มีเพียงด้วยการเข้าใจความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถรู้จักกิจการของพระเจ้าได้

พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือโชคชะตาของมวลมนุษย์ทั้งปวง เหนือจักรวาลและสรรพสิ่ง  สิ่งใดคือข้อเท็จจริงที่ผู้คนมองเห็นเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้า?  ไม่ว่าโลกจะกว้างใหญ่หรือจักรวาลจะไพศาลเพียงใด ทั้งจากที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าไปจนถึงมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสิ่งทั้งปวงและจัดวางเรียบเรียงทุกสรรพสิ่ง  ไม่ว่ามนุษย์จะมีความปรารถนา ความทะเยอทะยาน ความต้องการ หรือมีแนวโน้มจะพัฒนาไปในทิศทางใด ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว อธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย  หลักธรรมใดที่พระเจ้าทรงใช้จัดวางเรียบเรียงและครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง?  หลักธรรมนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานใด?  เป้าหมายของพระเจ้าในการทำทั้งหมดนี้คืออะไร?  โคจรรอบสิ่งใด?  (โคจรรอบแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า)  คำตอบนี้ถูกต้อง ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำล้วนโคจรอยู่รอบแผนการบริหารจัดการของพระองค์  คำพูดเหล่านี้ฟังดูเกินจริงไปบ้าง แต่ก็มีความหมายโดยนัยที่ลึกซึ้งกว่านั้น  นั่นคือ เราหมายความว่าพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำทั้งหมดไม่สั่นคลอนไปตามความปรารถนาของมนุษย์เลย  อธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า วิถีที่พระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียงประเทศ ผู้คน หรือกลุ่มชาติพันธุ์ หรือสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้เกิดขึ้นในยุคสมัยใดๆ นั้นล้วนไม่สั่นคลอนไปตามความปรารถนาของมนุษย์  พระเจ้าไม่ทรงถูกจำกัดด้วยเวลา พื้นที่ ภูมิศาสตร์ หรือผู้คน  ทุกสิ่งที่พระองค์กระทำย่อมดำเนินไปตามแผนการของพระองค์ทุกประการ และไม่ว่ามนุษย์คนใดก็มิอาจสกัดกั้นหรือรบกวนแผนการนั้นได้  ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่ และไม่ว่ามวลมนุษย์หรือกลุ่มชาติพันธุ์ใดจะมีความปรารถนาส่วนตัวอย่างไร ก็ไม่มีมนุษย์หรือสิ่งใดสามารถรบกวน ทำลาย หรือสั่นคลอนสิ่งที่พระเจ้าตัดสินพระทัยที่จะทำได้  เจ้าได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้?  (พวกเราได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า)  นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้า  นับตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาครั้งแรกจนถึงตอนที่พวกเขาก้าวหน้าไปทีละขั้น มวลมนุษย์ได้รวบรวมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ชาวต่างชาติ และผู้ที่เป็นปรปักษ์กับพระเจ้าเข้าไว้ด้วยกัน  พระเจ้าทรงมองผู้คนทุกประเภทว่าเป็นมนุษย์ แต่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนประเภทต่างๆ เหล่านี้แตกต่างกันหรือไม่?  พระเจ้าทรงชี้นำประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรเป็นพิเศษหรือไม่?  (ใช่ พระองค์ทรงทำเช่นนั้น)  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรแตกต่างจากที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้อื่น  แต่ในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรนั้น บางคนสามารถติดตามและนบนอบพระองค์ได้ และบางคนก็เป็นกบฏรวมทั้งต้านทานพระองค์  แล้วพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  พระเจ้าทรงมองท่าทีที่พวกเขามีต่อพระองค์อย่างไร?  (พระเจ้าทรงกรุณาและแสดงความรักต่อผู้ที่นบนอบพระองค์ แต่เมื่อผู้คนเป็นกบฏหรือต้านทานพระองค์ พระองค์ก็ทรงแสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ให้พวกเขาประจักษ์)  ถูกต้อง  ไม่ว่าเจ้าจะคิดว่าตนเป็นหนึ่งในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หรือหนึ่งในผู้ติดตามของพระองค์ หรือได้ทำคุณูปการบางอย่างให้แก่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าก็ตาม ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว พระองค์ไม่ทรงมองเรื่องภายนอกเหล่านี้  พระเจ้ามีพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและมีหลักธรรมในการปฏิบัติต่อผู้คน นั่นคือ ผู้ที่ควรได้รับการพิพากษาย่อมถูกพิพากษา ผู้ที่ควรได้รับการลงโทษย่อมถูกลงโทษ และผู้ที่ควรได้รับการทำลายล้างย่อมถูกทำลาย  ยกตัวอย่าง พวกเจ้าคิดอย่างไรกับข้อเท็จจริงที่ว่าชาวยิวถูกขับออกจากยูเดีย และข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ขององค์พระเยซูเจ้าได้รับการเผยแผ่ไปยังชาวต่างชาติ?  ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน และตามศาสนายิวแล้ว มีเพียงชาวยิวเท่านั้นที่เป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  พวกเขาคือบุตรอันล้ำค่าของพระเจ้าและเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงใส่พระทัยมากที่สุด พวกเขาเป็นแก้วตาดวงใจของพระองค์  ตามที่ผู้คนพูดกัน ชาวยิวเป็นบุตรที่พระองค์ทรงรักมากที่สุด และคนเราควรฟูมฟักและปกป้องบุตรคนโปรดของตน ไม่ปล่อยให้พวกเขาถูกทำร้ายหรือได้รับความไม่เป็นธรรมไม่ว่าในหนทางใด  ผู้คนคิดว่าไม่ว่าชาวยิวจะอธิษฐานเพื่อสิ่งใด พระเจ้าย่อมจะประทานสิ่งนั้นแก่พวกเขา และจะประทานให้พวกเขามากกว่าที่ขอหรือที่พวกเขาคิดฝันเอาไว้  แต่นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงทำสิ่งใด?  เนื่องจากชาวยิวตอกตรึงองค์พระเยซูเจ้าเข้ากับกางเขน พระเจ้าจึงกริ้วอย่างยิ่งและทรงบันดาลให้พวกโรมันส่งกองทัพมาพิชิตยูเดีย รวมทั้งขับไล่ชาวยิวออกจากแผ่นดินเกิดของตน  นั่นเป็นฉากแห่งการเข่นฆ่าและนองเลือดอย่างมากมาย ผู้คนนับไม่ถ้วนล้มตายและโลหิตหลั่งไหลดั่งสายน้ำ  ทางเดียวที่ชาวยิวรอดชีวิตมามากมายก็คือการหลบหนีไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก  จากข้อเท็จจริงเหล่านี้ พวกเจ้ามองเห็นแก่นแท้อันใดในพระอุปนิสัยของพระเจ้า?  (เห็นว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน)  พวกเราอย่าเริ่มด้วยการพูดถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าเลย ก่อนอื่นให้พวกเรายกผู้คนมาเป็นตัวอย่างกันเถิด  ในชีวิตจริง หากใครสักคนมีบุตรที่พวกเขารักอย่างสุดหัวใจและอยากให้บุตรคนนั้นสืบทอดทรัพย์สินของตน รวมทั้งทุกอย่างที่ตนมี พวกเขาจะทำเช่นไร?  ในด้านหนึ่ง พวกเขาจะเข้มงวดกับบุตรคนนั้นเพื่อที่บุตรจะได้เติบโตเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จและสามารถรับผิดชอบสิ่งต่างๆ ต่อจากพ่อแม่ได้  แต่ที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาย่อมจะปกป้องบุตรและไม่ปล่อยให้บุตรตกอยู่ในเส้นทางที่จะทำร้ายหรือมีภัย  จุดประสงค์ของการนี้ก็เพื่อให้บุตรสามารถใช้ชีวิตและสืบทอดทุกอย่างที่พ่อแม่มีได้  สิ่งใดจูงใจให้ผู้คนทำทั้งหมดนี้?  ผู้คนปฏิบัติต่อบุตรที่พวกเขาไม่รักหรือต่อคนแปลกหน้าในแบบเดียวกันหรือไม่?  พวกเขาทำตัวแบบเดียวกันหรือไม่?  (ไม่ พวกเขาไม่ทำแบบเดียวกัน)  เห็นได้ชัดว่าทุกสิ่งที่ผู้คนทำเพื่อบุตรที่ตนรักที่สุดนั้นมีความเห็นแก่ตัว ความรู้สึก และความอยากได้อยากมีส่วนตัวเป็นแรงจูงใจ สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์  มีความจริงอยู่ในความรู้สึกและความเห็นแก่ตัวของผู้คนหรือไม่?  มีความเที่ยงธรรมอยู่หรือไม่?  (ไม่มี)  เหล่านี้คือการสำแดงของมวลมนุษย์  แต่จงมองดูสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ—พระเจ้าทรงต้องการให้ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร ซึ่งก็คือชาวยิว เผยแผ่ข่าวประเสริฐจากยูเดียแก่กลุ่มชาวต่างชาติรอบโลก—ในทวีปเอเชีย ยุโรป แอฟริกา ทวีปอเมริกาเหนือและใต้  พวกเขาเผยแผ่อย่างไร?  พระเจ้าทรงใช้วิธีการปล่อยให้ผู้รุกรานชาวต่างชาติบุกจู่โจมและยึดครองดินแดนของชาวยิว ขับไล่ชาวยิวที่อาศัยอยู่ที่นั่น ผู้คนที่กล่าวประกาศพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอด และทรงทำให้พวกเขาสูญเสียบ้านเกิด ไม่มีวันหวนกลับมาได้อีก  จากนั้น ชาวยิวก็ตั้งถิ่นฐานตามมุมต่างๆ ของโลก ที่ซึ่งพวกเขาอยู่รอดและเริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอด จนกระทั่งข่าวประเสริฐค่อยๆ เข้าถึงทุกประเทศในโลกและสุดปลายพิภพ  นี่พิสูจน์ให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่า พระราชกิจของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างยิ่ง  ส่วนใหญ่แล้วการนี้สำแดงให้เห็นตรงไหน?  ในข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงใช้วิธีการที่พิเศษและไม่ธรรมดาอย่างยิ่งในการผลักดันชาวอิสราเอลออกไปยังประเทศต่างๆ เหล่านี้และเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้า  หากพระองค์ทรงปล่อยให้ชาวอิสราเอลตัดสินใจย้ายไปยังทุกประเทศ ประกาศข่าวประเสริฐ และเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า พวกเขาคงจะไม่สามารถทำใจละทิ้งครอบครัวและแดนเกิดของบรรพบุรุษไปได้  นี่ก็เหมือนกับว่าพระเจ้าทรงโจมตีพวกเขาเพื่อให้พวกเขาสามารถออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้า  นี่คือราคาที่พระเจ้าทรงจ่ายเพื่อข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ พระองค์ทรงทำให้ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรเผชิญสงคราม การเข่นฆ่า และการเนรเทศ  ชาวยิวถูกบีบให้เร่ร่อนไปทั่วโลกอย่างไร้บ้าน ถ่ายทอดข่าวประเสริฐในทุกประเทศ  ในสายตาของผู้คนแล้ว วิธีการเหล่านี้ดูเหมือนไม่คำนึงถึงมนุษย์มากเกินไป แต่จะสามารถอธิบายแก่นแท้ของพระเจ้าได้หรือไม่ว่า “ไม่คำนึงถึงมนุษย์”?  ชัดเจนว่าไม่ได้ เพราะแก่นแท้ของพระเจ้าไม่ใช่การไม่คำนึงถึงมนุษย์  นี่ก็เพราะไม่มีความเห็นแก่ตัวหรือความรู้สึกทางเนื้อหนังอยู่ในพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า พระองค์ทรงทำทั้งหมดนี้เพื่อความก้าวหน้าของมวลมนุษย์ทั้งปวง เพื่อให้ความก้าวหน้าในขั้นต่อไปของมวลมนุษย์ประสบผลสำเร็จและดำเนินไปตามขั้นตอนต่างๆ ในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าโดยสมบูรณ์  ดังนั้น พระเจ้าจึงต้องทรงทำเช่นนี้ ไม่มีหนทางอื่น  ขั้นตอนในพระราชกิจของพระเจ้าได้ก้าวหน้ามาจนถึงจุดนี้แล้ว และการกระทำของพระองค์ก็นำผลลัพธ์ที่ดีและฉับไวมาให้ ฉะนั้น ทั้งหมดจึงเหมาะสม  เมื่อมองดูแก่นแท้ของพระเจ้าแล้ว มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทำเช่นนี้ได้ ประเทศหรือเผ่าพันธุ์อื่นใดก็ไม่อาจทำได้  พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม  การมองดูท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อชาวยิวควรให้ความรู้แจ้งบางอย่างแก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในปัจจุบัน  พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา และพระเจ้าทรงมีความรัก ความเอาพระทัยใส่ พระกรุณา และพระเมตตาอันเปี่ยมรักต่อมนุษย์ แต่เมื่อพระเจ้าทรงมอบภารกิจแก่ผู้คน ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ผู้คนคืออะไร?  พวกเจ้าสามารถเข้าใจความหมายในระดับนี้หรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “จากมุมมองนี้ ผู้คนไม่มีค่าอะไรในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาเป็นเพียงเบี้ยบนกระดานเท่านั้น  คุณก็แค่ไปตามที่พระองค์ตรัส และทำตามที่พระองค์ตรัส”  คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  ไม่ถูกต้อง  ดูผิวเผินแล้วเหมือนจะเป็นเช่นนี้ แต่อันที่จริงไม่ใช่เลย  หากใช้คำพูดของมนุษย์ก็ต้องกล่าวว่า เมื่อพระเจ้าทรงกระทำการ พระองค์ไม่ทรงกังวลกับการนั้นมากนัก  พระองค์ไม่ทรงมีแนวคิดแบบดั้งเดิมหรือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และพระองค์ไม่ทรงถูกสิ่งใดจำกัดเอาไว้  ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำล้วนเป็นการปลดปล่อย เป็นอิสระ เปิดเผย ตรงไปตรงมา และยุติธรรม  ในแง่มุมหนึ่งนั้น พระองค์ทรงติดตามขั้นตอนต่างๆ ในแผนการบริหารจัดการของพระองค์เพื่อให้ทุกสิ่งก้าวหน้าอย่างเป็นปกติ ในอีกแง่มุมหนึ่งก็คือ พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพื่อให้ผู้คนในอนาคตมีความก้าวหน้าและเดินต่อไปได้อย่างเป็นปกติในพระหัตถ์ของพระเจ้าตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์  ความก้าวหน้าของมนุษย์เชื่อมโยงกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าอย่างแนบแน่น  หากพระเจ้าไม่ทรงทำเช่นนี้ แบกรับความเจ็บปวดจากการยอมทิ้งบางสิ่งที่พระองค์ทรงรักเพื่อมาถึงขั้นนี้ ก็ย่อมเป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะก้าวหน้าต่อไปแม้เพียงเล็กน้อย  นั่นคือสาเหตุที่เรากล่าวว่าพระเจ้าทรงพิจารณาทุกทางเลือกที่พระองค์ทรงเลือก ทุกก้าวที่ทรงดำเนิน และทุกสิ่งในพระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์ ทั้งหมดเปี่ยมด้วยพระพลานุภาพ สิทธิอำนาจ และพระปัญญา  ตลอดเวลาย่อมมีบางสิ่งบางอย่างที่พระเจ้าทรงทำแล้วผู้คนไม่เข้าใจ  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าใจได้?  เพราะผู้คนมีมโนคติอันหลงผิด  บางส่วนของมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้เป็นความคิดฝัน บางอย่างได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมและความคิดดั้งเดิมของมนุษย์ และบางอย่างมาจากความอยากได้อยากมีและการตัดสินอันเห็นแก่ตัวของมนุษย์  สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อความเข้าใจที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระเจ้า รวมทั้งทัศนะที่เขามีต่อพระเจ้าอีกด้วย

พวกเจ้าได้ข้อสรุปใดเกี่ยวกับการที่ชาวยิวถูกขับออกจากแคว้นยูเดีย?  (พระเจ้าไม่มีพระทัยอันเห็นแก่ตัวเหมือนมนุษย์  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนยุติธรรมและเป็นไปเพื่อความเจริญก้าวหน้าของมวลมนุษย์ทั้งปวง)  หากสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับพวกเจ้า มีการเข่นฆ่า มีการนองเลือด มีความย่อยยับและความตายมาเยือนบ้านเรือนของพวกเจ้า และครอบครัวของพวกเจ้าก็พลัดพรากจากกัน พวกเจ้าจะเข้าใจว่าอย่างไร?  (พวกเราอาจมีความเข้าใจผิด การพร่ำบ่น และการตีความผิดมากมาย ขึ้นอยู่กับความเป็นมนุษย์ของพวกเราและขึ้นอยู่กับว่าพวกเราถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามในระดับใด แต่ตอนนี้ด้วยสามัคคีธรรมของพระเจ้า พวกเราจึงตระหนักว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนมีความหมายและเจตนารมณ์ของพระองค์อยู่  ไม่ว่าพวกเราจะมีประสบการณ์กับความทุกข์มากเพียงใด พวกเราก็ควรที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงทั้งปวงของพระเจ้าอย่างเต็มใจ และร่วมมือกับพระองค์อย่างสุดความสามารถ ถ่ายทอดและเป็นพยานยืนยันพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า)  เมื่อเผชิญข้อเท็จจริงเหล่านี้ มนุษย์มีทางเลือกหรือไม่?  มนุษย์ไม่มีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่พระเจ้าตัดสินพระทัยว่าจะทำ  หลังจากที่ได้ฟังคำพูดเหล่านี้ ผู้คนยังคงรู้สึกว่าพระเจ้าคือความรักหรือไม่?  พวกเขาหมดใจและกล่าวว่า “หากผู้คนไม่มีทางเลือกในข้อเท็จจริงเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วผู้คนมีบทบาทอะไรในพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้ากันแน่?”  พวกเจ้ารู้หรือไม่?  (พวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง)  พวกเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น พวกเจ้ามีบทบาทเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น  พวกเจ้าคือเป้าหมายแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือพวกเจ้าเป็นเป้าหมายแห่งความรอดของพระองค์ นั่นคือบทบาทของพวกเจ้า  แล้วสิ่งใดคือบทบาทหน้าที่ของพวกเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง?  เรื่องนี้เชื่อมโยงกับการปฏิบัติและหน้าที่ของแต่ละคน  เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง หากพระเจ้าประทานพรสวรรค์ด้านเพลงแก่เจ้า และพระนิเวศของพระเจ้าจัดแจงให้เจ้าร้องเพลง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมต้องร้องเพลงให้ดี  หากเจ้ามีพรสวรรค์ในการประกาศข่าวประเสริฐ และพระนิเวศของพระเจ้าจัดแจงให้เจ้าประกาศข่าวประเสริฐ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรทำให้ดี  เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรคัดเลือกให้เจ้าเป็นผู้นำ เจ้าก็ควรรับพระบัญชาที่ให้เป็นผู้นำ และนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า สามัคคีธรรมความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริง  เมื่อทำดังนี้ เจ้าย่อมจะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าดีแล้ว  พระบัญชาที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์นั้นสำคัญและมีความหมายอย่างยิ่ง!  ดังนั้นเจ้าควรรับพระบัญชานี้และทำให้บทบาทหน้าที่ของเจ้าลุล่วงอย่างไร?  นี่คือหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่เจ้าเผชิญ และเจ้าก็ต้องเลือก  อาจกล่าวได้ว่านี่คือวาระอันสำคัญยิ่งที่ตัดสินว่าเจ้าจะสามารถได้รับความจริงและได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้าหรือไม่  หากเจ้ากระทำการโดยพึ่งพาเจตจำนงของตนเองและกระทำการประพฤติผิดอย่างไร้ความยับยั้งชั่งใจ ไม่เพียงเจ้าจะไม่ทำให้พระบัญชาของพระเจ้าลุล่วงเท่านั้น แต่เจ้ายังจะก่อกวนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอีกด้วย  ผลก็คือมีความจำเป็นที่จะต้องลงโทษเจ้าเหมือนที่ลงโทษเปาโล  เมื่อพระเจ้าตรัสบอกให้เจ้าไปทำบางสิ่งบางอย่าง เมื่อนั้นภาระหน้าที่ของเจ้าคือสิ่งใด?  คือการทำกิจนั้นให้ดีและไม่ทำให้งานเสียหาย  ด้วยการทำเช่นนั้น เจ้าย่อมกำลังทำงานรับใช้เป็นอย่างดี  ไม่ว่าพระเจ้าจะรับสั่งให้เจ้าทำงานรับใช้อันใด เจ้าก็ต้องทำให้ดีและทำอย่างเชื่อฟัง  ในการทำเช่นนั้น เจ้าย่อมเป็นคนที่รับฟังและนบนอบ  หากเจ้าไม่ทำงานรับใช้อย่างเชื่อฟัง มีเจตนาส่วนตนอยู่เสมอ และอยากมีอำนาจปกครองเหมือนกษัตริย์อยู่ตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือซาตานและศัตรูของพระคริสต์ เจ้าต้องถูกลงโทษ  บางคนไม่เข้าใจความจริงหรือไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาเอาแต่ทุ่มเทความพยายามให้กับงานของตนเท่านั้น  เช่นนั้นแล้วภาระหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างคืออะไร?  มีแต่การตรากตรำและการลงแรงเท่านั้น  เมื่อเป็นเช่นนั้น จงสรุปมาว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในสายพระเนตรของพระเจ้าควรปฏิบัติหน้าที่อันใดกันแน่ และพวกเขาควรใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์อย่างไร  นี่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติของพวกเจ้า  ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์แล้ว พระเจ้าทรงใส่พระทัย ทะนุถนอม คุ้มครอง ดูแล และประทานพระคุณแก่ผู้ที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในสายพระเนตรของพระองค์  จากนั้นพระองค์ก็ทรงบ่มวินัยและตัดแต่งพวกเขา ทรงรักพวกเขาในพระทัยของพระองค์ และโอบกอดพวกเขาไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์  ท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์อันเด็ดเดี่ยวที่จะทำให้พวกเขาเพียบพร้อม รับรองความปลอดภัยของพวกเขา และทำให้แน่พระทัยว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขาจนกระทั่งพวกเขาได้รับการทำให้เพียบพร้อม  สำหรับพวกเขาแล้ว นี่คือการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในสายพระเนตรของพระเจ้า  เมื่อผู้คนมีประสบการณ์เช่นนี้ พวกเขาย่อมคิดว่า “พระเจ้าทรงน่ารักยิ่งนัก!  พระเจ้าของพวกเราทรงยิ่งใหญ่นัก!  พระองค์ทรงควรค่ากับความรักของพวกเราเหลือเกิน!  พระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรัก!  พระเจ้าทรงวิเศษยิ่ง!”  แต่หากเจ้านำเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริง หนทางที่พระเจ้าทรงใช้ปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างมีเพียงทั้งหมดนี้เท่านั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร?  ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันอื่นใดอีกบ้างเกี่ยวกับท่าทีที่พระเจ้าทรงใช้ปฏิบัติต่อมนุษย์?  มีท่าทีใดที่ผู้คนยอมรับไม่ได้หรือไม่?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ การถลุง การตัดแต่ง การบ่มวินัย การลิดรอนสิทธิ์ของพระเจ้า  ผู้ที่ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าไม่ได้จะเป็นคนเช่นใด?  เจ้าอาจกล่าวได้ว่าพวกเขาคือผู้คนที่ไม่ยอมรับความจริง และเจ้าก็สามารถกล่าวได้อย่างแน่นอนว่าผู้คนที่ไม่ยอมรับความจริงคือพวกผู้ไม่เชื่อ  หากคนคนหนึ่งไม่สามารถยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วก็เท่ากับว่าพวกเขาไม่สามารถยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า  ธรรมชาติของปัญหานี้คืออะไร?  ปัญหาคือพวกเขาไม่ยอมรับความจริง และปฏิเสธพระราชกิจของพระเจ้า  ผู้คนเช่นนี้มีแต่จะประสบความวิบัติและถูกลงโทษเท่านั้น  ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นไร หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ยอมรับความจริง เจ้าก็ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  หลังจากที่คนคนหนึ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมใดไว้ให้พวกเขาก็ตามเพื่อเผยพวกเขา ในระหว่างที่ถูกเผยออกมานั้น พวกเขาจะสามารถมองเห็นพระพร พระคุณ ความเอาพระทัยใส่ หรือการคุ้มครองจากพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่ พวกเขาไม่อาจมองเห็นได้)  พวกเขาไม่สามารถมองเห็นจากภายนอก แต่หลังจากผ่านบททดสอบและการถลุงแล้ว พวกเขาจะสามารถมองเห็นได้หรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาย่อมจะมองเห็นได้  ดังนั้นจึงมีหลายคนที่สามารถมองเห็นการคุ้มครองและพรจากพระเจ้าหลังจากที่มีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์  แต่ผู้คนที่ไม่รักความจริงย่อมจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้เลย  พวกเขายังคงยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน และพวกเขาก็เต็มไปด้วยการต่อต้านและความเป็นกบฏต่อพระเจ้า  นี่คือผู้คนจำพวกที่เป็นผู้ไม่เชื่อ เป็นคนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์  ทุกสิ่งที่พวกเขาทำคือตัวอย่างของสิ่งที่ไม่ควรทำ  เปาโลก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง  เวลาที่ผู้คนมองดูเปาโล พวกเขามองเห็นสิ่งใด?  (เห็นว่าเปาโลอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ และเรื่องราวของเขาก็ทำหน้าที่ตักเตือนพวกเรา)  เปาโลไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพราะเขาแสวงหาอนาคตและบั้นปลายให้กับเนื้อหนังของเขาเท่านั้น  เขาแค่เสาะแสวงที่จะได้รับรางวัลกับมงกุฎ  พระเจ้าตรัสพระวจนะไปมากมายนัก ทรงบ่มวินัย ประทานความรู้แจ้งและความกระจ่างแก่เขามากมายเหลือเกิน แต่เขาก็ยังคงไม่นบนอบพระเจ้าหรือยอมรับความจริง  เขากบฏและต้านทานพระเจ้าเสมอ และท้ายที่สุดเขาก็กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ ถูกกล่าวโทษและถูกลงโทษ  เปาโลเป็นตัวอย่างของสิ่งที่ไม่ควรทำ  ด้วยการตรวจสอบตัวอย่างของเปาโลในฐานะแม่แบบแห่งศัตรูของพระคริสต์ ผู้คนย่อมสามารถมองเห็นได้ว่าเปาโลอยู่บนเส้นทางของการต้านทานพระเจ้า และเส้นทางของการทำลายล้าง  หลายคนได้เรียนรู้และได้ประโยชน์จากเรื่องนี้  พวกเขาได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง ก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องของผู้เชื่อ  อะไรคือเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้คนที่สามารถยอมรับความจริงและได้ประโยชน์จากบทเรียนของเปาโล?  (ความรอดและความรัก)  แล้วแง่มุมใดในพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้จากการที่พระเจ้าทรงเปิดโปง พิพากษา และกล่าวโทษเปาโล?  (พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์)  แล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า เปาโลได้กลายเป็นสิ่งใดในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง?  เขากลายเป็นข้าวของเครื่องใช้  คนทุกคนทั้งผู้ที่ทำประโยชน์และผู้ที่ถูกเผยล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนทั้งสองประเภทนี้ผิดแผกกันอย่างสิ้นเชิง  ในความเป็นจริง ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ผู้คนทั้งสองประเภทนี้ไร้ค่าเหมือนมดและหนอนแมลง แต่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อกลุ่มหนึ่งแตกต่างจากอีกกลุ่มหนึ่ง  นี่คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  ท่าทีแตกต่างกันที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนสองประเภทนี้เป็นไปตามสิ่งใด?  (ตามเส้นทางที่พวกเขาเดินอยู่)  ตามสิ่งที่คนคนหนึ่งสำแดงออกมา ตามแก่นแท้ของพวกเขา ท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง และเส้นทางที่คนคนนั้นกำลังเดินอยู่  จากภายนอกแล้ว ดูเหมือนพระเจ้าไม่ทรงคำนึงถึงมนุษย์ ดูเหมือนพระองค์ทรงไร้ความรู้สึก และการกระทำของพระองค์นั้นไร้หัวใจ  ผู้คนจึงคิดไปตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ว่า “พระเจ้าไม่ควรที่จะทรงปฏิบัติต่อเปาโลเช่นนั้น  เปาโลทำอะไรต่ออะไรไปตั้งมากมายและทนทุกข์มากเหลือเกิน  นอกจากนี้เขายังจงรักภักดีและอุทิศตนเพื่อพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงทำกับเขาเช่นนั้น?”  การที่ผู้คนกล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  ตรงตามความจริงหรือไม่?  เปาโลจงรักภักดีหรืออุทิศตนเพื่อพระเจ้าอย่างยิ่งในหนทางใด?  พวกเขากำลังบิดเบือนข้อเท็จจริงอยู่มิใช่หรือ?  เปาโลอุทิศตนและจงรักภักดีเพื่อให้ได้รับพรสำหรับตัวเอง  นั่นคือความจงรักภักดีและการอุทิศตนเพื่อพระเจ้ากระนั้นหรือ?  เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง ไม่สามารถมองเห็นแก่นแท้ของปัญหาได้อย่างชัดเจน และพูดจาตามความรู้สึกของตนอย่างมืดบอด พวกเขากำลังกบฏต่อพระเจ้าและต้านทานพระองค์อยู่มิใช่หรือ?  ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนชื่นชมบูชาเปาโล!  ผู้ที่เป็นของซาตานย่อมชื่นชมบูชาซาตานเสมอ และถึงกับพูดแทนซาตานตามความรู้สึกของตน  นี่หมายความว่าถึงแม้ผู้คนอาจดูเหมือนแยกตัวออกจากซาตานแล้ว แต่พวกเขายังคงเชื่อมโยงกันอยู่  อันที่จริงเวลาที่ผู้คนพูดจาแทนซาตาน พวกเขาก็กำลังพูดเพื่อตนเองด้วย  ผู้คนเห็นใจเปาโลเพราะพวกเขาก็เป็นเหมือนเปาโล และอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับเปาโล  ตามสามัญสำนึกของมนุษย์ พระเจ้าไม่ควรที่จะทรงปฏิบัติต่อเปาโลเช่นนั้น แต่สิ่งที่พระองค์ทรงทำกลับตรงข้ามกับสามัญสำนึกของมนุษย์โดยสิ้นเชิง  นี่คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และนี่คือความจริง  หากคนคนหนึ่งพูดจาสอดคล้องกับสามัญสำนึกของมนุษย์ พวกเขาก็อาจกล่าวว่า “ต่อให้เปาโลไม่ได้สัมฤทธิ์อะไรมากมาย เขาก็ยังคงสู้ทนความยากลำบากเป็นอันมาก และถ้าไม่ใช่ความยากลำบาก เขาก็สู้ทนความเหนื่อยยาก  ดูแค่จำนวนปีที่เขาทุกข์ทน ก็น่าจะเปิดโอกาสให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว  ต่อให้เขาเป็นเพียงคนลงแรงก็น่าจะยอมรับได้  เขาไม่ควรถูกลงโทษหรือส่งตัวลงนรก”  นี่คือสามัญสำนึกและความรู้สึกของมนุษย์—ไม่ใช่ความจริง  แง่มุมที่น่ารักที่สุดของพระเจ้าคือสิ่งใด?  คือการที่พระองค์ไม่ทรงมีสามัญสำนึกของมนุษย์  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำล้วนสอดคล้องกับความจริงและแก่นแท้ของพระองค์  พระองค์เผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรม  พระเจ้าไม่ทรงคำนึงถึงความปรารถนาส่วนตนของเจ้า และไม่ทรงคำนึงถึงข้อเท็จจริงเชิงรูปธรรมเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าทำลงไป  พระเจ้าทรงระบุลักษณะและกำหนดเจ้าตามสิ่งที่เจ้าทำ สิ่งที่เจ้าเผยออกมา และเส้นทางที่เจ้าเดิน และแล้วจึงทรงใช้ท่าทีที่เหมาะสมที่สุดกับเจ้า  จุดจบของเปาโลก็เป็นเพราะเหตุนี้  เมื่อมองเรื่องราวของเปาโลย่อมดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงปราศจากความรัก  ทั้งเปโตรและเปาโลก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่ขณะที่พระเจ้าทรงเห็นชอบและประทานพรแก่เปโตร พระองค์กลับทรงเปิดโปง ชำแหละ พิพากษา และกล่าวโทษเปาโล  เจ้าจึงไม่อาจมองเห็นความรักของพระเจ้าในหนทางที่พระองค์ทรงกำหนดจุดจบของเปาโล  ดังนั้น จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเปาโล เจ้าจะกล่าวได้หรือไม่ว่าพระเจ้าไม่ทรงมีความรัก?  ไม่ เจ้าพูดไม่ได้ เพราะพระเจ้าทรงบ่มวินัยเขาหลายครั้ง ประทานความกระจ่างแก่เขา ประทานโอกาสให้เขากลับใจหลายครา แต่เปาโลกลับปฏิเสธอย่างดื้อรั้นและเดินบนเส้นทางของการต้านทานพระเจ้า  ดังนั้นในท้ายที่สุด พระเจ้าจึงตรัสกล่าวโทษและลงโทษเขา  เมื่อดูเรื่องนี้อย่างผิวเผินก็เหมือนว่าผู้คนไม่มีทางเลือกในพระราชกิจและความรอดของพระเจ้า  แม้พระเจ้าจะไม่ทรงแทรกแซงตัวเลือกของผู้คน แต่หากคนคนหนึ่งเลือกเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาพระพร พระเจ้าย่อมจะตรัสกล่าวโทษและลงโทษพวกเขา  นี่ดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ทรงปล่อยให้ผู้คนเลือกเส้นทางของตนเอง เหมือนพระองค์ทรงเปิดโอกาสให้พวกเขาเลือกเพียงเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น และไม่ว่าคนคนหนึ่งจะถูกพิพากษา ถูกชำระให้บริสุทธิ์ หรือได้รับการทำให้เพียบพร้อม ก็ล้วนขึ้นอยู่กับพระเจ้าทั้งสิ้น  การมองพระราชกิจของพระเจ้าในหนทางนี้และกำหนดพระเจ้าเช่นนี้ไม่เหลวไหลอย่างที่สุดและไม่ใช่ความผิดพลาดที่ไร้สาระหรอกหรือ?  มนุษย์ไม่ตระหนักรู้เลยว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและบริสุทธิ์ เขาเลือกที่จะเดินตามเส้นทางของตนเองเสมอ—เส้นทางแห่งการต้านทานพระเจ้า แต่ก็ไม่ต้องการยอมรับการพิพากษาหรือการกล่าวโทษจากพระเจ้า  นี่ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!  มีหลายคนที่คิดว่า “ผู้คนเลือกเองไม่ได้ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร พระเจ้าจะประทานภารกิจใดแก่พวกเขา พระองค์จะทรงให้พวกเขาทำงานอะไร หรือพระองค์จะทรงให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ใด  ท้ายที่สุดแล้วใครก็ตามที่เลือกเดินไปบนเส้นทางของตนเองย่อมถูกกล่าวโทษ  พระเจ้าทรงเห็นชอบและประทานพรให้คุณก็ต่อเมื่อคุณเลือกเส้นทางที่พระองค์ทรงชี้นำให้คุณเดิน และต่อเมื่อคุณเลือกเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น”  บางคนมองเรื่องนี้ว่าพระเจ้าทรงไม่เป็นธรรมและพระองค์ทรงแทรกแซงการเลือกอันเสรีของผู้คน  แต่ข้อเท็จจริงของเรื่องเป็นเช่นนี้กระนั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้ตามหลักธรรม  เมื่อเจ้าไม่เข้าใจข้อเท็จจริงและความจริง ก็ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่เจ้าจะเข้าใจพระเจ้าผิดและตัดสินพระองค์ แต่เมื่อเจ้าเข้าใจข้อเท็จจริงทั้งหลายและความจริงแล้ว เจ้าย่อมจะคิดว่าความเข้าใจผิดเหล่านี้ไร้ค่าและน่ารังเกียจโดยสิ้นเชิง รวมทั้งความเข้าใจผิดเหล่านี้ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเลย  เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็จะรู้ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนถูกต้อง  ผู้คนไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้เพราะพวกเขาเห็นแก่ตัวและโง่เขลาเกินไป  พวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่สามารถมองเห็นเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างชัดแจ้ง ดังนั้นพวกเขาจึงกำหนดพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง  ทันทีที่เจ้าเข้าใจเช่นนี้ เจ้าก็จะไม่ปกป้องเปาโลอีกต่อไป หรือเข้าใจพระเจ้าผิด  เจ้าจะกล่าวว่า “สิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนถูกต้องทั้งสิ้น  มนุษย์คือคนที่เสื่อมทราม  พวกเขามีจิตใจอันคับแคบและโง่เขลา  พวกเขาไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน  ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าหรือว่ามองเห็นความรักของพระองค์จากเรื่องนี้หรือไม่ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนถูกต้อง และเป็นการเผยให้เห็นแก่นแท้และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  ทั้งหมดนี้ตรงตามความจริง และไม่ผิด!”  วันนี้เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวพวกเจ้าและช่วยพวกเจ้าให้รอด พวกเจ้าควรเลือกเส้นทางใด?  พระเจ้าทรงแทรกแซงพวกเจ้าอยู่หรือไม่?  พวกเจ้าควรเลือกสิ่งใด?  พวกเจ้าควรเรียนรู้จากความผิดพลาดของเปาโลหรือไม่?  พวกเจ้าควรเป็นเหมือนเปโตรและเดินไปตามเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  พวกเจ้าควรจัดการเช่นไรในเรื่องนี้?  นั่นขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าเข้าใจความจริงหรือไม่  การเข้าใจความจริงจะแก้ปัญหาใดได้บ้าง?  จุดประสงค์ของการเข้าใจความจริงก็เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์และความยากลำบากต่างๆ ของมนุษย์  เมื่อเจ้าประสบปัญหาที่ไม่อาจแก้ไขได้ หรือพบเจอผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า ความจริงก็จะเริ่มทำงานภายในตัวเจ้า  ดังนั้น กรณีของเปาโลจะช่วยเจ้าในเรื่องของการเข้าสู่ชีวิตส่วนตัวของเจ้าและการเลือกเส้นทางของเจ้าอย่างไร?  (กรณีของเปาโลสามารถกระตุ้นให้พวกเรามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทบทวนตนเองได้)  (สามารถทลายกำแพงและกำจัดความเข้าใจผิดระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ได้)  นั่นคือส่วนหนึ่ง และพวกเจ้าก็ได้รับบางสิ่งบางอย่างจากการเสวนาครั้งนี้แล้ว  สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่ควรเข้าใจก็คือนัยสำคัญของการเลือกเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง และเหตุใดพระเจ้าจึงประทานพรและเห็นชอบผู้ที่ทำเช่นนั้น  สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือการเข้าใจคำตอบของคำถามนี้

เมื่อสักครู่เราเพิ่งกล่าวถึงการที่ชาวยิวถูกเนรเทศและกระจัดกระจายไปทั่วทุกประเทศในโลก  ผู้คนมองเห็นสิ่งใดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้?  พวกเขาเข้าใจความจริงเรื่องใด?  เหตุการณ์นี้ควรทำให้ผู้คนได้คิดทบทวนสักนิด  ประการแรกคือ ผู้คนควรปฏิบัติอย่างไร และประการที่สองคือ พวกเขาจะได้เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าผ่านเหตุการณ์นี้  ก่อนอื่นพวกเรามาพูดคุยกันเถิดว่าผู้คนควรปฏิบัติอย่างไรในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้  สิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นย่อมไม่โอนเอนไปมาตามความอยากได้อยากมีของมนุษย์ พระเจ้าทรงมีแผนการของพระองค์เอง และมีหลักธรรมของพระองค์เองในการทำสิ่งทั้งหลาย  ดังนั้นผู้คนควรมีท่าทีเช่นไร?  ไม่ว่าพวกเขาเผชิญสถานการณ์ใด หรือสถานการณ์นั้นตรงกับมโนคติอันหลงผิดของตนหรือไม่ ผู้คนก็ไม่ควรขัดแย้งกับพระเจ้าเป็นอันขาด  บางคนกล่าวว่า “แม้ฉันจะเป็นกบฏและต้านทานพระเจ้า แต่การที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ของฉันก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ?”  นี่เป็นท่าทีเช่นใด?  เห็นได้ชัดว่าเป็นท่าทีที่ไม่อาจยอมรับได้  นี่ไม่ใช่การนบนอบที่แท้จริง  แล้วการที่จะ “ไม่ขัดแย้งกับพระเจ้า” นั้น ผู้คนควรปฏิบัติอย่างไรและควรกระทำการอย่างไร?  มีหลักธรรมในการปฏิบัติอยู่สองประการ ประการแรกคือแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าในเชิงรุก ผู้คนควรเข้าใจความจริงข้อใด รวมทั้งควรทำในส่วนของตนและทำให้พระบัญชาของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์ได้อย่างไร—นี่คือด้านที่เป็นการลงมือทำสิ่งที่ผู้คนควรทำ  ประการที่สองคือการตรวจสอบและตระหนักรู้ว่าเจ้าเข้าใจพระเจ้าผิดในเรื่องใดบ้าง ไม่นบนอบพระองค์ตรงไหน มีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันในที่ใด และมีสิ่งที่เข้ากันไม่ได้กับพระองค์ตรงจุดใด  นี่จะทำให้แน่ใจว่าเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงได้อย่างถูกต้องแม่นยำในระหว่างทำหน้าที่ของเจ้า สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ตามหลักธรรม ทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้นได้อย่างครบถ้วน และเป็นที่จดจำของพระเจ้า  หลักธรรมของการปฏิบัติเหล่านี้ง่ายหรือไม่?  (ง่าย)  คำว่า “ง่าย” นี้เราหมายความว่ากระไร?  หมายความว่าตรรกะกับคำพูดนั้นค่อนข้างชัดเจน “หนึ่ง” หมายถึงหนึ่ง และ “สอง” หมายถึงสอง ทันทีที่เจ้าได้ยินย่อมรู้ทันทีว่าจะปฏิบัติอย่างไร  อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้วการนำไปปฏิบัติไม่ได้ง่ายปานนั้น เพราะผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  พวกเขาพยายามให้เหตุผลของตนอยู่เสมอ มีความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดอยู่มากมาย รวมทั้งความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า  ผู้คนต้องชำแหละสิ่งเหล่านี้ ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้า แต่นี่ก็ทำให้ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเกิดมโนคติอันหลงผิดใหม่ๆ นั่นคือ “ผู้คนล้วนกล่าวว่าพระเจ้าคือความรักทั้งสิ้น แล้วเหตุใดพระเจ้าถึงเปิดโปงและพิพากษาความคิดและมโนคติอันหลงผิดของผู้คนอยู่เสมอ?  ฉันไม่สามารถมองเห็นความรักในพระเจ้าได้ ฉันมองเห็นแค่ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน”  นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดอย่างหนึ่งของมนุษย์หรอกหรือ?  หากพระเจ้าทรงเผยให้เห็นเพียงความกรุณาและความเมตตาอันเปี่ยมรักตลอดระยะเวลาที่มวลมนุษย์มีพัฒนาการ เหมือนในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ที่เสื่อมทราม และไม่เคยเผยให้เห็นความชอบธรรมหรือพระพิโรธเลย มนุษย์จะมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ได้หรือ?  (ไม่ได้)  มนุษย์คงจะถูกซาตานกลืนกินไปนานแล้ว  เวลาที่ทรงจัดการปัญหาเรื่องเหล่าปีศาจและซาตาน รวมทั้งมนุษย์ที่เสื่อมทรามและต้านทานพระเจ้านั้น สิ่งที่การสำแดงและการเปิดเผยของพระเจ้าแสดงให้เห็นนั้นไม่ใช่ความรักที่ผู้คนกล่าวถึง แต่เป็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรม สิ่งที่แสดงให้เห็นคือความเกลียด ความชัง การพิพากษา การตีสอน การลงโทษ และการทำลายล้าง  ด้วยการทำเช่นนี้เท่านั้น พระเจ้าจึงทรงเผยให้เห็นได้ว่าพระอุปนิสัยของพระองค์นั้นชอบธรรม บริสุทธิ์ และไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน ทำให้ซาตานละอายได้อย่างสิ้นเชิง และคุ้มครองความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงอย่างมีประสิทธิผล  พระเจ้าทรงนำความเป็นมนุษย์เช่นนี้เสมอ และพร้อมกันนั้นก็ทรงช่วยพวกเขาให้รอด

ผู้คนต้องตรวจสอบสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในหัวใจของตนซึ่งเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า หรือเป็นการเข้าใจพระองค์ผิดอยู่เนืองๆ  ความเข้าใจผิดทั้งหลายเกิดขึ้นมาอย่างไร?  เหตุใดผู้คนจึงเข้าใจพระเจ้าผิด?  (เพราะผลประโยชน์ส่วนตนของพวกเขาได้รับผลกระทบ)  หลังจากที่ผู้คนมองเห็นข้อเท็จจริงเรื่องที่ชาวยิวถูกเนรเทศออกจากแคว้นยูเดีย พวกเขาก็รู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจและกล่าวว่า “ตอนแรกพระเจ้าทรงรักชาวอิสราเอลมากเหลือเกิน  พระองค์ทรงนำพวกเขาออกมาจากอียิปต์ ฝ่าทะเลแดง ประทานมานาจากฟ้าสวรรค์และประทานน้ำพุให้ดื่ม จากนั้นก็ประทานธรรมบัญญัติด้วยพระองค์เองเพื่อนำพวกเขา และทรงสอนวิธีดำรงชีวิตแก่พวกเขา  ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นั้นล้นเหลือ—ผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่ในยุคนั้นได้รับพรมากมายนัก!  แล้วท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขาพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วพริบตาได้อย่างไร?  ความรักของพระองค์หายไปที่ใดเสียหมด?”  ความรู้สึกของผู้คนไม่อาจผ่านพ้นจุดนี้ไปได้ พวกเขาเริ่มสงสัยและกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรักใช่หรือไม่?  เหตุใดจึงมองไม่เห็นท่าทีแต่เดิมที่พระองค์ทรงมีต่อชาวอิสราเอลอีกเลย?  ความรักของพระองค์อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย  พระองค์ทรงมีความรักสักนิดหรือไม่?”  ความเข้าใจผิดของผู้คนเริ่มต้นจากจุดนี้  บริบทที่ผู้คนเกิดความเข้าใจผิดคืออะไร?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะการกระทำของพระเจ้าเข้ากันไม่ได้กับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน?  ข้อเท็จจริงนี้เป็นเหตุให้ผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิดใช่หรือไม่?  เหตุผลที่ผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิดเป็นเพราะพวกเขาจำกัดขอบเขตความรักของพระองค์มิใช่หรือ?  พวกเขาคิดว่า “พระเจ้าคือความรัก  เพราะฉะนั้นพระองค์ก็ควรที่จะทรงดูแลและคุ้มครองผู้คน ประทานพระคุณและพรให้พวกเขา  ความรักของพระเจ้าย่อมเป็นเช่นนี้!  ฉันชอบเวลาที่พระเจ้าทรงรักผู้คนในหนทางนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่พระองค์ทรงนำผู้คนฝ่าทะเลแดง ฉันมองเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงรักผู้คนมากเพียงใด  ผู้คนสมัยนั้นได้รับพรมากเหลือเกิน!  ฉันปรารถนาให้ตัวเองเป็นหนึ่งในพวกเขาบ้าง!”  เมื่อเจ้าลุ่มหลงเรื่องราวเช่นนี้ เจ้าย่อมปฏิบัติต่อความรักที่พระเจ้าทรงเผยออกมาในชั่วขณะนั้นว่าเป็นความจริงสูงสุด เป็นเครื่องชี้วัดแก่นแท้ของพระองค์เพียงหนึ่งเดียว  เจ้าจำกัดขอบเขตพระองค์ไว้ในหัวใจของเจ้า และกำหนดว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำในชั่วขณะนั้นว่าคือความจริงสูงสุด  เจ้าคิดว่านี่คือด้านที่น่ารักที่สุดของพระเจ้า เป็นด้านที่ทำให้ผู้คนเคารพและยำเกรงพระองค์อย่างที่สุด และคิดว่านี่คือความรักของพระเจ้า  ในความเป็นจริงแล้ว การกระทำของพระเจ้านั้นเป็นบวก แต่เพราะการจำกัดขอบเขตของเจ้า การกระทำของพระเจ้าจึงกลายเป็นมโนคติอันหลงผิดในความรู้สึกนึกคิดของเจ้า และเป็นพื้นฐานที่เจ้าใช้กำหนดพระเจ้า  ส่งผลให้เจ้าเข้าใจความรักของพระเจ้าผิด แม้ความรักของพระเจ้าจะมีแต่ความกรุณา ความใส่พระทัย การคุ้มครอง การทรงนำ พระคุณ และพรก็ตาม—ราวกับว่านั่นคือความรักทั้งหมดของพระเจ้า  เหตุใดเจ้าจึงทะนุถนอมแง่มุมเหล่านี้ของความรักมากนัก?  เพราะนั่นผูกโยงอยู่กับผลประโยชน์ส่วนตนของเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่แล้ว)  ผูกโยงอยู่กับผลประโยชน์ส่วนตนในเรื่องใด?  (ความยินดีของเนื้อหนังและชีวิตที่สุขสบาย)  เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า พวกเขาต้องการได้รับสิ่งเหล่านี้จากพระองค์ แต่ไม่ต้องการสิ่งอื่น  ผู้คนไม่อยากคิดถึงการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ การถลุง การทนทุกข์เพื่อพระเจ้า การยอมทิ้งสิ่งต่างๆ และสละตนเอง หรือกระทั่งพลีอุทิศชีวิตของตน  ผู้คนอยากชื่นชมแต่ความรัก ความใส่พระทัย การคุ้มครอง และการทรงนำจากพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงกำหนดความรักของพระเจ้าว่าเป็นลักษณะเพียงหนึ่งเดียวแห่งแก่นแท้ของพระองค์ และเป็นแก่นแท้เพียงหนึ่งเดียวของพระองค์  สิ่งที่พระเจ้าทรงทำตอนทรงนำชาวอิสราเอลข้ามทะเลแดงนั้นกลายเป็นบ่อเกิดแห่งมโนคติอันหลงผิดของผู้คนมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่ก่อเกิดเป็นบริบทให้ผู้คนสร้างมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า  หากพวกเขาสร้างมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสัมฤทธิ์ความเข้าใจอันแท้จริงในพระราชกิจและพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้หรือไม่?  ชัดเจนว่าไม่เพียงพวกเขาจะไม่เข้าใจเท่านั้น แต่พวกเขาจะตีความผิดและสร้างมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระราชกิจและพระอุปนิสัยอีกด้วย  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าความเข้าใจของมนุษย์คับแคบเกินไป และไม่ใช่ความเข้าใจที่แท้จริง  ด้วยเหตุที่ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นความรักและความเข้าใจชนิดหนึ่งที่ผู้คนวิเคราะห์และตีความเกี่ยวกับพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของพวกเขาเอง  นี่จึงไม่อาจเข้ากันได้กับแก่นแท้จริงๆ ของพระเจ้า  พระเจ้าทรงรักผู้คนในหนทางใดอีกบ้าง นอกเหนือจากด้วยความกรุณา ความรอด การใส่พระทัย การทรงคุ้มครอง และการสดับตรับฟังคำอธิษฐานของพวกเขา?  (ด้วยการทรงสั่งสอน บ่มวินัย ตัดแต่ง พิพากษา ตีสอน บททดสอบ และการถลุง)  ถูกต้อง  พระเจ้าทรงแสดงความรักของพระองค์ให้เห็นด้วยหนทางมากมาย นั่นคือ ด้วยการโบยตี บ่มวินัย ตำหนิติเตียน พิพากษา ตีสอน และด้วยบททดสอบ การถลุง และอื่นๆ  ทั้งหมดนี้คือแง่มุมแห่งความรักของพระเจ้า  เพียงมุมมองนี้เท่านั้นที่ครอบคลุมและตรงกับความจริง  หากเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ เมื่อเจ้าตรวจสอบตนเองและตระหนักว่าเจ้ามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า เมื่อนั้นเจ้าย่อมสามารถตระหนักรู้ความบิดเบือนของตนและคิดทบทวนได้เป็นอย่างดีมิใช่หรือว่าเจ้าทำสิ่งใดผิดไป?  นี่ย่อมช่วยเจ้าแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าได้มิใช่หรือ?  (ช่วยได้)  เพื่อที่จะทำให้สำเร็จลุล่วงดังนี้ เจ้าต้องแสวงหาความจริง  ตราบใดที่ผู้คนแสวงหาความจริง พวกเขาย่อมสามารถกำจัดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของตนออกไป และทันทีที่พวกเขากำจัดความเข้าใจผิดของตนเกี่ยวกับพระเจ้าแล้ว พวกเขาย่อมสามารถนบนอบต่อการจัดแจงเตรียมการทั้งปวงของพระเจ้าได้  หากเจ้าสามารถกำจัดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของตนได้ เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้ามองดูการเนรเทศชาวยิวออกจากแคว้นยูเดีย เจ้าย่อมจะกล่าวว่า “ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์นั้นไม่ได้เป็นเพียงท่าทีของความรักเท่านั้น พระองค์ทรงนำด้วยการโบยตีและเนรเทศอีกด้วย  ผู้คนไม่ควรให้ตนเองมีทางเลือกเกี่ยวกับท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า ท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าควรเป็นท่าทีแห่งการนบนอบ ไม่ใช่ต้านทาน”  จากมุมมองของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อชาวยิวดูเหมือนไม่ทรงคำนึงถึงพวกเขา แต่พอมาดูในตอนนี้ พระเจ้ากลับทรงพระราชกิจได้ยอดเยี่ยมมาก ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเผยให้เห็นล้วนเป็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรม  พระเจ้าประทานพระคุณและพรแก่ผู้คน และประทานขนมปังแก่พวกเขาได้ทุกวัน แต่พระองค์ทรงริบทั้งหมดนั้นได้ด้วยเช่นกัน  นั่นคือสิทธิอำนาจ แก่นแท้ และพระอุปนิสัยของพระเจ้า

หลายคนมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการเนรเทศชาวยิวออกจากแคว้นยูเดีย แต่ผู้คนที่แสวงหาความจริงย่อมจะสามารถได้รับความรู้แจ้งจากเหตุการณ์นี้  หากคนคนหนึ่งมีความสามารถที่จะทำความเข้าใจ เช่นนั้นแล้ว เหตุการณ์นี้ย่อมจะทำให้พวกเขามองเห็นว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน  แต่บางคนไม่มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจ  หากพวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของตน พวกเขาควรเห็นพ้องว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม ว่าพระอุปนิสัยของพระองค์ไม่ทนยอมรับการล่วงเกินเสียก่อน นี่คือสิ่งที่แน่นอน  จากนั้นพวกเขาก็ควรอธิษฐานและแสวงหาความจริง มองดูว่าชาวยิวทำสิ่งใดที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและทำให้พระองค์พิโรธ  ในหนทางนี้เท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนได้โดยสิ้นเชิง สามารถเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าผ่านทางเหตุการณ์นี้ และสามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าได้  การที่ผู้คนจะเข้าใจความจริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  ไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าจะเคยชื่นชมพระคุณและพรจากพระเจ้า หรือเคยทำงานโดยยอมรับการทรงนำและพระบัญชาของพระองค์ หรือเคยมอบถวายสิ่งต่างๆ หรือยอมทิ้งบางสิ่งบางอย่าง—ต่อให้ผู้คนมองว่าเจ้าได้ทำคุณูปการบางอย่าง เจ้าก็ไม่ควรมองว่าสิ่งเหล่านี้คือต้นทุนไม่ว่าจะอยู่ภายใต้รูปการณ์ใดก็ตาม  นั่นคือเรื่องแรก  เรื่องที่สองคือเจ้าไม่ควรมองว่าสิ่งเหล่านี้คือเบี้ยที่เจ้ามีเหนือพระเจ้าและใช้เพื่อบงการว่าพระองค์ควรปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร  สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อพระวจนะและท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้าไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า หรือดูเหมือนไม่แยแสเจ้า เจ้าต้องไม่ต้านทานหรือต่อต้านพระองค์  นี่คือเรื่องที่สาม  พวกเจ้าสามารถทำสามสิ่งนี้ให้สำเร็จลุล่วงได้หรือไม่?  สามสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นจริง  สภาวะเหล่านี้เกิดขึ้นในตัวผู้คนง่ายหรือไม่?  (ง่าย)  เหตุใดสภาวะเหล่านี้จึงเกิดขึ้นในตัวผู้คน?  เหตุใดผู้คนจึงมีการสำแดงเหล่านี้?  พระเจ้าทรงบริหารจัดการเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งปวงและทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง แต่พระเจ้าทรงมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนหรือไม่?  พระเจ้าทรงรับเป็นความดีความชอบของพระองค์หรือไม่?  พระเจ้าทรงมีการเผยเช่นนั้น โดยตรัสว่า “เราได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมดนี้เพื่อพวกเจ้าแล้ว  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ขอบคุณเรา” หรือไม่?  (พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น)  พระเจ้าไม่ทรงมีเรื่องเหล่านี้อยู่ในพระทัย  แล้วเหตุใดมนุษย์จึงคาดหวังความดีความชอบจากพระเจ้าสำหรับสิ่งละอันพันละน้อยทั้งหมดที่เขาทิ้งหรือสละ หรือในคุณงามความดีเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดที่เขาทำเล่า?  เหตุใดมนุษย์จึงมีการสำแดงและการเปิดเผยเหล่านี้?  คำตอบนี้ง่าย  เป็นเพราะอุปนิสัยของมนุษย์นั้นเสื่อมทราม  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงมีการเปิดเผยหรือการสำแดงเหล่านี้?  เพราะแก่นแท้ของพระเจ้าคือความจริง และความจริงนั้นบริสุทธิ์  นี่คือคำตอบ  ผู้คนมีการสำแดงและการเปิดเผยเหล่านี้เพราะพวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม  ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้หรือไม่?  ทั้งสามสิ่งที่เราเพิ่งกล่าวไปสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้หรือไม่?  (แก้ได้)  สามสิ่งที่เรากล่าวถึงนี้ไม่มีสิ่งใดที่นำไปปฏิบัติได้ง่าย แต่ก็มีทางออก  หลังจากที่ฟังสามสิ่งนี้แล้ว ผู้คนอาจจะคิดว่า “พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้ทำแบบนี้ พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้ทำแบบนั้น  พวกเราก็แค่เป็นหุ่นเชิดสมองกลวงเท่านั้น”  เป็นเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วเป็นเช่นไร?  ให้เราบอกพวกเจ้าเถิด พระเจ้าไม่ทรงให้เจ้าทำสิ่งเหล่านี้เพราะนี่คือการปกป้องตัวเจ้าเอง  นี่เป็นข้อแรก  วิธีการไล่ตามเสาะหาของเจ้าไม่ตรงตามความจริง และไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง  จงอย่าซ้ำรอยความผิดพลาดของผู้คนที่มาก่อนเจ้า  หากเจ้าปฏิบัติต่อสิ่งที่เจ้าละทิ้งและสละไปนั้นเป็นต้นทุนและเบี้ยให้เจ้าสามารถขึ้นเงินได้ และแล้วเมื่อท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้าดูไม่แยแส เจ้าต่อต้านพระองค์ เช่นนั้นแล้วท่าทีของเจ้าก็ไม่ตรงตามความจริง ไม่มีความเป็นมนุษย์ในนั้น และนั่นไม่ถูกต้อง  ต่อให้เจ้ามีเหตุผลพันประการ ท่าทีของเจ้าก็ผิดอยู่ดี ไม่ว่าจะในทางใดก็เข้ากันไม่ได้กับความจริง และนับเป็นการต้านทานพระเจ้า  นี่ไม่ใช่ท่าทีที่คนคนหนึ่งควรมี  นี่คือข้อที่สอง  ข้อที่สามคือหากเจ้ายึดติดท่าทีเช่นนี้ เจ้าจะไม่มีวันเข้าใจหรือได้รับความจริง  ไม่เพียงเจ้าจะไม่ได้รับความจริงเท่านั้น แต่เจ้ายังทำให้ตนเองสูญเสียอีกด้วย เจ้าจะเสียศักดิ์ศรีและหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี  หากเจ้าคิดว่า “ฉันจะยืนหยัดในท่าทีของฉัน และจะไม่มีใครทำอะไรกับมันได้!  ฉันเชื่อว่าฉันถูก ดังนั้นฉันจะยืนตามความคิดของตนเอง  แนวคิดของฉันมีเหตุผล ดังนั้นฉันจะยืนตามนี้จนถึงที่สุด!” การยึดติดกับบางสิ่งอย่างแน่วแน่เช่นนี้จะไม่เป็นผลดีต่อตัวเจ้าเองแต่อย่างใด  พระเจ้าจะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงท่าทีของพระองค์เพราะความตั้งใจแน่วแน่ของเจ้าหรือเพราะเจ้ายึดมั่นในบางสิ่ง  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าจะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงท่าทีของพระองค์เพียงเพราะเจ้ายึดตามท่าทีของเจ้าเองอย่างเด็ดขาด  ตรงกันข้าม พระเจ้าจะทรงมีท่าทีต่อเจ้าอย่างที่สมน้ำสมเนื้อกับความเป็นกบฏและการต้านทานอันแน่วแน่ของเจ้า  นี่เป็นข้อที่สี่ และเป็นข้อที่สำคัญที่สุด  มีสิ่งใดในทั้งสี่ข้อนี้ที่พวกเจ้าไม่เข้าใจหรือไม่?  มีสิ่งใดที่เรากล่าวเป็นเพียงวจนะที่ว่างเปล่า ไม่ตรงกับสภาวะที่แท้จริงของมนุษย์ และไม่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์ในด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่?  (ไม่มี ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นประโยชน์)  มีสิ่งใดเป็นเพียงทฤษฎีอันว่างเปล่า แทนที่จะเป็นเส้นทางปฏิบัติหรือไม่?  (ไม่มี)  สี่ข้อนี้เป็นประโยชน์ในแง่ของวิธีที่ผู้คนควรใช้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงในชีวิตประจำวันของพวกเขาหรือไม่?  (เป็นประโยชน์)  หากพวกเจ้าเข้าใจทั้งสี่ข้อนี้อย่างชัดแจ้ง นำไปปฏิบัติ และมีประสบการณ์กับสี่ข้อนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับพระเจ้าก็จะยังคงเป็นปกติต่อไป  ทั้งสี่ข้อนี้จะคุ้มครองเจ้าในช่วงที่พบเจอการทดลองต่างๆ หรือในเวลาที่เผชิญหน้าผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกประเภท  เมื่อเจ้าอยู่ในสภาวะที่เป็นกบฏ จงคิดถึงแง่มุมเหล่านี้ของความจริง เทียบเคียงตัวเจ้ากับแง่มุมเหล่านี้ และปฏิบัติไปตามนี้  หากในตอนแรกเจ้านำไปปฏิบัติไม่ได้ เจ้าก็ควรอธิษฐาน และพร้อมกันนั้นก็ควรตระหนักรู้สาเหตุที่พระเจ้าทรงกระทำการอย่างที่ทรงทำลงไป  เจ้าควรคิดทบทวนและตระหนักรู้ด้วยว่าเจ้ามีสภาวะและการเผยความเสื่อมทรามใดที่ทำให้เจ้าไม่สามารถปฏิบัติหรือนบนอบได้  หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงในหนทางนี้ สภาวะของเจ้าก็จะคงความเป็นปกติ และเจ้าจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงไปเอง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าจะกระทำการไปตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน หรือไม่ก็กระทำการอย่างเป็นกบฏและต้านทาน  แน่นอนเต็มร้อยว่าย่อมเป็นเช่นนี้  บางครั้งเมื่อมองจากภายนอกอาจดูไม่เหมือนว่าเจ้ากำลังต้านทานพระเจ้า ทำสิ่งที่ไม่ดี หรือเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน แต่นั่นไม่จำเป็นต้องหมายความว่าการกระทำของเจ้าตรงกับความจริง  บางครั้งเจ้าอาจกระทำการไปตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน และแม้นั่นอาจจะไม่กอปรกันเป็นการก่อกวนหรือก่อให้เกิดความเสียหาย แต่ตราบใดที่ไม่ตรงกับความจริง การกระทำของเจ้าย่อมขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  มีห้วงเวลาอื่นๆ ที่เจ้าอาจมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าในความรู้สึกนึกคิดของเจ้า  ต่อให้เจ้าไม่เคยกล่าวออกมา เจ้าก็กำลังยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันที่อยู่ภายในเหล่านี้ โดยคิดว่าพระเจ้าควรจะทรงทำดังนี้หรือดังนั้น และกำหนดพระองค์  ภายนอกแล้วเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด แต่ภายใน เจ้าอยู่ในสภาวะที่เป็นกบฏและต้านทานพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง  ตัวอย่างเช่น เราเพิ่งกล่าวถึงการมีมโนคติอันหลงผิดและการตีกรอบความรักของพระเจ้า  ต่อให้มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้าไม่ได้ทำให้เจ้าเกิดการก่อกวนหรือการขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้าแต่อย่างใด แต่สภาวะของเจ้าก็พิสูจน์ให้เห็นว่าในหัวใจของเจ้า เจ้ากำลังกำหนดและเข้าใจพระเจ้าผิดอยู่ตลอดเวลา  จากเรื่องนี้พวกเราสามารถสรุปอะไรได้บ้าง?  สรุปว่าเจ้ากำลังต้านทานพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง  เราพูดความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  หากสักวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์คล้ายกับที่ชาวยิวถูกเนรเทศออกจากแคว้นยูเดีย มโนคติอันหลงผิดของเจ้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถกล่าว “อาเมน” ต่อการกระทำของพระเจ้า หรือสรรเสริญพระเจ้า ไม่เกิดความยำเกรงและนบนอบพระองค์เพื่อเป็นการขานรับการกระทำของพระองค์ได้  แต่เจ้าจะเข้าใจผิด พร่ำบ่น และถึงขั้นคัดค้านพระเจ้าเล็กน้อยในหัวใจของเจ้า  ลึกลงไปข้างใน เจ้าจะกล่าวต่อพระองค์ว่า “พระเจ้า พระองค์ไม่ควรทำเช่นนั้น  ไม่ใส่พระทัยเอาเสียเลย!  พระองค์ทรงปฏิบัติกับสิ่งทรงสร้างของพระองค์เช่นนี้ได้อย่างไร?  พระองค์ทรงทำกับประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรในหนทางนี้ได้อย่างไร?  หลังจากได้เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงทำลงไป ข้าพระองค์ไม่อาจร้องเพลงเพื่อสรรเสริญพระองค์หรือปรบมือให้กับการกระทำของพระองค์ได้  ข้าพระองค์กำลังทนทุกข์อยู่ข้างในและรู้สึกว้าเหว่ เหมือนไม่อาจพึ่งพาพระเจ้าที่ตนเองนมัสการอย่างไม่มีขอบเขตจำกัดได้  พระเจ้าที่ข้าพระองค์เชื่อไม่ได้เป็นแบบนี้  พระเจ้าที่ข้าพระองค์เชื่อไม่ควรปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ในหนทางนี้  พระเจ้าที่ข้าพระองค์เชื่อไม่ได้เลือดเย็นหรือโหดร้ายเช่นนี้  พระเจ้าที่ข้าพระองค์เชื่อทรงปฏิบัติต่อมนุษย์อย่างอ่อนโยนและใส่พระทัยประหนึ่งเด็กน้อย ทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับพรอย่างล้นเหลือและเต็มไปด้วยความอบอุ่น ไม่ใช่เย็นเยือกดุจน้ำแข็งหรือไม่แยแสอย่างในตอนนี้”  เมื่อการคร่ำครวญเหล่านี้เกิดขึ้นลึกๆ ข้างใน เจ้าย่อมไม่มองข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าเจ้าว่าเป็นพระราชกิจของพระเจ้า  เจ้าไม่ยอมรับหรือกล่าว “อาเมน” นับประสาอะไรกับการสรรเสริญสิ่งที่เกิดขึ้น  เช่นนั้น อารมณ์และสภาวะของเจ้าจะเป็นการนบนอบพระเจ้าหรือต่อต้าน?  (ต่อต้าน)  ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่การนบนอบอย่างแท้จริง  ไม่มีการนบนอบในที่นี้ มีแต่การพร่ำบ่น การต่อต้าน การไม่เชื่อฟัง และแม้กระทั่งความโมโห  นี่คือท่าทีที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีต่อพระผู้สร้างของตนกระนั้นหรือ?  ไม่ใช่  หัวใจของเจ้าเกิดความขัดแย้ง เจ้าคิดว่า “หากพระเจ้าทรงทำเช่นนี้ ทำไมหัวใจของฉันถึงไม่เห็นดีด้วย?  ทำไมผู้คนส่วนใหญ่ถึงไม่ยอมรับ?  ทำไมการกระทำของพระองค์จึงไม่คำนึงถึงมนุษย์เลย แล้วทำไมถึงเต็มไปด้วยเลือดและการเข่นฆ่า?”  ชั่วขณะนั้น พระเจ้าในหัวใจของเจ้าและพระผู้สร้างที่ดำรงอยู่จริงในชีวิตจริงนั้นย่อมขัดแย้งกันและไม่ลงรอยกันใช่หรือไม่?  (ใช่ เป็นเช่นนั้น)  ดังนั้นเจ้าควรเชื่อใคร?  ตอนนี้เจ้าควรเลือกที่จะเชื่อในพระเจ้าในมโนคติอันหลงผิดที่อยู่ลึกลงไปในหัวใจของเจ้า หรือพระเจ้าผู้กำลังทรงกระทำการอันเป็นจริงตรงหน้าเจ้า?  (พระเจ้าผู้กำลังทรงกระทำการอันเป็นจริงอยู่ตรงหน้าพวกเรา)  ในด้านของความปรารถนาส่วนตนของพวกเขานั้น ผู้คนเต็มใจอย่างยิ่งที่จะเชื่อในพระเจ้าผู้กำลังทรงกระทำการอันเป็นจริงตรงหน้าพวกเขา แต่เพราะมโนคติอันหลงผิด ความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัว และความรู้สึกของพวกเขา พวกเขาจึงเลือกที่จะปกปิดพระเจ้าในหัวใจของตนเอาไว้ และบังคับให้ตนเองยอมรับพระเจ้าผู้กำลังทรงกระทำการอันเป็นจริงอยู่ตรงหน้าพวกเขา  อย่างไรก็ตาม ลึกลงไปข้างใน พวกเขายังไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงทั้งปวงเกี่ยวกับสิ่งที่พระผู้สร้างกำลังทรงทำอยู่ พวกเขายังคงซ่อนตัวและใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบน้อยของตนเอง พูดคุยและมีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้าที่พวกเขาได้ฝันถึงอยู่ในใจของตนลึกๆ อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ขณะที่พระเจ้าองค์จริงกลับดูคลุมเครืออยู่เสมอ  ถึงกับมีผู้คนที่คิดว่า “ฉันปรารถนาให้พระเจ้าองค์จริงไม่มีอยู่จริง  พระเจ้าของฉันคือพระเจ้าที่ฉันจินตนาการถึงในหัวใจของฉัน พระองค์เต็มไปด้วยความรักและทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความอบอุ่นของพระองค์  พระองค์คือพระเจ้าแท้จริงองค์หนึ่ง  พระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงไม่ใช่พระเจ้าที่ฉันจินตนาการเอาไว้ เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นทำให้ฉันผิดหวัง และฉันก็ไม่อาจรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นใดๆ จากพระองค์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉันไม่สามารถมองข้ามได้ว่ามีผู้คนมากมายเหลือเกินถูกกล่าวโทษและกำจัดออกไปด้วยการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์”  คนแบบใดที่กล่าวเช่นนี้?  นี่คือสิ่งที่ผู้ไม่เชื่อและผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงพูดกัน  ทั้งหมดนี้คือสภาวะนานาประการที่เกิดขึ้นในตัวผู้คนเวลาที่พวกเขาไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า และเวลาที่มีความขัดแย้งกันระหว่างความคิดฝันของพวกเขากับพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า  ดังนั้นสภาวะเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างไร?  สาเหตุหนึ่งคือผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น แล้วข้อเท็จจริงไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน ทำลายภาพมายาที่พวกเขามี ทำลายความฝันของพวกเขา และทำให้พวกเขารู้สึกว่าเจตนาและความอยากได้พรของตนไม่อาจได้รับการตอบสนอง พวกเขาย่อมตัดสินใจทำเช่นไรในท้ายที่สุด?  วิ่งหนี ประนีประนอม หรือดึงดัน  บางคนถึงกับไม่ยอมเลือกข้าง โดยกล่าวว่า “ฉันจะยอมรับทั้งสองฝ่าย  พระเจ้าที่อยู่ในหัวใจของฉันเดิมทีก็คือพระเจ้าและเป็นความรัก  ส่วนองค์ที่กำลังทำกิจการอันยิ่งใหญ่และกุมสิทธิอำนาจอยู่ต่อหน้าต่อตาฉันก็คือพระเจ้าเช่นกัน  ฉันจะยอมรับทั้งสององค์และไม่ทิ้งทั้งสองฝ่าย”  ผู้คนมักจะดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนี้ด้วยการให้การสนับสนุนทั้งสองฝ่าย  ผู้คนมักจะยึดติดอยู่กับแนวคิดเรื่องพระเจ้าในจิตใจของตน  พวกเขาวิ่งวุ่น สละตนเอง ถวายของ และทำงานเพื่อพระเจ้าที่คลุมเครือองค์นี้  พวกเขายอมที่จะลำบากเช่นไรก็ได้เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน แม้กระทั่งยอมสละชีวิตของตนและพลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามี  ไม่ว่าผู้คนจะมีการสำแดงเช่นไร หรือมีสภาวะอันใดเกิดขึ้นในตัวพวกเขา การกระทำของผู้คนถือว่าดีหรือชั่วในสายพระเนตรของพระผู้สร้างพระองค์จริงเมื่อมีพระเจ้าแบบนี้อยู่ในจิตใจของพวกเขา?  นี่เป็นการนบนอบหรือการต้านทาน?  ชัดเจนว่าไม่ใช่การกระทำที่ดีและไม่ควรค่าแก่การจดจำ  นี่ยังเผยให้เห็นด้วยว่าผู้คนไม่นบนอบหรือมอบถวายตนเองอย่างแท้จริง แต่พวกเขากลับเต็มไปด้วยการต้านทาน ความเป็นกบฏ และการต่อต้าน  เป็นเพราะผู้คนมีสภาวะเหล่านี้และมักจะใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเหล่านี้ เมื่อผู้คนตื่นจากความฝันของตนและใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เป็นจริง พวกเขาจึงตระหนักว่าการกระทำของพระเจ้าในชีวิตจริงนั้นไม่สามารถสนองความต้องการทางจิตใจและทางวิญญาณของพวกเขาได้  ทว่าการกระทำของพระองค์กลับทำให้ผู้คนเจ็บปวดในหลากหลายรูปแบบ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพระองค์ทรงดูดายและไม่คำนึงถึงมนุษย์ในหลากหลายหนทาง  มีบางคนถึงกับสงสัยและกล่าวว่า “พระเจ้าคือความรักกระนั้นหรือ?  พระองค์ยังคงรักผู้คนอยู่หรือไม่?  มีการกล่าวว่าพระเจ้าทรงห่วงใยมนุษย์และรักเขาเหมือนที่รักพระองค์เอง  คุณมองเห็นเช่นนั้นจากที่ไหน?  ทำไมฉันไม่เคยเห็นเลยเล่า?”  นี่คือปัญหา!  ผู้คนมักจะดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะเหล่านี้ ทำให้ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับพระเจ้ายิ่งรุนแรงขึ้นทุกที และระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อผู้คนมองเห็นพระเจ้าทรงกระทำบางสิ่งที่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของตน พวกเขาก็คิดว่า “พระเจ้าของฉันทรงทำสิ่งที่สะเทือนโลก  พระองค์คือพระเจ้าที่ฉันอยากเชื่อโดยแท้  พระองค์เท่านั้นที่เป็นพระเจ้าของฉัน  ฉันเต็มใจที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์  พระองค์เท่านั้นที่เป็นพระผู้สร้างของฉัน”  อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความยากลำบาก ความคิดลบ หรือความอ่อนแอขึ้นมาในชีวิตประจำวันของพวกเขา และพระเจ้าที่พวกเขาคิดฝันไม่สามารถช่วยพวกเขาหรือทำให้ความต้องการของพวกเขาลุล่วงได้ตลอดเวลา ความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าก็จืดจางหรือถึงกับอันตรธานไป  สิ่งใดเป็นเหตุให้เกิดสภาวะ การสำแดง และการเปิดเผยที่ผู้คนมีทั้งหมดนี้?  นี่เป็นเพราะผู้คนไม่เข้าใจพระผู้สร้างเลย  เจ้าไม่เข้าใจพระองค์ นี่คือเหตุผลเพียงประการเดียว  นี่คือรากเหง้าของความขัดแย้ง ระยะห่าง และความเข้าใจผิดทั้งหมดระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  ดังนั้นผู้คนจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร?  ข้อแรก พวกเขาต้องแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตน  ข้อสอง ในชีวิตจริงผู้คนต้องมีประสบการณ์ เผชิญ แสวงหา และใคร่ครวญพระราชกิจทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำในตัวพวกเขา และไปให้ถึงจุดที่พวกเขาสามารถนบนอบต่อทุกการจัดแจงเตรียมการที่พระเจ้าทรงวางแผนไว้ให้พวกเขาได้โดยบริบูรณ์ รวมทั้งต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงให้แก่พวกเขา  อะไรคือจุดประสงค์ของการนบนอบ?  เพื่อให้ตระหนักรู้และเข้าใจความจริงทั้งหมดนี้

พวกเจ้าเห็นว่าเรื่องที่พวกเราเพิ่งได้สามัคคีธรรมกันไปนั้นลึกซึ้งหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่?  พวกเจ้าสามารถทำความเข้าใจได้หรือไม่?  (พวกเราทำได้)  ในทางทฤษฎีแล้ว พวกเจ้าควรที่จะเข้าใจได้  แต่การเข้าใจในทางทฤษฎีเทียบเท่ากับการเข้าใจและยอมรับความจริงหรือไม่?  (ไม่เท่า)  ดังนั้นสิ่งใดกันที่เทียบเท่าการเข้าใจและยอมรับความจริง?  พวกเจ้าต้องตรวจสอบตนเองในชีวิตประจำวันของตนอยู่เนืองๆ แต่ควรตรวจสอบสิ่งใด?  (ตรวจสอบว่าพวกเรามีสภาวะและการสำแดงดังที่พระเจ้าตรัสถึงหรือไม่ รวมทั้งผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดใดเกี่ยวกับพระเจ้า)  ถูกต้อง  เจ้าต้องตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ ตรวจสอบว่าเจ้าเผยความเสื่อมทรามใดออกมา เจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันใดบ้าง  บางคนกล่าวว่าพวกเขาไม่สามารถพบอะไรผ่านการตรวจสอบตนเองได้  นั่นแก้ไขง่ายด้วยการดูผู้อื่นก่อน  ผู้อื่นคือกระจกส่องตัวเจ้าเอง  เมื่อเจ้าเห็นผู้คนเผยอุปนิสัยหรือสภาวะบางอย่างออกมา จงพลิกกลับมาตรวจสอบตนเอง และเปรียบเทียบกับตัวเจ้า ดูว่าเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้เหมือนกันหรือไม่ และเจ้าอยู่ในสภาวะเดียวกันหรือไม่  หากเจ้าเป็นดังนั้น แล้วเจ้าควรทำอย่างไรกับสิ่งที่เป็นอยู่?  เจ้าควรตีแผ่ตัวเองและชำแหละสิ่งเหล่านี้ หรือควรยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้และรอให้สิ่งเหล่านี้ “ผลิดอกออกผล”?  (พวกเราควรตีแผ่ตนเองและชำแหละสิ่งเหล่านี้)  เจ้าต้องเผยสิ่งเหล่านี้ออกมาและชำแหละเพื่อให้ทุกคนได้ประโยชน์ เพื่อให้ทุกคนตระหนักรู้สภาวะที่เสื่อมทราม เข้าใจความจริง พบทางออก และแก้ไขปัญหาจำพวกนี้ร่วมกันด้วยวิธีนี้ได้อย่างถูกต้อง  สิ่งใดคือจุดมุ่งหมายของการชำแหละมโนคติอันหลงผิดและสภาวะที่เป็นลบ?  (เพื่อให้ผู้คนสามารถพบทางออกจากมโนคติอันหลงผิดและสภาวะที่เป็นลบของตน)  แล้วสิ่งใดคือจุดประสงค์ของการหาทางออกให้พบ?  เพื่อที่จะได้รับความจริง  จุดมุ่งหมายของการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของเจ้าก็คือการทำให้เจ้าตระหนักรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นผิด และไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรมี  เจ้าควรปล่อยมือ ไม่ควรยึดเอาไว้  จากนั้นจงแสวงหาอย่างแข็งขันว่าสิ่งใดถูกต้อง แท้จริงแล้วอะไรคือสิ่งที่เป็นบวก และแท้จริงแล้วความจริงคืออะไร  เมื่อเจ้ายอมรับสิ่งที่เป็นบวกและความจริง ทำเหมือนสิ่งเหล่านี้คือหลักธรรมของการปฏิบัติ การคิดอ่าน และมุมมองที่เจ้าควรมี เมื่อนั้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลง และเจ้าย่อมจะได้รับความจริงแล้ว  ดังนั้นผู้คนควรมองการเนรเทศชาวยิวออกจากแคว้นยูเดียตามความจริงเหล่านี้อย่างไร?  ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดร่วมกันเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เช่นไร?  (พระเจ้าไม่ควรที่จะทรงขับชาวยิวออกจากแคว้นยูเดีย และพระองค์ควรที่จะทรงคุ้มครองชาวยิว  ไม่ว่าพวกเขาจะต้านทานพระองค์อย่างไร และแม้จะมีข้อเท็จจริงว่าพวกเขาตอกตรึงพระองค์กับกางเขนก็ตาม พระองค์ก็ควรที่จะทรงอภัยบาปแก่พวกเขาตลอดไป เช่นนี้เท่านั้นคือความรักของพระเจ้า)  นี่คือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์  มโนคติเหล่านี้ไร้สาระมิใช่หรือ?  หากพระเจ้าทรงกระทำการตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ พระเจ้าจะยังทรงมีพระอุปนิสัยอันชอบธรรมอยู่หรือ?  แม้ผู้คนจะเสียใจที่ถูกเนรเทศ แต่การที่พวกเขาต้านทานและกล่าวโทษพระเจ้าก็เป็นการล้ำเส้นสำหรับพระเจ้า การกระทำของพวกเขาไม่ต่างจากการกระทำของซาตาน ดังนั้นแล้ว พระเจ้าจะไม่กริ้วเพราะเรื่องนี้ได้อย่างไร?  บางคนยอมรับความจริงไม่ได้และคิดว่า “พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนในหนทางนี้ได้อย่างไร?  ผู้คนไม่อาจยอมรับความรักแบบนี้ได้ ช่างไม่คำนึงถึงพวกเขาเลย!  นี่ดูไม่เหมือนความรัก  หากทรงทำกับชาวยิวเช่นนี้ พระเจ้าก็ไม่ทรงมีความรัก”  นี่เป็นการปฏิเสธความรักของพระเจ้าและเป็นมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์  สิ่งใดคือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์?  (มนุษย์ได้กำหนดความรักของพระเจ้า)  ใช่ เมื่อผู้คนกำหนดบางสิ่ง นั่นคือมโนคติอันหลงผิดอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่สอดคล้องกับความจริง และไม่ใช่ความจริง  ตรงนี้ผู้คนได้กำหนดสิ่งใด?  พวกเขาได้กำหนดว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างไร พวกเขาคิดว่าพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจในบางหนทางจึงจะเป็นพระราชกิจของพระเจ้า และคิดว่านี่คือหนทางที่พระองค์ควรทรงพระราชกิจ  ผู้คนได้กำหนดการทรงพระราชกิจของพระเจ้า และการกำหนดนี้ก็คือมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา  แล้วการกำหนดแบบใดที่ผู้คนทำต่อวิธีที่พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ?  อะไรในการกำหนดของพวกเขาที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจวิธีกระทำการของพระเจ้าในสถานการณ์นี้ และทำให้พวกเขาต่อต้านและเข้าใจพระองค์ผิด?  (ผู้คนคิดว่าพระเจ้าควรประทานพระคุณและพรอันอุดมแก่ชาวยิว แต่พระองค์กลับทรงกระทำการนอกเหนือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้ และนอกเหนือความคาดหวังของพวกเขา พระองค์ทรงขับไล่ชาวยิวออกไปและทำให้ชาวยิวร่อนเร่ไปทั่วโลก  ผู้คนไม่เข้าใจเรื่องนี้ และทำให้เกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นมากมาย)  หลายคนมีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการกระทำที่พระเจ้าทรงมีต่อชาวยิว  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้คนรู้สึกอึดอัดกับการกระทำของพระเจ้าและคิดว่าพระองค์ไม่ควรที่จะทรงทำเช่นนั้น  นี่เป็นมโนคติอันหลงผิดหรือไม่?  (เป็น)  เช่นนั้นแล้ว เมื่อผู้คนคิดว่าพระเจ้า “ไม่ควร” ที่จะทรงทำสิ่งที่พระองค์ได้ทำลงไป นั่นก็คือการกำหนดการกระทำของพระเจ้ามิใช่หรือ?  เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าไม่ควรที่จะทรงกระทำการในหนทางนี้?  เจ้ามีหลักการใดในการกล่าวว่าพระเจ้าไม่ควรที่จะทรงกระทำการในหนทางนี้?  หากเจ้าคิดว่าพระองค์ไม่ควรกระทำการเช่นนั้น แต่พระองค์ก็ทรงทำลงไปแล้ว นั่นหมายความว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้ากระนั้นหรือ?  นั่นหมายความว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำลงไปนั้นผิดและไม่ตรงตามความจริงกระนั้นหรือ?  ในแง่นี้มนุษย์ไม่โง่เขลาเช่นนั้นหรือ?  มนุษย์โง่เขลาและไม่รู้ความยิ่งนัก ทั้งยังโอหังและคิดว่าตนถูกเสมอ การสร้างมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและกำหนดพระเจ้าจึงเป็นเรื่องง่ายที่สุดสำหรับมนุษย์  หากผู้คนแบบนี้ยอมรับความจริงไม่ได้ย่อมเป็นอันตรายมาก และพวกเขามีแนวโน้มว่าจะถูกกำจัดออกไป

หลายคนมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดเห็นเกี่ยวกับการเนรเทศชาวยิวออกจากแคว้นยูเดีย และพวกเขาก็ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า แต่นี่คือปัญหาที่แก้ไขได้ง่ายดายมาก  เราจะบอกวิธีแก้อย่างง่ายๆ ให้กับพวกเจ้า  จงฟังและดูว่านี่สามารถจัดการแก้ไขความยากลำบากเหล่านี้ของพวกเจ้าได้หรือไม่  วิธีที่ง่ายที่สุดก่อนอื่นเลยก็คือให้ผู้คนรู้ไว้ว่าพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้สำหรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่จะนบนอบพระผู้สร้างของตน  หากสิ่งมีชีวิตทรงสร้างมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระผู้สร้างของตนอยู่ตลอดเวลาและไม่สามารถนบนอบพระองค์ได้ เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมจะเป็นการกบฏอย่างใหญ่หลวง  ผู้คนต้องเข้าใจว่ามีหลักธรรมพื้นฐานในการปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระผู้สร้าง ซึ่งเป็นหลักธรรมสูงสุดอีกด้วย  วิธีที่พระผู้สร้างทรงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตั้งอยู่บนแผนการบริหารจัดการของพระองค์และความจำเป็นของพระราชกิจของพระองค์ทั้งสิ้น พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงปรึกษาผู้ใด อีกทั้งพระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องทรงให้ใครมาเห็นชอบกับพระองค์  ไม่ว่าพระองค์ควรจะทรงทำสิ่งใด และไม่ว่าพระองค์ควรจะทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร พระองค์ก็ทรงทำ และไม่ว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใดหรือพระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร ทั้งหมดล้วนสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงและหลักธรรมที่พระผู้สร้างใช้ทรงกระทำการ  สิ่งเดียวที่ต้องทำในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างคือการนบนอบพระผู้สร้าง คนเราไม่ควรเลือกสิ่งใดด้วยตนเอง  นี่คือสำนึกที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงมี และหากคนคนหนึ่งไม่มีสำนึกข้อนี้ เช่นนั้นก็ไม่เหมาะที่จะเรียกว่าคน  ผู้คนต้องเข้าใจว่าพระผู้สร้างย่อมจะเป็นพระผู้สร้างเสมอ พระองค์ทรงมีฤทธานุภาพและทรงมีคุณสมบัติที่จะจัดวางเรียบเรียงและครองอธิปไตยเหนือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ตามที่พระองค์พอพระทัย และไม่จำเป็นต้องทรงมีเหตุผลในการทำเช่นนั้น  นี่คือสิทธิอำนาจของพระองค์  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่มีสิทธิ์และไม่มีคุณสมบัติที่จะตัดสินว่าสิ่งใดก็ตามที่พระผู้สร้างทรงทำนั้นถูกหรือผิด หรือว่าพระองค์ควรทรงกระทำการเช่นไร  ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดมีสิทธิ์เลือกว่าตนจะยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างหรือไม่ และไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดมีสิทธิ์เรียกร้องว่าพระผู้สร้างควรที่จะทรงครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมและจัดการเตรียมชะตากรรมของพวกตนเช่นไร  นี่คือความจริงสูงสุด  ไม่สำคัญว่าพระผู้สร้างได้ทรงทำสิ่งใดกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ และไม่สำคัญว่าพระองค์ได้ทรงทำสิ่งนั้นอย่างไร สิ่งเดียวที่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างควรทำคือแสวงหา นบนอบ ได้รู้จัก และยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระผู้สร้างได้ทรงทำ  ผลลัพธ์สุดท้ายก็จะเป็นว่าพระผู้สร้างจะทรงทำให้แผนการบริหารจัดการของพระองค์สำเร็จลุล่วง และทำให้พระราชกิจของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ และแผนการบริหารจัดการของพระองค์จะได้ก้าวหน้าไปโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ ขณะเดียวกัน เนื่องจากสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง และนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ พวกเขาก็จะได้รับความจริง เข้าใจเจตนารมณ์ของพระผู้สร้าง และมารู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์  ยังมีอีกหนึ่งหลักการที่เราต้องบอกพวกเจ้า นั่นคือ ไม่ว่าพระผู้สร้างจะทรงทำสิ่งใด ไม่ว่าพระองค์จะมีการสำแดงเช่นใด และไม่ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นจะเป็นกิจการอันยิ่งใหญ่หรือเล็ก พระองค์ก็ยังคงเป็นพระผู้สร้าง ในขณะที่มวลมนุษย์ทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงสร้างนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดลงไป ไม่ว่าจะมีความสามารถพิเศษหรือมีพรสวรรค์มากเพียงใด ก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  สำหรับมวลมนุษย์ทรงสร้างแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพระคุณและพรมากเพียงใดจากพระผู้สร้าง หรือได้รับความปรานี ความรักมั่นคง หรือความเมตตากรุณามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่ควรเชื่อว่าตนเองแตกต่างจากคนทั่วไป หรือคิดว่าพวกตนสามารถยืนเสมอพระเจ้า และกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสูงในหมู่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างไปแล้ว  ไม่ว่าพระเจ้าจะประทานพรสวรรค์แก่เจ้ามากเพียงใด ประทานพระคุณแก่เจ้ามากเพียงใด หรือจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความใจดีมากเพียงใด ไม่ว่าพระองค์จะประทานความสามารถพิเศษแก่เจ้าบ้างหรือไม่ ทั้งหมดนี้ก็ไม่มีสิ่งใดเป็นต้นทุนของเจ้า  เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และด้วยเหตุนั้น เจ้าจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตลอดไป  เจ้าต้องไม่คิดว่า “ฉันเป็นที่รักตัวน้อยในพระหัตถ์ของพระเจ้า  พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งฉัน  ท่าทีของพระเจ้าต่อฉันจะเป็นท่าทีแห่งความรัก ความใส่พระทัย และการลูบไล้อย่างอ่อนโยนเสมอ พร้อมเสียงกระซิบอันอบอุ่นแห่งความชูใจและการเตือนสติ”  ในทางตรงกันข้าม ในสายพระเนตรของพระผู้สร้าง เจ้าก็เป็นเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอื่นๆ ทั้งหมด พระเจ้าสามารถใช้เจ้าได้ตามที่พระองค์ทรงปรารถนา และยังสามารถจัดวางเรียบเรียงเจ้าได้ตามที่พระองค์ทรงปรารถนาอีกด้วย และพระองค์สามารถจัดการเตรียมการตามที่พระองค์ทรงปรารถนาเพื่อให้เจ้าเล่นบทบาทใดก็ได้ท่ามกลางผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายทุกชนิด  นี่คือความรู้ที่ผู้คนควรมี และเป็นสำนึกที่พวกเขาควรครอง  หากคนเราสามารถเข้าใจและยอมรับวจนะเหล่านี้ได้ สัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้าก็จะเป็นปกติมากขึ้น และพวกเขาก็จะสร้างสัมพันธภาพซึ่งถูกควรที่สุดกับพระองค์ หากคนเราสามารถเข้าใจและยอมรับวจนะเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะปรับทิศทางสถานะของพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม ยืนในที่ที่ถูกต้องเหมาะสมของพวกเขา และรักษาหน้าที่ของพวกเขา

หลังจากฟังวจนะเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าคิดอย่างไร?  พวกเจ้าจะยังคงเข้าใจพระเจ้าผิดอยู่หรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “เมื่อคำนึงว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนในหนทางนี้ เมื่อพระเจ้าตรัสว่ามนุษย์เป็นดังมดและด้อยกว่าหนอนแมลงวันในสายพระเนตรของพระองค์ ก็ดูเหมือนว่านี่ไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น แต่นี่คือความเป็นจริง!  พระเจ้าไม่ได้ทรงใกล้ชิดหรือสนิทสนมกับมนุษย์อย่างที่ผู้คนคิดฝันเอาไว้”  หัวใจของผู้คนจึงเย็นลง ราวกับมีการสาดน้ำใส่หัวใจที่กำลังลุกไหม้ของพวกเขา เป็นเหตุให้ผู้คนเยือกเย็นลง  พวกเจ้าคิดว่าอย่างไหนดีกว่ากัน การที่หัวใจของพวกเขาเย็นลง หรือการที่พวกเขาเข้าใจพระเจ้าผิด?  (การที่หัวใจของพวกเขาเย็นลงย่อมดีกว่า)  มีเพียงการปล่อยให้พวกเขาเย็นลงสักระยะหนึ่งเท่านั้น พวกเขาจึงสามารถเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้  เหตุผลที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีก็คือการใช้ความจริงเป็นหลักธรรมของตนในทุกสิ่ง พวกเขาควรใช้ความจริงเป็นหลักการพื้นฐานว่าพวกเขาควรมองทุกสิ่งอย่างไร และพวกเขาควรใช้ความจริงเป็นหลักธรรมของตนและเป็นรากฐานของทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  นี่คือหนทางที่ถูกต้องที่ควรเป็น  แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้คนกลับรู้สึกอยู่ในหัวใจของตนเสมอว่าความสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับพระเจ้าก็เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับคนอีกคนหนึ่ง และการปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาควรอยู่บนพื้นฐานที่ทัดเทียมกัน  สถานการณ์เช่นนี้ดีหรือไม่?  (ไม่ดี)  ไม่ดีอย่างไร?  ผู้คนวางตัวผิดตำแหน่ง พวกเขาไม่ปฏิบัติต่อพระเจ้าเฉกเช่นพระเจ้า  นี่เป็นเพราะผู้คนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้ามากมายเกินไป แต่พระเจ้าจะไม่ทรงเปลี่ยนท่าทีของพระองค์เพราะความเข้าใจผิดหรือความฝังใจของผู้คน  ตรงกันข้าม ไม่เพียงพระองค์จะไม่ทรงเปลี่ยนท่าทีของพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์จะทรงพระราชกิจในตัวผู้คนต่อไปตามหลักธรรมทั้งหลายดังที่เคยเป็นมา รวมทั้งจะทรงจัดเตรียมชีวิตและครองอธิปไตยเหนือชีวิตของมวลมนุษย์ทั้งปวงอีกด้วย  อย่างไรก็ตาม มนุษย์มีแนวโน้มที่จะสร้างมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ต้านทานและกบฏต่อพระองค์ ดังนั้นมนุษย์จึงต้องทนทุกข์อย่างใหญ่หลวง  ผู้คนต้องการย่องเข้าไปหาพระเจ้าและสร้างความสัมพันธ์ที่สดใหม่กับพระองค์ พวกเขาจึงพูดถึงความรู้สึก ต้นทุน พรสวรรค์ และความสามารถของตน เล่าว่าพวกเขาได้ให้ไปมากเพียงใด พูดถึงความสำเร็จที่ผ่านมาของพวกเขา และเหตุผลอื่นๆ อีกสารพัดอย่าง  เมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา พวกเขาจะสามารถได้รับความจริงกระนั้นหรือ?  พวกเขาไม่สามารถได้รับความจริง  หากเจ้าไม่มีหัวใจที่นบนอบพระเจ้า มีทัศนะที่คลาดเคลื่อนอยู่เสมอ ไม่สามารถดำรงตำแหน่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มีความทะเยอทะยานที่ควบคุมไม่ได้ และใฝ่หาตำแหน่งที่สูงขึ้นไปตลอดเวลา ในท้ายที่สุดนี่จะทำให้เจ้าไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างเหมาะสม หรือเข้าใจข้อกำหนดและท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้าได้อย่างถูกต้อง  แม้เจ้าได้รับการถลุงอย่างต่อเนื่องและทนทุกข์อยู่ตลอดเวลา เจ้าก็ไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน และถึงกับคิดว่าเจ้าคือผู้ที่พระเจ้าทรงรักและใส่พระทัยมากที่สุด  ผลก็คือเมื่อเกิดบางสิ่งที่เป็นจริงขึ้นกับเจ้าและเจ้ามองเห็นว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงทำเช่นนั้น อีกทั้งนั่นเป็นเพียงความคิดฝันเฟื่องในส่วนของเจ้าเท่านั้น เจ้าย่อมประสบกับภาวะชะงักงันและทนทุกข์กับความเจ็บปวด เจ้าพร่ำบ่นและรู้สึกเหมือนเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม  ความรู้สึกของเจ้าก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย  ความทุกข์เช่นนี้คุ้มหรือไม่?  (ไม่คุ้ม)  ผู้คนนำความทุกข์มาสู่ตนเองเพราะความคิดฝันเฟื่อง มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝันของตน  นี่คือสิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดสำหรับพวกเขา และพวกเขาก็จำเป็นต้องกลับตัวเสีย!  พวกเขาควรทำการนี้เช่นไร?  ด้วยการตระหนักรู้ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมกับทุกคน และพระราชกิจทั้งปวงที่พระเจ้าทรงทำนั้นก็เพื่อช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้รอด—พระองค์ไม่ทรงมีวาระอื่นซ่อนเร้น  สิ่งที่ผู้คนควรทำก็คือดำรงตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นบนอบต่ออธิปไตย การจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระผู้สร้าง ยอมรับและนบนอบต่อทุกสิ่งที่พระผู้สร้างทรงทำ แสวงหาความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าในสิ่งเหล่านี้ ตลอดจนตระหนักรู้พระจริยาวัตรของพระเจ้า  หากผู้คนใช้มโนคติอันหลงผิดของตนเพื่อประเมินและกำหนดการกระทำของพระเจ้าอยู่เสมอ ยื่นข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลต่อพระเจ้าตลอดเวลา และยืนกรานให้พระเจ้าทำสิ่งต่างๆ ตามหนทางของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็กำลังกบฏต่อพระเจ้า ไม่เพียงพวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริงเท่านั้น แต่ในที่สุดแล้วพวกเขาจะไม่เหลือสิ่งใดนอกจากการถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดออกไป  หากผู้คนต้องการได้รับพรจากพระเจ้า สิ่งเดียวที่พวกเขาจำเป็นต้องทำก็คือแสวงหา นบนอบ ตระหนักรู้ และยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระผู้สร้างทรงทำ  นี่เป็นหนทางเดียวที่ผู้คนจะเข้าใจความจริง รู้จักพระเจ้า สัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง และได้รับการช่วยให้รอด

18 พฤษภาคม ค.ศ. 2018

ก่อนหน้า: ด้วยการปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

ถัดไป: วิธีระบุแก่นแท้ธรรมชาติของเปาโล

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger