นี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่ฉันพลาดไม่ได้เลย!”  และดังนั้นหลังจากที่คิดทบทวนแล้ว พวกเขาก็สรุปว่า การอยู่ในคริสตจักรเป็นสิ่งที่คุ้มค่า  หากวันหนึ่ง การนี้ดูไม่คุ้มค่าอีกต่อไป และพวกเขารู้สึกว่าไม่ได้อะไรจากตรงนี้อีกแล้ว พวกเขาก็จะหมดความสนใจในการเชื่อในพระเจ้าและต้องการไปจากคริสตจักร  พวกเขาคิดว่า “ถึงอย่างไร ฉันก็ไม่ได้เสียอะไรไปมากนัก และฉันก็ไม่ได้ผูกมัดหัวใจและจิตใจของฉันไปทั้งหมด”  ฉันมีทักษะ ฉันรู้ความเชี่ยวชาญของตัวเอง และฉันมีวุฒิบัตร ดังนั้นฉันยังคงอยู่ได้ในทางโลกอย่างที่ฉันเคยอยู่มาตลอด ฉันพอจะหาโชคลาภได้หรือหาช่องทางเข้าทำงานราชการได้  นั่นคงเยี่ยมไปเลย!”  พวกเขามองสิ่งทั้งหลายกันแบบนี้เอง  ในสายตาของคนประเภทนี้ พระวจนะที่พระเจ้าตรัสและความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงมีค่าน้อยกว่าสุนทรพจน์จากประธานาธิบดีด้วยซ้ำ นั่นคือการดูหมิ่นเหยียดหยามที่พวกเขามีต่อพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อผู้คนประเภทนี้นำทัศนะเหล่านั้นมาใช้ในการเชื่อในพระเจ้าและในการลงแรง “ที่พร้อมด้วยความเต็มใจ” โดยพักอาศัยและถึงขั้นฆ่าเวลาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างตั้งใจจะไม่จากไป—การทำเช่นนี้มีจุดมุ่งหมายใด?  ใช่ด้วยความหวังรางๆ ในจิตใจว่า “หากพระเจ้าทรงแสดงความยอมผ่อนปรนและทรงมีพระกรุณาต่อฉัน อนุญาตให้ฉันเข้าไปในราชอาณาจักร ความมุ่งมาดปรารถนาของฉันก็จะได้เป็นจริง  แต่ถ้าฉันเข้าสู่ราชอาณาจักรไม่ได้ ฉันก็จะยังคงได้ชื่นชมยินดีกับพระคุณของพระเจ้าเป็นจำนวนไม่น้อยอยู่ดี ดังนั้นฉันจะไม่ขาดทุน”  เมื่อพวกเขานำทัศนคติประเภทรีรอก่อนตัดสินใจนี้มาใช้ในการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถนำความจริงมาปฏิบัติได้หรือไม่?  พวกเขานมัสการพระเจ้าว่าเป็นพระผู้สร้างได้หรือไม่?  (ไม่ พวกเขาทำไม่ได้)  สภาวะใดบ้างที่ผุดขึ้นในตัวพวกเขาซึ่งมีทัศนะเช่นนั้น?  พวกเขาจะพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าและเข้าใจพระองค์ไปในทางที่ผิดบ่อยครั้ง  พวกเขาจะนำการกระทำแต่ละอย่างของพระเจ้ามาประเมิน สืบค้น และพินิจพิเคราะห์รอบด้าน จากนั้นก็ลงเอยตรงข้อสรุปต่อไปนี้ที่ว่า “นี่ดูไม่เหมือนกับเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำไว้  หวังว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำไป”  ในหัวใจของพวกเขาเก็บงำการขัดขืน การพินิจพิเคราะห์ การตัดสิน และท่าทีรีรอก่อนตัดสินใจเอาไว้—นี่เรียกว่าความเป็นกบฏได้หรือไม่?  (ได้)  ความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏของพวกเขาไม่ใช่แบบของคนปกติอีกต่อไป  ผู้คนเหล่านี้เป็นคนประเภทใด?  (พวกผู้ไม่เชื่อ)  พวกผู้ไม่เชื่อประพฤติตนอย่างไร?  พวกเขาเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า  เมื่อผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาและบางคราวก็ล้มเหลวที่จะนบนอบ พระเจ้าตรัสว่านี่คืออุปนิสัยอันเป็นกบฏ พวกเขามีแก่นแท้อันเป็นกบฏ  แต่พระองค์ตรัสถึงพวกที่ไม่เชื่อว่าอย่างไร?  แล้วซาตานเป็นอย่างไร—พระเจ้าจะตรัสว่าซาตานเป็นกบฏหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นพระเจ้าจะตรัสว่าอย่างไร?  พระเจ้าจะตรัสว่ามันคือศัตรู คือฝ่ายตรงข้ามของพระองค์ และเป้นปฏิปักษ์ต่อพระองค์โดยสิ้นเชิง  ท่าทีที่พวกผู้ไม่เชื่อมีต่อพระเจ้านั้นเป็นท่าทีของการลังเลอย่างพินิจพิเคราะห์และเฝ้าสังเกต ตลอดจนการขัดขืน ความคับข้องใจ การต่อต้าน และความเกลียดชัง  ยิ่งเจ้าสามัคคีธรรมความจริงและนบนอบพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด คนเช่นนั้นก็ยิ่งเกิดความรังเกียจมากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งเจ้าสามัคคีธรรมถึงวิธีบรรลุความรอด และการกลายเป็นเพียบพร้อมโดยการยอมรับการตีสอน การพิพากษา และการตัดแต่งของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งรังเกียจไม่รับรู้สิ่งใดในนั้นเลยมากขึ้นเท่านั้น  ทันทีที่พวกเขาได้ยินสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็เริ่มนั่งไม่เป็นสุข เกิดอาการกระสับกระส่ายและกระวนกระวายราวกับนั่งทับหมอนเข็ม หรือเหมือนมดในถาดร้อนๆ  แต่หากเจ้าให้พวกเขาไปสโมสรเต้นรำหรือสถานดื่มกิน พวกเขาจะไม่หงุดหงิดรำคาญเลย พวกเขาจะเริงร่ายินดี  พวกเขาจะรู้สึกว่าการอยู่ในสถานที่เช่นนั้นช่วงไร้กังวลและน่าชื่นบาน—หากพวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่แบบนั้น นั่นคงคุ้มค่าอย่างสมบูรณ์  การได้ยินความจริงอยู่เป็นนิจนั่นเองที่ทำให้พวกเขาหงุดหงิดรำคาญ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมรับฟัง  พวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ หากพวกเขาไม่เต็มใจรับฟังความจริงด้วยซ้ำ?  ไม่ได้โดยสิ้นเชิง  พวกเขาพกพาสภาวะที่เป็นลบ ขัดขืน และเกลียดชังไว้ในตัวเอง และพวกเขาก็เฝ้าดูและพินิจพิเคราะห์อย่างลังเลเสมอ  พวกเขาพินิจพิเคราะห์สิ่งใดหรือ?  พระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่พวกเขาพินิจพิเคราะห์อยู่เสมอ  นี่ไม่ใช่เรื่องของการมีวุฒิภาวะน้อยอีกต่อไปแล้ว พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อและคนชั่ว  คนประเภทนี้จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระเจ้า พินิจพิเคราะห์ สังเกตการณ์อย่างลังเล อีกทั้งทำการขัดขืนเสมอตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ยอมรับความจริงเลย โดยคิดว่า “ใครก็ตามที่สละตนเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจคือคนโง่  ใครก็ตามที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและปฏิบัติความจริงคือคนโง่  คุณละทิ้งครอบครัวตัวเอง ไม่ดูแลญาติพี่น้องของตัวเอง และมุ่งเน้นแต่การเชื่อในพระเจ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  หลังการเชื่อทั้งหมดนั้น คุณก็แค่จบลงอย่างน่าอนาถและถูกดูแคลน  ดูเถิดว่าผู้ไม่มีความเชื่อทันสมัยกันเพียงใด แล้วตัวพวกคุณสวมใส่อะไรอยู่?  ฉันไม่โง่เหมือนพวกคุณทั้งหมด—ฉันต้องหมกเม็ดไว้บ้าง  ฉันจะไล่ตามไขว่คว้าความยินดีทางเนื้อหนังก่อน—นั่นคือการอยู่กับความเป็นจริง”  นี่คือตัวตนที่แท้จริงของผู้ไม่เชื่อ  เมื่อพระเจ้าทรงปรากฏและเริ่มทรงพระราชกิจของพระองค์ในตอนแรกนั้น พระองค์ทรงมีผู้ติดตามน้อยมาก—อย่างมากที่สุดก็ประมาณหมื่นคน—และมีประมาณพันคนเท่านั้นที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน  ต่อมาเมื่องานข่าวประเสริฐเริ่มเผยแผ่ออกไป และงานนี้เริ่มแสดงให้เห็นผลลัพธ์ ผู้คนที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น  เมื่อเห็นโอกาสที่จะโดดเด่นและอวดแสดงความสามารถพิเศษ คนบางคนจึงมาเข้าร่วมและเริ่มปฏิบัติหน้าที่ไปด้วย  เราพูดไปว่า “ช่างประหลาดนัก!” “งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเริ่มแพร่หลายออกไปแล้ว เหตุใดตอนนี้จึงมีผู้คนกำลังปฏิบัติหน้าที่มากขึ้นอย่างมากมาย?  ผู้คนเหล่านี้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนตลอดหลายปีที่ผ่านมา?”  ที่จริงแล้ว คนเหล่านี้มีสิ่งที่คิดเอาไว้นานแล้วว่า “ถ้างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเกิดแพร่หลายขึ้นมา ฉันก็ค่อยมา  ถ้างานแห่งพระนิเวศยังไม่เริ่ม ฉันก็จะไม่มา  ฉันจะไม่ลงทุนลงแรงอะไรให้กับพระนิเวศอย่างแน่นอน!”  ผู้คนเหล่านี้เป็นคนประเภทใด?  พวกเขาเป็นนักฉวยโอกาส  พวกนักฉวยโอกาสล้วนเป็นผู้ไม่เชื่อ—พวกเขาแค่กำลังเข้ามาหาความตื่นเต้น  ดูภายนอกราวกับว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่กำลังทำงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่ในความเป็นจริงนั้น พระเจ้ากำลังทรงนำทางและทรงชี้นำทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่กำลังทรงงานอยู่  นี่ไม่มีข้อกังขาทั้งสิ้นอย่างแน่นอน  พระเจ้าพระองค์เองกำลังทรงพระราชกิจของพระองค์เอง พระองค์จะทรงเดินหน้าไปอย่างไม่มีการหยุดยั้ง  ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถสำเร็จลุล่วงงานอันสำคัญยิ่งใหญ่เช่นนี้ การนี้เกินความสามารถของมนุษย์  ทั้งหมดนี้เป็นผลลัพธ์ของสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้ารวมทั้งสิทธิอำนาจของพระเจ้าเอง  ผู้คนไม่สามารถจับความเข้าใจประเด็นนี้ได้ พวกเขาคิดว่า “พอพระนิเวศของพระเจ้าเริ่มมีอำนาจ ฉันก็จะมีส่วนแบ่ง  ดังนั้น อย่าลืมบันทึกชื่อของฉันลงในสมุดบันทึกความดีความชอบล่ะ!”  นี่เป็นคนประเภทใด?  คำพูดของพวกไม่มีความเชื่อมี “เจตนาอันมุ่งร้าย”—พวกเราพูดถึงพวกเขาแบบนี้ได้หรือไม่?  (ได้)  ผู้คนพวกนี้ช่างเก็บงำสิ่งจูงใจเคลือบแฝงอะไรเช่นนี้!  แน่นอนว่าหากคนเราเพิ่งเริ่มยอมรับความจริงได้ พวกเขาอาจมีสิ่งจูงใจและทัศนะเช่นนั้นอยู่ หรือความเชื่อของพวกเขาอาจน้อยเกินไป—พระเจ้าจะไม่ทรงจดจำสิ่งเหล่านั้น  ในการเปิดโปงทัศนะและท่าทีเหล่านี้ พระเจ้าทรงปรารถนาเพียงทำให้ผู้คนเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต วางพวกเขาในร่องครรลองที่ถูกต้องในการเชื่อในพระเจ้าโดยปราศจากการสังเกตการณ์อย่างลังเลและปราศจากการพินิจพิเคราะห์  พระเจ้าไม่ใช่บางสิ่งที่เจ้าสามารถปะติดปะต่อได้จากการพินิจพิเคราะห์หรือตรวจจับด้วยกล้องโทรทรรศน์  การดำรงอยู่ของพระเจ้าและพระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เจ้าสามารถได้ออกมาจากการใช้งานวิจัยรูปแบบใดเลย  เหล่านี้คือข้อเท็จจริง  ไม่สำคัญว่าจะมีใครยอมรับพระองค์ เชื่อในพระองค์ หรือติดตามพระองค์หรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นก็อยู่ตรงนั้นให้พวกเขาได้มองเห็นและสัมผัส  ไม่มีใครสามารถขัดขวางและไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลง อีกทั้งไม่มีพลังอำนาจใดก็ตามสามารถเป็นอุปสรรคขวางกั้นได้  นี่คือข้อเท็จจริงที่พระเจ้าได้ทรงทำให้เป็นความจริง

พวกเราเพิ่งพูดคุยเกี่ยวกับคนประเภทที่สามกันไป—พวกผู้ไม่เชื่อ  คนประเภทนี้เชื่อในพระเจ้าด้วยการสังเกตการณ์อย่างลังเล โดยการรอฉวยโอกาสและการพินิจพิเคราะห์  หากไม่มีความหวังใดที่จะได้รับพร พวกเขาก็จะคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือรีบผละไปและเตรียมหากลวิธีที่เป็นทางออกไว้ให้ตัวเอง  หากคนเช่นนั้นเริ่มทบทวนตัวเองตอนนี้และรู้สึกสำนึกผิดอยู่บ้าง นั่นคงไม่สายเกินไปสำหรับพวกเขา  พวกเขาจะมีความหวังอยู่รำไรเสมอจนกว่าจะถึงวันตายของพวกเขา แต่หากพวกเขาถือทิฐิไม่ยอมกลับใจและยังคงเฝ้าดูอย่างลังเลต่อไป ต่อต้านพระเจ้าเสมอ เช่นนั้นก็แน่ใจได้เลยว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อพวกเขาเฉกเช่นพวกผู้ไม่มีความเชื่อ และปล่อยให้พวกเขาทำตามใจชอบโดยลำพังท่ามกลางหายนะ  ดั้งเดิมนั้นในแง่ที่เกี่ยวกับแก่นแท้ของผู้คน มนุษย์ไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าธุลีดินหยิบมือเดียวที่พระเจ้าทรงระบายลมปราณให้ ด้วยการนั้นเจ้าจึงถูกแปรไปเป็นคนมีเลือดเนื้อที่มีชีวิต เป็นการประทานชีวิตให้กับเจ้า  ชีวิตของเจ้ามาจากพระเจ้า  ยามที่พระเจ้าไม่ได้กำลังทรงใช้พวกเจ้า พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมอาหารและเสื้อผ้า รวมทั้งสิ่งอื่นทั้งหมดให้กับเจ้า  แต่เมื่อพระองค์ตั้งพระทัยที่จะใช้เจ้าจริงๆ เจ้ากลับวิ่งหนีและขัดขืนพระองค์อยู่เป็นนิจ ต่อต้านพระองค์เสมอ—พระเจ้าจะยังคงใช้เจ้าได้หรือไม่?  โดยชอบธรรมแล้ว พระเจ้าควรทรงวางมือจากเจ้า  ไม่ว่าจะเป็นช่วงระหว่างการสร้างโลกในปฐมกาล หรือในยุคธรรมบัญญัติ หรือยุคพระคุณ หรือเรื่อยมาจนถึงยุคสุดท้ายในปัจจุบัน พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะต่อผู้คนไปมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นโดยผ่านทางการดลใจหรือการสัมพันธ์สนิทแบบพบหน้ากัน คนเราก็ควรพูดว่าพระเจ้าได้ตรัสพระวจนะไปมากมายเกินคณนา  แล้วอะไรคือพระประสงค์ของพระเจ้าในการตรัสพระวจนะมากมายเช่นนั้น?  นั่นก็เพื่อให้ผู้คนเข้าใจและจับใจความในสิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึง รู้เจตนารมณ์ของพระเจ้า และรู้ว่าหลังจากได้รับพระวจนะเหล่านี้ ผู้คนจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน ได้รับความรอด และได้รับชีวิต  เช่นนั้นผู้คนย่อมสามารถยอมรับพระวจนะเหล่านี้ได้  พระประสงค์ของพระเจ้าในการตรัสพระวจนะมากมายเช่นนั้นมีเพียงเท่านี้เอง  และเมื่อได้ยอมรับพระวจนะเหล่านี้และได้ยอมรับวิธีการนานัปการแห่งพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว ผู้คนจะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดในที่สุด?  พวกเขาจะกลายเป็นสามารถติดตามพระเจ้าเรื่อยไปจนถึงปลายทางและรอดพ้นจากการถูกกำจัดและถูกทอดทิ้งไว้กลางทาง และด้วยเหตุนั้นจึงมีความหวังแห่งการคงอยู่จวบจนปลายทาง  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงบ่มวินัยเจ้า ตัดแต่งเจ้า หรือเผยเจ้าออกมาหรือไม่ หรือมีช่วงเวลาที่พระองค์ทรงละทิ้งเจ้าหรือทำให้เจ้าก้าวผ่านบททดสอบหรือไม่—ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใด ผู้คนก็ปฏิเสธข้อเท็จจริงที่เป็นเจตนารมณ์และพระดำริของพระเจ้าที่อุตสาหะตรัสพระวจนะเหล่านี้ไม่ได้ ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  ด้วยเหตุนั้นผู้คนจึงไม่ควรถากถางพระเจ้าในเรื่องหยุมหยิม คอยกังขาพระเจ้าตามความคิดเล็กคิดน้อยและเข้าใจพระเจ้าในทางที่ผิดของพวกเขาเอง  ไม่สำคัญว่าเจ้าใช้ทัศนะที่ผิดอะไรมาสนับสนุน ไม่สำคัญว่าสภาวะภายในตัวเจ้าอาจเป็นเช่นไร ตราบที่เจ้าสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของเจ้า และใช้พระวจนะเหล่านั้นเป็นหลักธรรมที่เจ้าปฏิบัติ อีกทั้งเป็นทิศทางและเป้าหมายของเส้นทางที่เจ้าเดิน เจ้าย่อมจะค่อยๆ สามารถสนองความประสงค์ของพระเจ้าไปได้ทีละขั้น  ที่น่ากังวลคืออะไร?  ที่น่ากังวลก็คือเมื่อผู้คนรับฟังและปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าราวกับเป็นคำสอน ข้อบังคับ วลีและคำขวัญธรรมดาแค่นั้น หรือถึงกับปฏิบัติต่อพระวจนะแห่งพระเจ้าดั่งเป็นวัตถุสำหรับการพินิจพิเคราะห์ และปฏิบัติต่อพระเจ้าดั่งเป็นเป้าสำหรับการพินิจพิเคราะห์และการขัดขืนของตน—นี่ย่อมเป็นปัญหา  ผู้คนเช่นนั้นไม่ใช่ผู้รับการช่วยให้รอดของพระเจ้า พระเจ้าทรงไม่มีวิถีทางที่จะช่วยพวกเขาให้รอด  นี่ไม่ใช่เป็นที่พระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด แต่เป็นที่พวกเขาไม่ยอมรับการช่วยให้รอดของพระองค์—ทั้งหมดที่พูดได้มีเพียงเท่านั้น และนั่นคือข้อเท็จจริง

อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้คนคนหนึ่งสามารถติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทางสุดท้ายและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยได้?  การยอมรับและการปฏิบัติความจริง—นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นแง่มุมสำคัญอย่างยิ่งที่สุดในการปฏิบัติการไล่ตามเสาะหาความจริง  การปฏิบัติตามและการรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าเป็นแง่มุมที่สำคัญที่สุดของการปฏิบัติ การนี้สัมพันธ์โดยตรงกับการเข้าสู่ชีวิตของบุคคลหนึ่ง  คนผู้หนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจไม่ว่าจะเผชิญกับประเด็นปัญหาอะไรนั้นต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหาและปฏิบัติความจริงในทุกสถานการณ์  นี่เท่านั้นจึงเป็นการรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และการมีประสบการณ์ประเภทนี้ไม่กี่ปีก็จะทำให้คนคนหนึ่งสามารถเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงได้  เพราะฉะนั้นไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม คนเราไม่อาจลืมเรื่องการปฏิบัติตามและการรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้านี้ได้  เมื่อเผชิญกับประเด็นปัญหา เจ้าต้องไตร่ตรองอยู่ในใจเสมอว่า “ฉันต้องทำอะไรเพื่อปฏิบัติตามและรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องนี้?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความจริงแง่มุมใดบ้าง?  ฉันควรทำอะไรเพื่อปฏิบัติความจริง?”  นี่จะเป็นการทุ่มเทความพยายามในการไล่ตามเสาะหาความจริง และหลังจากที่ปฏิบัติตามและรับประสบการณ์ในหนทางนี้อยู่หลายปี เจ้าก็จะเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้าอย่างช้าๆ เจ้าจะเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตและเจ้าจะมีทิศทาง  การใช้เชาว์ปัญญาของตัวเจ้าเองทำการวิเคราะห์และพินิจพิเคราะห์ประเด็นปัญหาใดก็ตามที่เจ้าเผชิญเสมอ และการพึ่งพาวิธีการของตัวเองในการแก้ไขสิ่งทั้งหลายนั้นไม่ใช่แนวทางที่ทำได้  หากเจ้าปฏิบัติไปตามวิธีการนี้ ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสัมฤทธิ์ความเข้ากันได้กับพระเจ้าและการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย—เจ้าจะไม่มีวันสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้นเลย นี่คือเส้นทางที่ผิด  ไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะแสวงหาความรอดโดยผ่านทางการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะ  ผู้คนนับไม่ถ้วนล้มเหลวและสะดุดล้มในหนทางนี้  บ้างก็ถูกระบุลักษณะว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จและบ้างก็เป็นศัตรูของพระคริสต์—ทั้งหมดนั้นได้ถูกกำจัดออกไปแล้ว  ไม่มีประโยชน์ที่จะเสาะแสวงการโดดเด่นอยู่ในคริสตจักร  จงติดตามเส้นทางของเปโตรเสียดีกว่า—การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดและมั่นคงที่สุด  ตอนนี้เจ้าเห็นหรือไม่ว่าอะไรสำคัญที่สุด?  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการยอมรับและการปฏิบัติความจริง  การอ่านพระวจนะแห่งพระเจ้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการไตร่ตรองและการได้รับความจริง  จงอย่าพินิจพิเคราะห์การนี้ จงอย่าพินิจพิเคราะห์การนี้อย่างเด็ดขาด และจงอย่ามีอารมณ์ที่ขัดขืนและเป็นปฏิปักษ์  ทันทีที่เจ้ามีสภาวะจำพวกนี้ จงตรวจสอบตัวเองและแก้ไขสภาวะนั้นทันที  ประเด็นปัญหาเหล่านี้กับความเสื่อมทรามที่มีอยู่ภายในตัวเจ้าได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง สภาวะของเจ้าย่อมดีขึ้นเรื่อยๆ และเจ้ามีการเผยความเสื่อมทรามน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งในที่สุดก็ให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นว่า สัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าจะกลายเป็นปกติมากขึ้นทุกที หัวใจของเจ้าจะยำเกรงพระเจ้ามากขึ้นทุกที และกลายเป็นใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นทุกที เจ้าจะทำหน้าที่ของตนโดยมีประสิทธิผลดีเลิศขึ้นทุกที อีกทั้งความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้าและความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าก็จะเติบใหญ่ขึ้นทุกที  นี่ยืนยันว่าเจ้าได้ซึมซับจนพระวจนะแห่งพระเจ้าเข้าไปหยั่งรากอยู่ในหัวใจ  สุดท้ายแล้วเจ้าก็จะเห็นผลลัพธ์และจะพูดว่า “เมื่อทบทวนตนเองอย่างสม่ำเสมอและจัดการแก้ไขการเผยความเสื่อมทรามของตัวเอง ฉันย่อมได้ป้องกันผลสืบเนื่องที่แก้ไขไม่ได้ไว้หมดแล้ว  ในใจฉันรู้สึกเสียใจและเกลียดตัวเองที่เคยทำหน้าที่เป็นข้ารับใช้ของซาตาน  ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยฉันให้รอด เปิดโอกาสให้ฉันพบหนทางหวนกลับ ยอมรับความจริง และนบนอบพระองค์  ฉันไม่กังวลอีกต่อไปแล้วว่าฉันจะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ ทั้งฉันยังไม่กังวลถึงความเป็นไปได้ที่จะถูกเอาตัวออกไปและกำจัดทิ้งในภายหลัง  ตอนนี้ฉันมั่นใจว่า ฉันจะเป็นผู้รับการช่วยให้รอดของพระเจ้า ฉันอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง และฉันเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้ พระผู้สร้าง  ฉันไม่มีข้อกังขาใดในเรื่องนี้”  เพียง ณ จุดนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะรับความเชื่อในพระเจ้าเข้าไว้ในหัวใจ และเจ้าสามารถพึ่งพาพระองค์ได้ในทุกสถานการณ์  เช่นนั้นเจ้าก็จะได้เข้าสู่วิสุทธิสถานแล้วจริงๆ และเจ้าจะไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าตัวเจ้าเป็นแค่คนรับใช้หรือเจ้าจะตายในความวิบัติหรือไม่  ณ จุดนี้เท่านั้นหัวใจของเจ้าจึงจะเต็มไปด้วยสันติสุขและความชื่นบาน  อะไรเป็นเหตุให้ผู้คนมีความกังวลเหล่านี้?  นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้เรื่องพระราชกิจของพระเจ้าน้อยเกินไป มีความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงน้อยเกินไป อีกทั้งถึงกับมีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า  เพราะเจ้าไม่ได้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่อยู่ในพระวจนะของพระองค์ และไม่ได้จับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เจ้าเข้าใจพระเจ้าผิดอยู่เสมอ  เนื่องจากเจ้าเข้าใจพระองค์ผิดอยู่เสมอ เจ้าจึงเป็นกังวลอยู่เป็นนิจและไม่เคยรู้สึกมั่นคงปลอดภัยเลย  บางคราวเจ้าอยู่ในอารมณ์ที่ขัดขืน ถึงแม้เจ้าอาจไม่ได้ทำความผิดพลาดใหญ่โต แต่เจ้าก็ทยอยทำความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมด กระทั่งวันหนึ่ง จู่ๆ เจ้าก็ทำความผิดพลาดใหญ่ขึ้นมาและถูกกำจัดจริงๆ  การทำความผิดพลาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องไม่สำคัญ  คนบางคนถูกกำจัด หรือเอาตัวออกไป หรือขับไล่ หรือไม่ได้รับพระราชกิจใดของพระวิญญาณบริสุทธิ์—มีสาเหตุรากเหง้าอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมดไม่ใช่หรือ?  มีสาเหตุรากเหง้าอย่างแน่นอน ประเด็นปัญหาตรงนี้เกี่ยวกับเส้นทางที่เจ้าเดิน  บางคนเลือกที่จะเดินตามเส้นทางของเปโตรซึ่งเป็นเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง  ส่วนคนอื่นก็เลือกเดินตามเส้นทางของเปาโลซึ่งเป็นเส้นทางแห่งการไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎและบำเหน็จรางวัล  สองเส้นทางนี้มีแก่นแท้ต่างกัน ผลสืบเนื่องและจุดจบที่สองเส้นทางนี้นำไปสู่ก็แตกต่างกันเช่นกัน  พวกที่ถูกกำจัดไม่เคยเดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาและการปฏิบัติความจริง  พวกเขาไถลห่างออกจากเส้นทางนี้และแค่ทำตามแต่ที่ตนจะทำเสมอ โดยกระทำไปตามความอยากและความทะเยอทะยานของตัวเอง พิทักษ์สถานะ ความมีหน้ามีตา และความภาคภูมิใจของตน รวมทั้งสนองความอยากได้อยากมีของตัวเอง—ทุกสิ่งที่พวกเขาทำวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้  ถึงแม้พวกเขาได้จ่ายราคา ใช้เวลาและพลังงาน รวมทั้งทำงานหามรุ่งหามค่ำไปเช่นกัน แต่ผลลัพธ์สุดท้ายของพวกเขาคืออะไร?  เพราะสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำไปนั้นถูกระบุลักษณะว่าเป็นความชั่วในพระเนตรของพระเจ้า ผลลัพธ์จึงเป็นว่าพวกเขาถูกกำจัด  พวกเขายังคงมีโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  (ไม่)  นี่คือผลสืบเนื่องที่ร้ายแรงอย่างไม่น่าเชื่อ!  นี่ก็เหมือนกับตอนที่ผู้คนเกิดอาการป่วย  ความเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีสามารถพัฒนาไปเป็นความเจ็บป่วยใหญ่โตได้ หรือกลายเป็นระยะสุดท้ายได้ด้วยซ้ำ  ตัวอย่างเช่น หากคนคนหนึ่งมีอาการเป็นหวัดและไอ เขาจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วหากได้รับการรักษาทางการแพทย์แบบปกติ  ถึงกระนั้นคนบางคนก็คิดว่าตัวเองมีสุขภาพกายที่ทรหดอดทน และดังนั้นจึงไม่จริงจังกับอาการเป็นหวัดของตนหรือแสวงหาการรักษา  ผลลัพธ์ก็คือ อาการเป็นหวัดนั้นยืดเยื้ออยู่นาน และพวกเขาก็เกิดภาวะปอดอักเสบขึ้นมา  หลังจากเกิดภาวะปอดอักเสบ พวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนหนุ่มสาวที่มีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทำการรักษาอยู่นานหลายเดือน  พวกเขาไม่ใส่ใจอาการไอทุกวันของตัวเองจนถึงจุดที่อาการไอนั้นไม่อาจควบคุมได้และเกินกว่าจะทนได้ และพวกเขาก็ไอเป็นเลือด  ดังนั้นพวกเขาจึงไปโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจ ซึ่งพวกเขาพบว่าตัวเองได้เกิดเป็นวัณโรคไปแล้ว  ผู้อื่นแนะให้พวกเขารับการรักษาทันที แต่พวกเขาก็ยังคงคิดว่าตัวเองอายุน้อยและแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องมีความกังวล ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้แสวงหาการรักษาที่ถูกควร  กระทั่งสุดท้ายแล้ววันหนึ่งร่างกายของพวกเขาก็อ่อนแอจนเดินไม่ไหว และตอนที่พวกเขาไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพ พวกเขาก็เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายเสียแล้ว  เมื่อผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ตัวเองไม่จัดการ นั่นก็สามารถทำให้เกิดผลสะท้อนอันมิอาจเยียวยาได้เช่นกัน  การมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามไม่ใช่สิ่งที่น่าพรั่นพรึง แต่บางคนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยนั้นให้ทันท่วงที ในหนทางนี้เท่านั้นจึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามจึงค่อยๆ ถูกชำระให้บริสุทธิ์ได้  หากพวกเขาไม่มุ่งเน้นการแก้ไขอุปนิสัยนั้น นั่นก็จะกลายเป็นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาอาจล่วงเกินและขัดขืนพระเจ้า และถูกพระองค์ทรงรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัด

คนบางคนมีแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ เช่นผู้คนอย่างเปาโล  พวกเขามุ่งเน้นการได้รับพร การได้มาซึ่งมงกุฎ และการได้รับบำเหน็จรางวัล อีกทั้งพวกเขาก็พยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้า  พวกเขาต้องการอยู่เสมอที่จะเป็นผู้นำและอัครทูตที่สามารถควบคุมประชากรของพระเจ้าได้ แต่พวกเขาเพียงจบลงตรงการทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ตนเท่านั้นเอง  พวกเขาเดินบนเส้นทางแห่งการขัดขืนพระเจ้าอันเป็นเส้นทางที่ผิด  คนบางคนไม่รักความจริง พวกเขารู้ว่าผิดที่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลตอบแทน สถานะ และผลประโยชน์ แต่พวกเขายังคงเลือกเส้นทางที่ผิดอยู่ดี  พระเจ้าได้ทรงกวดขันประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรอย่างอดทนและด้วยเจตนารมณ์อันเปี่ยมไปด้วยความอุตสาหะ ประทานความชูใจ การเตือนสติ การเตือนจำ คำเตือน การเปิดโปง การตัดแต่ง และการติติงทุกประเภทให้กับพวกเขา  พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะไปมากมายยิ่งนัก แต่ทว่าผู้คนกลับไม่จริงจังกับการนั้น โดยปฏิบัติกับการตรัสของพระเจ้าราวกับเป็นแค่สายลมที่ผ่านหู  พวกเขาไม่ปฏิบัติตามพระวจนะ แต่ยังคงปฏิบัติไปตามเหตุจูงใจและความอยากของตน พิทักษ์สถานะ ความภาคภูมิใจ และความทะนงตนของตัวเอง  พวกเขารวมหัวกันอยู่ทั่วทุกที่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง อีกทั้งวางแผนและกระทำการอยู่ในทุกที่เพื่อหน้าตาและโอกาสที่เป็นไปได้ในภายหน้าของตน โดยการกรำสมองและการยอมจ่ายไม่อั้น  ในหัวใจของพวกเขาถึงกับคิดว่า “ฉันได้สละตนเพื่อพระเจ้า มีมงกุฎอันรุ่งโรจน์สำรองไว้ให้ฉัน” และถึงกับกล่าวคำพูดที่เปาโลพูดไว้  ในข้อเท็จจริงนั้น พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองเดินอยู่บนเส้นทางใด และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษแล้ว  เมื่อวันหนึ่งเรื่องนี้นำไปสู่ความวิบัติอันใหญ่หลวง พวกเขาจะรู้จักกลับใจหรือไม่?  เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะขัดขืนโดยพูดว่า “ฉันทำงานหนักและได้สัมฤทธิ์สิ่งทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่  ต่อให้ฉันไม่ได้สัมฤทธิ์ผลใดๆ ฉันก็ได้สู้ทนกับความยากลำบาก หากไม่ใช่ความยากลำบาก ก็เป็นความเหนื่อยล้า!”  สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำไม่มีค่าสักสตางค์—สิ่งเหล่านั้นสามารถเป็นความประพฤติดีได้หรือ?  นั่นได้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือไม่?  นั่นได้เป็นการปฏิบัติความจริงหรือไม่?  พวกเขากำลังดำเนินกิจการส่วนตัว  ระหว่างช่วงเวลานี้ พวกเขาเตรียมตัวเองให้พร้อมไปด้วยคำพูดและคำสอนที่ฟังดูลุ่มลึกมากมายไปหมด พวกเขาสามารถกล่าวคำพูดและให้โอวาท อีกทั้งสามารถสละตนเองทำงานจนหัวหมุน แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานที่เป็นจริงอันใดเลย  พวกเขาได้สร้างผลงานดีในการดึงผู้คนมารุมล้อมตัวเอง ลากทุกคนเข้ามาอยู่ในแวดวงของตน  พวกเขากลายเป็นกษัตริย์แห่งขุนเขาซึ่งไม่มีที่ให้พระเจ้าในหัวใจของตนเลย  นี่คือการทำชั่วไม่ใช่หรือ?  ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติความจริงแต่อย่างใดเลย ผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายสำหรับพวกเขาควรชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว  แต่กระทั่งในสถานการณ์นี้ พวกเขาก็ยังคงต้องการมงกุฎ พวกเขาสามารถไร้ยางอายได้เพียงใดกัน?  นี่เรียกว่าความมุทะลุอันไร้ยางอาย!  เหตุใดผู้คนเช่นนั้นจึงโต้แย้งได้แม้แต่ในตอนสุดท้ายที่ตัวเองถูกกำจัด?  พวกเขาขัดขวางและรบกวนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ก่อความชั่วทุกประเภท พวกเขายังคงโต้เถียงกับพระเจ้าและปกป้องตัวเองด้วยความเชื่อมั่นได้อย่างไร?  การที่พวกเขาสามารถขัดขืนพระเจ้าแบบนี้เป็นปัญหาอะไร?  พวกเจ้าคิดว่าเบื้องหลังการที่พวกเขาทำเช่นนี้มีความสมเหตุสมผลอยู่บ้างหรือไม่?  พวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่?  ผู้คนปกติเมื่อได้ยินพระวจนะของพระเจ้าไปมากมายยิ่งนัก—ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร หรือการปฏิบัตินี้คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาหรือไม่—อย่างน้อยที่สุดก็ต้องยอมรับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงและถูกต้องทั้งหมด  ต่อให้มีบางประโยคที่ไม่คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ควรตัดสินพระเจ้า พวกเขาควรมีหัวใจที่นบนอบ  หากคนเราสามารถยอมรับรู้ว่าพระวจนะแห่งพระเจ้าเป็นความจริงและนบนอบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า นี่คือการปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ในกรณีเช่นนั้น หากบางคราวมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าผุดขึ้นมา ก็ย่อมง่ายต่อการแสวงหาความจริงมาแก้ไขไม่ใช่หรือ?  กุญแจสำคัญคือผู้คนต้องยอมรับรู้พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า—นี่คือข้อกำหนดเบื้องต้น  เหตุใดพวกผู้ไม่เชื่อและศัตรูของพระคริสต์ พวกที่คล้ายกับเปาโลยังคงต่อต้านพระเจ้าได้?  (พวกเขาไม่ปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้า)  รากเหง้าอยู่ตรงนี้เอง  ไม่ว่าพวกเขาจะคารมคมคายเพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานและวิ่งวุ่นไปทั่วอย่างขยันขันแข็งเพียงใด ไม่ว่าพวกเขาทนทุกข์มากเพียงใดและจ่ายราคาอันใหญ่หลวงเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยรับพระวจนะแห่งพระเจ้าเป็นความจริง—เช่นนั้นพวกเขาเข้าใจความจริงหรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้นไม่ว่าพระเจ้าทรงจัดการกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็มีทั้งการคัดค้านและการปฏิเสธที่จะยอมทำตาม  พวกเขาไม่มีแม้แต่เหตุผลอันน้อยนิดที่สุดที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี อันเป็นการยืนยันว่าพวกเขาไม่เคยยอมรับความจริง  หากผ่านไปหลายปีแล้วพวกเขาสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นความจริง รวมทั้งปฏิบัติและใส่ใจในพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็จะไม่บังอาจและต่อต้านแบบนี้  พวกเขาจะไม่ต่อต้านการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและการปฏิบัติของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา  พวกเขาจะไม่มีอารมณ์เหล่านี้ อย่างมากที่สุดพวกเขาก็แค่จะรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อยหรือไม่เบิกบานใจนัก  เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนมีความอ่อนแอปกติ แต่ก็มีบรรทัดฐานที่พวกเขาต้องยอมถือปฏิบัติเป็นอย่างน้อย  ก่อนอื่นคือพวกเขาไม่อาจเลิกล้มการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้  “ไม่ว่าเมื่อใดที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายกิจใดก็ตามให้กับฉัน ไม่ว่าฉันจะทำกิจนั้นได้ดีหรือไม่ ฉันต้องมอบทุกสิ่งที่ฉันมี มานะพยายามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ต่อให้พระเจ้าไม่ทรงโปรดฉันอีกต่อไปหรือทรงดูแคลนฉัน อย่างน้อยที่สุดฉันก็ต้องเข้ารับกิจที่ถูกไว้วางใจมอบหมายให้และทำกิจนั้นให้ดี”  นี่จึงสมเหตุผล คนเราไม่อาจละทิ้งหน้าที่ของตนได้  ยิ่งไปกว่านั้น คนเราไม่อาจปฏิเสธพระเจ้าได้  “ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำอย่างไรกับฉันหรือจัดการฉันอย่างไร หรือเหล่าพี่น้องชายหญิงกีดกันหรือเปิดโปงฉันอย่างไร หรือต่อให้ทุกคนทอดทิ้งฉัน ตำแหน่งของพระเจ้าในหัวใจของฉันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม และตำแหน่งที่ฉันควรมีในฐานะคนคนหนึ่งก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  พระเจ้าคือพระเจ้าของฉันเสมอ แก่นแท้และพระอัตลักษณ์ของพระองค์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และฉันจะยอมรับพระองค์เป็นพระเจ้าของฉันตลอดกาล”  ต้องมีเหตุผลนี้ด้วยเช่นกัน  มีอะไรอื่นอีกหรือไม่?  (ไม่ว่าพระเจ้าทรงสั่งสอนและปฏิบัติต่อพวกเราอย่างไร พวกเราก็ต้องนบนอบพระองค์)  นี่เป็นขั้นต่ำสุด นี่เป็นเส้นพื้นฐานที่สุดที่คนเราต้องมี  เจ้าพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงกระทำในหนทางนี้  ฉันรู้สึกถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเล็กน้อย และฉันก็พอมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผลอยู่บ้างสำหรับเรื่องนี้ แต่ที่ฉันไม่ว่าอะไรก็เพราะฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและควรนบนอบพระเจ้า  นี่คือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  แม้ว่าในตอนนี้ฉันไม่เข้าใจหรือรู้วิธีปฏิบัติหรือแสวงหาความจริงอย่างแน่ชัด ฉันก็ควรนบนอบอยู่ดี”  นี่สมเหตุสมผลหรือไม่?  (สมเหตุสมผล)  เมื่อพวกผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงและผู้ที่ขาดเหตุผลถูกกำหนดให้รับการตัดแต่ง พวกเขาแสดงการสำแดงใดออกมา?  พวกเขาพูดว่า “ฉันกำลังจะถูกเผยและกำจัดหรือ?  ถ้าฉันไม่มีชะตากรรมหรือโอกาสที่เป็นไปได้ในภายภาคหน้า และไม่สามารถบรรลุพรทั้งหลาย ฉันก็จะไม่เชื่อ!”  คนประเภทนี้มีความเชื่ออันเที่ยงแท้ในพระเจ้าหรือไม่?  สัมพันธภาพระหว่างพวกเขากับพระเจ้าไม่เป็นปกติ สัมพันธภาพนั้นเป็นเชิงขัดขืนและเป็นปฏิปักษ์  อุปนิสัยประเภทนี้เป็นอุปนิสัยของซาตานที่ต่อต้านพระเจ้า  พวกเขาสามารถยอมรับรู้ได้หรือไม่ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าของตน?  ในหัวใจของพวกเขาอาจพูดว่า “ถ้าเขาเป็นพระเจ้าจริงๆ ทำไมเขาไม่รักฉัน?  ถ้าเขาเป็นพระเจ้าจริงๆ ทำไมเขาไม่ใช้ฉันสำหรับบางสิ่งที่สำคัญ?  ทั้งหมดที่ฉันเห็นก็แค่คนคนหนึ่ง—จะมีพระเจ้าอยู่แห่งหนไหนในโลกนี้ได้อย่างไร?  พวกคุณเป็นคนโง่ทั้งนั้น  พระเจ้าอยู่ไหนหรือ?  ในหัวใจของฉันนั้น พระเจ้ามีอยู่จริงก็ต่อเมื่อฉันเชื่อในตัวเขาเท่านั้น ถ้าฉันไม่เชื่อในตัวเขา เขาก็ไม่มีอยู่จริง และเขาไม่ใช่พระเจ้า”  ทัศนคติของพวกเขาเผยออกมาแบบนั้น  ตลอดหลายปีมานี้ พวกเขาได้ฟังพระวจนะมากมายยิ่งนัก หากพวกเขาได้ยอมรับพระวจนะเหล่านี้ พวกเขาจะมีทัศนคติแบบนี้เกิดขึ้นหรือไม่?  (ไม่มี)  หากพูดให้จริงจังกว่านี้ ตอนนี้พวกเขาจะทำอะไร?  พวกเขาจะปลุกระดมผู้อื่นเพื่อทำให้เกิดการเคลื่อนไหวว่า “คุณยังเชื่ออยู่อีกหรือ?  คุณโง่ขนาดนี้ได้ยังไง?  พวกเขาพูดกันมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือว่ามหันตภัยกำลังมาแล้ว?  เมื่อไหร่จะมาหรือ?  พระเจ้าพูดไว้ว่าโลกจะถูกทำลายไม่ใช่หรือ?  ไหนล่ะการทำลายล้าง?  คุณมันโง่ คุณประสบความสูญเสียอย่างมหาศาลไปแล้ว!  เลิกเชื่อเสียเถิด!  คุณกำลังเชื่อไปเพื่ออะไร?  ดูสิว่าฉันหลักแหลมแค่ไหน ฉันหาเงินได้เดือนละหลายพันหยวน คุณหาได้เดือนละเท่าไร?  ดูสิว่าอะไรกำลังเป็นที่นิยมในโลกตอนนี้  คุณเห็นไหมว่าฉันสวมใส่อะไรอยู่?  ของมียี่ห้อทั้งนั้น!”  พวกเขาจะชักนำและชักพาให้ผู้คนหลงผิด ทิ้งให้บางคนอยู่ในสภาวะอันสับสนอย่างถึงที่สุด  นี่คือคนชั่วที่แทรกซึมพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อก่อกวนคริสตจักรไม่ใช่หรือ?  ผู้คนเช่นนั้นมีท่าทีใดในการปฏิบัติหน้าที่ของตน?  “ฉันทำหน้าที่ถ้าฉันมีอารมณ์ทำ  ถ้าฉันต้องการทำฉันก็จะทำ  ถ้าไม่ต้องการฉันก็จะไม่ทำ  ฉันไม่จำเป็นต้องหมายมั่นที่จะมอบหัวใจและเรี่ยวแรงของฉัน  การปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช่การทำสิ่งทั้งหลายเพื่อตัวฉันเอง แต่เป็นการทำเพื่อคริสตจักร  และฉันก็ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าในที่ใดเลยด้วยซ้ำ  ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระเจ้าจำฉันได้หรือไม่ และพวกเขาก็ยังคงต้องการให้ฉันอุทิศหัวใจ เรี่ยวแรง จิตใจของฉัน—เพื่ออะไรหรือ?  ถ้าฉันแค่ทำเสร็จลงด้วยการพึมพำคำพูดสองสามคำ นั่นก็ดีพอแล้ว”  พวกเขามีทัศนะแบบนี้  พวกเขาคิดว่าเป็นการโง่เง่าและไม่คุ้มค่าที่จะอุทิศเรี่ยวแรง หัวใจ และจิตใจให้กับการปฏิบัติหน้าที่  หากพวกเจ้าต้องเผชิญกับคนเช่นนั้นในตอนนี้ เจ้าจะถูกพวกเขาครอบงำและชักพาให้หลงผิดหรือไม่?  หากเจ้าขาดรากฐานและไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็จะถูกพวกเขาครอบงำและชักพาให้หลงผิดอย่างแน่นอนที่สุด และเจ้าจะจบลงตรงความสูญเสียเมื่อเวลาผ่านไป

ในการเชื่อในพระเจ้า ต้องเข้าใจชัดเจนถึงจุดประสงค์ของการกินและการดื่มพระวจนะแห่งพระเจ้า รวมทั้งเข้าใจชัดเจนว่าการทำเช่นนั้นควรแก้ปัญหาที่เป็นกุญแจสำคัญปัญหาใดบ้าง  หากคนเราเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีโดยไม่เคยมุ่งเน้นการกินและการดื่มพระวจนะแห่งพระเจ้า ปัญหาความเสื่อมทรามของคนเราไม่เพียงแต่จะคงอยู่โดยไม่ได้รับการแก้ไขเท่านั้น แต่พวกเขาจะถึงกับไม่เข้าใจความจริงอันน้อยนิดที่สุดที่ควรเข้าใจด้วยซ้ำ  แล้วอะไรคือผลสืบเนื่องของเรื่องนี้?  เป็นการง่ายที่จะถูกชักพาให้หลงผิดหรือเดินทางผิด  หากคนเราไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะสะดุดล้มมากที่สุด  เมื่อเผชิญกับประเด็นปัญหา เมื่อเผชิญสัญญาณของความเดือดร้อนแม้เพียงน้อยนิด ก็เป็นเรื่องลำบากยากเย็นที่พวกเขาจะยืนหยัดเอาไว้ได้  เพราะฉะนั้นการอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มขึ้นและสามัคคีธรรมความจริงให้บ่อยขึ้นจึงเป็นคุณประโยชน์ที่สุดต่อผู้คน  มีบางสิ่งซึ่งสำคัญที่สุดที่พระเจ้าตรัสไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่บรรดาวาจาของเราจะไม่สูญหายไปเลย” (มัทธิว 24:35)  พระวจนะเหล่านี้เสนอแนะสิ่งใดต่อผู้คน?  ที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะไม่สูญหายหมายความว่าอย่างไร?  ไม่ว่าเมื่อใด ความจริงและพระวจนะแห่งพระเจ้าย่อมจะเป็นความจริงเสมอ—การนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง  ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าหรือนัยสำคัญของพระวจนะเหล่านี้ที่มีต่อผู้คน หรือความหมายและความเป็นจริงภายในพระวจนะเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  พระวจนะเหล่านี้จะยังคงเป็นพระวจนะดั้งเดิมและจะไม่กลายเป็นสิ่งอื่นใด—แก่นแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้าไม่อาจเปลี่ยนแปลง  ตัวอย่างเช่น พระเจ้าตรัสบอกผู้คนให้ซื่อสัตย์ พระวจนะเหล่านี้เป็นความจริงและจะไม่มีวันสูญหายไป  เหตุใดพระวจนะเหล่านี้จึงจะไม่มีวันสูญหายไป?  จากข้อกำหนดของพระเจ้าที่ให้ผู้คนมีความซื่อสัตย์ คนเราสามารถมองเห็นแก่นแท้ของพระเจ้าในแง่มุมอันสัตย์ซื่อที่ดำรงอยู่นับแต่กาลนานมา และจะดำรงอยู่ต่อไปตลอดกาล  แง่มุมนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา ภูมิประเทศ หรือพื้นที่ แก่นแท้ของพระเจ้าก็จะดำรงอยู่ตลอดกาล  อะไรคือเหตุผลของการดำรงอยู่นิรันดร์แห่งแก่นแท้ของพระเจ้า?  เพราะนี่คือสิ่งที่เป็นบวกและเป็นแก่นแท้ที่พระผู้สร้างทรงครอง สิ่งนี้จะไม่มีวันสูญหายไปและจะเป็นความจริงตลอดกาล  หากเจ้ารับประสบการณ์กับความจริงเหล่านี้ที่พระผู้สร้างทรงแสดง และทำให้ความจริงเหล่านี้เป็นความเป็นอยู่ของเจ้า นำความเป็นจริงเหล่านี้ทั้งหมดมาปฏิบัติ และใช้ชีวิตตามความจริงเหล่านั้น เช่นนั้นเจ้าย่อมจะสามารถดำรงชีวิตอยู่เหมือนคนคนหนึ่งไม่ใช่หรือ?  การดำรงชีวิตอยู่จะมีคุณค่าไม่ใช่หรือ?  เจ้าจะถูกทอดทิ้งหรือไม่?  การรับประสบการณ์และใช้ชีวิตตามความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าได้ประทานแก่เจ้า—นี่คือทางออกของเจ้าไม่ใช่หรือ?  เส้นทางนี้เท่านั้นที่สามารถอำนวยให้มวลมนุษย์อยู่รอด  หากผู้คนไม่สามารถยอมรับความจริงและไม่เดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสูญหายไปและถูกทำลาย  เจ้าอาจจะพูดว่า “ตอนนี้ฉันก็กำลังมีชีวิตที่ดีไม่ใช่หรือ?”  แต่หากเจ้ายังไม่ได้รับความจริง เจ้าย่อมจะถูกกำจัดในไม่ช้า  “ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่บรรดาวาจาของเราจะไม่สูญหายไปเลย” ประโยคนี้มีนัยสำคัญอันลุ่มลึกเช่นนั้น นั่นเป็นคำเตือนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้คน  พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง และหากเจ้ายอมรับความจริงเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถตั้งมั่นได้  นั่นก็คือ หากเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า นำพระวจนะมาปฏิบัติ และใช้ชีวิตตามความคล้ายคลึงความเป็นมนุษย์บ้าง เจ้าย่อมจะไม่ถูกกำจัด  คุณค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าอยู่ตรงนี้นี่เอง!  ดังนั้นพระวจนะสามารถเป็นชีวิตของคนคนหนึ่งได้หรือไม่?  ในที่นี้ชีวิตหมายถึงสิ่งใด?  นั่นหมายความว่าเจ้าสามารถมีชีวิตอยู่ เจ้าได้รับการช่วยให้รอด  หากเจ้ายอมรับพระวจนะเหล่านี้ อีกทั้งเข้าใจและปฏิบัติตาม เจ้าย่อมกลายเป็นคนที่มีชีวิตในพระเนตรของพระเจ้า  หากเจ้าไม่ใช่คนซื่อสัตย์ แต่เป็นคนหลอกลวง เจ้าก็เป็นแค่ซากศพที่เดินได้ในพระเนตรของพระเจ้า เป็นคนตาย และเจ้าก็จะสูญหายไปเหมือนทุกสิ่ง  สิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวอะไรกับพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง ไม่ว่านั่นจะเป็นวัตถุหรือไม่ใช่วัตถุก็ต้องสูญหายไปเมื่อพระเจ้าทรงเปลี่ยนยุคและสร้างโลกขึ้นใหม่  พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่จะไม่สูญหาย และสรรพสิ่งที่สัมพันธ์กับพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่จะไม่สูญหาย  การปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าสำคัญเช่นนั้นเอง!

ผู้คนรู้ว่าการปฏิบัติตามและรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้ามีความสำคัญ แต่พวกเขายังต้องมีเส้นทางแห่งการปฏิบัติอีกด้วย  นี่คือเส้นทางแห่งการเข้าสู่ชีวิต และในหัวใจของพวกเขาต้องให้ความสำคัญกับเส้นทางนี้และรับประสบการณ์กับเส้นทางนี้ในทุกๆ วัน  หากเจ้ากังวลอยู่เสมอว่าเจ้าขาดคำพยานจากประสบการณ์ และเกรงว่าสักวันเจ้าจะถูกกำจัด เช่นนั้นก็เป็นปัญหา  พวกคนที่ไม่รักความจริงนั้นไม่เคยปฏิบัติตามและรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า  นี่ไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขาไม่มีความเชื่อ แต่โดยหลักใหญ่แล้วนี่เป็นเพราะพวกเขาถูกปลุกปั่นโดยธรรมชาติของซาตาน  เจ้าต้องการเพียงรับพระพรแต่ไม่ได้รักความจริง หากเจ้าถูกเหตุจูงใจนี้ครอบงำ เจ้าย่อมไม่สามารถมีจุดจบที่ดีได้  ดังนั้นเจ้าควรทำอย่างไร?  แน่นอนที่สุดว่าเจ้าไม่อาจปล่อยให้สิ่งนี้แพร่กระจายในตัวเจ้าโดยไม่ตรวจสอบ เจ้าต้องแสวงหาความจริงและทบทวนตัวเองว่า “ทำไมฉันจึงไม่ได้กำลังปฏิบัติความจริง?  ทำไมฉันจึงกังวลถึงการถูกกำจัดอยู่ตลอดเวลา?  สภาวะนี้ไม่ถูกต้อง ฉันต้องแก้ไข”  การรู้จักแสวงหาความจริงและแก้ไขปัญหาของเจ้าเป็นความก้าวหน้าไม่ใช่หรือ?  นี่คือสิ่งที่ดี  ผู้คนที่ไม่รู้จักแก้ปัญหาของตนนั้นด้านชา โง่เขลาเบาปัญญา เป็นกบฏ และดื้อแพ่ง  คนบางคนรู้ว่านี่คือปัญหา แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่พยายามแก้ไข  พวกเขาคิดว่า “ที่ฉันคิดแบบนี้ก็ค่อนข้างปกติไม่ใช่หรือ?  ทำไมฉันถึงจำเป็นต้องแก้ไขเจตนารมณ์ที่จะได้รับพรของตัวเอง?  ถ้าฉันแก้ไขเจตนารมณ์นี้ ฉันก็จะขาดทุนนะสิ”  นี่เป็นการดื้อแพ่งไม่ใช่หรือ?  คนบางคนด้านชา พวกเขาไม่ตระหนักว่าการต้องการได้รับพรเป็นเจตนารมณ์และอุปนิสัยที่มีปัญหา  พวกเขาคิดว่า “เป็นปกติไม่ใช่หรือที่ผู้คนซึ่งเชื่อในพระเจ้าต้องการได้รับการอวยพร?  การมีเจตนารมณ์เช่นนี้ไม่นับเป็นปัญหา”  ความคิดและทัศนะเช่นนั้นถูกต้องหรือไม่?  หากเจตนารมณ์ที่จะได้รับพรของคนเราไม่ถูกแก้ไข และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ พวกเขาจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  ผลที่ตามมาจากการดำเนินชีวิตโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามคืออะไร?  ยามที่ใครสักคนรู้สึกไม่ดีนั้นเป็นอย่างไร พวกเขารู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นหวัด ดังนั้นพวกเขาจึงหายามารับประทานอย่างรวดเร็ว  อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆ นั้นด้านชา พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีการอักเสบ  พวกเขาแค่บอกผู้คนไปทั่วว่า ระยะหลังนี้พวกเขารู้สึกไม่สบายมาตลอด โดยที่พวกเขาไม่ได้ตระหนักรู้ว่าตัวเองกำลังประสบกับสัญญาณเบื้องต้นของการเป็นหวัด และไม่จริงจังกับสิ่งนี้  คนบางคนถึงกับคิดว่า “นี่ก็แค่การเป็นหวัด จะแย่ที่สุดได้แค่ไหนกัน?”  พวกเขาควรดื่มน้ำแต่ไม่ทำ พวกเขาควรรับประทานยาแต่ก็ไม่ทำเช่นกัน พวกเขาแค่อดทนให้ผ่านไป  ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาเป็นหวัดและมีอาการป่วยอยู่หลายวันซึ่งทำให้พวกเขาติดขัดในหลายเรื่องทีเดียว  ผู้คนปฏิบัติต่อสภาวะที่ต่างกันของตนด้วยท่าทีเดียวกับที่พวกเขาปฏิบัติต่อความเจ็บป่วยของตน  คนบางคนสามารถแก้ปัญหาเล็กๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาไม่แก้ปัญหาใหญ่ๆ  เอาเสียเลย  การผัดวันประกันพรุ่งในลักษณะนี้ทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขายังคงไม่ได้รับการแก้ไข นำไปสู่การขาดการเข้าสู่ชีวิตและความสูญเสียต่อชีวิตของตน  นี่เป็นการโง่เง่าและไม่รู้ความไม่ใช่หรือ?  ผู้คนที่โง่เขลาเกินไปไม่อาจได้รับความจริงและจบลงตรงการสูญเสียชีวิตของตน  เมื่อเชื่อในพระเจ้าในลักษณะนี้ พวกเขาย่อมจะไม่มีวันรับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าได้

การไล่ตามเสาะหาความจริงต้องเริ่มด้วยการทบทวนตนเองและการรู้จักตัวเอง  ไม่ว่าคนเราอาจเผชิญกับสถานการณ์ใด พวกเขาก็ต้องทบทวนสภาวะภายในของตัวเองเสมอ โดยระบุชี้ชัดและแก้ไขความคิดกับทัศนะที่ผิด หรือสภาวะอันเป็นกบฏใดๆ ก็ตามที่พวกเขามี  หลังจากที่ช่วงเวลาหนึ่งผ่านไป เมื่อพวกเขาเผชิญสภาพการณ์หรือเหตุการณ์ที่ต่างไป พวกเขาก็จะเกิดมีทัศนะและสภาวะบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง และพวกเขาต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น  โดยการทบทวนตัวเองและการมารู้จักตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการแก้ไขทัศนะที่ไม่ถูกต้องและสภาวะที่เป็นกบฏของตัวคนเราเองอย่างต่อเนื่อง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนคนหนึ่งก็จะเผยตัวออกมาน้อยลงทุกที และพวกเขาก็จะปฏิบัติความจริงได้โดยง่าย  นี่คือขั้นตอนของการเติบโตในชีวิต  ไม่ว่าคนเราเผชิญกับสถานการณ์อะไร พวกเขาก็ต้องแสวงหาความจริง และไม่ว่าคนเราจะตั้งใจหรือวางแผนการอะไรก็ต้องยึดมั่นในสิ่งที่สอดคล้องกับความจริง และต้องยกเลิกสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริง  นอกจากนั้น พวกเขาก็ต้องใฝ่หาความยุติธรรม และต้องพากเพียรเพื่อความจริง เพื่อการรู้จักพระเจ้า และเพื่อทำได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้า  ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมสามารถค้นพบข้อบกพร่องและการเผยความเสื่อมทรามของตนได้บ่อยขึ้น และมีหัวใจที่ถวิลหาความจริงขึ้นมา  หลังจากที่ได้รับประสบการณ์ในหนทางนี้เป็นช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาก็จะสามารถเข้าใจความจริงบางอย่าง และความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็จะกลายเป็นยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ  หากปราศจากเส้นทางปฏิบัติดังกล่าว ย่อมพูดไม่ได้ว่าคนคนหนึ่งกำลังปฏิบัติความจริง  หากคนคนหนึ่งที่ดำรงชีวิตอยู่กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามไม่ตรวจสอบว่าวาจาและการกระทำของตนนั้นตรงกับความจริงหรือขัดกับหลักธรรมหรือไม่ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับตรวจดูเพียงว่าสิ่งเหล่านั้นผิดกฎหมายหรือก่ออาชญากรรมหรือไม่ และพอแค่นั้นโดยไม่ใส่ใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองและไม่ใส่ใจสภาวะอันเป็นกบฏของตนแต่อย่างใดเลย—และถึงแม้ดูจากภายนอกพวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายหรือก่ออาชญากรรม แต่ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขายังคงดำเนินชีวิตโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามภายใต้อำนาจของซาตาน—เช่นนั้นคนคนนั้นก็ไม่ได้ใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริง และพวกเขาไม่ใช่ใครคนหนึ่งที่จะได้รับความรอด  เมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้มาหลายทศวรรษและสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ทางโลก พวกเขาก็คิดว่าตัวเองฉลาดแยบยล ไม่มีวันผิดพลาด และน่าทึ่ง แต่ในความจริงที่เป็นอยู่นั้น มนุษย์ที่ถูกทำให้เสื่อมทรามล้วนโง่เขลาและขาดพร่องทางจิตใจ เหมือนกับที่พวกมนุษย์ผู้ไร้ความสำคัญจะเป็นเด็กทารกในพระเนตรของพระเจ้าตลอดกาล  การไล่ตามเสาะหาที่จะได้รับความรอดก็ไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย การนี้พึงต้องเข้าใจความจริงมากมาย เติบโตจนถึงวุฒิภาวะระดับหนึ่ง มีความแน่วแน่ มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และปฏิบัติความจริงอย่างค่อยเป็นค่อยไป  ในหนทางนี้ความเชื่อของคนเราก็จะถูกบ่มเพาะขึ้นทีละน้อย อีกทั้งข้อกังขาและความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเขาก็จะกลายเป็นน้อยลงทุกที  เมื่อข้อกังขาและความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับพระเจ้าลดน้อยถอยลง ความเชื่อของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น และยามที่เผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย พวกเขาก็จะสามารถแสวงหาความจริงได้  เมื่อพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาก็จะสามารถปฏิบัติความจริงได้ พวกเขาจะมีสิ่งที่เป็นลบน้อยลงทุกที มีสิ่งที่เป็นบวกมากขึ้น อีกทั้งเวลาที่พวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าก็จะเพิ่มขึ้น  นี่คือการมีความเป็นจริงความจริง  นี่บ่งชี้ว่าพวกเขาเติบโตขึ้นแล้วและหัวใจของพวกเขาก็เกิดความเข้มแข็งมากขึ้นทุกทีแล้วใช่หรือไม่?  ความเข้มแข็งในที่นี้หมายถึงอะไร?  นั่นหมายถึงยามที่คนคนหนึ่งมีความเชื่ออันเที่ยงแท้ เข้าใจความจริง มีความสามารถที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะ สามารถพึ่งพาพระเจ้าในการเอาชนะเนื้อหนัง มีความสามารถที่จะเอาชนะบาป สามารถตั้งมั่นในคำพยานของตน มีการนบนอบอันเที่ยงแท้ต่อพระเจ้า สามารถทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อประโยชน์แห่งการปฏิบัติความจริง สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างอุทิศตน และมีความแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง รวมทั้งแสวงหาที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อม  นี่บ่งชี้ถึงการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ใช่หรือ?  ในหนทางนี้ คนเราสามารถเริ่มต้นบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  ไม่มีสภาพการณ์หรือความลำบากยากเย็นใดที่จะสามารถโถมทับหรือห้ามไม่ให้พวกเขาติดตามพระเจ้าได้  นี่คือคนที่ได้รับการอวยพรจากพระเจ้ามากที่สุด คนที่พระเจ้าทรงหวังที่จะได้รับไว้

ทุกวันนี้พวกเจ้าอยู่ในสภาวะใด?  (บางครั้งเมื่อเผชิญความลำบากยากเย็น พวกเรากลายเป็นค่อนข้างคิดลบ แต่พวกเราก็สามารถพากเพียรต่อไปและพยายามเอาชนะความลำบากยากเย็นเหล่านั้น)  การมีวุฒิภาวะคือการสามารถเริ่มลงมือเอาชนะความลำบากยากเย็นของตนเองในยามที่เจ้าเกิดตระหนักถึงความลำบากยากเย็นเหล่านั้นขึ้นมา  การรู้ว่าตัวเองมีความลำบากยากเย็นแต่ยังไม่ลงมือเอาชนะหรือโต้ตอบ โดยมีสภาวะที่เป็นลบติดตัวอยู่ตลอดเวลา ปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะที่นิ่งเฉยและสุกเอาเผากิน—นี่เป็นสภาวะที่มีอยู่ทั่วไปและพบเห็นได้โดยเฉพาะ  มีบางสิ่งที่ยิ่งแย่กว่า นั่นก็คือการไม่รู้ว่าตัวเจ้าเป็นคนประเภทใดและไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาวะใด—การไม่รู้ว่าสภาวะของตัวเองดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด หรือเป็นลบหรือบวก  นี่เป็นปัญหาที่สุด  คนแบบนี้ไม่รู้ปัญหาของการเข้าสู่ชีวิตของตัวเองโดยละเอียด นับประสาอะไรที่จะรู้ว่าจะเริ่มปฏิบัติความจริงจากตรงไหน  พวกเขามีเพียงความกระตือรือร้นแต่ไม่เข้าใจความจริงหรือมีวิจารณญาณใดๆ รวมทั้งไม่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับคำพยานจากประสบการณ์ใดได้  คนเช่นนั้นจะมีคำพยานอันดังกึกก้องให้กับพระเจ้าได้เมื่อใดเล่า?  คนบางคนสามารถกล่าวคำพูดและคำสอนมากมาย แต่หากเจ้าถามพวกเขาว่า “คุณกำลังเป็นพยานต่อพระเจ้าหรือไม่?”  ตัวพวกเขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ  พวกเขาคิดว่าตัวเองกำลังทำหน้าที่อย่างอุทิศตนโดยไม่มีความสุกเอาเผากินอันใด  พวกเขาคิดว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเองนั้นดีงาม และตัวเองดีกว่าคนอื่นในทุกสิ่ง  เมื่อผู้อื่นอ่อนแอ พวกเขาก็ถึงกับตักเตือนคนเหล่านั้นว่า “ทำไมคุณถึงอ่อนแอ?  รักพระเจ้าสิ เร็วเข้า!  เวลาล่วงมาจนป่านนี้แล้ว และคุณก็ยังอ่อนแออยู่อีกหรือ?”  ชัดเจนว่าคนเช่นนั้นไม่มีความเป็นจริง พวกเขาไม่เข้าใจสภาวะที่เป็นปกติและขั้นตอนแห่งการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนเรา  พวกเขาแค่พูดตามคำกล่าวที่ได้ยินอยู่ทั่วไป อย่างเช่น “ไม่มีเวลาให้กับความอ่อนแอ!” และ “ตอนนี้คุณยังห่วงครอบครัวอยู่อีกหรือ?” โดยใช้คำสอนเหล่านี้รบเร้าและให้โอวาทผู้อื่น ไม่แก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอันใดเลย  การไม่สามารถรู้สภาวะของตัวเองและการไม่สามารถรู้จักตัวเองอย่างแท้จริงบ่งบอกชัดเจนที่สุดถึงวุฒิภาวะที่ยังไม่โต  การไม่สามารถปฏิบัติความจริงแต่กลับทำตามข้อบังคับแทนเท่านั้นเป็นข้อบ่งชี้ถึงวุฒิภาวะที่ไม่เป็นผู้ใหญ่  การอยากลุล่วงหน้าที่ของคนเราและทำสิ่งทั้งหลายให้ดี แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำตามหลักธรรมใด และทำสิ่งทั้งหลายไปตามการเลือกชอบของตัวคนเราเองเท่านั้นเป็นข้อบ่งชี้ถึงวุฒิภาวะที่ไม่เป็นผู้ใหญ่  การฟังคำพยานจากประสบการณ์ของผู้อื่นแล้วไม่สามารถใช้วิจารณาญาณแยกแยะคำพยานนั้นได้ และไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจนว่าคนเราควรได้รับคุณประโยชน์อะไรจากการนี้ หรือคนเราควรได้บทเรียนอะไรออกมาเป็นข้อบ่งชี้ถึงวุฒิภาวะที่ไม่เป็นผู้ใหญ่  การไม่สามารถรับประสบการณ์และปฏิบัติตามพระวจนะแห่งพระเจ้า อีกทั้งไม่รู้ว่าการยกย่องและเป็นพยานยืนยันต่อพระเจ้าหมายถึงอะไร—เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณของวุฒิภาวะที่ไม่เป็นผู้ใหญ่  ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในระยะใดกัน?  (พวกเรามีแนวโน้มที่จะคิดลบบ่อยขึ้น)  สถานการณ์นี้ยิ่งบ่งชี้ถึงวุฒิภาวะที่ไม่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นไปอีก  ผู้คนที่โง่เขลาและไม่รู้ความเกินไปนั้นไม่มีวุฒิภาวะอะไรเลย  เพียงเมื่อพวกเขาสามารถเข้าใจความจริงมากมาย ใช้วิจารณญาณแยกแยะเรื่องทั้งหลาย แก้ไขปัญหาของตัวเอง มีสภาวะที่เป็นลบน้อยลง และมีสภาวะที่เป็นปกติมากขึ้น รับภาระหนัก อีกทั้งนำทางและจัดเตรียมให้กับผู้อื่นเท่านั้น พวกเขาจึงมีวุฒิภาวะจริงๆ  เจ้าต้องพากเพียรเพื่อความจริง เจ้าพากเพียรมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะเติบโตมากเท่านั้น  หากเจ้าไม่พากเพียร เจ้าก็จะไม่เติบโต และเจ้าอาจจะถึงกับถดถอยด้วยซ้ำ  เพื่อที่จะเชื่อในพระเจ้า เจ้าต้องดำเนินชีวิตโดยความจริง เจ้าจะมีวุฒิภาวะมากขึ้นโดยการเข้าใจความจริงมากขึ้น  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็จะไม่มีวุฒิภาวะ  เมื่อเจ้าเริ่มแสวงหาความจริงและสามารถแก้ไขปัญหาของตัวเองได้ วุฒิภาวะของเจ้าย่อมจะได้เติบโตขึ้นแล้ว

15 ตุลาคม ค.ศ. 2017

ก่อนหน้า: สิ่งใดกันแน่ที่ผู้คนพึ่งพาในการดำรงชีวิต?

ถัดไป: มีเพียงด้วยการเข้าใจความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถรู้จักกิจการของพระเจ้าได้

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger